แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

7 จุด ในงบการเงินที่ใช้ในการจับผิด จับโป๊ะหุ้นเด็ด !!

 7 จุด ในงบการเงินที่ใช้ในการจับผิด จับโป๊ะหุ้นเด็ด !!


1. ’Net Profit Margin’ …ขาย 100 บาท ได้กำไรกี่บาท ? …ยิ่งเยอะ ก็ยิ่งแสดงว่า การแข่งขันน้อย …ยิ่งน้อย แปลว่า การแข่งขันสูง


2. ’Income’ …รายได้ อันนี้ ดูขนาดตลาด ใช้ร่วมกับ ข้อ 1 จะช่วยให้ภาพครบ …สมมุติว่า NPM ดีแปลว่า การแข่งขันไม่สูง แต่ถ้า รายได้น้อย แปลว่า ตลาดมันเล็ก …ต้องสงสัยต่อว่า มันขยายได้ไหม ?


3. ’Debts’ …หนี้สิน ลองเทียบกับ ส่วนของเจ้าของ และ ก็เทียบกับยอดขาย และกำไร …ยุคนี้ ดอกเบี้ยกำลังขึ้น ต้องระวังเรื่องการสร้างหนี้


4. ’การจ่ายปันผล’ …ประวัติการจ่ายปันผล สามารถดูความถูกแพงของหุ้นด้วย …เช่น บริษัทที่จ่ายน้อยกว่า 1% เราจะเริ่มสงสัยว่า ราคาหุ้นแพงไปรึเปล่า ?


5. ‘P/BV ที่สูงมากๆ’ …ตัวนี้เทียบดู ต้นทุนเจ้าของ ถ้ามันสูงมาก เราต้องสงสัยว่า หุ้นแพงไปรึเปล่า ?


6. ’Market Capitalization’ …มูลค่าทั้งบริษัท …เราต้องดูว่า ถ้าซื้อทั้งบริษัท ธุรกิจสามารถสร้าง ยอดขาย กำไร ปันผล ให้เราคุ้มกับราคาที่เราซื้อหรือไม่ ?


7. ’Free Float’ …ดูสัดส่วนที่รายย่อยถือครองหุ้น …สูงๆ แปลว่า เจ้าของถือน้อย ไม่ค่อยดี …ถ้าต่ำๆ แปลว่า เจ้าของถือเยอะ จริงๆ ดีกว่า


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

7 ข้อ ‘มิตร’(ฉาชีพ) กับ การลงทุน

 7 ข้อ ‘มิตร’(ฉาชีพ) กับ การลงทุน


1. ‘คนที่โกงเราได้คือคนที่เราไว้ใจ’ …ถ้าเราไม่ไว้ใจเราคงไม่เอาเงินให้เขาตั้งแต่แรก 


2. ‘ข้อเสนอของเขามัน Too Good (to be true)’ …เขาจะเสนออะไรที่ผลตอบแทนมันดูดีเกินปกติ …เช่น ฝากธนาคารอย่างมากได้ 1% …เขาให้เลย 10%


3. ’เขาใช้ชีวิตหรูหรา ไฮโซกว่าเรามากๆ’ …เอาตรงๆ มันก็ไม่ make sense แล้ว ที่เศรษฐี หรือไฮโซ จะมาขอกู้ หรือขอเงินลงทุน กับคนปกติอย่างเรา …ไม่แปลกเหรอ ? ’คนขับ Lamborghini มาขอเงินคนขับ Toyota ???


4. ‘มีสินทรัพย์ค้ำประกัน น่าเชื่อถือ’ …เอาที่ดิน มาค้ำ พอเอาจริง เราไปยึดอะไรไม่ได้ …เอาหุ้นมาค้ำ เอาจริงเราขายไม่ได้ หรือ พอขายได้ราคาหุ้นพังไปแล้ว …ไม่ได้ซวย แต่เขาวางแผนมาดีแล้ว …เช็นต์เช็คให้ล่วงหน้า พอเอาจริง เด้ง!!


5. ‘เราไม่เข้าใจโปรเจคของเขาเลย’ …ส่วนใหญ่เขาจะพูดเรื่องที่เราไม่เข้าใจ …เพราะถ้าเราเข้าใจเราจะรู้ว่า สิ่งที่เขาเสนอมันเป็นไปไม่ได้ …แปลว่า จริงๆ เราต้องไม่ลงทุนในสิ่งที่เราไม่เข้าใจนั่นเอง


6. ‘อ้างชื่อว่า คนนั้นคนนี้(ที่น่าเชื่อถือ) ก็ลงเหมือนกัน’ …โห!! ขนาดคนระดับนั้น ยังลงเหมือนกัน เราต้องลงด้วยแล้ว …ที่ไหนได้ คนมีชื่อเสียงคนนั้นก็โดนหลอกเหมือนกัน 


7. ’สุดท้าย เราต้องดูแลตัวเอง’ …เอาตรงๆ ในโลกการลงทุน การเสียหาย โดนหลอก มันเป็นของคู่กัน …กลับมาที่เราเองต้องลงทุนแบบ Money Management ที่ดี นั่นคือ ‘กระจายความเสี่ยงให้เหมาะสม‘ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม






วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

6 หลักการ คัดหุ้นปันผลดีเติบโตแล้วเลี้ยงเราได้ไปยาวๆ

 6 หลักการ คัดหุ้นปันผลดีเติบโตแล้วเลี้ยงเราได้ไปยาวๆ 


หลักการนี้สำหรับ คนชอบซื้อแล้วถือ กินปันผลยาวๆ 


1. ‘หุ้นมี Market cap ขนาดใหญ่‘ …หุ้นใหญ่จะทนทานต่อเศรษฐกิจผันผวนได้ดีกว่า 


2. ’ดูการจ่ายปันผล ต่อเนื่องในอดีต‘ …ประวัติการจ่ายปันผลที่ผ่านมา ช่วยให้เราเห็นความสามารถในการจ่ายปันผล


3. ’บริษัทต้องไม่มีหนี้มากจนเกินไป’ …ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก บริษัทต้องพยายามลดหนี้ เพื่อเตรียมรับกับดอกเบี้ยขาขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้


4. ‘ทำธุรกิจที่มีอนาคต และเข้าใจง่าย’ ..การที่ธุรกิจเข้าใจง่าย เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราได้หุ้นปันผลยาวๆ 


5. ’ผู้ถือหุ้นใหญ่ น่าเชื่อถือ’ …ใช่!! เราไม่เอาพวกหุ้นที่ผู้บริหาร หรือเจ้าของ มีประวัติไม่ดี …เน้นเจ้าของดี


6. ’ต้องซื้อในเวลาที่ RSI อยู่ข้างล่างเท่านั้น’ …หุ้นพวกนี้โตน้อย ถ้าไม่ได้ซื้อเวลา RSI ถูกๆ ก็ไม่ควรซื้อแล้ว 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

6 ข้อ เศรษฐกิจและการลงทุนยุค Trump 2.0

 6 ข้อ เศรษฐกิจและการลงทุนยุค Trump 2.0


1. ‘นโยบาย American First’ …Trump จะทำทุกอย่างให้อเมริกาได้ประโยชน์ เน้นในเรื่องของเศรษฐกิจ


2. ‘Deregulation แก้กฏระเบียบต่างๆ ให้เอื้อต่อการทำธุรกิจ’ …กฏระเบียบต่างๆ ของอเมริกาก่อนหน้านี้ ไม่เอื้อในการแข่งขัน ต้องลดความยุ่งยาก ให้ธุรกิจเติบโดได้


3. ’ลดภาษี ทั้งบริษัทและบุคคล & เพิ่มภาษีประเทศคู่ค้า’ …อันนี้จะช่วยให้บริษัทและคนอเมริกัน เหลือเงินในกระเป๋าเพื่อจับจ่ายใช้สอยคล่องตัวขึ้น …บวกกับการตั้งกำแพงภาษี ประเทศที่เกินดุลอเมริกา (อันนี้จีน กระทบมากที่สุด)


4. ‘Crypto 2.0’ …จะให้อเมริกาเป็นศูนย์กลางในการซื้อขายจริงจัง ถูกกฏหมาย …อันนี้เอาใจคนรุ่นใหม่ …ถ้าทำได้จะเกิดธุรกิจใหม่มากมายที่เติบโตรายรอบ Crypto


5. ‘เปลี่ยนสงครามโลก เป็นสงครามการค้า’ …ลดความขัดแย้งต่างๆ ทุกวันนี้ที่กำลังเสี่ยงประทุเป็นสงครามโลก เช่น ยูเครน , ไต้หวัน …เปลี่ยนมาสู้กันทางการค้าแทน


6. ‘เข้าสู่ยุคที่เงินเฟ้อจะกลับมาอีกครั้ง’ …เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น โลกจะต้องสู้กับเงินเฟ้อที่แฝงตัวในสินทรัพย์ต่างๆ จุดนี้นักลงทุนต้องทั้งมอฃหาโอกาส และระวังตัว


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

6 ข้อ มาคุยกันเรื่อง Why Nations Fail ?

 6 ข้อ มาคุยกันเรื่อง Why Nations Fail ? 


สิงค์โปร์ไม่ทีทรัพยการเลย ทำไมรวย …เวเนซุเอลา มีน้ำมันมากที่สุดในโลก ทำไมจน ..แล้วสวิส ประเทศเล็กๆ ที่ไม่มีพื้นที่ออกทะเลเลย ทำไมรวย ?


1. ‘ทำไมประเทศที่มีทรัพยากรเยอะๆ อย่าง Africa ถึงจนกว่า ประเทศเกาะเล็กที่ไม่ทีทรัพยากรเลย อย่าง สิงค์โปร์‘ ….เพราะโลกปัจจุบันความรวยจากการค้าขาย มันเยอะกว่าการขายทรัพยากร


2. ’ประเทศที่มี Institutions เข้มแข็ง รวยกว่า’ …เพราะ ประเทศที่ กฏระเบียบ และ รัฐบาลเข้มแข็ง อย่างเช่น ยุโรป …รวยกว่าประเทศที่สถาบันต่างๆ อ่อนแอ อย่างเช่นประเทศเอเชีย


3. ‘ประเทศที่ คอรับชั่นน้อย รวยกว่า ประเทศคอรับชั่นเยอะ’ …แน่นอนพอคอรับชั่นน้อย คนที่เก่งและสร้างงานคุณภาพ จะได้สร้างผลงานคุณภาพ …ต่างกับประเทศคอรับชั่นเยอะ ที่งานขึ้นกับแค่คอนเนคชั่น


4. ‘ประเทศที่มี Right to Property’ …เพราะ คนในประเทศสามารถสะสมความมั่งคั่งได้อย่างมั่นคง …ทำให้คนตั้งใจทำมาหากิน มากกว่าทะเลาะกัน …เช่น ประเทศประชาธิปไตย คนจะร่ำรวยกว่า คอมมิวนิสต์ 


5. ‘ประเทศที่ค่าเงินมั่นคง รวยกว่า’ …ยกตัวอย่าง ประเทศที่ค่าเงินแย่ เช่น เวเนซุเอลา แม้ว่า น้ำมันเยอะ แต่ค่าเงินอ่อนแอ คนก็ยากจน ….อย่าง ตุรกี แม้ว่าเป็นประเทศพัฒนาแล้ว …แต่เกิด ปัญหา Hyperinflation ค่าเงินอ่อน ก็ทำให้คนยากจน สะสมความมั่งคั่งไม่ได้


6. ‘ประเทศที่มีคนเก่ง อยากย้ายเข้ามา ย่อมรวยกว่า’ …ตัวอย่างชัดๆ คือ อเมริกา คนเก่งจากทั่งโลกอยากย้ายเข้าไปอยู่ เลยสามารถดึงดูดคนเก่ง เข้าไปสร้างผลงาน และ ความมั่งคั่ง


สรุปคือ ประเทศจะร่ำรวย เมื่อ สถาบันต่างๆ เข้มแข็ง …คอรับชั่นน้อย …คนตั้งใจสร้างอาชีพ สร้างงาน และ สะสมความมั่งคั่งได้ ผ่านสินทรัพย์ในประเทศได้ ถึงจะร่ำรวยได้ นั่นเอง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

5 ข้อ ชวนคุย Generation และการเปลี่ยนแปลง วิธีคิดและการใช้ชีวิต

 5 ข้อ ชวนคุย Generation และการเปลี่ยนแปลง วิธีคิดและการใช้ชีวิต


เราแบ่งมนุษย์เป็นหลายแบบ ถ้าแบ่งตามภูมิศาสตร์ คนแต่ละประเทศก็แตกต่างกัน …แต่ถ้าตามอายุ ก็ทั้งเหมือนและแตกต่าง ยังไง ?


1. ‘Babyboomer’ อายุ 61-79 ขวบ …เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 …ทุกประเทศเริ่มต้นใหม่ รุ่นสร้างประเทศยุคใหม่ …‘ใครขยัน คนนั้นเจริญ‘ - ทำงานที่เดียวจนเกษียณ เน้นองค์กรใหญ่ที่มั่นคง เติบโตตามสายอาชีพ ตามลำดับ ..อดทนสูง ทำทุกอย่างเพื่อสร้าง ตระกูล ..เก็บความมั่งคั่งใน ที่ดิน , ทองคำ


2. ‘Gen X’ อายุ 46-60 ขวบ …ยุค Professional หรือ มืออาชีพ …ให้ความสำคัญกับอาชีพ (แต่ไม่ภักดี ต่อองค์กรเหมือนรุ่นก่อน  มีการเปลี่ยนงาน แต่ยังยึดมั่นในอาชีพ) …เน้นทักษะ …มีความยืดหยุ่นสูง เป็นผู้นำระดับสูงของธุรกิจปัจจุบัน …ลงทุนในหุ้นไทย , กองทุนไทย และ ธุรกิจส่วนตัว


3. ’Gen Y’ อายุ 29-45 ขวบ …ยุคอายุน้อยร้อยล้าน …อยากรวยเร็ว สำเร็จเร็ว …ไม่สนใจในวิธีการ …พยายามแหกกฏ (บางครั้งอาจแหกกฏหมาย) …อยากทำงานน้อยได้เงินเยอะ ชอบ Worklife balance …ลงทุนในหุ้น&กองทุน ทั้งไทยและหุ้นต่างประเทศ , ธุรกิจ Startup , สินทรัพย์ดิจิทัล


4. ‘Gen Z’ อายุ 16-28 ขวบ …ยุค Digital Native เกิดมาโลก Digital …ทำงานแบบ Multitask …เรียนรู้ด้วยตัวเอง …ต่อต้านกฏระเบียบเดิมๆ (อยากเปลี่ยนประเทศ / ประชาธิปไตย / ความเท่าเทียม) …อยากรวยเร็ว สำเร็จเร็ว มีเป้าหมายที่ชัดเจน …สนใจในหุ้น/กองทุน ต่างประเทศ , สินทรัพย์ดิจิทัล 


5. ‘Gen Alpha’ อายุน้อยกว่า 16 ขวบ …ยุค AI และ Global Citizen …เกิดมาในโลกที่ AI เข้ามาเปลี่ยนแปลงโลก …มองตัวเองเป็น Global Citizen…‘ชาวโลก‘ 


หลังจากนี้ Gen ต่างๆ จะค่อยถูกหลอมรวม เพราะ Technology ทำให้หลายๆ อย่าง ที่ในอดีตทำไม่ได้ ให้ทำได้ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม




วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2567

6 ข้อ โลกเปลี่ยน มันจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน ?

 6 ข้อ โลกเปลี่ยน มันจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน ?


1. ‘ของแพงจะขายดีขึ้น ของถูกจะขายแย่ลง‘ …ของแพงคู่แข่งน้อย เพราะสร้างยาก ต้องสร้าง Brand …ส่วนของถูกคู่แข่งเยอะ เพราะ แข่งกันลดราคา


2. ‘รถน้ำมันรถยุโรปจะเป็น Luxury.. รถจีนรถไฟฟ้าจะมาเป็น Mass’ …รถญี่ปุ่น รถอเมริกา ติดกับดักอยู่ตรงกลาง บนทางที่เหนื่อย


3. ‘ค่ารักษาพยาบาล จะแพงขึ้นไปเรื่อยๆ‘ …โดยเฉพาะการรักษาที่แพง จะยิ่งแพงเข้าไปอีก


4. ’ค่าใช้จ่ายพลังงานจะสูงขึ้นในทุกๆ ด้าน’ …ไฟฟ้า น้ำมัน พลังงานสะอาด และ สกปรก ทุกอย่างจะมีแต่แพงเป็นขาขึ้น (ขึ้นไปก่ายหน้าผาก)


5. ’ค่าครองชีพจะสูงขึ้น ในอัตราเร่ง’ …งานประจำปกติจะไม่พอค่าครองชีพ …ต้องมีงานเสริม กลายเป็น Gig Economy อย่างเต็มรูปแบบ


6. ’ดอกเบี้ยจะสูงขึ้นเรื่อยๆ‘ …การสร้างหนี้จะเริ่มถึงจุดไม่คุ้ม เช่น กู้ซื้อบ้าน จะเริ่มกลายเป็นสิ่งที่ไม่ Make Sense , ต้นทุนเงินกู้ธุรกิจจะเป็นปัญหาหนักขึ้นเรื่อยๆ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2567

6 ข้อ หลักคิดที่ทำให้เราไม่สามารถซื้อหุ้นในจุดที่ราคาถูกที่สุด และ ขายหุ้นในเวลาที่แพงที่สุด

 6 ข้อ หลักคิดที่ทำให้เราไม่สามารถซื้อหุ้นในจุดที่ราคาถูกที่สุด และ ขายหุ้นในเวลาที่แพงที่สุด


1. ‘หุ้นไม่มีจุดต่ำสุด‘ …หลายคนคิดว่า ซื้อหุ้นที่ 0.01 สตางค์ แปลว่า ไม่เจ๊ง …แต่พอเขาประกาศ ’รวมพาร์‘ …แม่ง!!! เจ๊งหนัก หุ้นลงต่อไปอีก …หรือ บริษัทเจ๊ง อันนี้ก็เจ๊งอยู่ดี 


2. ‘หุ้นไม่มีจุดสูงสุด’ …อย่างหุ้นไทย เรามีหุ้น 100 เด้งมากมาย (แต่ต้องถือนานพอนะ) เช่น SCC , BH , KTC , CPN , MINT …ส่วนต่างประเทศมีหุ้น 1000 เด้ง …อย่าง Microsoft นี่ขึ้นมา 4,500 เด้ง หรือ อย่าง Amazon ก็เป็นพันเท่า …นั่นแหละ จะบอกว่า ’หุ้นดี ไม่มีจุดสูงสุด เช่นกัน‘ 


3. ’เวลาหุ้นถูก ทุกเหตุผล จะบอกเราว่า ไม่ควรซื้อ’ …เราจะเจอกับ ‘ตลาดอยู่ใน Trend ขาลง’ , เศรษฐกิจไม่ดี , ธุรกิจอยู่ในวิกฤติ …พื้นฐานแย่ ..กราฟเทคนิคก็แย่ …การกล้าซื้อในเวลาที่ไม่มีอะไรดีเลย ก็จะทำให้เราได้ซื้อหุ้นในเวลาหุ้นถูก (แต่ก็ไม่สามารถซื้อในจุดที่ต่ำสุดอยู่ดี)


4. ‘เวลาเราขายหุ้นในจุดที่เราเห็นว่าสูงที่สุด หุ้นมักจะขึ้นต่อ‘ …เพราะในจุดที่ราคาสูงที่สุด มันเป็นจุดที่คนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นแย่งกันซื้อ แห่เข้าไปซื้อ …หุ้นมันก็เลยขึ้นต่อไปอีกไกล


5. ’การขายในจุดที่ควรขาย จะทำให้เราเป็นนักลงทุนที่เก่งขึ้น‘ …จุดที่ควรขาย คือ ‘ทุกครั้ง’ ที่พื้นฐานมันแพง + สัญญาณเทคนิคแพง (Overbought) ให้เรา ‘แบ่งขาย‘ (ไม่ต้องขายหมด)


6. ’การซื้อในจุดที่ควรซื้อ ก็จะทำให้เราลงทุนเก่งขึ้น’ …จุดที่ควรซื้อ คือ ‘ทุกครั้ง‘ ที่พื้นฐานมันถูก + สัญญาณเทคนิคถูก (Oversold) ให้เรา ’ทยอยซื้อ‘ 


…ส่วนจุดสำคัญที่สุดในการลงทุน คือ การยืนระยะ ทักษะในการประคองตัวเองให้นานที่สุด


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 ข้อ ปฏิบัติของการเป็น ’นักลงทุนแบบทางสายกลาง

 6 ข้อ ปฏิบัติของการเป็น ’นักลงทุนแบบทางสายกลาง’ 


หลังจากผมลงทุนมานานพอสมควรก็พบว่า ’ทางสายกลาง‘ คือ หลักปฏิบัติที่สำคัญที่ทำให้เราประสบความสำเร็จแบบยั่งยืนในตลาดหุ้นได้ 


1. ‘การใช้พื้นฐาน และ กราฟเทคนิค’ …พื้นฐานเป็นการกรองว่า หุ้น มีคุณภาพหรือไม่ …ซึ่งในทางปฏิบัติ หุ้นมีคุณภาพ ก็ไม่จำเป็นว่า มันจะทำให้เรารวยได้ ? …ในส่วนกราฟเทคนิค จึงถูกมาใช้ในการอุดช่องโหว่ เพื่อบอกเราว่า ควรซื้อ หรือขาย ในตอนไหน 


2. ‘การสมดุลย์ของการจัดสรรเงินลงทุน และการให้รางวัลตัวเอง’ …เรื่องนี้หลายคนคิดว่ามันเป็น Common Sense แต่ในความเป็นจริง มันโคตรยาก โคตร Uncommon!! …ดังนั้น เราควรมี ’หลักปฏิบัติในเรื่องนี้อย่างชัดเจน’ (เขียนออกมา)


3. ‘รู้ว่าช่วงไหนควรเสี่ยง ช่วงไหนควรหยุดเสี่ยง‘ …อันนี้ยากกว่าข้อ 1 และ 2 อีก เพราะ นักลงทุนมือใหม่ มักจะอยากเสี่ยงเวลาที่ไม่ควรเสี่ยง ..และมักจะหยุดเสี่ยง ในเวลาที่ควรจะเสี่ยง


4. ’การเรียนรู้ กับ การถ่ายทอดความรู้‘ …เราไม่จำเป็นต้องเป็นอาจารย์ถึงถ่ายทอดความรู้ แต่มันคือ การฝึกทบทวนควทมคิด ให้ตกผลึก สอนเพื่อน พี่ น้อง …ส่วนการเรียนรู้คือการเปิดรับความรู้ใหม่ …ทั้งสองเรื่องนี้ ต้องสมดุลย์เช่นกัน


5. ’ให้ความสำคัญกับ ภาพใหญ่ และ ภาพเล็ก’ …ภาพใหญ่คือ ภาพ Macros ‘เศรษฐกิจโลก / ประเทศ’ …ภาพเล็ก คือ การศึกษาธุรกิจของหุ้นที่เราลงทุน (ภาพใหญ่จะบอกว่า เราควรวางเงินในสินทรัพย์อะไร / ภาพเล็ก จะบอกเราว่า ให้ซื้อหุ้นตัวไหน?)


