แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

3 สินทรัพย์ ที่เราต้องรู้ ในการต่อสู้เงินเฟ้อของอเมริกา

 3 สินทรัพย์ ที่เราต้องรู้ในการ ต่อสู้เงินเฟ้อของอเมริกา 


1. ‘ฐานล่าง คือ อสังหา’ …อันนี้เป็นฐานของภูเขาน้ำแข็งของเงินเฟ้อ …พูดง่ายๆ ถ้าอสังหาขึ้น นี่เอาลงยากสุด เพราะ มันคือ ฐานความมั่งคั่งของคนส่วนใหญ่ …วันนี้จีน ถึงคอหอย …อเมริกา ก็ถึงลิ้นปี่ละ …ไทยเรายังเบาๆ เราก็เลย พอเอาตัวรอดได้นะผมว่า


2. ‘ตรงกลางภูเขาน้ำแข็ง ตลาดหุ้น’ …อเมริกา ก็ถึง คอหอยละ มันดีดจากช่วงโควิดจนเฟ้อไปเยอะ โดยเฉพาะ หุ้นเทคโนโลยี …ตอนนี้ก็ปรับฐานลงมาพอสมควร แต่ยังไม่สุด …จะสุดเมื่อ ดอกเบี้ยขึ้นสูงสุดนี่แหละ จุดที่ต้องกลับไปซื้อแบบจัดหนัก …ส่วนจีน เทคลงมาแบบ นรกแตกเรียบร้อย!! …ก็เริ่มทยอยซื้อกลับได้ละ …ส่วนตลาดหุ้นไทย นี่ตอนเขาขึ้น เราก็ไม่ค่อยขึ้น …วันนี้เขาลง เราก็ลงน้อยกว่า …เอาเป็นว่า อีกนิดนึง ขอตลาดปรับลงหนักอีกสักรอบ น่าจะเป็นจุดรับใหญ่ คราวนี้ถือยาวได้เลย


3. ‘ยอดของภูเขาน้ำแข็ง ตลาดคริปโต’ …อันนี้ตัวทำเงินเฟ้อในระดับมหาชนเลย ..ทั้งพวกนาฬิกาหรู รถ Supercar ก็เฟ้อหลักมาจากเศรษฐีคริปโตนี่เลย …วันนี้ย่อมาหนัก หลายคนคิดว่าจบแล้ว …เอาตรงๆ ผมว่า แค่ดีด ให้ออกของเฮือกสุดท้าย แล้วค่อยลงจบรอบ แบบถอนรากถอนโคน …หลังจากนั้นถึงจะเป็นจุดเก็บของครั้งใหญ่ในตลาดคริปโต 


ก็ลองดูกันไปครับ …สิ่งที่สำคัญสุดในการสู้เงินเฟ้อและ การขึ้นดอกเบี้ยของ FED มันยังไม่จบ …มันจะจบจริงๆ เราต้องเห็น จุดสูงสุดของการขึ้นดอกเบี้ยก่อน …อย่างน้อยๆ ก็ต้องกลางปี 2023 นั่นแหละ


ดังนั้น ’เงินสด’ สำคัญครับ …ผมว่า เวลานี้ อะไรขึ้น อาจต้องขายบางส่วนเพื่อสะสมเงินสด เอาไว้ช้อนซื้อในจุดที่ ถูกสุดๆ ยังไงก็ต้องมา แต่ต้องแน่ใจว่า เมื่อวันนั้นมาถึง


หนึ่ง ‘เราต้องมีเงินสด’ 


สอง ‘เราต้องกล้าซื้อ’ 


…ใครจะเป็นเศรษฐี เดี๋ยวเจอกันครับ !! …รอบนี้พี่ไม่รีบ !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

หรือเราอาจจะไม่ได้โง่ อย่างที่คนอื่นเขาว่ากัน ก็ได้เปล่า ?

 ‘ถ้าคนอื่นว่าคุณโง่ ..บางทีเราอาจจะเข้าใกล้ความอัจฉริยะก็ได้’ 


ในโลกนี้คนส่วนใหญ่อยู่ตรงกลางๆ …ยกตัวอย่าง ค่าเฉลี่ยความสูงของผู้ชายทั้งโลก ก็ประมาณ 170 ซม. มีน้อยคนที่ เตี้ยสุดๆ ต่ำกว่า 150 และ ก็น้อยคนที่สูงสุดๆ สูงกว่า 2 เมตร


หรือ ความรวยของคนเฉลี่ย …คนรวยกลางๆ หรือ คนชั้นกลาง เยอะที่สุด …ที่น้อย คือ คนจนสุดๆ กับ คนรวยสุดๆ พวก Billionaire จะมีน้อยมาก


หรือ ความฉลาด …คนส่วนใหญ่ก็ฉลาด ไอคิวพอๆ กัน …จะมีน้อยคนมากที่ ฉลาดแบบอัจฉริยะ หรือ มีน้อยที่โง่แบบสุดๆ 


โอเค!! ที่พูดมา ผมว่า เราสามารถเอามาปรับใช้กับ ‘พอร์ตการลงทุนได้ เช่นกัน’ 


- ถ้าเราลงทุนตามตำรา ที่สอนกันมาเหมือนๆ ..พอร์ตคนส่วนใหญ่ก็จะพอๆ กัน 


- คำถาม ที่เกิดขึ้นคือ แล้ว ‘พวกที่พอร์ต สุดโต่ง’ เขาทำยังไงกัน ?


- ครับ !! …สุดโต่ง มันคือ คนส่วนน้อย ที่ถ้าพอร์ตมันไม่พังไปเลย มันก็คือ พอร์ตพวกอัจฉริยะ รวยชิบหาย นั่นแหละ


- ก็แปลว่า วิธีการลงทุน มันต้องลงแบบที่คนส่วนใหญ่เขาไม่ทำกัน เช่น ซื้อหุ้นในเวลาที่ตลาดเละสุด , ซื้อหุ้นที่คนส่วนใหญ่เขาไม่ซื้อกัน 


- สรุป คือ ‘ซื้อในเวลาที่คนส่วนใหญ่ไม่ซื้อ และ ก็ซื้อหุ้นประเภทที่คนส่วนใหญ่เขาไม่ซื้อกัน’ 


- ‘โคตรเสี่ยง ?’ …รึเปล่า ?


- ถามต่อ ว่า เราสามารถ ‘โคตรเสี่ยง’ ในขณะที่เรายังคุมความเสี่ยง ‘จำกัดความเสี่ยง’ ได้หรือ ไม่ ?


…ที่เล่ามา คือ ที่มาในวิธีคิด การลงทุนที่ผมใช้หลังปี 2020 …ช่วงนั้น เกิดวิกฤตโควิด หุ้นทั้งโลกลงแบบบ้าคลั่ง (เหมือนสิ้นโลก) 


- ณ จุดนั้น ผมจะหา หุ้นที่คนส่วนใหญ่ไม่ซื้อ …และ หาจังหวะ ที่คนส่วนใหญ่กลัว ในการเข้าซื้อ 


จากนั้น ก็บริหารความเสี่ยง ให้เรายังมีสภาพคล่อง พอที่จะสามารถ ทนถือหุ้นเหล่านี้ ให้ได้นานที่สุด 


- ผลลัพธ์ ? …ยังรอการพิสูจน์ 


- บ้า กับ โคตรเก่ง , โง่ กับ อัจฉริยะ , ยาจก กับ มหาเศรษฐี …ผมว่า มันคือ Black Swan นั่นแหละ 


…เหตุการ หรือ แนวคิด ที่เกิดขึ้นได้ยาก หรือ แทบจะเป็นไม่ได้ ไม่น่าเกิด แต่พอเกิดขึ้น มันคือ Black Swan ที่สร้าง อัจฉริยะ และ มหาเศรษฐี คนต่อไป


- ‘คนต่อไป ที่ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ นั่นแหละ’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

10 เรื่องสยองของหุ้นที่คุณต้องเจอ (ทุกคนต้องเจอ)

 10 เรื่องสยองของหุ้น ที่คุณต้องเจอ (ทุกคนต้องเจอ)


1. ‘เวลาถือเงินสด หุ้นขึ้นเอา ขึ้นเอา’ 


2. ‘เวลาเราถือหุ้นเต็มพอร์ต ตลาดมันจะปรับฐานลงทุกที’ 


3. ‘หุ้นที่เราซื้อเยอะ ขึ้นน้อย’


4. ‘หุ้นที่ซื้อน้อย ดันขึ้นเยอะ’ 


5. ‘พอตัดสินใจ Stop Loss หุ้นดันขึ้นแสกหน้าไปเลย’ …จะเรียกว่า จุดที่เรา Stop Loss มันทำไมเป็นจุดกลับตัวของหุ้นฟระ !!! 


6. ‘ถ้าคิดว่าหุ้นตัวนี้ ขอจัดเต็ม เปลี่ยนชีวิตแน่ จะซวยหนักทุกที’ 


7. ‘หุ้นที่เจ็บหนักสุด คือ หุ้นวงใน Inside โคตรๆ’ …ยิ่งวงในแค่ไหนเจ็บเท่านั้น …เป็นที่มาของเพลง ‘ยิ่งใกล้ ยิ่งเจ็บ’ …เชรดดด !!


8. ‘หุ้นขึ้นเยอะๆ ดันขายเร็ว ทนรวยไม่ได้’ 


9. ‘เวลาขาดทุน ทนได้ทนดี พอมันขึ้นดันรีบขาย โคตรเศร้า’ …เราก็จะบอกเพื่อนว่า ‘กรูจะถือหุ้นได้เวลาขาดทุน แต่พอกำไรกรูจะรีบขายทันที เพราะกรู กลัวรวย !!’ 


10. ‘หุ้นที่ขึ้นดีที่สุด คือ หุ้นที่เราไม่มี’ 


…เฮ้ย!! ทำไมตลาดหุ้น มันเล่นงานทุกคนได้อย่างถ้วนหน้า เท่าเทียม และ เล่นเราซะหนัก อย่างสะใจ


ตอบง่ายๆ …ก็เพราะ ตลาดหุ้นไม่ได้ออกแบบมาให้คนส่วนใหญ่รวย …มันออกแบบมาให้คนส่วนน้อยรวยไง 


ทางแก้ ก็คือ ‘ทุกครั้งที่จะซื้อหุ้น ลองถามตัวเองว่า ถ้าเป็นคนส่วนใหญ่เขาจะทำแบบนี้ไหม ? …ถ้าคำตอบคือใช่ …อย่าทำ หรือ ทำมันตรงข้ามซะเลย !!’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

อิสรภาพ กับ ราคาที่ต้องจ่าย

‘อิสรภาพ กับ ราคาที่ต้องจ่าย’ 


คนแต่ละรุ่นมอง Wealth หรือ ความมั่งคั่ง ต่างกัน ….และนี่คือ สิ่งที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจ ..เพราะ เมื่อความต้องการของตลาดเปลี่ยน ธุรกิจจะเปลี่ยนตาม 


- คนรุ่นก่อน มองวัตถุ สิ่งของ เป็นความมั่งคั่ง …คนรุ่นก่อนก็จะสะสม สิ่งของต่างๆ …ยิ่งรวยก็ยิ่งต้องครอบครองสิ่งของมากขึ้น แต่คนรุ่นใหม่ มองตรงข้าม …เขาให้ค่ากับ ‘ความอิสระ’ …ดังนั้น คนที่มีสิ่งของมาก บ้านใหญ่ มีของแพงๆ ก็ดีนะ แต่ขาดอิสระ เพราะ ต้องห่วงตลอด ต้องคอยดูแลของมีค่าที่ตัวเองครอบครอง 


