แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2561

ที่เราขาด อาจไม่ใช่เงิน แต่ติดที่เรา



‘สนามแข่ง หาเงิน ที่เปิดกว้าง และใหญ่ขึ้น’


ตั้งแต่เด็กจนโต โดยเฉพาะเด็กไทยอย่างผม ...ผมมีความคิดที่จะร่ำรวย เหมือน IDOL อย่าง Bill Gates หรือ Steve Jobs และเศรษฐีระดับโลกอีกหลายคนๆ 


มันทำให้ผมชอบศึกษาประวัติเศรษฐี และ เส้นทางการสร้างตัวของคนเหล่านี้


สิ่งที่น่าสนใจคือ ‘คนเหล่านี้ ล้วนมีวิธีหาเงิน ที่ไม่เหมือนเรา’ ....ไม่เหมือนยังไง มาดูกัน 


1. ‘คนเหล่านี้ ไม่ได้สนการหาเงินแบบคนทั่วไป’ ..ที่พยายาม ทำงานหนักแล้วเก็บเงินให้มากๆ เพื่อวันนึงจะได้สบาย ..แต่เขาสนใจ และ หมกมุ่น ที่จะสร้างอะไรบางอย่าง


 เช่น Reed Hasting ผู้ก่อตั้ง Netflix เขาอาจจะเริ่มจาก ธุรกิจให้เช่าวีดีโอเล็กๆ ออนไลน์ แต่จริงๆ สิ่งที่เขาต้องการสร้างคือ การต้องการสร้างธุรกิจร้านวีดีโอของเขา ให้ทุกคนสามารถเช่าวีดีโอ โดยที่ไม่ต้องคืนก็ได้ ด้วยราคาที่ถูกที่สุด ...สิ่งนี้คือ การตอบสนองฝันของคนมากมายในโลก ที่อยากดูหนังดีๆ ในราคาถูก แล้วก็ไม่อยากจะต้องมีภาระ ในการที่จะต้องดูตามเวลา หากไม่คืนตามเวลาก็โดนค่าปรับ (จนบางครั้ง ค่าเช่าวีดีโอ มันแพงกว่าซื้อวีดีโอเสียอีก) ...ไหนจะปัญหา วีดีโอ ที่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการเก็บ รกบ้าน แล้วถ้าไม่ดูนานๆ ก็เสียหาย 


วันนี้ Netflix ยก ร้านวีดีโอ มาให้ทุกคนสามารถ ดูอะไรก็ได้ ในราคาต่อเดือนที่ถูกกว่าเดิมมาก ...วันนี้ เขาเดินมาไกล มีลูกค้าเป็นร้อยล้านคนที่ชอบ idea นี้ แล้วยอมจ่ายเงินเป็นลูกค้า


2. ‘คิดทำ คิดแก้ปัญหา ในสิ่งที่ไม่เคยมี’ ...ในอดีตหากเราอยากจะสั่งอาหารมากินที่บ้าน ..มีแต่ Pizza ครับ ..ซึ่ง Pizza Delivery ในสมัยนั้น โคตรล้ำ ...คนทำสำเร็จ วันนี้เป็นเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเมืองไทยไปแล้ว คือ คุณ บิว เฮเนกกี้ ผู้ก่อตั้ง Minor Group จากร้าน Pizza เป็นอาณาจักรอาหารที่ให้บริการคนทุกเพศ ทุกวัย 


วันนี้ล้ำกว่าเดิม ...เราสามารถสั่งอาหาร ในร้านดัง ที่เดิมต้องต่อคิว ...มาส่งบ้าน โดยไม่ต้องต่อคิว เกิดเป็น ธุรกิจดาวรุ่ง อย่าง Line Delivery , Wongnai ...เส้นทางของกลุ่มหลังเป็นจุดเริ่มต้นที่รอการพิสูจน์ ...แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ คนเหล่านี้ พยายามคิดและแก้ปัญหาในสิ่งที่ไม่มี และ นั่นคือ หัวใจของคำว่า “โอกาสในยุคนี้”