6. ‘จัดหุ้นที่้เราต้องดูแล กับ หุ้นที่ดูแลเรา‘ …หุ้นส่วนที่เราต้องดูแล คือ ในส่วนเทรดที่เราต้องจับจังหวะ ซื้อขายตามรอบ …ส่วนหุ้นที่ดูแลเราคือ หุ้นหรือการลงทุนที่ให้ปันผล และ สร้างกระแสเงินสดโดนที่เราไม่ต้องทำอะไร


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2567

6 เรื่องที่ AI ทำได้ดีกว่ามนุษย์ อย่างเรา

 6 เรื่องที่ AI ทำได้ดีกว่ามนุษย์ อย่างเรา


การปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ผ่านมา …ทำให้อาชีพสังคมเกษตรกรรม หายไป และเกิดงานใหม่ใน โลกอุตสาหกรรม …งานที่ใช้แรงงาน งานที่ทำซ้ำ ถูกแทนด้วยเครื่องจักร 


แต่ครั้งนี้ เราเข้าสู่ การปฏิวัติข้อมูลข่าวสาร …งานเงินเดือนสูงจำนวนมาก จะหายไป และถูกแทนด้วย AI 


…การเปลี่ยนผ่านสู่ Industral Age ทำให้คนตกงานมหาศาล และนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 …ใช่!! การเปลี่ยนครั้งนี้ จะพาโลกเราไปสู่อะไร เป็นเรื่องที่น่าคิด ?

(มีการคาดการณ์จาก PWC ว่า ทั่วโลก AI จะเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ 15.7 Trillion ภายในปี 2030 และ 70% ของมูลค่าที่เกิดขึ้นจะอยู่กับ อเมริกา กับ จีน ที่เป็น Superpowers ในเทคโนโลยี AI)

1. ‘AI เทรดได้ดีกว่ามนุษย์‘ …จนทำให้อุตสาหกรรมการเงิน ใช้ AI มาตัดสินใจซื้อขาย ค่าเงิน หุ้น แทนมนุษย์ (เพราะตัดสินใจได้เร็วกว่า แม่นยำกว่า) …แต่การเป็นนักลงทุนระยะยาว อันนี้ยังไม่ทดแทนคน …จนถึง วันที่มันแทน ?


2. ‘AI วิเคราะห์ข้อมูล‘ …อย่างวงการแพทย์ AI ในอนาคตอาจวิเคราะห์และวินิจฉัยโรคได้แม่นยำกว่าหมอ …แต่อาจจะยังทดแทนพยาบาลไม่ได้ 


3. ’AI สามารถใช้ควบคุมมนุษย์ได้ดีกว่า‘ …ถ้าเอา AI เราสามารถ ควบคุมคนขับรถได้ดีกว่า จราจร ครอบคลุมกว่า แม่นยำกว่า ….ซึ่งสุดท้ายอาจนำไปสู่ social score ที่ทำให้เรากระดุกกระดิกแทบไม่ได้ 


4. ‘AI เก็บข้อมูล แล้วประมวลผลได้เหนือมนุษย์‘ …ในปัจจุบัน AI ของ Facebook หรือ บริษัท Big Tech …เข้าใจความต้องการของเรา ได้โดยเราไม่ต้องบอกมัน …หรือ มันจะเข้าใจตัวเรามากกว่า เราเข้าใจตัวเอง


5. ’AI ในการทหาร เป็นทหารที่น่ากลัวมาก‘ …การใช้ AI ในการทหาร ทำให้การทำลายล้างคู้ต่อสู้ แม่นยำ และ สร้างความเสียหาย แบบที่เราไม่สามารถจะจินตนาการได้


6. ‘AI แทนงาน White Collar ได้อย่างดี’ …งานเอกสาร , การบัญชี , งานกฏหมาย ..งาน Office ส่วนใหญ่ สามารถใช้ AI เข้ามาทดแทนได้เป็นส่วนใหญ่


…คำถามสำคัญ คือ ‘แล้วงานอะไรที่มนุษย์ ทำได้ดีกว่า AI ?’


- AI เก่งในเรื่องความฉลาด การวิเคราะห์ ประมวลผลข้อมูล มหาศาลที่รวดเร็วและแม่นยำ ….แต่สิ่งที่ AI ไม่มีคือ สติ (Conscious)


แปลว่า ทักษะแห่ง ศตวรรษที่ 21 ที่ต้อง สอนและพัฒนา คนรุ่นใหม่ คือ ’สติ‘ …และ ตรรกะ ของความเป็นมนุษย์ 


…สอนยาก เพราะ ไม่ใช่การท่องจำ !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 ข้อดี ของสงครามการค้าระหว่าง จีนกับอเมริกา ต่อเศรษฐกิจไทย

 6 ข้อดี ของสงครามการค้าระหว่าง จีนกับอเมริกา ต่อเศรษฐกิจไทย


…เรารู้กันอยู่แล้วว่า สงครามอะไรก็ตาม มันไม่ดี …งั้นเราลองมา Explore ข้อดี เผื่อจะเห็นโอกาสในวิกฤตก็ได้ ?


1. ‘การลงทุนจากจีน ย้ายฐานมาเมืองไทย‘ …เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับญี่ปุ่นในอดีต ที่สงครามการค้าในเวลานั้น ทำให้ญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทย


2. ‘ค่าเงินบาท มีเสถียรภาพมากขึ้น‘ …การย้ายฐานผลิต ก็ต้องย้ายทั้งทุนและคน เข้ามาย่อมมีความต้องการ ‘เงินบาท’ …จุดนี้ก็ช่วยให้เงินบาทมีบทบาทมากขึ้นในเวทีการค้าโลก


3. ’ไทยเป็นประเทศ ที่หลายๆ ประเทศอยากย้ายมาอยู่’ …ญี่ปุ่นชอบเมืองไทย ,  จีน ก็ชอบไทย เพราะ ยืดหยุ่นกว่า …คุย เจรจาง่าย …เราน่าเห็น ระลอกที่สองของชาวจีน …ระลอกแรก เขามาเป็นคนไทย เป็นเจ้าสัวในบ้านเรา …ระลอกที่สอง ก็ต้องรอดูกัน ….นอกจากนี้ แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ก็เข้ามาเพิ่มฐาน ขนาดเศรษฐกิจให้ไทยโตขึ้น


4. ‘อุตสาหกรรมต่อยอด ที่จะเกิดขึ้น’ …พอกิจกรรมการลงทุนหลักเข้ามา …ก็จะเกิดอุตสาหกรรมต่อยอด …อันนี้ก็ต้องดูว่า รัฐบาล และ เอกชน เราสามารถ Capitatise ในจุดนี้ได้มากแค่ไหน ?


5. ’Megaproject ในประเทศไทย‘ …พอสงครามการค้ารุนแรงขึ้น ทั้งจีน และ อเมริกา รวมทั้งมหาอำนาจอื่นๆ ก็ย่อมต้องให้ความสำคัญกับ ภูมิภาค Southeast Asia ซึ่งไทยก็ตั้งอยู่ในจุด ยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ทั้งทาง ถนน อากาศ หรือ แม้กระทั่งทางทะเล (Land Bridge) 


6. ‘การสมดุลย์ ความสัมพันธ์ระหว่าง อเมริกา และจีน‘ …เรื่องนี้ล่อแหลมที่สุด …แต่ถ้ามองในอดีต เราเป็นประเทศเดียวที่ไม่ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจ เพราะ เราสมดุลย์ความสัมพันธ์และอำนาจได้ดี …ก็ต้องลุ้นกันว่า ครั้งนี้เราจะทำได้ดีเหมือนที่ผ่านมาได้หรือไม่ 


…สรุป …ถ้าเราเป็น คนธรรมดา เราจะได้ประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในอนาคตได้อย่างไร ?


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 ข้อควรรู้ ‘การคิดเผื่อคนอื่น‘ ทำไมทำให้เราเป็นนักลงทุนที่มีโอกาสสำเร็จมากขึ้น

 5 ข้อควรรู้ ‘การคิดเผื่อคนอื่น‘ ทำไมทำให้เราเป็นนักลงทุนที่มีโอกาสสำเร็จมากขึ้น


1. ’คน Gen ก่อน โดยรวมรวยกว่าคน Gen ใหม่ เพราะ เขาคิดสร้างให้ลูกหลาน’ …ผมเคยได้ยินคนบอกว่า คนเราถ้ามีลูกแล้วเราจะรวยขึ้น …ผมนั่ง งง ว่า มีลูก ก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มแล้วจะรวยยังไงฟระ? …แต่พอมาคิดลึกๆ ก็พบว่า คนสมัยก่อน เวลาเขาจะทำอะไร เขาก็จะมองเพื่อลูก เพื่อหลาน …ทำอะไรก็เพื่อตระกูล ลูกหลาน ….ตัวเองก็ใช้เงินน้อย ที่เหลือก็ลงทุนเพื่อระยะยาว …นั่นไง !! เขาเลยรวย เพราะ ใช้ก็น้อย คิดแต่จะสร้าง ลงทุน สะสม ระยะยาว


2. ’การคิดเผื่อคนอื่น คือ ทักษะของผู้นำ‘ …ถ้าเราเป็นลูกน้อง ผู้ตาม ก็ไม่เห็นต้องคิดอะไรมาก คิดแค่ตัวเองก็พอแล้ว ….แต่หัวหน้า ผู้นำ ต้องคิด เผื่อลูกน้อง …เขาเลยมองกว้างกว่าเรา มันเป็นการฝึกวิธีคิด การเข้าใจและทักษะการบริหาร จัดการ และการต่อรอง ที่เอาใจเขามาใส่ใจเรา …นั่นแหละ ผู้นำ !!


3. ‘ธุรกิจที่คิดสั้นๆ มันไม่เติบโตเท่าธุรกิจคิดการไกล’ …ถ้าเราเลือกลงทุนกับธุรกิจที่คิดแต่จะหาประโยชน์จากลูกค้า …ทำเงินเร็วๆ ตีหัวเข้าบ้าน …ธุรกิจแบบนี้ โตไม่ได้ …ต้องลงทุนในธุรกิจที่คิดจะดูแลลูกค้าระยะยาว พวกนี้แหละ หุ้น Superstocks ….เบื้องหลังหุ้นดีๆ ก็ต้องวิเคราะห์วิธีคิดของ ‘เจ้า‘(ของ) ด้วย


4. ‘นักลงทุนที่คิดเผื่อคนอื่น จะไม่ได้หวังกำไรสูงสุด‘ …เฮ้ย!! ใครวะ ไม่หวังกำไรสูงสุด มีด้วยหรือ ? ….เอาตรงๆ นะ เราต้องเข้าใจ Logic สำคัญของตลาดหุ้นก่อนว่า ‘จุดที่กำไรสูงสุด มันไม่มี‘ …ถ้าใครคิดจะซื้อต่ำสุด ก็มักรอจนไม่ได้ซื้อ …ส่วนพวกที่อยากได้กำไรสูงสุด มักขายเร็ว แล้วตกรถ หรือไม่ก็ ถือจนไม่ได้ขาย - ’สรุป คนที่กำไร ก็คือ คนที่พอใจในจุดที่ตัวเองพอจะทำได้’ ….ใช่!! แบ่งคนอื่นกำไรบ้าง …ส่วนฉันก็เอากำไร พอหอมปาก หอมคอ ตามโจทย์ที่เราวางไว้ แค่นั้นพอ


5. ’นักเจรจาต่อรองที่ดี ต้องมองเผื่อคนอื่น’ …ก่อนจะเจรจาต่อรองกับใคร ควรศึกษาคนที่เราจะไปเจรจา ‘ต้องเข้าใจเขา’ …เหมือนกัน ’ตลาดหุ้น’ ทุกการซื้อขาย ก็คือการเจรจาต่อรอง …ดังนั้น ทุกครั้งที่จะซื้อหรือขายหุ้น ให้พิจารณานิดนึงก่อนว่า คนที่ซื้อหรือขาย ต่อจากเรา ทำไมเขาคิดตรงข้ามเราวะ ?


เออ!! ไม่ได้ให้เราเป็นพวกขี้ระแวง แต่แค่มีสติมากขึ้น …เราก็จะเป็นนักลงทุนที่ดีขึ้นนั่นเองจร้า!!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 ข้อ ทำไม ‘นักธุรกิจที่เก่ง‘ ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการเป็นนักลงทุน

 6 ข้อ ทำไม ‘นักธุรกิจที่เก่ง‘ ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการเป็นนักลงทุน


…เราเห็นนักธุรกิจที่เก่ง พอมาเล่นหุ้น …เฮ้ย!! เสียตังค์หนักเลย …งั้นลองมาสำรวจซิว่า ปัจจัยอะไรที่เป็นอุปสรรคตรงนั้น ?


1. ‘นักธุรกิจเหมือนนักรบ แต่นักลงทุนเหมือนนักรับ‘ …ถ้าเทียบกับทหาร นักธุรกิจที่เก่งก็เหมือนสายบู๊ สายคุมกำลัง ออกรบ ลุย ….แต่นักลงทุนจะคล้ายสายเส ..คนชำนาญคนละ Skill ว่างั้น


2. ’การชนะในธุรกิจเน้นเร็ว แต่ลงทุนบางทีช้าอาจจะดีกว่า‘ ….แน่นอนนักธุรกิจที่เห็นโอกาสแล้วลงมือเร็ว มักได้เปรียบ …แต่การลงทุนการเทรดเร็วไม่ได้การันตีว่าจะชนะในระยะยาว …นักลงทุนจึงคล้ายการวิ่งมาราธอน มากกว่า


3. ’มุมของการบริหารเงิน’ …นักธุรกิจหาเงินเก่ง เวลาใช้ก็ใช้ง่าย จนบางครั้งไม่ได้เตรียมรับในวันที่พลาด …เวลาพลาดเลย จุกหนัก และลุกช้า …ส่วนนักลงทุนต้องเตรียมรับความผิดพลาดเสมอ เพราะ ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยจุดที่เราผิดหวังตลอดเวลา 


4. ‘มุมของการใช้เงิน‘ ..นักลงทุนจะค่อนข้าง ใช้น้อยกว่า เพราะ นักลงทุนไม่ได้หาเงินได้ตลอดเวลา …โอกาสในการได้เงินของนักลงทุนขึ้นกับจังหวะของตลาด ’ตลาดกำหนด’ …ทำให้นักลงทุนต้องประหยัดกว่า …ระวังเรื่องการใช้เงินมากกว่า


5. ‘การบริหารคน กับการบริหารเงิน แตกต่างกัน‘ …นักธุรกิจที่เก่งต้องเข้าใจคน และบริหารคนอื่น …แต่ความยากของนักลงทุน ไม่ใช่การบริหารคนอื่น แต่คือ การบริหารตัวเอง ….เวลาเราเสียหายหนัก เพราะ เราขาดการบริหารตัวเองที่ดี 


6. ‘การหาเงินแบบ Active กับ Passive ไม่เหมือนกัน‘ …การทำธุรกิจเก่ง คือ เก่ง Active คือ เอาแรงไปแลกเงิน …ส่วนการลงทุนมันคือ Passive คือ การวางเงินลงทุนในสินทรัพย์ แล้วให้สินทรัพย์ หาเงินมาใช้เรา


สรุป จริงๆ นักธุรกิจ ก็เป็นนักลงทุนที่เก่งได้แหละ …เพียงแค่เข้าใจ และฝึกฝนนั่นเอง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

Nexus ตอน 2 …’พลังข้อมูล..ที่ขับเคลื่อนความมั่งคั่งของมนุษยชาติ‘

 Nexus ตอน 2 …’พลังข้อมูล..ที่ขับเคลื่อนความมั่งคั่งของมนุษยชาติ‘


การพัฒนาความมั่งคั่งของโลกใบนี้มันเริ่มที่ ’การเพาะปลูก‘ ….ความร่ำรวยตกเป็นของเจ้าของที่ดิน หรือ Landlord …ที่ไหนเพาะปลูกได้ดี ก็มีมูลค่ามหาศาล …อาหารเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในยุคนั้น 

…ยุคต่อมา ’ปฎิวัติอุตสาหกรรม‘ …ความมั่งคั่งเปลี่ยนมาอยู่ที่ ปัจจัยการผลิต …ใครก็ตามเป็นเจ้าของเครื่องจักร , โรงงาน , ปัจจัยการผลิต …คนนั้นร่ำรวยที่สุด …อาชีพต่างๆ เกิดขึ้น รายล้อมรอบการผลิต

…จนในที่สุด ‘Supply มากกว่า Demand’ … มนุษย์ สามารถผลิต ได้เกินความต้องการ !!

…ทำให้เราสู่ยุค ’ข้อมูล‘ …ยุคนี้ใครๆ ก็ผลิตได้ …แต่สิ่งที่มีค่าที่สุดนี้ จึงเปลี่ยนมาเป็น ’ข้อมูล’ Information Age !! …ใช่!! คนที่มี ‘ข้อมูล‘ ..รู้ว่าต้องผลิตอะไร สำคัญกว่า 

…ธุรกิจต่างๆ แข่ง กันเป็น เจ้าของ ’ข้อมูล’ …Google รวบรวมข้อมูลมหาศาล …ใครต้องการอะไรแค่ search google ก็ได้ข้อมูล

…Facebook ก้าวไปอีกขั้น รวบรวมข้อมูล …คราวนี้ เราไม่ต้อง search …เพราะแค่การคิด Facebook ก็รู้แล้วว่าเราต้องการอะไร …ข้อมูล และ AI รู้ใจมนุษย์ยุคนี้ รู้ใจมนุษย์ เข้าใจเรามากกว่าเราเข้าใจตัวเอง 

…Microsoft ก้าวไปอีกขั้น ใช้ AI และ Chat GPT รวบรวมข้อมูล แล้วก้าวไปอีกขั้น !!

…ใช่!! ยุคนี้ ‘ข้อมูล คือ อำนาจ และ ความมั่งคั่ง‘ …มูลค่าของธุรกิจมหาศาล อยู่ที่คนที่สามารถรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์มนุษย์นั่นเอง 

1. ’ข้อมูล คือ ความมั่งคั่ง ใครรวบรวมข้อมูล แล้ววิเคราะห์ได้แม่น คนนั้น รวยที่สุด’ …เราเห็น Tech Company รุ่งเรือง และ ให้รางวัลเจ้าของและผู้ถือหุ้นแบบมหาศาล

2. ‘ใครไม่เปลี่ยนอาชีพ จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง‘ …ในยุคที่เกษตรกรรมรุ่งเรือง คนที่ทำเกษตรก็จะร่ำรวย …พอมายุคอุตสาหกรรม คนที่เปลี่ยนมาทำอุตสาหกรรมก็จะร่ำรวย ..พอมายุคข้อมูล คนที่เข้าใจการใช้ ’ข้อมูล‘ ก็จะร่ำรวย

…นักการเมืองใช้ ’ข้อมูล‘ ในการเข้าสู่อำนาจ Populist มอง ‘Information = Power’ 

3. ‘ยุคข้อมูล เร่งให้คนรวยยิ่งรวย’ …ระบบเศรษฐกิจของโลกหลักๆ มี 2 ขั้ว คือ หนึ่ง ประชาธิปไตย และสอง สังคมนิยม (เข้าใจง่ายๆ คือ เผด็จการ นั่นแหละ) 

จริงๆ ประชาธิปไตย …ทุนนิยมมันดี เพราะ มันทำให้มีการแข่งขัน และ จัดสรรทรัพยากรได้คุ้มค่า …แต่พอถึงจุดนึง …มันจะเข้าสู่ช่วงปลายของระบบทุนนิยม ที่บริษัทยิ่งใหญ่ ก็ยิ่งได้เปรียบ จนแทบจะผูกขาด (คล้ายกับปัจจุบัน!!)

พอถึงจุดนั้น คนรวยจะยิ่งรวย แต่คนส่วนใหญ่จะไม่พอใจ จนสุดท้ายทนไม่ไหว …ซึ่งมักจะนำไปสู่ การต่อสู้ระหว่างชนชั้น …จุดนี้แหละที่มักจะทำให้ระบบอาจเปลี่ยนไปสู่ Populist ที่ปลุกระดมประชาชน ใช้ความนิยม แล้วสุดท้ายก็ผันตัวเป็นเผด็จการในที่สุด

…ฮิตเลอร์ ก็มาจากประชาธิปไตย …จากความนิยม และ ค่อยๆ ผันตัวไปเป็นเผด็จการในที่สุด

…ใช่ครับ!! …ทุกวันนี้เรากำลังเข้าสู่ช่วงปลาย ของระบบทุนนิยม …ถ้าจัดการไม่ดี …โลกเราอาจวนไปสู่เผด็จการ ? …รบกันเป็นอาชีพ ..เฮ้ย!!

…ประเด็นคือ เราจะระวังตัวยังไง ไม่ให้ เราเข้าไปสู่วงจรหายนะอีกครั้ง …น่าคิด !!

4. …ข้อมูลที่เขียนลงในประวัติศาสตร์ เขียนโดยผู้ชนะ …ใช่!! มันอาจจะจริง หรือ โกหก เราไม่รู้ …แต่นั่นคือสิ่งที่เรารับรู้ยอมรับ …ตกลงใครคือ ผู้ชนะ ?

ยุคแรก ‘ข้อมูล‘ ถูกบันทึกโดย กระดานชนวน …ต่อมา เราคิดค้น ’กระดาษ‘ นั่นคือ วิวัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ ที่เปลี่ยนโลก …มนุษย์สามารถสร้างอาณาจักรยิ่งใหญ่ จดบันทึกทุกอย่าง ที่ดินของใคร ซื้อขายยังไง ใครมีเท่าไหร่ …เราทุกคนสะสมความมั่งคั่งผ่านกระดาษ …นั่นแหละ ’ข้อมูล’ ที่ทำให้มนุษย์สร้างและสะสมความมั่งคั่ง แบบก้าวกระโดด

…อ้าว!! ถ้าไม่จดบันทึก …สมัยก่อนเราก็รวมตัวกันได้แค่หมู่บ้าน หรือเผ่าเล็กๆ ที่ทุกคนก็แค่จำได้ ว่า คนนี้เป็นเจ้าของที่ดินตรงนี้ อะไรก็ว่าไป ….นั่นแหละ ก่อนวิวัฒนาการข้อมูล Homo Sapiens เลยยังไม่สามารถรวบตัวและอยู่รวมกันแบบในปัจจุบันนั่นเอง 

…ยุคนี้ทุกอย่างอยู่ใน Computer !!

