แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2562

สมองด้านการลงทุน ที่พาเราผิดพลาดคล้ายๆ กัน

เกร็ดความรู้ เรื่องลงทุนที่คนส่วนใหญ่มองข้าม !!

- ‘ลงทุน’ ต่างจาก ‘เก็งกำไร’ คือ อันนึงทำงานเพื่อเงิน ..อีกอันคือ ‘อยู่เฉยๆ แล้วให้เงินทำงาน’

- ‘นั่งเฉยๆ แล้วให้เงินทำงาน’ ...มันฟังดูเหมือนจะง่าย แต่คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้ เพราะ ‘ขาดประสบการณ์’

- ‘ประสบการณ์’ คือ สิ่งที่คนเราได้รับ เมื่อเราไม่ได้ในสิ่งที่เราต้องการ

- ‘ชัยชนะ และ ความสมหวัง’ จึงไม่ใช่สิ่งที่สร้าง และ สั่งสมประสบการณ์ ...แต่มันทำหน้าที่ตรงข้าม ..มันสั่งสมความประมาท และ นำไปสู่ความล้มเหลวในที่สุด

- ‘ประสบการณ์’ ในยุคนี้สำคัญกว่า ‘ความรู้’ ...เพราะ ความรู้ คือ การท่องจำ แต่ ประสบการณ์ คือ การสั่งสมและเรียนรู้จากความผิดพลาด ...มันจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถถ่ายทอดได้ เรียก ‘ความรู้ด้วยตน’ (ทักษะ) : skill 

- ‘การลงทุน’ มันมีแก่นที่ ‘ความรู้ บวก ความอดทน’ ..รู้งบ รู้ธุรกิจ รู้กราฟ ...ธุรกิจดี ซื้อในวิกฤต ...ซื้อของดี รอเวลาถูก ...แล้วอดทนรวยให้เป็น

- ธรรมชาติ ของ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ คือ ‘คนที่สามารถซื้อหุ้นที่ตัวเองไม่ต้องการ ในเวลาที่ไม่ได้อยากซื้อ แล้วทนถือให้มันทำงานจนเลี้ยงเราได้’ 

- ‘การติดหุ้น’ มี 2 แบบ คือ หนึ่ง ติดเพราะความไม่รู้ ส่วน สอง คือ ติดเพราะมั่นใจมากเกินไป

- ทางแก้ของการติดหุ้น คือ หนึ่ง ทนรอ ..สอง เรียนรู้ ...การติดหุ้นจริงๆ ไม่ใช่หายนะ แต่มันคือ ขั้นตอนของการเรียนรู้ และ สร้างประสบการณ์ในตลาดหุ้น

- ‘อาชีพที่นั่งเฉยๆ แล้วรวย’ มีแต่ ‘อาชีพนักลงทุน’ ที่ไม่ได้จำกัดว่า ต้องมีเงิน หรือ มีความเก่ง ...มันสามารถเริ่มจากเงินน้อย ...จากไม่มีความรู้ ...แล้วค่อยๆ สร้างอาชีพนี้ขึ้นมาเอง 

- ‘เคล็ดลับการร่ำรวยจากหุ้น’ คือ เวลา ...ในเมื่อหุ้นคือ สินทรัพย์ที่ดีที่สุด ...การเลือกซื้อในจังหวะที่ถูกแล้วทนรวย จึงทำให้เราสามารถร่ำรวยสูงสุดจากตลาดหุ้น

- ถ้าเก็บเงินเดือนละหนึ่งพันบาท ชั่วชีวิต เราจะมีเงินเท่ากับ 720,000 บาท(60 ปี) แต่ถ้าเอาเงินพันบาท ทุกเดือนมาซื้อหุ้นแล้วถือตลอดชีวิต จะได้พอร์ตหุ้นมูลค่า 100 ล้านบาท ...ต่างกัน 133 เท่า เพราะพลังของดอกเบี้ยทบต้นจากการลงทุนในสินทรัพย์อย่างหุ้นนั่นเอง (Compund Interest)

