แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

6 ข้อเล่นหุ้นแบบไหนให้รวยคุ้มเสี่ยง

6 ข้อ เล่นหุ้นแบบไหนให้รวย คุ้มเสี่ยง

จะเสี่ยงทั้งที มันต้องคุ้ม มันต้องรวย จริงไหม ? ...มาดูกันเลยว่า ต้องเลือกหุ้นแบบไหนดี

1. ‘หุ้นฮิต ไม่รวย’ ...หุ้นตัวไหนฮิต ใครๆ ก็บอกว่า ต้องมี ...ซื้อไปก็ใกล้ดอย ไม่รวยครับ

2. ‘หุ้นใหญ่ มั่นคง แต่ไม่มั่งคั่ง’ ...หุ้นใหญ่ควรมีในพอร์ต เพราะปันผลดี มีความมั่นคง แต่มันโตยาก เพราะ ธุรกิจมันใหญ่จนคับประเทศแล้ว ถ้าจะโตต่อต้องไปสู้กับต่างประเทศ ซี่งคนละเกม ...ก็มีบ้างที่สำเร็จระดับโลก แต่น้อยมากๆ

3. ‘หุ้นหลายเด้งรอบใหม่ มักเป็นหุ้นนอกสายตา’ ...เคยสังเกตไหมว่า หุ้นที่มาเป็น Super stock หลายๆ เด้ง กว่าเราจะเห็นก็สายเกินไปแล้วที่จะเข้าซื้อ ...พวกนี้ต้องหา ตั้งแต่ยังไม่มีใครพูดถึง ซื้อไว้แล้วถือยาวๆ ...ข้อสังเกตคือ ให้หาในอุตสาหกรรมที่กำลังจะเติบโต

4. ‘หุ้นขาขึ้น ต้องซื้อเพิ่ม’ ...เดิมที เรามักซื้อหุ้นถูก ยิ่งลง ยิ่งซื้อ ปรากฎว่า มันลงจนเจ๊ง !! ...ยุคนี้ของดีไปยาวๆ ถ้ามันเป็นขาขึ้นจริง ซื้อช้าก็ยังซื้อทัน ...แผนการที่ดีคือ หุ้นดีซื้อเพิ่ม หุ้นไม่ดี ขายทิ้งไป เอามาใส่หุ้นดีเพิ่ม ...ถ้าทำแบบนี้ เราจะมีหุ้นที่ขึ้นเยอะ จำนวนมากที่สุด (ต่างกับวิธีการเดิม เรามักจะมีหุ้นที่ขึ้นน้อย โคตรเศร้า!!)

5. ‘ถ้าไม่ร้อนเงิน อย่ารีบขายหุ้นดี’ ..ถ้าอยากได้หุ้น 10 เด้ง ต้องไม่ขายหุ้น ...แต่คนส่วนใหญ่ขายก่อน ‘กลัวรวย’ ...ถือไป อย่ากลัวรวย กัดฟันทนรวย !!

6. ‘หุ้นเล็ก เสี่ยง แต่โตมากกว่า’ ...หุ้นเล็ก ขึ้นกับ หนึ่ง เจ้าของมองเกมยาว (เจ้าของไม่ขาย ถ้าเจ้าของขาย อย่าไปยุ่ง เพราะหุ้นจะไม่ไปไหน) / สอง Cashflow ดี / สาม อยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโต ‘รวยง่ายกว่า’ / สี่ มีนายทุนสนับสนุน ..ถ้าดูดีๆ หุ้นที่โตเยอะ มักมีเจ้าภาพที่ดีสนับสนุน (ลำพังเจ้าของ มันไปได้ระดีบนึง แต่ถ้ามีเจ้าภาพช่วยหนุน ก็ไปต่อได้อีก)

ลองสำรวจว่า หุ้นที่คุณเลือก มี 6 ข้อนี้แค่ไหน ...หุ้นก็ไปเท่านั้นเด้ง ...จัดไป !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

7 ข้อ อเมริกาสู้กับจีน แล้วเราอยู่ตรงไหน

‘อเมริกา สู้กับ จีน แล้วไทยอยู่ตรงไหนล่ะ ?’

ทุกยุคมันต้องมีสงคราม เพียงแต่สงครามมันจะมาในรูปแบบที่ต่างกัน ...หากเราย้อนศึกษาประวัติศาสตร์จะพบว่า ทุกครั้งที่เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ มันจะก่อให้เกิดความขัดแย้ง

สงครามโลก อักษะ ปะทะ พันธมิตร ...สงครามเย็น รัสเซีย สู้กับ อเมริกา จบด้วยการส่งมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ ...วันนี้ผู้ขัดแย้งใหม่ อเมริกา กับ จีน ...สุดท้ายเราจะไม่ส่งคนไปดาวอังคาร แต่เราจะขจัดความยากจน ให้หมดไปจากโลกใบนี้

...ใครชนะจริงๆ ไม่สำคัญเท่ากับ การเตรียมพร้อมประเทศและตัวเราเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

1. ‘ไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับการย้ายฐานผลิต’ ...จุดแข็งของไทยคือ ความปราณีต คุณภาพสินค้า ...ราคาไม่ใช่จุดขาย ต้อง Focus ให้ถูกที่

2. ‘ศูนย์กลางการกระจายสินค้าของภูมิภาค’ ...ด้านภูมิศาสตร์ ประเทศเราตั้งอยู่ใจกลางการกระจายสินค้าของภูมิภาคนี้อยู่แล้ว ขออย่างเดียวอย่า ออก กฏแย่ๆมาเตะสกัดขาตัวเองก็พอแล้ว

3. ‘บ้านหลังที่สองของชาวโลก’ ...วิกฤตโควิด เป็นการส่งสัญญาณให้ชาวโลกรู้ว่า นอกจาก อาหารอร่อย หลากหลาย ถูก ที่พักสบาย หรู ไม่แพง ..ไม่เหยียดใคร ยิ้มเสมอ ...เรายังมีการแพทย์ที่ไม่แพ้ใคร (ขอบคุณตลาดหุ้น ที่ให้ รพ. เข้าจดทะเบียนเป็นหุ้นเติบโตได้) ....ใครบอกอสังหาริมทรัพย์ตาย ผมว่า มองใหม่นะ ...หาก Focus ถูกจุด ไปอีกไกล !! ‘ไทยสามารถเป็น บ้านหลังที่สองของชาวโลก’

4. ‘ให้คนเก่งทั้งโลก มาเป็นคนไทย’ ...ทุกประเทศมหาอำนาจ ต้องเป็นที่ดึงดูดคนเก่งมารวมกัน ...อเมริกาเป็นตัวอย่างที่ดี ที่รับคนเก่งทั้งโลก ใครเก่งเอาสัญชาติอเมริกันไป ....’ต่อไปใครเก่ง เอาสัญชาติไทยไปถือได้เลย!!’

5. ‘ถ้ารถเปลี่ยนเป็นยุคไฟฟ้า จีนจะกลายเป็นผู้นำของอุตสาหกรรมรถไฟฟ้า’ ...อเมริกาเป็นผู้นำในด้านน้ำมันและเครื่องยนต์สันดาบ ...แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นยุคไฟฟ้า จีนจะมาแทน ดังนั้น อเมริกาจะต้องยื้อให้เราใช้น้ำมันให้นานที่สุด !!

6. ‘อเมริกาจะแตกจากภายใน เพราะอุตสาหกรรมที่เขาเลือก’ ...อเมริกาเน้นอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ซึ่งส่งผลให้ รวยกระจุก จนกระจาย แบบที่อเมริกาเป็น ...ส่วนจีน เป็นโรงงานของโลก ทำให้รวยกระจุก และ รวยกระจาย ...จีนใช้เวลาไม่นาน ยกระดับให้คนจน กลายเป็นคนชั้นกลาง ....วันนี้ไม่มีประเทศไหนชนะอเมริกาได้ แต่ถ้าอเมริกาจะแพ้ ก็แพ้จากภายในของตัวเองนั่นแหละ ....ยุคนี้สงครามโลกไม่น่ากลัวเท่าสงครามกลางเมือง !!

7. ‘ไทยไม่ต้องไฮเทค แต่เราต้องไป Hi Touch’ ...ศิลปะ วัฒนธรรม การท่องเที่ยว เอกลักษณ์ ..ขายของที่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจซื้อ ...บริการชั้นเยี่ยม คุณภาพชั้นยอด ....เคยคุยกับนักธุรกิจต่างชาติ เขาบอกว่า สินค้าไทยมีคุณภาพ และ ยึดมั่นในคุณภาพจริงๆ

ยกตัวอย่าง ถ้าคุณไปสั่งโรงงานในจีน ให้ผลิตของให้คุณภาพต่ำลง ถูกลง แต่ให้แปะยี่ห้อเดิม เขาจะทำให้คุณทันที ....สุดท้ายลูกค้า จะได้ของห่วย และ แบรนด์ก็พังไป ...แต่คนไทยไม่ทำ นั่นคือ เสน่ห์และจุดยืนด้านคุณภาพของไทย ที่ทำให้สินค้าไทยได้รับการยอมรับในภูมิภาคนี้ (Do not compromise in Quality !!!’)

...ขาดทุนชั่วคราวยอมได้ แต่เราจะรักษาคุณภาพ และ แบรนด์ของเรายิ่งชีวิต !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


7 บทเรียนจากวิกฤตเศรษฐกิจ

7 บทเรียนจากวิกฤตเศรษฐกิจ

ทุกคนรู้ว่าในวิกฤตมีโอกาส แต่ถามหน่อยว่า ‘แล้วทำไม ทั้งๆ ที่รู้ว่าในวิกฤตมีโอกาส แต่คนส่วนใหญ่ก็มักพลาดโอกาสจากวิกฤตตลอดเลย’

...หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ในทำธุรกิจส่งออกรวยเละ !!
...หลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เป็นการแจ้งเกิดของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ...หุ้นสนามบิน และ การท่องเที่ยว พุ่งเป็นติดจรวด
...หลังน้ำท่วม เกิดเศรษฐีโซลาร์ และ พลังงานทดแทน
...หลังจากนั้น เกิดเศรษฐีโรงไฟฟ้า

ใช่!! ‘ทำไมคนส่วนใหญ่ พลาดเกือบทุกรอบ’ ...ตอบง่ายๆ เพราะทุกคนมัวแต่มองที่วิกฤตจนมองข้ามโอกาสที่เกิดขึ้นนั่นเอง

1. ‘ทุกวิกฤตจะเร่งให้เกิดนวัตกรรมใหม่’ ...ในช่วงวิกฤตบริษัทจะเร่งกระบวนการต่างๆ ทำให้ส่วนใหญ่นวัตกรรมใหม่จะเกิดขึ้น

2. ‘บริษัทจะลดต้นทุน ทำให้ธุรกิจจะเกิดกำไรมากขึ้นเมื่อวิกฤตผ่านไป’ ...ข้ออ้างชั้นดีในการกำจัดไขมันส่วนเกิน ก็คือ วิกฤต