3. ‘คิดใหญ่ หน้าตาเป็นอย่างไร’ ...ถ้าคิดปกติ แค่ทำงานหนัก เพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว ก็ไม่ง่ายแล้ว ...แต่คนเหล่านี้ไม่เคยคิดแค่นั้น ...เขาคิดว่า สิ่งที่ทำ จะเลี้ยงคนเป็นล้านคนได้อย่างไร 


ถ้าสิ่งที่เราทำ เพื่อเลี้ยงตัวเรา แก้ปัญหาให้ครอบครัวเรา ก็ไม่ผิด แต่มันโตไม่ได้ ...ถ้าคิดใหญ่ ต้องตั้งโจทย์ใหม่ว่า ‘ถ้าสิ่งที่ฉันทำ จะเลี้ยงคน 1 ล้านคนได้อย่างไร ?’ - อันนี้คิด การเริ่มตั้งโจทย์ใหญ่ ที่ต้องใช้พลังสมอง และ แรงกายมหาศาล


4. ‘ภาษา เป็นอุปสรรคของเราใช่หรือไม่’ ...อันนี้คือ ขนาดของตลาด ที่เราอยากตอบสนอง 


ถ้าเราคิดที่จะ เอาของมาขาย คนในซอย เราก็คือ ‘ร้านชำหน้าปากซอย’ 


แต่ถ้าเราจะขายของให้คนทั้งโลก คุณอาจเป็น Amazon หรือ Alibaba 


ความยากของคนไทย คือ เราถูกจำกัดที่ภาษาไทย เพราะ ประเทศเราใหญ่เพียงพอที่จะคิดเล็ก ...คิดขายคนในประเทศก็พอกิน


ต่างจากประเทศเล็กๆ อย่าง สิงคโปร์ หรือ ฮ่องกง ที่เล็กเกินกว่าจะขายคนในประเทศ ...เขาจึงต้องคิดใหญ่ 


เมื่อคิด เลยภาษา เราก็จ้างลูกน้องฝรั่งได้ ...ตัวอย่างที่น่าสนใจของคนไทย อย่าง King Power ..ถ้าใครคิดว่า จะหาเฉพาะคนไทยที่เตะบอลเก่ง แล้ววันนึงฉันจะไประดับโลก อาจไปไม่ถึงฝัน


แต่ King Power ไปอังกฤษเลย ...เอานักบอลระดับโลกมาเป็นลูกทีม ...ก็เหมือนบริษัทไทย ถ้าเราคิดแบบว่า ต้องเอาคนไทยไปชนะทั้งโลก อาจไปไม่ถึง


แต่ลองเปลี่ยนโจทย์ ...แล้วถ้าทรัพยากรเราคือ ทั้งโลก ...คราวนี้ ข้อจำกัด ตรงนั้นก็จะหายไป 


...คุณ ธนินท์ แห่ง CP เคยกล่าว ไว้ว่า ‘คนเก่งทั้งโลก เป็นของ CP ..ทรัพยากรทั้งโลก ก็เป็นของ CP’ ...โคตรล้ำ !! 


ต่อไป เราจะเริ่มเห็น ธุรกิจระดับโลกที่เป็นของคนไทย เพราะ นักธุรกิจรุ่นใหม่ เขาเปิดใจเรื่องนี้ ตั้งแต่วันแรกที่เริ่ม


......


ที่เล่ามา คือ ส่วนเล็กๆ ที่โลกนี้ กำลังจะ เปลี่ยนไป ...โอกาสมันมากขึ้น สนามมันเปิดขึ้น 


....ผมได้เรียนรู้ว่า ...ข้อจำกัดที่แท้จริง มันคือ ‘วิธีคิดของเรานั่นแหละ’


ไม่ใช่ฝรั่งเก่งกว่า เรา แต่เขาเปิดใจ เดินทางไปค้าขายทั่วโลก ตั้งแต่สมัยพระนารายณ์แล้ว ...เขาสั่งสม วิธีคิด แล้วส่งต่อให้รุ่นต่อๆ มา