- ‘งั้นต้องหาของมีค่า ที่ครอบครองแล้ว ยังให้ความอิสระกับเรา’ …ถ้ามองย้อนไป คนมีที่ดินเยอะก็คือรวย แต่ที่ดิน ต้องคอยดูแล จ่ายภาษี และ ขายยาก …ยุคผม ‘หุ้น’ เริ่มเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่ให้อิสระมากขึ้น 


- ‘ของเล่นล่ะ’ …คนรุ่นใหม่ไม่สะสมของเล่น พูดง่ายๆ ถ้าเบื่อ ก็ขายต่อ ไม่เก็บ …ด้วยเหตุนี้เขาจึงกล้าซื้อของเล่นที่แพงได้ …เพราะ ของดีที่แพง ของท๊อป เวลาขายราคาไม่ตก …งั้นซื้อรุ่นท๊อปเลย …พอเบื่อก็ขายทิ้ง …เราเลยเริ่มเห็นตลาดของแพง บูม …เขาไม่ได้ซื้อมาสะสมเหมือนคนรุ่นเก่า แต่เขาซื้อมาเอาประสบการณ์แล้วก็ผ่านไป 


ผมว่า วิธีคิดแบบนี้ เลยทำให้ ‘การทำงานเปลี่ยน’ , ‘การใช้ชีวิตเปลี่ยน’ และ ‘การลงทุนก็เปลี่ยน’ 


- ทำงานไม่ได้อยากได้ตำแหน่ง แต่จะเอาเงิน …เพราะ ‘เงิน’ จะทำให้เขามีอิสระ แล้วไปต่อยอดได้


- การใช้ชีวิต ให้ความสำคัญกับปัจจุบันและความสุขมากขึ้น …ต่างจากคนสมัยก่อนที่ทำทุกอย่างเพื่ออนาคต เก็บให้ลูกหลาน สร้างตระกูล สะสมอำนาจ สร้างความยิ่งใหญ่ 


- การลงทุน หันมาลงทุนในสิ่งที่ทำให้เขามีอิสระ …ไม่ลงทุนที่สร้างภาระและการยึดติด 


ข้อเสียล่ะ …อิสระ ต้องแลก ด้วยความมั่นคง …ยิ่งอิสระ ความมั่นคงก็ลดลงด้วย


แก้ได้ด้วย …‘ความมั่งคั่ง’ …เพราะ เงิน ซื้อเวลาเราคืนได้ , ซื้อความสะดวกสบายได้ 


แปลว่า คนรุ่นใหม่ ต้องให้ความสำคัญกับ การลงทุน มากขึ้น …ยิ่งต้องการความอิสระ …พอร์ตการลงทุนยิ่งต้องมั่นคงและ มั่งคั่ง


สรุป ‘กรูต้องรวย’ !!!!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม 

5 ข้อควรรู้ ในการอ่านเจ้า(ของ)หุ้น

 5 ข้อ ควรรู้ในการอ่านเจ้า(ของ)หุ้น


ถ้าลงทุนสั้นก็อ่านกราฟ กับพื้นฐานก็พอแล้ว …แต่ถ้าลงทุนยาวหวัง ‘หลายเด้ง’ มันต้องอ่านเจ้าของและธุรกิจให้เข้าใจ


1. ‘เจ้าของคือใคร’ ..หลักๆ คือ ดูว่า ผู้มีส่วนได้เสียหลักๆ ของหุ้นคือใคร กลุ่มไหน …ถ้าแยกกลุ่มใหญ่ มันมี 2 แบบ คือ หนึ่ง หุ้นมีพื้นฐานดี อันนี้เจ้าของถือยาวแน่ กับ หุ้นพื้นฐานไม่ดี อันนี้จะไล่ราคาและทุบเป็นรอบๆ 


2. ‘ธุรกิจจริงๆ โตได้แค่ไหน’ …อันนี้เพื่อประเมินว่า หุ้นจะวิ่งได้สูงสุด ประมาณเท่าไหร่ …เราใช้การประเมิน Market Cap. …ซึ่งคำนวณจาก กำไร คูณ P/E ที่เราประเมิน 


3. ‘ทิศทางของตลาด’ ..เราดู SET ว่า ภาพรวมในเวลานี้ ขาขึ้น หรือ ขาลง …ถ้าขาขึ้น ก็ไปได้ไกล แต่ถ้าขาลง ก็เป็นแบบ ตีหัวเข้าบ้าน ทำกำไรสั้นๆ ไม่ไปไหน


4. ‘โอกาสของการเพิ่มทุน’ …ถ้าเจ้าของถือเยอะๆ ก็มีโอกาสเพิ่มทุนน้อย …แต่ถ้าเจ้าของถือน้อย ก็มีโอกาสเพิ่มทุนเยอะ …เวลานี้การออก Warrant นิยมมากกว่า เพราะเจ้าของไม่ต้องใส่เงินทันที …พูดง่ายๆ มีเวลาให้บู๊กัน ว่างั้นเถอะ


5. ‘การวางพอร์ตเพื่อรับความเสี่ยงของตัวเรา’ …ข้อนี้สำคัญสุด …จุดที่เราจะแพ้ ต้องมอบตัว มักเกิดจากเราบริหารสภาพคล่องไม่ดี …จัดหนักไป ไม่มีเงินสำรอง 


สรุป เวลาซื้อหุ้น แล้วโดนทุบ ก็แปลว่า เราเข้าใจจังหวะที่ไม่ดี ..ต้องประเมินขาลง แล้วบริหารเงินเราดีๆ …แต่ถ้าเข้าแล้วขึ้นเลย ก็ต้องระวังว่า เราไม่ได้เข้าต้นรอบ ต้องระวังการคืนกำไร จนบางทีอาจเข้าเนื้อ ต่ำกว่าทุน เวลาเจ้าทุบระหว่างทาง


ใช่!! มันไม่มีจุดที่เข้าแล้วสบาย ชิวๆ …เราจึงต้อง เข้าใจ และ ประเมินความเสี่ยงตลอดเวลา


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

เมื่อเสี่ยงนานพอ มันเปลี่ยนเป็นความมั่นคงเฉยเลยอ่ะ

‘ตลาดหุ้น คือ ความเชื่อ และ การออกแบบชีวิต’ 


ผมคุยกับเพื่อนว่า ‘เอาตรงๆ นะ ยุคนี้ชีวิตเราเปลี่ยนไป เดินทางมากขึ้น ..เราอาจไม่ได้อยากได้บ้านหลังใหญ่ๆ พื้นที่เยอะๆ ..ไม่ใช่เพราะเราไม่มีเงินซื้อ แต่เราไม่อยากมีภาระในการดูแล …สมมุติเราอยากไปอยู่ต่างประเทศสัก 1 ปี เราจะฝากทรัพย์สินให้ใครดูแล

(ประเด็นนี้คนรุ่นเก่า อาจจะ งง ว่า …แล้วทำไมต้องเดินทางไปไหน ? …ผมเจอรุ่นน้อง ตอกหน้า หงาย เขาบอกว่า …ผมอยากรวยนะ แต่ไม่ได้อยากรวยแบบคนรุ่นก่อน ที่สะสมแต่สมบัติ แล้วไปไหนไม่ได้ เหมือน ผีเฝ้าสมบัติ ไม่มีอิสระ ‘โคตรแรงอ่ะ!!’ …ความรวย ของคนรุ่นใหม่ เขาให้ค่า กับ ‘ความอิสระ = Wealth’ ไม่ใช่ของที่สะสมเหมือนรุ่นเรา🤔) 


เดี๋ยวนี้เราเปลี่ยนวิธีทำงาน ชีวิตก็เปลี่ยนตาม …ถ้าถามว่า ผมอยากสะสมอะไร ต้องบอกว่า อยากสะสมหุ้น ..เพราะหุ้น เป็นสินทรัพย์ที่เราแทบไม่ต้องดูแล แต่หุ้นมันดูแลเราแทน ..เก็บรักษาง่าย …อยู่ที่ไหนก็ได้ …จะขายเมื่อไหร่ก็ได้ เปลี่ยนเป็นเงินได้ทันที มีสภาพคล่องมากกว่าบ้านและที่ดิน 


ทุกวันนี้เงินแทบทั้งหมดของผม อยู่ในหุ้น …ถ้าถามว่า เงินสดมีแค่ไหน ก็มีแค่สำรอง และ เอาไว้ใช้นิดหน่อย รวมๆ ไม่ถึง 10% ของ Wealth ทั้งหมด’ (10% นี่เผื่อไว้แล้วว่า ถ้าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ แค่ 10% มาช้อนซื้อเวลานั้น ก็ Cover ทั้งพอร์ตอย่างสบาย) 


…มีคนถาม พี่ไม่กลัวเหรอ ราคาหุ้นผันผวนรุนแรง ?


‘เอาตรงๆ อยู่ที่เรา มองหุ้นเป็นอะไร …ถ้ามองแบบคนส่วนใหญ่ เขามองเป็นความเสี่ยง ก็ต้องเฝ้าต้องดูตลอดเวลา ….แต่ผมมองตรงข้าม ผมมองหุ้น เป็นเครื่องผลิตเงิน 


…ถ้าซื้อแล้ว ส่วนใหญ่แทบไม่ค่อยขาย …ถ้าโชคดี ตัวไหนไปหลายๆ เด้ง เราก็รวย …แต่ถ้าไม่ไป ก็ถือกินปันผลไป …หลักๆ มี 2 อย่าง คือ หนึ่ง ต้องซื้อของดี และ สอง ต้องซื้อในจุดที่ได้เปรียบ (ต้นรอบ) ….นอกนั้น ให้หุ้นทำงานแทนเรา 


…ผมทำแบบนี้มา 15 ปี แล้ว ตั้งแต่เริ่มกลับมาทำงานใหม่ๆ จนวันนี้ รู้สึกว่า เราคิดถูก ที่เราเชื่อมั่นในวิธีคิดนี้แล้ว สะสมมาเรื่อยๆ ‘ออมในหุ้น’ …วันนี้หุ้นที่ถือก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ ปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 


ช่วงทำแรกๆ ก็ รู้สึกว่า ‘เสี่ยงนะ’ แต่วันนี้ ผมรู้เลยว่า ถ้าเราอดทนทำได้นานพอ มันจะเลยคำว่าเสี่ยง กลายเป็น รู้สึกมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ แทน (เมื่อเสี่ยงนานพอ มันจะเปลี่ยนเป็นความมั่นคงแทน😁)


ใช่!! ให้หุ้นเลี้ยงเรา 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

10 ข้อ คิดแบบภาววิทย์ ติดหุ้นยังไงให้รวย

 10 ข้อ ‘คิดแบบภาววิทย์’ ติดหุ้นยังไงให้รวย 


ในการลงทุนระยะยาว เงินส่วนใหญ่เราถือหุ้นตลอดเวลา …บางคนอาจจะเรียกว่า ‘แบบนี้มันคือ ติดหุ้น หรือเปล่าพี่ ?’ …ก็แล้วแต่จะมอง 


หลักๆ ผมคิดประมาณนี้ 


1. ‘เสี่ยงแบบคุมความเสี่ยง’ …แปลว่า ไม่มี All in …หลักๆ ผมต้องมี 10 หุ้น ก็แปลว่า ถ้าซวย แต่ละตัวก็เสีย 10% ของพอร์ต แค่นั้น (เสียแต่ไม่เจ๊ง เพราะเราเข้าใจความเสี่ยง) 