3. ‘คู่แข่งจะหายไป’ ...ก่อนวิกฤตมักมีการแข่งขันสูง แต่พอวิกฤตมา ธุรกิจที่อ่อนแอจะตายไป ...ผู้อยู่รอดจึงกำไรมากขึ้น เช่น สายการบิน และ โรงแรม จะเจ๊งจำนวนมาก ...เป็นโอกาสให้คนที่รอด ให้แข็งแรงขึ้น

4. ‘คนแข็งแรง ควบรวมรายเล็ก’ ...โอกาส M&A คู่แข่งให้ได้ราคาถูก ก็ช่วงวิกฤตนี่แหละ

5. ‘ตัดทิ้งสินค้าที่ไม่จำเป็น’ ...โลกยุคใหม่มันเอื้อต่อธุรกิจที่ชัดเจน ...หมดยุค conglomerate ที่ทำสินค้าสากเบือยันเรือรบ ...ต้องมีสินค้าน้อยชิ้น และชัดเจน ...วิกฤตทำให้เรารู้ว่า จริงๆ เราควร Focus อะไร

6. ‘วิกฤตจะเร่งการเปลี่ยนแปลงให้เร็วขึ้น’ ...จบเลย !! ...ยกตัวอย่าง หลายๆ บริษัทอยากลดต้นทุนออฟฟิศ เพราะ เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีสามารถทำงานและประชุมที่บ้านได้ ...แต่ก็ไม่เกิดสักที ...พอโควิดมาเกิดเลย

7. ‘คนใส่ใจกับสิ่งใกล้ตัวมากขึ้น’ ...ต้นไม้ขายดี , ทำอาหารเอง , สัตว์เลี้ยงกำลังมา ...จากเดิมแข่งกันทำธุรกิจ วันนี้หันกลับมาใส่ใจกับ ความสุขระหว่างทางที่เดินมากกว่าเป้าหมาย

ใช่!! หากเรา เปิดใจมองไปรอบๆ เราจะมองเห็นโอกาสครั้งใหม่ชัดขึ้น

เอาตรงๆ หลังวิกฤตนี้ ต้องมี Superstock ตัวใหม่ ...ว่าแต่ ตัวไหนดีล่ะ ???

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

4 เรื่องต้องรู้ เมื่ออเมริกาพิมพ์เงินเพิ่ม

‘4 เรื่องต้องรู้ ...เมื่ออเมริกาพิมพ์เงินเพิ่ม จะส่งผลต่อเรายังไง’

ครั้งนี้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกา ก็ทำเหมือนปี 2008 เลย ก็คือ พิมพ์เงินเพิ่ม ...เฮ้ย!! ง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ ? (จริงๆ มันซับซ้อนกว่านั้น แต่เอาให้เข้าใจง่ายก็คือ อเมริกาพิมพ์เงินเพิ่ม ซึ่งรอบนี้ยิ่งกว่าเดิม คือ มีแจกเงินตรงๆ ด้วย ช่วยพยุงเศรษฐกิจยุคโควิทนั่นแหละ)

สิ่งที่เราต้องสนใจคือ ‘แล้วมันจะกระทบยังไงกับประชาชนตาดำๆ ตัวเล็ก ในประเทศเล็กๆ อย่างประเทศไทยบ้าง อันนี้แหละ มีผมว่าเราควรสนใจ’

ก็ขอสรุปเป็นข้อๆ ให้เข้าใจง่ายดังนี้

1. ‘เมื่อมีเงินเพิ่มในระบบ ปัญหาเศรษฐกิจจะไม่ลงรุนแรง แต่จะซึมยาวแทน’ ...โอ้โห!! ซึมยาว ..ก็เอาตรงๆ การพิมพ์เงินมันไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ มันแค่เอาฟอร์มาลีนมาฉีดศพไม่ให้เน่าเท่านั้น เห็นภาพไหม ...ยกตัวอย่าง คุณแจกเงินคน พอเขาได้เงิน เขาก็เอาเงินนั้นมาใช้ซื้อของ เงินก็จะกลับไปที่กระเป๋าคนรวย ...มันดีขึ้นชั่วคราว แต่ปัญหาจริงๆ มันยังอยู่ เช่น หนี้ท่วมหัว , ธุรกิจเจอ Disrupt หาเงินยากขึ้น , ธุรกิจใหญ่มาแย่งธุรกิจเล็ก ....มันยังไม่ได้ถูกแก้

2. ‘สินทรัพย์จะผันผวนหนัก’ ...อันนี้กระทบโดยตรงเลยจากการพิมพ์เงิน เพราะ ถ้า Supply เงินเพิ่ม แปลว่า มูลค่าของเงินในกระเป๋าเราจะลดลง ...มันก็ต้องมีสิ่งที่เพิ่มจริงไหม ? ...มูลค่าเงินลด อะไรเพิ่ม ก็สินทรัพย์ไง ....แต่ความยากคือ สินทรัพย์มีมากมาย ...’ทอง หุ้น ของสะสม ที่ดิน คริปโต’ ...เราจะเลือกสินทรัพย์อะไรล่ะ ?

....ผมฟันธงให้เลย ‘หุ้น’ ...รอบนี้ผมชอบหุ้นมากสุด เพราะ มันซื้อด้วยเงินน้อยก็ได้ แปลว่า มันไม่ได้จำกัดผู้เล่น ...นอกจากนี้สภาพคล่องมันสูงสุด

...เอาง่ายๆ วันนี้ หลายคนถามผมว่า ‘พี่แพ้ท หุ้นขึ้นแบบนี้ กล้าซื้อ ไม่กลัวเหรอ ?’ ...ผมบอกว่า ‘จะกลัวทำไม เอาแค่ถือได้ปันผล ก็คุ้มแล้ว ...หรือ ถ้าอยากขายจริง ถ้ามันไม่ขึ้นต่อ ก็ขายได้ คุณขายได้ทุกวัน มีสภาพคล่องตลอด กลัวอะไร ไม่ใช่ที่ดินนี่ที่สภาพคล่องไม่มี’

3. ‘Gap ระหว่างคนรวยกับจนห่างสุดๆ ...คนรวย รวยขึ้นอีก คนจน จนหนักเลย กระตุ้นความขัดแย้งทางการเมือง’ ....ผลจากที่สินทรัพย์พุ่ง คนที่มีสินทรัพย์คือคนรวย ก็จะรวยขึ้นไปอีก แต่คนทั่วไปที่ไม่มีสินทรัพย์นี่ซวยเลย เพราะ ของที่ขึ้นก็ไม่ได้ถือ ส่วนหากิน ก็ไม่ได้ง่าย

....คราวนี้จะเกิดความขัดแย้งทางการเมืองเพิ่มขึ้น ...จริงๆ ปัญหานี้ ผมว่า แก้ได้ด้วย การที่รัฐบาลต้องสร้างให้คนส่วนใหญ่ลงทุน แบบภาคบังคับ ยังไงล่ะ ? ...เช่น ออกสลากลุ้นโชคแห่งชาติ ..เหมือนหวย แต่ถ้าไม่ถูก เงินบางส่วนจะผันเป็นเงินลงทุนในสินทรัพย์อย่างหุ้นก็ได้ ...คนส่วนใหญ่ซื้อหวยอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ถูกเงินมันหายไป นี่เอากลับมาออมในสินทรัพย์ให้เขา อะไรก็ว่าไป

...เอาเถอะ คิดกันไป ไม่เกิดขึ้นหรอก ฮ่า ฮ่า แก้ง่ายสุด คือ เริ่มจากตัวเราครับ เราเริ่มแบ่งเงินบางส่วนมาลงในหุ้น อาจเริ่มจาก DCA ใน ETF ก็ได้ (ได้ผลตอบแทนเหมือนตลาดหุ้น แต่แทบไม่เสี่ยงเลย)

4. ‘ปัญหาหนี้จะไม่ได้รับการแก้ หนี้จะเพิ่มหนักทั้งประชาชนและรัฐบาล’ ....เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร จุดที่หนี้มันท่วมหัวเรา ...ใครๆ ก็รู้ว่าหนี้มันไม่ดี แต่ทำไงได้ มันจำเป็นต้องกู้ ....หนึ่งในธุรกิจที่โตเร็ว รวยเร็วที่สุดวันนี้ ก็คือ ปล่อยกู้รายย่อย ...’จริงๆ ธุรกิจแบบนี้ ก็คล้ายธนาคาร เพียงแต่ธนาคารปล่อยกู้รายใหญ่ พอพวกนี้เบี้ยว ก็ตามยาก ...แต่รายย่อย นี่ตามกันจนคุณผูกคอตาย สรุปง่าย ตามหนี้รายย่อยง่ายกว่า ...มันเลยโตมหาศาล!!’

แต่สุดท้ายปัญหาคือ หนี้ครัวเรือนเพิ่มหนักเลย (เป็นเหมือนกันทั้งโลก) ...ผมว่า เป้าหมายชีวิตของคนรุ่นใหม่ ไม่ต้องคิดว่ารวยนะ คิดว่า ‘ถ้าฉันไม่มีหนี้ แปลว่า ฉันคือคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วนะ!!’

ที่พูดนี่ไม่ได้รวมหนี้ธุรกิจนะ ...หนี้มี 2 แบบ

...1. หนี้ส่วนตัว อันนี้อันตรายเพราะ เป็นการสร้างหนี้ซื้อของ ที่ไม่สร้างรายได้ในอนาคต ใครมีหนี้แบบนี้มากๆ ซวยแน่นอน

...2. หนี้ธุรกิจ อันนี้บางส่วนดี เพราะ กู้ไปขยายธุรกิจ สร้างรายได้ในอนาคต ...พอรับได้ถ้าธุรกิจมันขยายได้จริง แต่ถ้าสุดท้ายไม่เป็นไปตามเป้า ก็หนักเหมือนกันแหละ

ใช่!! การพิมพ์เงินรัฐบาล บางส่วนก็มาซื้อหนี้อันที่สอง โดยเฉพาะธนาคาร และธุรกิจใหญ่ ...แต่ไม่รวมหนี้ของธุรกิจเล็ก ....เราจะเห็นสนามแข่งธุรกิจมันไม่เคยเท่าเทียมกัน

รายใหญ่พลาด มีอุ้ม ...รายเล็กพลาด มรึง จมดินแน่ !!

คำแนะนำ ของผม ที่ทำอยู่ตอนนี้ คือ ผมซื้อหุ้น เอาพวกที่

หนึ่ง ได้รับผลกระทบต่อวิกฤตน้อย

สอง เอาธุรกิจใหญ่ๆ ที่ได้รับการช่วยเหลือ

สาม เอาหุ้น ที่เจ้าของ ซื้อเพิ่ม

สี่ ผมกระจายเงินเยอะ ซื้อหุ้นทั้ง 3 แถวเลย ...แถว 1 เยอะหน่อย ...แถว 2 กับ 3 มีน้อยหน่อย แต่ก็ต้องมี ไว้ลุ้นเติบโต

สมมุติ ผมมีเงินลงทุน 100 บาท ...50 บาท นี่หุ้นแถวหนึ่ง / 30 บาท หุ้นแถว 2 / อีก 20 บาทลุ้นแถว 3 ...ก็จะช่วยสมดุลย์ความเสี่ยงในภาวะตลาดแบบนี้ครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย
http://bls.tips/pawawitTeam

หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ”

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

การตลาดที่เปลี่ยนโลก

‘การตลาดขั้นเทพ คือ การเปลี่ยนมุมมองคน ..ใครทำได้ รวยเละครับ!!’