แต่วันนี้ ผมเชื่อว่า ‘เมื่อคนไทย เดินทางมากขึ้น เห็นโลกมากขึ้น ...เราก็สามารถเติบโต ก้าวหน้าได้ไม่แพ้ใคร’


ถ้าวันนี้ใครติดปัญหา ลองถอยมามองความคิดตัวเองใหม่ ...บางครั้ง มันอาจจะแค่เส้นผมบังภูเขา ที่กั้นไม่ให้เราเดินต่อ ก็เป็นได้


- สินค้าและบริการของฉัน ขายให้ทั่วโลก


- เราจ้างคนเก่ง จ้างฝรั่งเป็นลูกน้องก็ทำได้


- สิ่งที่ไม่เคยถูกแก้ปัญหา อาจเป็นโจทย์ตั้งต้น ที่พาให้ฉันเป็นเศรษฐีระดับโลก


- ถ้าติดเรื่องภาษา ก็เรียน ก็แก้ปัญหาได้


- อะไรที่ฉันไม่เก่ง ก็หาคนเก่งมาร่วมกันได้


- เงินไม่มี อาจไม่อยู่ที่เงิน แต่อยู่ที่ Idea มันยังไม่ดีพอ 


...ถ้า Jack Ma ตอนเริ่มสร้าง Alibaba ตอนไม่มีเงิน แล้วสามารถกล่อมให้ Joe tsai นักการเงินดาวรุ่ง เงินเดือนล้าน ให้มาทำงานเงินเดือนไม่กี่พันให้ Jack Ma ได้ ....ก็แปลว่า มันไม่ได้อยู่ที่ ไม่มีเงิน ...แต่มันอยู่ที่ เรา ต่างหาก !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2561

10 ความยาก ‘ลำบากแล้วดี’ ในยุคนี้เปลี่ยนยังไง



10 ความยาก (ลำบากแล้วดี) ในยุคนี้ที่เปลี่ยนไป 


‘ความยาก ความง่าย ในโลกนี้มันเปลี่ยน เมื่อเวลาเปลี่ยนไป’ ...ลองเช็คดูซิว่า ที่เราคิดว่า เราเก่ง เราทำเรื่องยากได้ มันจริงอย่างนั้นหรือเปล่า ?


1. ความยากในยุคก่อน คือ ‘คนที่ทำอะไรได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน Multitask เป็นเรื่องยาก’ ...แต่ยุคนี้ ใครๆ ก็ทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ...ความยากในยุคนี้คือ ‘ใจจดจ่อ ทำสิ่งเดียว’ (Focus)


2. มีจะกินเป็นเรื่องยากสมัยก่อน ..แต่ความยากในยุคนี้คือ ควบคุมการกิน 


3. สิ่งที่ฆ่าชีวิตคนในยุคก่อนมากที่สุด คือ ภัยธรรมชาติ , โรคภัย และ สงคราม ...แต่สิ่งที่ฆ่าชีวิตคนมากที่สุดในยุคนี้คือ ‘อาหารที่คุณกินไม่เลือก’ 


4. ธุรกิจยุคก่อน ชนะกันที่ ผลิตเยอะ ให้ต้นทุนต่ำ ...ธุรกิจยุคนี้ ล้มละลายกันตรง ผลิตมากและขายไม่ได้ 


5. คนสมัยก่อน เรียนสูงได้เปรียบ ...คนยุคนี้ คนเริ่มทำงานเร็ว มีประสบการณ์ตรงก่อน ได้เปรียบ


6. เงินทุนสมัยก่อน หายาก ...เดี๋ยวนี้ นายทุน วิ่งหาธุรกิจเพื่อเอาเงินไปให้ ...ใครถ่ายวิดีโอ เสนอไอเดียเก่ง สามารถหาเงินมหาศาลตั้งแต่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย ...สิ่งที่หายากในยุคนี้คือ ‘คนทำงาน ที่มีประสบการณ์จริง’


7. คนใช้เงินเก่ง หาง่ายทุกยุค ..ยิ่งยุคนี้ ใช้เก่ง โชว์ออฟ หาง่าย ...คนหาเงินเก่ง ใช้เงินเป็น แทบหาไม่เจอเลย 