’Clay Tablet กระดานชนวน - bamboo strip คำภีร์ไฝ่ในหนังจีน - piece of paper กระดาษ - to Silicon Chip world !!!!’
 
…ผู้ชนะ คือ ผู้บันทึกประวัติศาสตร์ …นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า …ถ้ามีการปฏิวัติ ..ผู้มีอำนาจคนใหม่ จะต้องทำลาย ‘ข้อมูล‘ เก่า …ลบหนี้ก่อนเลย (ปลดหนี้ สบายละ) …ลบความเป็นเจ้าของเก่า (ยึดรวบหมดทุกอย่าง ก่อนแบ่งใหม่ …แต่ฉันได้เยอะสุดนะ) …แล้วก็ สร้าง ’ข้อมูล’ ใหม่

5.‘แก้ข้อมูล …ลบหนี้ …แล้วก็เพิ่มตัวเลขในบัญชี‘ …แค่นี้ฉันก็รวยเละ !!

จริงๆ ก็ใช่นะ …ถ้าทำลายข้อมูล ‘การเป็นหนี้‘ ฉันก็ปลดหนี้ได้ละ ….สมัยก่อน เราก็ไปบ้านเจ้าหนี้ ทำลาย สัญญาการกู้ (แต่ต้องแน่ใจว่า ไม่มี copy นะ) …ทำลายทิ้ง เราก็ไม่เป็นหนี้แล้ว จบ

…แต่วันนี้ คนทำหน้าที่ ‘เก็บข้อมูลหนี้‘ คือ ธนาคาร …หรือ ตัวกลางที่น่าเชื่อถือ …องค์กรเหล่านี้จึง ร่ำรวย มหาศาล เพราะ เขากุม ‘ข้อมูล‘ ที่มีค้าของมนุษย์

…อยู่มาวันนึง มีใครก็ไม่รู้ ใช้ชื่อปลอมๆ ว่า Satoshi Nakamoto …แล้วคิดค้นวิธีการเก็บ‘ข้อมูล’ แบบล้ำที่สุด โดยไม่ต้องใช้คนกลางเลย …เรียกว่า Blockchain …แล้วก็สร้างเหรียญที่ชื่อว่า Bitcoins (ใช้เป็นตัวกลาง ในการทดสอบ นวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่นี้)

…โอเค!! ใครๆ ก็รู้จัก Bitcoins …บางคนก็บอกว่า มันเป็นเงินของอนาคต …บางคนบอกว่า มันคือ ทองคำดิจิตอล อะไรก็ว่าไป

แต่จริงๆ Bitcoins เป็นตัวแทนของ นวัตกรรมความยิ่งใหญ่ของ การบันทึก ‘ข้อมูล‘ แห่งอนาคต ที่คุณ ไม่ต้องมีแล้ว ธนาคาร , คนกลางตัดออกไปเลย

….นั่นแหละ ความยิ่งใหญ่ของ Bitcoins…ซึ่งสุดท้ายมันจะมาแทนเงินทั้งโลกหรือเปล่า? อันนี้ไม่มีใครรู้ …แต่ที่รู้แน่ๆ คือ วันนี้ มีคนเชื่อ ’ข้อมูล‘ นี้เป็น Network ที่ใหญ่ระดับโลก …ดังนั้น Bitcoins ก็คือ Nexus ..ที่คล้ายศาสดา พระเจ้า ของทั้งเครือข่ายนั้นเลย ….พระเจ้าช่วยกล้วยทอด !!

(เป็นข้อมูลปี 2024 …Network ของคนในเครือข่าย Bitcoins คือ 81.7 ล้านคน หรือ ประมาณ 1% ของประชากรโลก)

…ถ้าเทียบเครือข่ายใหญ่ ถ้าในธุรกิจ ก็เช่น Facebook มี 3 พันล้านคน …Twitter มี 378 ล้านคน …Tiktok ก็ 1 พันล้าน

…แต่ Facebook กลัว Tiktok เพราะ Tiktok จับฐานลูกค้า คนรุ่นใหม่มากกว่า …อายุน้อยกว่าว่างั้น 

คิดง่ายๆ ‘ข้อมูล‘ หรือ Nexus ที่ Tiktok สื่อ ออกมา คือ ’โอกาสสำเร็จชั่วข้ามคืน รวยตะโกน รวยแบยไม่มีที่มาที่ไป‘ …ใครวะ? …โคตรตะโกน ….เฮ้ย!! วันนึงคนนั้น อาจเป็นฉันก็ได้ ในเครือข่ายนี้ …เจสโด้ !

6.สิ่งประดิษฐ์และอาวุธที่มนุษย์เคยสร้างมา ล้วนถูกควบคุมโดยมนุษย์ (ระเบิดนิวเคลียร์ ต้องมี คนกด) ….แต่ AI ไม่ต้องมีคนกด มันเป็น อัตโนมัติ แปลว่า AI คือ คนฉลาดที่ขาดสติ ใช่ป่าวอ่ะ ?

ข้อดีคือเราสบาย …เดี๋ยวนี้คนวงการเงินสบาย ก็ปล่อยให้ AI ระบบสั่งซื้อขาย โคตร Passive income…แต่ปัญหาที่เห็นก็คือ Flash Crash ตลาดลงแบบบ้าคลั่งในเวลาสั้นๆ เพราะ AI มันดันสั่งขายพร้อมกัน ในจุดที่ไม่มีใครซื้อ (มักจะเกิดตอนตลาดลงหนัก ไม่มีใครกล้ารับ Volume มันก็เลยหาย …AI มันดันสั่งขาย …ตลาดมันเลยเกิด Flash Crash !!! พัง!!!! เละ!!! หมดตัวใน เสี้ยววินาที !!)

….ทั้งหมดที่เล่ามา มันน่ากลัว เพราะ AI มีทุกอย่างเหมือนมนุษย์ …ฉลาดกว่าด้วย …คำนวณเร็วกว่า …ไม่มีเหนื่อย ไม่มีล้า ….แต่ขาดสิ่งเดียวที่ AI ไม่มี คือ ’ไม่มีสติ’ Conscious !!

….ลองคิดซิว่า …ถ้ามีคนนึง เขาฉลาดมากๆ เก่งโคตรๆ แต่ไม่สติ !!! ….มันจะน่ากลัวขนาดไหน ?

…มีคนพูดว่า งั้นเราก็ทำให้ การตัดสินใจต้อง กดปุ่ม โดยมนุษย์ ทุกอย่างก็ควบคุมได้แล้ว ไม่ใช่เหรอ ?

…ก็ถูก!! …แต่ประเด็นคือ หลายๆ อุตสาหกรรมเขาออกแบบ AI ให้มันตัดสินใจซื้อขายเอง แล้วใช้จริงอย่างกว้างขวางแบบทุกตลาดหุ้นทั่วโลกไปแล้วไง !! …แล้วถ้าคุณบอกว่า งั้นก็แก้ซิ ว่าก่อนจะซื้อขาย ต้องมีมนุษย์ กดอนุมัติ ….ฮึม!! พูดง่าย แต่นั่นก็จะทำให้เทรดช้าลง ไปเหมือนที่เราใช้ เทรดเดอร์ ที่เป็นคน …ใช่!! กลับไปจุดเดิม ก่อนหน้านี้ไง

…จริงๆ สิ่งที่เล่ามา ผมก็มองเห็นโอกาสนะ …เช่น สมมุติเรารู้ว่าตลาดหุ้นใช้ AI เทรดเยอะๆ เราเดาได้เลย มันจะมี Flash Crash …งั้นง่ายๆ เราก็รอ จังหวะ ซื้อสวนแม่ม รวยเร็วเลยกรู …อ้า!! ก็คิดกันไปเรื่อย …555

7.’ผู้นำที่ใช้ประโยชน์จากข้อมูล …จากฉินซี ฮ่องเต้ , อาณาจักรโรมัน …สู่ราชวงศ์ฮั่น‘ 

…ยุคแรกที่มีการเอา ’ข้อมูล’ การจดบันทึก มาสร้างระเบียบ ระบบ ความเป็นเจ้าของ และควบคุมคนในอาณาจักรก็คือ ฉินซี ….หลังจากสามารถรวมจีนเป็นหนึ่ง ฉินซี ใช้การควบคุมด้วย ‘ข้อมูล‘ และการจัดระเบียบ กฏเกณฑ์แบบเข้มงวด เชื่อมต่อทั้งประเทศด้วยลำดับชั้น แบ่งแยกปกครองอย่างเป็นระบบ เรียกได้ว่า เป็นการใช้ระบบข้อมูล ปกครองอาณาจักรแบบเต็มรูปแบบครั้งแรกๆ ของโลก (ซึ่งในช่วงเวลาต่อมา ก็มี อาณาจักรโรมัน ที่นำระบบ ข้อมูล และการปกครอง มาปรับใช้) …แต่!! ใช้เวลาเพียง 15 ปี อาณาจักรฉิน ก็ล่มสลาย

พูดง่ายๆ ว่า ฉินซี สร้างอาณาจักรให้ยิ่งใหญ่ ในเวลาอันรวดเร็ว แต่ด้วยการควบคุม แบบเข้มงวด กระดิกตัวแทบไม่ได้ ปกครองด้วยความกลัว ….จนสุดท้าย เกิดการกบฏลุกฮือ ทั่วทั้งแผ่นดิน จนอาณาจักรฉินส่มสลาย

…สุดท้ายอีกไม่กี่ปี หลังจากนั้น จีนก็ถูกรวบรวมเป็นหนึ่งอีกครั้งภายใต้ ราชวงศ์ฮั่น

…บทเรียนของ ฉิน …ทำให้สมัย ฮั่น ได้เรียนรู้ ….แล้วก็เอาระบบการความคุมด้วย ’ข้อมูล‘ มาใช้ แต่ใช้ในแบบที่ยืดหยุ่นมากกว่า ….และนั่นทำให้ อาณาจักรฮั่น สามารถดำรงค์อยู่ได้อย่างยาวนาน

ด้วยประการละฉะนี้ …แต่น แต้น !!

…หมายเหตุ ฮิตเลอร์ หลังจากได้เป็น Chancellor…  ‘Nazi’ ก็ออก Coordination Act ควบคุมทุกอย่าง ตั้งแต่ การเมือง สังคม สมาคม คลับ แม้กระทั่งทีมฟุตบอล …ทั้งหมดนี้เป็นไปไม่ได้หากปราศจาค การจัดการ ’ข้อมูล‘ ที่ละเอียดสุดยอด

มองไปถึงโซเวียต ..Stalin เข้มงวดยิ่งกว่า Nazi เพราะคุมไปจนถึงโบสถ์ และ ทุกธุรกิจ …พูดง่ายๆ ทุกกิจกรรมภายใต้อาณาจักร ที่มีการรวมตัวของคน จะต้องมีเจ้าหน้าที่รัฐ เข้าจดบันทึกข้อมูล !!

…มาถึงยุคปัจจุบัน …เราแทนที่ ‘คนเก็บข้อมูล’ (Agents) …ด้วย คอมพิวเตอร์ , กล้องทุกหนทุกแห่ง ผ่านการประมวลผมด้วย AI …ใช่!! จีน วันนี้ไปไกลจน มีการ ให้คะแนนทุกคน (Social Score) …ใครมีพฤติกรรมดี ทำตามกฏหมาย และ ทำดี ก็จะได้คะแนนดี ….ซึ่ง ‘คะแนน‘ หรือ ข้อมูลนี้ ส่งผลในทุกๆ ด้านในชีวิต ตั้งแต่ ทำมาหากิน , หางาน , ใช้จ่าย (คะแนนดี ชีวิตง่ายกว่า) 

…นี่คือ ยุคข้อมูล ที่แม้แต่ ฉินซี , ฮิตเลอร์ หรือ ผู้นำอาณาจักรใดๆ ในอดีต ได้แค่ฝัน 

(ในปี 2024 AI อย่าง ChatGPT สามารถอ่านประมวลผล ‘ข้อมูล‘ ได้ เป็นล้านคำต่อนาที …เทียบกับมนุษย์ที่เป็น Agents เก็บข้อมูล อ่านได้แค่ 250 คำ ต่อนาที)

8.‘ผู้ประกอบการ และ นักลงทุน ผู้หาช่องว่างและทำประโยชน์จากข้อมูล‘ …บทนี้คุยในมุมของ การเข้าใจช่องว่าง ซึ่งทุกข้อมูล ทุกระบบ มันมีช่องว่างอยู่ …ขึ้นกับว่า ใครที่เห็นและเข้าใจใช้ประโยชน์จากมัน 

ก็ลองช่วยกันคิดครับ ….ยุคข้อมูลข่าวสาร Information Age ที่มี AI เป็นเหมือน ระเบิดนิวเคลียร์ …ก็ขึ้นกับว่า มนุษย์ในยุคใหม่นี้ จะเอาตัวอย่าง ความผิดพลาดในอดีตมาเรียนรู้ และ ปรับให้การเปลี่ยนผ่านทำให้มนุษย์และโลก ดีขึ้นหรือไม่ ก็คงต้องรอดูกัน 

สิ่งที่ทำได้ สำหรับคนทั่วไป …คุณและผม ก็คือ การเปิดใจเรียนรู้ เกี่ยวกับยุคที่ข้อมูลข่าวสาร คือ สิ่งที่ทรงพลังสูงสุด …เราจะปรับใช้ให้มันเป็นประโยชน์มากที่สุด ต่อเรายังไง …นั่นแหละ จุดสำคัญ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม














วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2567

NEXUS อยากจะเล่า …ep1

Nexus อยากจะเล่า …ep 1 


วันก่อนไปเดินห้าง ผ่านร้านหนังสือ เห็นหนังสือเล่มใหม่ของ Yuval Harari ลดราคา 20% ….ป๊าบ !! รีบเข้าไปเปิดอ่าน


บอกตรงๆ ชอบตั้งแต่เล่มแรกละ Homo Sapien …เป็นหนังสือขายดีมาก ที่อ่านแล้วจับประเด็นยากมาก เพราะ ข้อมูลมันทะลัก …สรุปคือ มันอ่านยาก …ส่วนใหญ่ก็รอให้คนอื่นเอามารีวิว เล่าให้ฟัง ง่ายกว่า 


มาเล่มนี้ดีกว่า Nexus …ถ้าแปลตรงๆ คือ จุดเชื่อม หรือ แก่นของเรื่อง …เอาตรงๆ ถ้า นักเขียนโนเนม แล้วตั้งชื่อหนังสือแบบนี้ รับรอง ขายไม่ได้ …ไม่มีใครหยิบอ่านแน่ๆ 


ถ้ายุคนี้ ต้องตั้งชื่อหนังสือ ตามกลุ่มคนอ่านถึงจะขายดี เช่น ถ้าจะจับคนรุ่นใหม่ หนังสือ ก็ต้องแบบว่า ‘รวยตะโกน’ …รวยขี้แตก ขี้แตน รวยจนเพื่อนอิจฉา รวยแบบไม่ต้องรู้ที่มาที่ไป


…มาคุยประเด็นที่ผมชอบในหนังสือ Nexus มาคุยกันดีกว่า 


เข้าประเด็น!!


 1. ‘ข้อมูล คือ จุดเชื่อมต่อ ที่ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ทรงพลังที่สุดในโลก‘ 


…ต้องยอมรับว่า มนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่แข็งแรงที่สุดในโลก แต่เป็นสิ่งมีชีวิตเดียว ที่สามารถรวมตัวกัน ที่เขาเรียกว่า Network ได้ จำนวนมากที่สุด 


ถ้าคุณเอาลิง สักพันตัว มารวมกันในสนามฟุตบอล มันคงสู้กันเละ …ยังไม่ต้องพูดว่า ให้ลิงรวมตัวกัน ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ร่วมกัน …ใช่!! สัตว์อื่นรวมพลังกันทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้ เท่ากับที่มนุษย์ทำ 


เราสามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่าง ปิรามิด กำแพงเมืองจีน รถยนต์ เครื่องบิน โบสถ์ ปราสาท เครือข่ายศาสนา บริษัทข้ามชาติ ประเทศ อาณาจักร 


ทั้งหมดที่ทำให้เรา สามารถมารวมตัวสร้างสิ่งที่พูดมา ก็คือ Nexus !!! …’แก่นสาร หรือ ข้อมูล ที่ทำให้เรามารวมตัวกัน‘


2. ’จุดเชื่อม จะทรงพลัง ถ้าเป็นคน‘ 


…จุดเชื่อมของ Apple ก็คือ Steve Jobs , จุดเชื่อมของศาสนา ก็คือ ศาสดา (เรื่องเล่าของศาสนา ซึ่งเราต่างก็รู้สึกว่า มันเหลือเชื่อ เกินจริง) …แต่ก็นั่นแหละ ‘เรื่องราว‘ ที่เชื่อมต่อ มันก็ไม่จำเป็นต้องเป็นจริงก็ได้ …เช่น Steve Jobs เราจะมองว่า เป็นอัจฉริยะ สุดยอด …แต่คนใกล้ชิดลูกน้อง อาจมองอีกแบบ …ซึ่งไม่สำคัญเลยว่า ตัวจริงของ Steve Jobs จริงๆ จะเป็นยังไง เพราะ ในชีวิตจริงก็คงมีไม่กี่คนหรอก ที่จะได้สนิทใกล้ชิด แล้วรู้จัก Steve Jobs จริงๆ ดังนั้น สิ่งสำคัญกว่าคือ ความเป็น ‘Nexus’ ที่เชื่อมต่อความอัจฉริยะ การคิดนอกกรอบ ความยิ่งใหญ่ ….นั่นแหละ Nexus คือ ศาสดาของ Startup คนรุ่นใหม่ ที่ฝันอยากจะเปลี่ยนโลก 


3. ’Network ยิ่งใหญ่ ก็ยิ่งร่ำรวยและทรงพลัง’ 


…ใช่!! ยิ่งใครสามารถสร้าง Network ที่รวมตัวคนได้ใหญ่เท่าไหร่ ก็ยิ่งร่ำรวยมหาศาล …ในโลกเรา Network ที่ใหญ่มากๆ ก็เช่น ศาสนาคริสต์ มีคน 1.4 พันล้านคน …Nexus ก็คือ เรื่องราวใน Bible ที่เชื่อมโยงคนพันล้านเข้าด้วยกัน …เชื่อในเรื่องเดียวกัน …และ ทำให้คนแปลกหน้าพันล้านคน รู้สึกเหมือนเป็นพี่เป็นน้องกัน ทำกิจกรรมร่วมกันได้ เพียงแค่อยู่ใน Network เดียวกัน 


…นี่แหละพลัง ที่ Homo Sapien หรือเผ่าพันธุ์มนุษย์มี …คือ เราเชื่อในเรื่องราว ที่สัตว์อื่นไม่สามารถเชื่อได้ 


…ถ้าคุณไปบอกลิงว่า ให้มันแบ่งกล้วยของมัน ให้กับลิงตัวอื่น แล้วพอมันตาย มันจะขึ้นสวรรค์ลิง แล้วบนสวรรค์ลิง จะมีกล้วยไม่จำกัดให้กินเลย …ถามว่า ถ้าคุณบอกลิงแบบนี้ มันจะแบ่งกล้วยให้ลิงตัวอื่นไหม ?


…ฮึม!! แน่นอน ….ถ้าลิงมันพูดได้ มันคงด่าเราว่า ’ไอ้บ้า!!‘ ไอ้มนุษย์ มรึงเพี้ยนไปหรือเปล่า 


แต่คนทำ …คนเชื่อ !! …นี่แหละ พลัง !!! เพราะ มัน ทำให้มนุษย์สามารถรวบตัวกันเพราะ เรื่องราวเหล่านี้ แล้วร่วมกันสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่นั่นเอง


….จะพูดว่า ’ความไร้สาระ …เป็นจุดเริ่มของสาระที่ยิ่งใหญ่‘ ก็น่าจะได้ 


…อ้อ!! เวลานี้เครือข่าย ที่ใหญ่ที่สุด แล้วทำให้คนมารวมตัวกัน ทำสิ่งเดียวกัน ยิ่งใหญ่ที่สุดตอนนี้ก็คือ Global Trade (การค้าโลก) ส่วน ’เรื่องราว(ไร้สาระ ?) ’ - สิ่งไร้สาระ 3 จุดเชื่อม ที่ทำให้การค้าเป็นไปได้ คือ 


1. เงิน (วันนี้ใหญ่สุดก็ US Dollar ที่หลายๆ คน พูดว่า มันจะไร้ค่า …แต่เอาตรงๆ นะ มันยังเป็น เรื่องราวของเงินที่ทรงพลังมากที่สุด ในโลก ณ เวลานี้นะ …มันเป็นกระดาษ(ตัวเลขเฉยๆ) ที่ไม่มีสินทรัพย์อะไรหนุนหลังเลยนอกจากหนี้) 


เรื่องราวที่ทรงพลังของเงิน รองลงมาจากดอลลาร์ น่าจะเป็น ‘ทองคำ‘ …และ ถ้าสำหรับคนรุ่นใหม่ ’เรื่องราว‘ นั้น น่าจะเป็น Bitcoin 


เอาเถอะ กลับมาที่ดอลลาร์ …โอเควันนี้เป็น สกุลหลัก หรือเป็น เส้นเลือดไหลเวียนหลักที่ทำให้การค้าโลก เป็นไปได้


2. บริษัท …ก็คือ ผู้ค้า ผู้ขาย …บริษัทต่างๆ ตั้งแต่ Apple , Wal-mart , CP , 7-11 , เซ็นทรัล ….ทุกๆ องค์กร ก็คือ ’เรื่องราว’ แต่ละองค์กร ที่มีจุดเริ่ม เป้าหมาย จุดหมาย ที่มัน Unique แตกต่างกันไป


3. Brand …ก็ Brand ต่างๆ ที่เรารัก รู้จัก คุ้นเคย ก็คือ ’เรื่องเล่า‘ ที่เราเชื่อ ….Ferrari เป็น brand ที่ทรงพลัง ทั้งที่เอาตรงๆ เราส่วนใหญ่เห็นแค่ในรูป ไม่ได้มีโอกาสสัมผัสจริงๆ …ซึ่งมันไม่ได้ขับสุดยอดหรือแรงไปกว่ารถไฟฟ้า แต่!!!! ….แต่มันเท่ห์ ….นั่นแหละ ’เรื่องเล่า’ ที่ทรงพลัง


3 จุดที่เล่ามา ทำให้ เกิด Global Trade (โลกค้าขายกัน) …แล้วมันยิ่งใหญ่ ตรงไหน ?


