แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2567

6 กลโกง ในตลาดหุ้นที่ใช้หลอกคนมีความรู้แบบง่ายๆ

 6 กลโกง ในตลาดหุ้นที่ใช้หลอกคนมีความรู้แบบง่ายๆ 


เวลาเสียเงินเองนี่ก็ว่าหนักแล้ว …แต่ถ้าโดนหลอกนี่มักจะหนักกว่า ’เพราะ ความโลภ + เชื่อใจ’ ใส่เงินมากกว่าเสมอ


1. ‘ชวนคุณให้ลงหุ้นนอกตลาด‘ …อันนี้อาจไม่ใช่กลโกงเต็มๆ แต่เอาเข้าจริง 90% มันเข้าไม่ได้ครับ …คิดง่ายๆ ถ้าคุณไม่ได้เป็นส่วนนึงของคนที่ช่วยบริษัทเข้าตลาด เขาคงไม่เอาของดีมาขายคุณราคาถูก


2. ‘ชวนลงทุนในสิ่งล้ำๆ ที่เป็นกระแส‘ …เขาจะชวนเราลงทุนในสิ่งที่ไกลตัวเราแต่ดูเท่ห์ ตั้งแต่ เทรดค่าเงิน ลงทุนใน AI …แต่พอโอนเงินให้เราโอนเงินเข้าชื่อบุคคล (บัญชีม้า) …ไม่ใช่ละ !!!


3. ’ชวนลงทุนแต่ไม่เจอเจ้าของ ไม่ได้ดูธุรกิจ และ ไม่ได้อัฟเดททะเบียนชื่อผู้ถือหุ้น‘ …พูดง่ายๆ เหมือนเอาเงินคุณไป โดยไม่มีเอกสารอะไรเลย …พอมีปัญหาจริง ทำอะไรคนชวนไม่ได้เลย


4. ‘ชวนลงทุนในหุ้นที่จะกลับมาเทรดใหม่’ …อันนี้โดนกันเยอะ สำหรับหุ้นที่โดนแขวน แล้วจะกลับมาเทรดใหม่ 


5. ’ชวนลงทุนใช้ชื่อนักลงทุนที่มีชื่อเสียง’ …หลักๆ คือ หลอกใช้ชื่อคนดัง ดูง่ายๆ คือ ผลตอบแทนเกินจริง / เขาไม่บอกวิธีการ / มีการล่อเหยื่อ ส่วนใหญ่คือ บอกให้เราใส่เงินน้อยๆ แล้วได้กำไรจริง จากนั้นชวนให้เราลงเยอะ คราวนี้หายเลย


6. ’โดนหลอกหนักขึ้น พอเราจะเอาเงินคืน’ …พอเรารู้ตัวว่าโดนหลอก ก็พยายามจะเอาเงินคืน …ทางนั้นก็จะหลอกเราซ้ำ เช่น ให้เราโอนนุ่นนี่เพิ่ม ค่าธรรมเนียม ค่าต่างๆ สุดท้ายยิ่งโอนเพิ่มก็ยิ่งหายเพิ่ม


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2567

7 ข้อ หุ้นก่อนดี มันซ่อนอยู่ตรงไหนกัน ?

 7 ข้อ หุ้นก่อนดี มันซ่อนอยู่ตรงไหนกัน ?


ซื้อหุ้นก่อนดี คือ ซื้อตอนที่มันยังไม่ดี พอมันดีเราก็รวยแล้ว 


1. ‘เป็นหุ้นที่อยู่ในจุดที่โตได้‘ …จุดโตได้เช่น เราเห็น 7-11 เพิ่งเข้ามาในตลาดที่ยังขยายได้อีกเยอะ นั่นก็แปลว่าโตได้


2. ’ธุรกิจมีกำไร Margin สูง‘ …ธุรกิจที่ Margin ต่ำ ส่วนใหญ่คือธุรกิจใหญ่ที่ใช้เงินเยอะ …ให้เราหาธุรกิจที่ขยายได้ด้วยทุนต่ำ เช่น คิดค้นสินค้ามาตัวนึง ที่กำลังจะเติบโต …ช่วงโตของ Product มันมีแต่กำไร เพราะ ทุนมันใส่ตอนต้นไปแล้ว ยิ่งโต Margin ยิ่งสูง


3. ‘เจ้าของเป็นคนทันสมัย‘ …ทันสมัยในที่นี้คือ เป็นคนล้ำในวงการของธุรกิจนั้นๆ อะไรก็ได้ ขอให้เขาเป็น ’ตัวจี๊ด’ ในจุดที่เขาทำอยู่


4. ‘ขนาด Market Cap. ไปต่อได้’ …ตัวเล็กก็จะเบากว่า โอกาสไปหลายๆ เด้งก็เยอะกว่า 


5. ’ธุรกิจแย่น้อยกว่าคนอื่น‘ …เวลาหาหุ้นถูกก็ต้องหาในตลาดแย่ ก็คือโดยรวมมันแย่ …แต่ตัวนี้แย่น้อยกว่านั่นเอง


6. ‘หุ้นต้องไม่เอาเปรียบคนถือหุ้นเดิม‘ …อันนี้แปลว่า เจ้าของถือเยอะ เขาก็จะไม่ทำอะไรให้คนถือเดิมเสียเปรียบ


7. ’เราต้องถือได้’ …เวลาเราเจอหุ้นแล้ว ต้องกล้าถือ …กล้าทนรวย …หลักๆ คือ กระจายความเสี่ยงไว้ดี เวลาขึ้นเราก็จะไปปอดแหกรีบขายเอากำไร


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2567

เข้าใจกลไกเศรษฐกิจที่ซับซ้อน แบบง่ายๆ ใน 6 ข้อ

 เข้าใจกลไกเศรษฐกิจที่ซับซ้อน แบบง่ายๆ ใน 6 ข้อ 


1. ‘เงินเฟ้อ คือ ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดในระบบทุนนิยม‘ …เงินเฟ้อแปลว่า เงินที่เราหาได้เก็บสะสม มันลดมูลค่า ซื้อของได้น้อยลงเรื่อยๆ


2. ‘เงินลดมูลค่า แล้วอะไรเพิ่มมูลค่า‘ …ตามหลักธรรมชาติ สิ่งนึงลด ต้องมีอีกสิ่งขึ้น …ใช่!! สินทรัพย์ ทั้งหมด จะขึ้นสวนทาง เช่น ที่ดิน , ทองคำ , หุ้น , สินทรัพย์ดิจิตอล 


3. ‘ดอกเบี้ยสูง‘ …ดอกเบี้ยใช้สู้เงินเฟ้อ แปลว่า อเมริกามีเงินเฟ้อสูง …พอดอกเบี้ยขึ้นถึงจุดนึง คนและธุรกิจจะเริ่มจ่ายหนี้ไม่ไหว เศรษฐกิจจะเริ่มชะลอ เงินเฟ้อลง 


4. ‘ดอกเบี้ยต่ำ‘ …ดอกเบี้ยต่ำใช้สู้เงินฟืด (ตรงข้ามเงินเฟ้อ) …เช่น ไทย วันนี้เศรษฐกิจแย่ เงินไม่หมุน ก็ต้องกระตุ้นด้วยการ ลดดอกเบี้ย


