‘4 เรื่องต้องรู้ ...เมื่ออเมริกาพิมพ์เงินเพิ่ม จะส่งผลต่อเรายังไง’
ครั้งนี้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกา ก็ทำเหมือนปี 2008 เลย ก็คือ พิมพ์เงินเพิ่ม ...เฮ้ย!! ง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ ? (จริงๆ มันซับซ้อนกว่านั้น แต่เอาให้เข้าใจง่ายก็คือ อเมริกาพิมพ์เงินเพิ่ม ซึ่งรอบนี้ยิ่งกว่าเดิม คือ มีแจกเงินตรงๆ ด้วย ช่วยพยุงเศรษฐกิจยุคโควิทนั่นแหละ)
สิ่งที่เราต้องสนใจคือ ‘แล้วมันจะกระทบยังไงกับประชาชนตาดำๆ ตัวเล็ก ในประเทศเล็กๆ อย่างประเทศไทยบ้าง อันนี้แหละ มีผมว่าเราควรสนใจ’
ก็ขอสรุปเป็นข้อๆ ให้เข้าใจง่ายดังนี้
1. ‘เมื่อมีเงินเพิ่มในระบบ ปัญหาเศรษฐกิจจะไม่ลงรุนแรง แต่จะซึมยาวแทน’ ...โอ้โห!! ซึมยาว ..ก็เอาตรงๆ การพิมพ์เงินมันไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ มันแค่เอาฟอร์มาลีนมาฉีดศพไม่ให้เน่าเท่านั้น เห็นภาพไหม ...ยกตัวอย่าง คุณแจกเงินคน พอเขาได้เงิน เขาก็เอาเงินนั้นมาใช้ซื้อของ เงินก็จะกลับไปที่กระเป๋าคนรวย ...มันดีขึ้นชั่วคราว แต่ปัญหาจริงๆ มันยังอยู่ เช่น หนี้ท่วมหัว , ธุรกิจเจอ Disrupt หาเงินยากขึ้น , ธุรกิจใหญ่มาแย่งธุรกิจเล็ก ....มันยังไม่ได้ถูกแก้
2. ‘สินทรัพย์จะผันผวนหนัก’ ...อันนี้กระทบโดยตรงเลยจากการพิมพ์เงิน เพราะ ถ้า Supply เงินเพิ่ม แปลว่า มูลค่าของเงินในกระเป๋าเราจะลดลง ...มันก็ต้องมีสิ่งที่เพิ่มจริงไหม ? ...มูลค่าเงินลด อะไรเพิ่ม ก็สินทรัพย์ไง ....แต่ความยากคือ สินทรัพย์มีมากมาย ...’ทอง หุ้น ของสะสม ที่ดิน คริปโต’ ...เราจะเลือกสินทรัพย์อะไรล่ะ ?
....ผมฟันธงให้เลย ‘หุ้น’ ...รอบนี้ผมชอบหุ้นมากสุด เพราะ มันซื้อด้วยเงินน้อยก็ได้ แปลว่า มันไม่ได้จำกัดผู้เล่น ...นอกจากนี้สภาพคล่องมันสูงสุด
...เอาง่ายๆ วันนี้ หลายคนถามผมว่า ‘พี่แพ้ท หุ้นขึ้นแบบนี้ กล้าซื้อ ไม่กลัวเหรอ ?’ ...ผมบอกว่า ‘จะกลัวทำไม เอาแค่ถือได้ปันผล ก็คุ้มแล้ว ...หรือ ถ้าอยากขายจริง ถ้ามันไม่ขึ้นต่อ ก็ขายได้ คุณขายได้ทุกวัน มีสภาพคล่องตลอด กลัวอะไร ไม่ใช่ที่ดินนี่ที่สภาพคล่องไม่มี’
3. ‘Gap ระหว่างคนรวยกับจนห่างสุดๆ ...คนรวย รวยขึ้นอีก คนจน จนหนักเลย กระตุ้นความขัดแย้งทางการเมือง’ ....ผลจากที่สินทรัพย์พุ่ง คนที่มีสินทรัพย์คือคนรวย ก็จะรวยขึ้นไปอีก แต่คนทั่วไปที่ไม่มีสินทรัพย์นี่ซวยเลย เพราะ ของที่ขึ้นก็ไม่ได้ถือ ส่วนหากิน ก็ไม่ได้ง่าย
....คราวนี้จะเกิดความขัดแย้งทางการเมืองเพิ่มขึ้น ...จริงๆ ปัญหานี้ ผมว่า แก้ได้ด้วย การที่รัฐบาลต้องสร้างให้คนส่วนใหญ่ลงทุน แบบภาคบังคับ ยังไงล่ะ ? ...เช่น ออกสลากลุ้นโชคแห่งชาติ ..เหมือนหวย แต่ถ้าไม่ถูก เงินบางส่วนจะผันเป็นเงินลงทุนในสินทรัพย์อย่างหุ้นก็ได้ ...คนส่วนใหญ่ซื้อหวยอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ถูกเงินมันหายไป นี่เอากลับมาออมในสินทรัพย์ให้เขา อะไรก็ว่าไป