2. ‘ถ้าจะเสี่ยง ต้องกำไร 3 เด้ง’ …จะซื้อหุ้นตัวไหน ต้องมองก่อนว่า เรามีโอกาสได้กำไร 3 เด้งในหุ้นตัวนี้ ณ จุดที่เราซื้อหรือไม่ …ถ้าไม่ได้ ไม่ซื้อ 


3. ‘เราจะไม่ Timing ตลาด’ …คน Timing ตลาด คือ จะมองหาจุดต่ำสุด สูงสุดตลอดเวลา ซึ่งเอาตรงๆ เหนื่อย …ผมแค่มีหลักว่า ถ้าเสียผมยอมเสีย 1 ส่วน แต่ถ้าชนะ ผมต้องได้ 3 ส่วนขึ้นไป …พอเลือกแล้ว ก็ลุยไปกับมัน ไม่ค่อยเปลี่ยน


4. ‘หุ้นเล็ก น่าลุ้นกว่าหุ้นใหญ่’ …เอาตรงๆ ถ้าอยากได้ 3 เด้ง มันหาในหุ้นเล็กง่ายกว่าหุ้นใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจขาลงอย่างปัจจุบัน


5. ‘อ่านเกมเจ้า ง่ายกว่าอ่านเกมตลาด’ …พอเลือกหุ้นเล็ก คือ การอ่านเกมเจ้าของ กับ เจ้ามือ …มันง่ายกว่าอ่านภาพรวมตลาด อ่านเศรษฐกิจ อันนั้นยากกว่าเยอะ …การอ่านเศรษฐกิจ อ่านตลาด ให้เป็นหน้าที่ของนักเศรษฐศาสตร์ กับ นักวิเคราะห์เขาเถอะ 


6. ‘ติดตาม สภาพคล่อง ไม่ต้องไปสนใจราคามากนัก’ …ราคานี่เดาโคตรยาก แต่สภาพคล่องเดาง่ายกว่าเยอะ …ถ้า Volume มาก ก็คือ ปลายรอบ …Volume น้อย ก็คือต้นรอบ ตรงๆ ชัดๆ 


7. ‘อย่าอยู่บนความหวัง ให้อยู่บนความจริง’ …หุ้นดี ถ้ามันไม่ขึ้น ก็แปลว่ามันไม่ขึ้น …หุ้นจะขึ้น ก็คือ มันก็ขึ้น มันมีเวลาของมัน …เราแค่ผู้เล่น เราไม่ใช่คนกำหนดตลาด ต้องเข้าใจเรื่องนี้ให้ดี


8. ‘ต้นทุนที่ได้เปรียบ สำคัญกว่าเหตุผลอื่น’ …นักลงทุนส่วนใหญ่พยายามหาเหตุผลให้ตัวเองได้ซื้อของแพง ต้นทุนเสียเปรียบ (ฉลาดแต่เจ๊ง) …เข้าที่ต้นทุนได้เปรียบ เหตุผลมาทีหลัง เชื่อผมซิ (ผมยอมโง่ แต่กำไรดีกว่า) 


9. ‘ถ้าเจอทางที่ใช่ ไปให้สุด’ …นานๆ ทีเราจะเจอวิธีการที่เราทำแล้วได้เปรียบ ‘ทำต่อ’ อย่าหยุด …ทำไปจนมันเริ่มไม่ได้เปรียบค่อยหยุดตอนนั้น 


10. ‘หุ้นเป็นเรื่องของคน มากกว่าตัวเลข’ …อย่าหลงกับทฤษฎีและตัวเลขมากเกินไป เพราะ ตัวเลขมันใช้อ่านอดีต …การอ่านอนาคต ต้องอ่านคน 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม




เมื่อไหร่จะได้ใช้เงิน ให้รางวัลตัวเองบ้าง

 ‘เมื่อไหร่จะได้ใช้เงิน’ (เมื่อไหร่ควรให้รางวัลตัวเอง) 


มีรุ่นน้องมาปรึกษาว่า เขาลงทุนอย่างเดียวไม่ใช้เงินเลย แต่เวลาช่วงตลาดปรับฐาน พอร์ตย่อมากๆ เห็นแล้วอยากน้ำตาไหล 


‘ประหยัดชิบหาย ไม่ใช้เงินเลย …แต่พอร์ตย่อที นี่ลงแบบเสียรถเบนซ์เป็นคันๆ …เจสโด้ !!!’ (แก้ตรงนี้ยังไงดี) 


เอาตรงๆ ผมก็เป็นเหมือนกัน …ใช้เงินโคตรประหยัด แต่เวลาพอร์ตย่อ ก็เยอะจนคิดว่า ‘ถ้ารู้แบบนี้ ขายมาสักนิด ซื้อของให้รางวัลตัวเอง จะดีแค่ไหน ?’ 


1. ‘ทำความเข้าใจการย่อก่อน’ …มันประมาณ 30% เช่น พอร์ต 10 ล้าน เวลาย่อมันก็ต้องมี 3 ล้าน , พอร์ต 100 ล้าน นี่ก็ 30 ล้าน …อันนี้ทำความเข้าใจก่อนว่า แค่ตลาดปรับฐาน เราจะเสียหายประมาณเท่าไหร่ (ถ้ารอบใหญ่ นี่มี 50% นะ …โคตรโหด บอกเลย)


2. ‘หาจุด Overprice ในหุ้นแต่ละตัวในพอร์ต’ …ระหว่างทางขาขึ้นของหุ้น มันจะมีจุด Overprice คือ ช่วงที่แพงเกินไป เป็นช่วงๆ …ถ้าเราหาจุดนั้นเจอ นั่นแหละ คือ จุดที่พร่อง ขายบางส่วน (เน้นว่า ขายบางส่วน ไม่ใช่ขายทั้งหมด) 


2.1 ‘ช่วง P/E สูงเกินไป และ Volume มากเกินไป’ …ตัวเลขตั้งแต่ 5 เท่าขึ้นไปของค่าเฉลี่ย ผมถือว่า เริ่มมากละ …เช่น ปกติเทรดกันอยู่ 10 ล้านต่อวัน …วันนี้เทรดกัน 50 ล้านขึ้นไป นี่เริ่มต้องมา ดูใกล้ชิดละ …ถ้ามันซื้อขายกันหลายร้อยล้าน นี่ต้องระวังละ …ถ้าแตะพัน นี่เราต้องทำอะไรบางอย่างแน่นอน 


3. ‘รวบรวมเงิน จากหุ้นแพงเกินไป ซื้อของให้รางวัลตัวเอง’ …เดี๋ยวนี้ คนรุ่นใหม่ มีการลงทุนที่เรียกว่า Passion Investment บางที กำไรมากกว่าลงทุนในหุ้นซะอีก แต่เอาตรงๆ มันไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนทำได้ (ส่วนใหญ่ซื้อแล้วขาดทุนทั้งนั้น) …ดังนั้น แค่เลือกสิ่งที่เราชอบจริงๆ เพราะ อย่างน้อยขาดทุน แต่เราก็ยังได้เติมเต็มจิตใจเรา


4. ‘ระวังมือลั่น’ …เวลาเริ่มซื้อของเล่นจะเพลิน จนบางทีซื้อเกินตัว …นั่นน่ะ อันตราย …อย่าลืมสังเกตตัวเอง 


‘ของมันต้องมี’ ก็พูดกันไปเรื่อย ยุกันไปเรื่อย …เอาแค่พอหอมปากหอมคอ ที่เหลือ ก็เอาเงินกลับไปลงทุนดีกว่า 


ใช่!! ‘การหาเส้นตรงกลางของความพอดี เป็นเรื่องที่ยาก’ 


ก็ประมาณนี้ ลองเอาไปปรับใช้กันดูครับ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


10 ความเชื่อที่ทำให้เรารวยในตลาดหุ้น

 10 ความเชื่อที่ทำให้เรารวย ในตลาดหุ้น


‘ชุดความเชื่อ’ คือ ตัวกำหนดความร่ำรวยของแต่ละคน ..ดังนั้น การมีชุดความเชื่อที่ถูกต้อง มันทำให้เราชนะไปกว่าครึ่งแล้ว


1. ‘ทุนน้อย ไม่ใช่ข้อจำกัด’ …คนส่วนใหญ่จะใช้ข้ออ้างว่าไม่มีทุน ในการไม่ศึกษาการลงทุน …แต่จริงๆ แล้ว ช่วงที่เงินน้อยยิ่งต้องศึกษาให้เยอะ ลองผิดถูกให้มาก 


2. ‘เงินเยอะไม่ได้เปรียบ ถ้าบริหารความเสี่ยงไม่เป็น’ …ที่เราเห็นคนรวยเจ๊ง หลักๆ ก็มาจาก ความมั่นใจเกินเหตุ แล้วจัดเต็มแบบไม่บริหารความเสี่ยง


3. ‘หุ้นมหาชน จะไม่ทำให้เรารวย’ …อันนี้ประสบการณ์ตรง เพราะ ช่วงที่ผมเล่นหุ้นใหม่ๆ ผมเข้ามาด้วยวิธีคิดแบบไม่อยากเสี่ยง แต่อยากได้เยอะๆ ได้ชัวร์ๆ …ใครคิดแบบนี้ ก็มักแห่ไปซื้อหุ้นที่ทุกคนเล่นกัน ขึ้นเยอะ ข่าวดีมาก ใครๆ ก็มี …ผลคือ ซวยทุกครั้งเลย …ฝรั่งเรียกพวกนี้ว่า พวก FOMO


4. ‘ทุกวิกฤตมีโอกาส แค่เลือกยืนในจุดที่คนส่วนใหญ่ไม่อยู่’ …ทำตรงข้ามมวลชนนั่นแหละ เวลาที่คนอื่นกลัว ถือเงินสด เราต้องทยอยเก็บหุ้น อยู่ในจุดที่คนอื่นมองว่าเสี่ยง …แต่พอคนอื่นกล้า เราก็ทยอยขายทำกำไร (ไม่ได้ซับซ้อนเลย แต่เวลาทำจริงโคตรยาก เพราะ มันตรงข้ามกับ Common Sense ของเรา)


5. ‘ถ้าอะไรที่ทำให้คนกำไรเยอะ อย่าเข้าไป เพราะเราช้าไปแล้ว’ …พูดง่ายๆ Superstock ไม่เคยเป็นหุ้นตัวเดิม …หุ้นตัวไหนสร้างเศรษฐีแล้ว แปลว่า รอบต่อไปมันจะสร้างยาจกแทน


6. ‘ในตลาดหุ้น ของถูก ดีกว่าของดี’ …เอาตรงๆ ตลาดหุ้นมีแต่คนเก่ง ดังนั้น มันแทบไม่มีของดีที่ทุกคนมองข้าม …แต่มันมีของถูก เพราะ ของถูกมันเกิดทุกครั้งที่มีวิกฤต …ถ้าตั้งใจหา มันต้องเจอ 


7. ‘แต่ถ้าเจอของดีราคาถูก ทนถือให้นานที่สุด’ …ของดี มักแพงตลอด …มีแค่บางจังหวะเท่านั้น ที่เราอาจจะได้ของดีราคาถูก ถ้าได้ ถือให้นานที่สุด …ถ้าอยากขาย แบ่งขาย ค่อยๆ ขาย ‘ทนรวย’ 