1. วันนี้ขับรถผ่าน เห็น ‘หมูดำ’ ผมก็พูดขึ้นว่า ‘ใครจะกล้ากินหมูดำวะ ...มันดูไม่น่าจะเลี้ยงไว้กิน ?’

แล้วอยู่ คำว่า ‘หมูดำคุโรบูตะ’ กี่แวบขึ้นมา ...เออ !! เทพว่ะ ...เพราะ เรารู้สึกว่า ‘หมูคุโรบูตะ’ ชื่อมันญี่ปุ่น มันน่ากิน

2. ‘เพชร’ ...ทุกวันนี้เราทำเพชรได้แล้ว แต่เพชรธรรมชาติก็ยังคงแพงหูฉี่อยู่ดี

พอศึกษาเรื่องเพชรก็พบว่า มันคือ การตลาดระดับโลก โดยเจ้าของเหมืองเพชรรายใหญ่ เดอเบียร์ส ...ใช้หลัก จำกัด Supply ปริมาณเพชร ...แล้วก็ใช้การตลาด ให้เพชรเป็นสัญลักษณ์ของการแต่งงาน

สมัยก่อน การแต่งงาน ใช้เพชรเป็นสัญลักษณ์ ของ Forever ...แต่ชีวิตคู่คนรุ่นใหม่ ผมว่า ต้องเปลี่ยนสัญลักษณ์ เพราะ มัน ‘ชั่วคราว’

...’รักของเราชั่วคราว ไม่ข้ามคืน ฮ่า ฮ่า ‘

อ้าว!! แล้วยั่งยืน คืออะไร ?

‘ความรัก = ชั่วคราว’ แต่ ‘ความเหมาะสม = ยั่งยืน’ คนโบราณเข้าใจเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว

ศีลเสมอ แล้ว เราเจอกันยาวๆ ...อันนี้ยืนยาวจริง !!

3. iPhone ในยุคของ Steve Job..สินค้า Mass ต้นทุนต่ำ แต่ขายในราคา Luxury ...แต่ยุค Tim Cook ...เน้น ลดราคาลง ขายเพิ่ม ความเป็น Luxury ก็เลยหายไป ...แต่บริษัทกำไรมากขึ้น

ตอนนี้เราจะเห็น ค่ายรถยนต์ชั้นนำ มาแนวทางนี้หมด ..คือ ลดราคา ขยายตลาด ...ก็ดูกันไป ‘ระยะสั้นขายดีแน่นอน แต่ระยะยาว ต้องมาลุ้นกันอีกที’

เมื่อเวลาผ่านไป เราก็เรียนรู้ว่า

1. ราคาขึ้นกับ เรื่องราว และ ความพิเศษ ที่เราใส่ให้กับสินค้า

2. คุณภาพ ...สิ่งที่จับต้องได้ คือ วัสดุที่ใช้ และ ความปราณีต ที่ใส่ลงในสินค้า

3. จำนวนที่ผลิต ...ผลิตน้อย ราคาก็สูง

4. ซื้อยากหรือง่าย ...ถ้าซื้อยาก ดูถูกลูกค้า แบบ Hermes คนกลับยิ่งอยากได้ แปลกไหม ?

จริงไม่แปลก ...เขาให้ความสำคัญกับลูกค้าเดิม ซื้อง่าย ได้ราคาดี ทำให้พวก Hiso พวกนี้ สามารถซื้อแล้วไป โปรโมท ไปขายต่อ ก็ได้กำไร ...’เปลี่ยนลูกค้าเก่า เป็นสาวก แล้วแถมกำไรให้ด้วย’ ...นี่คือ กลยุทธ์เปลี่ยนลูกค้าเป็นคู่ค้า เทพไหมล่ะ ?

5. ‘ราคาขายต่อ’ ...สินค้าที่สามารถสร้างตลาดมือสอง ต้องเป็นสินค้าที่มีอายุใช้งานนาน และ Service ต้องเยี่ยม ...รถ Toyota เทพมากเรื่องนี้ ....ดังนั้น แทบไม่ต้องเดา ถ้าโลกขยับสู่ ‘การเช่ารถ ไม่ซื้อ’ ...ค่าย Toyota ขึ้นนำแน่ เพราะ Service เขาอันดับหนึ่ง ...ในด้านค่ายยุโรป ผมว่า BMW มาแรง !!

6. ‘กลุ่มนักสะสม’ ...พวกนี้สร้างพลังให้แบรนด์ เช่น Porsche ...รถทุกคันที่เขาสร้างขึ้นมาตลอด 60 ปีที่ผ่านมา 75% ยังวิ่งได้อยู่ ...ไม่ใช่รถมันทนนะ แต่จริงๆ คือ เจ้าของเขายอมเสียเงินซ่อมให้มันวิ่งได้ นั่นแหละสำคัญ ....นี่คือ Emotion ล้วนๆ ...ยิ่งมีนักสะสมมาก แบรนด์ก็ยิ่งสุดยอด

ก็คร่าวๆ ประมาณนี้ ...’ไม่มีความฟลุ๊คในโลกใบนี้ ...ถ้าเราแกะ ความสำเร็จของทุกอย่าง จะพบว่า มันมีเหตุผลบางอย่างที่สาเหตุสมผล ให้สิ่งนั้น ประสบความสำเร็จ!!’

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม






วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

อายุน้อย เบื่องาน เงินเก็บพอมี ควรลาออกไหม


‘ช่วงนี้เห็นคนโพสถามเยอะว่า เบื่องาน มีเงินเก็บพอสมควร อายุยังไม่เยอะ ...ควรลาออกไหม ?’

ในฐานะที่ผมอายุ 40 เคยผ่านการเป็นผู้ประกอบการ ตั้งแต่ยังเด็ก ..ตอนนี้มีงานประจำที่โอเค ..มีทำธุรกิจส่วนตัวเสริมในเวลาว่างเล็กๆ น้อย และ มีการลงทุนออมในหุ้น ในระดับนึง

1. ‘การลาออกจากงานมาอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ใช่คำตอบ’ ...มีคำพูดนึงที่ผมว่าโคตรโดนคือ ผู้ชายถ้ามีเงินและมีเวลาพร้อมกัน มึงหายนะ !! ...จริง!! ต้องระวัง

2. ‘งานในยุคนี้ มันเริ่มมีงานใหม่ๆ เกิดขึ้น บางงานทั้งสนุก ทั้งได้เงินดี อันนี้แหละที่เราควรค้นหาให้เจอ’ ...งานใหม่ มันสมัครไม่ได้ มันต้องสร้างขึ้นมาเอง ...ยุคนี้การสร้างงานที่ใช่สำหรับเรา มันเป็น Journey ‘มันคือการเดินทางของทุกคน’

3. ‘การหางานใหม่ งานที่ใช่ ควรเริ่มจากเวลาว่างที่เรามีก่อน’ ...คนส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ ก็ล้วนเกิดจากเอาเวลาว่างมาทำสิ่งที่ใช่ สุดท้ายได้ทั้งงานที่ใช่ และ ได้ทั้งเงิน ....ถึงเวลาที่มันชัด ค่อยลาออก ก็ยังไม่สายนะ !!

4. ‘ถ้าหางานที่ใช่ไม่ได้ ก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะ การลงทุนก็เป็นอีกทางเลือก ของการเกษียณแบบสบายของจริง’ ....ผมไม่เคยเห็นคนที่มีเงินก้อนฝากธนาคารแล้วสบายเลย ...พวกนี้กลัวเงินหมด เพราะ ดอกเบี้ยมันไม่มี ....คนที่เกษียณสบายที่สุด คือ เกษียณจากการออมหุ้น ใช้เงินจากปันผล พวกนี้โคตรสบาย (มันยากแค่ตอนสร้าง เพราะ ใช้เวลา เฉลี่ยสัก 10-20 ปี)

5. ‘คุณค่าของคนเราไม่ได้อยู่ที่เงินที่เรามี แต่อยู่ในงานที่เราทำ’ ...เราเลยไม่เคยเห็นเจ้าสัวคนไหนยอมเกษียณมานั่งเลี้ยงหลานเลยสักคน ...ก็งานเขามันคือความภูมิใจ ความสนุก และ มันก็คือตัวตนของเขานั่นเอง

6. ‘สุดท้ายเราก็ต้องหาอะไรทำอยู่ดี’ ...สุดท้ายทุกคนที่เกษียณก็ต้องหาอะไรทำอยู่ดี ...ผมว่า มันจะดีกว่า หากสิ่งนั้น ทำแล้ว สนุก ได้เงิน และ สร้างความภูมิใจในเวลาเดียวกัน

....นี่คือนิยามของ ‘งานที่เราควรทำจนตาย’ : ‘สนุก ได้เงิน และ สร้างความภูมิใจ’

7. ‘อย่าใช้ชีวิต เพื่อดูดีในสายตาคนอื่น’ ...บอกเลยว่า โคตรแพง ...ชีวิตที่ต้องดูดีตลอดเวลาในสายตาคนอื่น มันเสียเงินเยอะ และ ไม่มีความสุข

8. ‘ถ้าจิตตกมาก ไปลองออกกำลังกายหนักดู’ ...บางครั้งจิตมันตก เพราะ ร่างกายมันสบายไป ...ไปวิ่ง ไปเล่นกล้าม ยกเวต เอาให้หนัก ...ความทุกข์บางครั้งมันเตือนให้เรารู้ว่า ‘จริงๆ กูสบายเกินไปนี่หว่า !!’