- ที่ดิน ว่า ถือแล้วรวย ...หุ้น ถือ แล้วรวยกว่ามาก ...แต่คนส่วนใหญ่แค่ไม่ได้ถือ ...ไม่ใช่เพราะไม่มีเงิน แต่เพราะไม่รู้ว่ามันดีมากๆ ...ก็เท่านั้นเอง

- เมื่อเวลาผ่านไป ‘ความเข้าใจ’ จะค่อยๆ ชัดขึ้น ...ความร่ำรวยจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น และ เพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่าทวีคูณ ...นี่คือ หลักของการเรียนรู้ สั่งสมประสบการณ์ และ การทนรวยในแบบของนักลงทุนนั่นเอง

....ถ้าสนใจ ต้องรู้มันให้จริง ...เมื่อเริ่มเดิน อย่าหยุดระหว่างทาง เพียงแค่เจออุปสรรค ...การสะสมความผิดพลาดจากตลาดหุ้น คือ ทางเดียวที่เพิ่มทักษะที่จะเปลี่ยนทั้งชีวิตของเรา

...เงินทำงาน ...อดทนรวย ....ยิ่งแก่ ยิ่งมีอิสรภาพทางการเงิน ...นี่แหละ อาชีพนักลงทุน!!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2562

4 งานที่ ยิ่งทำ ยิ่งจน

4 งาน ที่ยิ่งทำ ยิ่งจน 

ธรรมชาติของ ‘งานดี’ คือ งานที่ยิ่งทำ ยิ่งรายได้เพิ่ม ...ส่วนงานไม่ดี ก็ตรงๆเลย คือ ยิ่งทำ ยิ่งจน 

ลองมาดู ซิว่า 4 งาน ที่จะถูกทดแทน มีดังนี้ 

1. ‘งานซ้ำ’ ..งานที่ทำอะไรซ้ำๆ จะถูกเครื่องจักรทดแทน เพราะ เครื่องจักรทำอะไรซ้ำๆ ได้ดีกว่าคน 

นายจ้าง จะเลือกใช้คอมพิวเตอร์ และ เครื่องจักร มาแทนคนให้มากที่สุด 

2. ‘งานโหล’ ...งานที่ใครทำแทนก็ได้ ..สมมุติพรุ่งนี้คุณลาออก บริษัทก็สามารถหาคนมาทำแทนได้ไม่ยากเย็น 

งานโหลคือ งานที่ใช้ทักษะน้อย ไม่ต้องใช้ความรู้มากมาย ...ใครที่ทำงานแบบนี้ ต้องเร่งเติมความรู้ เพิ่มทักษะ และ พัฒนาตัวเองโดยด่วน

3. ‘งานง่าย’ ...งานง่าย งานสบาย งานแบบนี้ มีแต่รายได้ลดลง อนาคตไม่มี 

ถ้าอยากรุ่ง ต้องมุ่งไปที่งานยาก ...ยิ่งสามารถทำงานยากให้ง่าย ก็ยิ่งดีมาก

4. ‘งานที่ไม่ต้องเรียนรู้เพิ่ม’ ...งานอะไรที่เราไม่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม เป็นงานอันตราย ที่ยิ่งทำยิ่งตกยุค ยิ่งทำยิ่งรายได้ลด

งานที่ดี ต้องบังคับให้เราต้องเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องนั่นเอง

...ลองใช้ กฏ 4 ข้อนี้ สำรวจงานที่เราทำอยู่ว่า เข้าข่ายนี้หรือไม่ ...ถ้าใช่ ต้องรีบปรับเปลี่ยนโดยด่วนเลยครับ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2562