8. คนพูดเก่ง หาง่าย ...แต่คนฟังเก่ง หายาก ...โดยเฉพาะ ในองค์กร ผู้บริหารที่ฟังเก่ง แทบไม่มีเลย ...เรื่องตลก คือ การแก้ปัญหา และ การเจอทางออกของปัญหา มันเริ่มจากการฟังที่ดี


9. ทุกวันนี้ เราซื้อเสื้อผ้า และ สิ่งของ เกินกว่า ความสามารถในการใช้ ...ความยากคือ การห้ามใจ ไม่ให้ซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็น


10. การชื่นชม และ พอใจ ในสิ่งที่เราได้มา เป็นเรื่องที่ยากมาก ...เราจึง จิตตก และ พยายาม วิ่งไล่หาสิ่งที่ไม่มี ทั้งในเรื่องของ วัตถุ เงิน และ อำนาจ ....ทางสู่ความสุข เริ่มต้นง่ายๆ จากการเริ่ม พอใจ และ ขอบคุณ สิ่งที่เข้ามาในชีวิต


‘ความเกลียด และ ความอิจฉา’ เป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย แต่ ‘ความรัก และ ความชื่นชมคนอื่น’ เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก 


แต่ความตลกร้ายของโลกใบนี้ คือ ‘ความรัก และ ความชื่นชมคนอื่น’ เป็น เครื่องมือวิเศษ ที่จะพาเราไปสู่ โอกาสชีวิต ทั้งความร่ำรวย และ ความสุข


1. ‘ความรัก คือ การสร้าง ..สะสม ...ส่งเสริม’ ...ความเกลียด คือ การทำลาย ..การแตกแยก ซึ่งนำไปสู่ความล้มเหลว และ ความยากจน 


ถ้าถามว่า ความร่ำรวย เริ่มจากอะไร ? - ตอบง่ายๆ คือ เริ่มจาก ความรัก


2. ‘ความชื่นชมคนอื่น’ คือ การหาข้อดีของคนอื่น ...เป็นจุดเริ่มของความร่วมมือและการต่อยอด 


ถ้าถามว่า ‘โอกาส’ เกิดที่ไหน ? - ตอบง่ายๆ ว่า เริ่มจากความชื่นชม และ การมองเห็นข้อดีของคนอื่น


....ลองพิจารณา ‘ความคิด’ ของเราให้ดี เราอาจจะพบว่า คนที่ขัดขวางโอกาส ขัดขาความรวย ขัดแย้งความสุข ...มันคือ ความคิด ของเราเอง !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2561

ทำไมการสอนให้คนคิดต่างจึงยากนัก




‘ทำไม สอนให้คนคิดต่าง จึงยากนัก?’

ถ้าถามว่า ใครคิดว่า ตัวเอง แตกต่างบ้าง ...คนส่วนใหญ่คงยกมือ - ฉันนี่แหละ แตกต่าง !!

- ผมเดา ว่า คุณแตกต่างคือ 

1. คุณอยากทำงานอิสระ
2. คุณมี Passion คือ การท่องเที่ยวและหาประสบการณ์
3. คุณชอบอะไรที่เร็วๆ ได้ทันที เพราะ คุณไม่ชอบรอ
4. คุณชอบให้คนเอาใจ มากกว่าบริการคนอื่น
5. คุณชอบให้คนอื่น พูดคุยทักทายคุณก่อน เพราะ คุณเป็นคนที่ มีความติส มีความเป็นส่วนตัว

ปัสโถ่เอ้ย !! ..ไอ้นี่ มันไม่ใช่ แตกต่าง มันคือ คนส่วนใหญ่ในยุคนี้ต่างหาก 

เรื่องตลกที่ผมอยากจะเล่าให้ฟัง คือ ทุกยุค ทุกสมัย จะมีคนส่วนน้อยที่ประสบความสำเร็จ ...ซึ่งคนส่วนน้อยของแต่ละยุค ก็คือ คนที่คิดและทำต่างจากคนส่วนใหญ่ในยุคของเขา ...พวกนี้แหละ รวย สำเร็จ 

คำถามคือ คนส่วนน้อยในแต่ละยุค มีหน้าตาอย่างไร ?