ประมาณนี้ เอาใจช่วยกันไปครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

16 เรื่องน่าคิดยุคนี้ ที่ท้าทายความเชื่อเรา

16 เรื่องน่าคิดในยุคนี้ ที่ท้าทายความเชื่อของเรา

- ‘ค่าไฟจะแพงขึ้นเรื่อยๆ’ ...ไฟฟ้ายุคนี้ขาดไม่ได้ เหมือนอากาศไว้หายใจของคนรุ่นใหม่ ...ผู้ผลิตหลักไม่ใช่รัฐบาล เป็นเอกชนเรียบร้อย การันตี อนาคตค่าไฟจะแพงครับ

- ‘ราคาน้ำมันวันนี้ถูก แต่อนาคตแพงครับ’ ...การใช้น้ำมันในปัจจุบันลดลงเพราะพิษเศรษฐกิจ และ การอาศัยจังหวะตามน้ำหาประโยชน์ของมือที่มองไม่เห็นระดับโลก ....แต่แน่นอน ระยะยาว เราจะใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น ....อย่างน้อย เครื่องบิน คงไม่มีใครกล้าใช้ไฟฟ้า ...’แบตหมด เราจะร่อนลงก่อนนะ หรือ เดี๋ยวขอชาร์จไฟ ให้ผู้โดยสารรอ ...ถ้าต้องใช้จริง ค่าโดยสารจะไม่สามารถถูกอย่างปัจจุบัน’

- ‘พลังงานทดแทน ไม่ใช่พลังงานหลักในเวลาสั้น’ ...พลังทดแทนจะมาทดแทนพลังงานหลัก เมื่อเราไม่มีพลังงานหลักอีกต่อไป ...น้ำมันหมดโลก ซึ่งถ้าน้ำมันจะหมด ราคาน้ำมันจะแพง แพงจนไม่คุ้มที่จะใช้น้ำมัน ....วันนั้นคือเวลาของโลกพลังงานทดแทนของจริง

- ‘ธนาคารไม่เจ๊ง ตราบเท่าที่เรายังอยู่ในระบบทุนนิยม’ ...ประเทศที่มีอำนาจสูงสุดในระบบทุนนิยม คือ ประเทศที่ควบคุม Supply ของเงินได้ ซึ่งปัจจุบันทำผ่านธนาคารกลาง และ ธนาคารพาณิชย์ ...ถ้าปล่อยให้เรื่องนี้เป็นเสรี ก็แปลว่า ‘หมดอำนาจ’ ...ผู้มีอำนาจคงไม่มีใครยอมง่ายๆ

- ‘เมื่อเงินมันมีในระบบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ราคาสินทรัพย์จะขึ้นแบบควบคุมไม่ได้’ ...คนที่ถือแต่เงินสด อาจต้องรับผลจากสิ่งนี้แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้

- ‘เงินเดือน คือ สิ่งที่ขึ้นน้อยที่สุดในระบบเศรษฐกิจ’ ...ส่วน สินทรัพย์ คือ สิ่งที่ขึ้นมากที่สุดในระบบเศรษฐกิจ ...คนรวยทุกคนเข้าใจเรื่องนี้ดี จึงวางเงินส่วนใหญ่อยู่ในสินทรัพย์

- ‘ที่ดินในเมือง อาจราคาไม่ไปไหน ...แต่ที่ไกลๆ ใกล้ธรรมชาติ อาจจะราคาพุ่งจนน่าตกใจ’ ...ในโลกที่ทำงานที่ไหนก็ได้ ...คนคงไม่อยากทำงานกลางเมือง รถติด แออัด คุณภาพชีวิตต่ำ

- ‘สินค้าและบริการที่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจซื้อ จะเข้าสู่ยุคเฟื่องฟู’ ...ของที่ใช้เหตุผล ในการตัดสินใจไม่มีใครยอมจ่ายแพง ...ของที่ใช้อารมณ์ แพงเท่าไหร่ ก็ยิ่งอยากได้

- ‘ธุรกิจใหญ่ จะแตกเป็นธุรกิจย่อย ที่มีความชัดเจน’ ..เพราะมันเหมาะกับเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันมากกว่า ...โดยเฉพาะในตลาดหุ้น เราจะเห็น ‘แตกแล้วโต!!’

- ‘หนี้สินจะโตก้าวกระโดด’ ...คนยุคใหม่จะถูกควบคุมด้วยหนี้สินนั่นเอง ...ยิ่งอีโก้มากเท่าไหร่ หนี้เริ่มใหญ่ตามอีโก้

- ‘ค่ารักษาพยาบาลของคนเราจะสูงขึ้นเรื่อยๆ’ ...แทบไม่ต้องสงสัย เราจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลสูงขึ้นเรื่อยๆ ...ทั้งโรงพยาบาลและธุรกิจที่เกี่ยวเรื่องกับสุขภาพ ดีแน่นอน

- ‘การศึกษาลูก หนึ่งในค่าใช้จ่ายที่แพงที่สุดของคนรวย’ ...เนื้อหาความรู้ที่เรียน อาจไม่สำคัญ เท่ากับ การซื้อสังคมให้กับลูก ...พ่อแม่บางคนยอมเป็นหนี้ เพื่อให้ลูกได้เรียนดีๆ ...โรงเรียนที่ดี ยังคงเป็นธุรกิจที่ดีต่อไป

- ‘สัตว์เลี้ยง คือ ลูกของคนโสด’ ...คนโสดจะเลี้ยงสัตว์แทนลูก ...ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง มาแน่นอน

- ‘ธุรกิจเกี่ยวกับความเชื่อ ใหญ่มหาศาล’ ...ทั้งคนรุ่นเก่า รุ่นใหม่ ก็ล้วนหาที่พึ่งทางใจเหมือนกัน

- ‘ความหวัง ขายดีกว่า ความจริงเสมอ’ ...คนซื้อหวย เพราะ ความหวัง ...คนลงทุน เพราะ ความจริง ...แน่นอน หวย ขายดีกว่า ลงทุน ตลอด เพราะ ‘ความหวัง’ ขายง่ายกว่า

- ‘คนดี ฉลาดกว่าคนไม่ดีเสมอ’ ...ก็เพราะ การเป็นคนไม่ดี มันการันตีผลลัพธ์ที่แย่กว่าในทุกๆด้านระยะยาว ...ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง ที่พ่อแม่ควรสอนลูกให้เป็นคนดี

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

หุ้น ก็คือ สินค้าชนิดหนึ่ง

‘มีรุ่นน้องมาปรึกษา อยากเอาธุรกิจเข้าตลาด ต้องทำยังไง ?’

การเอาธุรกิจเข้าตลาด เป็นฝันของคนทำธุรกิจ ที่หวังรวยเป็นพันล้าน ...แต่มันไม่ง่ายไง นั่นคือปัญหา

ธุรกิจจำนวนมาก ที่ไม่ควรเข้าตลาด เช่น

1. ธุรกิจกงสี ...ส่วนมากหลายเจ้าของ ลูกๆ ไม่มีอำนาจตัดสินใจ ...แค่บริหารเฉยๆ ...ส่วนใหญ่เข้าไม่ได้ ..ถึงเข้าได้ก็ไม่โดดเด่น สรุป ธุรกิจกงสี ไม่คุ้มที่จะเข้าครับ เสียเวลา

2. ธุรกิจที่ไม่อยากจ่ายภาษีตรง ...ธุรกิจบางธุรกิจกำไรดี ก็เพราะ หลบภาษี เจ้าของก็รวยพอสมควรจากวิธีนี้ ...ก็ใครๆ เขาก็ทำกัน ...ก็ไม่ควรเข้าไง เพราะ ถ้าเข้า คุณจะหลบภาษีไม่ได้อีกต่อไป จ่ายภาษีเต็ม เหนื่อยขึ้น

3. ธุรกิจที่ต้องจ่ายใต้โต๊ะ ...ถ้าธุรกิจต้องจ่ายใต้โต๊ะ แล้วเข้าตลาด หุ้นจะไม่ไปไหน ...เล่นเป็นรอบๆ จบเป็นรอบๆ ...เพราะ เจ้าของต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะ ด้วยเงินส่วนตัว ...พอจ่ายแล้วเบิกบริษัทไม่ได้ ก็ต้องไปเอาคืนจากการเล่นหุ้น

4. ธุรกิจที่ไม่มีการเติบโต ...ถ้าธุรกิจไม่โต ไม่เข้าตลาดสบายกว่า ...หาทางลดต้นทุน เจ้าของน่าจะรวยกว่า ....เพราะ ตลาดหุ้นให้ราคากับการเติบโตเท่านั้นแหละ ...การโตเช่น ควบรวม , เพิ่มทุน , กู้เพิ่ม ...ธุรกิจเข้าตลาดต้องทำทุกทางเพื่อให้โต

มาถึงธุรกิจที่เหมาะกับการเข้าตลาด มีดังนี้

1. มีแบรนด์สินค้าเป็นของตัวเอง
2. มีแผนการเติบโตที่ชัดเจน ...แตก ต่อ โต รวม ขยาย กระจาย ...ทุกอย่างเพื่อโต จัดไป !!
3. เป็นผู้นำในตลาดที่เขาอยู่ (ผู้นำ Margin สูงกว่า)
4. เจ้าของไม่คิดจะขาย (อย่างน้อย 10 ปี)

ครบ 4 ข้อ ต้องถามเจ้าของว่า ‘พร้อมไหม ที่จะได้เงินระยะสั้นน้อยลง ...ต้องทนทำงานหนักเพื่อระยะยาวมากขึ้น’

หุ้น ก็เหมือน สินค้าตัวนึง

ในอดีต แค่คุณเข้าตลาดได้ ก็รวยแล้ว ....แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่ ...เข้าตลาดแล้วต้องทำงานต่อ

ทำให้ ‘หุ้น’ กลายเป็น สินค้าที่ขายดี นั่นแหละ ถึงจะสำเร็จครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ก็เพราะจริงๆแล้ว เราทุกคนคือศิลปิน

‘ทำไม ศิลปะ ถึงมีราคา ?’

...ตั้งแต่เด็กผมก็เคยคิดว่า ผมก็วาดรูปสวยนะ แต่ทำไมรูปที่ผมวาดถึงไม่มีราคา ...ไม่เหมือนรูปที่ศิลปินวาด ทำไมราคาเป็นแสน ราคาเป็นล้าน ?

...’ก็เพราะ ราคาไม่ได้อยู่ที่ภาพวาด แต่อยู่ที่คนวาดต่างหาก’

ใช่!! ปีกัสโซ จะวาดอะไรก็ได้ ...ขอให้ ปีกัสโซ วาด แพงหมด !!

‘ทำไง ให้ภาพราคาสูงขึ้น ?’

1. จำนวนจำกัดรึเปล่า ? ...ยิ่งมีน้อย ราคายิ่งสูง ...ถ้าตายแล้ว ยิ่งราคาเพิ่ม เพราะ ไม่มีภาพใหม่แน่ๆ

2. ชื่อเสียงคนวาด ...ศิลปินบางคนคิดว่า ราคาอยู่ที่ภาพ จริงๆ มันคือตัวเขาต่างหาก ...ถ้าเขาสร้างสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเอง เขาก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น ...ศิลปินถึงต้องสร้างวัด สร้างพิพิธภัณฑ์

‘ทำไง ให้ราคาต่ำลง ?’

1. เพิ่มปริมาณสินค้า

2. ปล่อยตัว ไม่ทำให้ตัวเองดีขึ้น สูงขึ้น

‘เรื่องนี้เอามาใช้กับธุรกิจ ได้หรือไม่ ?’

ได้แน่นอน!! ...สินค้า แบรนด์เนม ก็เหมือนงานศิลปะ ที่เอา ธุรกิจมาสวม

แบรนด์ ก็คือ ตัวศิลปิน

สินค้า ก็คือ งานศิลปะ

Hermes = ผู้สร้างงานศิลปะ

Birkin คือ ชิ้นงานศิลปะที่เขาสร้างขึ้นมา

...พูดเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่ออะไร ?

