แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

มากกว่าลูกจ้าง ทำเกินค่าจ้าง



อาชีพทางสายการเงิน ..


ได้มีโอกาสคุยกับน้องๆ ที่เข้ามาเริ่มทำงานในสายการเงิน เขาก็สงสัยว่า 'ทำไมเงินเดือนเริ่มต้น ไม่เห็นเยอะแยะ เหมือนที่เคยคิดเลย.. พี่แพ้ทแนะนำหน่อยว่า จะหาเงินเยอะๆ ได้ยังไง ?'


'ใจเย็นๆ ...'


ก่อนอื่นต้องเล่าให้ฟังก่อนว่า ไม่ว่าอาชีพอะไร มันก็เริ่มจากเงินน้อยๆ ทั้งนั้นแหละ ..คิดง่ายๆ คนจบปริญญาตรีในทุกสาขา ก็เริ่มจากประมาณ 15,000 บาท++ .. ก็แล้วแต่งาน


ใช่!! น้องคนไหนคำนวณจากเงินเดือนก็คง มองภาพไม่ออกว่า เงินเดือนแค่นี้จะรวยได้อย่างไร


เอาระดับผู้บริหาร (ซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเป็นผู้บริหารได้) ในเมืองไทย เงินเดือนหลักแสนก็ถือว่าสูงมากแล้ว ..จะไปเทียบกับต่างประเทศไม่ได้ อย่างอเมริกา , ยุโรป , ญี่ปุ่น , สิงคโปร์ , เกาหลี ..ฐานเงินเดือนมันต่างกับเราเยอะมาก - พวกต่างประเทศ ถ้าทำงานจนเป็นผู้บริหารก็รวยจากเงินเดือนได้แล้ว 


แต่บ้านเราไม่ใช่ ..เอาตรงๆ เลยนะ 'บ้านเราจะรอรวยจากแค่เงินเดือนมันไม่พอ !! - ต้องคิดใหม่ เข้าใจใหม่ ..ต้องถามว่า แล้วคนไทยที่รวยๆ ถ้าเขาไม่รวยจากเงินเดือน แล้วเขารวยจากอะไรล่ะ ?'


ก็จะสรุปวิธีสร้างตัวแบบไทยๆ ให้เข้าใจดังนี้


1. "รวยจากการทำงานเกินลูกจ้าง" ..อันนี้คือเป็นลูกจ้าง แต่ทำงานเกินลูกจ้างปกติ ..ระหว่างเป็นลูกจ้างก็พยายามศึกษา ทำความเข้าใจธุรกิจ เข้าใจลูกค้า ...พอเห็นโอกาสก็ค่อย ต่อยอดหารายได้เพิ่ม อันนี้เรียกว่า 'รวยจากความเชี่ยวชาญ'


2. "รวยจากเพื่อน" ..เวลาทำงานสิ่งที่ได้นอกจากเงินเดือน เรายังได้เพื่อน ซึ่งตรงนี้ถ้าใครรู้จักมองโอกาส มันจะเห็นอะไรมากมาย ..ภาษาธุรกิจเขาเรียก Know-who (เส้นสาย ว่างั้นเถอะ) ...วันนี้ธุรกิจต่างๆ ถึงจุดเปลี่ยนแปลง คนที่รู้จักคน ย่อมได้เปรียบ  ...โอกาสคือต้องรู้ ว่าใครล่ะ เหมาะที่จะมาทำงานตรงนั้น


3. "รวยจากสินทรัพย์" ..อันนี้ผมพูดเยอะแล้ว ..คิดง่ายๆ สมัยก่อน 'ถนน' ตัดไปที่ไหน ที่ดินจะแพง โอกาสธุรกิจเกิดขึ้น ..แต่วันนี้ 'ถนนมันอยู่บนมือถือของทุกคน ถ้าใครยังรอ ถนนแบบเดิมแล้วสงสัยว่า ทำไมฉันมองไม่เห็นโอกาส หรือ ทำไมขายของแบบเดิมแล้วขายได้น้อยลง' ..มองให้ลึก แล้วรีบจับจองสินทรัพย์บนถนนสายใหม่อันนี้


สรุปแล้ว จะบอกว่า 'อย่าเกี่ยงเงินน้อย อย่าคอยวาสนา' ..การเริ่มต้นทำงานแม้เงินจะน้อย แต่มันจะสร้างความรู้และประสบการณ์ที่จะทำให้เราต่อยอดไปได้เงินเยอะในที่สุด แค่เราใส่ใจเรียนรู้และพัฒนาความเชี่ยวชาญของเรา


แต่ที่สำคัญกว่า คือ 'ทำงานปัจจุบันให้ดี ทำงานให้เกินลูกจ้าง เพราะทำเกินลูกจ้างมันจะได้ความรู้และความเชี่ยวชาญเป็นรางวัล ..แล้วเราจะค่อยๆ เห็นโอกาส นี่แหละการหาโอกาสที่เราแต่ละคนต้องค้นหา และสร้างด้วยตัวเอง จากจุดที่เรายืน'


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม




วันพุธที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

มันอยู่ที่เรามอง



ก้าวหน้าอย่างไร ไม่ให้ทำลายตัวเอง ?


