แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560

10 เรื่อง ที่เศรษฐีสอนลูกเรื่องเงิน



10 เรื่อง ที่เศรษฐีสอนลูกเรื่องเงิน


ถ้าอยากโดนต่อยหน้า ให้ออกไปต่อยหน้าคนอื่น ..ถ้าอยากได้ความรัก ให้ออกไปให้ความรักคนอื่น ...แล้วถ้าอยากได้เงินล่ะ ? ...ให้เราเอาเงินออกไปแจกคนอื่น ใช่หรือไม่ ?


ไม่ !! ถ้าอยากได้เงิน ให้เรา ‘รับใช้ และ แก้ปัญหา’ ให้คนอื่น 


- หากวันนี้เราได้เงินน้อย แปลว่า ความสามารถในการรับใช้ และ แก้ปัญหาให้คนอื่น ไม่ได้เรื่อง (ความสามารถเราน้อยเกินไป ..รู้น้อย เรียนน้อย ก็เพราะเรามีความพยายามน้อยนั่นแหละ)


- หากอยากได้เงินเยอะ ...ให้เริ่มที่พัฒนา ความสามารถในการรับใช้ และ แก้ปัญหา ให้ผู้คน


1. ‘ชีวิตอิสระในยุคนี้เริ่มจากมีเงิน’ ..คนที่ไม่มีเงินต้องยอมขายเวลาตัวเอง แลกกับเงินน้อยนิด ทำงานที่ตัวเองไม่อยากทำ ...การสร้างอิสรภาพในชีวิต ต้องเรียนรู้วิธีหาเงิน


2. ‘อย่ารอให้จบปริญญาแล้วเพิ่งเริ่มหาเงิน’ ...ทุกคนเริ่มหาเงินได้ทันที เพียงแค่ขายแรงงานและเวลาของตัวเอง แล้วตั้งใจทำงาน ..ขั้นแรกของการหาเงิน ให้เริ่มฝึกจากการขายแรงงาน !!


3. ‘การเพิ่มทักษะ จะทำให้เราขายแรงงานได้ราคาสูงขึ้น’ ...อยากได้เงินเดือนเพิ่ม ให้พัฒนาทักษะที่เรามีให้เหมาะสมกับเงินที่อยากได้ (ทักษะสูง = เงินเดือนสูง)


4. ‘ถ้าอยากรวย อย่าขายแรงงานแลกเงิน’ ...ให้สร้างสินทรัพย์เพื่อหาเงิน ...เมื่อเรารู้วิธีขายแรงงานแลกเงินแล้ว ให้เริ่มเรียนรู้การสร้างสินทรัพย์เพื่อหาเงินแทนเรา (คนรวยไม่ขายเวลาแลกเงิน แต่เขาจะสร้างสินทรัพย์เพื่อทำเงินแทน)


5. ‘อย่าเก็บเงินไว้เฉยๆ เพราะมูลค่ามันลดลงตามกาลเวลา’ ...ให้เปลี่ยนเงินเป็นสินทรัพย์ หรือ สิ่งอื่นมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป (สินทรัพย์ คือ สิ่งที่เราถือไว้แล้ว มูลค่ามีแต่เพิ่มขึ้น / ขยะ คือ สิ่งที่เราถือไว้แล้ว มูลค่ามีแต่ลดลง ...รถยนต์ ทีวี ตู้เย็น ...ของส่วนใหญ่ ที่คนยุคนี้สะสมก็คือขยะ)


6. ‘ต้องเก็บเงินซื้อของด้วยตัวเอง’ ...อย่าซื้อของที่อยากได้ ในเวลาที่อยากได้ เพราะ มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่มีทางพอ ...ถ้าอยากได้อะไร อย่าเพิ่งซื้อ ให้เก็บเงินให้ครบจำนวนก่อน แล้วค่อยตัดสินใจซื้อ ..เวลาจะช่วยบอกเราเองว่า เราอยากได้สิ่งนั้นจริงๆ ...เวลาจะช่วยคัดของที่ควรซื้อจริงๆ 


7. ‘เวลาเริ่มธุรกิจให้คิดแบบคนไม่มีเงิน’ ...คนส่วนใหญ่เริ่มธุรกิจจากจ่ายก่อนรับ แต่ยุคนี้เราสามารถสร้างธุรกิจที่รับก่อนจ่าย ...ฝึกคิดจากข้อจำกัด เพื่อจะได้เข้าใจโอกาสธุรกิจที่แท้จริงของโลกยุคใหม่


8. ‘อย่าให้เงินฟรี แก่ลูก เพราะในโลกจริงๆ ไม่มีเงินฟรี’ ...ต้องสอนให้ลูกรู้ว่า เงินทุกบาท ต้องแลกด้วยการทำงานบางอย่าง ...คนส่วนใหญ่สอนให้ลูกใช้เงิน แต่ไม่เคยสอนว่าหาเงินยังไง 


9. ‘ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ทุกคนต้องบริหารรายรับ และรายจ่ายด้วยตัวเอง’ ...ถ้าคุณสอนลูกว่า อยากได้เงินเท่าไหร่ก็ให้มาบอก แปลว่า คุณกำลังสอนให้เขาเป็นผู้ด้อยโอกาสทางการเงิน


10. ‘ไม่มีโอกาสทางการเงินที่ดี ที่วิ่งมาหาเรา’ ...โอกาสที่วิ่งเข้ามาหาเราเกือบทั้งหมด เป็นสิ่งหลอกลวง แชร์ลูกโซ่ หลอกให้ลงทุนในสิ่งที่ได้เงินง่าย ได้เงินเร็ว ...โอกาสจริงๆ จะวิ่งเข้ามา เมื่อเรามีความสามารถพอ ...ดังนั้น เลิกหวัง แต่ให้ตั้งใจพัฒนาความสามารถและความรู้แทน


‘ทักษะที่เพิ่ม ความรู้ที่สั่งสม’ ก็คือ เครื่องสร้างโอกาส ที่เราค่อยๆ สร้างมันขึ้นมาเอง 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

หนังสือที่เปลี่ยนชีวิตเรา

หนังสือที่เปลี่ยนชีวิตเรา คือ หนังสือที่เราตั้งใจอ่านมัน ..มันอาจจะเป็นหนังสือการ์ตูน โดเรมอน หรือ โคนัน ก็ได้ ...ตราบเท่าที่เราตั้งใจอ่านมัน แล้วเก็บแง่คิดบางอย่างมาปรับใช้ในชีวิตจริงได้


- โดเรมอน สอนผมว่า ‘ทุกปัญหาแก้ไขได้ และ ไม่มีที่สิ้นสุดของจินตนาการ’


- ไอสไตน์ สอนว่า ‘จินตนาการสำคัญกว่า ความรู้’ 


- โดเรมอน จึงไปถาม โคนันว่า แล้วนายคิดอย่างไร ..โคนัน ตอบว่า ‘ความจริงมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น’


- โรงเรียนสอนว่า ‘กฏระเบียบ และ วินัย คือ รากฐานสำคัญของมนุษย์’


- ที่ทำงานสอนว่า ‘ไม่มีใคร ใหญ่กว่านาย’


- ธุรกิจส่วนตัวสอนว่า ‘อิสระ เป็นเรื่องดี แต่ต้องมีแดกด้วย’ 


- การเปลี่ยนแปลง สอนว่า ‘การเปลี่ยนแปลง เป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้’


- เวลา สอนว่า ‘ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง เมื่อเวลาผ่านไป’


- คนส่วนใหญ่อยากย้อนเวลาได้ ..เด็กอยากวิ่งไปในอนาคต ...แต่ผู้ใหญ่อยากย้อนไปในอดีต ...และ ที่ตลกที่สุดคือ มีมนุษย์ไม่กี่คนหรอก ที่อยากอยู่ในเวลาปัจจุบัน


- ทำไมปัจจุบัน คือ ความทุกข์ ..ทำไม ปัจจุบัน คือ ข้อจำกัด ...ทำไม ปัจจุบัน ผ่านไป ไวเหมือนโกหก



วันเสาร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2560

10 เทรนด์ธุรกิจที่มาแรงปี 2018



10 แนวโน้มธุรกิจมาแรงในปี 2018


เมื่อมนุษย์ออกจากถ้ำ การเกษตรคือโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น


เมื่อเครื่องจักรมาแทนแรงงาน คนที่ได้ประโยชน์คือคนที่สามารถใช้งานและควบคุมเครื่องจักร


เมื่อคอมพิวเตอร์ และ AI มาแทน งานที่มนุษย์ไม่อยากทำ (งานซ้ำซาก , งานน่าเบื่อ , งานที่มีสาระ) คนได้ประโยชน์ คือ คนที่มุ่งเป็นหนึ่งในเรื่องไร้สาระ ...’เข้าสู่ยุคผู้เชี่ยวชาญในงานที่ไม่จำเป็น’


ขอต้อนรับเข้าสู่โลก หลัง AI โลกที่ ความไร้สาระ , ความติสท์ , จินตนาการ , ศิลปะ และ สมองซีกขวา คุมเงินและโอกาสที่กำลังจะมา


นี่คือ 10 แนวโน้มธุรกิจที่มาแรง แซงกระจาย


1. ‘การขนส่ง’ ..เมื่อการค้าขายออนไลน์มาแรง กระดูกสันหลังของธุรกิจออนไลน์คือ การส่งของ ทุกรูปแบบ ...ส่งเร็วที่สุด ถูกที่สุด และดีที่สุด ...ส่วนกำไรที่สุดคือ ‘คนคุมวิน แห่งการขนส่งในโลกอนาตต’ 