8. ‘ในตลาดหุ้นเป็นผู้นำ ดีกว่าผู้ตาม’ …ผู้นำคือซื้อต้นรอบ นอกนั้น ผู้ตามก็ซื้อตามเขา ซื้อปลายรอบ


9. ‘เหตุผล ไม่สามารถใช้ได้กับหุ้นต้นรอบ’ …เพราะการซื้อหุ้นต้นรอบ ซื้อก่อนใคร ต้องตรงข้ามกับทุกเหตุผล …ใช่!! มันยาก (ถ้าง่าย ทุกคนคงได้ซื้อต้นรอบ แล้วก็รวยไปนานแล้ว)


10. ’คนที่เชื่อคนง่าย อยู่ในตลาดหุ้นได้ไม่นาน’ …เจ๊งก่อนไง ..การเชื่อคนยาก มันต้องเริ่มจากศึกษา ลองผิดลองถูก จนมีประสบการณ์และแนวทางของตัวเอง 


กว่าจะเชื่อคนยาก ..เราล้วนเชื่อคนง่ายมาก่อน(อ่อน) ถูกหลอก ขาดทุนเละเทะ แล้วสุดท้ายเราจะเชื่อคนยากเอง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 ข้อสังเกต หุ้นเล็กวิ่งไกล ที่ควรเก็บใส่พอร์ต

 5 ข้อสังเกต หุ้นเล็กวิ่งไกล ควรเก็บใส่พอร์ต


แทบไม่ต้องถามว่า ทำไมต้องหุ้นเล็ก …ก็เพราะยุคนี้ ต้องเลือกระหว่าง ความมั่นคง กับ การเติบโต …หุ้นเล็กก็คือการเติบโต (เราอยู่ในประเทศที่มั่นคงพอแล้ว …555) 


1. ‘ไม่ย่อ ก็ไม่กระโดด’ …ใช่!! ถ้าหุ้นไม่ย่อเลย ก็แปลว่าเราไปเข้าแพง …ต้องรอให้ย่อ เพื่อเข้าไปตอนที่จะกระโดด


2. ‘กำไรเติบโตจริง’ …โตจริง คือ โตขึ้นไปเรื่อยๆ จะมากน้อยก็ขอให้โตไปเรื่อยๆ …กำไรโตไปเรื่อยๆ นี่แหละ คือ หุ้นที่ขึ้นแล้วจะไม่กลับลงมาที่เดิม 


3. ‘ขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง’ …ยุคนี้การขยายธุรกิจที่เร็วที่สุดคือ ซื้อเลย …บริษัทในตลาดหุ้นได้เปรียบในเรื่องเงินทุน การใช้ความได้เปรียบตรงนี้ให้เป็น หุ้นจึงจะก้าวกระโดด


4. ‘หุ้นมีเจ้าของ และไม่ทิ้งธุรกิจ’ …ข้อนี้แหละ ที่แยกระหว่าง หุ้นดี กับ หุ้นปั่น …หุ้นปั่น รือ ดันราคาไป พอกำไรมากพอ ก็ขายทิ้งทั้งหมด ไปหาหุ้นตัวใหม่มาปั่น …หุ้นแบบนั้น คือ หุ้นไม่มีเจ้าของ 


5. ‘เป็นผู้นำในตลาดของตัวเอง และไม่หยุดที่จะขยายโอกาส’ …ตรงนี้ต่างจาก หุ้นปั่นที่วิ่งไปหากระแสที่มาแรงแล้วเกาะกระแส ต้องแยกให้ออก …ว่าหุ้นนี้แค่เกาะกระแสเพื่อปั่นราคา หรือเปล่า ?


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

5 จุด ที่ไม่น่าเป็นจุด Stop Loss

 5 จุด ที่ไม่น่าเป็นจุด Stop Loss (เพราะมันอาจจะเป็นจุดกลับตัว) …เฮ้ย!!


เวลาตลาดแย่ๆ คนขาดทุนเยอะๆ ก็มักจะเริ่มคุยเรื่อง Stop Loss …มาดูกันว่า จุดไหนกันแน่ ใช่หรือไม่ใช่ ?


1. ‘จุดที่ SET ลงไปถึง 20%’ …ขาขึ้นจะปรับฐานไม่เกิน 20% ก็แปลว่า ไอ้ตรงที่ SET ลงมาตรงนั้น มันใกล้จะกลับตัวแล้ว


2. ‘จุดที่ SET ลงไป 50%’ …อันนี้ยิ่งไม่น่าขายเลย จะบอกให้หลับตาแล้วซื้อสวน มีโอกาสกำไรสูงมาก เพราะ จุดนี้มักเป็นจุดกลับตัวในรอบใหญ่ ที่สิบปีเกิดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น


3. ‘จุดที่หุ้นรายตัวลง 30%’ …จุด 30% มักเป็นจุดกลับตัวของหุ้นปรับฐาน แล้วกลับเป็นขาขึ้นใหม่ …แต่ถ้ากลับตัวไม่จริง ณ จุดนี้ ระวังการลงยาว


4. ‘จุดที่หุ้นรายตัวลง 50%’ …จุด 50% มักเป็นจุดกลับตัวของหุ้นเล็กในการปรับฐาน แล้วขึ้นต่อ …แต่ถ้าจุดนี้เอาไม่อยู่ ก็เจอกันที่จุดจบรอบ ประมาณ 70% 


5. ‘จุดที่หุ้นรายตัวลง 70%’ …จุดนี้คือ ค่าเฉลี่ยการลงจบรอบในภาพใหญ่ …ย้ำว่า ค่าเฉลี่ย แปลว่า บางตัวลึกกว่านั้น …ผมเคยเจอหุ้นที่ลง 80-90% เลยก็มี 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

6 เรื่อง ของคนหาเงิน ที่เราควรเข้าใจ

 6 เรื่อง ของคนหาเงิน ที่เราควรเข้าใจ


1. ‘หาเงินจากความสามารถยากกว่า หาเงินจากสินทรัพย์’ …ก็เพราะความสามารถเราถูกจำกัดด้วยเวลาที่เรามี แต่สินทรัพย์ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องนี้


2. ‘น้ำวิ่งหาที่ต่ำ แต่เงินวิ่งหาที่สูง’ …ผลตอบแทนสูงก็มักดึงดูดเงินจำนวนมาก แต่ต้องระวังเพราะ ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาวเช่นกัน


3. ‘ระดับการหาเงินเริ่มจาก ความกลัว ไป ความโลภ และไป ความศรัทธา’ …ถ้าจะหาเงินจากคนรวยต้องสร้างศรัทธา เพราะเขาจะยอมเสียเงินมากที่สุดในเรื่องนั่น


4. ‘ทำธุรกิจอย่าเริ่มจากการใช้เงิน เพราะ มีโอกาสเสียมากสุด’ …เราอาจเคยได้ยิน ‘ทำธุรกิจแบบลูกคนรวย’ คือ เริ่มจากเงิน …ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก ไม่รอบคอบ สุดท้ายมันก็ไม่รอด …ธุรกิจต้องเริ่มจาก ข้อจำกัด ไม่ใช่เริ่มจากเงินที่มี


5. ‘ลงทุนต้องเริ่มจากเก็บเงิน และศึกษาการลงทุนแบบคนมีเงิน เพราะยิ่งเงินมากโอกาสลงทุนยิ่งเยอะ’ …การลงทุนตรงข้ามกับทำธุรกิจ ตรงที่มันถูกออกแบบมาจากคนมีเงิน …ให้ศึกษาวิธีการลงทุนของคนมีเงิน ตั้งแต่เรายังไม่มีเงิน …พอเราเริ่มมีเงิน เราจะได้ไปไวกว่า


6. ‘พอเริ่มมีเงิน ให้ใช้เงินซื้อเวลาเราก่อนซื้อของเล่น’ …คนส่วนใหญ่ทำงานหนัก ซื้อของแพง เพื่อความสะใจ สุดท้ายต้องทำงานหนักขึ้น และเครียดยิ่งกว่าเดิม …ทางเลือกที่ดีกว่า คือ ใช้เงินซื้อเวลาของตัวเองคืน แล้วชีวิตเราจะเข้าสู่รูปแบบ ทำงานน้อยลง แต่ได้เงินมากขึ้นเรื่อยๆ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

5 หลักการ บริหารความโชคดี จนคนอื่นอิจฉา

 5 หลักการ บริหารความโชคดี จนคนอื่นอิจฉา 


1. ‘ความโชคดี คือการอยู่ในฝั่งคนส่วนน้อย’ …ถ้าให้เลือกระหว่างทำเหมือนคนส่วนใหญ่ที่สมเหตุสมผล กับ เลือกอยู่ฝั่งคนส่วนน้อย ที่ดูไม่สมเหตุสมผล …ให้เลือกฝั่งคนส่วนน้อยอยู่ดี 


2. ‘บริหารเงินให้เวลาเสียเราโดนน้อย เวลาได้เราได้เยอะ’ …ทุกการลงทุน ต้องมองว่า ถึงเลวร้ายที่สุด ก็ยังไม่เจ๊ง …เพราะ วันนึงเราจะต้องรับมือกับจุดที่โหดร้ายที่สุด แต่เราก็ยังไม่เจ๊ง และ เดินต่อไปได้ นั่นแหละ ความโชคดีที่พูดถึง


3. ‘เวลาเราชนะใหม่ๆ ต้องใส่ให้สุด’ …ถ้าอยู่ดีๆ เราได้กำไรแบบ งงๆ ให้เดิมพันต่อ อย่าเพิ่งหยุด เพราะ นั้นคือ จุดเริ่มต้นของกำไรครั้งใหญ่ 


4. ‘เวลามั่นใจสุด ให้หยุดตัวเอง’ …เวลากำไรนานๆ เราจะเริ่มประมาท …ซึ่งหลังจากจุดนั่น เรากำลังจะเจอกับการเสียหายครั้งใหญ่ ให้ระวังให้มาก 


5. ‘ให้อยู่ในสินทรัพย์เวลาที่คนอื่นกลัว …แล้วอยู่ในเงินสด เวลาที่ทุกคนฮึกเหิม’ …การจะซื้อสินทรัพย์ในเวลาที่คนอื่นกลัว ต้อง หนึ่ง มีความรู้ สอง มีเงิน และ สาม มีความกล้า …ทั้ง 3 อย่าง ประกอบกัน จะทำให้เราเป็นคนที่โชคดี แบบที่ใครๆ ก็อิจฉา 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 เรื่อง ที่พ่อรวยไม่ได้สอนลูก

 6 สิ่ง ที่พ่อรวยไม่ได้สอนลูก 


1. ‘บ้านเราไม่ใช่สินทรัพย์ แต่มันคือความมั่นคง’ …คนจำนวนมากเก็บความมั่งคั่งไว้ในบ้านและที่ดิน ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าเรามีบ้านที่จ่ายหนี้หมดแล้ว มันคือความมั่นคงและความสบายใจในชีวิตอย่างบอกไม่ถูก (ยังไงกรูก็มีบ้านอยู่วะ) 


2. ‘หนี้ดี หรือ หนี้ไม่ดี มันก็คือ หนี้อยู่ดีนั่นแหละ’ …Good Debt คือ หนี้ที่สร้างรายได้ ..Bad Debt คือ หนี้เพื่อบริโภค …เอาตรงๆ คนจำนวนมาก ชีวิตพังเพราะ หนี้ที่อยากสร้างตัวนี่แหละ …ขึ้นชื่อว่าหนี้ อย่าประมาทละกัน มันโหดมาก !!