5. ‘Supply มากกว่า Demand’ …ของจะถูก เงินเฟ้อต่ำ …เพราะ ของที่ผลิตมีมากกว่าความต้องการซื้อ …ผู้ผลิตต้องลดราคา ..คล้ายๆ รถไฟฟ้าช่วงนี้  


6. ’Supply น้อยกว่า Demand’ …ของจะแพง เงินเฟ้อสูง …สินค้ามีน้อย แต่คนต้องการซื้อมาก ราคาก็จะขึ้น ..เช่น ปัญหาในอเมริกาช่วงก่อนหน้านี้ ที่รัฐบาลแจกเงินเยอะในช่วงโควิด หลังโควิดข้าวของเลยแพง บ้านราคาพุ่ง …วันนี้เลยต้องการขึ้นดอกเบี้ยแก้ปัญหากัน


สรุป ความปั่นป่วน ..เริ่มจากอเมริกาแจกเงินตอนโควิด ทำให้เงินเฟ้อหนัก ข้าวของแพง บ้านขึ้น สินทรัพย์ราคาขึ้น …รัฐบาลเขาเลยต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อให้เศรษฐกิจมันแย่ลง เงินเฟ้อจะได้ลดลง …แต่เผอิญ ดอลลาร์ มันเป็นเงินหลักของโลก ประเทศอื่นเลยซวย …เช่นไทย เศรษฐกิจเราไม่ได้ดี แต่เราต้องขึ้นดอกเบี้ยตามอเมริกา …แต่เราขึ้นไม่ได้เยอะเท่าอเมริกา เงินเลยไหลออกไปอเมริกา (ค่าเงินอเมริกาเลยแข็ง เงินบาทอ่อน)


…แต่ ดอลลาร์ แข็งไปเรื่อยๆ ไม่ได้ เพราะ มันผิดธรรมชาติ …สุดท้าย มันก็จะหยุดขึ้น แล้วเข้าสู่ขาลงในที่สุด


พอถึงจุดนึง เทรนด์ก็จะเปลี่ยน …ตอนนั้นแหละ จะเข้าสู่ขาขึ้นครั้งใหญ่ของเศรษฐกิจและหุ้นไทย


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2567

6 สิ่ง ที่ผมได้เรียนรู้จากนักลงทุนเก่งๆ

 6 สิ่ง ที่ผมได้เรียนรู้จากนักลงทุนเก่งๆ 


1. ‘การบริหารเงินสำคัญที่สุด‘ …หัวใจของการลงทุนคือ Money Management …มันไม่ใช่ว่าแค่หาหุ้นเก่ง เราต้องบริหารเงินเรา ให้ทำเงินจากหุ้นที่เลือก อันนี้สำคัญกว่า


2. ’นักลงทุนเก่งๆ มักจะไม่ใช่คนไปถามหาหุ้น’ …แต่เป็นคนนำเสนอหุ้นต่างหาก …ใช่!! คนเก่งเขาไม่ถามหุ้นใคร แต่เขาจะบอกหุ้นคนอื่น


3. ‘ต้องมี Believe System ที่ไม่เหมือนคนอื่น‘ …เช่น ความเชื่อของ 70/30 …หรือ การเข้าใจหลักการของคนส่วนน้อย ชนะในการเงินเสมอ


4. ’มี Lifestyle ไม่เหมือนคนอื่น’ …ตามกฏธรรมชาติ สิ่งที่เหมือนกันจะดึงดูดเข้าหากัน ..คนแบบไหนก็ดึงคนแบบนั้นเหมือนๆ กัน …นักลงทุนไม่เน้นทำงานหนัก แต่เน้นทำงานคุ้ม …’ออกแรงน้อยสุด ให้ได้เงินเยอะสุด นี่แหละ นักลงทุน‘


5. ’กล้า All-in ในเวลาที่ยากลำบากที่สุด’ …นักลงทุนที่เก่ง จะเลือก All-in ในเวลาที่ดูยากลำบากที่สุด …เพราะเขาเชื่อว่า จุดต่ำสุด คือ จุดที่ดูเลวร้ายที่สุด (ซื้อได้ราคาถูกที่สุด) นั่นเอง


6. ‘ศิลปะของนักลงทุน คือ การยืนระยะ ไม่ใช่ชัยชนะ‘ …การมุ่งชัยชนะ จะทำให้เราคิดสั้น คิดให้เร็ว …มันอาจช่วยให้เราชนะช่วงสั้นๆ แต่มันจะไม่สามารถทำให้เรายืนระยะได้


เพราะ หัวใจของการลงทุน คือ ใครอยู่ในเกมได้นานที่สุด คนนั้นรวยที่สุด’ (ผลตอบแทน * เวลา =ดอกเบี้ยทบต้น)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

7 เรื่องเงิน ที่เปลี่ยนแปลง ตามโลกยุคใหม่

 7 เรื่องเงิน ที่เปลี่ยนแปลง ตามโลกยุคใหม่ 


1. ’เงินใช้แก้ปัญหาได้ง่ายและถูกที่สุด’ …ปัญหาต่างๆ จะง่ายขึ้น ถ้าใช้เงินแก้ (พูดโคตรแรง!!)


2. ‘เงินยิ่งเยอะ คนยิ่งยอมรับคุณ‘ …สมัยก่อนคุณต้องเก่ง ต้องเป็นคนดี ทำเพื่อสังคม กว่าคนอื่นจะยอมรับ …แต่ทุกวันนี้แค่มีเงินคนก็ยอมรับแล้ว


3. ‘เงินเป็นตัวกำหนดบทบาท‘ …ลงเงินเยอะ เป็นประธาน เป็นหัวหน้า เป็นผู้นำ ..ลงเงินน้อย ก็ทำตามไป


4. ‘เงินยิ่งพิมพ์เพิ่ม ทำให้มูลค่าลด แต่ทำให้อำนาจมันเพิ่มขึ้นไปอีก’ …เพราะมันเข้าถึงคนมากขึ้น ..ยิ่งคนสัมผัสก็ยิ่งเสพติดมันมากขึ้น


5. ‘เงินไม่ควรอยู่เฉยๆ เพราะมูลค่ามันจะลดลง‘ …ต้องบริหารเงิน เปลี่ยนเป็นสินทรัพย์ ต้องลงทุน


6. ’ถ้าเงินอยู่ในมือคนที่ไม่พร้อม มันจะทำลายคนนั้น’ …สถิติคนถูกล๊อตเตอรี่ มักชีวิตและครอบครัวพัง หลังจากถูกรางวัลใหญ่ …เราถึงต้องฝึกบริหารเงินให้เป็น ก่อนทีีจะมีเงิน 


7. ‘สิ่งที่ดึงดูดเงินมากที่สุดคือ Story&Hope’ …เรื่องราว + ความหวัง(ความโลภ) …ดึงเงินได้มากที่สุดเสมอ …คนขายจอบ ขายเสียมในยุคตื่นทอง จึงรวยกว่าคนไปขุดทองเสมอ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2567

7 ข้อ ทำไมมนุษย์เรา ถึงแย่มากๆ ในการจัดการเงิน

 7 ข้อ ทำไมมนุษย์เรา ถึงแย่มากๆ ในการจัดการเงิน


ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เราทำนายอนาคตได้แย่มากๆ …สิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดว่าจะดี มันจะแย่ …แต่อะไรที่คนส่วนใหญ่คิดว่าแย่ มันมักจะดี ….อ้าว !!!