2. ‘การท่องเที่ยว’ ...ทุกวันนี้สิ่งที่คนส่วนใหญ่วางแผน เฝ้ารอ ฝันใฝ่ คือ การเที่ยว ...หมดยุคการวางแผนชีวิตแล้ว เดี๋ยวนี้การวางแผนอย่างเดียวของชีวิตคนรุ่นใหม่คือ วางแผนเที่ยว ...อะไรที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยว คือ อนาคต


3. ‘งานอดิเรก’ ..มนุษย์ยุคใหม่ จ่ายเงินให้กับงานอดิเรก มากกว่าสิ่งที่จำเป็น ดังนั้น ธุรกิจที่ปั้นขึ้นมาจากงานอดิเรก จะเป็นธุรกิจที่กำไรดี ...ก่อนหน้านี้ เราเห็น จักรยาน มาราธอน ...ต่อไปทุกงานอดิเรกจะเป็นธุรกิจที่ดี


4. ‘พัฒนาทักษะ’ ...ยุคนี้ ทักษะ สำคัญกว่าความรู้ ...ความรู้ยุคนี้ฟรี เพราะ Search เอา ก็รู้ได้ทุกอย่าง แต่ทักษะไม่ฟรี ..ธุรกิจการศึกษาในอนาคตจะมุ่งไปที่พัฒนาทักษะ ที่เรียนเสร็จใช้หาเงินได้ทันที ...คนในอนาคตจะเปลี่ยนงานตลอดเวลา และทุกครั้งที่อยากเปลี่ยนงาน ก็ต้องเริ่มจากการพัฒนาทักษะสำหรับงานใหม่


5. ‘กินเพื่อโชว์’ ...ยุคต่อไปอาหารเหลือเฟือและราคาถูก ..แค่ธุรกิจกินเพื่ออยู่มัน Out ..ต้องกินเพื่อโชว์ ..ง่ายๆ ถ่ายรูปได้ แล้วอยากแชร์


6. ‘สินค้าเฉพาะกลุ่ม’ ...หมดยุคสินค้า Mass Production ไปแล้ว ..ยุคนี้สินค้าที่มาแทนคือ สินค้าเฉพาะกลุ่ม ผลิตจำนวนจำกัด ...เราจะเห็น Crowdfunding Products มากขึ้น คือ มีแนวทางเฉพาะตัวไม่เหมือน - สั่งก่อนซื้อ - ผลิตจำกัด - ขายต่อได้ราคา


7. ‘บริการเฉพาะกลุ่ม’ ...ทุกคนอยากเป็นคนพิเศษ ในทุกบริการ ..ต้องแบ่งชัดว่า เราคือกลุ่มอะไร Super Exclusive , กลุ่มความสนใจเฉพาะ , กลุ่มรักสุขภาพ , Self-made SME , ทายาทธุรกิจ , ..


8. ‘ดาราเฉพาะกลุ่ม’ ...ไม่มีแล้ว พี่เบิร์ดที่คนทั้งประเทศคลั่งไคล้ จะมีแต่ดาราเฉพาะกลุ่ม ที่ ทั้งแสดง ทั้งนำกลุ่ม ทั้งขายของ ทำทุกอย่างเพื่อดูแลกลุ่มลูกค้าเฉพาะของตัวเอง


9. ‘เช่าเพื่อโชว์’ ...ของหรูหรา กระเป๋า นาฬิกา รถยนต์ หรือ แม้กระทั่งบ้านพัก คฤหาสน์ตากอากาศ ..จะเปลี่ยนจากการซื้อ เป็นการเช่าทั้งหมด ...คนที่สามารถออกแบบการเช่า ให้โดนใจที่สุด คนนั้นชนะ 


10. ‘ธุรกิจ Outsourcing แรงงาน’ ...ไม่เฉพาะสินค้าเท่านั้นที่จะเข้าสู่โลกของการเช่า ...มนุษย์เองก็จะเข้าสู่การเช่าเช่นกัน ...แทนที่จะขายเวลาตัวเองให้บริษัทใด บริษัทหนึ่ง เราจะให้เช่าแทน 


ต่อไป คือ โลกของประสบการณ์ และ การแชร์ ..เช่า ไม่ครอบครอง ..ชั่วคราว ไม่ถาวร ...ปรับเปลี่ยน รวดเร็ว ...สนุก ตื่นเต้น แต่ฉาบฉวย ..ร่ำรวย แต่ เดียวดาย


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม






วันพฤหัสบดีที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ทำไมคนแบบนี้ถึงโคตรรวย !!



‘ทำไมคนแบบนี้ถึงโคตรรวย ..?’ 


วันนี้คนที่รวยอันดับต้นๆ ของโลก ล้วนสร้างตัวด้วยตัวเอง ภายในช่วงชีวิตของตัวเอง ...ถ้าเป็นยุคก่อน การสร้างความมั่งคั่ง มันอาศัยช่วงเวลาหลายช่วงอายุคน ...ความรวยในอดีต มักเกิดจากการส่งต่อ สืบทอด 


แต่สิ่งเหล่านั้นเปลี่ยนไป เมื่อโลกเข้าสู่ยุคใหม่


คุณเคยสงสัยไหมว่า อะไรที่เป็นตัวแบ่งว่า เป็นโลกยุคไหน ...บางคนอาจใช้สิ่งที่คนใช้มากที่สุด ในช่วงเวลานั้นๆ เช่น ยุคหิน ยุคเหล็ก ..ยุคอุตสาหกรรม ..ยุคคาร์บอน (น้ำมันครองโลก ..ใครก็ตามที่ครอบครองสิ่งที่จำเป็นที่สุดในแต่ละยุค คนนั้นจะเป็นเศรษฐี)


คำถามคือ คุณรู้ไหมว่า โลกยุคนี้คืออะไร ?


บางคนบอกว่า ปัจจุบันคือโลกยุคดิจิตอล ...แปลว่า ใครครอบครอง ดิจิตอลมากที้สุด คนนั้นรวยที่สุดเหรอ ? ...อะไรคือ ดิจิตอล ? 


เอางี้เรามาดูกันว่า คนรวยที่สุดในโลกยุคนี้ครอบครองอะไร ?


มาดู Jeff Bezos เจ้าของ Amazon เขาครอบครองอะไร


1. ‘เป็นรายใหญ่ในทุกตลาดที่เลือกทำ’ ..เขาครองส่วนแบ่งลูกค้า เป็นที่หนึ่งในธุรกิจส่วนใหญ่ที่เขาเลือกทำ ...เพราะรายใหญ่ คือ คนที่ได้กำไรสูงสุดในทุกที่ ที่เขาอยู่ (เบอร์หนึ่ง มักทำกำไรเกิน 50% ของตลาดที่เขาเลือก)


2. ‘ลูกค้าเป็นใหญ่ที่สุด’ ...ทุกสิ่งที่เขาเลือกทำ เขาเลือกที่จะ ตอบสนองลูกค้าให้ดีที่สุด ซึ่งก็คือ ‘หาสินค้าที่ลูกค้าต้องการ - ส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้าให้เร็วที่สุด - ด้วยราคาที่ถูกที่สุด’


3. ‘ไม่สนใจเส้นแบ่งอุตสาหกรรม’ ...Amazon ไม่เคยสนใจว่า เขาอยู่ในอุตสาหกรรมอะไร เพราะ เขาพร้อมที่จะกระโจนสู่อุตสาหกรรมใหม่แบบไร้ขีดจำกัด ...ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ ธุรกิจที่เขากำไรมากที่สุดวันนี้คือ ธุรกิจ Cloud ซึ่งแทบไม่มีอะไรเกี่ยวกับร้านขายหนังสือออนไลน์ที่เขาเริ่มต้นเลย


4. ‘ไม่สนใจนักลงทุน’ ..บริษัทส่วนใหญ่ที่อยู่ในตลาดหุ้น มักให้ความสำคัญกับนักลงทุนสูงสุด ..จึงพยายามทำกำไรให้มากที่สุด และเร็วที่สุด (สุดท้ายก็พลาดแบบ Nokia หรือ Kodak เพราะมัวแต่ทำธุรกิจเพื่อกำไรระยะสั้น) 


..แต่ Amazon เลือกที่จะ มองข้ามกำไรระยะสั้น แล้วมุ่งเน้นผลประโยชน์ในระยะยาวเป็นหลัก ...เช่น ยอมลงทุนในสิ่งใหม่ๆ ที่ใช้เวลานานในการคืนทุน , ยอมลงทุนใน Warehouses ทั้งที่เช่าถูกกว่า แต่ Amazon ก็เลือกที่จะลงทุนด้วยตัวเอง เพื่อเป้าหมายในการควบคุมการส่งสินค้าด้วยตัวเอง


5. ‘ไม่ลงทุนในสิ่งที่ไม่จำเป็น’ ..ถ้าเราศึกษาแนวคิดของ Jeff จะพบว่า อะไรที่ไม่จำเป็นต่ออนาคตของธุรกิจ เขาจะไม่เสียเงินกับสิ่งนั้นเลย ...การใช้ชีวิต การแต่งตัวของ Jeff เรียบง่ายมาก ไม่มีการโชว์ความไฮโซหรูหรา แม้ว่าวันนี้เขาจะรวยอันดับต้นๆ ของโลกก็ตาม