ทุกครั้งที่เราก้าวหน้า อย่างในอดีตเราเอาน้ำมันมาใช้ ..วันนี้น้ำมันสร้างมลพิษแล้วก็กำลังทำให้โลกร้อน ...แต่ก็เลิกใช้ไม่ได้ง่ายๆ เพราะ น้ำมันครองโลกธุรกิจและการเมืองของทั้งโลก


เราสร้างเงินขึ้นมาเป็นตัวกลางแลกเปลี่ยน ..แต่วันนี้เงินขึ้นไปปกครองมนุษย์เรียบร้อย ทุกวันนี้เราอยู่ใต้บังคับบัญชาของเงิน ...วันนี้ที่ต้องฝืนทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ..ทนทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ..ก็เงินไม่ใช่หรือ ที่สั่งการมนุษย์


'จงทำงานนี้ งานที่คุณไม่อยากทำ ..ทำซะ!!' - ใช่!! 'เงิน' กับ 'น้ำมัน' ที่มนุษย์สร้างมาให้เป็นประโยชน์ต่อเรา ...วันนี้มันขึ้นปกครองโลกเราแล้ว 


วันนี้เรากำลังสร้าง AI 'ดราม่าล่าสุดในโลกออนไลน์ ..Elon Musk ออกมาปะทะ Mark Zuckerberg ว่า ยังรู้น้อยไปเกี่ยวกับ AI ..โอวว ก็ว่ากันไป'


ก็ไม่รู้ใครถูกนะ ..ว่าต่อไป AI จะขึ้นมาครองโลกหรือไม่ ...แต่เชื่อเถอะว่า ข้อคิดนี้ใช้ได้เสมอ 


'อะไรที่มีคุณอนันต์ สิ่งนั้นก็มีโทษมหันต์!!'


มันอยู่ที่การใช้ 


..นิวเคลียร์มีประโยชน์ แต่ถ้าใช้ในสงครามก็ทำลายทั้งโลกได้เลย ..ศัตรูระเบิด แต่โลกก็ระเบิดไปด้วยพร้อมกัน ..555


ข้อสังเกตที่ผมเห็นเกี่ยวกับ Technology ก็คือ มันทำให้มนุษย์สบายในส่วนของชีวิตความเป็นอยู่มากขึ้น ...คิดง่ายๆ วันนี้บ้านที่เราอยู่ มีแอร์ มีเครื่องอำนวยความสะดวก มากกว่า ฮ่องเต้สมัยก่อนอีก ..กายเราสบายขึ้น


แต่จิตเราทุกข์มากขึ้น ...ยุคนี้คนเราสะดวกสบายขึ้น แต่การฆ่าตัวตายสูงขึ้น 


แค่ย้อนไปร้อยปีก่อน ผมว่า คนยุคนั้นไม่รู้จักหรอก ว่าอะไรคือการฆ่าตัวตาย ..เพราะแค่เอาชีวิตให้รอดจากถูกคนอื่นฆ่า โรคระบาด ชีวิตรอดจากสงครามที่เกิดตลอดเวลา ก็แทบไม่มีเวลาคิดอะไรแล้ว


สรุปว่า ยิ่ง Technology พัฒนาไปแค่ไหน ..เรายิ่งต้องพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นตาม


1. การยอมรับในสิ่งที่เกิด

2. การกล้าลุกขึ้นมาแก้ไข ในการกระทำของเรา

3. การสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นจากงานที่เราทำ

4. การแบ่งปันโอกาส และการเห็นอกเห็นใจคนอื่น


"คนรวย ไม่ใช่รวยแค่เงิน ..ความคิดและจิตใจ เราต้องรวยด้วย"


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

โอกาสรวยอยู่ตรงหน้าเลย คุณเห็นไหม



เฉลย!! ..หลายคนถามว่า เวลา Live นี่ใช้ทีมงาน อะไรบ้าง ..นี่ไง มี 'ขาตั้งแบบถูกๆ หนึ่งอัน กับโทรศัพท์มือถือ ก็จบแล้วครับ'


ถ้าย้อนไป 10 ปีที่แล้ว การที่จะ 'ถ่ายทอดสดแบบนี้' น่าจะต้องมีทีมงานกว่าสิบ มีค่าใช้จ่ายเป็นแสนต่อครั้ง 


แค่นี้ เราก็รู้เลยว่า ธุรกิจต้องเปลี่ยนแน่ เพราะ Infrastructure มันเปลี่ยน


'สมัยก่อนเขาพูดกันว่า ถ้าถนนตัดไปที่ไหน เงินจะไปที่นั่น ...แต่วันนี้ถนนตัดไปถึงมือถือทุกคน ..คุณอยู่หลืบไหนในโลก ขอให้มีมือถือกับสัญญาณก็เท่ากับมีถนนตัดถึงตัวคุณเลย - คิดง่ายๆ แค่นี้ เห็นโอกาสธุรกิจจากสิ่งที่กำลังเปลี่ยนมากมาย'


ถ้ามองไม่เห็นต้องคุยกับเด็กรุ่นใหม่เยอะๆ ...แล้วเราจะรู้ว่า ทุกการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ ..คนส่วนใหญ่ที่ไม่เปิดใจจะเครียด แต่คนที่เปิดใจ แล้วศึกษาจะเห็นสุดยอดโอกาสเปลี่ยนชีวิต สร้างตัวอยู่ตรงหน้าเลย


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

เรื่องของ Gen ใครเห็น คนนั้นได้เปรียบ



'คนที่ทำธุรกิจได้รุ่งสุดในยุคนี้ ต้องผสมผสานคนต่าง Gen ให้ทำงานร่วมกันได้ ...ใช่!! ไม่ง่าย บริษัทไหนทำได้ก็เลยรุ่งพุ่งแรง'


ทุก Gen จะมอง Gen ที่ติดกับเรา ไม่เอาไหน ...ก็เหมือนที่พ่อแม่มองลูกนั่นแหละ ...'ไม่เห็นมันทำอะไรได้เรื่อง มัวแต่สนใจสิ่งที่ไม่เป็นเรื่อง ...แต่ไอ้เรื่องไม่เป็นเรื่อง บางครั้งก็เกิดเป็นธุรกิจใหม่ สร้างเศรษฐีใหม่มานักต่อนักแล้ว'