1. ’มนุษย์เราแย่เรื่องเงิน เพราะ เงินคือเรื่องของ อารมณ์‘ …เรามักคิดว่าตัวเองมีเหตุผล ตัดสินใจตามข้อมูลที่สมเหตุสมผล แต่เอาจริงๆ การตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต อารมณ์ล้วนๆ ….ลาออกจากงาน , ซื้อของแพงๆ ซื้อรถ ซื้อนาฬิกา อารมณ์ล้วนๆ (ของถูกๆ เท่านั้น ที่เราใช้เหตุผลจริงๆ)


2. ‘เงิน มีจำกัดเสมอ‘ …เงินจำกัด เมื่อเทียบกับความต้องการเราที่ไม่จำกัด …เราเลยไม่เคยหาเงินได้พอกับความต้องการ


3. ’การซื้อง่าย แต่การขายยาก‘ …อย่างที่เข้าใจกัน ซื้อใช้อารมณ์ แต่ขายนี่ใช้เหตุผล …นี่เป็นเหตุที่ว่า นักลงทุนเก่งๆ ซื้อเป็นนะ แต่ไม่รู้จะขายตรงไหน …จนบางทีตรงแพงๆ ไม่ขาย มาขายตรงถูกๆ 


4. ‘อารมณ์มวลชน คือ หนทางสู่ดอยหายนะ‘ …อารมณ์มวลชนจะวิ่งไปที่เดียวกันกับเงิน …แปลว่า จุดนั้นคือจุดที่มันสูงสุดในแต่ละช่วง …การหลีกหนีมวลชนจะทำให้เราลงทุนได้ดีขึ้น


5. ‘ผลตอบแทน มักอยู่ในจุดที่เสี่ยงเสมอ’ …เราจะเห็นว่า New Money หรือ คนรวยใหม่ เกิดขึ้นเพราะเขากล้าเสี่ยงลงในสิ่งใหม่นั่นเอง


6. ‘ถ้าเราไม่บริหารเงิน เงินจะค่อยๆ อ่อนแอและลดมูลค่าลงเรื่อยๆ’ …เงินเหมือนน้ำแข็ง ถ้าวางเฉยมันจะละลายมูลค่าหายไป …เราต้องบริการจัดการอย่างต่อเนื่อง


7. ’เงินเยอะๆ จะทำลายตัวเอง‘ …เงินสามารถทำให้คนรวมกัน และ ทำให้คนทะเลาะกันได้ …จุดที่ยากสุด คือ การหาจุดที่เหมาะสม ไม่มากและน้อยเกินไป


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2567

7 ข้อ ที่คนปกติเขาไม่ทำกันในตลาดหุ้น

 7 ข้อ ที่คนปกติเขาไม่ทำกันในตลาดหุ้น


1. ’หมกมุ่นอยู่ในจุดที่คนอื่นบอกไม่มีอนาคตแล้ว‘ …ตลาดหุ้นไทยไม่มีอนาคตแล้ว ไปตลาดอื่นเถอะ


2. ’ซื้อหุ้นจำนวนมากๆ แบบที่ไม่น่าจะออกได้’ …หุ้นไม่มี Volume แบบนี้ซื้อแล้วจะออกยังไง เดี๋ยวก็ขายไม่ได้หรอก


3. ‘ถือหุ้นตลอด ไม่ว่าตลาดหุ้นจะดีหรือแย่ก็ตาม‘ …ตลาดแย่ เอาเงินไปทำอย่างอื่นก่อน เดี๋ยวตลาดดีค่อยกลับมา


4. ’ไม่เคยซื้อตามหุ้นยอดฮิตเลย’ …หุ้นที่ทุกคนต้องมี อ้าว!! ทำไมคุณไม่มีล่ะ เดี๋ยวคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องนะ


5. ‘ซื้อหุ้นที่เจ้าของอยากให้คุณขาย‘ …งบก็ห่วย ปันผลก็ไม่จ่าย volume ซื้อขายก็ไม่มี …เจ้าของเก็บตัวเงียบเลย …หุ้นแบบนี้ อย่าไม่ยุ่งกับเขา


6. ‘ขายหุ้นในเวลาที่เจ้าของอยากให้คุณซื้อ’ …งบดีเลย volume เข้า ..เจ้าของขยันให้ข่าวดี …แบบนี้ หุ้นเปลี่ยนชีวิตแน่ๆ ….ขายทำไมวะ ?


7. ‘ความไม่ปกติ มันคือคนอื่นเขาไม่ทำ‘ …แต่ถ้าคนอื่นๆ เริ่มมาทำเรื่องปกติกันเยอะๆ สิ่งนั้นมันก็จะกลายเป็นเรื่องปกติ ….ต้องระวังให้ดี 


’เพราะ ความปกติ มันให้แค่ผลลัพธ์ธรรมดาๆ ไม่บ้าคลั่งพอ ที่จะเปลี่ยนชีวิตเราได้นั่นเอง’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม






วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2567

6 ข้อ ใสใส VI รุ่นใหม่ควรต้องรู้

 6 ข้อ ใสใส VI รุ่นใหม่ ควรต้องรู้


ขึ้นชื่อว่า ‘นักลงทุนคุณค่า’ ก็แปลว่า เราต้องข้ามผ่าน ’ราคา’(Price) แล้วพุ่งไปที่แก่นของมันคือ ‘มูลค่า’ (Value) 


….เอาตรงๆ นะ ยากสุดๆ …เพราะ บางครั้ง เราดันไปทำ ‘ตรงข้าม‘ 


…ก็คือไปให้มูลค่า ก็เพราะราคามันแพงน่ะซิ ?!?


’ของนี่ดูแพงจัง !! ….ใช่!! ดูมันตั้งราคาซิ ..แพงโคตร‘


1. ’ราคาคือสิ่งที่เราจ่าย ส่วนมูลค่าคือสิ่งที่เราได้รับ‘ …อันนี้เหมือนง่าย แต่ซับซ้อน …ในหุ้น Value คือ หนึ่ง ’ให้เงินทำงาน‘ (ปันผล) และ สอง ‘ให้เงินเติบโต‘ …ทุกวันนี้ ส่วนแรกมันลดลงเรื่อยๆ แล้วไปเพิ่มที่ส่วนสอง ทำให้ยิ่งดูยากเข้าไปอีก !!