จะเห็นได้ว่า คนที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ มักมีจุดยืน ที่ไม่เหมือนใคร


คนส่วนใหญ่ อยากรวย เพื่อโชว์รวย แต่คนที่รวยที่สุดในโลกอย่าง Jeff เขารวยเพื่อที่จะทำสิ่งที่เขาอยากทำ 


เขาบอกว่า คนรุ่นเขารวยง่าย เพราะ ธุรกิจไอที เริ่มด้วยเงินน้อย เริ่มที่ไหนก็ได้ แต่ยุคต่อไป ที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเช่น การเดินทางไปนอกโลก การใช้ทรัพยากรนอกโลก มันต้องใช้เงินมหาศาล ...นั่นคือ สิ่งต่อไปที่เขาอยากจะทำเพื่อคนรุ่นต่อไป


Elon Musk จะไปดาวอังคาร , Jeff Bezos จะไปใช้ทรัพยากรนอกโลก , Richard Branson จะทำทัวร์นอกโลก 


พอจะรู้ละ ยุคนี้ ถ้าคุณบ้าไม่พอ ...มัวแต่หาเงินเพื่อซื้อของโชว์คนอื่น ...เราจะไปไม่ถึงดาวอังคาร !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพุธที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2560

7 วิธีให้ชีวิต ทวนกระแส ให้ชีวิตมั่งคั่ง แบบยั่งยืน




7 วิธี ใช้ชีวิตทวนกระแส ให้เรามั่งคั่ง แบบยั่งยืน


คนทุกยุค ทุกสมัย มักใช้ชีวิตเหมือนๆ กัน ตามกระแสคล้ายๆ กัน ...สุดท้ายก็ตั้งคำถามกับตัวเอง คล้ายๆ กันอีกว่า ‘แล้วทำไม ชีวิตเราถึงเหมือนคนอื่น ?’


..ก็ใช้ชีวิตเหมือนคนอื่น ..ชีวิตก็เลยเหมือนคนอื่น มันแปลกตรงไหนล่ะ ...เรามาดูกันซิว่า คนที่ชีวิตไม่เหมือนคนอื่น ...ใช้ชีวิตทวนกระแส เขาทำกันอย่างไร ?


1. ‘หาเงินเป็น ก่อนใช้เงินเป็น’ ...อันนี้คนไทยไม่ค่อยได้สัมผัส แต่ลูกคนจีนจะถูกพ่อแม่สอนให้หาเงินตั้งแต่เด็ก ..ช่วยพ่อแม่ค้าขาย ..ช่วยพีอแม่ทำงานแต่เด็ก ...วันนี้คนเหล่านี้กลายเป็นเถ้าแก่ เป็นเจ้าสัวกันไปหมดแล้ว เพราะ หาเงินเก่ง แต่ใช้เงินไม่เก่ง


2. ‘เรียนไป ทำงานไปพร้อมกัน’ ..ลูกคนไทยส่วนใหญ่พ่อแม่จะให้เรียนอย่างเดียว เดี๋ยวพ่อแม่ลำบากเอง ลูกตั้งใจเรียนก็พอ ...ดูเหมือนจะดีนะ แต่ส่วนใหญ่กลับไม่ดี เพราะลูกไม่รู้ค่าของเงิน ก็เอาแต่เรียนจะไปรู้ได้อย่างไร ว่าเงินมันหายาก (โลกจริงๆ เรียนน่ะง่ายจะตาย หาเงินจริงซิ ต้องฝึกกันทั้งชีวิต)


3. ‘อย่าซื้อของแค่ให้ตัวเองดูดี’ ...คนส่วนใหญ่จ่ายเงินซื้อของ ยอมเป็นหนี้ ส่วนใหญ่แค่อยากให้ตัวเองดูดี ...ยอมผ่อนมือถือไอโฟนรุ่นใหม่ ...ยอมเป็นหนี้ เพื่อดูดี แต่ไม่มีประโยชน์ ...คนเหล่านี้มักบนว่า โลกนี้ช่างโหดร้าย แต่ลืมมองดูตัวเองว่า วิธีคิดที่อยากดีต่างหากที่มันทำให้ชีวิตโหดร้าย เพราะมันแพง !!


4. ‘ใช้เงินมากกว่าที่หา’ ..คนยุคนี้อยู่แบบเดือนชนเดือน ใช้ชีวิตเยี่ยงทาส ก็เพราะติดนิสัย ใช้เงินมากกว่าที่หา แล้วเอาแต่สร้างหนี้ ...แค่ใช้ให้น้อย ชีวิตก็จะสบายขึ้น ขยะที่ซื้อมาเต็มบ้านก็จะลดลง ...ไม่ยากเลย แค่สวนกระแส ไม่สร้างหนี้ ชีวิตก็จะค่อยๆ ดีขึ้น


5. ‘ของรุ่นใหม่ เอาไว้หลอกกินเงิน’ ...อย่าง iPhone นี่ชัดเลย ซื้อตกรุ่นแค่รุ่นเดียว ราคาลงกว่าครึ่ง ...แล้วที่ตลกกว่านั้น ของรุ่นใหม่ มันไม่ได้ทำให้เราเท่ห์ขึ้น 2 เท่า ..นั่นน่ะเราคิดไปเอง 


6. ‘เงินเหลือแต่ละเดือน ซื้อ ETF ไปเลย’ ...ออมเงินยุคนี้ ถ้าออมผิดที่ ผลตอบแทนต่างกัน 30 เท่า ...แค่เปลี่ยนที่ออมเงิน จากบัญชีเงินฝาก มาออมใน ETF ผลตอบแทนระยะยาวต่างกันเกิน 30 เท่า ลองคำนวณดู


7. ‘เอาเวลาว่าง ไปออกกำลังกาย’ ...ออกกำลังกาย ดีกว่า ไปช๊อปปิ้ง ตรงที่ สวยหล่อเพิ่ม โดยที่รายจ่ายไม่เพิ่ม ...แถมได้เพื่อนใหม่ ทำให้จิตแจ่มใส ในร่างกายที่ดูดี 


ถ้าลองทำ 7 ข้อนี้ รับรอง ตัวเราจะดูดีขึ้น แถมเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นแน่นอน


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ เมื่อตั้งใจฟัง Buffett



‘ถ้าคุณสามารถเลือกรถอะไรก็ได้ ยี่ห้อไหนก็ได้ 1 คัน คุณจะเลือกรถอะไร ...แต่มีข้อแม้ว่า รถคันนี้ที่คุณเลือก คุณจะต้องใช้มันชั่วชีวิตเปลี่ยนไม่ได้ ?’


คำถามนี้ถามโดย Warren Buffett ในขณะที่เขาสอนเด็กมหาวิทยาลัยกลุ่มนึง ...แน่นอน คนส่วนใหญ่ต้องอยากได้รถสปอร์ตในฝัน ..นั่ง 2 คน หล่อๆ สวยๆ ขับซิ่งๆ แล้ววิ่งไม่รู้เรื่อง 


Buffett กล่าวว่า ‘ร่างกายคนเรา ก็เหมือนกับ รถหนึ่งคันที่เลือกแล้ว ต้องใช้มันชั่วชีวิต!!’ ...ใช่!! หลายๆ คนอาจสงสัยว่า ตัวเรา เราไม่ได้เลือกนี่ ? ...มันจะเหมือนเลือกรถได้อย่างไร ?


จริงๆ แล้ว ตั้งแต่เด็กจนโต เราแต่ละคนล้วน เลือกที่จะเป็นมาตลอด ..ตัวเราในปัจจุบันก็คือ ผลลัพธ์ของการเลือกในอดีต ...คนที่หุ่นดี ก็แปลว่า ในอดีตเขาเลือกออกกำลังกาย ...เลือกความลำบาก ผลที่ได้คือ ร่างกายที่เหมือนรถสปอร์ต 


คนที่เก่ง ก็แปลว่า ในอดีตเขาเลือกสะสมความรู้ และ ประสบการณ์ที่มีประโยชน์ 


Buffett พูดไว้อีกอย่างที่น่าสนใจมากก็คือ ‘คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตแบบเดินละเมอ ผ่านชีวิตไปวันๆ โดยที่ไม่ได้เคยเดินตามฝันของตัวเอง ...ที่เป็นเช่นนั้น เพราะ เอาแต่ตามใจตัวเอง ...เมื่อใดที่เราเอาแต่ตามใจตัวเอง เราจะไม่มีทางเดินไปสู่ฝันของเราได้เลย’


คนที่อยากจะวิ่งตามฝันของตัวเอง ต้องกล้าลุกขึ้นมา ขัดใจตัวเอง เริ่มจากการใช้เงินก่อน 


1. อย่าง Warren Buffett สามารถซื้อบ้านแพงแค่ไหนก็ได้ เขาก็ยังคงอยู่บ้านหลังเดิมที่ซื้อมาไม่กี่หมื่นเหรียญ ทั้งที่เขาเป็นหนึ่งในคนที่รวยที่สุดในโลกแล้ว ..ยิ่งใช้ชีวิตง่าย ผลลัพธ์ชีวิตยิ่งออกมาดี


2. ความมั่งคั่งของ Buffett สัมพันธ์กันโดยตรงกับเงินลูกค้าที่เขาบริหาร ลูกค้ารวยเขาก็รวย ลูกค้าซวยเขาก็ซวย ...นี่คือ การทุ่มทั้งชีวิตในงานที่เขาเชื่ออย่างเต็มกำลัง !!