ดังนั้น สิ่งต้องเปลี่ยน มันคือ 'มุมมองที่มองระหว่างกัน หรือ การเข้าใจวิธีคิดของอีก Gen แล้วทำงานร่วมกันต่างหาก'


ยกตัวอย่าง ..คน Gen Y จะเข้าใจกระแสการเปลี่ยนแปลง ปรับตัวเข้าหาโอกาสธุรกิจใหม่ค่อนข้างเร็ว ...ต่างจาก Gen X ที่อาจจะปรับตัวช้า ค่อนข้างจะต่อต้านกระแสใหม่ๆ ทำให้หลายๆ องค์กรวันนี้ปรับตัวไม่ทัน


แต่ข้อเสีย Gen Y คือ ทำงานร่วมกับ Gen อื่นไม่เป็น ..เพราะ Gen Z ก็มอง Gen Y นี่เอ้าท์ ในขณะที่ Gen X ก็มอง Gen Y ว่า ปรับตัวไม่เป็น ทำงานร่วมกับผู้ใหญ่ไม่เป็น มีความสามารถแต่ขาดเงินขาดคนให้โอกาส (เพราะวันนี้คนกุมเงิน คือ Baby Boomer เป็น ผู้บริหารระดับสูง ..Gen X คุมอำนาจบริหาร ..Gen Y ที่ปรับตัวไม่ได้ จะขาดที่ยืนในองค์กร แม้มีฝีมือก็ตาม)


การเปิดใจเรียนรู้คนต่าง Gen จึงจะ ทำให้เรา เห็นจุดแข็ง จุดอ่อน ของตัวเรา แล้วปรับปรุง พัฒนาจุดที่เราทำให้ดีขึ้น


ใครสนใจเรื่อง Generation เพิ่มเติม ลองไปหาอ่านหนังสือ 'เพราะตรงสีถึงมีหมื่นล้าน' ได้ที่ร้าน SE-ED ทุกสาขา ...อ่านแล้วมันส์ ได้มุมใหม่ๆ และได้เข้าใจเรื่องสีด้วย - จัดไป !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

5 บททดสอบที่เปลี่ยนชีวิตคนมากที่สุด



5 บททดสอบที่เปลี่ยนชีวิตคนมากที่สุด


คืออะไร ?


มันมี 5 บททดสอบ ดังนี้


1. บททดสอบเรื่องเพื่อน ..'การเลือกเพื่อนที่คบ เปลี่ยนชีวิตเราได้' ...เหมือนการเลือกคบคน ก็ใช่เลยแหละ เราไม่สามารถคบทุกคน เพราะเรามีเวลาจำกัด


2. บททดสอบเรื่องหนังสือที่อ่าน ...'ความรู้และความเชื่อ ที่เราเลือกเอามาปรับใช้ เป็นตัวกำหนดอนาคตเราทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต'


3. บททดสอบในเรื่องงานที่เราทำ ...'งานให้เราได้ทดสอบความรู้ในโลกจริงๆ ว่ามันใช้ได้ไหม แต่เราทำงานทุกอย่างไม่ได้ เราจึงต้องเลือกงานที่พาเราเดินขึ้นบันได ให้ไปถึงจุดที่เราต้องการ'


4. บททดสอบความล้มเหลว ...'ความผิดพลาดคือ สิ่งที่มาเจียระไนเพชรในตัวเรา ให้เปล่งประกายขึ้น ...สิ่งที่เราเรียนรู้จากความล้มเหลว ผมเรียกมันว่า ประสบการณ์น้ำตาที่พาเราสูงขึ้น'


5. บททดสอบความสำเร็จ ...'ชัยชนะระหว่างทาง มันเป็นตัวบททดสอบ Ego และความสามารถในการกล้าที่จะทิ้งและเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่เพิ่มเติม'


ห้าบททดสอบนี้แหละที่แบ่งคน คัดคน และ ค้นหายอดคน


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ปัญหาคือความเกิน โอกาสคือความจำกัด



'คุณคิดยังไงกับ โฆษณา ?' ..ผมว่านี่คำถามระดับโลกนะ เพราะวันนี้ 2 บริษัทที่เติบโตเร็วสุด รวยสุดในโลก 2 บริษัท ทั้ง Google และ Facebook ก็คือ บริษัทที่หารายได้จากการโฆษณา

- เขาบอกว่าจะดีไหม ถ้าสามารถดูหนัง ดูรายการทั้งสาระ และ บันเทิง ได้ฟรีหมดเลย เพียงเราแค่สละเวลายอมดูโฆษณาสักนิด

- เออ!! แล้วมันต่างกับ ฟรีทีวี สมัยก่อนยุคที่ 3 5 7 9 ยังครองสื่อในอดีตอย่างไร ..ไม่เลย ไม่ต่างเลย เพียงแต่วันนี้เราแค่ ไม่ดูทีวี แต่เรามาดูมือถือแทน ...พอคนใช้เวลาในมือถือ มากกว่าที่อื่นๆ ..มือถือก็เลยเป็นสื่อที่ทรงพลังที่สุดในโลกยุคนี้ โดยมียักษ์ใหญ่เพียง 2 เจ้าหลักที่กินค่าโฆษณา ของทั้งโลกเลย

- ถ้าให้เลือกดูฟรีแล้ว ต้องดูโฆษณาที่ไม่เป็นประโยชน์ ...มันอาจจะดีกว่าที่เราเลือก ไม่ฟรี แต่ตัดโฆษณาออกไป ...หรือจริงๆ เราเลือกไม่ได้กันแน่ ?