3. ‘การเน้นสร้างสินทรัพย์เป็นเรื่องดี แต่ต้องดูเรื่องสภาพคล่องด้วย’ …สินทรัพย์หลายๆ อย่าง ไม่มีสภาพคล่อง ก็แปลว่า เวลาอยากขาย มักขายไม่ได้ หรือ ไม่เคยขายได้ราคาดี …คนที่มีสินทรัพย์ ต้องบริหารสภาพคล่องอย่าให้ขาดมือ ไม่งั้นเวลาเงินขาด เราอาจเสียสินทรัพย์ในราคาที่ไม่ได้เรื่องเลย


4. ‘เงินที่มากเกินความสามารถในการบริหาร สร้างปัญหามากกว่าให้ประโยชน์’ …การที่คนๆ นึงได้เงินจำนวนมากมาในเวลาที่ไม่พร้อม มันสร้างหายนะมากกว่าประโยชน์ …ความพร้อม คือ ความสามารถที่ทำให้เงินนั้นเพิ่มขึ้น …ความสามารถที่จะรู้ว่า ควรวางเงินที่ไหนให้ทำงานแทนเรา


5. ‘เงินซื้อได้แค่เวลาและความสะดวก แต่ซื้อความสุขไม่ได้’ …เงินที่ใช้เติมเต็มความสุข จะหมดก่อนที่เราจะเติมความสุขเต็มเสมอ …ความสุข ต้องหาให้เจอก่อนที่จะเริ่มใช้เงินจริงจัง …ใช่!! คนไม่มีความสุข ผลาญเงินเก่งกว่าคนมีความสุขเสมอ 


6. ‘อิสรภาพทางการเงิน ไม่ใช่เป้าหมาย แต่มันคือ วิถีชีวิต’ …การไปสู่อิสรภาพทางการเงิน มันเริ่มจากการเปลี่ยนวิถีชีวิต ให้เรามีความสุขจากการหาเงิน มากกว่าใช้ แล้วทำไปเรื่อยๆ นานพอ ก็รวยมหาศาลแล้ว 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

10 ความเข้าใจ ทำไมคนรวยในโลกนี้จึงมีน้อยจัง

 10 ความเข้าใจ ทำไมคนรวยในโลกนี้ จึงมีน้อยจัง 


1. ‘เราสนุกกับการใช้เงิน มากกว่าการหาเงิน’ …จะหาเงินล้านในหนึ่งวัน ไม่ง่าย แต่การจ่ายเงินล้านในวันเดียว ทำได้ง่ายและรวดเร็วมาก


2. ‘คนส่วนใหญ่ไม่สนุกกับการหาเงิน เพราะยังไม่เจอสิ่งที่เราทำได้กว่าคนอื่นอย่างชัดเจน’ …คนที่ทำอะไรได้ดีกว่าคนอื่นอย่างชัดเจน มักเป็นคนที่รายได้สูงและมีความสุขมากกว่าคนทั่วไป


3. ‘ความเชี่ยวชาญเกิดจากความอดทนและการมีวินัย มากกว่าพรสวรรค์’ …เกิดมาเก่ง มันสู้ คนเก่งที่มาจากการมีวินัยและความอดทนไม่ได้ …ไม่มีสุดยอดนักกีฬาที่ไม่ฝึกฝนหนัก (เขาอาจจะเกิดมาเก่ง แต่เชื่อเถอะว่า ชั่วโมงที่เขาทุ่มให้กับการฝึกฝนอย่างอดทนและยาวนาน นั่นแหละ เคล็ดลับที่เขาไม่ได้บอกคุณ)


4. ‘การเป็นคนรวย เป็นเรื่องของนิสัย มากกว่าความโชคดี’ …คนรวยทุกคนจ่ายเงินโคตรยาก คิดตลอดว่า ถ้าเอาไปลงทุนแทน เงินจะเพิ่มแค่ไหน …ไม่มีหรอก สปอร์ตใจดี กทม. พวกนั้นรวยแป๊บเดียว


5. ‘การออกนอกความถนัด คือการหาสมดุลย์ระหว่างโอกาสใหม่ กับ การเสียเงิน’ …แต่คนส่วนใหญ่จะเสียเงินมากกว่าเจอโอกาสครั้งใหม่ …ถ้าใครคิดว่า รวยแล้วจะไปใช้ชีวิต แบบชีวิตใช้ซะ …สักพักจะต้องกลับไปหางานทำใหม่ (แน่นอน)


6. ‘การหารายได้หลายทาง คือ จุดเริ่มของความรวย มากกว่า ความขยันและทักษะ’ …การหารายได้หลายทาง มันเริ่มจากการพัฒนาวิธีการที่จะหารายได้เพิ่มโดยใช้เวลาเราให้น้อยที่สุด หรือ ไม่ใช้เวลาเราเลย แต่ได้เงินเพิ่ม


7. ‘ความอิสระจากเงิน เกี่ยวกับการเพิ่มรายได้ที่เราไม่ต้องเอาเวลาไปแลก มากกว่าจำนวนเงิน’ …มีเงินเยอะแค่ไหนก็หมดได้ …ส่วนที่ไม่หมดคือเงินที่ออกดอก ปันผล จากสินทรัพย์ที่เราไปลงทุน 


8. ‘ไม่มีลาภลอยในเรื่องของเงิน มีแต่แก๊งค์ตกทองและมิจฉาชีพเท่านั้น’ …(อีกสักพัก แก๊งค์ Call Center จะติดต่อคุณเอง)


9. ‘การจ่ายเงินที่คุ้มค่าที่สุด คือ จ่ายเงินซื้อเวลาของเราคืน’ …ทุกอย่างที่เราซื้อเป็นภาระ(เป็นนายเรา) มีแต่การซื้อเวลาคืนนี่แหละ ที่ลดภาระ !!


10. ‘เราจะมีเงิน เท่ากับความสามารถในการบริหารเงินเสมอ’ …การจะเพิ่มเงิน จึงต้องเริ่มจากการเพิ่มความสามารถในการบริหารจัดการเงินก่อน 


ไม่เช่นนั้น เงินที่ได้มา ก็จะหายไปจากเราอย่างรวดเร็ว


ใช่!! ‘โลกนี้จะให้เรามีเงิน มากที่สุด เท่ากับความสามารถของเรา ในการจัดการเงินพอดี เป๊ะๆ’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

10 ความจริงในตลาดหุ้น เมื่อคุณอยู่ในตลาดนานพอ

 10 ข้อ ความจริงในตลาดหุ้น เมื่อคุณอยู่ในตลาดนานพอ


1. ‘ไม่มีหุ้นขาขึ้นที่ไม่มีขาลง’ …หุ้นทุกตัวขึ้นไปจนสุดขาขึ้น ก็จะเข้าสู่ขาลง


2. ‘จุดที่คนเสียหายมากที่สุด คือ เข้าหุ้นในขาขึ้นปลายรอบ กับ เข้าตอนขาลงเริ่มต้น’ …ขาขึ้นปลายรอบ จะมีแต่ข่าวดี มี Volume เยอะ คนเชียร์มาก แต่คนส่วนใหญ่มักกำไรนิดเดียว …สุดท้ายจะมาเจ็บหนัก เพราะมารับเยอะตอนมันเข้าขาลง


3. ‘ขาขึ้นครั้งใหม่ จะไม่มา ตราบเท่าที่คนที่ถือหุ้นนั้นยังไม่ขาย’ …ถ้าคนที่ติดหุ้นยังขายไม่หมด หุ้นก็จะไม่มีการขึ้นรอบใหม่


4. ‘หุ้นที่เป็น Super Stock ในรอบที่ผ่านมา จะไม่เป็น Super Stock ในรอบต่อไป’ …กับดักของคนชอบซื้อของถูกแต่รอให้ชัวร์ก่อน จึงแทบไม่เคยได้กำไรคำใหญ่ 


5. ‘หุ้น Super Stock ในรอบนี้ มักมาจากหุ้นที่คนไม่คาดคิด’ …คนไม่คาดคิด มี 2 แบบ คือ หนึ่ง หุ้นตัวนี้เน่ามานาน แต่กิจการไม่เจ๊ง กับ สอง หุ้นตัวนี้เป็นหุ้นสดใหม่ ที่ยังไม่เคยเป็น Super Stock มาก่อน


6. ‘หุ้นที่ทำกำไร และ ขาดทุนให้เรามากที่สุด คือ หุ้นที่เราไม่คิดจะขาย’ …หุ้นที่คิดจะขาย เรามักจะขายในเวลาที่เรากำไรไม่ดี เสมอ 


7. ‘พื้นฐานของหุ้นรายตัว สำคัญกว่าเศรษฐกิจในภาพใหญ่’ …ทุกครั้งที่มีวิกฤต มันก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของ Super Stock ตัวใหม่เสมอ


8. ‘ถ้าเราประคองพอร์ต ให้อยู่ในตลาดได้นานพอ โดยไม่เจ๊ง เดี๋ยวพอร์ตมันก็ใหญ่เอง’ …เอาตรงๆ คนส่วนใหญ่ พยายามหาหุ้นเด็ด เพื่อจัดเต็ม แล้วเจ๊งจากหุ้นตัวนั้น ก่อนรวย (จริงๆ เขาไม่ได้ซวย เขาแค่ไม่เข้าใจความจริงของตลาดหุ้น)


9. ‘ความไม่มั่นใจคือโอกาส ส่วนความมั่นใจหรือความเสี่ยง’ …คนที่เสียหายหนัก มักมาจากหุ้นที่มั่นใจมากเกินไป ..ส่วนกำไรเยอะๆ ก็มาจากหุ้นที่ไม่คาดคิดเช่นกัน


10. ‘ถ้าตลาดหุ้นเป็นแบบที่คุณคิด คนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นคงเป็นเศรษฐีกันหมดแล้ว’ …ก็เพราะตลาดมักจะเป็นตรงข้ามกับที่เราคิดไง …คนส่วนน้อยถึงรวยตลอด


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

5 ข้อควรรู้ ทำไมไม่ควรล้างพอร์ต แม้ว่าตลาดจะแย่แค่ไหนก็ตาม

 5 ข้อควรรู้ ทำไมไม่ควรล้างพอร์ต แม้ว่าตลาดจะแย่แค่ไหนก็ตาม


มีหลายคนถามว่า ถ้ารู้ว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เราควรขายหุ้นล้างพอร์ตแล้วถือเงินสดหรือไม่ 


1. ‘ถ้าเรารู้ก่อน แปลว่ามันจะไม่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ’ …ถ้าไปดู วิกฤตเศรษฐกิจใหญ่ มันจะมาในวันที่ตลาดดี และไม่มีใครเตรียมตัว เช่น วิกฤตต้มยำกุ้ง , วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ , วิกฤตโควิด


2. ‘ในเมื่อเราไม่ได้ขายตอนลงต้นรอบ การขายเพียงบางส่วน จึงดีกว่าล้างพอร์ต’ …การขายบางส่วนหรือการปรับพอร์ตย่อมดีกว่า เพราะ เราไม่ได้ขายตั้งแต่จุดที่เริ่มลง