...เอาเถอะ คิดกันไป ไม่เกิดขึ้นหรอก ฮ่า ฮ่า แก้ง่ายสุด คือ เริ่มจากตัวเราครับ เราเริ่มแบ่งเงินบางส่วนมาลงในหุ้น อาจเริ่มจาก DCA ใน ETF ก็ได้ (ได้ผลตอบแทนเหมือนตลาดหุ้น แต่แทบไม่เสี่ยงเลย)
4. ‘ปัญหาหนี้จะไม่ได้รับการแก้ หนี้จะเพิ่มหนักทั้งประชาชนและรัฐบาล’ ....เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร จุดที่หนี้มันท่วมหัวเรา ...ใครๆ ก็รู้ว่าหนี้มันไม่ดี แต่ทำไงได้ มันจำเป็นต้องกู้ ....หนึ่งในธุรกิจที่โตเร็ว รวยเร็วที่สุดวันนี้ ก็คือ ปล่อยกู้รายย่อย ...’จริงๆ ธุรกิจแบบนี้ ก็คล้ายธนาคาร เพียงแต่ธนาคารปล่อยกู้รายใหญ่ พอพวกนี้เบี้ยว ก็ตามยาก ...แต่รายย่อย นี่ตามกันจนคุณผูกคอตาย สรุปง่าย ตามหนี้รายย่อยง่ายกว่า ...มันเลยโตมหาศาล!!’
แต่สุดท้ายปัญหาคือ หนี้ครัวเรือนเพิ่มหนักเลย (เป็นเหมือนกันทั้งโลก) ...ผมว่า เป้าหมายชีวิตของคนรุ่นใหม่ ไม่ต้องคิดว่ารวยนะ คิดว่า ‘ถ้าฉันไม่มีหนี้ แปลว่า ฉันคือคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วนะ!!’
ที่พูดนี่ไม่ได้รวมหนี้ธุรกิจนะ ...หนี้มี 2 แบบ
...1. หนี้ส่วนตัว อันนี้อันตรายเพราะ เป็นการสร้างหนี้ซื้อของ ที่ไม่สร้างรายได้ในอนาคต ใครมีหนี้แบบนี้มากๆ ซวยแน่นอน
...2. หนี้ธุรกิจ อันนี้บางส่วนดี เพราะ กู้ไปขยายธุรกิจ สร้างรายได้ในอนาคต ...พอรับได้ถ้าธุรกิจมันขยายได้จริง แต่ถ้าสุดท้ายไม่เป็นไปตามเป้า ก็หนักเหมือนกันแหละ
ใช่!! การพิมพ์เงินรัฐบาล บางส่วนก็มาซื้อหนี้อันที่สอง โดยเฉพาะธนาคาร และธุรกิจใหญ่ ...แต่ไม่รวมหนี้ของธุรกิจเล็ก ....เราจะเห็นสนามแข่งธุรกิจมันไม่เคยเท่าเทียมกัน
รายใหญ่พลาด มีอุ้ม ...รายเล็กพลาด มรึง จมดินแน่ !!
คำแนะนำ ของผม ที่ทำอยู่ตอนนี้ คือ ผมซื้อหุ้น เอาพวกที่
หนึ่ง ได้รับผลกระทบต่อวิกฤตน้อย
สอง เอาธุรกิจใหญ่ๆ ที่ได้รับการช่วยเหลือ
สาม เอาหุ้น ที่เจ้าของ ซื้อเพิ่ม
สี่ ผมกระจายเงินเยอะ ซื้อหุ้นทั้ง 3 แถวเลย ...แถว 1 เยอะหน่อย ...แถว 2 กับ 3 มีน้อยหน่อย แต่ก็ต้องมี ไว้ลุ้นเติบโต
สมมุติ ผมมีเงินลงทุน 100 บาท ...50 บาท นี่หุ้นแถวหนึ่ง / 30 บาท หุ้นแถว 2 / อีก 20 บาทลุ้นแถว 3 ...ก็จะช่วยสมดุลย์ความเสี่ยงในภาวะตลาดแบบนี้ครับ
#ภาววิทย์กลิ่นประทุม
สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย
http://bls.tips/pawawitTeam
หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ”
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
‘เป็นล้านเลยเหรอพี่ ?‘ …ทำอะไรมีเงินเป็นร้อยล้าน !! 1. อยากได้เงินล้าน …ต้องทุ่มพัฒนาทักษะ เพราะ ทักษะจะทำให้เราได้งาน ได้ธุรกิจ ได้โอกาสให...