2. ’อิสรภาพทางการเงิน เกิดจากการถือหุ้น ไม่ได้เกิดจากการเทรด‘ …การถือหุ้นเท่านั้น ที่เราปล่อยให้เงินทำงานแทนเราอย่างแท้จริง 


3. ‘การเกิดขึ้น‘ (ต้นรอบ) คือ …สิ่งใหม่ , ดูไม่แน่นอน , ดูไม่มั่นคง , ดูไม่เข้าใจ , ดูเสี่ยง , ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ …เหมือน ‘หุ้นขนาดเล็ก‘ …แปลว่า หุ้นที่จะกำไรมหาศาล มันต้องดูไม่ได้เรื่องในวันที่เราเริ่มซื้อ …‘เสี่ยงชิบหาย - มึงบ้ารึเปล่า ?‘


4. ’การตั้งอยู่‘ คือ เริ่มดูดี , มีมวลชนสนใจ , งบสวย , มีคนเริ่มเชียร์ …เหมือน หุ้นดี ของดี ที่มันดูดี …พูดง่ายๆ หุ้นที่อยู่ในช่วงนี้ มันจะดูดี แต่มันแพง !! ….แปลว่า คนซื้อหุ้นช่วงนี้ต้องซื้อแพง มีโอกาสไปต่อ แต่ต้องซื้อแพง แล้วไปขายแพงกว่า (เหมาะกับ Trader - แปลว่า คุณต้องเข้าใจเรื่องการ Stop Loss ดีๆละ)


5. ’ดับไป‘ คือ มันดูดีเกินไป (Too Good Too be True) …เหมือนหุ้นมหาชน หุ้นยอดฮิต ใครๆ ก็พูดถึง , ของมันต้องมี , Volume มหาศาล เพราะ ฝูงมหาประชาชนซื้อกันหมดแล้ว ….ช่วงนี้ คือ ช่วงที่ ’เจ้ามือ’ , เจ้าของ เขาเทขายของ 


’การขายของที่ดีที่สุด ก็คือ ขายตอนที่ทุกอย่างดูดีที่สุด …ขายในจุดที่ใครๆ ก็อยากซื้อนั้นเอง‘ 


6. ’ชั่วโมงบิน คือ ความผิดพลาดที่เราเก็บสะสมไปเรื่อยๆ‘ …ในการลงทุนการผิดพลาด ไม่ใช่สิ่งผิด แต่มันคือ สิ่งที่เราต้องเจอ ทุกคน มาเรื่อยๆ …คำถามคือ ‘เราจะจัดการกับความผิดพลาดยังไง ?’ 


สำหรับผม 

- หนึ่ง ‘เวลาพลาดต้องไม่พอร์ตระเบิด’ (ส่วนใหญ่พอร์ตระเบิด เพราะ อัดมาร์จิ้น เล่น Leverage สูงๆ)


- สอง  ’เวลาผิดพลาด คุณภาพชีวิตต้องไม่ลดลง‘ (เช่นปกติขับเบนซ์ แต่พอพลาดต้องมานั่งตุ๊กตุ๊ก อันนี้ไม่ใช่ละ)


- สาม ’เวลาพลาด ต้องมีเงินมาเติม’ …แปลว่า เรารู้อยู่แล้วว่า เราต้องพลาด ก็เลยเตรียมเงินให้เป็น ก็อกสอง ตั้งแต่แรก (ของผม 10% ของพอร์ต ต้องเตรียมเงินสดไว้เสมอ) 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

6 ข้อควรรู้ ‘การเร่งพอร์ตระยะสั้น‘ ต่างกับ ’ปั้นพอร์ตระยะยาว‘ อย่างไร

 6 ข้อควรรู้ ‘การเร่งพอร์ตระยะสั้น‘ ต่างกับ ’ปั้นพอร์ตระยะยาว‘ อย่างไร 


1. ’การเร่งพอร์ตใช้การ Focus การปั้นระยะยาวใช้การ Diversify’ …การเร่งพอร์ตต้องหาโอกาส All in …แต่การสร้างพอร์ตระยะยาวคือการกระจายความเสี่ยง


2. ’เร่งพอร์ตคือ เล่นตามกระแส …ปั้นระยะยาวต้องสวนกระแส‘ …ตามกระแสคือ เล่นหุ้นที่ตลาดเล่นกันเวลานี้ ตามหุ้นที่กำลังขึ้นว่างั้น …ส่วนปั้นพอร์ต ต้องทยอยเก็บที่เขายังไม่เล่นกัน


3. ‘การปั่นพอร์ตยาว ต้องมองหุ้นถูกเหมือนของสะสม’ ..หลักการคือ ทยอยซื้อหุ้นถูกโดยไม่สนใจว่า เมื่อไหร่มันจะมา แค่เก็บสะสมไปเรื่อยๆ


4. ’การเร่งพอร์ตต้องขายตามรอบ …แต่การปั้นแค่ขายบางส่วนเวลาหุ้นแพง’ …พูดง่ายๆ ถ้าจะปั้นพอร์ต ก็ต้องพยายามสะสม แค่ขายบ้างเวลาหุ้นแพง เพื่อจะได้เงินมาเก็บเพิ่มเวลาหุ้นถูก


5. ‘การเร่งพอร์ตสามารถใช้ Margin แต่การปั้นพอร์ตควรใช้เงินสด‘ …การใช้ Margin ควรใช้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ควรใช้ระยะยาว


6. ’การปั้นพอร์ต ต้องสร้าง Mindset ของเจ้าของกิจการ’ …นั่นคือ การเติบโตไปกับหุ้น(ที่เราเลือกแล้วว่าเป็นธุรกิจที่ดีและเติบโต) …และอยู่กับหุ้นนั้นๆ ทั้งขาขึ้นและขาลง 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

7 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับ Money Game (เกมกล คนรวย)

 7 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับ Money Game (เกมกล คนรวย)


1. ’รายได้จากเงินเดือน สู้รายได้จากสินทรัพย์ไม่ได้’ …เงินเดือนค่าจ้าง มีข้อจำกัดที่เวลาและแรงของเรา …แต่รายได้จากสินทรัพย์ไม่มีข้อจำกัดตรงนั้น


2. ‘สินทรัพย์ไม่จำเป็นต้องเป็นของเรา แค่เรามีความสามารถบริหารสำคัญกว่า‘ …สินทรัพย์มีอยู่มากมาย ไม่จำเป็นต้องเป็นของเรา ขอแค่เรามี ‘ความสามารถในการบริหาร’ โอกาสก็จะเกิดขึ้น


3. ’หุ้นเป็นการสร้างมูลค่าอย่างก้าวกระโดดให้ธุรกิจ‘ …แต่ก่อนคนจะสนใจแค่บริหารธุรกิจ โดยไม่สนใจหุ้น …ทั้งที่จริงๆ แล้วโอกาสร่ำรวยก้าวกระโดดอยู่ในหุ้น ซึ่งต่อยอดมาจากตัวธุรกิจ


4. ’การเอาหุ้นเข้าตลาดมีความยาก แต่เป็นตัวปลดล็อคความมั่งคั่งอย่างแท้จริง‘ …Wealth คือ ได้ทั้งเงิน + ได้ทั้งเวลา …การนำธุรกิจเข้าตลาด จะให้ระบบ ทำให้เจ้าของมีเวลา มีเงินทุน และโอกาสในการขยายแบบก้าวกระโดด


5. ‘การเข้าใจ P/E ในตลาดหุ้น จะทำให้เราเพิ่มความรวยอย่างรวดเร็ว และก้าวกระโดด‘ …ทุกๆ บาท กำไรที่เพิ่ม มันเพิ่มทวีคูณ ตาม P/E ที่นักลงทุนยอมจ่ายเพื่ออนาคต 


6. ‘การ M&A เป็นตัวเร่งการโตครั้งใหญ่‘ …โอกาสสำคัญของธุรกิจในตลาดหุ้น คือ M&A ก็คือ ใช้เงินคนอื่น มาซื้ออนาคต


7. ‘ใช้หุ้นเป็นหลักประกัน เอาเงินมาใช้ต่อยอด‘ …หุ้นที่ดี ก็สามารถเป็นหลักประกัน ให้เราได่เงินต่อเงิน เพิ่มเข้าไปอีก