3. ‘จุดที่เรารู้สึกกลัวที่สุด มักเป็นจุดต่ำสุดของตลาด’ …แน่นอน การซื้อให้ได้ต่ำที่สุด ก็แปลว่า เราต้องซื้อในวันที่เรากลัวที่สุด …อาจทำได้บางส่วน แต่ถ้าเราคิดว่า เราจะซื้อได้เยอะๆ ในวันที่ต่ำสุด แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย


4. ‘การพลาดจุดซื้อในวันที่ต่ำที่สุด มันแทบจะเป็นกำไร 70% ของทั้งหมด’ …และนี่เป็นเหตุผลที่ว่า นักลงทุนระยะยาวส่วนใหญ่มักถือหุ้นตลอด แม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่ตลาดไม่ดีก็ตาม (เพราะเขาไม่อยากพลาด ผลตอบแทนที่มากที่สุดนั่นเอง) 


5. ‘การขาย 10-20 % จึงเป็นกลยุทธ์ที่ดีกว่า ขายล้างพอร์ต’ …ก็เพราะ 10-20% ของพอร์ต มันคล่องตัวกว่า ในการจับจังหวะ …ซึ่งแค่ 10-20 % ของพอร์ต ที่ซื้อในจุดที่ต่ำ ก็ช่วยรักษาพอร์ตได้นั่นเอง 


มันพูดง่ายนะ ว่าเราควรมีหุ้นอย่างน้อย 80% ตลอดเวลา …แต่การที่จะทำได้ คุณต้องเคยผ่านวิกฤตและเข้าใจตลาดเป็นอย่างดี 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 ข้อ หุ้นเกือบเจ๊งทำไมจึงเด้งแรง

 5 ข้อ หุ้นเกือบเจ๊งทำไมเด้งแรง


1. ‘เพราะมันไม่ได้เจ๊งจริง มันแค่ลงจบรอบ’ …ธุรกิจเจ๊งคือหนี้สินมากเกิน จนทำธุรกิจไปต่อไม่ได้ …ซึ่งหลายๆ ครั้ง หุ้นที่ลงมาแรงมันแค่ลงจบรอบ ไม่ได้เจ๊ง


2. ‘หุ้นจะลงจนรายย่อยที่ติดหุ้นนั้นยอมขายทิ้ง ก็คือลงสุด’ …ฟังดูโหด แต่มันคือความจริงที่ควรรู้ …ก็คือ หุ้นจะลงสุดรอบ ก็ต้องถึงจุดที่รายย่อยที่เข้ามาตอนแพงขายจนหมด ก็จะหยุดลงตรงนั้นแหละ 


3. ‘หุ้นในจุดที่จบรอบ มันแทบไม่เหลือแรงซื้อและขายแล้ว’ …เมื่อหมดแรงขาย การเริ่มซื้อรอบใหม่ของรายใหญ่จึงทำให้หุ้นขึ้นได้แรง


4. ‘หุ้นที่ลงไม่เยอะ มันก็จะขึ้นไม่แรง’ …ย่อน้อยก็แรงส่งน้อย ไม่แรง …การย่อเยอะ ลงหนัก ก็ทำให้หุ้นสามารถขึ้นได้แรงหลังจากนั้น


5. ‘หุ้นจะไปได้จริง คราวนี้ถึงจะเป็นเรื่องพื้นฐาน’ …ใช่!! พื้นฐานมักตามราคามาอย่างช้าๆ …กว่าเราจะเห็นพื้นฐานเปลี่ยน ราคาก็วิ่งไปไกลละ …พื้นฐานเป็นเหมือนแรงส่งท้าย ที่จะส่งให้หุ้นไปได้ไกล ไปได้จริง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 หลักควรรู้ ของธุรกิจผู้ตาม

 5 หลักควรรู้ ของธุรกิจผู้ตาม 


1. ‘ผู้ตาม ต้องทำสิ่งใหม่’ …ผู้ตามต้องทำสิ่งใหม่ เพราะ ถ้าสำเร็จ เราอาจขึ้นเป็นผู้นำ 


2. ‘ผู้ตาม ต้อง Cut Loss เร็ว’ …เวลาทำสิ่งใหม่ ย่อมต้องพลาดเยอะ …การรีบ Cut Loss จึงสำคัญมาก เวลาเราทำอะไรใหม่ๆ 


3. ‘ธุรกิจผู้ตาม ต้องมีผู้นำ ที่คนเชื่อถือ’ …ธุรกิจผู้ตาม ต้องการเจ้าของ ที่ขายไอเดียเก่ง …เพราะ นี่เป็นสิ่งเดียวที่ธุรกิจผู้ตามจะขายไอเดียแล้วหาทุนได้ 


4. ‘ธุรกิจผู้ตาม ต้องโชว์กำไรที่เติบโต’ …ใช่ครับ พูดยังไงก็ได้ แต่พูดให้มีน้ำหนักและคนเชื่อถือ ก็ต้องมีผลงานที่จับต้องได้ …โชว์กำไรที่เติบโตคือคำตอบ


5. ‘ธุรกิจผู้ตาม ต้องสร้าง Sector ใหม่ แล้วเข้าไปเป็นผู้นำใน Sector นั้น’ …ในโลกนี้คนชนะอย่างแท้จริงต้องเป็นผู้นำ …ดังนั้น ต้องสร้าง Sector ใหม่ แล้วเข้าไปเป็นผู้นำในจุดนั้นให้ได้ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 ข้อควรรู้ ทำไมหุ้นใหญ่ หุ้นดี มันไม่ไปไหนเลย

 5 ข้อควรรู้ ‘ทำไมเวลานี้หุ้นใหญ่ หุ้นดี ทำไมไม่ไปไหนเลย’ …เฮ้อ!! 


หุ้นใหญ่เวลานี้ราคาไม่แพง ปันผลก็ใช้ได้เลย แต่ทำไมซื้อแล้วมันไม่ขึ้นสักที 


1. ‘เศรษฐกิจโลกกดดัน’ …หุ้นใหญ่ก็ต้องอาศัยเศรษฐกิจโลก ไหนจะ FED ขึ้นดอก ดูดเงินกลับอเมริกา ไหนจะโควิดที่เตะสกัดขาตลอด …ตอนนี้มันแย่ทั้งโลก ก็เลยไม่มีแรงซื้อ มันเลยขึ้นยาก หรือ ขึ้นก็ไปไม่ไกล ไหลลงมาอีก


2. ‘พื้นฐานกดดัน’ …ช่วงนี้ธุรกิจต้องปรับตัว การที่ธุรกิจขนาดใหญ่ ก็ปรับตัวยาก ขยับช้า …หรือ อาจต้องลงทุนเพิ่ม …ช่วงเวลาแบบนี้ ยังไม่ใช่ขาขึ้น (ช่วงขาขึ้น คือ ลงทุนเสร็จแล้ว กำลังได้เงินจากที่ลงทุนไป ซึ่งก็ต้องรออีกพอสมควรเลย)


3. ‘รายใหญ่ ยังไม่พร้อมซื้อจริงจัง’ …รายใหญ่ของหุ้นใหญ่ก็คือ กองทุน …ปีนี้กองทุนขายแหลก มันตรงข้ามกับช่วงที่ขึ้นได้ยาวๆ คือ กองทุนซื้อแหลก (หุ้นใหญ่จะขึ้นจริงจัง ก็ต้องรอช่วง กองทุนซื้อแหลก …ยิ่งพอถึงเวลานั้นแล้วฝรั่งไม่ขาย แต่ซื้อด้วย นี่หุ้นใหญ่ ขึ้นกระฉูดแน่ๆ ….แต่เมื่อไหร่ล่ะ จะถึงจุดนั้น ?)


4. ‘รายย่อย ไม่มีกำลังพอที่จะดันหุ้นใหญ่’ …รายย่อย นี่รวมถึง นักลงทุนรายใหญ่ในบ้านเราด้วย …ช่วงนี้รายย่อยสะสมหุ้นเยอะ แต่มันไม่มีพลังมากพอที่จะดันหุ้นขึ้น ..เวลานี้ก็เลยเป็นเวลาสะสมหุ้นดีราคาถูก ที่เขาค่อยๆ ซื้อ แต่ยังไม่ถึงเวลาเอาขึ้น เพราะ คนเอาขึ้น คือ ข้อ 3 ไง 


5. ‘ถ้าไม่หวังเยอะ หุ้นใหญ่ก็กำไรไม่ยาก’ …ถ้าหวังไม่เยอะ เราก็รู้แล้วว่าหุ้นถูก ก็ซื้อสะสมเวลาหุ้นซึมๆ …พอดีดก็ขายสั้นๆ …แบบนี้ก็พอทำกำไรได้


แต่ถ้าอยากกินรอบใหญ่ๆ อาจต้องพิจารณา หุ้นที่ขนาดเล็กลงมา 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 กลไก การแพ้ชนะในตลาดหุ้น

 5 กลไก การแพ้ชนะในตลาดหุ้น


เล่นหุ้นก็เหมือนเล่นบอล ไม่มีทางที่จะชนะตลอด ก็ต้องแพ้บ้าง …การจัดการทั้งแพ้และชนะ นี่แหละหัวใจของการอยู่รอดในตลาดหุ้น


1. ‘อย่ามั่นใจเกิน เพราะ ช่วงเจ็บหนักมันจะมาตอนนั้นแหละ’ …เวลาที่เราจะเสียหายหนักๆ มันมีสัญญาณเตือนภัยก่อน แต่เราไม่สนใจ …มันก็คือ ‘ความมั่นใจเกินเหตุ’ 


2. ‘ช่วงสิ้นหวัง มักเป็นช่วงที่กำลังจะกลับตัว’ …เวลาเราแพ้เยอะๆ เราจะกลัว จนขยาด …หลังจากนั้น การกลับตัวของตลาดหุ้นกำลังจะมา


3. ‘ช่วงขาขึ้นดูง่ายๆ พลาดแต่ไม่พัง’ …อยากรู้ว่าช่วงในขาขึ้น ให้ดูว่า เราพลาดแต่ไม่พัง นั่นแหละช่วงขาขึ้น


4. ‘ช่วงขาลง ดูจาก พลาดแล้วเจ็บหนัก’ …ถ้าภาวะแบบนี้เกิดขึ้น ให้หยุดแล้วถอยออกมาตั้งสติ เพราะ ส่วนมากนั่นคือ เรากำลังเมาหมัดจากขาลงเต็มๆ แต่ดันสู้ไม่รู้เรื่อง 


5. ‘อยู่ในหุ้นตลอดไม่ถอดใจ’ ..คือ การเรียนรู้ตลาดได้ดีที่สุด เราต้องถือหุ้นทั้งขาขึ้นและขาลง เพื่อให้เข้าใจอารมณ์ตลาด และ เข้าใจตัวเอง 


การเข้าใจตลาด จะทำให้เรามีจังหวะที่ดี …ส่วนการเข้าใจตัวเอง จะทำให้เรากล้าถือหุ้นแล้วรวยจากตลาดในระยะยาวได้นั่นเอง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

5 ข้อควรรู้ เงินบาทอ่อน ดียังไง

 5 ข้อดี ของ เงินบาทอ่อน


ตอนนี้มีแต่คนกลัวว่า ดอลลาร์แข็ง แล้ว บาท อ่อน เราจะตายกันหมด …แต่ !!! มันอาจจะไม่ได้แย่ไปทั้งหมดอย่างที่หลายคนคิด 


มาดูกัน บาทอ่อน ดียังไง 


1. ‘การส่งออกจะดีขึ้น’ …ประเทศไทยเติบโตจากการเป็นผู้ส่งออก ยิ่งเงินบาทอ่อน เราก็จะได้เปรียบในการส่งออก 