- คนพูดว่า ยิ่งโลกพัฒนา เรายิ่งมีอิสระ แต่ผมว่า มันตรงข้าม ..ยิ่งโลกพัฒนา ผมว่า โลกยิ่งผูกขาด ..ธุรกิจใหญ่ก็ยิ่งผูกขาด และ คนรวยก็ยิ่งรวย

ผมใช้เวลาช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เรียนรู้โลกธุรกิจ ผ่านการเป็นผู้ประกอบการแล้วเจ๊ง ..พอมาเป็นลูกจ้างช่วงแรกๆ ผมก็ไม่รุ่ง ..นั่งเครียดอยู่นานเลยว่า เฮ้ย!! เราได้แค่นี้เหรอ ความรู้ท่วมหัว แต่เอาตัวไม่รอด

จนในที่สุด ผมเริ่มเขียน Blog เป็น Blogger รุ่นแรกๆ ก่อนเฟสบุ๊คจะมา นั่นแหละจุดเปลี่ยนชีวิตเลย

ตั้งแต่เขียนบทความเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ผมรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงเลยว่า เกมการแข่งขันทั้งในเชิงธุรกิจและการใช้ชีวิตมันกำลังพลิกประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่

- ผมเห็นพลังของการแชร์เลยว่า ถ้าเราตั้งโจทย์ชัดเจน เพื่อแชร์อะไรบางอย่างให้คนอื่น สุดท้ายสิ่งที่เราทำนี่แหละจะเปลี่ยนชีวิตเรา

ผมตั้งธงไว้ว่า ผมจะแชร์ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นและการทำธุรกิจหาเงิน ...ถ้าเป็นสมัยก่อน ช่องทางเดียวที่คนตัวเล็กๆ จะเริ่มได้ก็คงเป็นการเขียนหนังสือ ...ใช่!! ผมเริ่มที่นั่น

วันนี้การแชร์ง่ายกว่าเดิม ไม่ต้องเขียนแล้วหนังสือ ...เขียนแชร์ผ่าน Social ได้เลย ...ถ้าใครเขียนดี เดี๋ยวคนจะแชร์ต่อๆ กัน เกิดได้เลย ดังแบบไม่ต้องให้ใครปั้น 

ความยากในปัจจุบันคือ คนแชร์มากขึ้นเรื่อย วันนี้ผมว่า ถึงจุดที่ Supply มากกว่า Demand มันก็เลยกลายเป็น การแชร์มันเกินความต้องการ ..ไม่แปลกที่วันนี้การลุกขึ้นมาเขียน มาแชร์ มาทำ YouTube มันไม่ได้ดังง่ายๆ เหมือนแต่ก่อน - ใช่!! วันนี้ถ้าไม่รวมแก้ผ้าโชว์ มันยิ่งแทบจะเป็นไม่ได้เลยที่จะสร้างตัวเองให้ดัง

คุณลองดูซิ วันนี้สิ่งของ เครื่องใช้ อาหาร ทุกอย่างที่เราบริโภค มันถึงยุคของ Supply มากกว่า Demand 

ก็แปลว่า ทั้งโลก มันกำลังอยู่บนปัญหาใหม่ คือ 'ปัญหาของความเกิน ไม่ใช่ปัญหาของการขาดแคลน'

ลองคิดซิครับ ในโลกที่เกินๆ แบบนี้ เราจะทำอะไรดี ที่ช่วยแก้ปัญหาของความเกิน

ใครตอบได้ ผมฟันธงเลย คุณต้องรีบลงมือทำเลย เพราะ มันคือ ขุมทรัพย์

- มาคิดกันเล่นๆ ถ้าอะไรเกิน ...แปลว่า โอกาสคือ การจำกัดมัน 

น่าคิดไหม 'จำกัดอะไรแล้วรวย' ...ถ้าจำกัดอากาศ มันจะมีค่ามาก ..ถ้าจำกัดน้ำ มันจะมีราคาทันที ...จำกัดข้อมูลเหรอ ...ที่อยู่ไหม ...การเดินทาง หรือ ความสุขดีล่ะ

ทิ้งประเด็นให้คิดกันต่อ ...ผมเชื่อมั่นว่า โอกาสไม่ได้อยู่ที่การแข่งกันเพิ่ม Supply อีกแล้ว ...โอกาสไม่ได้อยู่ที่การเพิ่มจำนวนการผลิตอีกแล้ว ...แต่โอกาสมันไปอยู่ที่ การเพิ่มคุณภาพ / การจำกัด / การคัด / การเลือก

ขอต้อนรับเข้าสู่ โลกยุคใหม่ ...ค่อยๆ แกะโจทย์นี้ไปด้วยกัน

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

รู้ละ งานดีๆ ทำแบบนี้แค่นั้นเอง



ถ้าเลือกได้ คุณอยากทำงานที่ไหน ? - 'คำถามนี้ จะส่งผลต่อการออกแบบชีวิตการทำงานของเราในอนาคต ..ลองตอบดูซิครับ)

1. ทำที่เดิม (ในเมือง รถติดนี่แหละ มาพร้อมๆ กับ กลับพร้อมๆ กัน เสียเวลาบนถนนต่อวันประมาณ 3 ชั่วโมง ..ค่าน้ำมัน ..ค่าผ่อนรถ ..เพราะบ้านไกลต้องซื้อรถ ..อยากอยู่นะคอนโด แต่มีลูก มันไม่สะดวก)

2. ทำที่เดิม แต่ชั่วโมงการทำงานใหม่ (เราเลือกเวลาเข้าออกเอง Office เปิดตลอด 24 ชั่วโมง เราเลือกเวลาเอง)