ผมขอบกตัวอย่าง จากเรื่องสถิติ หรือ การเข้าใจ Bell Curve คือ การหาค่าทางสถิติ เพื่อหาคนส่วนใหญ่ จะพบว่า มันเหมือน ระฆังคว่ำ

กล่าวคือ 

คนส่วนใหญ่ จะอยู่ตรงกลาง ของกราฟ ...คือพวกที่อะไรเหมือนคนอื่น ...ถ้าเป็นสมัยก่อน พวกอยู่ตรงกลาง ก็คือ พวกที่เรียนใช้ได้ ทำงานมั่นคง มีบ้าน มีรถ มีลูก ตั้งใจทำมาหากิน ...พวกนี้คือ คนส่วนใหญ่ของโลกในยุคที่แล้ว ที่สุดท้าย ก็คือ Middle Class ‘คนชั้นกลาง’ 

มีชีวิต มีกิน แต่ไม่ได้ร่ำรวย

ถ้าถามว่า คนยุคที่แล้วที่รวย คือ คนแบบไหน 

...ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อน ว่า กราฟระฆังคว่ำ จะมีคนส่วนใหญ่อยู่ตรงกลาง แน่จะมี คนส่วนน้อยอยู่ตรงปลายของทั้งสองด้าน

นั่นคือ ด้านนึง ดีสุด ...อีกด้าน คือ เลวสุด

ใช่!! ...จริงๆ แล้ว คนที่ ดีสุดสำเร็จสุด ...มันคือ คนสุดโต่ง ...ซึ่งอีกด้านของ คนเจ๋งสุดโต่ง ก็คือ คนที่ห่วยสุด 

...(ขยายความให้เห็นภาพ คือ เด็กนักเรียน ที่ได้ A กับ ได้ F มันสุดโต่ง และจำนวนน้อยเหมือนกัน ..แต่ถ้าคุณเป็น F บางที คุณเปลี่ยนวิธีคิดนิดเดียว คุณมาเป็น A ได้ทันที !!)

ถ้าเรา ตัด Curve หา คนสุดโต่งเหล่านี้ เราจะไปเจอ พวกคนใน Silicon Valley ...เด็กหนุ่ม นักคอมพิวเตอร์ รวยสุด บ้าสุด ...ตรงข้ามอีกด้านของพวกนี้คือ แย่สุด

สิ่งที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นก็คือ ...คนรวยสุด กับ แย่สุด มันคือคนประเภทเดียวกัน คือ เป็นคนส่วนน้อยเหมือนกัน ...ต่างกันที่ เขามองความสุดไม่เหมือนกัน

กลับมายุคนี้ คนส่วนใหญ่ หรือคนชั้นกลาง แบบคนรุ่นใหม่ ก็คือ พวกที่ใช้ชีวิตแบบที่คนยุคนี้เห็นว่าดีนั่นแหละ

- อิสระ ..เก็บภาพ ..หรู ..ติส 
- ติส ยุคนี้ คือ โหล นะ เพราะ ทุกคนอยากติส

ความติส แบบคนรุ่นใหม่ หรือคนส่วนน้อย คือ มีวิถีชีวิตที่คนรุ่นใหม่ไม่ทำ 

- ไม่เล่นมือถือ ..แต่ใช้มือถือ หาเงิน
- ไม่เที่ยว ..หรือ เที่ยวไปถ่ายรูป
- ประหยัด ..แต่เปลืองในเรื่องที่แตกต่าง
- ไม่ตามกระแส 
- อดทนสูง รอได้
- มนุษย์สัมพันธ์ดี

...เดี๋ยว !! ...ยุคนี้ มันคือ ยุคที่กำลังดำเนินอยู่ เราทุกคนกำลังใช้ทั้งชีวิต เพื่อหาคำตอบ 

ฝาก เรื่อง Bell Curve ไปศึกษาดูว่า 

ที่สุด ของแต่ละด้าน ต้องเป็นอย่างไร

แล้วศึกษา เดินทางไป ในแบบนั้น 

‘ถ้าเราคิดว่า เราคิดต่าง ...ลองเช็คกับคนรอบข้างดีๆ บางที เราก็แค่อีกคนที่คิดแบบคนส่วนใหญ่!!’