2. ‘การท่องเที่ยวดีขึ้น’ …หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของเศรษฐกิจไทย คือ การท่องเที่ยว …ถ้าบาทอ่อน ก็ยิ่งทำให้เราถูกลง น่าเที่ยวมากขึ้นไปอีก 


3. ‘เราต้องประหยัดขึ้น’ …บาทอ่อน เราก็ต้องซื้อของต่างประเทศแพงขึ้น …ก็บังคับให้คนไทยต้องประหยัดมากขึ้น ดึงสติเรากลับมาว่า เราควรประหยัดมากกว่าที่เป็น 


4. ‘ลงทุนในประเทศมากขึ้น ลงทุนต่างประเทศน้อยลง’ …ก็บาทเราอ่อน การลงทุนในประเทศก็เลยน่าสนใจมากกว่า สินทรัพย์ราคาแพงในต่างประเทศ …ยิ่งการลงทุนอยู่ในประเทศ ก็จะสร้างงาน สร้างความแข็งแรงให้คนไทยมากขึ้น


5. ‘เป็นเวลาที่เราหันกลับมา เสริมจุดแข็งของประเทศไทย’ …ใช่!! บาทอ่อน ก็เหมือนว่า เราทุกคนจนลง ซื้อของต่างประเทศแพงขึ้น …ถ้ามองเป็นจุดดี ก็คือ เราก็กลับมาพัฒนาจุดแข็งของเรา …เอาของไทยมาแปรรูป เพิ่มมาร์จิ้น แล้วก็พัฒนาไปขายต่างประเทศ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 ความพร้อมในการเป็นคนรวยจริงๆ กับเขาสักที

 5 ความพร้อม สำหรับการเป็นคนรวยจริงๆ กับเขาสักที


‘มีผู้ใหญ่ท่านนึง สอนผมว่า …เอ๊งจะหาเงินมาได้เท่าไหร่ไม่สำคัญ …เพราะ สุดท้ายเอ๊งจะมีเงินเท่ากับความสามารถของเอ๊งที่จะจัดการได้เท่านั้น’ 


…อะไรวะ ไม่เข้าใจ ?!?


ถูกลอตเตอรี่มาเท่าไหร่ ก็ไม่สำคัญ …เออ แต่ก็ดีนะ ‘ขอสักงวดเน้นๆ หน่อย อยากลิ้มรสความรวย ชั่วคราวก็ยังดี’ 


แล้วอะไรสำคัญ มาดูกัน 


1. ‘ความสามารถในการหาเงิน อย่างสม่ำเสมอ’ …อันนี้ไม่รวมลาภลอย หรือ ความโชคดีที่มาเป็นครั้งคราว …ลองดูซิว่า ด้วยตัวเรา (ธุรกิจจริงๆ ของเรา) หาเงินมาได้อย่างสม่ำเสมอเท่าไหร่ …นี่คือฐาน ความมั่งคั่งจริงๆ ของเรา


2. ‘ความสามารถในการบริหารเงิน’ …พูดให้เห็นภาพ ให้นึกถึง ภาชนะในการเก็บน้ำ …สมมุติเงินคือ ฝน ที่ตกลงมา …ความสามารถในการบริหารเงินก็คือ ภาชนะเก็บน้ำฝน …คนที่ไม่สามารถบริหารเงิน ก็เหมือนมีแค่แก้วน้ำ หรือ ขันเล็กๆ …เทน้ำใส่มานิดเดียวก็ล้น เอาไม่อยู่ 


3. ‘ความเข้าใจในการใช้เงิน’ …เอาตรงๆ ถ้าเราจะซื้อทุกอย่างที่อยากได้ มีเงินเท่าไหร่ก็หมด …ดังนั้น เราต้องแยกความอยาก กับ ความจำเป็น (Want Vs Need) ให้ออก แล้วใช้เงินอย่างมีสติ ก็แค่นั้นเอง


4. ‘การวางเงินทำงาน’ …ตรงนี้ยากขึ้นมาอีกขั้นละ …ส่วนมากควรฝึกฝนตั้งแต่ยังไม่มีเงิน เพราะ ส่วนมากคนที่มาพยายามลงทุนหลังจากที่ได้เงินมาแล้ว ส่วนใหญ่เสีย หรือ ไม่ก็โดนหลอก …เอาตรงๆ ยากสุด คือ ทำธุรกิจ เพราะ คนที่ทำธุรกิจแบบลูกคนรวย ส่วนใหญ่เจ๊ง …ให้พยายามลงทุนในสินทรัพย์น่าจะดีกว่า 


5. ‘อย่าออกนอกความถนัด’ …เงินสร้างอิสระให้เราได้เลือกทำหลายๆ ที่เราไม่เคยทำ แต่ถ้ามากไป อาจจะซวย เพราะ เวลาเราทำอะไรที่เราไม่ถนัด มันก็มีความเสี่ยงที่จะเสียหายเพิ่มขึ้น …คิดง่ายๆ ถ้าอยากทำอะไรใหม่ ก็ ลงแรง ก่อน …พอถนัดค่อย ลงเงิน 


…วันนี้เข้าใจพ่อแม่รวยๆ เลยว่า ทำไมพยายามให้มรดกลูกให้ช้าที่สุด …ก็เพราะ ถ้าลูกมันได้ในเวลาที่ไม่พร้อม มันเอาไม่อยู่ พัง มากกว่าดี 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

5 ข้อคิด เบื้องหลัง ‘ให้หุ้นเลือกเรา ไม่ใช่เราเลือกหุ้น’

 5 ข้อคิด เบื้องหลัง ‘ให้หุ้นเลือกเรา ไม่ใช่เราเลือกหุ้น’ 


ช่วงแรกๆ ผมพยายามเลือกหุ้นให้ดี ผลปรากฏว่า ‘มันไม่ค่อยดี’ ..หลังจากนั้น ผมลองใหม่ ‘งั้นให้หุ้นมันเลือกเราแทน’ …เฮ้ย!! ดีขึ้นว่ะ …ใช้ได้เลย


มาดูแนวคิดเรื่องนี้กัน


1. ‘เราเลือกหุ้น มักเลือกแต่หุ้นที่มันดีไปแล้ว’ …ก็เพราะมันดีไปแล้ว มีคนกำไรไปแล้ว เราถึงอยากจะซื้อบ้าง อยากได้บ้าง (FOMO) …แต่พอมันดีไปแล้ว มันก็เลยแย่ ตอนที่เราซื้อพอดี …จบข่าว 


2. ‘หุ้นเลือกเรา คือ รอให้หุ้นมันจบรอบ ค่อยซื้อ’ …คิดง่ายๆ เหมือน ‘ซื้อของ’ ถ้าเราไปวิ่งหา เรามักได้ของแพง …แต่ถ้าเรารอได้ รอให้คนร้อนเงิน เดี๋ยวเขาก็มาขายให้เราถูกๆ เอง


3. ‘เตรียมเงินให้พร้อมในเวลาที่เศรษฐกิจแย่’ …คิดง่ายๆ ก็เวลาที่คนอื่นรวย ซื้อของ เราไม่ซื้อ …ถ้าเรามีบางทีก็แบ่งออกมาขาย แล้วเก็บเงินสดไว้ …พอคนอื่นแย่ เราก็เอาเงินที่เก็บมารอซื้อของถูก ก็แค่นั้นแหละ 


4. ‘ซื้อให้ช้า อีก 1 Step เสมอ’ …เวลาของถูกใหม่ๆ อย่าเพิ่งซื้อ …เพราะ ถูกใหม่ๆ คือรายใหญ่ เขาเทของ อย่าไปรับ …ถ้ารับจะจุก ….ให้รอลงระลอก 2 คือ รายย่อย ขาย …ดูไง ‘ก็ราคาลง แต่ Volume หาย นั้นแหละ รายย่อยขาย’ ค่อยๆ ทยอยรับ ชิวๆ …ก็มาดิคร๊าบบ !!


5. ‘ให้หุ้นเลือกเรา ไปเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ จนรวยเอง’ …หุ้นถูก มันมักเป็นหุ้นที่เราไม่ได้อยากจะซื้อ แต่มันถูก คนขายเขาร้อนเงิน เราก็แค่ช่วยซื้อไว้ …สุดท้าย พอวิกฤติผ่านไป มันกลับไปแพง เราก็ค่อยขาย แล้วหาของถูกรอบต่อไป 


‘หุ้นอะไรก็ได้ ไม่สำคัญ …สำคัญกว่า คือ ต้นทุนเราดี …แค่นี้ก็แพ้ยากละ’ 


ก็แค่ไม่แพ้หนักๆ เดี๋ยวมันก็ชนะเอง 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 ข้อควรรู้เกี่ยวกับ FIRE ‘ชนะเงิน เกษียณไว’ หัวใจ สุลต่าน !!

 5 ข้อควรรู้เกี่ยวกับ FIRE (Financial Independence & Retire Early) …เหนือเงินแล้วเกษียณเร็ว …เชรดโด้ !!


หลักการของ FIRE ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดกันมากขึ้นวันนี้ เพราะ คนรุ่นใหม่อยากจะเกษียณเร็วและมีอิสระจากเงิน ….ซึ่งจริงๆ concept นี้ เกิดมาเป็น 10 ปีมาแล้ว 


ก็เท่ากับว่า ‘ใช่!! มีบางคนทำได้แล้วไง’ …แต่ !! บอกตรงๆ โคตรแห่งความยาก 


1. ‘ใช้ 25% ลงทุน 75%’ …หลักๆ คือ แทบไม่ใช้เงิน …มีเท่าไหร่เอามาลงทุนแทบทั้งหมด …เป็นหลักการที่โหดจริงๆ 


2. ‘มันเป็นเรื่องของ นิสัย มากกว่า หลักการ’ …นิสัย หรือ Habit มันเริ่มจาก ‘วินัย’ ซึ่งยากกว่า แค่พูดเป็นหลักการเฉยๆ …คิดง่ายๆ คุณอยากลดความอ้วน ‘อ๋อ !! ก็แค่ เอา แคลลอรี่ เข้าให้น้อยกว่าที่ร่างกายเผาผลาญ ก็ผอมแล้ว’ …ใช่!! หลักๆ มันคือ การสร้าง ‘นิสัย’ ใหม่ …นิสัย ที่เทียบทุกอย่างที่จะซื้อ กับว่า ถ้าไม่ซื้อแล้วไปลงทุน มันจะเป็นเท่าไหร่ ?