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

‘ข้อมูล’ แบบไหน ในการเล่นหุ้น ที่เราควรให้ความสำคัญ

 ‘ข้อมูล’ แบบไหน ในการเล่นหุ้น ที่เราควรให้ความสำคัญ


ยุคก่อนใครมีข้อมูล คนนั้นได้เปรียบ …แต่ทุกวันนี้เต็มไปด้วย Fake News และข้อมูลที่ล่อลวงเรา …ดังนั้น ความสามารถในการ เลือกข้อมูลที่จำเป็นกลายเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า 


1. ‘ข้อมูล ข่าวดี ที่ใครๆ ก็รู้‘ …อันนี้ส่วนใหญ่จะสะท้อนไปในราคาแล้ว …สมมุติว่าทุกคนรู้ว่าบริษัทนี้จะดีมาก หุ้นจะแพงไปก่อนแล้ว …ทำให้ข้อมูลแบบนี้ เราไม่ควรซื้อตาม เพราะ อาจดอย หรือได้ของแพง …ที่เราเห็นบ่อยๆ คือ Sell On Fact 


2. ‘ข้อมูล ร้าย ที่ทุกคนรู้แล้ว‘ …ส่วนใหญ่ราคาจะลงแรงไปก่อนแล้ว …แบบนี้ก็มักจะไม่ใช่จุดขาย หรือ จุด Cut Loss ในหุ้น …บางครั้งการเล่นสวน แบบหวังเด้งสั้น ก็อาจทำได้ด้วยซ้ำ 


3. ’ข้อมูล ที่เราคิดว่าเป็น Inside’ …แบบว่า เพื่อนพูดว่า อันนี้เจ้าของหรือคนวงในบอกมา …ต้องไปดูที่ราคาว่า ราคามันไปหรือยัง …ส่วนมาก กว่าข้อมูลจะมาถึงเรา ราคามันวิ่งไปไกลแล้ว อันนี้ต้องระวัง …เพราะ ข้อมูล inside รายย่อยมักจะกล้าซื้อเยอะ เวลาพลาดเลยเจ็บหนัก


4. ’ข้อมูล ที่เรารู้ แต่ยังไม่สะท้อนในราคา’ …อันนี้ต้องมาดูก่อนว่า ราคาหุ้นก่อนหน้านี้อยู่ในขาขึ้นหรือขาลง …จากนั้นดู Volume ว่ามีการซื้อขายเยอะไหม …ถ้าการซื้อขายเยอะ เราต้องระวังให้มาก 


5. ‘ไม่มีข้อมูลเลย แต่เริ่มมีคนเข้ามาเก็บหุ้น‘ …อันนี้ดูได้จาก เริ่มมี Volume เข้ามาซื้อหรือขาย หลังจากที่หุ้นมี Volume มันแห้งมานาน …อันนี้น่าสนใจ เพราะ อาจเป็นจุดเริ่มรอบใหม่ หรือ จุดเปลีี่ยน


6. ’ข่าวดีเต็มไปหมด แต่มี Volume ขายไม้ใหญ่ๆ’ …อันนี้สัญญาณไม่ดี มันแสดงถึง การเปลี่ยนแปลงในอนาคตที่อาจเปลี่ยน Trend ของหุ้นได้ …หลายๆ ครั้งคือ หมดรอบขาขึ้น แล้วกำลังจะลง


สรุป อย่าซื้อขายหุ้นเพียงเพราะ ข้อมูลที่เราได้รับ …ต้องเอากลับมาวิเคราะห์ กับ ’ราคาหุ้น’ , Volume และ Trend ของหุ้นตัวนั้นๆ ประกอบด้วย


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

6 ข้อ หลักการ ‘ถูกหวย‘ ในตลาดหุ้นไทย (ในเวลาที่หุ้นอะไรๆ ก็ดูถูก)

 6 ข้อ หลักการ ‘ถูกหวย‘ ในตลาดหุ้นไทย (ในเวลาที่หุ้นอะไรๆ ก็ดูถูก)


1. ‘ซื้ออย่างเดียวไม่ขาย‘ …การถูกหวยคือ ต้องได้กำไรเป็นหลายๆ เด้ง …และการถือทน คือ ทางเดียวของผลจอบแทนหลายๆ เด้งนั่นเอง


2. ’ซื้อหุ้นแบบ แบ่งเงินซื้อหวย’ …แบ่งเงินที่ เสียได้ …แล้วโยนลงไป แบบเสียได้ แล้วชีวิตไม่พัง


3. ‘หุ้นนอกกระแส เท่านั้นที่ให้ผลตอบแทนหลายๆ เด้ง‘ …ไม่ใช่หุ้นใหญ่ ไม่ใช่หุ้นยอดฮิต ไม่ใช่หุ้นที่อยู่ในกระแสที่คนอื่นซื้อกัน


4. ’เลือกหุ้นที่ฐานต่ำ ราคาอยู่ข้างล่าง‘ …หุ้นที่ฐานต่ำ หากกลับตัวจะขึ้นได้มาก …และ ความเสี่ยงก็ไม่สูง


5. ‘ไม่เอาหุ้นที่มีหนี้เยอะ‘ …บริษัทที่หนี้เยอะ ต้องหลีกเลี่ยง เพราะ มันอาจมีปัญหาต่างๆ ซุกซ่อนเอาไว้ เราไม่ควรไปยุ่ง


6. ’ซื้อแล้วถือลืม’ …เงินต้องเย็น ซื้อแล้วถือลืมๆ ไป …วันนึงเวลาเขาเล่น เดี๋ยวเราก็รวยเอง …ต้องใจเย็น รอได้


ใช่แหละ !! ‘อยู่ให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้‘ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

‘หุ้นไทย’ ไม่มีอนาคตแล้วจริงหรือ ?

 ‘หุ้นไทย’ ไม่มีอนาคตแล้วจริงหรือ ?


1. ’ขาขึ้นรอบใหม่ มักเริ่มเวลาที่ทุกคนสิ้นหวัง’ …ก็ไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ซื้อหุ้นต้นรอบ


2. ’ไทยมีความยืดหยุ่นในการทำธุรกิจ จนจีนสนใจใช้เป็นฐาน‘ …ฐานผลิตอีวี ซึ่งเป็นหนึ่งในเรือธงหลักของจีน


3. ’อุตสาหกรรมใหม่ ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น‘ …ความงาม , สุขภาพ , ท่องเที่ยว , สัตว์เลี้ยง และ บันเทิง …ธุรกิจที่น่าสนใจใหม่ อยู่ในช่วงเริ่มต้น ต้องใช้เวลาในการเข้าสู่ช่วงเติบโต


4. ‘ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงหลัดใบ สู่นักลงทุนรุ่นต่อไป‘ …รุ่นเก่าถอดใจ ก็ต้องมีรุ่นใหม่ ที่คิดแตกต่างจากรุ่นเก่า เช่น นักลงทุนใหม่ของอเมริกา สนใจการเติบโต ไม่สนใจหุ้นถูก ไม่สนใจปันผล …พูดง่ายๆ หุ้น Superstock แต่ละยุคมันไม่เหมือนเดิม


5. ’ไทยเป็นส่วนนึงของโลกใหม่’ …โลกเก่าคือ โลกตะวันตกเดิม …ส่วนโลกใหม่คือ โลกตะวันออก นำโดย จีน อินเดีย …ซึ่งเกี่ยวข้องกับไทยอย่างลึกซึ้ง …แต่ก่อนแค่มาเที่ยว จากนั้นซื้อบ้านลงทุน แล้วก็เอาลูกหลานมาอยู่ มาเรียน มาตั้งรกราก