3. Buffett มักเน้นย้ำเรื่อง ‘อย่าสร้างหนึ้’ ...เขาบอกว่า คนเก่งที่ล้มเหลวเกือบทุกคนเพราะ สร้างหนี้เกินตัว ...ถ้าไม่สร้างหนี้ แทบไม่ใครที่สามารถล้มเหลวได้  ..คนส่วนใหญ่แย่กว่านั้น ดันสร้างหนี้บัตรเครดิต ซื้อของที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ แถมสุดท้ายคือขยะ 


4. ให้ใส่เงินลงในสิ่งที่คุณเข้าใจเท่านั้น ...นี่เป็นเหตุผลที่ทำไม Buffett ไม่เคยล้มเหลวจากวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงเลย ...เพราะ คนที่รอดในทุกวิกฤต คือ คนที่อยู่ในจุดที่เขาถนัดเท่านั้น นอกนั้นแทบไม่มีใครรอด 


5. Buffet เป็นคนที่เข้าใจความแตกต่าง ระหว่าง มูลค่า กับ ราคา มากที่สุดในโลก ...เขากล่าวว่า ‘ราคาคือสิ่งที่คุณจ่าย แต่มูลค่าคือสิ่งที่คุณได้รับ’ ...ทุกวันนี้นักลงทุนส่วนใหญ่ก็ยังซื้อแต่สิ่งที่ราคาสูง และมูลค่าต่ำ แล้วเจอหายนะแทบทุกครั้งไป


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอังคารที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2560

7 เรื่องเล็ก ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ่



7 เรื่อง เล็ก ที่เปลี่ยนชีวิตครั้งใหญ่

ผมศึกษาเรื่องความสำเร็จ จากคนจำนวนมากมาย พบว่า ทุกความสำเร็จยิ่งใหญ่ มันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงจุดเล็กๆ ทั้งสิ้น

หลายคนพยายามนั่งรอโอกาสครั้งใหญ่ จึงไม่เคยเจอ เพราะ ‘การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มันเริ่มจากโอกาสเล็กๆ ต่างหาก’ ...ผมรวบรวม จุดเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ่ มาแชร์กัน 7 เรื่องดังนี้

1. ‘นักเรียนแลกเปลี่ยน’ ...ทุกวันนี้มีหลักสูตรนักเรียนแลกเปลี่ยนมากมาย ทั้งโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ..สมัยผมเด็กๆ มีน้อย แต่หลักสูตรแลกเปลี่ยน AFS ตอนเรียนมัธยม นี่เปลี่ยนชีวิตผมไปอย่างสิ้นเชิง ...จากเด็กที่ภาษาอังกฤษอ่อน เรียนปานกลาง ..ผมกลับมาซ้ำชั้นหลังไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ออสเตรเลียหนึ่งปี ...กลับมาภาษาอังกฤษดี ได้เป็นประธานนักเรียน (ไม่ใช่เพราะเก่ง แต่แก่สุด) ..เข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ เพราะภาษา ...’การได้อยู่ ได้มีเพื่อน ต่างประเทศ ได้อะไรมากมาย’

2. ‘เลือกสิ่งที่เราทำได้ดี’ (แล้วค่อยมาหาสิ่งที่อยากทำ ทีหลัง) ...ตั้งแต่เด็กผมอยากเรียนวิศวะเหมือนพ่อ แต่ผมอ่อนเลข ..คะแนนผมเลือกสายวิทย์ได้ แต่ผมเลือกสายศิลป์ ..ในสมัยนั้น เด็กเก่งจะเลือกสายวิทย์ ส่วนเด็กกลางๆ หรือ กิจกรรม จ๋า จะเลือกสายศิลป์ ...จากที่ผมเคยเรียนกลางๆ พอมาอยู่สายศิลป์ กลายเป็นเด็กเก่งทันที ...ผมใช้สูตรนี้จนเรียนจบมหาวิทยาลัย คือ ‘แม้เราไม่เก่ง แต่ให้เลือกอยู่ในจุดที่เราเก่ง เดี๋ยวมันดีเอง’

3. ‘เริ่มฝึกค้าขายตั้งแต่อายุน้อย’ ...ผมฝึกการขายครั้งแรกตอนมหาวิทยาลัย ..ด้วยความไม่มีประสบการณ์ การขายครั้งแรก ผมถูกชวนเข้าไปทำแชร์ลูกโซ่ ...แต่สิ่งที่ได้เรียนรู้ นอกจากเสียตังค์ มันได้ประสบการณ์ ได้รู้ทักษะขาย ที่เป็นทักษะสำคัญที่สุดในการทำธุรกิจส่วนตัว

4. ‘เปิดธุรกิจตั้งแต่อายุน้อย’ ...หลังจากการขายล้มไม่เป็นท่า ผมเบนเข็มไปที่การเปิดธุรกิจเอง ..ธุรกิจแรกที่ทำคือ ร้านอาหารที่ออสเตรเลียในระหว่างที่ไปเรียนต่อปริญญาโท ...ไฟแรง เน้นขยาย หาทุกทาง ทั้งกู้ ทั้งผ่อน ใช้บัตรเครดิต Maxed Out ..สรุป ก่อนจะเจ๊งผมขยายร้านไปถึง 5 สาขา ก่อนจะได้เรียนรู้เรื่องการจำกัดความเสี่ยงในการทำธุรกิจเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

5. ‘การเป็นลูกจ้าง สำคัญมากในชีวิต’ ...หลายคนคิดว่าชาตินี้ไม่อยากเป็นลูกจ้างใคร ..ผมก็เป็นคนนึงที่เคยคิดแบบนั้น ..แต่หลังจากที่พลาดในชีวิตทั้งการขาย และ การทำธุรกิจ ...การได้กลับมาเรียนรู้จากคนที่เขาสำเร็จ เป็นการเปิดโลกครั้งใหม่ของผม ...ลูกจ้าง คือ อีกโลกนึง ..เมื่อคุณรู้ 2 ด้าน ‘เรียนเป็นลูกจ้าง แล้วเรียนเป็นนายจ้าง’ ภาพการทำธุรกิจคุณจะสมบูรณ์

6. ‘ทักษะการเขียน เปลี่ยนชีวิตผม’ ...การเป็นนักเขียน หรือ ออกหนังสือ ไม่เคยอยู่ในความคิด ...มันเกิดจากผมอยากรวบรวมประสบการณ์ที่ผ่านมา เป็นตัวหนังสือ เรียบเรียง และคิดทบทวน ..การเขียน จะช่วยให้เราตกผลึกทางความคิด ...ใครไม่เคยลอง แนะนำให้ลอง ..นอกจากเขียนเก่ง คุณจะกลายเป็นนักคิด 

7. ‘ทักษะการพูด’ ...การพูดเป็นจุดอ่อนของผม ตั้งแต่เด็กจนโต ผมเกลียดเวที ...อยากอยู่เบื้องหลัง ...สมัยที่ผมเป็นประธานนักเรียน ผมพูดหน้าชั้นครั้งเดียว คือ วันแรกที่แนะนำตัว ...จากนั้น อาจารย์บอกให้รองประธานพูดก็ได้ ..ใช่!! โคตรเสียความมั่นใจ ..สั่น ..พูดไม่รู้เรื่อง ..และไม่สามารถพูดในเรื่องที่เตรียมมา

จนวันนึงหลังจากออกหนังสือเล่มแรก แฟนๆหนังสือ อยากเจอตัว อยากฟังเรา ...ก็ลองจับไมค์อีกครั้ง พูดแบบเป็นตัวเอง เล่าสิ่งที่เรารู้ ...ไม่!! มันเป็นการขึ้นเวทีอีกครั้งที่ไม่ได้เรื่องเช่นเคย

ไม่มีพรสวรรค์ในเรื่องการพูดสำหรับผม ...แค่ขึ้นเวทีไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็ได้เอง

ใช่!! วันนี้การพูดกลายเป็นจุดแข็งของผม ...มันทำให้ผมเรียนรู้ว่า อะไรที่เราคิดว่าทำไม่ได้ มันแค่อยู่ในความคิดของเราเอง ...ถ้าลงมือทำจริง เอาจริง มันต้องทำได้ !!