3. ทำอยู่บ้านเลย (จริงๆ อันนี้โหดนะ เพราะไม่ได้วัดเวลาเสนอหน้า แต่วัดผลงานจากผลลัพธ์จริงๆ เช่น เป็น Sale ก็วัดจากยอดขายเลย ..เป็น Customer Service ก็วัดตาม Return Customer Rate / Problem Solving ..อะไรก็ก็ว่าไป ที่บริษัทจะวัดจริงๆ แล้วจ่ายเงินตามผลงาน) ...อันนี้คนมีลูกจะเริ่มมีข้อจำกัดในการทำงานที่บ้าน เพราะทำไม่ได้

4. ทำงานที่ไหนก็ได้ ..ร้านกาแฟ , Co-working Space ที่อยู่ติดริมทะเล ..อยู่ในป่า ..ริมน้ำตก ...อันนี้มีแล้วนะ ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทั่วโลก ..เช่น ทำงานเขียนโปรแกรมอยู่ Facebook แต่นั่งทำงานที่เกาะสมุย (ใช่!! เดี๋ยวนี้เวลาเราไปเที่ยวตากอากาศ เราอาจกระทบไหล่ของพวก Young Rich ที่ทำงานเชื่อมกับ Silicon Valley นะครับ)

ถ้าให้เลือกได้ คุณเลือกแบบไหนครับ ? (ช่วยตอบหน่อย 1 , 2 , 3 หรือ 4)

ทั้ง 4 ทางเลือกนี้ กำลังเกิดขึ้นจริง พร้อมๆ กัน นี่คือ การเปลี่ยนแปลง และโอกาสใหม่ที่จะเกิดขึ้น 

ลองไปคิดซิครับว่า เมื่อ 4 อย่างนี้เกิดขึ้น ใครจะรวยขึ้นบ้าง

อันนี้ 1 คนรวยเยอะแล้ว พวกสร้างอสังหาในเมือง รวยมานาน จนมันจะเอ้าท์แล้วนะ ผู้เล่นเดิมเขาเก่ง คนมาใหม่สู้ยาก

อันที่ 2 กับ 3 พวก Software Company พวกที่เชื่อมการทำงาน , อุปกรณ์ IT , internet อะไรก็ว่าไป

อันที่ 4 ก็พวก อสังหาทางเลือกจะเกิดขึ้นทั้วประเทศ ในรูปแบบที่แปลกใหม่ รองรับ แรงงานประเภทนี้

ลองตอบดูว่า อะไรจะเยอะ จนสร้างเศรษฐีใหม่ ..โอกาสเกิดจากมองไปข้างหน้า แล้วกล้าที่จะไปเริ่มตอบโจทย์ก่อนใคร

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

คาถารวยอยากนำเสนอ เลิกบ่น ชีวิตดีขึ้นทันที



'การแก้ปัญหา คือ โอกาสในการสร้างงาน และหาเงิน'


'ถ้าวันนี้เราไม่มีเงิน หรือ เงินลดลง' ก็แปลว่า เราไม่รู้จะแก้ปัญหาอะไร ...จริงเหรอ ?


ผมเห็นวันนี้ปัญหาเยอะแยะ ทุกคนบ่นนุ่น บ่นนี่ แต่ไม่มีใครลุกขึ้นมาทำเงินจากปัญหาเลย มัวแต่บ่นสนุกปาก


ปัญหาแท๊กซี่ ไม่รับผู้โดยสาร บ่นกันมาชาตินึง ..วันนี้ฝรั่งคิดแอปมาแก้ปัญหา รวยไปเป็นพันๆ ล้าน ..เราก็มาบ่นกันเรื่องต่อๆ ไป ...เราลืมไปว่า บ่น มันไม่ได้อะไร เสียเวลา เงินก็ไม่ได้


เลิกบ่น ตั้งเป็นโจทย์ แล้วลองแก้ปัญหาดู - นี่แหละ วิธีสร้างงานและสร้างเงิน ด้วยตัวเอง ในยุคนี้


ยุคนี้ เงินอยู่เต็มไปหมด ..โอกาสเต็มไปหมด ...แค่คนส่วนใหญ่ เลือกที่จะบ่น


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันพุธที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เปลี่ยนเงินไม่สม่ำเสมอ ให้เป็นเงินสม่ำเสมอ



ช่วงนี้เห็นข่าวบ่อยๆ ว่า ดาราดังพอแก่แล้วไม่มีเงิน ..หลายคนก็ตกใจว่า ดาราดัง ในอดีตก็ค่าตัวเยอะแยะ ...พูดง่ายๆ คือ ค่าตัวดารา นี่เยอะกว่ามนุษย์เงินเดือนตั้งเยอะ !!


ถ้าเทียบต่อชั่วโมง อาชีพดารา น่าจะได้ค่าจ้างสูงกว่าอาชีพหมอเสียอีก แต่ทำไมพอแก่ตัวไปแล้ว ไม่มีเงินเหลือ ?