ใช่!! เพื่อจะบอกว่า ต่อไป คนทำธุรกิจ ต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้นั่นเอง

...เรื่องเดียวกัน คนพูดคนละคน ก็ต่างกัน ...คนไม่สนหรอกว่าคุณพูดอะไร ...เขาแค่สนใจว่า ใครพูด !!

ความต่างของโลกยุคนี้ ก็คือ โลกให้อำนาจกับ คนที่เป็น ‘ศิลปินในสิ่งที่เขาทำ’

- มีความรู้และความเชี่ยวชาญในระดับหนึ่ง
- มีความมั่นใจ ที่จะเลือก ‘แนวทางของตัวเอง’
- มีความสม่ำเสมอในการนำเสนอผลงาน
- มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่ตัวเอง

...ก็เพราะ จริงๆ แล้ว เราทุกคนก็คือ ศิลปิน

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


8 เรื่องเปลี่ยนแปลงตลาดหุ้นไทยในยุคโควิด


8 เรื่อง เปลี่ยนแปลงของตลาดหุ้นไทย ในยุคโควิด

‘เดิมทีตลาดหุ้น เป็นเรื่องของคนรวย ..แต่จริงๆ มันเป็นเรื่องของทุกคน ที่หาโอกาสรวยต่างหาก ...ช่วงหลายปีที่ผ่านมา แทบไม่มีเซียนหุ้นรุ่นใหม่ หรือ เศรษฐีหุ้นรุ่นใหม่เกิดขึ้นเลย ...เรายังเห็นแต่คนหน้าเดิมๆ (เบี่อไหม ฮ่า ฮ่า) ...ใช่!! สิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนไปหลังโควิด’

1. ‘มือเก่าตกรถ มือใหม่ย่ามใจ’ ...ช่วงนี้ตลาดหุ้นแจกกำไรอย่างถ้วนหน้าสำหรับผู้กล้ามือใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเล่นหุ้น ...แต่มือเก๋าช่วงนี้ต่างนั่งทับมือ แล้วลุ้นให้ตลาดลงซิ ลงซิ ...ยิ่งรอตลาดยิ่งขึ้น จนเกิดคำพูดที่ว่า ‘โลกยุคใหม่ ความรู้ที่มากเกินไป ก็เป็นตัวขัดขวางโอกาสได้เช่นกัน’

2. ‘ฝรั่งถอย กองสู้’ ...ปกติคนชี้นำตลาดว่าหุ้นจะขึ้นหรือลงคือ ฝรั่ง ...แต่เดี๋ยวนี้ฝรั่งขายทิ้ง แต่หุ้นไหลขึ้นเรื่อยๆ ...ใครคือเจ้ามือคนใหม่ ? ....ตอบ กองทุนบ้านเรานี่แหละ ....อ้าว!! แล้วกองทุนไปเอาเงินมาจากไหน ? ....ตอบ ก็เงินคนไทยนี่แหละ (ผมตั้งข้อสังเกตว่ารอบนี้ คนไทยไม่ได้จนลง มีเงินเหลือเยอะด้วย นี่คือหนึ่งจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจของตลาดหุ้น ...นี่คือ ช่วงที่คนไทยรวยที่สุดตั้งแต่เปิดตลาดหุ้นมา)

3. ‘หุ้นเล็กจะสร้างเซียนหุ้นรุ่นใหม่’ ...ถ้าถามว่า หุ้นแบบไหนที่จะไปหลายๆ เด้ง ...ต้องบอกว่า หุ้นแถว 2 แถว 3 ...’หุ้นเล็ก ที่มีศักยภาพ’ ...หุ้นแบบนี้แหละ ที่จะสร้างเซียนหุ้นรุ่นใหม่ (ไม่ใช่หุ้นใหญ่ในกระแส พวกนั้น อาจได้ความมั่นคง แต่ไม่ได้ความมั่งคั่ง)

4. ‘ความรู้ในเรื่องหุ้น ต้องปรับใหม่หมด’ ...ถ้าจะถามว่า ความรู้ที่เราเคยเรียนมาเกี่ยวกับหุ้น ทฤษฎีต่างๆ ช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา บอกเลย ‘ปากกาหัก’ ผิดมากกว่าถูก ...มันเป็นการเกิดขึ้นของ Black Swan กล่าวคือ ‘เรื่องที่ไม่น่าจะเกิด มันเกิดถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนบางคนสามารถจับทางและเป็นเศรษฐี จากแนวทางใหม่!!’ ....ใช่!! เราต้องปรับปรุงทั้ง Mindset และ วิธีการลงทุนใหม่ (ไม่เหมือนเดิม) ...เริ่มจากไม่เหมือนเดิม แล้วค่อยๆ ปรับ นั่นแหละ วิธีการลงทุนใหม่

5. ‘ตลาดหุ้น จะกลายเป็นที่ออมเงินของคนรวย’ ...ถ้าดอกเบี้ยติดลบ ถามหน่อย คุณจะฝากเงินเพื่ออะไร ? ...คนก็จะตอบว่า ‘ถือเงินสด เพื่อรอโอกาสไง’ ....อ้าว!! แล้วถ้าโอกาสมันอยู่ตรงหน้า คุณจะไม่แบ่งเงินมาลงหรือ ? ....ใช่!! คนที่เข้าใจ จะแบ่งเงินบางส่วนเข้าตลาดหุ้น แค่นี้ก็จะทำให้ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์โลกอีกครั้ง

6. ‘หุ้นใหญ่ ให้กองทุนเล่น’ ...หุ้นใหญ่ทุกวันนี้ มั่นคงครับ ซื้อแล้วให้ผลตอบแทนดีแน่นอน ...มันอาจจะดีพอที่จะเกษียณ แต่มันไม่ดีพอที่จะทำให้เรารวย ...ใช่!! หุ้นใหญ่ต่อไปจึงเหมาะกับกองทุน เพราะ เงินเขาใหญ่กว่า เขามีวิธีการหลายๆอย่าง ที่รายย่อย เสียเปรียบ ...งั้นถ้าอยากเล่นหุ้นใหญ่ ผมแนะนำ แบ่งเงินมาซื้อ ETF แล้ว DCA ก็น่าจะให้ผลตอบแทนพอๆ กัน ....’แทบไม่เสี่ยง แต่ให้ผลตอบแทนของตลาดหุ้น ท่ีสูงกว่าเงินฝากอย่างน้อย 10 เท่า ในระยะยาว’

7. ‘ยิ่งขึ้นยิ่งซื้อ เป็นแนวทางที่กำไรกว่า’ ...สมัยก่อน เราจะชอบหุ้นที่ยิ่งลง เราก็ยิ่งซื้อ เฉลี่ยลง ...สุดท้ายพบว่า เฮ้ย!! มันลงไปอีก จนกรูจะเจ๊งแล้วนี่ !! ....วิธีแก้คือ ทำตรงข้ามครับ ...หลังจากนี้ ลองสังเกตดู ถ้าคุณไม่อยากตกรถ หรือ เจอปัญหา หุ้นขึ้นแต่เรามีหุ้นน้อย ...ใช้วิธี ‘ยิ่งขึ้น ยิ่งซื้อ’ แต่ต้อง วางแนวทางชัดนะ ว่า ขึ้นกี่ % ซื้อเพิ่มเท่าไหร่ และ คุมความเสี่ยงให้ชัดเจน ....ถ้าคิดแบบนี้ได้ คุณจะไม่ตกรถ และ คุณจะมีหุ้นตัวที่ขึ้นเยอะมากที่สุด (ตัวไหนขึ้นเยอะ เติม ..ตัวไหนลง ขายทิ้งไป เอามาเติมตัวขึ้น)

8. ‘หุ้นหลายสิบเด้ง จะมาจาก MAI ไม่ใช่ SET’ ...สมัยก่อนผมจะไม่สนตลาด MAI เลย เพราะมองว่า ธุรกิจมันเล็กเกินไป แถมไม่มีสภาพคล่อง ซื้อยาก ขายยาก ....แต่พอผมคลุกคลีกับนักธุรกิจรุ่นใหม่ พบว่า ธุรกิจ Startup ดีๆ เข้า SET แทบไม่ได้ ยกตัวอย่าง ข้อกำหนดทุนจดทะเบียน 300 ล้าน แค่นี้ธุรกิจรุ่นใหม่ ก็ไม่ผ่านละ ....เพราะ ธุรกิจรุ่นใหม่ เขาไม่ได้เน้นที่เงินลงทุน บางธุรกิจไม่มีโรงงาน ไม่มีหนึ้เลย ....เขาเลยเลือกเข้า MAI แทน ...ใช่ !! เซียนหุ้นรุ่นใหม่ คุณต้องโตจากสนามเล็ก แล้วค่อยเติบใหญ่

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

นี่คือ สมการคนรวย แห่งโลกอนาคต

‘สมการคนรวย ในอดีตคือ ทำอย่างไรให้ผลิตสินค้าให้ได้จำนวนมากที่สุด ในราคาที่ถูกที่สุด ?’ ...โจทย์นี้สร้างมหาเศรษฐีจำนวนมากในโลก ....แต่ปัญหาก็คือ ‘โจทย์นี้มันเดินมาถึงทางตัน!!’ ...out แล้วฮะ !!

เพราะอะไร ?

...ก็เพราะ ปัจจุบันเราเข้าสู่โลก ที่ Supply มากกว่า Demand ...มีของผลิตขึ้นมาเกินความต้องการซื้อ เศรษฐกิจถึงซบเซา

เราลืมดูไปว่า ‘มนุษย์มีเสื้อผ้าล้นตู้แล้ว (แค่พอเปิดตู้เสื้อผ้าที่แน่นเอียด แล้วก็พูดว่า ..เฮ้อ!! ไม่มีเสื้อใส่เลย) ...แล้วไอ้ที่แน่นตู้นั่นคืออะไร ?’

ทั้งบ้านคนและคอนโด เล็กลงเรื่อยๆ แต่ของที่ซื้อมาล้นบ้านไม่มีที่เก็บ เกิดธุรกิจ self storage ..บริการให้เช่าที่เก็บขยะ (จริงๆ ทิ้งไปเลยจะประหยัดกว่า ..นี่ต้องเสียเงินเช่าที่วางขยะ)

เรามีหนังดีๆ ซีรี่ย์ดีๆ เกินเวลาที่เราจะดูได้ ...’กรูไม่มีเวลาดู!!’

เรามีหนังสือ เกินกว่าที่จะอ่านทัน ...สรุปเลิกอ่านเลย

เราถูกมือถือ ดูดเวลา ทั้งแก้เซ็ง และ ซื้อของในเวลาเดียวกัน

สมัยก่อนถ้าอยู่บ้านเราจะประหยัด ...แต่ยุคนี้อยู่บ้านนี่ซื้อของหนักกว่าเดิมอีก

ทั้งหมดนี้ทำให้ สมการความรวยเปลี่ยนไป

กลายเป็น ‘เราจะแก้ปัญหาให้คนยุคนี้ ที่มีทุกอย่างมากเกินไป ให้เขามีความสุขขึ้นได้อย่างไร ?’