10 หลักคิด เริ่มธุรกิจที่ยิ่งทำ ยิ่งรวย

10 หลักคิด สร้างธุรกิจ ..ยิ่งทำยิ่งรุ่ง ยิ่งรวย

1. ‘ธุรกิจที่เริ่มจากความถนัดของเจ้าของ’ ...คนเริ่มธุรกิจมี 2 แบบ อย่างแรกคือ พวกทำตามกระแส อย่างที่สอง คือ พวกที่เริ่มตามความถนัด ...พวกแรกมักจะเจ๊งก่อน พวกหลังมักจะรอด

2. ‘ธุรกิจที่เริ่มด้วยเงินน้อย’ ...ธุรกิจเริ่มจากเงินก็มี 2 แบบ หนึ่ง คือ พวกลงทุนเยอะ ..พวกที่สองลงทุนน้อย ...อย่างหลังมีโอกาสรอดมากกว่า

3. ‘ธุรกิจที่เริ่มจากลูกค้าเก่า’ ...หลายคนเริ่มธุรกิจแล้วค่อยไปลุ้นหาลูกค้า หวังว่า จะเจอลูกค้าดี ...แต่คนที่มีโอกาสรอดสูงกว่า คือ พวกที่เริ่มและขยายจากฐานลูกค้าเก่า

4. ‘ธุรกิจเริ่มจากเงินกู’ ...พวกที่เริ่มจากเงินกู มักรอดมากกว่าพวกที่เริ่มจากเงินกู้ 

5. ‘ธุรกิจที่คนทำน้อย’ ...ถ้าทำอะไรที่คนทำเยอะ อย่าทำ เพราะ มันรอดยาก 

6. ‘ธุรกิจที่ทำแล้วมีคนพูดถึง’ ...ถ้าสิ่งที่ทำมันไม่เจ๋งพอให้คนพูดถึง ซวยละ เพราะ word of mouth คือ การตลาดที่ทรงพลังที่สุดในโลกยุคนี้ ...ทำอะไรต้องแจ๋วพอให้คนบอกต่อ !!

7. ‘ธุรกิจต้องมีคนใช้ซ้ำ’ ...ถ้าธุรกิจจะยั่งยืน คนต้องใช้ซ้ำ ..เงินถึงจะไหลมาเรื่อยๆ

8. ‘ธุรกิจที่ใช้คนให้น้อย’ ...คนแทนด้วยระบบ คนแทนด้วยเทคโนโลยี ...ใช้เทคโนโลยีและระบบแทนแรงงานคนทุกครั้งที่มีโอกาส

9. ‘ธุรกิจต้องคิดขยายง่าย’ ...ต้องตอบให้ได้ ขาย 1,000 ชิ้น ..หมื่นชิ้น ...แสนชิ้น ...ล้านชิ้น ...ขายอย่างไร ...ทำได้ไหม ...ตอบให้ชัดเจน

10. ‘ออนไลน์และออฟไลน์ ต้องผสานเป็นหนึ่ง’ ...เดี๋ยวนี้ธุรกิจต้องรวมโลกยุคใหม่และธุรกิจดั้งเดิม เพื่อประสิทธิภาพสูงที่สุด ทั้งต้นทุน และ โอกาสในการขาย

คิดได้ ลงมือทำเลย ...เอาใจช่วยครับ !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

10 หลักคิด ขี้เกียจให้ฉลาด แล้วได้ดี

‘ยุคพ่อแม่เรา ใครขยันก็จะรวย แต่โลกยุคนี้ คนขี้เกียจ มีโอกาสรวยมากกว่า’ 

...แต่เดี๋ยวอ่านให้จบ อย่าอ่านแค่หัวข้อ มัน งง 

- การเล่นหุ้น ยิ่งขยันเทรดเท่าไหร่ โอกาสได้ยิ่งลด โอกาสเจ๊งยิ่งมากขึ้น

- งานใช้มือ ออกแรงแทบตาย ทั้งวัน รายได้นิดเดียว ..งานใช้สมอง หรือ ควบคุมเครื่องจักร ได้เงินมากกว่า