6. ‘การกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ กำลังจะเริ่มขึ้น’ …จากนี้เราจะเห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในทุกรูปแบบ …ถ้าเทียบก็เหมือนไพ่ใบสุดท้าย ต้องเด็ดว่างั้น


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2567

โอกาสดีกว่า ทำสิ่งใหม่ในเวลาที่ยังไม่บูม

 โอกาสดีกว่า ทำสิ่งใหม่ในเวลาที่ยังไม่บูม


1. ‘การทำสิ่งใหม่ อึดอัดเสมอ แต่ดี‘ …เพราะเราต้องเรียนรู้ใหม่ …การทำอะไรใหม่ ทำให้ตัวเราไปเป็นนักเรียน เป็นมือสมัครเล่นใหม่ นั่นแหละ ช่วงที่เรียนรู้และเติบโตที่สุดในชีวิตเรา


2. ‘เวลาเริ่มที่ดีสุด คือเวลาที่ยังไม่บูม‘ …อย่าไปเริ่มอะไรเวลาสิ่งนั้นฮิต เพราะ นั่นคือปลายรอบ …ถ้าอยากเริ่มให้รอคนเลิกฮิต คนเสียหาย เจ็บตัว แล้วก็จะถึงเวลาที่เราควรเข้าไป


3. ‘สิ่งใหม่ ออกแรงไม่เยอะ แต่ผลลัพธ์มาก’ …เหมือนตอน social media เกิดใหม่ๆ ช่วงแรงๆ จะหาเงินง่าย ดังง่าย แต่พอคนเข้ามาเยอะ ยากและ (ถ้าสงสัยว่า ทำไมสิ่งที่เราทำอยู่ ออกแรงเยอะผลลัพธ์น้อย …ใช่!! เราทำสิ่งเก่า โบราณ เอ้าท์แล้ว นั่นเอง)


4. ‘ไม่มีใครชัวร์ ไม่มั่นคง นั่นแหละการเติบโต‘ …ยุคนี้งานที่มั่นคง เป็นทางตันของคนรุ่นใหม่ เพราะ พื้นที่มั่นคงด้านบนมีคนรุ่นก่อนจับจองอยู่แล้ว …เก้าอี้นั้นไม่ใช่ของเราหรอก


5. ‘เมื่อสบายต้องออกเดินทาง’ …เวลาที่เราสบายแปลว่า เราต้องเริ่มเดินทางครั้งใหม่ได้แล้ว …เพราะชีวิตคือการเคลื่อนไหว เคลื่อนที่ และ การเดินทาง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม




วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2567

ยุคนี้ 2024 รวยเร็วสร้างได้ ถ้าเข้าใจเรื่องนี้

 ยุคนี้ 2024 รวยเร็วสร้างได้ ถ้าเข้าใจเรื่องนี้


1. ‘กล้าแสดงตัวตน ในสื่อสาธารณะ‘ …เอาง่ายๆ คนดังสร้างตัวง่ายกว่าไม่ดัง …ดังนั้น ขั้นแรกต้องลองแสดง ’ตัวตน‘ ในสื่อ ดู คัลแลนกับพี่จอง ก็ได้


2. ‘จริงใจ ไม่ต้องปรับแต่ง‘ …สมัยก่อนคนที่เป็นดาราต้องสร้างภาพ ’หน้ากาก‘ เพื่อให้คนอื่นเห็นเฉพาะสิ่งที่ดีเท่านั้น แต่ยุคนี้ไม่ใช่ …ต้องจริงใจ เป็นยังไง โชว์ไปตรงๆ 


3. ‘ทำสิ่งใหม่ ทำงานเสี่ยง‘ …ถ้ารุ่นน้องมาถาม ผมมักแนะนำว่า เลือกทางที่เสี่ยงกว่าเสมอ …สิ่งเก่าต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ แต่งานใหม่ๆ มือใหม่อย่างเราก็มีโอกาสสบายๆ 


4. ‘พลาด พัง ก็แค่ลุกขึ้นมาใหม่’ …ยุคนี้ไม่มีใครอดตายแล้ว …ถ้าพลาดก็ร้องไห้ให้เต็มที่ ปล่อยโฮให้สุด แล้วก็ผ่านไป ลุกขึ้นมาใหม่ …เดี๋ยวมันต้องมีวันของเรา


5. ‘ไม่มีงานเดียว ไม่มีอาชีพที่มั่นคง ไม่ใช่ก็ก้าวต่อไป‘ …รุ่นพี่ยุคมืออาชีพ ล้าสมัยแล้ว โลกมันเปลี่ยน ..ยุคนี้ปรับตัวให้เร็ว รับสิ่งใหม่ ลองไปเรื่อยๆ …คิดง่ายๆ ของใหม่ คู่แข่งน้อย โอกาสอาจเป็นเราก็ได้


6. ‘อย่าพยายามเป็นที่รักของทุกคน ขอแค่คนรักมากๆ กลุ่มเล็กๆ ก็พอ‘ ….อันนี้ใช้ได้ทั้ง คน ทั้ง Product …คิดดูสิ สินค้าที่ทำมาเอาใจทุกคน มันไม่ work แล้ว


7. ’กล้าได้ กล้าเสีย’ …คนจะกล้าได้ แปลว่า เขากล้าเสียได้ …เอาตรงๆ ถ้าไม่กล้าเสีย กล้าเสี่ยง ก็ไม่มีโอกาสชนะครั้งใหญ่ในชีวิต


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันเสาร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2567

โอกาสของ เศรษฐกิจคนแก่ ที่เราควรเข้าใจ

 โอกาสของ เศรษฐกิจคนแก่ ที่เราควรเข้าใจ

‘หนุ่มสาวควรทำงานที่เสี่ยง …ส่วนคนแก่ควรทำงานที่มั่นคง แล้วใช้เงินเสี่ยงแทน‘ 

1. ‘คนแก่ เหมาะกับงานมั่นคง‘ …หลายบริษัทอยากจ้างคนแก่ เพราะ ทำงานนานไม่ไปไหน …ต่างกับหนุ่มสาวที่เป็น Job Hopper (เปลี่ยนงานบ่อยๆ)


2. ’คนแก่ ควรใช้แรงงาน’ …การใช้แรงงานสำหรับคนสูงอายุถือเป็นการออกกำลังกาย ได้ขยับร่างกายและขยับสมอง


3. ‘งานที่ปรึกษา ใช้ความเก๋า‘ …ในยุคที่ธุรกิจเน้นความใหม่ ความเร็ว และ การเปลี่ยนแปลง การ ‘มองหลัง’ สำคัญอย่างมาก


4. ‘ซื้อของแพง ของเล่น กล้าใช้ขึ้น‘ …คนแก่ยุคนี้ กล้าซื้อของให้ตัวเอง ของเล่น เช่น ของแบรนด์ ของสะสม


5. ’ผันตัวเป็นนักลงทุนที่ซับซ้อนมากขึ้น’ …คนกลุ่มนี้มีเงิน แล้วรู้จักการวางเงินทำงานมากขึ้น …มีการแบ่งเงินลงในสิ่งที่เสี่ยงมากๆ อย่าง Hedge Fund , PE , VC ..