…ถามหน่อย สมัยที่โลก แยกกันอยู่ ดินแดนใคร ดินแดนมัน …สมัยนั้น เขาทำอะไรกัน ….ใช่!!! แม่งรบกัน ฆ่ากันครับ 


ดังนั้น การค้าจึงเปลี่ยน สนามรบ เป็น สนามการค้า ….เราถึงเรียนหนังสือ เพื่อค้าขาย …ไม่งั้นคุณกับผม ต้องเรียน การฆ่า การรบ 


4. ’เรื่องราว’ ทุกวันนี้สร้างง่ายขึ้น ด้วย Social Network


….ครับ!! สมัยก่อนน่ะ …ถ้าคุณจะเล่าอะไรสักอย่าง มันต้องผ่าน หนังสือพิมพ์ , ทีวี , วิทยุ …นั่นแหละ จุดเชื่อมต่อสมัยนั้น 


จำได้ไหม เวลาทหารเขาปฏิวัติ เขาก็จะไปยึด ทีวี แล้วก็ประกาศ อะไรก็ว่าไป ….ถามหน่อยเดี๋ยวนี้ จะยึดอะไร …ยึด YouTube?  …ปิด Facebook ? …เออ ปิดไม่ได้ ไม่ใช่ของเรา


โอเค เข้าประเด็นคือ ทุกวันนี้ มันมี Social Network ที่เปิดให้ทุกคน ’เล่าเรื่อง’ สร้างจุดเชื่อมต่อได้ง่ายขึ้น …ใช่!! เราเป็น Nexus ได้ 


….นั่นแหละ ความแจ๋ว …เพราะยุคนี้ ’ความดัง’ คือ ความสามารถในการหาเงิน


5. ’สิ่งที่เปลี่ยน กับ สิ่งที่ไม่เปลี่ยน …ถ้าเราเรียนรู้จากประวัติศาสตร์แล้วลงทุนในสิ่งที่ไม่เปลี่ยน เราจะเป็นเศรษฐี‘ 


…เวลาอ่านประวัติศาสตร์เยอะๆ เราจะพบว่า สิ่งที่กำลังเกิดในปัจจุบัน จริงๆ มันเคยเกิดในอดีตมาแล้ว ….เพียงแต่มันไม่ได้เหมือนเป๊ะ !!


…ถ้าใครปรับใช้ได้ดี จะได้ประโยชน์มาก ….เช่น ทุกวันนี้เรากำลังกลัวว่า AI สุดท้ายจะมาทำลายมนุษย์ …คิดง่ายๆ ถ้ารถทุกคันใช้ AI ควบคุม เราจะรู้สึกอย่างไร 


…สมมุติเราทำผิด เราอยากให้ คนตัดสิน ผู้พิพากษาเป็นมนุษย์ หรือเป็น AI ล่ะ ? 


…ตอนแรกผม ก็มองว่าเรื่องนี้ไกลตัว แต่ทุกวันนี้ หลายๆ ธนาคาร เอา AI มาอนุมัติสินเชื่อแล้วนะ ….แล้วตลาดหุ้นน่ะ เอาแค่บ้านเรา ระบบเทรด AI ที่ต่างชาติ เอามาใช้ซื้อขาย คือ ให้คอมพิวเตอร์ซื้อขายอัตโนมัติ นี่บ้านเราน่าจะเกือบ 50% ของ Volume การซื้อขาย 


อันนี้ไม่รวม Forex การซื้อขายค่าเงินระหว่างประเทศ วันนึงเป็น Trillions ล้านล้าน …นั่นแหละ ใช้ AI แทบทั้งหมด


อย่าง Facebook , Tiktok ข้างหลังก็คือ AI ในการเลือกว่า โพสใดจะดัง …ใครจะเกิด !!!


…โหนกระแส ..พี่หนุ่ม เป็นคนเลือกว่าใครจะดัง !! ….แต่ Facebook …ผู้ที่เลือกไม่ใช่คน ไม่ใช่พี่ Mark แต่เป็น Code เป็น AI


…ใช่!! AI จริงๆ มันใกล้ตัวเรามากๆ 


เล่าไปยาว จะบอกว่า ’สิ่งที่เปลี่ยน กับ สิ่งที่ไม่เปลี่ยน‘ ของมนุษย์คืออะไร ?


…สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือ มนุษย์ เก่งและจะพัฒนาไปจนมันทำลายตัวเอง ….เฮ้ย!!


..ยุคโบราณ ก่อนการค้า เรารบกัน ฆ่าเป็นอาชีพ …ทหารรวยสุด …เพราะ ’เรื่องราว’ ที่คนยุคนั้นต้องการคือ ‘อำนาจ‘ ….ต่างกับยุคนี้ เราต้องการ ‘ความมั่งคั่ง‘ 


’เรื่องราว เปลี่ยนนิดเดียว …ชีวิตเปลี่ยนมหาศาล‘ 


…ตอนที่เราฆ่ากัน …ใครพัฒนาอาวุธได้ทำลายล้างมากที่สุด คนนั้นดีที่สุด ….เราพัฒนาจาก ดาบ ไปเป็นธนู ไปปืน ไปรถถัง เครื่องบิน …แล้วสุดเลย ที่ระเบิดปรมาณู !!!


ใช่!! ครับ …ถ้าวันนั้น สมมุติมีผู้นำ ที่แพ้สงคราม แต่กรูไม่แพ้ แล้วตัดสินใจ ยิงปรมาณูขึ้นมา …นึกภาพไม่ออกเลยว่า ถ้าสุดท้ายเขาลุยกันด้วยระเบิดปรมาณูแบบเต็มรูปแบบ …วันนี้โลกคงพังทั้งโลกไปแล้ว 


งั้นแปลว่า ที่เรากลัว AI จะมาทำลายมนุษยชาติ ..แน่ก่อนเราผ่าน วิกฤตที่เลวร้าย กว่ามาแล้ว คือ ระเบิดปรมาณู ….แล้วเราก็ผ่านมาได้ 


….





….ค้างไว้ก่อน …ใครอ่านถึงตรงนี้ แปลว่า เฮ้ย!! คุณอ่านมาถึงตรงนี้ได้ไง โคตรยาว ยุคนี้ไม่มีใครอ่านหนังสือแล้ว จริงๆ หรือ ไม่ใช่ ?


Ok ..ใครอ่านถึงตรงนี้ช่วย Comment หน่อยนะครับว่า ‘เออ!! กรูอ่าน‘ …555



(โอเค …เดี๋ยวผมว่าง แล้วจะมาเขียนเล่าต่อนะ) 


วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2567

7 ข้อ ต้องรู้เมื่อ FED ลดดอกเบี้ยลง

 7 ข้อ ต้องรู้เมื่อ FED ลดดอกเบี้ยลง


1. ‘เป็นสัญญาณเตือนทางเศรษฐกิจ’ …ก่อนหน้านี้ FED ขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงเพื่อปราบเงินเฟ้อ …ตอนนี้ต้องกลับมาลด ก็แสดงว่าเศรษฐกิจเริ่มไม่ไหว ถ้าไม่ลดดอกเบี้ยลง


2. ’เงินจะเริ่มไหลออกจากอเมริกา’ …เราพูดถึง Fund Flow ที่ก่อนหน้านี้วิ่งไปที่อเมริกา ..ตอนนี้ทิศทางจะเริ่มเปลี่ยน


3. ‘ตลาดหุ้นที่เงินไหลออกก่อนหน้านี้ จะได้ประโยชน์’ ..เช่น ตลาดหุ้นไทย เงินไหลออกต่อเนื่องก่อนหน้า จะได้รับผลดีในการไหลกลับของ Fund Flow ในรอบนี้


4. ’หุ้นเติบโตจะเริ่มกลับมา sexy กว่าหุ้นปันผล‘ …ก่อนหน้าหุ้นปันผล จะดีกว่าหุ้นเติบโต แต่พอทิศทางดอกเบี้ยเปลี่ยน หุ้น Sexy ก็จะเปลี่ยนกลุ่ม


5. ‘การลงทุนจะกลับมาสู่ Risk On’ …ก็คือ นักลงทุนจะเริ่มเปลี่ยนโหมดจาก ไม่เสี่ยง ไปสู่การลงทุนที่เสี่ยงแทน


6. ‘ต้นทุนการเงินจะลดลง’ …อันนี้ธุรกิจที่กู้เยอะๆ จะเริ่มหายใจ ได้สะดวกขึ้น เพราะจ่ายดอกเบี้ยลดลง …นี่อาจทำให้หุ้นหลายๆ ตัว เปลี่ยนทิศทางจากขาลง เป็นขาขึ้น


7. ‘การลดเบี้ยอาจไม่ใช่ภาพใหญ่‘ …แปลว่า เราต้องระวังแม้ตลาดหุ้นจะดีขึ้น แต่ภาพใหญ่เรายังต้องกลัวเงินเฟ้อ …ซึ่ง FED สามารถเปลี่ยน จากลดดอกเบี้ย เป็นขึ้นดอกเบี้ยได้ …ทั้งหมดขึ้นกับเงินเฟ้อ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2567

5 ข้อแลกเปลี่ยน ของการใช้ชนะใจ และบริหารคนเก่ง

5 ข้อแลกเปลี่ยน ของการใช้ชนะใจ และบริหารคนเก่ง 


'เวลา' คือ สิ่งที่เราแต่ละคนมีจำกัด ...คนยิ่งเก่ง ยิ่งใช้เวลาไม่เป็น ถ้าเขาไม่ฝึกที่จะเรียนรู้ในเรื่องของเวลา


ไม่ว่าคุณจะเก่งแค่ไหนก็ตาม เวลาคือ ข้อจำกัด ...


ผมมีเพื่อนเก่งๆ หลายคนที่บ่นว่า 'อยากมีเวลาเกินวันละ 24 ชั่วโมง จะได้มีเวลาสะสางทุกอย่างที่อยากทำให้เสร็จ' ...แต่มันทำไม่ได้


สิ่งที่เศรษฐีมักสอนลูกคือ 'การรู้จักใช้คน' ..การใช้คนคือ การที่เราสามารถใช้เวลาของคนอื่นมาช่วยในการทำให้เราทำงานได้มากขึ้น และทำให้เราบรรลุเป้าหมายเร็วขึ้น


แต่ปัญหาก็คือ 'ทำไมคนอื่นต้องเอาเวลาที่มีคุณค่าของเขามาให้เราล่ะ ?'


ข้อแลกเปลี่ยนมีดังนี้ 


1. คนเก่งต้องการมีคุณค่าและมีความหมาย ...ความเก่งทำให้คุณทำอะไรได้มากมาย แต่ความเก่งไม่ได้ให้ความหมายในชีวิตเรา ..เพราะคนเรามีความหมาย เพราะเราได้ทำเพื่อคนอื่น และเราได้เป็นส่วนนึงของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา (เศรษฐีต้องมองการณ์ไกล มีฝันที่ชัดเจน และกำหนดเป้าหมายนั้น ให้เป็นสิ่งที่จับต้องได้)


2. คนเก่งต้องการโอกาสในการทำงานร่วมกันคนอื่น ..ปัญหาของคนเก่งคือ คนที่ชอบทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ..การที่เขามีโอกาสได้ทำงานร่วมกับคนเก่ง จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ


3. คนเก่งต้องการปิดทุกประตูความเสี่ยง ..การที่คนเก่งยอมทำงานให้ใคร ก็เพราะคนนั้น ยอมรับความเสี่ยงแทนให้ ลงเงินให้ รับความเสี่ยงแทน ..ปิดประตูความผิดพลาดให้


4. คนเก่งต้องการการยอมรับในผลงานที่ตัวเองทำ สิ่งนี้สำคัญกว่าเงินเสียอีก (คนเก่งไม่เคยอดตาย เพราะเขาเอาตัวรอดได้เสมอ แต่การได้รับการยอมรับต่างหากที่สำคัญกว่า)  ..เงินก็ดี แต่การยอมรับสำคัญที่สุด 


5. รางวัลที่ดีพอ ...เศรษฐีสามารถรักษาคนเก่งได้ เพราะเศรษฐีให้รางวัลคนเก่งมากพอที่ไม่คุ้มจะไปทำงานที่อื่น ..คำว่า ไม่คุ้ม คือ 'ให้ผลตอบแทน น้อยที่สุด แต่เพียงพอที่จะไม่คุ้มไปทำงานที่อื่น' ..Always Underpaid!!


สรุป 'การบริหารเวลา' คือ การรู้จักใช้คนเก่ง รู้จักการดูแลคนเก่ง ให้คนเก่งมาร่วมทำงานตามเป้าหมายยิ่งใหญ่ที่เราฝันไว้


ถ้าบริหารคนเก่งได้ คุณจะเป็นคนสุดท้ายของตระกูลที่รู้จักคำว่า ยากจน


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2567

7 สิ่ง ที่จะต้องดูในการเล่นหุ้นไทยขาขึ้น รอบใหม่

 7 สิ่ง ที่จะต้องดูในการเล่นหุ้นไทยขาขึ้น รอบใหม่


1. ‘เด้งจากหุ้นใหญ่‘ …ในการเริ่มขาขึ้นรอบใหม่ จะเริ่มจากหุ้นใหญ่ เพราะ เม็ดเงินต่างๆ จะเข้ามาที่หุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นฐานสำคัญของการขึ้นรอบใหม่


2. ’เงินฝรั่ง Fundflow ไหลเข้า‘ ….อันนี้สำคัญเพราะ ถ้าตลาดไทยจะขึ้นได้จริง ต้องอาศัย Fundflow ที่ไหลเข้าจริงจัง และ ต่อเนื่อง อย่างน้อย 1 ปี 


3. ‘ทิศทางของเงินบาท ที่แข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ’ …จริงๆ เงินบาทอ่อน ดีต่อประเทศส่งออกและเน้นการท่องเที่ยวแบบบ้านเรา …แต่ตลาดหุ้นมักจะเป็นขาขึ้น ในช่วงที่ทิศทางเงินบาทแข็งค่า ….แสดงถึง เงินไหลเข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง


4. ’การเทรดจะง่ายขึ้นเรื่อยๆ’ …ในขาลง การเทรด มักจะยาก แต่ตลาดขาขึ้น เราจะเริ่มรู้สึกว่า การเทรดง่ายขึ้น เป็นการ Confirm ภาพขาขึ้นจริงๆ 


5. ‘การเมืองนิ่ง‘ …ตรงนี้นโยบายต่างๆ ต้องชัดเจนต่อเนื่อง …เพราะ ฝรั่ง เขามองการเมืองเป็นส่วนสำคัญมากในการตัดสินใจลงทุน


6. ’หุ้นแถวสองเริ่มทำงาน‘ …หุ้นแถวแรก ก็คือ หุ้นใหญ่ จากนั้น พอหุ้นใหญ่วิ่งไปถึงราคาเป้าหมาย ตลาดก็จะเปลี่ยนกลุ่มเล่น มาหาหุ้นแถวสอง …เสี่ยงกว่า แต่โอกาสเด้งก็จะไกลกว่า


7. ’จบด้วยปลาหมึกแถว 3’ …ก่อนตลาดจะจบรอบ ก็จะมีการปลุกผี หาหุ้นแถว 3 เป็นช่วงที่ เจ้าเข้า ..คึกคัก …แล้วก็จะจบวงจรของขาขึ้นครั้งใหม่


วนเวียนไป ตาม วัฏจักร และ Market Cycle


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2567

7 เรื่อง เบื้องลึกเบื้องหลังของคำว่า ‘เงิน’ ในโลกปัจจุบัน

 7 เรื่อง เบื้องลึกเบื้องหลังของคำว่า ‘เงิน’ ในโลกปัจจุบัน


1. ‘เงินในปัจจุบัน เป็นเงิน Fiat’ …เงิน Fiat สร้างจากหนี้ แปลว่า เงินในปัจจุบัน ไม่ได้มีสินทรัพย์เช่น ทอง หนุนหลัง แต่มี หนี้ หนุน …ดังนั้น เงินปัจจุบัน สร้างจากหนี้


2. ‘ในระยะยาว หนี้มีแต่เพิ่ม ดังนั้น มูลค่าเงินจะลดลงเสมอ‘ …หนี้ในโลกนี้ไม่เคยลดลง มันต้องเพิ่ม ดังนั้น มูลค่าของเงินทุกสกุลก็ย่อมลดลง สิ่งนี้เรียกว่า ’เงินเฟ้อ’


3. ‘ทำไมไม่เอาทอง กลับมาใช้หนุนเงินเหมือนในอดีต’ …อย่างแรกคือ ทองคำ ไม่ได้มีปริมาณมากพอจะเอามาเป็นตัวค้ำเงินทั้งโลก และสอง ..ถ้าใช้ทองคำ หนุนเบื้องหลังเงิน โลกจะเข้าสู่ ‘เงินฟืด‘ และ โลกจะเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจ เพราะ เศรษฐกิจจะไม่หมุนเวียน คนจะไม่ใช้เงิน ‘เพราะเก็บเงิน คุ้มกว่าใช้‘ ..ธุรกิจจะย่ำแย่ 


4. ’ทำไมไม่ใช้ Bitcoin มาหนุนแทนเงิน’ …ก็เหตุผลคล้ายๆ ทองคำ …เพราะ Bitcoin ก็ถูกกำหนดให้มีจำนวนที่จำกัด คล้ายๆ ทองคำ ดังนั้น ไม่สามารถเอามาใช้หนุนหลังเงินได้ 


5. ‘แสดงว่าเงินไม่ใช่สินทรัพย์‘ …เงินไม่ใช่สินทรัพย์ เพราะ สินทรัพย์ คือ สิ่งที่มีจำนวนจำกัด ทำให้ระยะยาว สินทรัพย์จะมีราคาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตรงข้ามกับเงินที่ระยะยาวต้องมีมูลค่าลดลงเรื่อยๆ สวนทางกับสินทรัพย์ 


6. ‘สาเหตที่คนรวยยิ่งรวย และคนจนยิ่งจน เพราะอะไร’ …ก็เพราะคนรวย หาเงิน มาเพื่อซื้อสินทรัพย์แล้วเก็บสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่คนทั่วไป แค่หาเงิน มาใช้ยังแทบไม่พอ จึงไม่สามารถสะสมสินทรัพย์ …พอเวลาผ่านไปราคาสินทรัพย์มีแต่เพิ่ม …ความแตกต่างของความร่ำรวยก็ยิ่งสวนทางกันไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่วิกฤต !!


7. ‘จุดวิกฤต ของระบบเงิน Fiat จะเกิดอะไรขึ้น‘ …จุดวิกฤตคือ คนรวย ครอบครองสินทรัพย์มากเกิน จนคนทั่วไป ไม่สามารถทำงานหาเงินปกติ แล้วยังไม่สามารถอยู่ได้


 …ทางแก้ คือ หนึ่ง ลดความเหลื่อมล้ำ (พูดง่าย ทำยาก หลักคือ ต้องทำให้มูลค่าสินทรัพย์ลด แต่ต้องทำให้รายได้เพิ่ม) เช่น การขึ้นภาษีในการครอบครองสินทรัพย์ (ที่หนักสุดคือ บ้านและที่ดิน) , เพิ่มภาษีมรดก 


สอง ลดเงินเฟ้อ …แบบง่ายที่สุด ก็คือ การขึ้นดอกเบี้ย 


สาม เพิ่มทางเลือกในสกุลเงิน ที่มากกว่าแค่ US dollar 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

7 ข้อควรรู้ การลงทุนยาว กับ การเทรดสั้น อะไรรวยเร็วกว่าในเวลานี้

 7 ข้อควรรู้ การลงทุนยาว กับ การเทรดสั้น อะไรรวยเร็วกว่าในเวลานี้


1. ‘การเทรดได้เงินเร็วกว่า’ …แต่ข้อเสียก็คือ เสียเงินเร็วพอๆ กัน ถ้าจับจังหวะไม่ดี 


2. ‘ถ้าตลาดออกข้าง Side way การเทรดจะกำไรกว่า‘ …ในกรณีที่ตลาดไร้ทิศทาง การทำกำไรสั้นๆ ย่อมทำเงินได้มากกว่า


3. ‘ถ้าตลาดขึ้นเยอะ การถือยาวจะรวยกว่า‘ …ถ้าหุ้นขึ้นรอบใหญ่ การถือทนรวย จะได้กำไรแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่า


4. ’ใคร Stop Loss ไม่เด็ดขาด ไม่ควรเทรด‘ …หัวใจของการอยู่รอดในระยะยาวของการเทรด คือ ถ้าผิดทางต้องขายทิ้ง Stop Loss ทันที …ถ้าทำไม่ได้ อย่าเทรดสั้น


5. ’หัวใจของการถือยาว คือ กระจายความเสี่ยง’ …จริงๆ ก็คล้ายๆ การ Stop Loss แต่การถือยาว จะใช้การกระจายความเสี่ยง ในการกำหนด % ในการซื้อหุ้นแต่ละตัวให้เหมาะสม ไม่เสี่ยงในหุ้นตัวไหนเกิน จนพอร์ตโย้


6. ‘สภาพคล่องของหุ้นตัวนั้นๆ เป็นปัจจัยสำคัญที่บอกว่าเราควรเทรด หรือถือ’ …หุ้นที่สภาพคล่องต่ำ จริงๆ ไม่ควรเทรด เพราะ อาจทำให้เราติด และไม่สามารถ Stop Loss ในจุดที่เรากำหนด ทำให้ขาดทุนหนักได้


7. ‘หุ้นที่สภาพคล่องต่ำ ถือยาว อาจช่วยให้กำไรได้มากขึ้น‘ …หลายคนเห็นหุ้นบางตัว สภาพคล่องต่ำ ไม่ค่อยมีการซื้อขาย แต่จริงๆ หุ้นแบบนี้ ถ้าเราจับจังหวะดี ก็กำไรได้เยอะเหมือนกัน ….แนวคิดนี้คือ ‘ซื้อหุ้นตอนซื้อยาก แล้วถือไปขายตอนขายง่าย‘ นั่นเอง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

7 ความแตกต่างระหว่าง ลงทุนหุ้นไทย กับ หุ้นโลก

 7 ความแตกต่างระหว่าง ลงทุนหุ้นไทย กับ หุ้นโลก


1. ‘Level Playground’ …เดิมทีคนที่สามารถไปลงทุนต่างประเทศต้องเป็นคนรวยมากๆ ใช้เงินเยอะ แต่ปัจจุบันไม่ใช่แล้ว ใครก็เริ่มลงทุนได้หมด


2. ’หุ้นต่างประเทศ เวลาเติบโตมันไปหลายเด้งๆ มาก’ …ยกตัวอย่าง อเมริกาและจีน ที่เขาขายสินค้าไปทั่วโลก ..หุ้นเลยสามารถโตได้เป็น 100 เป็น 1,000 เท่า ในขณะที่หุ้นไทย ส่วนใหญ่คือขึ้นลงเป็นรอบ เพราะเราไม่ได้ Scale ได้ขนาดนั้น