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 เรื่อง พ่อแม่ยุคใหม่ควรสอนอะไรลูก




‘พ่อแม่ ยุคใหม่ ควรสอนอะไรลูก ?’


คำถามโลกแตก เพราะ พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกดี ...แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ลูกกลายเป็นปัญหาที่น่าหนักอก หนักใจมากขึ้นเรื่อยๆ 


คำตอบ คือ ‘ไม่ต้องสอนครับ!!’ 


เฮ้ย!! จริง ...เคยเห็นลูกฟังพ่อแม่ไหม ?

 ...อ่านหนังสือซิ ..เรียนให้ดี ..เป็นคนดีนะ


 ..อย่าทำอันนี้ - จะทำ!! ...อย่ายุ่งกับสิ่งนี้ - เฮ้ย !! มันต้องลอง ...ในฐานะลูก บอกเลย อยากท้าทายทุกเรื่องที่ผู้ใหญ่สอน 


เราคิดในใจเสมอ ...ทำไมต้องห้าม ทุกเรื่องที่เราอยาก แล้วทำไมต้องพยายามสอนให้ทำ ในสิ่งที่เราไม่อยากทำ


- เหตุผลหลักๆ ที่บอกไม่ต้องสอน เพราะ ลูกไม่ได้ฟังสิ่งที่เราสอน แต่เขาทำตาม สิ่งที่เราทำต่างหาก ...’การสอนของพ่อแม่ยุคใหม่ จึงคือ ทำตัวให้เป็นแบบอย่าง’


ส่วนพ่อแม่คนที่สองก็คือ โรงเรียนและมหาวิทยาลัย ..ทุกวัน กำลังพยายามปรับตัว เพราะ โลกมันเปลี่ยนจากยุคอุตสาหกรรม เข้าสู่ยุคข้อมูล 


แทนที่ เดิมที การเรียน คือ การมารับข้อมูล ..มารับความรู้ แล้วก็เอาความรู้นี้ไปประกอบอาชีพ ..กลายเป็นใช้ไม่ได้ 


หลักๆ มันเริ่มมาจาก บริษัท ห้างร้าน นายจ้างทุกวันนี้พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘คุณภาพนักศึกษา ไม่ดีพอ!!’


อ้าว!! ถ้าไม่ดีพอ แล้วอะไรล่ะที่บริษัทต้องการ ?


- บริษัทต่างๆ ก็บอก ต้องการดังนี้


1. ขยัน

2. ไม่เกี่ยงเงิน (เอาเงินน้อย)

3. ตั้งใจทำงานเก็บเงิน 


พอดู 3 ข้อเริ่มต้นนี่ ตอบเลย ‘แรงงานด่างด้าว’ นี่เข้าคุณสมบัติเป๊ะ 


ส่วนงานระดับสูง ...ก็ ‘ฝรั่ง’ จะเข้าคุณสมบัติพอดีเป๊ะ 


1. ภาษาดี

2. ทำงานกับต่างประเทศ ประสานงานเก่ง

3. ความรู้ได้ ไม่ต้องสอนงาน

4. ดูดี 


ส่วนงานปฏิบัติการทั้งหมด ระดับล่าง แทนด้วย เครื่องจักร ...งานระดับกลาง แทนด้วย AI ...


สรุป แล้ว ‘เด็กไทยรุ่นใหม่’ อยู่ตรงไหน ?