- เกษตรกรบ้านเรา ทำงานหนังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน ..ได้เงินน้อยกว่า เกษตรกรในต่างประเทศ ทำงานใช้เครื่องจักรทำในพื้นที่ใหญ่กว่า ใช้คนน้อยกว่า แถมได้ผลผลิตต่อไร้ที่สูงกว่า

- นักรบ นักดาบ ได้รบ ได้สู้ตาย (สู้แล้วตาย) แต่ไม่เคยได้ควบคุมอาณาจักร

...ขอต้อนรับ เข้าสู่ ยุคของคนขี้เกียจ แต่ต้อง “ขี้เกียจอย่างชาญฉลาด” ด้วยกฏ 10 ข้อดังนี้

1. ‘ถ้าเราทำงานจนไม่เหลือเวลาว่างเลย แปลว่า งานเราไม่ฉลาด หรือ ไม่ก็ตัวเราไม่ฉลาด’ ...ต้องหาให้เจอว่า สิ่งใดไม่ฉลาด แล้วลงมือแก้ไขทันที ...ทุกงานต้องมีเวลาว่าง 

2. ‘เวลาว่าง คือ เวลาแห่งการพัฒนา’ ...คนที่งานยุ่งตลอด จะเป็นคนที่ไม่ค่อยได้พัฒนาความรู้ตัวเอง ...ให้แบ่งเวลาว่าง ให้เป็นเวลาแห่งการพัฒนาตัวเอง 

3. ‘ถ้าเราว่างมากเกินไป เราจะใช้เวลาว่างนั้นทำลายตัวเอง’ ...ต้องมีเวลาว่าง แต่ไม่ใช่ว่างงาน เพราะ นั่นคือ หายนะ

4. ‘อย่าเก่งแค่เฉพาะงานของตัวเอง’ ...คนที่เก่งเฉพาะงานของตัวเอง มักจะตกอับในวันนึง ...วันนี้งานของเรา ไม่เป็นที่ต้องการของตลาด ...ให้ศึกษางานคนอื่น ที่เกี่ยวเนื่องกับงานของเรา เพราะ เราไม่รู้ว่า การเปลี่ยนแปลงข้างหน้ามันคืออะไร

5. ‘ให้พยายามมองหาเครื่องทุ่นแรง’ ...ให้หาเทคโนโลยีทุกอย่าง ที่มาแทนเวลาของเรา ...เราจะกลายเป็นคนขี้เกียจที่สบายและรวยขึ้นเรื่อยๆ

6. ‘ให้สอนคนอื่นเยอะๆ’ ...ยิ่งมีคนทำงานได้เหมือนเรา คนสอน ก็ยิ่งสบายขึ้น ...ใช่!! เลิกทำงานใช้มือ มาทำงานใช้ปากแทน 

7. ‘ให้ร่วมมือกับคนเก่ง แล้วแบ่งกำไรกัน’ ..อย่าไปหวงโอกาส ...ยุคนี้เต็มไปด้วยโอกาส แต่ขาดคนทำงาน ...ร่วมงานคนเก่ง แบ่งกำไรกัน

8. ‘คนดี คนเก่ง ต้องให้เขาเยอะๆ’ ...เราเอาให้น้อย แบ่งให้เยอะ แล้วเขาจะไม่คุ้มที่จะไปทำฃานกับคนอื่น ...เหมือนเราจะได้น้อย แต่เอาด้วย มักจะได้ยาว และ ยั่งยืน

9. ‘ขี้เกียจแต่ตรงต่อเวลา’ ...คนยุ่งมักเป็นคนที่ไม่ตรงเวลา ไม่รักษาเวลา เพราะ คนเหล่านั้นเขาจัดสรรเวลาไม่เป็น ...เราจัดสรรเวลาเป็น ต้องตรงต่อเวลา นี่คือ จุดแข็ง 

10. ‘คนขี้เกียจ ต้องให้เงินทำงานแทน’ ...ได้เงินมาเท่าไหร่ เปลี่ยนให้เป็น สินทรัพย์ อย่างหุ้น แล้วถือมันตลอดไป ให้สร้างกระแสเงินสด และ ปันผล ทำงานแทนเรา เมื่อเราขี้เกียจทำงาน