6. ‘นักท่องเที่ยว และเดินทางตัวยง‘ …เมื่อมีเงินมีเวลา ก็ต้อง ท่องเที่ยว นี่คือ กลุ่มสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว


7. ‘สุขภาพและ Fitness’ …คนที่ลุกขึ้นมาเข้าฟิตเนส วิ่งมาราธอน ออกกำลังกายมากที่สุด ก็คือ คนกลุ่มนี้ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


หลักการ ‘ใช้เงินทำงาน‘ ให้ชีวิตเราสบายขึ้น

 หลักการ ‘ใช้เงินทำงาน‘ ให้ชีวิตเราสบายขึ้น


‘การทำงานหนักในช่วงหนุ่มสาว เป็นเรื่องที่ถูกต้อง …แต่ถ้าคุณอายุเยอะแล้วยังทำงานหนัก มันมีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกแน่ๆ’ 


ใช่ ..จะใช้เงินทำงานก็ต้องมีเงิน ..แต่ถ้าไม่วางแผนให้ดี ยิ่งมีเงิน กลับยิ่งเหนื่อย 


1. ‘การใช้เงินทำงานเป็นเรื่องวิธีคิด’ ..ถ้าคิดแต่หาเงิน ก็ยากที่จะวางให้เงินทำงาน …ต้องเข้าใจว่า การให้เงินทำงานไม่ใช่เรื่องของคนขี้เกียจ แต่เป็นอีกหนึ่งในวิธีหาเงิน


2. ’ทำงานเพื่อเงิน ในงานที่้เราอยากเรียนรู้เพิ่มเท่านั้น’ …ถ้าไม่มีอะไรอยากเรียนรู้เพิ่มจากงานนั้น ต้องทำงานให้น้อยลง ให้เงินทำงานมากขึ้น


3. ’เรียนรู้ความแตกต่างระหว่าง คนลงแรง และ คนลงเงิน’ …คนลงแรง จะต้องทำงานเป็นหลัก ส่วนคนลงเงิน ก็ต้องหาเงินมาเป็นทุน ซึ่งทำงานเบากว่า


4. ’เข้าใจความเสี่ยงของ คนลงเงิน‘ …ความเสี่ยงก็คือ เสียเงินนั่นแหละ ดังนั้น การกระจายความเสี่ยงเป็นหัวใจของการวางเงินทำงาน


5. ’ฝึกเป็นนักลงทุนในหุ้น’ …นักลงทุนในหุ้นแบบถือยาว จะเข้าใจ การขึ้นลง และ วัฏจักรธุรกิจ เพราะ เราจะได้ถือทั้งขาขึ้นและขาลง


6. ’เงินปันผล เป็นเพียงส่วนนึงของทั้งหมด‘ …เราต้องเข้าใจว่า บางช่วงของการให้เงินทำงาน เราอาจไม่ได้เงิน ..เราต้องผ่านช่วงนั้นไปให้ได้ …ใช่!! ทนผ่านช่วงที่ธุรกิจไม่ดีให้ผ่านไป


7. ‘เรียนรู้และมองหาโอกาสในธุรกิจอย่างต่อเนื่อง‘ …แม้เราไม่ชอบออกแรง แต่ต้องหาความรู้และคอนเนคชั่นอย่างต่อเนื่อง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567

6 สิ่ง ที่ผมเรียนรู้จากการพัฒนาของประเทศจีน

 6 สิ่ง ที่ผมเรียนรู้จากการพัฒนาของประเทศจีน


1. ‘เริ่มจากงานหนักเงินน้อยเพื่อเรียนรู้’ …จีนเริ่มจากการเป็นโรงงานของโลก คือ ยอมทำงานหนักเงินน้อย เพื่อจะได้เรียนรู้ 


2. ‘การพัฒนาต่อยอด ไม่ใช่แค่ทำตาม’ …จีนไม่ได้หยุดแค่เรียนรู้ แต่เขาเป็นประเทศที่เน้น R&D สูงมาก …เพื่อพัฒนาต่อยอดให้เกิดนวัตกรรมใหม่ของตัวเอง …อย่างเรื่อง App จีน พัฒนาไปสู่ Super App ที่ขนาดอเมริกายังอยากเลียนแบบ


3. ’กล้าลงทุนในระยะยาว‘ …จีนลงใน infrastructure เยอะมาก เช่น ถนน , รถไฟความเร็วสูง , พลังงานนิวเคลียร์ …ซึ่งแทบไม่คุ้มการลงทุนในระยะสั้นเลย …แต่สิ่งเหล่านี้แหละ ที่ทำให้จีนได้เปรียบในระยะยาว (ทุนนิยมแบบสุตโต่ง จะยึดติดกะบระยะสั้น เพราะต้องโชว์กำไรตลอดเวลา)


4. ’กล้า All-in ในอุตสาหกรรมใหม่‘ …เช่น รถยนต์จีน ก้าวผ่านสันดาปไป EV เลย เพราะ รู้ว่าเขาไม่มีทางชนะในอุตสาหกรรมสันดาป ดังนั้น การ All-in ไป EV เป็นทางเลือกที่มีโอกาสชนะได้มากกว่า 


5. ’คนจีนมีความอดทน และ มีความยืนหยุ่นสูงมาก‘ …ในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวนสูงแบบในปัจจุบัน …เราต้องการคนที่มีความยืดหยุ่น และ พร้อมปรับตัว ซึ่งคนจีนทำสิ่งเหล่านี้ได้ดีมาก 


6. ’เลือกธุรกิจที่กำไรน้อย เพื่อให้คู่แข่งไม่สามารถเข้ามาได้‘ …หลักการทำธุรกิจของคนจีนคือ ไม่เอากำไรเยอะ แต่กินยาวๆ เพราะ เขายอมลด Margin จนไม่มีใครอยากเข้ามาแข่ง …สุดท้ายเลยกินรวบทั้งตลาด 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 หลักการหา S Curve ใหม่ เพื่อโอกาสที่ใหม่ใหญ่ขึ้น

 5 หลักการหา S Curve ใหม่ เพื่อโอกาสที่ใหม่ใหญ่ขึ้น


1. ‘S Curve คือ ความบังเอิญ ไม่ใช่การวางแผน’ …พูดง่ายๆ ทุกสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตครั้งใหญ่ มันมักจะไม่ได้เกิดตามแผน …มันมักจะเกิดนอกแผน …เพราะถ้าทุกอย่างเกิดตามแผน มันจะไม่มีธุรกิจใหม่เลย …ข้อที่หนึ่ง ‘นอกแผน‘ 


2. ‘สิ่งใหม่เกิดจากมือรอง’ …มือหนึ่งมักถูกวางให้ทำเรื่องเก่าที่ชัวร์ …ทำให้สิ่งใหม่ หรือ การเปลี่ยนแปลง ถูกให้มือรองทำ …ดังนั้น เราต้องทำตัวเป็นมือรอง รับอาสาทดลองเรื่องใหม่


3. ‘ใช้ทุนน้อย และทุกอย่างจำกัด’ …การเกิดของโอกาสครั้งใหม่ มักไม่ได้เกิดจากทุน แต่เกิดจากไอเดีย ..ให้โฟกัสไปที่ไอเดีย ไม่ใช่ที่ทุน


4. ‘เกิดในสภาพแวดล้อมใหม่’ …ลองนึกภาพการปลูกต้นไม้ ถ้าปลูกที่เดิม ดินเดิม ทุกอย่างเดิม ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิมชัวร์ …ดังนั้น ต้องสภาพแวดล้อมใหม่ แยกออกไป ไม่ใช่ที่เดิม 