จริงๆ ไม่แปลก แล้วยุคนี้ อาชีพอื่นๆ ที่ได้ค่าจ้างสูงๆ ก็ต้องระวังตัว 


เพราะ พอเราได้ค่าจ้างต่อชั่วโมงสูง เราจะประมาท คิดว่า เงินหาง่ายๆ ก็เลยใช้ไม่ระวัง


เราจะเห็นดาราดัง Hollywood , นักร้อง , นักมวย ที่ได้ค่าชกเป็นร้อยๆ ล้าน ทำไมล้มละลายได้ ...เราก็มักจะคิดว่า 'ถ้าเป็นเรา ไม่ทางเงินหมดหรอก' 


(แต่ไม่จริงเลย เพราะ ยิ่งได้เงินมาก เราก็ยิ่งใช้เงินมากตาม แล้วยิ่งอาชีพเหล่านี้ มันไม่ได้รุ่งตลอด มันมีช่วง Peak แค่ช่วงสั้นๆ ตามชื่อเสียง ที่มาเร็วไปเร็ว ดังนั้น คนที่ได้เงินมากๆ เร็วๆ ยิ่งต้องระวังตัว)


ที่เขียนบทความนี้ เพื่อจะเตือนสติ คนที่ได้เงินมา ให้รู้จักเปลี่ยนเงินก้อน ให้เป็นกระแสเงินสดบ้าง คือ เปลี่ยนจาก Active Income ให้เป็น Passive Income นั่นเอง


ลองเปิดใจศึกษาหุ้น ในมุมนักลงทุนระยะยาว คือ การเรียนวิธีการ 'วางเงินทำงาน' ..เรียนรู้ว่า เอาเงินวางตรงไหน แล้วเงินจะเติบโตได้ โดยทดสอบความเข้าใจตัวเองดังนี้


1. ให้ถามอย่างแรกเลยว่า เงินที่เข้ามาหาเรา คือ Active เอาแรงไปแลก (มาแล้วหมด) หรือ มันเป็น Passive (เงินมาจาก สินทรัพย์ที่เราไปลงทุน ให้ปันผลมา ..อันนี้มาเรื่อยๆ ไม่หมด แถมเติบโตด้วย)


2. ถ้าเรามี Passive น้อย แปลว่า ความรู้เรื่องการลงทุนเราไม่มี ..ให้รีบหาความรู้ด่วนครับ


3. พอเริ่มศึกษา ให้เริ่มลองใช้เงินจริง ทำตามไปด้วย แต่เริ่มจากน้อยๆ ..ผมแนะนำคือ 10% ของเงินเดือนแต่ละเดือน ...อย่าบอกว่าไม่เหลือ เพราะต้องกันส่วนนี้ออกมาก่อนใช้ 


4. พอเราเริ่มเข้าใจแล้ว ค่อยๆ เพิ่มจำนวนเงินลงทุนครับ 


แล้วสุดท้ายคุณจะ ไม่มีวันกลับไปจนอีก 


เรื่องนี้ผมว่า คือเรื่องที่เปลี่ยนประเทศ โดยเริ่มที่ตัวเราเองทุกคน ...หนึ่ง รู้ปัญหา ว่าเรามีปัญหาอะไร ..สอง ลงมือเปลี่ยน โดยการเพิ่มความรู้การลงทุน แล้วเปลี่ยนตัวเองครับ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

มองเงินแบบไหน ชีวิตไปแบบนั้น



'ถ้าได้เงินมา 1 ล้าน จะจัดการอย่างไร'


ผมว่า คนส่วนใหญ่ จะแบ่งออกเป็น 3 ทางเลือก (คน 2 กลุ่มจะทำให้เงินค่อยๆ หมดไป ..ในขณะที่มีคนอีกกลุ่มที่ทำให้เงินมันเพิ่มขึ้นได้) 


คนกลุ่มที่ 1 : จะรีบเอาเงินไปซื้อของที่อยากได้ แล้วเงินก็จะค่อยๆ หมดไป - 'เราเรียกคนกลุ่มนี้ว่า ผู้บริโภค : Consumer'


คนกลุ่มที่ 2 : จะรีบเอาเงินไปฝากธนาคาร แล้วทยอยใช้เงินอย่างประหยัด ..สุดท้ายเงินก็จะหมดไปอยู่ดี - 'เราเรียกคนกลุ่มนี้ว่า ผู้ประหยัดอดออม : Saver'


คนกลุ่มที่ 3 : จะเอาเงินไปลงทุน ในที่นี้คือเปลี่ยนเงินก้อนให้กลายเป็นเงินไหล หรือที่เรียกว่า Passive Income เช่น ซื้อกองทุน , ซื้อหุ้นปันผล ...กลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวในสังคมมนุษย์ ที่เงินของเขามีโอกาสที่เงินจะเพิ่มขึ้น - 'เราเรียกคนกลุ่มนี้ว่า นักลงทุน : Investor'


คุณล่ะ เป็นคนประเภทไหน ...คนทั้ง 3 คนนี้ ไม่ได้แบ่งกันที่ฐานะ ไม่แบ่งกันที่ความฉลาด ไม่ได้แบ่งกันที่โชค แต่แบ่งกันที่ 'มุมมองในการจัดการเงิน'


ถ้ามีมุมมองแบบคนประเภทที่ 3 ...ยังไงชีวิตก็ไม่มีวันจน 


ใช่!! คนเราเปลี่ยนได้ และเปลี่ยนได้วันที่อยากเปลี่ยน ...ก็วันนี้เลยไง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


ที่ต้องเปลี่ยนคือ ทัศนคติของเราเอง



'เคยสงสัยไหมครับว่า ในยุคนี้ ที่ความรู้มีอยู่ทั่วไป ..หาได้ง่าย ..เงินมีอยู่มากมาย ..นักลงทุนที่หาที่เอาเงินมาลงก็มีเยอะกว่าแต่ก่อนมาก ...แต่ทำไมเราถึงไม่ได้รับสิ่งที่กล่าวมาเลย 

เออ.. ทำไมความรู้เราจำกัดอยู่กับสิ่งที่ทำให้ชีวิตแย่ลง ..'เห็นคนอื่น หาเงินเก่งแต่เด็ก แต่ทำไมตัวเรา อายุเท่านี้แล้วยังหาเงินยากเย็น ..งานก็หนัก เงินก็น้อย ?'