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

9 นโยบายเพิ่มรายได้ ที่เราควรรู้


9 นโยบายการเปลี่ยน ที่ทำให้ธุรกิจและเรา มีรายได้เพิ่มขึ้น 

1. ‘เพิ่มผลผลิตต่อไร่’ ..การเพิ่มผลผลิตต่อไร่(ต่อหน่วย) คือ การใส่เทคโนโลยีเข้าไปเพื่อให้ผลผลิตเพิ่ม ...ที่เกษตรกรต่างประเทศมีรายได้ดีกว่าเรา ก็เพราะ ใส่เทคโนโลยีเข้าไป

2. ‘เพิ่มรายได้ต่อเดือน’ ...ใส่ความรู้และใบปริญญาเพิ่ม ก็จะมีรายได้ต่อเดือนเพิ่ม ...แต่ปัญหาของการเพิ่มรายได้จุดนี้ มันมีคู่แข่งมากในปัจจุบัน และ มันก็มีเพดานการเพิ่มที่จำกัด

3. ‘เพิ่มรายได้ต่อหัว’ ...ด้วยยอดขายเท่านี้ เราใช้พนักงานก็คน ...คนที่ลดจำนวนคน และ เพิ่มรายได้ ย่อมมีรายได้ที่สูงกว่า

4. ‘เวลาเทียบกับผลผลิต’ ...ใครที่ทำได้เร็วกว่า ย่อมรายได้สูงกว่า

5. ‘กำไรเทียบยอดขาย’ ...กำไรเทียบกับยอดขายที่สูงกว่า แปลว่า ใช้ความคิดและการต่อยอดที่มากกว่า เช่น แบรนด์แข็งกว่า , คุณภาพดีกว่า , ถูกใจลูกค้ามากกว่า , บริการเหนือกว่า เป็นต้น

6. ‘รายได้เทียบสินทรัพย์’ ..ธุรกิจยิ่งสมัยใหม่เท่าไหร่ ก็ยิ่งมี Fix Cost ที่ต่ำลง แต่รายได้ และ กำไรสูงขึ้น ...เพราะธุรกิจสมัยก่อน ล้วนวางอยู่บนที่ดิน ซึ่งมีต้นทุนสูงขึ้นตลอด ...แต่ธุรกิจสมัยใหม่ วางอยู่บนอากาศ ดังนั้น ความคิดสร้างสรรค์จึงเป็นความได้เปรียบของการแข่งขัน

7. ‘จำนวนพนักงานเทียบกับยอดขาย’ ...คนลด เทคโนโลยีต้องเพิ่ม ...คนลด สมองต้องเพิ่ม 

8. ‘ลดการขายสินค้า เพิ่มการขายกระบวนการแก้ปัญหา’ ...คนเราซื้อสินค้าเพราะต้องการแก้ไขปัญหาอะไรบางอย่าง ...ให้มุ่งไปที่การแก้ปัญหาลูกค้าให้เร็วที่สุด เช่น คนซื้อสว่านไม่ได้อยากได้สว่าน เขาแค่อยากได้รูบนฝาผนัง ...ขาย Solution คิดได้แพง และ สร้างความแตกต่างที่ยั่งยืนกว่า

9. ‘เพิ่มเวลาว่างให้พนักงาน’ ...บริษัทที่คนมีเวลาว่างให้คิดมาก เราเห็นตัวอย่าง Google ที่เปิดให้พนักงาน มีเวลาว่าง ในการเลือกทำอะไรก็ได้ ให้เกิดความสร้างสรรค์ ...ต่างกับโรงงานนรก ที่ทุกคนล้วนทำงานหนัก แต่ผลิตผลลดลงเรื่อยๆ สวนทาง กับ ชั่วโมงการทำงานที่เพิ่มขึ้น

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