3. ‘ทำคนเดียว มักไม่รอด’ …ก็รอบตัว มีแต่คนใช้ชีวิตแบบ ‘ชีวิตใช้ซะ’ โพส social โชว์ จนเราตบะแตก …ถ้าจะรอด ต้องหา เพื่อน หาแฟน ที่ ตั้งใจทำร่วมกัน …ช่วยกันเตือนสติ …’มันต้องเป็นคนที่ศีลเสมอกันด้วย’ 


4. ‘รายได้เสริม กับ สิ่งที่ลงทุน โคตรสำคัญ’ …เอาตรง ถึงไม่ใช้เงินเลย แล้วซื้อแต่ ตราสารหนี้ หรือ แค่ฝากธนาคาร ก็แทบการันตีว่า ไปไม่ถึงเป้าแน่นอน …รายได้เสริม สำคัญมาก …และ สินทรัพย์ที่เราลงทุน ก็ต้องมีผลตอบแทนที่สูงด้วย


5. ‘เมื่อถึงเป้าแล้ว ก็ไม่ควรหยุด ก็แค่ทำต่อไป’ …เอาตรงๆ คนที่ถึงเป้า มันแปลว่า ‘เรามีนิสัยของคนรวยไปแล้ว จะเลิกทำไม’ …นิสัยแบบ หามากกว่าใช้ ..ที่เหลือลงทุนหมด …ซื้ออะไรก็คิดตลอดว่า ไปลงทุนดีกว่าไหม …พอมีอิสรภาพทางการเงิน ของที่เคยอยากจะซื้อมันจะน้อยลงจนน่าประหลาดใจ 


…ไปให้ถึง ท่าน สุลต่าน !!! 😁


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

5 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับ Dollar Milkshake Theory

 5 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับ Dollar Milkshake Theory 


ทฤษฎี Milkshake ได้ถูกพูดถึงโดย Brent Johnson เจ้าของ Hedgefund ชื่อดัง ได้ทำนายเกี่ยวกับเงินดอลลาร์ไว้ว่า ‘ดอลลาร์จะแข็ง แล้วประเทศอ่อนแอจะแพ้ไป’ 


เขาทำนายไว้หลายปีแล้ว …ช่วงแรก ทุกคนมองว่าความคิดของ Brent Hohnson ไร้สาระ …ดอลลาร์จะแข็งได้ไง FED พิมพ์เงินอย่างบ้าคลั่ง ค่าเงินดอลลาร์ต้องอ่อนซิ …ต้องไปลงทุน ใน ทอง ใน Bitcoin ถึงจะดี 


แต่วันนี้ ดอลลาร์ แข็งขึ้นเรื่อยๆ …จนมีคนพูดถึง Dollar Milkshake Theory อีกครั้ง !!


1. ‘เงินดอลลาร์จะแข็ง เทียบกับสุกลอื่น’ …นั่นเพราะ หนี้ส่วนใหญ่อยู่ในสกุลดอลลาร์ พอขึ้นดอกเบี้ย …ก็มีความต้องการดอลลาร์เพิ่ม ทำให้แข็งขึ้นเรื่อยๆ 


2. ‘ยิ่งขึ้นดอกเบี้ย ดอลลาร์ก็ยิ่งแข็ง’ …ใช่!! ยิ่งขึ้นดอกเบี้ย คนก็ยิ่งต้องการดอลลาร์ไปจ่ายหนี้ที่เพิ่มขึ้นจากดอกเบี้ยที่สูงขึ้น …เขาเทียบว่า เงินในระบบคือ Milkshake ส่วน FED ที่ขึ้นดอกเบี้ย คือ คนที่เอา ‘หลอด’ มาดูด ไปกินสบายๆ …เหยดเข้ !! 


3. ‘ราคาสินทรัพย์ จะย่อตัวลง เกิดโอกาสกับคนที่พร้อม’ …นี่แหละ ช่วง Wealth Transfer จากคนที่บริหารเงินไม่ดี ไปสู่คนที่บริหารเงินดี ….พูดง่ายๆ ระหว่างที่ราคาสินทรัพย์ลง คนที่มีเงิน ก็สามารถช้อนซื้อเก็บในราคาถูก สบายๆ 


4. ‘บางประเทศ จะแทบล้มละลาย จากค่าเงินพัง’ …เราเริ่มเห็น ศรีลังกา , ลาว ..เริ่มพัง ก็เพราะ เศรษฐกิจเขาไม่แข็งแรง …ซึ่งต่อจากนี้ จะมีประเทศที่เข่าอ่อน พังมากขึ้น กลายเป็นโอกาสแก่คนที่แข็งแกร่ง ไปตักตวงผลประโยชน์ เช่น ซื้อสินทรัพย์ในราคาถูก เหมือนที่ประเทศไทยเคยโดนในยุคต้มยำกุ้ง


5. ‘ผู้ชนะในเกมนี้ คือคนที่บริหารสภาพคล่องได้ดีที่สุด’ …ความผันผวน จะทำให้ราคาขึ้นลงอย่างบ้าคลั่ง …คนที่ชนะ คือ คนที่มีสภาพคล่องเพียงพอ และ พร้อมซื้อของถูก โดยที่ตัวเองไม่เดือดร้อน 


โคตรยาก !! เพราะ ทุกคนมีหนี้เยอะ …พอหนี้ขึ้น ก็ต้องยอมขายสินทรัพย์ราคาถูกไปจ่ายหนี้ …คนชนะ ก็คือคนที่สามารถเก็บสินทรัพย์ราคาถูก ระหว่างทางนั่นเอง 


เกมนี้ลึกซึ้ง ยาวไกล ต้องค่อยๆ ผ่านไปด้วยกัน 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

5 ข้อ การเข้าหุ้นขา C กับ Wave 3 ต่างกันยังไง

 5 ข้อ การเข้าหุ้น ขา C และ ขา 3 ต่างกันยังไง


…การเข้าหุ้นปรับฐาน ต้องเลือกว่าจะเข้าตอนไหน มาดูกัน


1. ‘ขา C ลงลึก เข้าถูกแต่ รอนาน’ …ว่าด้วยการเข้าหุ้นถูก แบบลงจบรอบใหญ่ ส่วนใหญ่ ลงไปเกิน 70% พวกนี้หุ้นถูกจริง แต่ต้องรอนาน 


2. ‘ขาลง 2 ขึ้น 3 เร็วกว่า แต่ไม่ถูกเท่าไหร่’ …หุ้นที่ขึ้น Wave 1 แล้วลง 2 มันแปลว่า เจ้ามือเข้าแล้ว …การเข้าแบบนี้ราคาจะไม่ถูกเท่าการเข้าหุ้นจบรอบ Wave C แต่โอกาสขึ้นก็เร็วกว่า


3. ‘ข้อแตกต่างระหว่าง Wave C กับ ขึ้น Wave 3 ก็คือ Volume’ …หุ้น Wave C คือช่วงต่ำสุดของหุ้น แปลว่า ทุกคนหนีตาย พื้นฐานย่ำแย่ ช่วงนี้แทบไม่มี Volume การซื้อต้องเงินเย็น รอได้


4. ‘หุ้น Wave 4 ขึ้น Wave 5 ขึ้นมันส์ แต่ระวังดอย’ …หุ้น Wave 4 เป็นการปรับฐาน เพื่อการขึ้นใหญ่ครั้งสุดท้าย …จุดนี้รายย่อยชอบ เพราะ ลงไม่ลึก แต่ขึ้นแรง บวกกับ Volume มหาศาล …เข้าได้แต่ให้ระวังดอยนั่นแหละ 


5. ‘หุ้น Wave 5 ไม่น่าเข้า’(แต่รายย่อยเข้ามากที่สุดในช่วงนี้)  …ช่วงปลายสุดของการขึ้นของหุ้น คือ พื้นฐานดี งบสวย หุ้นขึ้นแรง พร้อมกับข่าวดี และ Volume มหาศาล …ภาวะนี้ เล่นกำไรง่าย แต่ต้องระวังติดดอยสูงสุด 


สรุป ต้นรอบ เป็นรอบของมืออาชีพ เงินเย็น ถือยาว จากนั้น พอหุ้นขึ้น ก็หาจังหวะเล่นรอบตามแนวที่เรารับความเสี่ยงไหว ก็เท่านั้นแหละ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 เรื่อง เศรษฐกิจยุคใหม่ ที่เราควรรู้

 5 เรื่อง เศรษฐกิจยุคใหม่ ที่เราควรรู้


1. ‘ค่าเงินบาทอ่อน ดีต่อผู้ส่งออก และการท่องเที่ยวไทย’ …บาทอ่อน เราก็ได้ดุลการค้า


2. ‘ค่าเงินดอลลาห์แข็ง ได้ไม่นาน’ …อเมริกาขึ้นเอกเบี้ยทำให้ดอลลาร์แข็ง แต่ยิ่งแข็ง อเมริกาก็ยิ่งขาดดุลการค้า …ถ้าแข็งนานไป จะกลายเป็น Lost Decade เหมือนที่เคยเกิดกับญี่ปุ่น


3. ‘ดอลลาร์แข็ง ธุรกิจอเมริกาจะออกมาลงทุนต่างประเทศ’ …อันนี้ขึ้นกับว่า ประเทศไหนสามารถดึงดูดการลงทุนระยะยาวได้ดีกว่า …ในอดีตไทยเคยเป็นประเทศที่รองรับการลงทุนของญี่ปุ่น จนพูดได้ว่า เราเป็นบ้านที่สองของคนญี่ปุ่น


4. ‘นำเข้าให้น้อย ส่งออกให้มาก’ คือ พื้นฐานการเติบโตของเอเชีย …ข้อดี คือ เราจะมีค่าครองชีพต่ำ แต่ข้อเสีย คือ เราต้องซื้อของต่างประเทศแพง 


5. ‘สำคัญสุดคือ Productivity’ …สุดท้ายเราวัดกันที่ Productivity …คนที่สามารถผลิตด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด และ ให้ผลลัพธ์ที่สูงที่สุด คือ ผู้ชนะ 


ญี่ปุ่น เคยเป็นผู้ชนะ ในยุคอุตสาหกรรม

อเมริกา เคยชนะ ในยุคข้อมูลข่าวสาร

จีน เป็นผู้ได้เปรียบ ในยุคปัจจุบัน 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 ข้อควรรู้ ลงทุนในตลาดผันผวนครึ่งปีหลัง 2022

 5 ข้อต้องรู้ ลงทุนตลาดผันผวนครึ่งปีหลัง 2022


…ทุกคนคาดหวังดอกเบี้ยขึ้น เงินเฟ้อ สินทรัพย์ผันผวน แล้วเราควรคาดหวังอะไรจากการลงทุนหุ้น


1. ‘จุดที่ทุกคนมองว่าปลอดภัย ไม่น่าจะดี’ …เงินจะวิ่งเข้าหาที่ปลอดภัย จนกลายเป็นว่า ไม่เหลืออะไรให้เราได้ประโยชน์


2. ‘จุดที่เสี่ยงเกินไป ก็ไม่น่าจะดี’ …หลายคนอยากหาจุด กลับตัวรอบใหญ่ เช่น หุ้นเทค หรือ ตลาดคริปโต …ก็อาจมีรอบสั้นๆ แต่อย่าเพิ่งหวังรอบใหญ่ 


3. ‘หุ้นใหญ่ ปันผลดี อาจต้องทนถือนาน’ …เงินใหญ่ในเวลานี้ คาดหวังผลตอบแทนสั้น ดังนั้น โอกาสที่หุ้นใหญ่จะวิ่งยาว ก็ยังเป็นเรื่องที่ยาก 


4. ‘หุ้นเล็ก รอบใหญ่ ให้ระวังสภาพคล่อง’ …แน่นอน หุ้นเล็ก น่าจะเป็นจุดหลบภัย แต่ให้ระวังเรื่องสภาพคล่อง เพราะ หุ้นเล็ก ถ้าจบรอบจะแทบไม่เหลือ Volume ให้ออกเลย


5. ‘เทรดหุ้นสวนเทรนด์ ดีกว่าตามเทรนด์’ …ตลาดปกติเทรดตามเทรนด์ก็ได้กำไรง่ายๆ แต่ในเวลาที่ผันผวน มันต้องเล่นเทรดในท่าที่ไม่ปกติ ถึงจะกำไรได้


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