3. ’ความหลากหลายในสินทรัพย์ที่ลงทุน‘ …ในต่างประเทศมีสินทรัพย์ที่หลากหลายกว่า แต่เราก็ต้องศึกษาหาความรู้ที่เยอะกว่า


4. ‘รอบ ที่ไม่เหมือนกัน’ …การลงทุนระยะยาวต้องยอมรับว่า การซื้อต้นรอบ กับ การซื้อปลายรอบ ให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง …การไปลงทุนประเทศไหน จึงต้องดู‘รอบ’ให้ดี


5. ‘ค่าเงิน อัตราแลกเปลี่ยน มองข้ามไม่ได้’ …หลายคนตกม้าตาย เพราะ กำไรหุ้นแต่ขาดทุนค่าเงิน …ค่าเงินคือภาพใหญ่ของเศรษฐกิจ ต้องศึกษาให้ดี


6. ’เรื่องของภาษี ที่ต้องดู‘ …การเสียภาษี ในสินทรัพย์บางอย่าง อาจทำให้ไม่คุ้มในการลงทุน เราต้องประเมินความคุ้มในเรื่องภาษีให้ดีด้วย


7. ‘Geopolitic การเมืองเรื่องใกล้ตัว’ …ทุกวันนี้การเมืองระหว่างประเทศ จะมีผลในการลงทุนระยะยาวอย่างมาก เพราะ มันคือเทรนด์การลงทุนในภาพใหญ่


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2567

7 ข้อ ควรรู้ ธุรกิจแบบไหน ไม่โดน Disruption

 7 ข้อ ควรรู้ ธุรกิจแบบไหน ไม่โดน Disruption


1. ‘ธุรกิจผูกขาด‘ …อันนี้เฉพาะบ้านเรา มีธุรกิจแบบนี้เยอะ …มีทั้งพลัง อำนาจ บารมี 


2. ‘ธุรกิจที่ Scale ยาก‘ …ธุรกิจขยายยาก ไม่มีคู่แข่งอยากเข้ามา 


3. ’ธุรกิจตกยุค แต่คนยังต้องใช้’ …เช่น น้ำมัน โรงกลั่น พวกนี้ ไม่ค่อยมีเม็ดเงินใหม่เข้ามาลงทุน


4. ‘ธุรกิจที่ควบคุมต้นทุนได้ยาก‘ …พวกธุรกิจ อาหาร การเกษตร …ต้นทุนขึ้นกับธรรมชาติ ควบคุมได้ยาก


5. ‘ธุรกิจที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะ’ …พวกนี้เช่น การแพทย์ …งานความงาม …งานศิลปะ อันนี้อยู่ที่ฝีมือ ไม่ใช่ใครจะเข้ามาแข่งได้ง่ายๆ 


6. ’ธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนมหาศาล’ …พวกที่ลงทุนเยอะ ต้องใช้เงินกู้เยอะ …ยุคดอกเบี้ยสูง ไม่มีใครอยากลงทุน


7. ‘ธุรกิจที่มีผลกระทบกับชุมชนเยอะๆ’ …พวกอภิมหาโปรเจค เช่น ระบบขนส่งสาธารณะ , เขื่อน , โรงไฟฟ้า นิวเคียร์ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

7 ข้อ ต้องรู้ในการตีราคาหุ้นไทยกันใหม่

 7 ข้อ ต้องรู้ในการตีราคาหุ้นไทยกันใหม่ 


1. ‘P/E ตลาดที่ลดลง’ …แปลว่า ถูกลงพร้อมกันทั้งตลาด


2. ‘หุ้น Growth โดนลงโทษ‘ ..ในตลาดขาขึ้น P/E 30 เท่า อาจเป็นเรื่องปกติ …ในขาลง P/E 10 ก็เป็นเรื่องปกติ …แปลว่า หุ้นลงได้ 3 เท่า โดยที่พื้นฐานไม่เปลี่ยน


3. ’ปันผล Yield ช่วยค้ำราคาหุ้น’ …ในตลาดขาลง หุ้นที่ราคาแข็ง ไม่ลงหนัก คือ หุ้นที่ปันผลสูง


4. ‘หุ้นที่ไม่มีสภาพคล่อง ราคาจะไม่สะท้อนพื้นฐาน’ …หุ้นที่ไม่มีสภาพคล่องหรือหุ้นเบา อาจมีราคาที่แกว่งแบบไม่สอดคล้องกับพื้นฐาน


5. ‘ต้องประเมินในเชิงคุณภาพมากกว่าตัวเลข‘ …ตรงนี้ใช้ศิลปะกับประสบการณ์ในการมองธุรกิจมากขึ้น


6  ’หนี้เป็นส่วนที่ต้องระวังเป็นพิเศษ‘ …ในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น ต้องระวังบริษัทที่มีหนี้เยอะๆ เพราะต้นทุนการเงินสูงขึ้น จนอาจเป็นวิกฤตได้เลย


7. ’พยายามอ่านเกมของผู้ถือหุ้นใหญ่’ …อ่านให้ออกว่า เราอยู่ฝั่งเดียวกับผู้ถือหุ้นใหญ่


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2567

7 สิ่ง ที่เปลี่ยนไปในการปั้นธุรกิจเข้าตลาดหุ้น

 7 สิ่ง ที่เปลี่ยนไปในการปั้นธุรกิจเข้าตลาดหุ้น


1. ‘ธุรกิจขนาดเล็กจะเข้าตลาดยากขึ้นเรื่อยๆ’ …เพราะกฏเกณฑ์การเข้าตลาดยากขึ้น 


2. ‘ผู้บริโภคยุคใหม่เปลี่ยนใจเร็ว‘ …ทำให้ไม่สามารถรักษาทั้งยอดขายและกำไรให้ยั่งยืนแบบธุรกิจสมัยก่อน


3. ‘ธุรกิจยุคใหม่ไม่มีปราการ‘ …เดี๋ยวนี้คู่แข่งเกิดง่าย เกิดเร็ว ทำอะไรดีจะโดนเลียนแบบ และตัดราคาทันที


4. ‘คู่แข่งจากต่างประเทศ’ ..ทั้วโลกสามารถดั้มทั้งสินค้าและบริการ ในราคาที่โหดมาก


5. ‘สายป่านไม่ยาวพอ‘ …การเข้าตลาดวันนี้ใช้เวลานานขึ้น กฏระเบียบมากขึ้น ทั้งหมดคือค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น …ถ้าเงินไม่พอ ก็ไปไม่ถึงฝั่ง


6. ‘ขาดที่ปรึกษา และคนสนับสนุน’ …การมีที่ปรึกษาจะช่วยให้ผ่านเวลาที่ยากลำบาก ..อันนี้รวมถึงเงินทุน ในวันที่เกิดปัญหาระหว่างทางด้วย


7. ’มูลค่าที่ตลาดให้ น้อยกว่าที่เป็นอยู่’ …หลายครั้งที่ธุรกิจนอกตลาด ระดมทุนจนมูลค่ามากกว่าบริษัทในตลาด …อันนี้ก็ทำให้ไปต่อยาก เพราะ ทั้งเจ้าของและนักลงทุน ไม่มีใครอยากลดมูลค่าธุรกิจลง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2567

6 ข้อ ที่ทำให้คนอายุน้อยรวยเร็วที่สุด

 6 ข้อ ที่ทำให้คนอายุน้อยรวยเร็วที่สุด


1. ‘เริ่มทำงาน Part-time ตั้งแต่อายุน้อย‘ …การทำงาน Part-time ไม่ได้ทำให้รวย แต่จะทำให้เราเห็นค่าของเวลา


2. ‘เก็บเงินก้อนแรก เพื่อลงทุนให้เร็วที่สุด‘ …สิ่งที่สำคัญมากของการลงทุน คือ เงินก้อนแรก แล้วลงทุนให้เร็วที่สุด …ไม่ใช่เพื่อรวย แต่เพื่อเข้าใจตลาดทุนให้เร็วที่สุด


3. ’ฝึกลงทุนระยะสั้น โดยเลือกสิ่งที่เสี่ยงเยอะๆ’ …เป้าหมายก็ไม่ใช่เพื่อรวย แต่เพื่อค้นหาแนวทางที่เหมาะกับเราที่สุด …การเลือกสิ่งที่เสี่ยง เราจะมีโอกาสได้ Big Shot มากกว่าสิ่งที่ไม่เสี่ยง


4. ‘เก็บสะสมกำไรจากการลงทุนที่เสี่ยง แบ่งมาลงทุนระยะยาว‘ …ถอนกำไรจากสิ่งที่เสี่ยงมาก มาในสิ่งที่ยั่งยืนมากขึ้น


5. ’เลือกแนวการลงทุนที่เราถนัดสุด แล้วทุ่มไปที่จุดนั้น’ …ถึงจุดนี้ คุณต้องรู้แล้วว่า แนวไหนที่เราลงทุนได้ดี แล้วทุ่ม Focus ไปที่ตรงนั้น


6. ‘ให้รางวัลตัวเองให้ช้าที่สุด‘ …จะให้รางวัลตัวเองก็ต่อเมื่อเราเอาเงิน Passive Income จากการลงทุนมาซื้อ เช่น เอาปันผลมาใช้ หรือ ตัดกำไรมาใช้เมืีอพอร์ตเราโตถึงระดับนึงแล้ว


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

7 จุด ทางออกเศรษฐกิจไทยทั้งรายใหญ่และรายย่อย

 7 จุด ทางออกเศรษฐกิจไทยทั้งรายใหญ่และรายย่อย


1. ‘การลดดอกเบี้ยของไทย’ …ประเทศไทยมีปัญหาเงินกู้ ไม่ได้มีปัญหาเงินเฟ้อแบบอเมริกา ดังนั้น การลดดอกเบี้ยจะช่วยให้ทั้งธุรกิจและประชาชน ให้สบายขึ้น


2. ‘การตั้ง Sovereign wealth Fund ของแบงค์ชาติ’ …ตัวอย่างคือ สิงค์โปร์ที่เอาเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก ทำให้ประเทศเขาร่ำรวยมาก …ส่วนของไทย เราควรเอาเงินตรงนี้มาลงในสินทรัพย์ของไทย อย่างเช่นตลาดหุ้นที่เวลานี้ราคาถูกมาก


3. ’การสอนเรื่องการเงินในโรงเรียน‘ …ความรู้ทางการเงินของคนรวยเริ่มที่บ้าน และ ต่อไปที่โรงเรียน …สร้าง Mindset ที่ถูกต้อง …รายรับ รายจ่าย หนี้ และ การลงทุน ต้องสอนตั้งแต่เด็ก


4. ’การตั้งเป้าอาชีพใหม่ของคนไทย‘ …อย่างรัฐบาลจีน เขามีการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลให้เงินสนับสนุน …ทำให้อาชีพใหม่ๆ เกิดขึ้นง่ายกว่าบ้านเรา


5. ’การสนับสนุนให้เกิด R&D และ Start up’ …ให้สามารถมาลดภาษีได้ แบบการบริจาค …ตรงนี้ก็จะช่วยให้เรามี S-Curve ใหม่ๆ ได้


6. ’ส่งเสริมธุรกิจขนาดเล็ก และเงินทุนเริ่มต้นของธุรกิจเหล่านี้‘ …ในต่างประเทศเขามี Private Equity หรือ Angle Investor ที่คอยสนับสนุนธุรกิจเล็กที่จิ๋วแต่มีอนาคต …จุดนี้แหละที่ทำให้เขามีธุรกิจนางฟ้ายักษ์ใหญ่ในวันนี้


7. ‘ส่งเสริมการลงทุนในประเทศ’ …ทุกวันนี้คนไทยหนีไปลงทุนต่างประเทศกันหมด …เราต้องสนับสนุนให้ลงทุนในประเทศ …เช่น ลดภาษีการลงทุนในประเทศ และ สิทธิพิเศษต่างๆ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

7 ข้อ คิดลงทุนแบบคนมีเงิน ทำได้ตั้งแต่เรายังไม่มีเงิน

 7 ข้อ คิดลงทุนแบบคนมีเงิน ทำได้ตั้งแต่เรายังไม่มีเงิน


1. ‘มองที่ความเสี่ยง ก่อนมองผลตอบแทน‘ …ถ้าเราซื้อหวย แปลว่า เรามองผลตอบแทนมากกว่าความเสี่ยง เพราะ มันไม่คุ้มเสี่ยง แต่ผลตอบแทนมันเยอะ


2. ’รู้ก่อนว่าอะไรที่เราควบคุมได้ กับอะไรที่เราควบคุมไม่ได้‘ …สิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ คือ ราคา เพราะมันขึ้นอยู่กับตลาด …แต่ที่เราควบคุมได้ คือ เงินลงทุนของเรา …มันต้องเริ่มจาก Money Management ของเราก่อนเลย


3. ’กล้าทำตามแผนที่เราวางเอาไว้‘ …ถ้าเรากล้าทำตามแผน เราจะเสียหายจำกัด …แต่ถ้าไม่ทำตามแผน เราจะเริ่มเสียหายอย่างไม่จำกัด 


4. ‘ไม่มีอะไรฟรี …ของดีที่ไม่เสี่ยง มันเสี่ยงที่สุด’ …ถ้าเรากำลังลงทุนเพราะ เหตุผลที่มันดีและไม่มีความเสี่ยง …มันแปลว่า เรากำลังไม่เข้าใจความเสี่ยง และจุดนั้นแหละ เสี่ยงที่สุด …ส่วนใหญ่ที่โดนหลอก แชร์ลูกโซ่ ก็เพราะเหตุผลนี้


5. ’เวลาเสียหาย อย่าเพิ่งรีบเอาคืน’ …ถ้าเราอยากรีบเอาคืนหลังจากที่เราเสีย ส่วนใหญ่จะทำให้เราเสียหนักขึ้น …หลักๆ เพราะ เราเสี่ยงมากขึ้น และ เราก็ประมาท (คล้ายๆ กับ อย่าพูดอะไรเวลาโมโห เพราะ เรามักโชว์โง่ และทำให้ทุกอย่างมันแย่ลงไปอีก) 


6. ‘การกู้ หรือการ Leverage ทำได้เวลาเราได้เปรียบเท่านั้น’ …เวลาเราเสียเปรียบ การ Leverage จะยิ่งทำให้ Double Down คือ ย่ำแย่ลงไปอีก …ถ้าให้ดีที่สุด อย่ากู้เลย


7. ‘ต้องมีเงินก๊อกสุดท้ายเสมอ ไม่ว่าสถานการณ์จะแย่แค่ไหนก็ตาม‘ …ถ้าเทียบกับรถ ก็คือ ไม่เคยปล่อยให้น้ำมันแห้งถัง 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

7 ข้อ ทำไมเวลานี้สินทรัพย์ต่างๆ ถึงราคาลง …แล้วมันจะขึ้นเมื่อไหร่ ?

 7 ข้อ ทำไมเวลานี้สินทรัพย์ต่างๆ ถึงราคาลง …แล้วมันจะขึ้นเมื่อไหร่ ?


1. ’ราคาสินทรัพย์ขึ้นอยู่กับ Demand & Supply’ …ถ้ามีคนต้องการซื้อเยอะ Demand เยอะ แต่ของน้อย ราคาก็จะขึ้นเหมือนนาฬิกาหรูก่อนหน้านี้


2. ’การขึ้นดอกเบี้ยของอเมริกา ทำให้เงินไหลไปที่อเมริกา’ ….พอดอกเบี้ยอเมริกาสูง นักลงทุนทั่วโลกก็โยกเงินกลับอเมริกา ไปรับดอกเบี้ยสูงๆ ความเสี่ยงต่ำ ..ประเทศอื่นจึงเกิดภาวะ เงินไหลออก บวกกับ ค่าเงินอ่อน


3. ’พอเงินไหลออก ค่าเงินก็อ่อน …คราวนี้ของนำเข้ายิ่งแพง’ …ค่าเงินก็ขึ้นกับ Demand & Supply เหมือนกัน ถ้าประเทศไหนเงินออกเยอะๆ ค่าเงินก็จะอ่อน …คราวนี้ของนำเข้าก็ยิ่งแพง …ใครพึ่งการนำเข้าเยอะๆ ก็จะซวย กดดันค่าครองชีพแพงเข้าไปอีก


4. ’พอราคาสินทรัพย์ลง คนจะแห่ขายซ้ำ‘ …หลักๆ มาจากหนึ่ง คนเงินหมด(ขาดสภาพคล่อง) ก็ขายออกมา …สอง คนกลัวราคาลงก็ขายเหมือนกัน ยิ่งซ้ำให้ราคาลงหนัก เป็น Price Spiral ‘ลงหนักเลย!!’ 


5. ’คนจะซื้อก็ยังไม่ซื้อ เพราะอยากให้ราคาถูกที่สุดก่อน‘ …จริงๆ คนมีเงินเขาก็รอซื้อ แต่ทุกคนก็ รอ รอ รอ …ทำให้ Demand ในการซื้อก็ไม่มี เกิดภาวะ Volume การซื้อขายหาย ….นี่คือ สูญญากาศขาลง ’ความเบา‘


6. ’ความเบา จะเกิด 2 ช่วง คือ Bubble กับ Crash’ …ช่วงเบาคือ ช่วงราคาไม่สะท้อนพื้นฐานที่แท้จริง …อย่างในขาลง ราคาก็จะลงต่ำกว่าความเป็นจริง จึงเป็นโอกาสให้สามารถซื้อของได้ถูกกว่าพื้นฐาน


7. ’ถ้าอเมริกาลดดอกเบี้ย ภาวะต่างๆ ก็จะเริ่มสวนทาง‘ …คราวนี้เงินก็จะไหลออกจากอเมริกา …ค่าเงินดอลลาร์ก็จะอ่อนลง …เงินก็จะกระโดดไปหาสินทรัพย์ใหม่ลงแทน


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

7 เรื่อง ที่ทำให้หุ้นไทยย่ำแย่ถึงปัจจุบัน

 7 เรื่อง ที่ทำให้หุ้นไทยย่ำแย่ถึงปัจจุบัน


1. เจ้าของเอาหุ้นตัวเองไปตึ้ง …คือเอาหุ้นไปค้ำประกัน แล้วเอาเงินที่กู้ออกมา ส่วนใหญ่ใช้ในทางที่ไม่ส่งผลดีต่อหุ้น


2. ส่วนต่างดอกเบี้ยอเมริกากับเรา …อเมริกาขึ้นดอกเบี้ยเร็ว ถึงตอนนี้ก็มากกว่าเราประมาณ 2 เท่า …ทำให้เงินไหลไป US …เงินบาทก็อ่อน …เงินทุนก็ไหลออกจากบ้านเรา


3. หุ้นบ้านเราเน้น Money Game มากเกินไป …ผู้บริหารสนใจราคาหุ้นมากกว่าธุรกิจจริงๆ …ทำให้หุ้นขาด Growth ที่แท้จริงในระยะยาว


4. ธุรกิจออกนอกความถนัด …ทุกวันนี้หลายๆ ธุรกิจวิ่งตามกระแสมากเกินไป ไปทำธุรกิจที่ไม่ถนัดหรือไม่เกี่ยวข้อง เลยเสียหาย


5. นักลงทุนเล่นสั้นมากเกิน …ทุกวันนี้นักลงทุนระยะยาวหายไปเรื่อยๆ ก็ทำให้ตลาดขาดสมดุลย์ …ส่งผลให้ราคาหุ้นผันผวนมากขึ้น แกว่งขึ้นว่างั้น


6. เครื่องมือในการ Leverage มีเพิ่มขึ้น …จริงๆ ทุกอย่างมี 2 ด้าน การมีเครื่องมือ Leverage เล่นได้ทั้งขาขึ้นขาลง และ ใช้เงินน้อยเล่นเงินใหญ่ มันแสดงว่าตลาดเราพัฒนาแล้ว แต่อีกมุมคือ เวลาขาลงมันเลยมีการ Short เละเทะแบบปัจจุบัน


7. การตกแต่งบัญชี …อันนี้ทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น …ถ้าไม่มีการลงโทษที่รุนแรง ปัญหาก็คงไม่สามารถแก้ได้


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

6 หลัก ลงทุนที่ช่วยให้เรารวยได้เร็วและง่ายขึ้น ณ บัดนาว !!

 6 หลัก ลงทุนที่ช่วยให้เรารวยได้เร็วและง่ายขึ้น ณ บัดนาว !!