มีจร้า ตำแหน่งนี้ว่าง


...หน้าที่เป็นผู้บริโภค คนจ่ายเงิน 


เหมือนอเมริกาเลย ...งานระดับบน Startup ระดับโลก ทำโดย พวกคนอพยพระดับหัวกะทิ กับ ชาวยิว ...ตั้งแต่ Google , Facebook , Whatapp ก็ก่อตั้งด้วย immigration ..ซึ่งมันเหมาะกับอเมริกา เพราะ เขาต้อนรับคนต่างชาติ ใครเก่ง เขาให้เป็นคนอเมริกา


- งานระดับล่าง เขาแทนด้วยเครื่องจักร ..งานระดับกลางเขาแทนด้วย AI


- คนส่วนใหญ่ กลายเป็น ผู้บริโภค ...คนเหล่านี้ เป็นกำลังซื้อหลักของอเมริกาและโลก ...อยู่ด้วยหนี้ ทำงานไม่มั่นคง แต่ใช้จ่ายอย่างหนัก


คนกลุ่มนี้คือ คนชั้นกลางของอเมริกา ที่เคยมีชีวิตที่ดี เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งวันนี้ คนชั้นกลางเหล่านี้ กำลังแย่ลง จนลง กลายเป็นคนชั้นล่างแทน


..สิ่งที่เล่าให้ฟังนี่เป็น Trend ระดับโลก ซึ่งสาเหตุหลักๆ เกิดจาก คนชั้นกลาง ปรับตัวเรื่องการศึกษาและทักษะ ไม่ทันกับ ยุคข้อมูลข่าวสาร


การปรับการศึกษา - จากยุคอุตสาหกรรม สู่ยุคข้อมูลข่าวสาร (Industrial age - Information age)


1. เปลี่ยนจากการวัด IQ ให้เป็นวัด EQ ...ความฉลาดทางอารมณ์ จำเป็นกว่า ในการอยู่รอดและร่ำรวย ในยุคนี้


2. การสอนเรื่องจิตวิทยา ...การขาย การหางาน การหาตลาด ...ใช้ จิตวิทยา และ การเข้าใจคน เป็นจุดเริ่มเลย


3. ภาษาภาคปฏิบัติ ..คนไทยเรียนภาษาอังกฤษกันตั้งแต่ อนุบาล แต่จบ ม.6 แล้วส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้พูด ต้องเปลี่ยนจากการเรียนทฤษฎี ให้เป็นเรียนภาษาเพื่อพูดและเขียน ...ไม่ต้องเป๊ะ แต่ให้เป็น 


4. สอนเรื่องการรับมือกับความผิดหวังและข้อผิดพลาด ...คนยุคนี้ทุกอย่างเร็ว เขาจะเจอความผิดหวังทั้งชีวิตและการงานที่หนักและถี่กว่า ...ต้องสอนให้เขาฉลาดทางอารมณ์ และ พร้อมรับมือกับความผิดหวัง


5. สอนมนุษย์สัมพันธ์และการเข้าสังคม ...เด็กยุคนี้ขาด Social Skill มากๆ ..เก่งแต่เข้ากับคน ไม่ได้เลย นี่คือ จุดอ่อน ...คนที่เข้าคนได้ ทำงานก็การันตีความสำเร็จเกินครึ่งไปแล้ว


จะเห็นว่า ทุกข้อที่กล่าวมาคือ Soft Skill ทั้งหมด 


ใช่!! เพราะ พวก Hard Skill มันใช้เครื่องจักร และ หุ่นยนต์ทำแทนได้ ...ก็มีแต่ Soft Skill นี่แหละ ที่คนรุ่นใหม่ต้องเชี่ยวชาญเพื่อความแตกต่างและสำเร็จ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 ข้อควรรู้ ของคนที่อยากเป็นนายตัวเอง




5 ข้อควรรู้ เมื่อใครๆ ก็อยากเป็นนายตัวเอง !!

‘สนทนากับเด็กรุ่นใหม่ ...ถามว่า เรียนจบแล้วจะไปทำอะไร ? ...อยากทำอาชีพอะไร ?’

เขาบอก ‘อยากเป็นนายตัวเอง !!’

ผมก็บอกว่า ‘รู้ไหมพี่ถาม น้องคนไหน ..ทุกคนอยากเป็นนายตัวทั้งนั้น !!’ ...รู้ไหมว่ามันหมายความว่า อะไร ?