เออ ..แล้วบางคนได้เงินนักลงทุนง่ายๆ เริ่มธุรกิจใช้เงินคนอื่น แต่ตัวเรา ทำไมไม่เห็นมีใครสนใจมาลงทุนในธุรกิจของฉันเลย ..หาเงินในโลกของฉันช่างยากจริงๆ ?

สิ่งที่อยากจะแชร์มีดังนี้

1. ความรู้มีมากมาย แต่ความสามารถในการเลือกความรู้ที่มีประโยชน์ มีไม่เท่ากัน ...ถ้าเรียนทุกอย่างในโลก เรียนทั้งชีวิตก็ไม่หมด - 'ความสามารถในการเลือกความรู้ จึงสำคัญ ...เลือกเรียนอะไรในเวลาที่มีจำกัด' - เลือกโฟกัสให้เป็น !!

2. เงินมีมากมาย เพียงแต่เงินไม่ได้วิ่งหาคนที่อยากได้มัน ...'เงินจะวิ่งเข้าหาคนที่ไม่ได้อยากได้มันเสมอ เช่น ธนาคารอยากให้คนที่เครดิตดีกู้แม้ว่าคนนั้นจะไม่ได้ต้องการเงิน ...เพราะเขามีความสามารถในการจัดการเงินนั่นเอง - เงินวิ่งเข้าหาคนที่จัดการเงินเป็น !!

คนทั่วไปบริหารเงินตัวเองยังไม่เป็นเลย รายจ่ายมากกว่ารายรับ เอาเงินอนาคตมาใช้ แค่นี้ก็จบละ ขืนไปทำธุรกิจก็ไม่รอดอยู่ดี

คนที่สามารถดึงดูดเงินได้ต้องมีลักษณะดังนี้

- มีความรู้จริงในเรื่องที่ทำ ในระดับที่คนอื่นเชื่อถือ
- ทำธุรกิจแบบบริหารเงินเป็น มีรายได้มากกว่ารายจ่าย อยู่ได้ไม่ต้องพึ่งคนอื่น เริ่มจากบริหารเงินส่วนตัวเลย (ยิ่งธุรกิจไม่ต้องการเงิน นักลงทุนยิ่งอยากเอาเงินมาให้)
- มีความสม่ำเสมอในสิ่งที่ทำ
- โชว์ความสามารถของจมูกที่ดมกลิ่นโอกาส และปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

ลองสำรวจตัวเองว่า สิ่งที่เราขาดอาจไม่ใช่ โชคชะตา แต่เราต้องพัฒนาความสามารถ และปรับทัศนคติในการมองโลกใหม่

'แค่เปลี่ยนวิธีคิด โอกาสชีวิตก็เปลี่ยนแล้ว'

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

มองดีๆ ข้อจำกัดวันนี้อาจเป็นโอกาสในชีวิตเรา



'หลายครั้งเราคิดว่า สิ่งที่เราทำอยู่ มันเสียเวลา มันไม่มีเหตุผล แต่เชื่อเถอะว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่มันคือฐานที่ทับถมให้เรายืนสูงขึ้น เพื่อวันนึงเราจะก้าวข้ามกำแพงแห่งความสำเร็จนั่นเอง'

มีอยู่ข้อแม้เดียว ที่ทำให้สิ่งที่เราทำอยู่มันไม่มีประโยชน์ ไร้ค่า และไม่สามารถต่อยอด ก็คือ เราหยุดเดิน (แค่นั้นเอง)

ใช่!! วันใดที่เราหยุดเดิน ประสบการณ์ในอดีตก็ไร้ความหมาย ..เส้นทางในอนาคตก็ไม่มี 

นี่เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเราต้องเดินต่อ ทำต่อ เรียนต่อ สู้ต่อ ...ก็เพราะชีวิตและอนาคตมันคือการเดินทางนั่นเอง

วันนี้ออนไลน์ มาแทนออฟไลน์ ..มือถือ มาแทนทีวี ..รถไฟฟ้ามาแทนรถเมล์ ..ของฟรีมาแทนของใช้ ..ของแพงมาแทนของโชว์ ..ประสบการณ์มีค่ามากกว่าความรู้ ..พื้นที่รูหนูมาแทนความใหญ่โต ..เด็กหลังห้องมาแทนเด็กหน้าห้อง ...สังคมทำหน้าที่สั่งสอนคนแทนครู ...พ่อแม่ทำหน้าที่ตามใจจนไปผิดทาง ...ผู้บริโภคผันตัวเป็นผู้ผลิต ..ลูกค้าผันตัวมาเป็นผู้ขาย ...ธุรกิจที่เคยตกดินอย่างไปรษณีย์กลับมาดีวันดีคืนเป็นดาวรุ่ง ...ความไว้ใจเอามาใช้ดีกว่าแบรนด์ ...สินทรัพย์มรดกเปลี่ยนเป็นปัญหา 

คนที่เคยแข็งแรง กลับมาอ่อนแอ ..คนที่เคยอ่อนแอ วันนี้ขึ้นมานำสังคม 

สมัยก่อนคนที่แข็งแรง ตัวใหญ่ กำลังมาก คนนั้นได้เป็นหัวหน้าเผ่า ได้เป็นผู้นำ 

...วันนี้ Nerds คนตัวเล็ก คนมีข้อจำกัดในอดีต อย่าง Bill Gates , Mark Zuckerberg , Jack Ma ..ก้าวขึ้นมาเขียนกฏ ของผู้นำโลกใหม่

'จุดอ่อน อาจเปลี่ยนเป็นโอกาส ...จุดแข็ง อาจเป็นข้อจำกัด' ....เปิดใจแล้วเรียนรู้ความเปลี่ยนแปลง แล้วก้าวเดิน ทั้งๆ ที่ทางเดินยังไม่ชัด นั่นแหละ บททดสอบความสำเร็จในยุคปัจจุบัน

คุณต้องกล้า ..ต้องเปิดใจ ..และเรียนรู้ ..ไม่หยุดเดิน 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

แยกให้ออกระหว่าง ความอยาก กับ ความจำเป็น



'ยิ่งโลกพัฒนาทันสมัย ก็ยิ่งยาก ที่จะแยกระหว่าง ความอยาก กับ ความจำเป็น'


ความอยาก มีราคาแพง / ความจำเป็น ราคาสมเหตุสมผล (ภาษาชาวบ้าน คือ คุ้ม !!)