1. ‘ลงทุนในสินทรัพย์ด้วยเงินส่วนใหญ่’ …แทบจะตลอดเวลา เพราะ เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะขึ้น แต่ถ้ามันขึ้นต้องมีเราว่างั้น (All-in)


2. ‘จังหวะซื้อสำคัญกว่าจังหวะขาย‘ …ถ้าเรารวยแล้ว จังหวะขายสำคัญ …แต่ถ้าเรากำลังจะสร้างตัว จังหวะซื้อสำคัญกว่า (Entry) 


3. ‘แยกแยะให้ออกระหว่างช่วงฮิตกับช่วงไม่ฮิต’ …การซื้อที่ดี คือ ช่วงไม่ฮิต จะได้ราคาถูกกว่าเสมอ (Bottom Fishing)


4. ‘บริหารสภาพคล่อง ห้ามช็อตเด็ดขาด‘ …ช่วงที่เราจะต้องขายของดี ในราคาถูก ก็เพราะ เราขาดสภาพคล่อง …ต้องบริหารให้เงินไม่ขาดมือ (Liquidity is King)


5. ‘โอกาสอยู่ในความไม่ชัวร์ ไม่ใช่สิ่งที่ชัวร์‘ …ถ้าเราหวังผลตอบแทนเยอะ มันจะมาจากสิ่งที่ยังไม่ชัวร์ …รอบแรก ต้นรอบ ดูเสี่ยงเสมอ แต่ผลตอบแทนเยอะ


6. ’ห้ามตาย และ ห้ามเลิก ลงทุน’ …พวกที่ตายคือ Over Leverage แล้วดันไม่มีจุด Cut Loss …ดังนั้น บริหารให้ดี …ถ้าแพ้ ก็ห้ามเลิก ต้องสู้ต่อ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

7 ข้อ ควรรู้ในเรื่อง Money Game กับ Fundamental

 7 ข้อ ควรรู้ในเรื่อง Money Game กับ Fundamental 


1. ‘หุ้นที่เน้น Money Game มักเป็นหุ้นที่พื้นฐานคลุมเครือ’ …ถ้าธุรกิจไม่ได้ดี ก็มีแนวโน้มที่เจ้าของ สนใจการหาเงินจากหุ้น มากกว่าทำธุรกิจ


2. ’ธุรกิจไม่มีการเติบโต’ …ถ้าธุรกิจไม่โต หรือ อยู่ในอุตสาหกรรมที่โตยาก ก็มีแนวโน้มที่เจ้าของจะไปเน้น Money Game …ขยายมั่ว ซื้อมั่ว ในสิ่งที่ไม่ถนัด อาจนำไปสู่หายนะธุรกิจ


3. ‘กู้จากแหล่งเงินทุน ไม่ปกติเยอะ‘ …กู้จากสถาบันต่างชาติ กู้จากรายย่อย โดยใช้หุ้นมาค้ำประกัน …ตรงนี้เป็นการเพิ่มความเสี่ยง หากบริหารไม่ดี (เงินง่าย ก็พังง่าย)


4. ‘เจ้าของสนใจราคาหุ้นมากเกินไป’ …อาจใช้กลไกการ Leverage ในแบบต่างๆ เพื่อพยุงหุ้น หรือ แม้กระทั่งลากราคาหุ้นตัวเอง


5. ‘ปันผลน้อยเกินไป‘ …จริงๆ ถ้าเจ้าของถือเยอะๆ เขาย่อมอยากปันผลสูงๆ …แต่ถ้าเจ้าของถือน้อย เขาอาจเอาเงินไปทำอย่างอื่น


6. ‘Money Game มักเกิดในจุดที่ตลาดใกล้เปลี่ยนทิศทาง’ …ก็คือช่วง ตลาด Bubble ก็จะมีการใช้ Money Game ลากหุ้นขึ้นไปเยอะๆ …หรือ ช่วงตลาดแย่มากๆ ก็จะมีการทุบหุ้น เหยียบซ้ำ 


7. ‘ผู้ชนะ คือ คนที่เรียนรู้ และอยู่ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง’ …สุดท้ายตลาดย่อมวิ่งเป็นวัฏจักร การเรียนรู้ และ สังเกต จะทำให้เห็นโอกาส …ส่วนความอึด จะช่วยให้เรารวย


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

7 เรื่องแปลก ที่เกิดกับตลาดหุ้นไทยในเวลานี้ จาก Short Sell สู่ Force Sell

 7 เรื่องแปลก ที่เกิดกับตลาดหุ้นไทยในเวลานี้ จาก Short Sell สู่ Force Sell


1. ‘การที่เจ้าของและรายใหญ่เอาหุ้นไปตึ้ง‘ …หุ้นก็เหมือนสินทรัพย์ประเภทนึง ที่เจ้าของสามารถเอาไปค้ำประกันเงินกู้


2. ’ราคาหุ้นลงหนัก แต่เจ้าของไม่สามารถหาหลักประกันมาเพิ่ม‘ …เพราะเจ้าของอาจเอาเงินที่กู้ไปลงทุนในสิ่งที่ไม่มีสภาพคล่อง จึงไม่สามารถขายเอาเงินมาคืน …นี่คือ ’จุดเป้าหมายของการโดนโจมตี Short Sell เพื่อทำกำไรขาลง‘ 


3. ’นักลงทุนกลัว จึงไม่มีใครกล้าซื้อหุ้นแม้จะราคาถูก‘ …ใช่!! ภาวะ Volume หาย …ก็เหมือน ’หุ้นเบา ในขาลง‘ …คือ ขายหุ้นไม่เยอะ แต่สามารถทำให้ราคาลงหนักได้ (ลักษณะแบบนี้จะเกิดเวลา Volume การซื้อขายหายไป ตอนตลาดขาดความเชื่อมั่น)


4. ‘เกิดเป็นภาวะลูกโซ่ สำหรับการโจมตีหุ้น’ …ภาวะแบบนี้ ทำให้เกิดการโจมตีหุ้นได้ง่ายๆ …เป็นโอกาสสำหรับคนที่ผสมโรง ทำกำไรขาลง


5. ’ความเสี่ยงในการโดน Force sell’ …ถ้าราคาหุ้นลงถึงจุดนึง คนปล่อยกู้อาจทำการ Force Sell หุ้นที่เจ้าของเอามาค้ำประกัน ทำให้หุ้นลงเละเทะ เพราะ เขาขายหุ้นทิ้งทุกราคาเพื่อเอาเงินไปล้างหนี้


6. ’เจ้าของเสียหุ้นมหาศาล จนอาจเสียความเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่‘ …จุดนี้อาจทำให้เจ้าของทิ้งบริษัท หากธุรกิจไม่ได้ดีจริง …งั้นก็ทิ้งบริษัทไปเลย


7. (สรุป) : ‘จุดนี้เป็นโอกาสหรือวิกฤต ขึ้นกับพื้นฐานบริษัท‘ …หากบริษัทดี การที่ราคาลงแบบนี้ ทำให้สามารถซื้อได้ถูกสุดๆ …แต่ถ้าพื้นฐานไม่ดี หุ้นอาจพังไปเลย เพราะ เจ้าของก็ทิ้งหุ้น หนีไปเลย


โหดจริง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม




วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2567

6 ข้อควรรู้ เมื่อตลาดหุ้นถึงเวลาหาช้างเผือก

 6 ข้อควรรู้ เมื่อตลาดหุ้นถึงเวลาหาช้างเผือก


1. ‘ช้างเผือกอยู่ในป่า ไม่ได้อยู่ในที่แจ้ง‘ …อย่าไปหาหุ้นช้างเผือกจาก Social เพราะจะเจอช้างเหยียบแทน


2. ’Volume แห้งพอหรือยัง‘ …Volume ที่แห้ง มันแสดงถึงจุดที่คนขาย ได้ขายหมดแล้ว 


3. ’อ่านนิสัยเจ้าของผ่านกราฟหุ้นในอดีต’ …เขาบอกว่าถ้าอยากรู้อนาคตให้ศึกษาอดีต …ขุดเข้าไป


4. ‘ตีความสัดส่วนการถือหุ้นของเจ้า’ …อันนี้ยาก เพราะ เขาอาจใช้ชื่อคนอื่นถือ …ข้อนี้สำคัญ เพราะ ถ้าเจ้าถือน้อย อาจต้องระวังเรื่องเพิ่มทุน ดูดเงินนักลงทุน


5. ’มองอนาคตจริงๆ ของธุรกิจ‘ …อันนี้ไม่ได้มองแค่งบละ ต้องรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่หาได้ เพื่อมาตีความอนาคต


6. ’ขาลงให้กระจาย ส่วนขาขึ้นให้กระจุก‘ …ขาลงของตลาดเราต้องกระจายความเสี่ยง แต่ถ้าขาขึ้นกลับมาต้อง Focus ถึงจะรวย


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2567

6 ข้อควรรู้ ในการเป็นคนที่ Street Smart ที่ไม่ใช่แค่เก่งวิชาการ

 6 ข้อควรรู้ ในการเป็นคนที่ Street Smart ที่ไม่ใช่แค่เก่งวิชาการ


โลกทุกวันนี้คนเก่งวิชาการอาจสู้คนเก่งที่ล้มลุกคุกคลานในโลกจริงๆ ไม่ได้ 


1. ‘Academic Smart คือการท่องจำ …ส่วน Street Smart คือการลงมือทำ’ …การท่องจำเป็นแค่จุดเริ่มต้น แต่ของจริงคือการลงมือทำ


2. ’ความกล้า คือประตูสู่ Street Smart’ …กล้าเรียนรู้และทดลองสิ่งใหม่ๆ เป็นก้าวแรกที่เปิดโลกของ Street Smart


3. ‘การจำกัดความล้มเหลว จะช่วยให้เรียนรู้ได้ไว‘ …ความเสียหายมี 2 แบบ คือ หนึ่ง เสียหนัก อันนี้ทำให้เราช้า ไปต่อยาก …สอง เสียน้อย อันนี้ทำให้เราลุกได้ไว ไปต่อได้ทันที


4. ’การเรียนรู้จากข้อผิดพลาด’ …การทำสิ่งใหม่ ย่อมพลาดมากกว่าสำเร็จ …ต้องถามว่า เราได้เรียนรู้อะไรเพิ่ม แล้วสะสมองค์ความรู้นั้น


5. ‘ต้องหาเพื่อนแนวเดียวกัน’ …เวลาเราพลาด เรามักท้อ จนไม่อยากไปต่อ …เราจึงต้องรายล้อมไปด้วยเพื่อนที่เป็นแนวเดียวกัน จะได้ช่วยประคองกันลุยต่อไป


6. ‘ต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควรหยุด หรือเมื่อไหร่ต้องไปต่อ‘ …อันนี้ยากสุด เพราะหลายๆ ครั้งความสำเร็จ เกิดจาก ดันทุรัง จนเจอความสำเร็จ …แต่ก็ต้องรู้ว่า จุดที่ควรยอมแพ้ มันอยู่ตรงไหนด้วย


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2567

6 หลักการ ที่คนอยากเปลี่ยนอาชีพควรรู้

 6 หลักการ ที่คนอยากเปลี่ยนอาชีพควรรู้


1. ‘อาชีพใหม่ต้องการทักษะใหม่‘ …ต้องกระโดดเข้าไปเรียนรู้ในสายงานที่เราอยากจะไป


2. ‘เริ่มทดลองทำจริงๆ เลย’ …ลองเลย แต่พยายามใช้เงินน้อยๆ …เพราะ มือใหม่มักเสียหายเป็นเรื่องปกติ


3. ‘หาเพื่อน หรือรุ่นพึ่ที่อยู่ในงานนั้นๆ’ …การเรียนรู้จากคน จะได้ประสบการณ์จริง ที่ในตำราไม่มีสอน


4. ‘พยายามหาจุดที่ เสี่ยงสูง ผลตอบแทนสูง‘ …พูดง่ายๆ หาจุดที่คู่แข่งน้อย ทำให้เรามีโอกาสเกิดได้มากกว่า


5. ’พยายามแชร์ความรู้ให้คนอื่น’ …ยุคนี้คือเราทำ Social ไปด้วย แชร์สิ่งที่เราเรียนรู้ให้คนอื่น …มันทำให้เราแม่นขึ้น เพราะได้ทบทวน 


6. ’ต้องมี license หรือสิ่งที่ต้องมีในงานนั้นๆ‘ …สอบให้ผ่านว่างั้น …อยากเปลี่ยนอาชีพจริง ก็ต้องตั้งใจจริง แค่นั้นเลย


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 ข้อ ที่ต้องเรียนรู้ เพื่อการมีอิสระภาพทางการเงินให้เร็วที่สุด

 6 ข้อ ที่ต้องเรียนรู้ เพื่อการมีอิสระภาพทางการเงินให้เร็วที่สุด


1. ‘อิสระในชีวิตไม่มีอยู่จริง มีแค่อิสรภาพทางการเงิน‘ …ถ้าเราผูกเวลาของเรากับการหาเงิน เราจะไม่มีทางมีอิสรภาพทางการเงิน


2. ’ต้องพัฒนาสิ่งที่เราทำได้ดี ให้โคตรดี เสริมไปที่จุดแข็ง’ …การเสริมจุดแข็ง จะทำให้เราเป็นเบอร์ต้นๆ ในสิ่งที่เราถนัด และนั่นจะทำให้เรามีรายได้สูงและโอกาสดีๆ ในชีวิต


3. ’เป็นคนเรียบง่าย เลือกเฉพาะสิ่งที่จำเป็นต่อเราจริงๆ‘ …เราไม่สามารถซื้อทุกอย่างที่เราอยากได้ มันสร้างภาระ …ถามตัวเองจริงๆ ว่าอะไรสำคัญต่อเรา นอกนั้นอย่าซื้อ (ของถูกทุกอย่างคือขยะ ของแพงทุกอย่างคือภาระ) 


4. ‘อย่าวิ่งเข้าหากระแสหลัก เพราะมันคือฟองสบู่’ …ทุกวันนี้ทุกคนพยายามวิ่งเข้าหาสิ่งที่เป็นกระแส เพราะมันเท่ห์ แต่จุดนั้นมีคู่แข่งเยอะ และไม่ทำให้เราโดดเด่น (ถ้าเราไม่ได้เข้าตอนที่ยังไม่เป็นกระแส แปลว่าเราเข้าช้าไปแล้ว)


5. ‘ลงทุนในสิ่งใหม่ๆ ที่มันแก้ปัญหาให้คนจริงๆ‘ …สิ่งใหม่เป็นเรื่องที่อึดอัด แต่การลงทุนในสิ่งใหม่ คือ ลงทุนในคน ในธุรกิจ ที่เขาทำในสิ่งนั้น เพราะเวลามันสำเร็จ มันให้ผลลัพธ์ที่ปัง อลังการมากๆ


6. ’เงินทุกบาท ให้ลงทุน ก่อนจะให้รางวัลตัวเอง’ …มีเท่าไหร่ให้ลงทุน เพราะ มันเป็นทางเดียวที่ทำให้เงินช่วยเราทำงาน ..การทำงานเพื่อเงินเป็นกับดัก การให้เงินทำงานเป็นทางรอด


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2567

6 ข้อ ควรรู้ ทำไม Startup ไทย ไม่กำไรแบบของต่างประเทศเขา

 6 ข้อ ควรรู้ ทำไม Startup ไทย ไม่กำไรแบบของต่างประเทศเขา


1. ‘วิธีทำธุรกิจของ Startup คือ ยอมขาดทุนวันนี้เพื่อกำไรในอนาคต‘ …เป็นวิธีทำธุรกิจที่แทบจะตรงข้ามกับ SME ที่เน้นทำกำไรตั้งแต่วันแรก ทำให้ SME โตช้า ธุรกิจค่อยๆ ไปแบบธุรกิจสมัยก่อน


2. ’การยอมขาดทุน แปลว่า ต้องไปหาเงินทุน มาทำธุรกิจ‘ …ส่วนใหญ่เงินทุนจาก Startup จะมาจาก แหล่งเงินทุนที่รับความเสี่ยงมากกว่า ธนาคารปกติ …เพราะ ต้องยอมขาดทุนก่อน …เงินจึงมาจากนักลงทุน เช่น Angle Investor , Private Equity , กองทุนเสี่ยงๆ


3. ’ตลาดของไทย ไม่ใหญ่เหมือน ต่างประเทศ’ …ต่างประเทศพอเขาสร้าง Business Model สำเร็จในอเมริกา เขาก็แค่ Copy แล้ว ขยายออกไปทั่วโลก สุดท้ายพอธุรกิจมีขนาดใหญ่ก็กำไรในที่สุด …แต่ของไทย เราทำได้แค่ตลาดในประเทศ (เราขยายออกไปยาก) 


4. ‘สามกำแพงทึ่ผ่านไปได้ยาก’ ..หนึ่ง ภาษา สอง ทักษะของคน และ สาม เงินทุน …เงินทุนในปัจจุบันเขามีทางเลือกให้ลงได้ทั้งโลก 


5. ‘การไม่มีตลาดทุนที่เอื้อ ให้ Startup สามารถ Exit’ …ตลาดหุ้นบ้านเรา ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจแบบเก่า ที่เน้นให้มูลค่ากับกำไรธุรกิจ P/E , Yield …ซึ่งทำให้ Startup ได้มูลค่าที่ไม่ดี ไม่มีนักลงทุนสนใจซื้อ


6. ‘การโดนแข่งขันจาก ผู้เล่นระดับโลก‘ …พวกธุรกิจ Startup ระดับโลก สามารถมาแข่งในบ้านเราสบายๆ …ซึ่งเราแทบไม่มีทางสู้ (ไม่เหมือนจีน ที่เขากัดกันบริษัทนอก แล้วมาดัน Startup ในแบบของจีน)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 สิ่งที่ควรรู้ ในโลกของ ‘เงินเฟ้อ และ ดอกเบี้ย‘ ที่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

 6 สิ่งที่ควรรู้ ในโลกของ ‘เงินเฟ้อ และ ดอกเบี้ย‘ ที่ใกล้ตัวกว่าที่คิด


1. ’เงินเฟ้อ น้อยๆ เป็นเรื่องดี’ …เงินเฟ้อเกิดจาก มีสินค้า น้อยกว่า คนอยากซื้อ …อารมณ์แบบเศรษฐกิจดีแล้วข้าวของแพงขึ้นนั่นแหละ 


2. ‘เงินเฟ้อถ้ามากเกินไป เศรษฐกิจจะพัง‘ …ถ้าข้าวของแพงขึ้นเยอะๆ (Demand > Supply) หรือ มีการพิมพ์เงินกระตุ้นเศรษฐกิจมากๆ อาจเลยเถิดไปเป็น Hyperinflation เงินเฟ้อรุนแรง เหมือน ที่เคยเกิดในประเทศลาตินอเมริกา


3. ‘อเมริกาพิมพ์เงินเยอะ ทำไมไม่เกิดเงินเฟ้อรุนแรง‘ …จริงๆ อเมริกา ก็เกิดเงินเฟ้อ แต่รัฐบาลเขาใช้การขึ้นดอกเบี้ย สะกัดความร้อนแรงของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ …พอขึ้นดอกเบี้ยมากๆ เงินก็จะเริ่มฟืดแทน เพราะคนต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงขึ้น


4. ’ดอกเบี้ย ขาขึ้นใครได้ประโยชน์‘ …การขึ้นดอกเบี้ยจริงๆ ทำให้ธุรกิจและคน มีภาระการจ่ายดอกเบี้ยที่สูง เศรษฐกิจจะแย่ ตลาดหุ้นก็จะแย่ เพราะ เงินหมุนเวียนน้อยลง …ธุรกิจที่พอจะได้ประโยชน์บ้างก็เช่น ธนาคาร และ ธุรกิจที่ไม่ได้มีหนี้สินเยอะ


5. ‘ดอกเบี้ยขาลง ใครได้ประโยชน์‘ …ถ้าคนและธุรกิจจ่ายดอกเบี้ยน้อยลง ก็จะมีเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น ดีต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น …ธุรกิจที่ได้ประโยชน์คือธุรกิจที่มีหนี้เยอะๆ เช่น อสังหา , พวกปล่อยกู้ที่ Fix ดอก อย่าง ผ่อนรถ , บัตรเครดิต


6. ‘ประเทศไทยเงินฟืด เศรษฐกิจไม่ดี ทำไมเขาไม่ลดดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจ‘ …จริงๆ รัฐบาล อยากลดดอกเบี้ยกระตุ้นเพราะ ทำให้เงินคล่องตัวขึ้น …แต่เราพิมพ์เงินแบบอเมริกาไม่ได้ การลดดอกเบี้ย อาจทำให้เงินทุนไหลออก …พอเงินไหลออก ค่าเงินบาทก็จะอ่อนค่า ทำให้เราซื้อของต่างประเทศ แพง …หลักๆ คือ ต้องซื้อพลังงานแพงขึ้น ของนอกแพงขึ้น


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

6 ข้อ ควรรู้ทันการ Corner หุ้น ที่เนียนกว่าปั่นหุ้นเยอะ

 6 ข้อ ควรรู้ทันการ Corner หุ้น ที่เนียนกว่าปั่นหุ้นเยอะ


1. ‘การ Corner หุ้น คือการเลือกหุ้นที่พื้นฐานดี แล้วซื้อดันราคาให้แพง‘ …แพงแล้ว แพงอีก …ไม่ผิดนี่ !! ’ของดี หุ้นดี มันต้องแพงซิ’


2. ’การ Corner หุ้น ไม่ใช่การซื้อๆ ขายๆ แต่คือการซื้อแล้วไม่ขาย‘ …การซื้อๆ ขายๆ ปั่นหุ้น มันไม่เนียน …การ Conner คือ ลากทะลุฟ้า …เป้าหมายคือ ราคาต้องไปไกล พุ่งจนคิดว่า ดีจริงๆ (หุ้นขึ้นคนจะมองว่าดี แต่หุ้นขึ้นชิหาย ขึ้นขี้แตก คนจะมองเป็นหุ้น Superstock)


3. ‘การ Corner หุ้นใช้เงินกู้ Margin ในสัดส่วนที่เยอะมากๆ‘ …จุดนี้คือความอันตราย เพราะ มันหมายความว่า ถ้ามีอะไรไม่คาดฝันเกิด อาจเกิด Margin Call หรือ Force Sell รายใหญ่ ทำให้ราคาหุ้นลงเละได้เลย


4. ‘การ Corner หุ้น ทำเป็นเวลานาน จนคนตายใจ คิดว่าดีจริง’ ….ถ้าทำสั้นๆ ก็เรียกปั่นหุ้น แต่ Corner หุ้น นี่ทำนานจนคนเชื่อว่า ‘หรือเราคิดผิด หุ้นมันดีจริงๆ แน่ๆเลย!!‘ 


5. ’การ Corner หุ้น มักทำสอดคล้องกับ การเติบโตของกำไรบริษัทแบบก้าวกระโดด’ …ถ้าลากหุ้นแล้วกำไรไม่โต มันก็คือการปั่นหุ้น …ดังนั้น งบต้องทำด้วย ทำให้มันโตสวย พุ่งแบบสุดๆ จะได้เนียน


6. ’ถึงเวลาทำกำไร ก็คือขาลงของหุ้น‘ …เวลาเขาทำกำไรหุ้นที่ Corner แบบสมบูรณ์แบบ ก็คือ ‘ขายขาลง‘ …งบโตต่อ แต่ไม้รู้ใครขาย Volume เยอะจริงๆ …แต่ที่รู้คือ รายย่อยรับเต็มๆ …หุ้นดี ลงมาให้รับแล้ว มารับกันเละๆ …เละ!!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

6 จุดตายของธุรกิจรุ่นใหม่ ที่ทำไมขายดีแต่เจ๊ง

 6 จุดตายของธุรกิจรุ่นใหม่ ที่ทำไมขายดีแต่เจ๊ง


1. ‘ไม่เข้าใจต้นทุนของตัวเอง’ …คนรุ่นใหม่มักเร่งขยายธุรกิจจนลืมต้นทุน …ยิ่งขยายกำไรเลยยิ่งลด จนสุดท้ายไม่กำไร (สัญญาณเตือนแรก คือ ยอดขายเพิ่ม แต่กำไรลด)


2. ‘ไม่รู้สิ่งที่ทำเป็นแค่แฟชั่น’(Overstock) …บางสินค้าต้องตีหัวเข้าบ้าน เพราะ กระแสมันสั้น …สุดท้ายจมอยู่กับสต๊อกที่สั่งมาเกินแล้วขายไม่ได้ เจ๊ง


3. ’เจ้าของสร้างหนี้ขยับฐานะเร็วเกินไป‘ …พูดง่ายๆ สร้างหนี้มาใช้ส่วนตัวเร็วเกินไป จนหมุนเงินไม่ทัน แล้วกระทบธุรกิจในที่สุด


4. ’ธุรกิจไม่ใช่แค่การขาย ต้องพัฒนาระบบด้วย’ …นักขายที่เก่ง จะลืมการสร้างระบบ เหมือน มัวแต่เติมน้ำใส่ถังแต่ไม่อุดรูรั่ว …ทำไปก็ไม่เหลือ