7 เรื่องเล็กๆนี้ มันเปลี่ยนชีวิตผมไปอย่างสิ้นเชิง ...ผมเชื่อว่า แต่ละคนก็มีเรื่องเล็กๆ โอกาสเล็กๆ ผ่านมาไม่เหมือนกัน ...แต่สิ่งที่เราล้วนต้องเจอเหมือนกัน คือ ‘ความกล้า’ ที่จะคว้าโอกาสเล็กๆ แล้วลองทำมันดู

‘โอกาสเล็กๆ ก็คือ สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ่ของเรา’

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2560

9 ลักษณะ งานแห่งอนาคต เป็นอย่างไร



9 ลักษณะ งานแห่งอนาคต เป็นอย่างไร


โลกยุคใหม่ชีวิตส่วนใหญ่ คือ การทำงาน ..เพราะเทคโนโลยีทำให้เราทำงานได้ทุกที่ ..ความสุข ความทุกข์ และ ความภูมิใจในชีวิต จึงมีงานเป็นตัวกำหนด 


ใครเลือกงานที่ใช่ ..จะทำให้คุณภาพชีวิตเราดี ..มาดูลักษณะงานที่ใช่ 9 ข้อนี้


1. ‘งานเราสร้างประโยชน์ให้ผู้คน’ ...ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของหรือลูกจ้าง ล้วนทำ 2 เรื่องเท่านั้น คือ แก้ปัญหาและสร้างประโยชน์ ..ถ้าสิ่งที่เราทำ เริ่มไม่ตอบโจทย์แปลว่า งานนี้เริ่มไม่ใช่


2. ‘รายได้ดีมากกว่าค่าเฉลี่ย’ ...ถ้าเราทำงานได้ดี รายได้ต้องดีกว่าค่าเฉลี่ย ...อันนี้แปลว่า เราทำงานนี้ได้ดี ได้แบบผู้เชี่ยวชาญ - ‘ผู้เชี่ยวชาญ คือ คนที่รักในงาน และทำสิ่งนั้นได้ดีกว่าใคร’


3. ‘อยากตื่นไปทำงาน’ ...ใครที่ทำงานแล้วอยากจะพัก อยากจะหยุด แปลว่า งานนั้นเริ่มไม่ตอบโจทย์ ความสนุก และ ความภูมิใจของชีวิต ..ต้องหาทางปรับเปลี่ยน - ‘ทำงานแล้วสนุก ต้องออกแบบงานเอง’


4. ‘งานเราวัดผลจากผลลัพธ์ของงาน ไม่ใช่วัดจากเวลาที่ใช้’ ...งานที่ดี จะวัดจากผลลัพธ์ของงาน ไม่ใช่วัดจากเวลา - ‘ขายผลงาน อย่าขายเวลาแลกเงิน’


5. ‘งานเรามีส่วนในการตั้งโจทย์’ ...ทั้งลูกจ้างและเจ้าของ ก็ล้วนมี 2 ลักษณะงาน ...คือ เป็นคนทำตามโจทย์ หรือ เป็นคนตั้งโจทย์ ...แม้จะเป็นเจ้าของ แต่รับงานตามคำสั่งลูกค้า โดยไม่ได้คิดเพิ่ม ก็ไม่ต่างจากงานลูกจ้างที่ไม่มีออฟฟิศ ...ส่วนลูกจ้างที่มีส่วนในการคิดตั้งโจทย์ของงาน ก็มีโอกาสสร้างรายได้ และมีอนาคต ไม่ต่างจากเจ้าของธุรกิจ - ‘ฝึกตั้งโจทย์ !!’


6. ‘งานที่ยิ่งแก่ ยิ่งรายได้เพิ่ม’ ...งานส่วนใหญ่ ยิ่งแก่ ยิ่งรายได้ลด ...แต่งานที่ต้องใช้ ศิลปะ ต้องใช้ความสร้างสรรค์ ยิ่งแก่ยิ่งรายได้เพิ่ม ...ถ้าเป็นงานออฟฟิศ คุณต้องพัฒนาตัวเอง ไปเป็นที่ปรึกษา - ‘หาโอกาส หาช่อง ด้วยการเพิ่มประสบการณ์ และความชำนาญ จนใครๆ ก็ต้องปรึกษาเราในงานแบบนี้’


7. ‘งานที่ผันเราเป็นเจ้าของกิจการ’ ...ถ้าเป็นงานที่สำคัญต่อธุรกิจ ยิ่งทำ ก็จะยิ่งสำคัญ ...งานแบบนี้มักได้ผลตอบแทนที่มากกว่าเงิน เช่น ได้หุ้น , ได้สิทธิ์เป็น Partner หุ้นส่วน - ‘ถ้างานเรามีคุณค่า ยิ่งทำ ยิ่งต้องได้เป็นหุ้นส่วนกิจการ’


8. ‘ก่อตั้ง ไม่ใช่สืบทอด’ ...งานที่ใช่มันเหมือนการเดินทางค้นหา ลองผิดลองถูก จนมาเจองานที่ใช่ ...งานจึงคือสิ่งที่สะท้อนตัวตนของเรา - ‘งานที่ใช่ มักมาจากการก่อตั้ง ค้นหา ...ไม่ใช่ได้มาจากการสืบทอด’


9. ‘หุ่นยนต์ทำแทนไม่ได้’ ...ในอนาคตหุ่นยนต์จะมาทดแทนงานที่ ทำซ้ำ ทำเรื่อยๆ ไม่สร้างสรรค์ ไม่ก้าวหน้า ...พูดง่ายๆ หุ่นยนต์จะมาแทนงานที่ ทำซ้ำๆ ซากๆ ...ดังนั้น งานต้องเป็นงานที่ต้องพัฒนาความรู้ ค้นหา อย่างต่อเนื่อง 


เตรียมตัวให้พร้อมกับโลกที่ งานคือการแสดงตัวตนของเรา ...ไม่มีใครเจองานที่ใช่ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำงาน 


...งานส่วนใหญ่ที่เราเห็นในวันนี้จะถูกแทนด้วยหุ่นยนต์ ดังนั้น งานของคนรุ่นใหม่ อีกกว่า 90% เราต้องสร้างงานนั้นขึ้นมาจากตัวเรา จากโจทย์ง่ายๆ ที่ว่า ‘แก้ปัญหา และ สร้างประโยชน์ให้ผู้คน’


 ...งานในอนาคต ก็เหมือนการเดินทาง ค่อยๆ หา ค่อยๆ พัฒนา ค่อยๆ ค้นพบ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เป็นนักเก็งกำไร ไม่ใช่นักพนัน



6 ความแตกต่าง ระหว่าง นักพนัน กับ นักเก็งกำไร 


ทุกวันนี้ใครๆ ก็พูดว่า อยากประสบความสำเร็จต้องกล้าเสี่ยง ...เออ ก็ถูกนะ ...แต่มันมี เสี่ยงแล้วรวย กับ เสี่ยงแล้วซวย ที่ต้องเข้าใจ


คนที่เสี่ยงแล้วรวย คือ นักเก็งกำไร ซึ่งมีนิสัยตรงข้ามกับนักพนัน ที่เสี่ยงแล้วซวย อยู่ 6 ข้อ ดังนี้


1. ‘ถ้าไม่จำกัดความเสี่ยง ก็คือ นักพนัน ..ถ้ารู้จักจำกัดความเสี่ยงก็คือนักเก็งกำไร’ ...ถ้าเราดูให้ดีจะเห็นว่า คนไทยชอบเสี่ยง แต่ส่วนใหญ่เสี่ยงแล้วหมดตัวก็เพราะไม่ได้กำหนดว่า จะเสี่ยงสูงสุดกี่ % ...เช่น ถ้าเล่นการพนัน ก็เสี่ยงเกือบ 100% แต่ถ้าเก็งกำไรในสินทรัพย์ อย่างเช่นหุ้น ถ้ารู้จักการ Stop Loss ก็จะเสี่ยงไม่เกิน 10% 


- ‘ต้องรู้จักปิดประตูแพ้ ทุกครั้งที่วางเดิมพัน’


2. ‘เข้าใจสินทรัพย์คือนักเก็งกำไร ไม่เข้าใจสินทรัพย์คือนักพนัน’ ...ทุกวันนี้รอบตัวเราเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่ใช่สินทรัพย์ คือ ทุกอย่างที่ซื้อแล้วราคาลดลงเมื่อเวลาผ่านไป (ยุคนี้คนส่วนใหญ่ ถึงรวยยาก มีเงินก็ซื้อแต่ขยะ นับวันก็ยิ่งจนลง) ...แต่นักเก็งกำไรจะเสี่ยงในสิ่งที่เป็นสินทรัพย์ คือ ถึงพลาดก็ยังเหลือมูลค่าขายต่อได้ ไม่เจ๊ง 


3. ‘นักเก็งกำไรจะหาความรู้เพิ่ม ส่วนนักพนันจะหาแต่เครื่องรางของขลัง’ ...คนจะรวย มันรวยเพราะมีความรู้ จะหวังรวยด้วยโชคช่วย มันหมดยุคไปนานแล้ว ...ยุคนี้โชคจะช่วยเฉพาะคนที่หมั่นหาความรู้เพิ่มเท่านั้น ...ใช่!! สวรรค์มักช่วยคนที่ช่วยตัวเองก่อน 


4. ‘นักเก็งกำไรจะเข้าไปในที่ ที่ตัวเองได้เปรียบ ...ส่วนนักพนันจะเข้าไปในที่ ที่คนอื่นได้เปรียบ’ ..เช่น เวลาเข้าบ่อน เจ้ามือยังไงก็ถือไพ่เหนือกว่า ได้เปรียบกว่า 


5. ‘นักเก็งกำไรที่เก่ง จะยืนในจุดที่คนส่วนใหญ่ไม่ยืน’ ...นักเก็งกำไรที่เก่งจะรู้ดีกว่า คนส่วนใหญ่แพ้เสมอ ดังนั้น เขาจะเลือกยืนอยู่ตรงข้ามกับที่คนส่วนใหญ่ยืน ...เช่น อะไรก็ตามที่คนส่วนใหญ่บอกว่าดี กำไรชัวร์ รวยแน่ เขาจะพยายามยืนให้ห่าง หรือ เก็งกำไรตรงข้าม 


- ‘เหยื่อมักยืนกันเป็นเป็นฝูง ...ถ้าเรายืนเป็นฝูง นั่นแหละเหยื่อ!!’