ผมขอแบ่ง 'ความอยากและความจำเป็น' ออกเป็น 3 ช่วง เพื่อชี้ความเข้าใจในวัฏจักรของมัน ดังนี้


ช่วงที่ 1 - "เวลาสร้างตัว" ..ควรซื้อแต่ของจำเป็น แล้วดึงเวลาการซื้อความอยากออกไปให้นานที่สุด (เหมือนสมัยก่อน การจะกินข้าวนอกบ้านสักมื้อที่ร้าน KFC นี่ถือเป็น Luxury หรูหราในยุคผมเลยนะ ...จะซื้อของ ซื้อเสื้อผ้าสักชิ้น นี่นานๆ ได้สักที ...แต่ยุคนี้ใช้กันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะบัตรเครดิตรูดง่าย ยืมเงินอนาคตมาใช้ ...คนยุคนี้ถึงติดลบไง) 


'หรู เทสดี แต่เป็นหนี้หัวบาน'


ช่วงที่ 2 - "พอเริ่มตั้งตัวได้" ..ก็เริ่มให้รางวัลตัวเอง ให้ซื้อสิ่งที่อยากได้บ้าง (แต่ปัญหาของคนส่วนใหญ่ในยุคนี้คือ มาไม่ถึงจุดนี้ เพราะ หลงระเริงในการซื้อสิ่งที่อยากในช่วงแรก จนสร้างหนี้ แล้วก็วนเวียนทำงานแค่ใช้หนี้ก็ยังไม่พอเลย ..จริงๆ ปัญหาหลักคือ การไม่แยกให้ออกระหว่าง ความอยาก และ ความจำเป็น)


ช่วงที่ 3 - "พอสบายแล้ว" ...ถึงจุดนั้น เราจะรู้เองว่า ไอ้สิ่งที่อยาก ที่เราซื้อๆ มา มันรก มันก็แค่นั้น ...หลายคนมาไม่ถึงจุดนี้ จุดที่ซื้ออะไรก็ได้ แต่มันไม่อยากซื้อไง ...อยากทำมากกว่า อยากสร้าง อยากเปลี่ยนแปลง (จุดนี้แค่จะบอกว่า ความอยาก จุดนึง มันจะเป็นสิ่งที่เราไม่ได้อยากได้ ...เหมือนที่พ่อแม่หลายๆ คนพยายามสอนลูกนั่นแหละ)


ลองสำรวจตัวเราว่า ของที่เราซื้อๆ มาเต็มบ้าน ..'ความอยาก' หรือ 'ความจำเป็น' ...ยิ่งเราชะลอซื้อ 'ความอยาก' ได้เท่าไหร่ โอกาสชีวิตดี ก็มีมากขึ้นเท่านั้น


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

เรียนรู้ 1 อย่าง ได้โอกาสอีกหลายๆอย่าง ดีไหม



ไปพูดให้รุ่นน้องนักศึกษาฟัง ..เขาบ่นว่า 'ไม่มีโอกาสให้คนจน'


ผมถามว่า 'ใครคือคนจน ...ถ้าคนจน หมายถึง คนที่ไม่มีเงิน จะบอกว่า คนรวยส่วนใหญ่ยุคนี้สร้างตัวเอง ก็เคยไม่มีเงินมาก่อน 


..ถ้าคนจน หมายถึง คนที่ไม่ได้รับโอกาส จะบอกว่า เราทุกคนก็เคยเจอจุดที่ไม่ได้รับโอกาส ..แต่เราก็ฝ่าฝันสร้างโอกาสกันมาด้วยตัวของเราเอง


..เราทุกคนเรียนหนังสือ จบปริญญา ก็คือเราสร้างโอกาสให้ความรู้เปิดโอกาสในการมีอาชีพ


..เราลองเริ่มทำธุรกิจ ก็คือ เราเปิดโอกาสให้เราเพิ่มอีกช่องทางหาเงินให้ชีวิต


..เราลองเรียนรู้การลงทุน ก็คือ เราเปิดโอกาสให้เงินเรา มันเพิ่มพูน ช่วยเราทำงาน


จริงๆ แล้ว คนที่ไม่มีโอกาส ..ไม่ได้เกี่ยวว่าคนจน หรือ คนรวย แต่คือ คนที่เอาแต่บ่นว่าไม่มีโอกาส แล้วไม่ยอมลงมือทำอะไรเลย


แค่เราเรียนรู้อะไรใหม่ 1 อย่าง ก็เท่ากับเรา สร้างโอกาสให้ชีวิตอีกหลายๆ อย่าง


'ถ้าไม่หยุดเรียนรู้ ชีวิตก็ไม่เคยหมดโอกาส' ...แค่น้องคุยกับพี่วันนี้ มันก็คือโอกาสเล็กๆ ที่กระตุ้นให้ต้องเรียนรู้ บังคับตัวเองให้ทำอะไรใหม่ๆ จริงไหม


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