5. ‘เข้าไม่ถึงแหล่งทุนที่ดี‘ …แหล่งทุนที่สามารถช่วยเราเวลาฉุกเฉิน ไม่คาดคิด ก็คือจากนักลงทุน …นักธุรกิจต้องหานักลงทุนช่วยหนุนด้วย (ต้องสมดุลย์ เกินกู/เงินกู้/นักลงทุน)


6. ’ลืมมองหาสินค้าขายดีตัวต่อไป’(What’s Next?)…ธุรกิจยุคใหม่ต้องมองหา สินค้าขายดีตัวต่อไป เพราะไม่มีอะไรยั่งยืนในปัจจุบัน


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

9 ข้อ คนรวยรุ่นใหม่ เขารวยจากอะไรกัน

 9 ข้อ คนรวยรุ่นใหม่ เขารวยจากอะไรกัน 


1. ‘รวยจากความดัง‘ …ยุคนี้เราปั้นตัวเองได้ด้วย Social ..ใช้ความความดังหาเงิน


2. ’ทำของแปลกใหม่‘ …พอแปลกใหม่ ก็มีคนพูดถึงง่าย ย่อมมีโอกาสมากกว่า


3. ‘รวยจาก Mass Luxury’ …สร้างของแพงที่เป็นกระแส 


4. ‘สร้างระบบการขายที่ต้นทุนต่ำ‘ …สร้างระบบขายที่เราไม่ต้องจ่ายเงินลงทุน


5. ’ทำให้ใช้ง่ายขึ้น ด้วยเทคโนโลยี’ …พวก เทคที่มี Human Touch จะรวยง่าย เพราะ เขาเข้าใจ User 


6. ‘หาโอกาสในตลาดเงิน ตลาดทุน’ …ตลาดนี้ถ้าจับถูก ก็รวยได้แบบก้าวกระโดด


7. ‘พัฒนาความสวย ความงาม‘ …งานด้านนี้ ยังไงก็ดี 


8. ‘รู้ว่าอะไรเป็น Fashion อะไรเป็น Trend’ …แฟชั่นเล่นสั้น ส่วน Trend เล่นยาว


9. ’รู้จัก Demand & Supply’ …ถ้า Demand มากกว่า ควรทำ …ถ้า Supply มากกว่า ควรเลิก


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 ข้อ ทำไมเราไม่ควรล้างพอร์ตแม้ว่าตลาดจะแย่แค่ไหนก็ตาม

 5 ข้อ ทำไมเราไม่ควรล้างพอร์ตแม้ว่าตลาดจะแย่แค่ไหนก็ตาม


1. ‘เวลาหุ้นลงเราก็แค่ขายหุ้น แต่จุดที่เราอยากจะล้างพอร์ตแปลว่า ตลาดแย่จนไม่ไหวแล้ว‘ …จริงๆ ตรงนั้นคือ จุดเริ่มซื้อรอบใหม่


2. ’จุดขายหุ้นที่ดีที่สุด คือ เวลาที่หุ้นลงใหม่ๆ ไม่ใช่จุดที่หุ้นลงหนักๆ แล้ว’ …จุดสังเกตคือ ตอนที่หุ้นแพง ข่าวดีเยอะ แล้วมี Volume ขายหนักๆ นั่นแหละ จุดเจ้ามือขาย (จุดเริ่มต้นของขาลง)


3. ‘การล้างพอร์ตจะทำให้เราพลาดโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในตลาด นั่นคือ การขึ้นรอบใหม่‘ …ช่วงขึ้นเริ่มต้น มักจะให้กำไรเรามากที่สุด


4. ‘ทุกตลาดหุ้นมีรอบของมัน เวลาเรารู้สึกดีมักจะเป็นปลายรอบ(หุ้นแพง) ..ส่วนเวลาเรารู้สึกแย่มักจะเป็นการจบรอบเพื่อขึ้นรอบใหม่(หุ้นถูก)’ …พูดง่ายๆ เราชอบขายตลาดถูกแล้วไปซื้อตลาดแพง ก็เลยพลาดจุดกำไรดีๆ ทุกรอบ


5. ’ทางแก้เวลาอยากล้างพอร์ต คือ ขายบางส่วน’ …เพื่อลดความกดดัน แต่ยังคงถือส่วนที่เหลือไว้ …เงินสดเพียง 10% ก็ช่วยพอร์ตเราได้ ในวันที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

8 ความแสบ ของหุ้นไทย ที่ไม่มีใครบอกเรา

 8 ความแสบ ของหุ้นไทย ที่ไม่มีใครบอกเรา


1. ‘หุ้นขึ้น เพราะมีคนซื้อหุ้นมากกว่าคนขาย’ ..ส่วนหุ้นที่ขึ้นเร็วและแรงผิดปกติ มักเกิดจากการ Corner …คือ รายใหญ่ซื้อหุ้นทั้งหมด และยอมซื้อแพงขึ้นไปเรื่อยๆ


2. ’เวลาหุ้นดูน่าซื้อ เป็นเวลาที่จริงๆ ไม่น่าซื้อแล้ว‘ …หุ้นที่ขึ้นแรง Volume หนาๆ มาพร้อมข่าวดี มักเป็นเวลาที่เจ้าลากหุ้นขึ้นไปปล่อยของ มันจึงไม่น่าซื้อ


3. ‘หุ้นที่ลงแรง และ Volume เยอะๆ ก็เป็นจุดที่ไม่น่าซื้อ’ …เดี๋ยวนี้รายย่อย มักชอบรับหุ้นที่ลงแรงๆ เพราะคิดว่าถูก แต่มักถูกหลอก โดยเฉพาะเวลาที่หุ้นมี Volume เยอะๆ


4. ’หุ้นที่เจ้าของถูก Force Sell เป็นหุ้นที่ไม่น่าซื้อ‘ …หลายๆ ครั้งที่เราเห็นหุ้นลงแรงมากๆ เพราะ รายใหญ่ถูก Force Sell …คำแนะนำคือ ไม่ควรเข้าไปยุ่ง …คิดง่ายๆ คือ เจ้าของสนใจทำหุ้นมากกว่าทำธุรกิจ


5. ‘หุ้นที่เจ้าของถือน้อย เราต้องระวังให้มาก’ …ถ้ากลุ่มเจ้าของถือน้อย หุ้นกระจัดกระจาย เดาง่ายๆ ว่า นั่นไม่ใช่หุ้นดี …ถ้าเล่นก็ได้แค่เก็งกำไรขาขึ้นช่วงสั้นๆ ห้ามถือยาว


6. ’หุ้นที่จะดี มักไม่ค่อยมีข่าว’ …ช่วงที่เจ้าเก็บหุ้น ก็คือ ช่วงที่ไม่ค่อยมีข่าว …ส่วนหุ้นที่มีข่าวดี มักเป็นเวลาที่เจ้าอยากปล่อยของแล้ว


7. ‘หุ้นที่เปลี่ยนชื่อบ่อยๆ มักเป็นหุ้นไม่ดี‘ …ถ้าดีคงไม่ต้องเปลี่ยนชื่อ …หลายครั้งเจ้าเปลี่ยนชื่อเพื่อให้คนลืมความแย่ของหุ้นที่ผ่านมา


8. ‘หุ้นที่ Backdoor เข้าตลาด มักเป็นหุ้นไม่ค่อยดี’ …หุ้นที่ Backdoor ก็คือ เข้าตลาดแบบใช้การซื้อหุ้นที่อยู่ในตลาดแล้ว จากนั้นก็เอาธุรกิจเข้าไปใส่ …ส่วนใหญ่มันไม่ค่อยดี


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

6 ปัจจัย ที่ทำให้พอร์ตคุณโตแบบก้าวกระโดด

 6 ปัจจัย ที่ทำให้พอร์ตคุณโตแบบก้าวกระโดด


1. ’เคยพอร์ตระเบิด แต่ยังไม่เลิกเล่นหุ้น’ …ต้องบอกว่า นักลงทุนที่สามารถปั้นพอร์ตให้โตก้าวกระโดดแทบทุกคนเคยพอร์ตเสียหายหนักๆ ทุกคน แต่ไม่เลิก


2. ‘เงินส่วนใหญ่ของคุณ ทุ่มใส่ตลาดหุ้น‘ …ก็แน่นอน ถ้าอยากสำเร็จอะไร ไม่ใช่แค่ต้อฃหมกมุ่น แต่ต้องทุ่มเงินแทบทั้งหมดที่มในสิ่งนั้น …จัดหนักตลาดเวลา


3. ’กล้า All in ในวันที่ตลาดเกิดวิกฤต‘ …วิกฤตน่ะมาเรื่อยๆ แต่น้อยคนที่จะกล้า ทุ่มหมดตัวในวันที่ตลาดเลวร้าย 


4. ’มีความหวังลมๆ แล้งๆ ในวันที่คนรอบข้างคุณถอดใจไปหมดแล้ว‘ …การอยู่ในตลาดในวันที่ใครๆ ก็ลงทุนในหุ้น ไม่ทำให้คุณรวยเท่าไหร่ …ช่วงที่ทำให้เรารวยมากกว่าคนอื่น ก็คือวันที่คนอื่นถอดใจไปแล้ว


5. ‘ถือหุ้นที่กำไรได้นานเป็นปีๆ ทนรวยได้เป็นหลายๆ เด้ง’ …คนทั่วไปกำไรนิดหน่อยก็ไปแล้ว …ส่วนใหญ่จะถือหุ้นได้นานเวลาขาดทุน …แต่น้อยคนที่จะถือหุ้นที่กำไรได้นานหลายๆ ปี 


6. ‘มุ่งมั่นหาแนวทาง สไตล์ของตัวเอง’ …การเล่นสไตล์คนอื่น แปลว่า เราใช้วิธีที่ใครๆ ก็ใช้กัน …ยากที่จะรวยก้าวกระโดด เพราะ มันทำให้คนอื่นรวยไปแล้ว ก็ย่อมใช้ไม่ได้อีกต่อไป 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

6 ข้อที่ผมหลงใหล …เกษียณแล้วไปไหน ?

 6 ข้อที่ผมหลงใหล …เกษียณแล้วไปไหน ?


1. ‘ถึงจุดที่ต้องถอดหัวโขนแล้ว แต่ Ego ยังอยู่‘ …หลายครั้งที่คนเกษียณจะมองว่าตัวเองหมดความสำคัญ (ให้หาสิ่งที่ทำได้ไม่มีวันเกษียณ เช่น นักลงทุน , เปลี่ยนงานอดิเรกให้ทำเงิน)


2. ’เกษียณไม่ใช่หยุดนิ่ง แต่คือการเปลี่ยนแปลง’ …คนคิดว่าเกษียณคือ หยุดทำทุกอย่าง นั่งเฉยๆ แต่ความจริง คือ ‘แล้วเราจะเปลี่ยนไปทำอะไรใหม่‘ 


3. ’ถึงเวลาที่เราต้องให้สุขภาพสำคัญกว่างาน‘ …วัยทำงาน ทุกอย่างคืองาน นอกนั้น เรามองว่า ไร้สาระ …แต่พอเกษียณแล้ว ทุกอย่างคือสุขภาพ นอกนั้นคือ ทำขำขำ


4. ‘เกษียณได้ แต่เงินต้องไม่หยุดเข้ามา’ …อันนี้แหละโคตรยาก แปลว่า เราต้องวางแผนพอร์ตลงทุนก่อนที่จะถึงเวลาเกษียณ


5. ‘ลดปริมาณเพื่อน แต่เพิ่มคุณภาพ‘ …พอเกษียณแล้วเพื่อนจะลดลงแบบฮวบฮาบ ..จะเหลือเพื่อนไม่ก็คน ที่ ศีลเสมอกัน …ฐานะพอๆ กัน ความสนใจคล้ายๆ กัน


6. ‘ตกผลึกในเรื่องการปล่อยวาง’ …ตอนทำงานทุกอย่างคือ หน้าที่และความรับผิดชอบ …พอเกษียณต้องปล่อยวาง …บริษัทไม่มีเราเขาก็อยู่ได้ …ปล่อยให้ทุกสิ่งรอบๆตัว ได้เติบโต


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

7 ข้อ ควรรู้ การเป็นนักลงทุนที่ ‘พอเพียง‘

 7 ข้อ ควรรู้ การเป็นนักลงทุนที่ ‘พอเพียง‘ 


’พอเพียง‘ กับ นักลงทุน …มีด้วยหรือ ? 


1. ‘เข้าใจ Need กับ Want’ …เริ่มด้วยเข้าใจสิ่งที่จำเป็น กับสิ่งที่เราอยากได้ มันต่างกัน


2. ’เป้าแรกคือ การชนะ Need’ …อันนี้คือการคำนวณระยะยาว ว่า การมีรายได้มากกว่าค่าใช้จ่ายตลอดไป ต้องมีเท่าไหร่ และทำยังไง 


3. ’การสมดุลย์ Want ให้ไม่เลอะเทอะ‘ …เอาตรงๆ ถ้าเราได้เงินมาเยอะๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ (ขาขึ้นการลงทุน) เราจะเริ่มใช้จ่ายเลอะเทอะ …ต้องบริการตรงนี้ให้ดี


4. ‘เข้าใจหลัก 20/80 ของการลงทุน‘ …พอร์ตลงทุนเราจะได้ผลตอบแทนโดดเด่นจากเงิน 20% …ต้องหาการลงทุน 20% ของเราให้เจอ - ท่าไม้ตายการลงทุนว่างั้น


5. ’ตอบให้ได้ว่า อะไรจะไม่เปลี่ยนในสิบปีข้างหน้า‘ …ลงทุนในสิ่งนั้น ด้วยเงิน 80% …อันนี้ Jeff Bezos ใช้เป็นหลักในการขยายธุรกิจ Amazon


6. ’ใช้เงิน 20% ลงทุน ในสิ่งใหม่ ที่เปลี่ยนแปลง‘ …คิดแบบ Venture Capital …ลงทุนในสิ่งที่จะมาท้าทายสิ่งเดิม เช่น จีนลงใน EV , อเมริกาลงใน AI 


7. ‘เมื่อพอร์ตโตเกิน Need แล้ว ให้มุ่งสร้าง Passive’ …ถ้าเราลงทุนระยะยาวอย่าฃถูกต้อง ถึงจุดนึงรายได้ Passive จะชนะ Active …นั่นแหละ อิสรภาพในการลงทุน


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2567

6 ข้อ จัดการยังไงในวันที่หุ้นไทยไม่มีอนาคตแล้ว

 6 ข้อ จัดการยังไงในวันที่หุ้นไทยไม่มีอนาคตแล้ว


1. ’การหาข้อมูลที่แตกต่าง‘ …ปกติเราจะรับข้อมูลทางเดียว คือ ดูข่าว อ่าน หรือดู แบบที่ใครๆ ก็ดูเหมือนๆ กัน …การฝึกมองหาข้อมูลที่แตกต่างต้องฝึกฝน


2. ’อยากรู้อนาคตให้ศึกษาประวัติศาสตร์’ …ในตลาดหุ้น เราศึกษาสถิติและประวัติศาสตร์ง่ายๆ ได้จากกราฟหุ้น …ดูย้อนหลัง ให้เห็นวัฏจักร และรอบของหุ้นแต่ละกลุ่ม แต่ละตัว


3. ‘การทยอยซื้อในบรรยากาศซึมเศร้า’ …มันเป็นสิ่งที่ขัดความรู้สึกมากๆ ที่จะบอกให้คนลงทุนเวลาตลาดถูกๆ เพราะ ทุกอย่างมันดูซึมเศร้า …แต่การฝึกทยอยซื้อเวลาตลาดถูก จะเปลี่ยนวิธีการลงทุนทั้งหมดของเราแบบค่อยเป็นค่อยไป


4. ‘ให้ฝึกทยอยขายสิ่งที่เรากำไรบ้าง‘ …คนปกติคือ เขาจะซื้อของตอนแพง แล้วก็กำไรง่ายๆ แต่สุดท้ายพอเขาเลิกเล่น ก็ติดดอยขาดทุน …การฝึกขายในวันที่เรากำไร ก็คือ ฝึกขายในจุดที่เราไม่อยากขาย …สำคัญสุดๆ ของการยืนระยะในฐานะนักลงทุน


5. ’ซื้อสิ่งที่ฮิตให้น้อยที่สุด‘ …ของที่คนอื่นฮิต มองว่าดี มักจะเป็นปลายรอบ ใกล้ๆ ดอย …การฝึกซื้อให้น้อย ก็คือ การหักห้ามความอยากของเรา …ซื้อนะ แต่น้อยๆ เอาแค่ติดปลายนวมให้เราเข้าใจ อารมณ์ของมวลชน


6. ‘เตรียมเงินก๊อกสุดท้ายเอาไว้‘ …เงินก๊อกสุดท้าย มีไว้เผื่อเราเจอวิกฤตที่ไม่คาดฝัน …ซึ่งถ้าเกิดขึ้น เราจะได้ซื้อหุ้นถูกสุดๆ เหมือนในปี 1997 , 2008 , 2020 , …ควรวางไว้ในรูปเงินสด หรือ ตราสารหนี้ที่มีสภาพคล่องสูง 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2567

6 กลโกง ในตลาดหุ้นที่ใช้หลอกคนมีความรู้แบบง่ายๆ

 6 กลโกง ในตลาดหุ้นที่ใช้หลอกคนมีความรู้แบบง่ายๆ 


เวลาเสียเงินเองนี่ก็ว่าหนักแล้ว …แต่ถ้าโดนหลอกนี่มักจะหนักกว่า ’เพราะ ความโลภ + เชื่อใจ’ ใส่เงินมากกว่าเสมอ


1. ‘ชวนคุณให้ลงหุ้นนอกตลาด‘ …อันนี้อาจไม่ใช่กลโกงเต็มๆ แต่เอาเข้าจริง 90% มันเข้าไม่ได้ครับ …คิดง่ายๆ ถ้าคุณไม่ได้เป็นส่วนนึงของคนที่ช่วยบริษัทเข้าตลาด เขาคงไม่เอาของดีมาขายคุณราคาถูก


2. ‘ชวนลงทุนในสิ่งล้ำๆ ที่เป็นกระแส‘ …เขาจะชวนเราลงทุนในสิ่งที่ไกลตัวเราแต่ดูเท่ห์ ตั้งแต่ เทรดค่าเงิน ลงทุนใน AI …แต่พอโอนเงินให้เราโอนเงินเข้าชื่อบุคคล (บัญชีม้า) …ไม่ใช่ละ !!!


3. ’ชวนลงทุนแต่ไม่เจอเจ้าของ ไม่ได้ดูธุรกิจ และ ไม่ได้อัฟเดททะเบียนชื่อผู้ถือหุ้น‘ …พูดง่ายๆ เหมือนเอาเงินคุณไป โดยไม่มีเอกสารอะไรเลย …พอมีปัญหาจริง ทำอะไรคนชวนไม่ได้เลย


4. ‘ชวนลงทุนในหุ้นที่จะกลับมาเทรดใหม่’ …อันนี้โดนกันเยอะ สำหรับหุ้นที่โดนแขวน แล้วจะกลับมาเทรดใหม่ 


5. ’ชวนลงทุนใช้ชื่อนักลงทุนที่มีชื่อเสียง’ …หลักๆ คือ หลอกใช้ชื่อคนดัง ดูง่ายๆ คือ ผลตอบแทนเกินจริง / เขาไม่บอกวิธีการ / มีการล่อเหยื่อ ส่วนใหญ่คือ บอกให้เราใส่เงินน้อยๆ แล้วได้กำไรจริง จากนั้นชวนให้เราลงเยอะ คราวนี้หายเลย


6. ’โดนหลอกหนักขึ้น พอเราจะเอาเงินคืน’ …พอเรารู้ตัวว่าโดนหลอก ก็พยายามจะเอาเงินคืน …ทางนั้นก็จะหลอกเราซ้ำ เช่น ให้เราโอนนุ่นนี่เพิ่ม ค่าธรรมเนียม ค่าต่างๆ สุดท้ายยิ่งโอนเพิ่มก็ยิ่งหายเพิ่ม


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2567

7 ข้อ หุ้นก่อนดี มันซ่อนอยู่ตรงไหนกัน ?

 7 ข้อ หุ้นก่อนดี มันซ่อนอยู่ตรงไหนกัน ?