6. ‘นักเก็งกำไรคือ ผู้ล่า ที่เลือกทำ ในสิ่งที่ตัวเองเชี่ยวชาญ’ ...คนส่วนใหญ่คิดว่า ผู้ชนะมาจากโชคชะตา แต่ความจริง ผู้ชนะ คือ ผู้ที่เลือกจุดที่ตัวเองเชี่ยวชาญ ผ่านประสบการณ์และบาดแผล ...และไม่เคยล้มเลิกความตั้งใจ 


- ‘บาดแผล เป็นแค่คะแนนสู่ความสำเร็จ’


ลองสำรวจตัวเองว่า เราเป็นแบบไหน ...ปรับปรุงแล้ว ผันตัวเองเป็นนักล่าแห่งสนามรบแห่งนี้ซะ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2560

มหาวิทยาลัยยุคใหม่ หน้าตาเป็นอย่างไร



‘มหาวิทยาลัย สำหรับโลกยุคใหม่ หน้าตาเป็นอย่างไร ?’


สมัยก่อนการเรียนจบมหาวิทยาลัยแทบจะการันตีความสำเร็จในชีวิต ...แต่ยุคนี้ ไม่ใช่ ..แม้แต่มหาวิทยาลัยเองยังต้องปรับตัว ...ลองมาช่วยกันคิดว่า มหาวิทยาลัยสำหรับผลิตคนที่สำเร็จในอนาคต ควรมีหน้าตาอย่างไร 


1. ‘เปลี่ยนการศึกษา เป็นธุรกิจ’ ...วันนี้หลายๆ มหาวิทยาลัยเริ่มมาถูกทาง คือ ออกนอกระบบ ...เป้าหมายที่ต้องก้าวไปคือ เปลี่ยนการศึกษาให้เป็นธุรกิจที่ดี ...หลักการธุรกิจที่ดี คือ ขายสินค้าที่ลูกค้าต้องการในราคาที่เหมาะสมที่สุด ..ธุรกิจที่ดี ไม่ใช่การหากำไรสูงสุด แต่เป็นการเอาลูกค้าเป็นที่ตั้ง แล้วสนองตอบความต้องการนั้นด้วยราคาที่ถูกที่สุด - “การศึกษาที่คนเรียนจ่ายน้อยสุด แล้วเอาความรู้ไปหาเงินมากที่สุด”


2. ‘มหาวิทยาลัยต้องเป็นแหล่งระดมทุน’ ...ยุคก่อน ความรู้ กับ เงินทุน อยู่คนละที่ ...ล้าสมัยมาก !! เพราะโลกยุคใหม่ Idea ที่ดีที่สุดยอดต่างหาก ที่ดึงดูดเงินทุน ...มหาวิทยาลัย ต้องเป็น ศูนย์กลาง เชื่อม ระหว่าง คนที่อยากลงทุน กับ คนที่มี Idea และ มีความสามารถ - “University = New Venture Capital”


3. ‘งานวิจัย ต้องเอามาใช้ไม่ใช่เก็บเฉยๆ’ ...งานวิจัยจำนวนมากถูกเก็บไว้เฉยๆ ..แต่ยุคต่อไป งานวิจัยควรนำไปเชื่อมและต่อยอดกับธุรกิจจริงๆ เลย ...นั่นแปลว่า มหาวิทยาลัยต้องเชื่อมโยงกับธุรกิจจริงๆ แล้วทำหน้าที่เป็น R&D ที่ตอบโจทย์ธุรกิจจริงๆ 


4. ‘ปริญญายุคใหม่ ต้องให้ผู้เรียนกำหนดเอง’ ..ยุคก่อนปริญญาถูกกำหนดว่าต้องเรียนอะไร โดยผู้สอน ...แต่ยุคใหม่ ต้องให้คนเรียนเลือกเองว่า จะเรียนอะไร ถึงจะเอาไปใช้ในงานที่ตัวเองอยากทำ ...วิชาที่ Out จะไม่มีใครเรียน ..จะเหลือแต่วิชาที่ใช่ - ‘ความรู้ เป็น สินค้า ที่คนเรียนเลือกหยิบใส่ตระกร้า เป็นปริญญาที่ออกแบบเอง’


5. ‘มหาวิทยาลัยต่อไป ต้องสอนทั้งผู้ใหญ่และเด็ก’ ...ยุคก่อนมหาวิทยาลัยเอาไว้สอนเด็ก ..แต่อนาคตผู้ใหญ่ก็ต้องการความรู้ไม่ต่างกัน ...มหาวิทยาลัยต้องมีปริญญาสำหรับผู้ใหญ่ เรียนที่ไหนก็ได้ เรียนเมื่อไหร่ก็ได้ ..ตอบสนอง การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life Long Learning)


6. ‘มหาวิทยาลัยต้องแลกเปลี่ยนอาจารย์และนักเรียน’ ...หมดยุคการสอนที่เดียว เรียนที่เดียวแล้ว ...ยุคนี้มหาวิทยาลัยต้องเชื่อมโยง ทั่วโลก แลกเปลี่ยนอาจารย์ แลกเปลี่ยนนักเรียน แลกเปลี่ยนเด็กฝึกงาน


7. ‘มหาวิทยาลัย ต้องเป็นเวที เป็นสื่อ’ ...ยุคนี้สื่อคือ อะไรที่ได้ที่เป็นศูนย์รวม ...มหาวิทยาลัยคือศูนย์รวมของความรู้ idea และ ทักษะ ...แค่เอาสิ่งเหล่านี้รวมเป็นเวที ก็เปลี่ยนมหาวิทยาลัยเป็นสื่อที่ทรงพลังได้ไม่ยาก ...ผู้มีความรู้ จะเปลี่ยนเป็นสื่อที่ทรงพลังในยุคต่อไป 


8. ‘มหาวิทยาลัย ต้องสร้างสินค้าที่หลากหลาย’ ..เรียนฟรีก็มี เรียนเสียเงินก็ต้องมี ...มหาวิทยาลัยต้องมองตัวเองเป็น สินค้าทางความรู้ที่ครอบคลุม 


ผมเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลง ในวงการศึกษาครั้งนี้จะสร้าง ศูนย์กลางความรู้ที่เชื่อมเงินทุน และ ตอบสนองความต้องการของคนเรียน ให้สามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด 


...การเรียนไม่มีวันจบ ยิ่งพัฒนาความรู้ ก็ยิ่งประสบความสำเร็จ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

7 โอกาสที่เปิดให้คนรุ่นใหม่ในปี 2018



7 โอกาส ที่เปิดขึ้นให้คนรุ่นใหม่ ในปี 2018


โลกเปลี่ยนแล้วมีอะไรดี ..ขึ้นกับว่า เราเข้าใจการเปลี่ยนแปลง แล้วเตรียมตัวให้พร้อมกับโอกาสที่มาพร้อมความเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ?


1. ‘การศึกษา’ เดี๋ยวนี้ลูกเรากับลูกเศรษฐีสามารถหาความรู้ได้คล้ายๆ กัน ...วันนี้หลายคนอาจไม่รู้ว่า มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก เริ่มมีคอร์สออนไลน์ให้ดูฟรี !! ..วันนี้ข้อจำกัด อยู่ที่ความขวนขวายในการหาความรู้ 


2. ‘การเดินทาง’ ...สมัยก่อนคุณต้องเป็นมหาเศรษฐีเท่านั้นจึงจะเดินทางทั่วโลกได้ เดี๋ยวนี้วางแผนดีๆ เห็นโลกได้คล้ายๆ กัน ...บินประหยัด เที่ยวโลโซ ผมว่า เห็นโลกมากกว่า


3. ‘การทำธุรกิจ’ ..สมัยก่อนเริ่มธุรกิจต้องมีหน้าร้าน แปลว่า คุณต้องมีเงินทุน ..เดี๋ยวนี้ออนไลน์ครับ มีสมอง มีความสามารถ คุณก็เริ่มคว้าโอกาสเริ่มธุรกิจได้เลย ...เริ่มศึกษาดิ !!


4. ‘รายได้หลายทาง’ ...แต่ก่อนคนรวยเท่านั้นที่จะมีโอกาสทำรายได้หลายทาง แต่วันนี้ทุกคนเข้าถึงโอกาสหมด เช่น การลงทุนก็เพิ่มรายได้ โดยที่ไม่มีขั้นต่ำในการลงทุน เงินหลักพันก็เริ่มเป็นนักลงทุนได้ในยุคนี้ ...ให้เปิดใจเรียนรู้ เพิ่มรายได้ !!


5. ‘การใช้ชีวิต’ ...แต่ก่อนมีแต่เศรษฐีเท่านั้นที่จะมีบ้านพักตากอากาศ มีรถหรูขับ มีเครื่องบินส่วนตัว ...ยุคนี้เช่าเอาก็พอ ไม่ต้องมีภาระ ...นอนบ้านเศรษฐี โดยที่ไม่ต้องไปดูแลให้เมื่อย ...อะไรไม่จำเป็นต้องซื้อ มีแต่ภาระ มูลค่ามีแต่ด้อยลง ..เช่าเถอะ !!


6. ‘การเกษียณที่สบาย’ ...เรื่องเกษียณแล้วสบาย แทบเป็นไปไม่ได้ในยุคก่อน ...ต้องประหยัด ต้องใช้ให้น้อย ...แต่ยุคนี้ไม่ใช่ ยกตัวอย่าง ถ้าคุณ ออมในหุ้นเป็น คุณซื้อธุรกิจของเศรษฐีในวิกฤต จากนั้นถือรวยตามเศรษฐี ...ยิ่งเวลาผ่านไป มูลค่าก็เพิ่ม ปันผลก็เพิ่ม ...ยิ่งแก่ ยิ่งรวย แต่ต้องศึกษาเรื่อง ออมในหุ้น ให้เข้าใจ !!