ใช่!! ใครตั้งธุรกิจด้วยสมการนี้ คุณก็คือ นักธุรกิจรุ่นใหม่ อาชีพใหม่ งานใหม่ ...ที่วางอยู่บนโจทย์ของโลกยุคใหม่

...’คุณคิดว่า ต่อไปธุรกิจ จะหน้าตาเป็นอย่างไร ?’

...ธุรกิจจะวางโจทย์ เพื่อแก้ปัญหาให้ลูกค้าเป็นจุดๆ ...ถ้าปัญหานั่นใหญ่พอ จะมีหน่วยธุรกิจหรือทีม ที่เข้าคิด แล้วรวมการแก้ปัญหานั้นให้เป็น Product

ยกตัวอย่าง อาชีพที่ปรึกษาทางการเงินแบบผม ...เดิมทีเราก็ให้คำแนะนำ สอนลูกค้าลงทุน ...แต่ถ้าแก้ปัญหาแบบยุคใหม่ ...แทนที่จะนั่งสอน ก็ทำ Product ขึ้นมาเลย

เช่น สร้าง ETF ขึ้นมา ลงทุนได้แทนหุ้นรายตัว ..ไม่เสี่ยง แต่ผลตอบแทนสูงมาก ...พูดง่ายๆ เปลี่ยน Service ให้เป็น Product ...ทำให้ลูกค้าซื้อได้ง่ายๆ

...ค่ายรถยนต์เดี๋ยวนี้เริ่มทำ BSI ซื้อรถ แล้วไม่ต้องห่วง service ...นี่แหละโคตรตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ...ถ้าแจ๋วกว่านี้ ก็คือ ‘เช่าใช้ ถูกกว่าซื้อ ...รถเสียมีคันใหม่ทดแทน แบบ worry free’ ...ถ้าโจทย์แบบนี้ รถจะดีขึ้น เขาจะ Built to Last เสียยาก ..วางยาลูกค้าไม่ได้ เพราะ ถ้าเสีย คนขายซวย ...พูดง่ายๆ ว่า ถ้าเราเปลี่ยนโจทย์ ธุรกิจจะเปลี่ยนไปทั้งหมด !!

- กินข้าว แบบ Subscribe ...ให้ร้านคุมโภชนาการมาเลย ...สารอาหาร เหมาะกับช่วงอายุ ...เราแค่เลือกเมนู ...อาหารเพื่อนักกีฬา , อาหารเพื่อคนสูงอายุ , อาหารสำหรับเด็กกำลังโต ...ถ้าเมนูหลากหลาย และ อร่อย นี่กินขาดเลยนะ

- บ้าน ทำไมต้องซื้อตลอดไป ...ในเมื่อเราไม่ได้มีชีวิตตลอดไป ....’การซื้อขาด นี่แหละ ทำให้ราคาบ้านมันสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ...จนถึงราคาวันนี้ ที่คนรุ่นใหม่ แทบจะไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมราคาบ้านมันแพงเกิน เมื่อเทียบกับรายได้ ...คิดยังไง ก็แทบไม่คุ้มเลย’

มันมีปัญหาอีกมากมาย ที่รอให้เราไปสร้าง Business Model แบบใหม่ ที่เข้ามาแก้ปัญหา

ที่เขียนมา เพื่อจะชี้ว่า ‘จริงๆ แล้วที่เราเครียดกับปัญหาต่างๆ ...บางครั้งนั่นแหละ จุดเริ่มต้นของโอกาส’ ...ครั้งนึง Netflix ก็เริ่มจากปัญหาเล็กๆ อย่างไม่อยากจ่ายค่าปรับในการเช่าวีดีโอ ...จนกลายเป็น อาณาจักร Content Streaming ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ...ซึ่งมันแทบไม่ได้เกี่ยวกันเลยกับจุดที่เริ่มต้น

‘ปัญหาเล็กๆ ของเรา อาจเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จครั้งใหญ่ของเราก็ได้’

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

คนรวย อาจขยันไม่เท่าเรา เก่งน้อยกว่าเรา แต่ทำไมมันรวยวะ


‘คนรวย อาจไม่ได้ทำงานหนักเท่าเรา ..ขยันไม่เท่าเรา ...ไม่ได้มีวินัยเท่าเรา ...บางครั้งไม่ได้ฉลาดเท่าเรา ...เฮ้ย!! แล้วทำไมมันรวยวะ ?’

1. ‘เขาอยู่ถูกที่ถูกเวลา’ ...ผมเห็นคนเก่งจำนวนมาก อยู่ในธุรกิจที่แข่งขันสูง สุดท้ายไม่รวย ...และผมก็เห็นคนที่ไม่ได้เก่งมาก แต่เขาอยู่ในธุรกิจที่กำลังโต ตลาดขยาย พวกนี้รวยง่ายกว่าเยอะ จนน่าอิจฉา ....ต้องถามว่า กรู มัวทำอะไรอยู่ตรงนี้ฟระ ?

2. ‘บ้านเขารวยกว่า’ ...คำหนึ่งที่พูดว่า แข่งอะไรแข่งได้ แต่แข่งวาสนากันไม่ได้ ...ผมว่าถูกครึ่งเดียว ...จริงๆ แล้ว ฐานะทางบ้านมันเป็นแค่แต้มต่อ ...แต่สุดท้าย มันขึ้นอยู่กับตัวเองว่า คนอื่นเขาต่อให้เราวิ่งไปก่อน บางคนก็ยังแพ้อยู่ดี ....เพราะ ‘แต้มต่อ’ มันคือความได้เปรียบช่วงสั้น แต่ระยะยาว ตัวเราต่างหากที่เป็นของจริง !!

3. ‘อดทนผิดที่ เท่ากับไร้ประโยชน์’ ...ถ้าคุณซื้อหุ้นดี แล้วอดทนถือไปนานๆ โดยไม่สนว่า หุ้นจะขึ้นลงเท่าไหร่รายวัน ทนถือให้นานที่สุด ...วิธีคิดนี้ เรียก ออมในหุ้น มันทำให้คนเป็นเศรษฐีมาเยอะแล้ว ...ถูกต้อง!!

แต่ถ้าคุณทำงานแบบขายแรงงานไปเรื่อยๆ ...แล้วก็ทนทำไปเรื่อยๆ แบบนี้ อาจเป็นความอดทนที่สูญเปล่า

สมมุติถ้าเราต้องขายแรงงาน ทำงานได้เงินเดือน ...เราต้องคิดว่า ‘เราทำแบบนี้ตลอดไปไม่ไหว’ ต้องค่อยๆ เปลี่ยน รายได้ที่หาด้วยการเอาเวลาไปแลก เปลี่ยนให้เป็นรายได้แบบ Passive Income จากการลงทุนแทน

‘อายุน้อย ทำงานให้หนัก เพื่อเรียนรู้คุณค่าของการหาเงิน ...พอมีประสบการณ์ ให้เลือกงานเบา เงินเยอะ ที่เราทำแล้วรู้สึกสนุก

(งานที่ใช่ คือ งานที่เราทำแล้วเราชอบตัวเองมากขึ้น ..ทำแล้วภูมิใจในตัวเองขึ้น นี่แหละงานที่ใช่ !!)

ถ้าคุณทำงานผิดกฏหมาย ขายยา ฆ่าคน ..คุณอาจจะรวยนะ แต่ลึกๆ เราจะไม่รู้สึกชอบตัวเอง ไม่รู้สึกภูมิใจในตัวเอง ...ก็แปลว่า งานไม่ใช่ !!

ใช่!! สุดท้าย ...การที่เราเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนที่รวยกว่า เก่งกว่า ดีกว่า ...มันทุกข์อยู่แล้ว ...เอาง่ายๆ ว่า แค่เราคิดเปรียบเทียบ ความทุกข์มันก็เกิดแล้ว

ทางที่ดี คือ เราไม่ต้องเอาตัวเองไปเทียบกับใครหรอก ....เราแค่สนุกในทางที่เราเลือก มันก็เพียงพอแล้ว !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ระหว่างเดินทางสู่เป้าหมาย ควรมีความสุขหรือไม่

‘ระหว่างทางเดินไปสู่เป้าหมาย เราต้องการมีความสุขหรือไม่ ?’

ถามทำไม ? ...คุณเชื่อไหมว่า คนจำนวนมาก ยอมทุกข์ทนแสนสาหัส เพื่อให้ตัวเองไปสู่จุดหมายที่ตั้งไว้ให้เร็วที่สุด ....และแล้ว เขาก็พบว่า ‘ความสุขที่ถึงเป้าหมายมันเป็นความสุขที่สั้นเอามากๆ เลย ...จากนั้น เขาก็เจออีกปัญหาใหญ่ ก็คือ ...แล้วอะไรต่อ ?’

‘การตั้งเป้าหมาย’ เป็นเรื่องที่ดี เพราะ ชีวิตที่ปราศจากเป้าหมาย มันก็คือ ไปเรื่อยๆ เช้าชาม เย็นชาม ผ่านชีวิตไปอีกวัน ก็เท่านั้นเอง

แต่ ‘การพุ่งไปที่เป้าหมาย โดยไม่สนใจอะไร’ กลับเป็นเรื่องที่ต้องกลับมานั่งคิดว่า ‘จริงๆ แล้วเราเกิดมาเพื่ออะไร ?’

ผมมีเพื่อนคนนึง เขาเป็นนักตั้งเป้าหมาย และ มุ่งมั่นเอามากๆ ...ผมเจอเขาตั้งแต่ เขาตั้งเป้าว่า เขาจะมี 10 ล้าน หลังจากนั้น ไม่กี่ปี เขาก็ทำได้

จากนั้น เขาตั้งเป้า 100 ล้าน ...คราวนี้ เครียดขึ้น หนักขึ้น นานขึ้น และเขาก็ไปถึง 100 ล้าน

วันนี้เขาตั้งเป้าใหม่ คือ 1,000 ล้าน ....แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ

- วันนี้เขาเครียดมาก เพราะ ทำงานหนัก
- เขาไม่กล้าใช้เงินเลย เพราะ คิดว่า เงินทุกก้อน ถ้าไม่ใช้มันจะโต และทำให้เขาไปถึงจุดหมายได้เร็วขึ้น
- เขามองคนที่รวยกว่าเขา ที่กล้าใช้เงินซื้อความสุข ก็รู้สึกอิจฉา ว่า ‘คนเหล่านี้ กล้าเนอะ !!’

ผมก็บอกไปว่า ‘ไม่ใช่ !! ...มรึงเข้าใจผิดแล้ว ...มรึงต่างหาก ที่ไม่กล้าปล่อยให้ตัวเองมีความสุขบ้างต่างหาก ทั้งที่จริงๆ มรึงก็สมควรได้รางวัลอะไรบ้าง ...ไม่ใช่แค่ตัวเลข ทางบัญชี !!’

‘แต่กรู มีความสุข แค่ตัวเลขบัญชีมันเพิ่มขึ้นแล้ว !!’