5. ‘ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ สำคัญมาก‘ …เกิดจากความบังเอิญ โดยมือรอง ที่มีทุนจำกัด และ ทำในสภาพแวดล้อมใหม่ แล้วถ้ามันเริ่มใช่ ต้องใส่ทุนเพิ่ม เติมให้สุด …ตรงนี้แหละสำคัญ คือ ถ้าใช่ ต้องกล้าใส่ให้สุด


ใช่!! ทั้ง 5 ข้อ ขัดความรู้สึก โคตรๆ …เราเลยไม่ค่อยเห็น S Curve ใหม่นั่นเอง 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 ข้อ ที่เราได้เรียนรู้ เวลาที่พอร์ตขาดทุนหนัก

 6 ข้อ ที่เราได้เรียนรู้ เวลาที่พอร์ตขาดทุนหนัก


1. ‘เราจะอยากขายเวลาที่พอร์ตยิ่งขาดทุน’ …พูดง่ายๆ เวลาที่พอร์ตขาดทุนน้อยๆ เราไม่อยากขาย (ทั้งที่บางครั้งมันเป็นจุด Stop Loss ที่ดีมาก …ราคาลงไม่แรง Volume รับเยอะๆ) …เราจะอยากขายเวลาที่จริงๆ ไม่น่าขายแล้ว 


2. ’เราไม่กล้าซื้อหุ้นเพิ่ม ทั้งที่มีหุ้นถูกมากมาย’ …เรายังจำภาพความเจ็บปวด เลยไม่กล้าเข้าไปหาโอกาสครั้งใหม่ ทั้งที่เราก็ยังมีเงินเหลืออยู่ (การซื้อเมื่อทุกอย่างแย่ มันมักจะดี จนถึงดีมาก หลังจากนั้นเสมอ แต่เราก็ไม่กล้าซื้อเยอะอยู่ดี)


3. ’หุ้นที่พื้นฐานดีกลับลงหนักกว่าหุ้นที่พื้นฐานไม่ดี’ …อันนี้ย้อนแย้ง แต่อธิบายได้ ก็คือ หุ้นที่พื้นฐานแย่ มันลงมาก่อนแล้ว ลงจนทุกคน Cut ทิ้งไปหมดแล้ว หุ้นก็เลยไม่ลงต่อ …แต่หุ้นพื้นฐานใช้ได้ คนส่วนใหญ่ยังทนถือ มันก็เลยลงต่อนั่นเอง


4. ‘ครั้งหน้าที่พอร์ตกำไรเยอะ ต้องทยอยขายให้มากขึ้น’ …แปลง่ายๆ ว่า เราไม่ควรหวังกำไรสูงสุดในทุกๆ รอบ …เมื่อกำไรก็ควรค่อยๆ ทยอยขาย แม้ไม่ได้กำไรสูงสุด แต่ก็จะไม่เสียรอบ เสียโอกาส


5. พอขาดทุนเยอะๆ เราจะพยายามหาทางชดเชย อยากรีบเอาคืน‘ …ซึ่งเอาตรงๆ มันแทบไม่ได้ช่วย และอาจทำให้มันหนักขึ้นไปอีก …บางครั้งการหยุดเพืีอทบทวนจะเพิ่มโอกาสการได้คืนได้รอบต่อไปมากกว่า


6. ’โอกาสในรอบต่อไป มักอยู่ในจุดที่ยังดูไม่ดี’ …แต่พอเราเสียหาย เราจะไปมองหาว่าอะไรยังดี แล้วเข้าไปซื้อ ซึ่งโดยมากจะซวยมากขึ้น …พอเราตามไป มันก็ถึงเวลาลงพอดีเป๊ะ !! - (วิธีการที่ดีกว่า คือ หาวิธีการใหม่ ที่ยังไม่ดีก่อนหน้านี้ …เพราะจากนี้มันมีโอกาสจะดีมากกว่า)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

3 ประสบการณ์ดี และ 3 แย่ ในปีที่ผ่านมาคือ ?

 3 ประสบการณ์ดี และ 3 แย่ ในปีที่ผ่านมาคือ ?


เริ่มจากแย่ก่อน 


1. ’โดนหุ้นไทยต้มกบ’ …ต้นปี 2023 ดูเหมือนหุ้นไม่น่าจะลงเยอะ …แต่มันลงลึกขึ้นเรื่อย โดยเฉพาะหุ้นเล็กหนักสุด …เต็มข้อ ว่างั้น (เมื่อเราคิดเหมือนคนส่วนใหญ่ เราจะทำผลตอบแทนได้เหมือนคนส่วนใหญ่)


2. ’มอง New S Curve ไม่ออก‘ …มองไม่ออกว่าจะพัฒนาตัวเองให้เจอจุด S Curve ใหม่ได้ยังไง (ถ้ามองออก มันคงไม่ใช่ S Curve …ขาขึ้นครั้งใหญ่ จะเริ่มจากจุดที่ Impossible เสมอ)


3. ‘การลดลงของพอร์ต ทำให้เข้าใจสัจธรรมของตลาดหุ้นมากขึ้น’ …จริงๆ ผมเตรียมพร้อมอยู่แล้วว่าตลาดต้องปรับฐาน …แต่ครั้งนี้มันสอนว่า หลังจากขึ้นเยอะ ก็หนีไม่พ้นลงเยอะแค่นั้นเอง (บทเรียน ก็คือ การลงทุนที่สบายที่สุด ต้องไม่มองหาการทำกำไรสูงสุด แต่ต้องหาจุดสมดุลย์ตลอดเส้นทาง)


ส่วน 3 ประสบการณ์ดี คือ 


1. ’กลับมาตีกอล์ฟกับครอบครัว‘ …การกลับมาทำกิจกรรมพร้อมกันทั้งบ้าน ก็ทำให้ได้คุยกันมากขึ้น (จากหนัง Analog Squad กล่าวไว้อย่างโดนว่า ‘คนที่คุยด้วยยากที่สุด ก็คือ คนในครอบครัวเราเองนี่แหละ‘)


2. ’เริ่มยกเวท สร้างกล้ามเนื้อ’ …สำหรับคนวัย 40 กว่าอย่างผม มันถึงช่วงถดถอยทุกอย่างของสุขภาพ …การที่ได้มายกเวท ช่วยให้ได้เข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง มากขึ้น (เข้าใจ คำว่า ‘วิกฤตวัยกลางคน’ ..มันเริ่ม เมื่อเราตระหนักว่า หลังจากจุดนี้ เรามีแต่เสื่อมถอย เช่น ร่างกาย …เราก็เลยพยายาม ไม่ถอย พยายามดูเด็ก โชว์ว่ายังวัยรุ่น …แต่มันก็ยิ่งดูแก่ แต่อยากเด็ก หนักเข้าไปอีก)


3. ‘การมองหารายได้แบบ Passive มากขึ้น‘ …พูดเหมือนคนที่เริ่มมองหาการเกษียณ เช่น ลงทุนหาปันผลมากขึ้น , ทำธุรกิจในส่วนลงเงิน ไม่ลงแรง …ใช่!! ผมเริ่มเตรียมการจริงจัง เกี่ยวกับการจัดการเงินในแบบน้ำซึมบ่อทรายมากขึ้น 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