7. ‘คนธรรมดามีพันล้านได้’ ...สมัยก่อนไม่ต้องคุย พันล้าน อะไร ไกลตัว ตลก ...แต่วันนี้แค่คุณมีธุรกิจที่เติบโต ยอมจ่ายภาษี แล้วศึกษาวิธีเอาธุรกิจเข้าตลาด ...ได้แล้ว พันล้าน


จะบอกว่า โลกยุคใหม่ โอกาสมันเปิดมากขึ้น ..เพียงเรายอมเรียนรู้ เปิดใจ แล้วโอกาสใหม่ๆ จะเปิดให้เราเอง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอังคารที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2560

สื่ออื่นๆ ตาย ทำไม Netflix รุ่ง



‘สื่ออื่นๆ ตายทำไม Netflix รุ่ง’


หลายคนอาจไม่เคยได้ยินชื่อ Netflix ..ผมจะเล่าให้ฟัง ..Netflix วันนี้เป็นผู้ให้บริการ Streaming ดูหนัง ดูซีรี่ย์รายใหญ่ที่สุดในโลก มีคนจ่ายเงินใช้บริการนับร้อยล้านคน 


ที่น่าสนใจคือ บริษัทนี้เริ่มจาก ให้บริการเช่า DVD ผ่านทางไปรษณีย์ ..ก่อตั้งโดยนาย Reed Hastings มันเริ่มจากนาย Reed เขา หงุดหงิด จากค่าปรับของร้านเช่าวีดีโอ ที่มันจุกจิกและแพง ...เลยมีแนวคิดที่ว่า จะเปิดร้านเช่าวีดีโอชื่อ Netflix ที่สามารถเช่าวีดีโอ โดยไม่มีค่าปรับ แล้วให้บริการผ่านไปรษณีย์ 


วันนี้ยอดขายของ Netflix คนที่ใช้บริการ Streaming คือ 3 แสนล้านบาท ต่อปี แล้วให้บริการ 190 ประเทศทั่วโลก 


ความตลกร้ายคือ ธุรกิจของเขาในวันนี้ ไม่มีอะไรเหมือนวันแรกที่ก่อตั้งเลย


วันแรกที่ก่อตั้ง Netflix มียักษ์ใหญ่ร้านเช่าวีดีโอคือ Blockbuster ซึ่งใหญ่มาก ...วันนี้ล้มละลายไปเรียบร้อย ...มาดูกันว่า Netflix ทำอย่างไร


1. ‘เขาไม่ได้สนว่าเขาอยู่ในธุรกิจอะไร เขาสนใจแต่เพียงว่าลูกค้าต้องการอะไร’ ...วันแรกที่เขาทำคือ เขารู้ว่าลูกค้าไม่ต้องการจ่ายค่าปรับ และขี้เกียจไปร้านวีดีโอ เขาก็ตอบสนอง ...วันนี้ลูกค้าอยากแค่ นั่งอยู่ที่บ้านแล้ว Streaming หนัง ขึ้นทีวี เขาก็ตอบสนองความต้องการ


2. ‘เขาพยายามสร้างความได้เปรียบในเรื่องของต้นทุน’ ...ร้านเช่าวีดีโอมีร้าน เขาไม่ต้องมีร้าน ...ดังนั้น เขาสามารถขยายข้ามประเทศไปถึง 190 ประเทศโดยไม่ต้องลงทุนเปิดร้านวีดีโอ ..แล้วเขาจ้างคนแปลภาษามาทำ Subtitle ..ภาษาไทยยังมีเลย - เจส!! จ้างแค่คนแปลภาษาก็ขยายได้ทั่วโลก


3. ‘เขากล้าทิ้งสิ่งเก่าๆ แล้วทุ่มไปที่สิ่งใหม่’ ...องค์กรใหญ่ๆ จะไม่กล้าทิ้งสิ่งเก่า เพราะกลัวรายได้เก่าหายไป แต่เขากล้าทิ้งสิ่งเก่า ทำให้เขามุ่งสู่เทคโนโลยี Streaming ได้ก่อนใคร ...ถ้า Nokia และ Kodak กล้าทำแบบ Netflix วันนี้ ก็คงยังเป็นผู้นำอยู่


4. ‘เขาสร้างอำนาจต่อรองให้อยู่กับตัวเขา’ ...เดิมทีร้านวีดีโอ ต้องซื้อหนัง ซื้อซีรีส์จากคนอื่น เช่น Hollywood แต่ Netflix พยายามลงทุนเพื่อกลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตหนังรายใหญ่ เป็นของตัวเอง 


ทั้ง 4 ข้อนี้ ทำให้ Netflix ปรับตัวได้ในการเปลี่ยนแปลง แถมยังสามารถดันตัวเองให้เป็นผู้ชนะอีกด้วย


ลองเอาแนวทางของ Netflix มาปรับใช้กับธุรกิจเรา ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลง น่าจะได้ Idea ครับ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

10 วิธีสอนเด็กรุ่นใหม่ให้ไปไกลกว่าเรา



10 วิธี ‘สอนเด็กรุ่นใหม่ให้ไปไกลกว่าเรา’

ปัญหาของคนยุคนี้ คือ เมื่อโลกเปลี่ยน สิ่งที่เรียนมากลับใช้ไม่ได้ ..สิ่งที่เคยรุ่งในอดีตกลับใช้ไม่ได้ในปัจจุบัน ..แล้วเราจะเตรียมคนรุ่นใหม่อย่างไรให้พร้อมกับอนาคตข้างหน้า !!

1. ‘สอนให้เขารู้วิธีหาความรู้ด้วยตัวเอง’ ..ยุคนี้เรียนเพื่อรู้มันจบเมื่อรู้ แล้วก็ล้าสมัย เราต้องฝึกให้เขาเรียนเพื่อเรียน จะได้พัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ - ให้เด็กรักการอ่าน (เริ่มจากสิ่งที่เขาสนใจ)

2. ‘ไม่เอาตัวเราเป็นต้นแบบของความสำเร็จ’ ..ถ้าเราพัฒนาลูกให้เก่งเหมือนเรา เขาจะไม่เก่งเมื่อเวลาเปลี่ยนไป ...ให้เขาเปิดใจแล้วหาต้นแบบใหม่ๆ เพื่อเข้าใจโอกาสในยุคปัจจุบัน - หา IDOL ศึกษาแล้วพัฒนาให้เก่งกว่า IDOL 

(คนยิวเก่ง เพราะเขาสอนลูก ให้หา IDOL แล้วศึกษาจาก IDOL มาหลายชั่วอายุคนแล้ว)

3. ‘รับฟังเหตุผล โดยไม่ยึดกฏเกณฑ์เก่าๆ’ ...กฏเกณฑ์ต่างๆ ใช้ได้เพียงช่วงเวลาหนึ่งๆ เท่านั้น เช่น งานที่มั่นคงอาจดีในรุ่นพ่อ แต่รุ่นลูกความมั่นคงไม่ได้อยู่ที่งานแต่มาอยู่ที่ตัวเราแทน 

4. ‘สนับสนุนให้เดินทาง และเห็นโลกตั้งแต่อายุยังน้อย’ ...การเดินทาง มันเปิดโอกาสให้เห็นโลกเห็นการเปลี่ยนแปลง อย่างเมืองจีน 10 ปีที่แล้ว กับ 10 ปีนี้ เหมือนคนละโลก วันนี้เขาเจริญกว่าเรา เขาแทบไม่ใช้เงินสดแล้ว ชีวิตคล่องมาก ธุรกิจเร็วมาก เราต้องเอามาศึกษาเรียนรู้

5. ‘กระตุ้นให้เขามีความกล้า แล้วสนับสนุนเมื่อเขาผิดพลาด’ ...คนที่เก่งในยุคนี้คือ คนที่กล้าทดลองทำสิ่งใหม่ๆ ..เราแค่คอย Support ช่วยเหลือตอนพลาด ให้กล้าลุกขึ้นมา เรียนรู้จากความล้มเหลว แล้วกล้าเดินต่อ

6. ‘พัฒนาทักษะ ที่จำเป็นในการหาเงิน’ ..คนรุ่นก่อนจะเน้นให้เอาแต่เรียน แต่จริงๆ ทักษะที่ช่วยให้เขาโตขึ้นแล้วหาเงินเก่ง มันคือ ทุกทักษะที่อยู่นอกห้องเรียน เช่น ทักษะการขาย ฝึกขายของ , ฝึกทำงานระหว่างเรียน , ฝึกพูดในที่สาธารณะ , ฝึกการจัดการ จัดงาน 

7. ‘ฝึกให้เขาดูแลเงินของตัวเองแบบผู้ใหญ่’ ...ฝึกให้เด็กบริหารรายรับ รายจ่ายด้วยตัวเอง ไม่ใช่มีอะไรก็มาขอเงิน 

8. ‘สร้างโอกาสให้เขามีเพื่อนต่างชาติ’ ..ต่อไปโลกจะยิ่งเป็น Globalization ให้เขามีเพื่อนต่างชาติ ..สนับสนุนให้เขาไปโครงการแลกเปลี่ยน , โครงการที่ให้เขาได้เจอเพื่อนต่างชาติ 