ซื้อหุ้นก่อนดี คือ ซื้อตอนที่มันยังไม่ดี พอมันดีเราก็รวยแล้ว 


1. ‘เป็นหุ้นที่อยู่ในจุดที่โตได้‘ …จุดโตได้เช่น เราเห็น 7-11 เพิ่งเข้ามาในตลาดที่ยังขยายได้อีกเยอะ นั่นก็แปลว่าโตได้


2. ’ธุรกิจมีกำไร Margin สูง‘ …ธุรกิจที่ Margin ต่ำ ส่วนใหญ่คือธุรกิจใหญ่ที่ใช้เงินเยอะ …ให้เราหาธุรกิจที่ขยายได้ด้วยทุนต่ำ เช่น คิดค้นสินค้ามาตัวนึง ที่กำลังจะเติบโต …ช่วงโตของ Product มันมีแต่กำไร เพราะ ทุนมันใส่ตอนต้นไปแล้ว ยิ่งโต Margin ยิ่งสูง


3. ‘เจ้าของเป็นคนทันสมัย‘ …ทันสมัยในที่นี้คือ เป็นคนล้ำในวงการของธุรกิจนั้นๆ อะไรก็ได้ ขอให้เขาเป็น ’ตัวจี๊ด’ ในจุดที่เขาทำอยู่


4. ‘ขนาด Market Cap. ไปต่อได้’ …ตัวเล็กก็จะเบากว่า โอกาสไปหลายๆ เด้งก็เยอะกว่า 


5. ’ธุรกิจแย่น้อยกว่าคนอื่น‘ …เวลาหาหุ้นถูกก็ต้องหาในตลาดแย่ ก็คือโดยรวมมันแย่ …แต่ตัวนี้แย่น้อยกว่านั่นเอง


6. ‘หุ้นต้องไม่เอาเปรียบคนถือหุ้นเดิม‘ …อันนี้แปลว่า เจ้าของถือเยอะ เขาก็จะไม่ทำอะไรให้คนถือเดิมเสียเปรียบ


7. ’เราต้องถือได้’ …เวลาเราเจอหุ้นแล้ว ต้องกล้าถือ …กล้าทนรวย …หลักๆ คือ กระจายความเสี่ยงไว้ดี เวลาขึ้นเราก็จะไปปอดแหกรีบขายเอากำไร


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2567

เข้าใจกลไกเศรษฐกิจที่ซับซ้อน แบบง่ายๆ ใน 6 ข้อ

 เข้าใจกลไกเศรษฐกิจที่ซับซ้อน แบบง่ายๆ ใน 6 ข้อ 


1. ‘เงินเฟ้อ คือ ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดในระบบทุนนิยม‘ …เงินเฟ้อแปลว่า เงินที่เราหาได้เก็บสะสม มันลดมูลค่า ซื้อของได้น้อยลงเรื่อยๆ


2. ‘เงินลดมูลค่า แล้วอะไรเพิ่มมูลค่า‘ …ตามหลักธรรมชาติ สิ่งนึงลด ต้องมีอีกสิ่งขึ้น …ใช่!! สินทรัพย์ ทั้งหมด จะขึ้นสวนทาง เช่น ที่ดิน , ทองคำ , หุ้น , สินทรัพย์ดิจิตอล 


3. ‘ดอกเบี้ยสูง‘ …ดอกเบี้ยใช้สู้เงินเฟ้อ แปลว่า อเมริกามีเงินเฟ้อสูง …พอดอกเบี้ยขึ้นถึงจุดนึง คนและธุรกิจจะเริ่มจ่ายหนี้ไม่ไหว เศรษฐกิจจะเริ่มชะลอ เงินเฟ้อลง 


4. ‘ดอกเบี้ยต่ำ‘ …ดอกเบี้ยต่ำใช้สู้เงินฟืด (ตรงข้ามเงินเฟ้อ) …เช่น ไทย วันนี้เศรษฐกิจแย่ เงินไม่หมุน ก็ต้องกระตุ้นด้วยการ ลดดอกเบี้ย


5. ‘Supply มากกว่า Demand’ …ของจะถูก เงินเฟ้อต่ำ …เพราะ ของที่ผลิตมีมากกว่าความต้องการซื้อ …ผู้ผลิตต้องลดราคา ..คล้ายๆ รถไฟฟ้าช่วงนี้  


6. ’Supply น้อยกว่า Demand’ …ของจะแพง เงินเฟ้อสูง …สินค้ามีน้อย แต่คนต้องการซื้อมาก ราคาก็จะขึ้น ..เช่น ปัญหาในอเมริกาช่วงก่อนหน้านี้ ที่รัฐบาลแจกเงินเยอะในช่วงโควิด หลังโควิดข้าวของเลยแพง บ้านราคาพุ่ง …วันนี้เลยต้องการขึ้นดอกเบี้ยแก้ปัญหากัน


สรุป ความปั่นป่วน ..เริ่มจากอเมริกาแจกเงินตอนโควิด ทำให้เงินเฟ้อหนัก ข้าวของแพง บ้านขึ้น สินทรัพย์ราคาขึ้น …รัฐบาลเขาเลยต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อให้เศรษฐกิจมันแย่ลง เงินเฟ้อจะได้ลดลง …แต่เผอิญ ดอลลาร์ มันเป็นเงินหลักของโลก ประเทศอื่นเลยซวย …เช่นไทย เศรษฐกิจเราไม่ได้ดี แต่เราต้องขึ้นดอกเบี้ยตามอเมริกา …แต่เราขึ้นไม่ได้เยอะเท่าอเมริกา เงินเลยไหลออกไปอเมริกา (ค่าเงินอเมริกาเลยแข็ง เงินบาทอ่อน)


…แต่ ดอลลาร์ แข็งไปเรื่อยๆ ไม่ได้ เพราะ มันผิดธรรมชาติ …สุดท้าย มันก็จะหยุดขึ้น แล้วเข้าสู่ขาลงในที่สุด


พอถึงจุดนึง เทรนด์ก็จะเปลี่ยน …ตอนนั้นแหละ จะเข้าสู่ขาขึ้นครั้งใหญ่ของเศรษฐกิจและหุ้นไทย


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2567

6 สิ่ง ที่ผมได้เรียนรู้จากนักลงทุนเก่งๆ

 6 สิ่ง ที่ผมได้เรียนรู้จากนักลงทุนเก่งๆ 


1. ‘การบริหารเงินสำคัญที่สุด‘ …หัวใจของการลงทุนคือ Money Management …มันไม่ใช่ว่าแค่หาหุ้นเก่ง เราต้องบริหารเงินเรา ให้ทำเงินจากหุ้นที่เลือก อันนี้สำคัญกว่า


2. ’นักลงทุนเก่งๆ มักจะไม่ใช่คนไปถามหาหุ้น’ …แต่เป็นคนนำเสนอหุ้นต่างหาก …ใช่!! คนเก่งเขาไม่ถามหุ้นใคร แต่เขาจะบอกหุ้นคนอื่น


3. ‘ต้องมี Believe System ที่ไม่เหมือนคนอื่น‘ …เช่น ความเชื่อของ 70/30 …หรือ การเข้าใจหลักการของคนส่วนน้อย ชนะในการเงินเสมอ


4. ’มี Lifestyle ไม่เหมือนคนอื่น’ …ตามกฏธรรมชาติ สิ่งที่เหมือนกันจะดึงดูดเข้าหากัน ..คนแบบไหนก็ดึงคนแบบนั้นเหมือนๆ กัน …นักลงทุนไม่เน้นทำงานหนัก แต่เน้นทำงานคุ้ม …’ออกแรงน้อยสุด ให้ได้เงินเยอะสุด นี่แหละ นักลงทุน‘


5. ’กล้า All-in ในเวลาที่ยากลำบากที่สุด’ …นักลงทุนที่เก่ง จะเลือก All-in ในเวลาที่ดูยากลำบากที่สุด …เพราะเขาเชื่อว่า จุดต่ำสุด คือ จุดที่ดูเลวร้ายที่สุด (ซื้อได้ราคาถูกที่สุด) นั่นเอง


6. ‘ศิลปะของนักลงทุน คือ การยืนระยะ ไม่ใช่ชัยชนะ‘ …การมุ่งชัยชนะ จะทำให้เราคิดสั้น คิดให้เร็ว …มันอาจช่วยให้เราชนะช่วงสั้นๆ แต่มันจะไม่สามารถทำให้เรายืนระยะได้


เพราะ หัวใจของการลงทุน คือ ใครอยู่ในเกมได้นานที่สุด คนนั้นรวยที่สุด’ (ผลตอบแทน * เวลา =ดอกเบี้ยทบต้น)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

7 เรื่องเงิน ที่เปลี่ยนแปลง ตามโลกยุคใหม่

 7 เรื่องเงิน ที่เปลี่ยนแปลง ตามโลกยุคใหม่ 


1. ’เงินใช้แก้ปัญหาได้ง่ายและถูกที่สุด’ …ปัญหาต่างๆ จะง่ายขึ้น ถ้าใช้เงินแก้ (พูดโคตรแรง!!)


2. ‘เงินยิ่งเยอะ คนยิ่งยอมรับคุณ‘ …สมัยก่อนคุณต้องเก่ง ต้องเป็นคนดี ทำเพื่อสังคม กว่าคนอื่นจะยอมรับ …แต่ทุกวันนี้แค่มีเงินคนก็ยอมรับแล้ว


3. ‘เงินเป็นตัวกำหนดบทบาท‘ …ลงเงินเยอะ เป็นประธาน เป็นหัวหน้า เป็นผู้นำ ..ลงเงินน้อย ก็ทำตามไป


4. ‘เงินยิ่งพิมพ์เพิ่ม ทำให้มูลค่าลด แต่ทำให้อำนาจมันเพิ่มขึ้นไปอีก’ …เพราะมันเข้าถึงคนมากขึ้น ..ยิ่งคนสัมผัสก็ยิ่งเสพติดมันมากขึ้น


5. ‘เงินไม่ควรอยู่เฉยๆ เพราะมูลค่ามันจะลดลง‘ …ต้องบริหารเงิน เปลี่ยนเป็นสินทรัพย์ ต้องลงทุน


6. ’ถ้าเงินอยู่ในมือคนที่ไม่พร้อม มันจะทำลายคนนั้น’ …สถิติคนถูกล๊อตเตอรี่ มักชีวิตและครอบครัวพัง หลังจากถูกรางวัลใหญ่ …เราถึงต้องฝึกบริหารเงินให้เป็น ก่อนทีีจะมีเงิน 


7. ‘สิ่งที่ดึงดูดเงินมากที่สุดคือ Story&Hope’ …เรื่องราว + ความหวัง(ความโลภ) …ดึงเงินได้มากที่สุดเสมอ …คนขายจอบ ขายเสียมในยุคตื่นทอง จึงรวยกว่าคนไปขุดทองเสมอ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2567

7 ข้อ ทำไมมนุษย์เรา ถึงแย่มากๆ ในการจัดการเงิน

 7 ข้อ ทำไมมนุษย์เรา ถึงแย่มากๆ ในการจัดการเงิน


ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เราทำนายอนาคตได้แย่มากๆ …สิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดว่าจะดี มันจะแย่ …แต่อะไรที่คนส่วนใหญ่คิดว่าแย่ มันมักจะดี ….อ้าว !!!


1. ’มนุษย์เราแย่เรื่องเงิน เพราะ เงินคือเรื่องของ อารมณ์‘ …เรามักคิดว่าตัวเองมีเหตุผล ตัดสินใจตามข้อมูลที่สมเหตุสมผล แต่เอาจริงๆ การตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต อารมณ์ล้วนๆ ….ลาออกจากงาน , ซื้อของแพงๆ ซื้อรถ ซื้อนาฬิกา อารมณ์ล้วนๆ (ของถูกๆ เท่านั้น ที่เราใช้เหตุผลจริงๆ)


2. ‘เงิน มีจำกัดเสมอ‘ …เงินจำกัด เมื่อเทียบกับความต้องการเราที่ไม่จำกัด …เราเลยไม่เคยหาเงินได้พอกับความต้องการ


3. ’การซื้อง่าย แต่การขายยาก‘ …อย่างที่เข้าใจกัน ซื้อใช้อารมณ์ แต่ขายนี่ใช้เหตุผล …นี่เป็นเหตุที่ว่า นักลงทุนเก่งๆ ซื้อเป็นนะ แต่ไม่รู้จะขายตรงไหน …จนบางทีตรงแพงๆ ไม่ขาย มาขายตรงถูกๆ 


4. ‘อารมณ์มวลชน คือ หนทางสู่ดอยหายนะ‘ …อารมณ์มวลชนจะวิ่งไปที่เดียวกันกับเงิน …แปลว่า จุดนั้นคือจุดที่มันสูงสุดในแต่ละช่วง …การหลีกหนีมวลชนจะทำให้เราลงทุนได้ดีขึ้น


5. ‘ผลตอบแทน มักอยู่ในจุดที่เสี่ยงเสมอ’ …เราจะเห็นว่า New Money หรือ คนรวยใหม่ เกิดขึ้นเพราะเขากล้าเสี่ยงลงในสิ่งใหม่นั่นเอง


6. ‘ถ้าเราไม่บริหารเงิน เงินจะค่อยๆ อ่อนแอและลดมูลค่าลงเรื่อยๆ’ …เงินเหมือนน้ำแข็ง ถ้าวางเฉยมันจะละลายมูลค่าหายไป …เราต้องบริการจัดการอย่างต่อเนื่อง


7. ’เงินเยอะๆ จะทำลายตัวเอง‘ …เงินสามารถทำให้คนรวมกัน และ ทำให้คนทะเลาะกันได้ …จุดที่ยากสุด คือ การหาจุดที่เหมาะสม ไม่มากและน้อยเกินไป


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2567

7 ข้อ ที่คนปกติเขาไม่ทำกันในตลาดหุ้น

 7 ข้อ ที่คนปกติเขาไม่ทำกันในตลาดหุ้น


1. ’หมกมุ่นอยู่ในจุดที่คนอื่นบอกไม่มีอนาคตแล้ว‘ …ตลาดหุ้นไทยไม่มีอนาคตแล้ว ไปตลาดอื่นเถอะ


2. ’ซื้อหุ้นจำนวนมากๆ แบบที่ไม่น่าจะออกได้’ …หุ้นไม่มี Volume แบบนี้ซื้อแล้วจะออกยังไง เดี๋ยวก็ขายไม่ได้หรอก


3. ‘ถือหุ้นตลอด ไม่ว่าตลาดหุ้นจะดีหรือแย่ก็ตาม‘ …ตลาดแย่ เอาเงินไปทำอย่างอื่นก่อน เดี๋ยวตลาดดีค่อยกลับมา


4. ’ไม่เคยซื้อตามหุ้นยอดฮิตเลย’ …หุ้นที่ทุกคนต้องมี อ้าว!! ทำไมคุณไม่มีล่ะ เดี๋ยวคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องนะ


5. ‘ซื้อหุ้นที่เจ้าของอยากให้คุณขาย‘ …งบก็ห่วย ปันผลก็ไม่จ่าย volume ซื้อขายก็ไม่มี …เจ้าของเก็บตัวเงียบเลย …หุ้นแบบนี้ อย่าไม่ยุ่งกับเขา


6. ‘ขายหุ้นในเวลาที่เจ้าของอยากให้คุณซื้อ’ …งบดีเลย volume เข้า ..เจ้าของขยันให้ข่าวดี …แบบนี้ หุ้นเปลี่ยนชีวิตแน่ๆ ….ขายทำไมวะ ?


7. ‘ความไม่ปกติ มันคือคนอื่นเขาไม่ทำ‘ …แต่ถ้าคนอื่นๆ เริ่มมาทำเรื่องปกติกันเยอะๆ สิ่งนั้นมันก็จะกลายเป็นเรื่องปกติ ….ต้องระวังให้ดี 


’เพราะ ความปกติ มันให้แค่ผลลัพธ์ธรรมดาๆ ไม่บ้าคลั่งพอ ที่จะเปลี่ยนชีวิตเราได้นั่นเอง’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม






วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2567

6 ข้อ ใสใส VI รุ่นใหม่ควรต้องรู้

 6 ข้อ ใสใส VI รุ่นใหม่ ควรต้องรู้


ขึ้นชื่อว่า ‘นักลงทุนคุณค่า’ ก็แปลว่า เราต้องข้ามผ่าน ’ราคา’(Price) แล้วพุ่งไปที่แก่นของมันคือ ‘มูลค่า’ (Value) 


….เอาตรงๆ นะ ยากสุดๆ …เพราะ บางครั้ง เราดันไปทำ ‘ตรงข้าม‘ 


…ก็คือไปให้มูลค่า ก็เพราะราคามันแพงน่ะซิ ?!?


’ของนี่ดูแพงจัง !! ….ใช่!! ดูมันตั้งราคาซิ ..แพงโคตร‘


1. ’ราคาคือสิ่งที่เราจ่าย ส่วนมูลค่าคือสิ่งที่เราได้รับ‘ …อันนี้เหมือนง่าย แต่ซับซ้อน …ในหุ้น Value คือ หนึ่ง ’ให้เงินทำงาน‘ (ปันผล) และ สอง ‘ให้เงินเติบโต‘ …ทุกวันนี้ ส่วนแรกมันลดลงเรื่อยๆ แล้วไปเพิ่มที่ส่วนสอง ทำให้ยิ่งดูยากเข้าไปอีก !!


2. ’อิสรภาพทางการเงิน เกิดจากการถือหุ้น ไม่ได้เกิดจากการเทรด‘ …การถือหุ้นเท่านั้น ที่เราปล่อยให้เงินทำงานแทนเราอย่างแท้จริง 


3. ‘การเกิดขึ้น‘ (ต้นรอบ) คือ …สิ่งใหม่ , ดูไม่แน่นอน , ดูไม่มั่นคง , ดูไม่เข้าใจ , ดูเสี่ยง , ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ …เหมือน ‘หุ้นขนาดเล็ก‘ …แปลว่า หุ้นที่จะกำไรมหาศาล มันต้องดูไม่ได้เรื่องในวันที่เราเริ่มซื้อ …‘เสี่ยงชิบหาย - มึงบ้ารึเปล่า ?‘


4. ’การตั้งอยู่‘ คือ เริ่มดูดี , มีมวลชนสนใจ , งบสวย , มีคนเริ่มเชียร์ …เหมือน หุ้นดี ของดี ที่มันดูดี …พูดง่ายๆ หุ้นที่อยู่ในช่วงนี้ มันจะดูดี แต่มันแพง !! ….แปลว่า คนซื้อหุ้นช่วงนี้ต้องซื้อแพง มีโอกาสไปต่อ แต่ต้องซื้อแพง แล้วไปขายแพงกว่า (เหมาะกับ Trader - แปลว่า คุณต้องเข้าใจเรื่องการ Stop Loss ดีๆละ)


5. ’ดับไป‘ คือ มันดูดีเกินไป (Too Good Too be True) …เหมือนหุ้นมหาชน หุ้นยอดฮิต ใครๆ ก็พูดถึง , ของมันต้องมี , Volume มหาศาล เพราะ ฝูงมหาประชาชนซื้อกันหมดแล้ว ….ช่วงนี้ คือ ช่วงที่ ’เจ้ามือ’ , เจ้าของ เขาเทขายของ 


’การขายของที่ดีที่สุด ก็คือ ขายตอนที่ทุกอย่างดูดีที่สุด …ขายในจุดที่ใครๆ ก็อยากซื้อนั้นเอง‘ 


6. ’ชั่วโมงบิน คือ ความผิดพลาดที่เราเก็บสะสมไปเรื่อยๆ‘ …ในการลงทุนการผิดพลาด ไม่ใช่สิ่งผิด แต่มันคือ สิ่งที่เราต้องเจอ ทุกคน มาเรื่อยๆ …คำถามคือ ‘เราจะจัดการกับความผิดพลาดยังไง ?’ 


สำหรับผม 

- หนึ่ง ‘เวลาพลาดต้องไม่พอร์ตระเบิด’ (ส่วนใหญ่พอร์ตระเบิด เพราะ อัดมาร์จิ้น เล่น Leverage สูงๆ)


- สอง  ’เวลาผิดพลาด คุณภาพชีวิตต้องไม่ลดลง‘ (เช่นปกติขับเบนซ์ แต่พอพลาดต้องมานั่งตุ๊กตุ๊ก อันนี้ไม่ใช่ละ)


- สาม ’เวลาพลาด ต้องมีเงินมาเติม’ …แปลว่า เรารู้อยู่แล้วว่า เราต้องพลาด ก็เลยเตรียมเงินให้เป็น ก็อกสอง ตั้งแต่แรก (ของผม 10% ของพอร์ต ต้องเตรียมเงินสดไว้เสมอ) 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

6 ข้อควรรู้ ‘การเร่งพอร์ตระยะสั้น‘ ต่างกับ ’ปั้นพอร์ตระยะยาว‘ อย่างไร

 6 ข้อควรรู้ ‘การเร่งพอร์ตระยะสั้น‘ ต่างกับ ’ปั้นพอร์ตระยะยาว‘ อย่างไร 


1. ’การเร่งพอร์ตใช้การ Focus การปั้นระยะยาวใช้การ Diversify’ …การเร่งพอร์ตต้องหาโอกาส All in …แต่การสร้างพอร์ตระยะยาวคือการกระจายความเสี่ยง


2. ’เร่งพอร์ตคือ เล่นตามกระแส …ปั้นระยะยาวต้องสวนกระแส‘ …ตามกระแสคือ เล่นหุ้นที่ตลาดเล่นกันเวลานี้ ตามหุ้นที่กำลังขึ้นว่างั้น …ส่วนปั้นพอร์ต ต้องทยอยเก็บที่เขายังไม่เล่นกัน


3. ‘การปั่นพอร์ตยาว ต้องมองหุ้นถูกเหมือนของสะสม’ ..หลักการคือ ทยอยซื้อหุ้นถูกโดยไม่สนใจว่า เมื่อไหร่มันจะมา แค่เก็บสะสมไปเรื่อยๆ


4. ’การเร่งพอร์ตต้องขายตามรอบ …แต่การปั้นแค่ขายบางส่วนเวลาหุ้นแพง’ …พูดง่ายๆ ถ้าจะปั้นพอร์ต ก็ต้องพยายามสะสม แค่ขายบ้างเวลาหุ้นแพง เพื่อจะได้เงินมาเก็บเพิ่มเวลาหุ้นถูก


5. ‘การเร่งพอร์ตสามารถใช้ Margin แต่การปั้นพอร์ตควรใช้เงินสด‘ …การใช้ Margin ควรใช้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ควรใช้ระยะยาว


6. ’การปั้นพอร์ต ต้องสร้าง Mindset ของเจ้าของกิจการ’ …นั่นคือ การเติบโตไปกับหุ้น(ที่เราเลือกแล้วว่าเป็นธุรกิจที่ดีและเติบโต) …และอยู่กับหุ้นนั้นๆ ทั้งขาขึ้นและขาลง 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

7 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับ Money Game (เกมกล คนรวย)

 7 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับ Money Game (เกมกล คนรวย)


1. ’รายได้จากเงินเดือน สู้รายได้จากสินทรัพย์ไม่ได้’ …เงินเดือนค่าจ้าง มีข้อจำกัดที่เวลาและแรงของเรา …แต่รายได้จากสินทรัพย์ไม่มีข้อจำกัดตรงนั้น


2. ‘สินทรัพย์ไม่จำเป็นต้องเป็นของเรา แค่เรามีความสามารถบริหารสำคัญกว่า‘ …สินทรัพย์มีอยู่มากมาย ไม่จำเป็นต้องเป็นของเรา ขอแค่เรามี ‘ความสามารถในการบริหาร’ โอกาสก็จะเกิดขึ้น


3. ’หุ้นเป็นการสร้างมูลค่าอย่างก้าวกระโดดให้ธุรกิจ‘ …แต่ก่อนคนจะสนใจแค่บริหารธุรกิจ โดยไม่สนใจหุ้น …ทั้งที่จริงๆ แล้วโอกาสร่ำรวยก้าวกระโดดอยู่ในหุ้น ซึ่งต่อยอดมาจากตัวธุรกิจ


4. ’การเอาหุ้นเข้าตลาดมีความยาก แต่เป็นตัวปลดล็อคความมั่งคั่งอย่างแท้จริง‘ …Wealth คือ ได้ทั้งเงิน + ได้ทั้งเวลา …การนำธุรกิจเข้าตลาด จะให้ระบบ ทำให้เจ้าของมีเวลา มีเงินทุน และโอกาสในการขยายแบบก้าวกระโดด


5. ‘การเข้าใจ P/E ในตลาดหุ้น จะทำให้เราเพิ่มความรวยอย่างรวดเร็ว และก้าวกระโดด‘ …ทุกๆ บาท กำไรที่เพิ่ม มันเพิ่มทวีคูณ ตาม P/E ที่นักลงทุนยอมจ่ายเพื่ออนาคต 


6. ‘การ M&A เป็นตัวเร่งการโตครั้งใหญ่‘ …โอกาสสำคัญของธุรกิจในตลาดหุ้น คือ M&A ก็คือ ใช้เงินคนอื่น มาซื้ออนาคต


7. ‘ใช้หุ้นเป็นหลักประกัน เอาเงินมาใช้ต่อยอด‘ …หุ้นที่ดี ก็สามารถเป็นหลักประกัน ให้เราได่เงินต่อเงิน เพิ่มเข้าไปอีก


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