‘จริงเหรอ !! ...ถ้ามรึงคิดแบบนั้นจริง มรึงต้องไม่มานั่งอิจฉาคนที่กล้าใช้เงิน ...มรึงต้องนั่งเฉยๆ แล้วเปิดสมุดบัญชีดูเงินในธนาคารแล้วนั่งยิ้ม ..สุขจริงๆ’

เอาตรงๆ ขอแนะนำ 5 ข้อ ดังนี้

1. ‘ระหว่างที่เราเดินทางสู่เป้าหมาย ก็ควรให้รางวัลตัวเองระหว่างทางด้วย’ ....การให้รางวัลตัวเองระหว่างทาง ไม่ได้ทำให้เราจนลงหรือไปสู่เป้าหมายช้าลง ...แต่มันจะช่วยให้เราไปสู่เป้าหมายเร็วขึ้น ....เพราะ คนที่มีความสุข สามารถเผอิญปัญหาและไปต่อได้ดีกว่าและเร็วกว่าคนที่ทุกข์

2. ‘รางวัลที่เหมาะสม คือ สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น แต่ไม่กระทบความมั่นคงทางการเงิน’ ...ยกตัวอย่าง ถ้าจะซื้อของ ก็ต้องซื้อด้วยเงินสดเท่านั้น ...เพราะ ‘ซื้อเงินสด’ จะเป็นตัวชี้วัดว่า เรามีความสามารถซื้อได้จริงๆ ...พูดง่ายๆ ถ้าซื้อด้วยเงินสด เราจะคิดรอบคอบนั่นเอง

3. ‘การให้รางวัล กับ การ Spoil ตัวเอง มันใกล้กันนิดเดียว’ ....ถ้าคุณมีสิ่งที่คุณอยากได้ เพียงชิ้นเดียว ..สิ่งนี้ ดีสุด แพงสุด หรือ เหมาะกับฉันสุด อันนี้เรียกว่า การให้รางวัลตัวเอง ....แต่ถ้าเรามีหลายชิ้น จนใช้ไม่ทัน อันนี้เริ่มเป็นภาระแล้ว คือ เราตามใจตัวเองมากเกินไป อันนี้เรียกว่า Spoil

‘แต่ผม ลงทุน นะ ...ผมเป็นนักสะสมไง !!’

‘จริงเหรอ ?’

นักสะสม คือ

1. ‘ซื้อถูก แล้วขายแพง’ ...แต่ฉันซื้อแพง แล้วขายถูกประจำ ...นักสะสม ขายเป็นนะ แต่ฉันซื้ออย่างเดียว ขายไม่เป็น อันนี้ไม่ใช่นักสะสมนะ

2. ‘นักสะสม ต้องมีความรู้มากกว่าคนธรรมดา’ ...นักสะสมรู้ลึก เราแค่ซื้อ แทบไม่ได้ศึกษา

3. ‘นักสะสม ส่วนใหญ่ ซื้อมือสองนะ’ ....ฉันซื้อแต่ของใหม่ เพราะ กลัวโดนหลอก แค่นี้ก็รู้แล้วว่า ความรู้ไม่มี ดูของไม่เป็น หาของไม่ได้ ...เออ!! แล้ว มันเรียกว่านักสะสมตรงไหนอ่ะ ?

4. เอาจริงๆ นะ ยอมรับเถอะ ว่า ‘เราแค่เด็ก spoil อ่ะ’...5555

4. ‘เป้าหมายสำคัญในวันที่เราอายุน้อย แต่วันที่อายุเรามากขึ้น ให้ใส่ใจกับความสุขระหว่างทางเดิน’ ....คนอายุน้อย มันสนุกทุกวัน เลยต้องฝึกให้ตั้งเป้าหมาย ...แต่คนอายุเยอะขึ้น อย่างพวกเรา ให้ลองอนุญาตให้ตัวเองสนุกบ้าง ชีวิตจะดีขึ้นอย่างชัดเจน

5. ‘ไม่มีใครจดจำหรอกว่า ทั้งชีวิตคุณหาเงินได้เท่าไหร่ แต่เขาสนใจว่า เราทำอะไรที่มีความหมายมากกว่า’ .....อย่าง ไมเคิล จอแดน เขารวยแค่ไหน คนก็ไม่ได้สนใจหรอก แต่สิ่งที่คนจะจดจำก็คือ ไมเคิล จอแดน คือ สุดยอดนักบาส เท่าที่โลกนี้เคยมี

พูดมาตั้งยาว ...แค่อยากบอกว่า ‘ทางสายกลาง’ จะช่วยสมดุลย์ชีวิตเรา

คนอายุน้อย ใช้เงินเก่ง เอาแต่ตามใจตัวเอง ...ควรตามใจตัวเองน้อยลง แล้วมุ่งมั่นสู่เป้าหมายมากขึ้น

ส่วนคนอายุเยอะ ที่เอาแต่กดดันตัวเอง ...ควรปล่อยวาง แล้วยอมให้รางวัลตัวเองบ้าง ก็แค่นั้นแหละ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



9 เรื่องน่าคิด หลังโควิท อะไรมา

9 เรื่องน่าคิด หลังโควิท อะไรจะมา ?

1. ‘ขายทะเบียน ทำไมรวยกว่าขายรถ ?’

ตอบ : ‘ก็เพราะ ซื้อรถมันใช้เหตุผลเยอะ ในการตัดสินใจ แต่ซื้อเลข ซื้อทะเบียน ใช้อารมณ์ล้วนๆ ...ไม่แปลกที่ขายเลขรวยกว่า!!’

2. ‘ขายของถูก ทำไมขายยากกว่าของแพง ?’

ตอบ : ‘ของถูก ต้องเทียบคุณภาพและราคาอย่างละเอียด ...ของแพง ใช้อารมณ์ซื้อล้วนๆ...จบไหม !!’

3. ‘ยุคนี้คนทำงานหนัก อาจจนกว่าคนทำงานเบา ทำไม ?’

ตอบ : ‘โลกเราวันนี้มีสินค้าเกินความต้องการมนุษย์ คุณไม่ต้องไปขยัน ผลิตของเพิ่ม ...ถ้าอยากรวย ให้เอาเวลาไปนั่งคิดว่า เราจะแก้ปัญหาให้คนยุคนี้ ซึ่งมีทุกอย่างมากเกินไป ให้เขามีความสุขขึ้น ได้อย่างไร คือ โจทย์ที่รวยมากกว่า !!’

4. ‘ทุกวันนี้ เรารวยขึ้น แต่ทำไม ความสุขเราลดลง ?’

ตอบ : ‘ก็เพราะเราสบายขึ้น จนมีเวลามานั่งเซ็ง นั่งเบื่อ ...ถ้าเป็นสมัยก่อน เราอาจทำงานเป็นทาสอยู่ที่ไหนสักที่ในโลก แค่หยุดพักทำงาน ก็มีความสุขแล้ว ...เดี๋ยวนี้ ร่างกายเราสบายขึ้น ...ยิ่งร่างกายสบาย สมองยิ่งหาเรื่องทุกข์ ...แล้วเราจะมีความสุขได้อย่างไร ?’

ถ้าเรา ‘เบื่อ’ แปลว่า ‘ชีวิตเราสบายเกินไปละ !!’

5. ‘ทำไมให้ลูกเรียนพิเศษเยอะๆ ไม่ได้ทำให้ลูกเก่งขึ้น ?’

ตอบ : ‘ก็เพราะความคิดเราโบราณไง !! ...เรายังติดอยู่ในโลกสมัยก่อน ที่วัดความสำเร็จของคนจากการเรียนสูง เรียนเก่ง ...แต่โลกนี้ มันวัดคนจากผลลัพธ์ ...เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ...เด็กเรียนห่วย จึงมีโอกาสได้แสดงฝีมือบ้างไง !!’

6. ‘Mindset เรื่องเงิน มันกำหนดความรวย จน ตั้งแต่เริ่มออกเดินแล้ว จริงเหรอ ?’

ตอบ : ‘จริงแท้!! ...ยกตัวอย่าง ใครก็ตามที่มองเงินเป็นอำนาจใช้สอย คนนี้จะไม่รวย เพราะ หาเงินได้เท่าไหร่ ก็จะใช้สอยจนหมด ...ก็เงินใว้ใช้สอยไง !!

คนรวย จะมองเงินเป็น ‘อำนาจต่อรอง’ หรือ ‘เงินเป็นเครื่องมือ’ ...มีเงินเยอะ เพื่อได้สิทธิพิเศษ ...กู้เงินได้ดอกเบี้ยต่ำ , เข้าธนาคารไม่ต้องรอคิว , ไปไหนคนอยากเลี้ยงกาแฟ เลี้ยงข้าวเศรษฐี  ...ผมจ่ายสด ลดได้เท่าไหร่ ?

‘เงินคือเครื่องมือ’ - Money is a Tool ...เราคือ นายของเงิน ไม่ใช่เงินเป็นนายเรา

ยกตัวอย่าง ...ถ้าเราเล่นหุ้น แล้วต้องมานั่งเฝ้า เครียดหุ้นขึ้นลง แปลว่า ‘เงินเป็นนายเรา’ ...แต่ถ้าเรา ออมในหุ้น ซื้อแล้วทิ้งไปเลย รอรับปันผล ให้เงินเลี้ยงเรา ...อันนี้แปลว่า ‘เราเป็นนายเงิน’

(ที่พูดตรงนี้เหมือนง่าย แต่ปฏิบัติจริง โคตรลึก มันซับซ้อน และ อาศัยประสบการณ์ตรงและเวลาอีกเยอะ)

7. ‘ชีวิตที่ปราศจากหนี้ คือ ชีวิตที่ดีกว่า’ ...คนชอบพูดกันเรื่องหนี้ดี กับหนี้ไม่ดี ...เอาตรงๆ นะ ร้อยทั้งร้อย สร้างหนี้ซื้อของเล่น ซื้อขยะ ทั้งนั้น ...ถ้าเอาให้ง่าย โลกยุคใหม่ การไม่เป็นหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ

ใช่!! โลกยุคนี้ มันมีวิธีการ Leverage โดยไม่ต้องสร้างหนี้ ยิ่งเก่งยิ่งรวย ....แต่ถ้าจำเป็น ก็ให้สร้างหนี้ที่มันสร้างรายได้ อันนี้ยังพอรับได้

8. ‘บ้านคุณ ไม่ใช่สินทรัพย์ !!’ ....คนส่วนใหญ่ คิดว่า บ้าน คือ สินทรัพย์ แต่เข้าใจผิด ....คิดง่ายๆ อะไรก็ตามที่สร้างเงินเข้ากระเป๋าเรา อันนั้นเรียกว่า สินทรัพย์ เช่น ออมหุ้นปันผล , บ้านเช่า (ที่มีคนเช่า)

อะไรที่ทำให้เงินไหลออกจากกระเป๋า อันนั้น เรียก หนี้สิน ไม่ใช่สินทรัพย์ ...ดังนั้น ‘บ้านเรา ที่เราไปกู้ ผ่อนทุกเดือน สร้างรายจ่ายภาระ มันคือ หนี้สิน ....จนวันที่เราผ่อนหมด อีก 30 ปี มันถึงจะเริ่มกลายเป็นสินทรัพย์’