-
10 ข้อควรรู้ เพื่อเข้าใจตลาดหุ้นมากขึ้น 1. ตลาดหุ้นสามารถเล่นแบบการพนัน และก็สามารถเล่นแบบการลงทุน คนกำหนดคือคนเล่นเอง ไม่ใช่ตลาด ..คน...
-
ทำไมคนที่รายได้มั่นคง ควรลงทุนให้เสี่ยง ? 1. รายได้ที่มั่นคงมักจะมีข้อจำกัด คือ มีรายได้เรื่อยๆ แต่ไม่โต …ดังนั้น การลงทุนควรหาโอกาสที่เสี่...
-
'ทฤษฎี กับ การปฏิบัติ ต่างกันอย่างไร ?' ประเด็นนี้ ผมเจอน้องๆ นักศึกษามาถาม ..เค้าคงอยากรู้ว่า สิ่งที่เขาเรียนในทฤษฎี เวลาเขาไป...
-
6 เคล็ดลับ หาจุดเปลี่ยนชีวิตที่นานๆ จะมาสักทีนึง สำหรับผม ผมเจอจุดเปลี่ยนชีวิตมา 3 ครั้งใหญ่ๆ …ครั้งแรก สมัยเรียน จากเด็กเรียนธรรมดา ..ผมไป...
-
7 ข้อ ทำไมผมถึงชอบตลาดหุ้นไทยในเวลาที่ใครๆ ก็ไม่เอาแล้ว 1. หุ้นไทยเป็นหุ้นอุตสาหกรรมเก่า ที่เข้าใจง่ายกว่า …’หุ้นที่ใครๆ มองว่าดี ส่วนใหญ่ไ...
-
7 ข้อ ความเชื่อในการลงทุนที่เปลี่ยนไป ในตลาดวันนี้ 1. ยิ่งเสี่ยงยิ่งโชคดี …จริงๆ ไม่ใช่ …ต้อง ‘ออกแบบให้ตัวเองมีโอกาสเสี่ยงได้เรื่อยๆ’ อัน...
-
10 อันดับ สินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก 1. ทอง มีมูลค่ารวม 20.5 Trillion 2. Microsoft มูลค่ารวม 2.6 T 3. Apple มูลค่ารวม 2.59 T 4. N...
-
8 ข้อคิด จาก The Psychology of Money 1. ความมั่นคงทางการเงิน คือ ความยืดหยุ่นในชีวิต 2. ความมั่นคงทางการเงิน ไม่ใช่ การได้เยอะ แต่คือ การไม...
ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"
- ภาพใหญ่หุ้นไทย ปี 1987 - 2009
- ย้อนรอย SET ปี 1987 - 1990(จาก Black Monday ไปแตะ 1,000 จุด)
- ย้อนรอย SET ปี 1991 - 1993 ( 3 ปีสู่ยอดดอย )
- ย้อนรอย SET ปี 1994 - 1996 ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" )
- ย้อนรอย SET ปี 1997 - 1999 ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น )
- ย้อนรอย SET ปี 2000 - 2008 ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" )
- ย้อนรอย SET ปี 2009 (Do you Remenber?)
"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
10 เรื่องที่ต้อง "รู้งี้" ก่อนจบปริญญา ... 1. "ใบปริญญามีวันหมดอายุ" ..หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจ...
-
ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
'คำทำนาย ที่ว่าโลกหลังปี 2017 จะเกิด ..ธุรกิจเล็กจะใหญ่ ธุรกิจใหญ่จะเล็ก!!' ยุคนี้รายใหญ่ก็ตายได้ ..รายเล็กก็เกิดได้ ..นี่อ่านข...
-
วันนี้มาดอนเมือง ผมได้ชิมกาแฟมวลชน จุดเริ่มของ All Cafe ของ 7-11..วันนี้เกมค่าปลีกแข่งดุ เนื่องจากค่าเช่าแพงขึ้นตามราคา Asset ที่พุ่งกร...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
Luxury คือ เงินเฟ้อ!! เศรษฐกิจไม่ดี ทำไม ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ..คนธรรมดาทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันล่ะ ? ก็เพราะ เราไม่รู้ว่า 'ความห...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น