9. ‘ฝึกให้เขาบริหารเงินลงทุน’ ..การลงทุนเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาฝึนฝนยาวนาน แต่คนส่วนใหญ่กว่าจะเริ่มลงทุนก็ตอนที่อายุมาก หรือ เริ่มลงทุนตอนมีภาระมากเกินกว่าจะลองผิดลองถูก ...ลองให้เงินจำนวนเล็กๆ ฝึกการเป็นนักลงทุนให้ลูกตั้งแต่เด็ก

10. ‘หากีฬาหนึ่งอย่าง ให้เขาเล่น’ ...ผมว่ากีฬานอกจากทำให้แข็งแรง ยังสอนอีกหลายๆ อย่างให้เราอีกด้วย

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ก็อปปี้อย่างไรให้เจริญ



‘ก็อปปี้ อย่างไรให้เจริญ ?’ ..ถ้าพูดถึงของก็อปปี้ เราจะนึกถึงของเลียนแบบ แต่นั่นเป็นเพียงมุมเดียวที่เราเห็น


อีกมุมที่เราไม่ค่อยรู้ ก็คือ ‘จริงๆ แล้วการก็อปปี้เป็นจุดเริ่มที่ดีของความเจริญ’ ....ครับ ฟังดูเหมือนจะขัดความรู้สึกที่ ยุคนี้ ใครๆ ก็พูดว่า ต้องสร้าง นวัตกรรม ต้องคิด Innovation ล้ำยุค ...แต่จริงๆ แล้ว ความเจริญในยุคใหม่ ล้วนเริ่มจากการก็อปปี้


ถ้าเราพูดถึง เซินเจิ้น เราจะนึกถึงเมืองเมืองผลิตของเก๊ ...แต่ทุกวันนี้เซินเจิ้นได้พัฒนาไปจนแทบไม่เหลือเค้าโครงของเมืองของเก๊เลย


วันนี้เซินเจิ้น ได้ฉายาใหม่ คือ Silicon Valley of Asia ...ก็คือ ศูนย์กลางเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดในเอเชียนั่นเอง


ผมเคยดู สารคดีอันนึงที่เข้าไปถ่ายทำที่เซินเจิ้น โดย Focus ไปที่บริษัท DJI ..หลายคนน่าจะคุ้นชื่ออยู่ ...DJI เป็นบริษัทผลิต โดรน รายใหญ่ที่สุดในโลก กินส่วนแบ่งตลาดของโดรน 70% ของทั้งโลก ...ทีเด็ดคือ บริษัทนี้ก่อตั้งขึ้นมาเพียงแค่ 10 ปีที่แล้ว โดยนักศึกษาจีนที่ชื่อ Frank Wang ซึ่งไปเรียนที่ฮ่องกง แล้วเอา Project โดรนที่ทำระหว่างเรียนนี่แหละมาเปิด บริษัท DJI ที่เซินเจิ้น


หลังจากนั้น 10 ปี Frank Wang กลายเป็น Billionaires ไปเรียบร้อย ...สิ่งที่น่าสนใจคือ เราไม่แปลกใจหรือว่า ทำไมบริษัทจีน ถึงเป็นผู้นำในเรื่องของโดรน ...ซึ่งถ้าใครไม่รู้มาก่อน คงคิดว่า DJI น่าจะเป็นบริษัทอเมริกา แล้วมีฝรั่งเป็นเจ้าของ 


ในสารคดี เขาเจาะลึกลงไปว่า ‘ทำไมโดรน ถึงเกิดแล้วรุ่งในเซินเจิ้น’ ...คิดง่ายๆ ถ้า Frank Wang อยู่อเมริกา หรือ ที่อื่น ก็แทบจะเป็นไปได้ยากที่จะสร้างบริษัทอย่าง DJI ....เพราะถ้าเราศึกษาจะพบว่า Silicon Valley ที่อเมริกา จะเก่งในเรื่องของ Software ...แต่เซินเจิ้น เก่งเรื่อง Hardware ...ซึ่งในสารคดี เขาเรียกเซินเจิ้นว่าเป็น The Silicon Valley of Hardware นั่นเอง


การที่เซินเจิ้น เริ่มจากการเป็น ศูนย์กลางการผลิตของก็อปปี้ ทำให้จีนในช่วงที่ผ่านมากลายเป็นโรงงานของโลก ในเรื่องการผลิต ...ยิ่งผลิต ก็ยิ่งชำนาญ ...และผลพลอยได้จากความชำนาญ ก็คือ Infrastructure ที่สร้างให้เกิดสภาพแวดล้อมของการผลิต


เจ้าตัว Infrastructure นี่แหละ ที่ผมมองว่า เป็น จุดสำคัญที่ทำให้เกิดโอกาสใหม่ๆ ...เพราะเมื่อสภาพแวดล้อมมันพร้อมในการผลิต ...นักศึกษาหรือคนที่มีไอเดีย จึงสามารถเกิดขึ้นได้


ถ้าหันมามองประเทศไทย เราเรียนรู้อะไรได้จากตรงนี้ ...เพราะเมืองไทยก็นักก็อปปี้เหมือนกัน แต่ยังไงให้เจริญแบบเซินเจิ้น


1. โปรเจค ในมหาวิทยาลัยของนักศึกษา ควรทำต่อยอดให้เป็นธุรกิจจริงๆ อย่าง Google หรือ Facebook ก็ล้วนแล้วแต่เป็น โปรเจค ของนักศึกษาทั้งนั้น ...ดังนั้น นักศึกษาบ้านเราต้องดันโปรเจคให้เป็นธุรกิจจริงๆ 


2. พยายามต่อยอดโปรเจค ที่เราคิด ให้สามารถแก้ปัญหา ให้คนให้ได้ ...ธุรกิจจะเริ่มขึ้นได้ ต้องมีการสร้างสินค้าและบริการที่แก้ปัญหาให้ผู้คน ...ค่อยๆ ตอบโจทย์นี้ให้ได้ ‘ถ้าเราแก้ปัญหาคนได้ตรงใจ เขาจะยอมจ่ายเงินซื้อสินค้าเรา’ - นี่แหละจุดเริ่มธุรกิจ มันไม่ได้เริ่มจากขายฝัน หานักลงทุน แต่มันเริ่มจากการสร้างสินค้าที่คนยอมจ่ายเงินต่างหาก


3. เมื่อแน่ใจว่า สินค้าเรามีตลาด (มีคนยอมจ่ายเงินซื้อ) ค่อยหานักลงทุน ...ปัญหาของคนส่วนใหญ่ที่บอกว่า หานักลงทุนไม่ได้ เพราะ สินค้าไม่ Work ...ถ้าสินค้ามีคนยอมจ่ายเงิน คุณหานักลงทุนไม่ยาก (มีเงินล้นเหลือ ที่พร้อมลง แต่คุณต้อง Prove ให้ได้ว่าสินค้ามีคนซื้อ มีตลาด)


4. ถ้ามีคนจำนวนมาก ทำสิ่งที่พูดมา มันจะเริ่มก่อตัวเป็น Infrastructure ที่สุดท้าย มันก็จะยิ่งง่าย ในการหาคน หาเงิน หาโอกาส 


วันนี้บ้านเราก็ค่อยๆ เริ่ม ก็เอาใจช่วยครับ  


แต่อยากแนะนำคนรุ่นใหม่ ว่า ‘อย่าไปแห่ตามกระแส การทำธุรกิจอย่าเอาแต่ขายฝัน ...ให้มุ่งสร้างสินค้าที่มีตลาด (คนยอมจ่าย) ....ถ้าทำได้ เดี๋ยวเราจะค่อยๆ ขยับเข้าไปถึงฝันในที่สุด’


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ไม่ชอบ ไม่ถนัด ทำไม่ได้ ..ต้องรีบทำ



งานเขียนของผม เป็น Satire คือ ‘เขียนเสียดสี จิก เหน็บ เพื่อให้กระตุ้นคนอ่าน ได้ฉุกคิดและ ลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น’


แต่คนส่วนใหญ่ ชอบ Inspire อ่านแล้ว รู้สึกดีโดยไม่ต้องทำอะไร !! 


การ Inspire ก็ดี แต่ต้องมีแบบ แค่พอสมควร ...บันดาลใจเยอะไป ก็คือ ไม่ทำอะไรแล้วรู้สึกดี ..ซึ่งชีวิตจริง มันไม่มี 


...ไอ้คนที่มันดี เพราะ มันลุกขึ้นมาทำบางอย่าง ที่คนส่วนใหญ่ ไม่อยากทำ / ไม่ถนัดทำ และ ทำไม่ได้


1. ไม่อยากทำ (คนเขาไม่อยากทำ)

2. ไม่ถนัดทำ (เราทำได้ดีกว่าที่คนอื่นทำ)

3. ทำไม่ได้ (คนอื่นทำไม่ได้ แต่เราทำได้)


ถ้าเราเก่งในเรื่องที่ ‘คนไม่อยากทำ’ เราจะหากิน พอเอาตัวรอด ..ทำมา หาใช้ ไปวันๆ


ถ้าเราเก่งในเรื่องที่ ‘คนไม่ถนัดทำ’ และ เราทำได้ดีกว่า ...เราจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญ ..สิ่งนี้ ทำดี มีฐานะได้ 


ถ้าเราเก่งในเรื่องที่คนอื่นทำไม่ได้ ...รีบทำเลย เพราะเราจะได้ดี มีความมั่งคั่ง


...ถ้าอยากจะเอาจริง ต้องลุกขึ้นมา ทำอะไรบางอย่าง !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