9. ‘การรับมือวิกฤต ที่ดีที่สุด คือ ความนิ่ง’ ...นักลงทุนหลายคน ขายหุ้นในวันที่ไม่ควรขาย หลายครั้งเพราะ ขายเวลาเกิดวิกฤต ...ดังนั้น หนึ่งในวิธีการที่ดีที่สุด ในการรับมือกับความผันผวน ก็คือ ความนิ่ง

ยกตัวอย่าง เวลาหุ้นลงแรงๆ จะมีคนถามผมเยอะว่า คุณแพ้ท Cut Loss ตรงไหนดี ? ....เอาตรงๆ นะ ถ้าเราไม่ได้ขายตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤต ...การไม่ขายเลย อาจจะดีกว่า การไปขายต่ำๆ ในเวลาที่เรากลัว ...เพราะส่วนใหญ่จุดนั้น การซื้อเพิ่มอาจเป็นกลยุทธ์ที่ดีกว่า

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

10 การเปลี่ยนแปลงธุรกิจ หลังเปิดเมือง

10 ความเปลี่ยนแปลงธุรกิจ หลังการเปิดเมือง

ตอนนี้ผู้คน กำลังต้องการกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิม ...แต่ใครจะรู้ว่า ชีวิตเรา จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

นี่คือ 10 การเปลี่ยนแปลง ที่ต้องปรับตัว

1. ‘อาชีพส่วนใหญ่จะกลับไปสู่ปกติ แต่รายได้จะลดลงเรื่อยๆ’ ...วันนี้เรากำลังเปลี่ยนจากงานยุคเก่า ไปสู่งานยุคใหม่ ...’แล้วจะรู้ได้ไง ว่างานเราคืองานเก่าหรืองานใหม่’ : ตอบ ...’งานเก่า รายได้จะค่อยๆ ลดลง ...งานใหม่ รายได้จะค่อยๆ เพิ่ม’ ....ตกลงงานเราเก่าหรือใหม่ล่ะ?

2. ‘หมดยุคการเติม เข้าสู่ยุคการตัดทิ้ง’ ...สมัยก่อนใครอ่านตำราเยอะ มีข้อมูลมาก ก็ยิ่งเก่ง ...แต่ยุคนี้ ข้อมูล ความรู้ มันมีมากเกินไป Supply ล้น Demand ตามไม่ทัน ...ทำให้ คนเก่งยุคนี้ คือ คนที่รู้จักตัดทิ้ง เลือกสิ่งที่ไม่จำเป็นออก

3. ‘การลงทุนจะเป็นเรื่องจำเป็น เพราะเก็บเงินเฉยๆ มันอยู่ไม่ได้’ ...รัฐบาลทั่วโลก แก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการเพิ่ม Supply เงิน ...เศรษฐกิจไม่ดี ก็พิมพ์เงินเพิ่ม ...แทบไม่ต้องเดาก็รู้ว่า ใครไม่ลงทุนในสินทรัพย์ ไม่มีทางรักษามูลค่าของเงินได้เลย

4. ‘สินทรัพย์ทั่วโลก จะผันผวนหนัก จนทฤษฏีที่เคยเรียนมามันเอาไม่อยู่’ ...ถ้าเรายังคำนวณ มูลค่าสินทรัพย์ตามทฤษฎีจะพบว่า ทุกอย่างในโลกวันนี้ มันแทบไม่มีอะไร สมเหตุสมผลเลย

5. ‘ใครทำของที่จำเป็น รวยยาก ...ใครทำของ ไม่จำเป็น ที่คนขาดไม่ได้ กลับรวยง่าย’ ...คิดง่ายๆ ข้าว นี่จำเป็นสุด แต่มีกี่คนที่ปลูกข้าวแล้วรวย ? ...ปัจจุบันน้ำมันก็จำเป็น แต่ราคาน้ำมันถูกเหมือนแจกฟรี ...คนรวยวันนี้ ทำเกม ขายของออนไลน์ ทำแอฟแก้เซ็งอย่าง Tik Tok ...โลกมันเปลี่ยนแล้ว เราต้องอยู่ในจุดที่หาเงินง่าย ชีวิตถึงจะสบายกว่า

6. ‘ธุรกิจยุคใหม่ แพ้ชนะอยู่ที่แบรนด์’ ...หมดยุคสร้างโรงงานใหญ่โต ผลิตเยอะ เพราะ สินค้ามันเกินความต้องการไปนานแล้ว ...วันนี้ แบรนด์ ใครแข็ง คนนั้นชนะ ..แบรนด์ ทำหน้าที่ Curator เหมือน คนเลือกของที่ดีแทนผู้บริโภคนั่นเอง ...’การันตีของดี แล้ว Mark up ราคา’

7. ‘หนึ่งคนทำหลายงานพร้อมกัน จะกลายเป็นเรื่องปกติ’ ...ครั้งนึงที่เราเคยอ่าน Rich Dad Poor Dad เรื่อง E/S/B/I ...ต่อไป หนึ่งคน เป็นได้ ทั้ง E ทั้ง S ทั้ง B ทั้ง I ในเวลาเดียวกัน ....เพราะ ในแต่ละช่วงของชีวิต เราควรเป็นในสิ่งที่เหมาะกับช่วงเวลานั้นๆ

8. ‘เงินดิจิตอล จะทำให้คนใช้จ่ายมากขึ้น และ เป็นหนี้เพิ่มขึ้น’ ...แค่ Credit Card ก็ใช้จ่ายบ้าคลั่ง และ มีหนี้เกินตัวกันอยู่แล้ว ...ถ้าเป็น เงินดิจิตอล ...ผสม Peer to peer lending...รับรอง เป็นหนี้กันเละเทะแน่นอน

9. ‘ทุกคนอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ เราจะเข้าสู่ ..เกิดง่าย-โตยาก-ตายเร็ว’ ...อยากเปิดธุรกิจทำได้ง่ายๆ แต่ทำให้โต จนสามารถทำกำไรสม่ำเสมอ แล้วเข้าตลาดหุ้นเป็นเรื่องยาก ...คู่แข่ง จะเข้ามาไว ทำให้วงจรธุรกิจสั้นลงเรื่อยๆ

10. ‘คนรุ่นใหม่ จะเช่าอยู่ เช่าใช้ มากขึ้นเรื่อยๆ’ ...เรากำลังผ่านโลกที่ใครๆ ก็อยากมีบ้านในฝัน ...รถในฝัน ....แต่คนรุ่นใหม่ เขาจะคิดต่างจากเรา ...เขาอาจจะไม่มีบ้านของตัวเอง ไม่ซื้อรถของตัวเอง แต่เขามีพอร์ตหุ้น ที่สร้าง Passive Income ที่ปันผล มากกว่าเงินเดือนของเขาเสียอีก (ตกลงเราจะให้คำจำกัดความว่า เขาสำเร็จ หรือ ล้มเหลว ล่ะ ?)

ใช่!! ทุกครั้งที่เกิดวิกฤต มันนำความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ แบบที่เราแทบไม่รู้ตัว

พูดง่ายๆ ว่า จากนี้ไป ถ้าเราทำเหมือนเดิม ผลลัพธ์มันก็จะแย่ลงเรื่อยๆ ....ทางเลือกเดียว คือ ‘เราต้องค่อยๆ ปรับเปลี่ยน’

ผมเชื่อเสมอว่า ‘การเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ่ มันเริ่มจากการใส่ใจ และเปลี่ยนแปลงสิ่งเล็กๆ รอบตัว’

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

เรื่องง่ายๆ ที่ไม่ควรพลาดในตลาดหุ้น

‘ตลาดหุ้นไม่สนใจผิดถูก แต่สนว่า เราบริหารโอกาสอย่างไรต่างหาก !!’

ช่วงแรกๆ ที่ผมเข้าตลาดหุ้น ...ผมสนใจ ‘ความถูกต้อง แม่น!!’ จนทำให้พลาดโอกาสมากมาย

ใครที่ศึกษาเทคนิคใหม่ๆ จะ รอดูว่า ‘ตามทฤษฎี หุ้นจะต้องลงมาที่ 61.8% จากนั้น ถึงจะกลับตัวได้ อะไรก็ว่าไป ...เอาตรงๆ นะ หลายๆ ครั้งหุ้นก็ลงมาจุดนั้นจริงๆ ...จนทำให้เราคิดว่า การขึ้นลงของหุ้น มันต้องเป็นแบบนี้ทุกครั้ง’

ที่เขาเรียกว่า ‘เทรดแม่นแบบสั่งกราฟได้ว่างั้น!!’

บอกตรงๆ ยิ่งเรา คิดว่า ตัวเอง แม่นยำแค่ไหน ...สุดท้ายเราจะเสียหายหนักจากความมั่นใจนั่นแหละ

สรุปง่ายๆ ก็คือ

‘การขึ้นลงของหุ้น มันไม่ใช่สูตรเลข ที่ 1+1 ต้องเท่ากับ 2 ...แต่มันเป็น ความน่าจะเป็น ต่างหาก’

กราฟหุ้น คือ ‘สถิติ’ ...ถ้ามันทำ ‘ทรงกราฟแบบนี้’ ส่วนใหญ่ ก็มักจะเป็นไปตามผลลัพธ์ เพราะ มันคือ สถิติ ...แต่มันจะมีบางครั้งที่มันไม่เป็นแบบที่เราคิด และนั่นแหละ เป็นจุดที่นักเทรดมืออาชีพจะเสียหายอย่างหนัก

บางคนเทรดหุ้น ชนะมาตลอด 5 ปี เพื่อที่จะเสียทั้งหมดใน 1 วัน ...’โหดไหมล่ะ?’

‘มีทางแก้ไหม ?’

“มีครับ!!’

1. ‘ให้เข้าใจว่า ตลาดหุ้น คือ ความน่าจะเป็น ..ไม่มีสูตรที่ตายตัว’ ...ถ้าเข้าใจแบบนี้เราจะจำกัดความเสี่ยงทุกครั้งที่เข้าซื้อหุ้น ...ถ้าเป็นคนเทรด จะวาง Stop Loss ทุกครั้งที่เข้าซื้อ ..ถ้าเป็นนักลงทุนระยะยาว จะแบ่งเงินเป็นก้อนๆ จำกัดความเสี่ยงก่อนซื้อเสมอ

2. ‘ผิดถูกไม่สำคัญ เท่ากับ การบริหารทุกโอกาสที่เข้ามา’ ...ทุกครั้งที่ซื้อ ต้องถามว่า ‘ถ้าขึ้นต่อ จะทำยังไง ?’ ...และถามว่า ‘ถ้ามันไม่ขึ้น แล้วมันลง เราจะทำยังไง ?’ ...ใครเตรียมตอบทั้ง 2 คำถามนี้ก่อนเข้าซื้อ ยังไงก็ไม่มีทางเจ๊ง

ที่เอาเรื่องนี้มาแชร์ ...เพราะ นึ่คือ เรื่องง่ายๆ ที่คนส่วนใหญ่พลาดครับ!!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