เดี๋ยว.. ยังไม่ต้องตอบ ‘ขอถามก่อนว่า คนที่พูดว่า อยากเป็นนายตัวเอง แปลว่า เขาไม่มีหัวหน้า ใช่หรือไม่ ?’

จริงๆ ไม่ใช่เลย ...คนที่ไม่มีนาย ไม่มีหัวหน้า ...แปลว่า เขามี ‘ลูกค้า’ เป็นหัวหน้า ..ซึ่งบอกตรงนี้เลยนะ ไม่มีนายคนไหน ที่โหดกับลูกน้องเท่ากับ ‘ลูกค้า’

บางคนบ่น นายผมโหด ไม่เป็นธรรม ..ผมขยัน ดันไปขึ้นเงินเดือนให้อีกคน ไม่แฟร์ !!

- ผมจะบอกคุณว่า นายที่ชื่อว่า ‘ลูกค้า’ ที่โหดสัด ...บางคนนะ ทำกระเป๋า เย็บก็ใช้มือเย็บ ขายก็ขายเอง ..เวลาลูกค้าเข้าร้าน นี่สุดจะ ดูถูก ลูกค้า เดินเข้าไปนี่พนักงานขายมองตั้งแต่หัวจดเท้า 

แล้ว ถ้าใครไม่เคยซื้อมาก่อน ..โห โตครดูถูก ..เอาง่ายๆ ว่า ถ้าไม่เคยซื้อ เขาจะไม่ขายกระเป๋ารุ่นดีๆ ให้เรา ...นุ่น คุณไปซื้อรุ่นกระจอกใบละแสนก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยมาคุยกัน 

สรุป แม่งขายดี ขายโคตรแพง ลูกค้าแย่งกันซื้อ ...ลูกค้ารัก ซื้อไปแล้วทะนุถนอมเหมือนเป็นสินทรัพย์ เก็บอย่างดี ว่างๆ ก็เอาไปสปา ...คือ ดูแลกว่า ดูแลตัวเองอีก 

- อีกคนนึง ขายกระเป๋า ขายก็ถูก หนังก็ดีเย็บมือเหมือนกัน ..รับประกันคุณภาพ ...ดูแลลูกค้า แทบจะกราบ แต่ขายไม่ดี ...ทั้งถูกและดี แต่ขายไม่ดี 

ที่เล่ามาคือ ความโหดของนาย ที่ชื่อว่า ‘ลูกค้า’ 

‘ไม่มีหรอกครับ ที่ว่า จะเป็นนายตัวเอง ...คิดว่า ไม่เป็นลูกจ้างใคร จะสั่งตัวเอง เป็นนายตัวเอง นั่งๆ นอนๆ ดูทีวี ...ไปจิบกาแฟ ...นั่นคือ ตกงาน ติสแตก และไม่มีงานทำ - ที่พูดกันว่า อยากเป็นนายตัวเอง ก็คือ คุณมีลูกค้าเป็นนาย’

คนยุคต่อไป ผมว่า งานจะเหนื่อย หนักขึ้น คู่แข่งมากขึ้น ก็เพราะ คนส่วนใหญ่ เลือกลูกค้าเป็นนาย 

สิ่งที่คุณต้องรู้คือ ‘รู้จักนายของคุณ ก็คือ ลูกค้า’

1. ‘ทำงานดี อาจจะไม่ดีก็ได้ ถ้าไม่ถูกใจลูกค้า’ ...ดังนั้น งานยุคต่อไป ต้องโฟกัสไปที่ ‘อารมณ์ของลูกค้า ..ไม่ใช่เหตุผล แบบในปัจจุบัน’ ...ถูกและดี ผมอาจจะไม่ซื้อก็ได้ ...ผมใช้ ‘อารมณ์’ เท่านั้นในการตัดสินผลงานของคุณ

2. ‘ผมต้องการเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้ ไม่ใช่เมื่อรืนนี้’ ...ลูกค้ายุคนี้ มีต่อมความต้องการอย่างเดียว คือ เดี๋ยวนี้ ...ถ้าคุณตอบสนองไม่ได้ เขาก็คลิ๊กมือถือผ่านไปทันที ...ต้นทุนการขายสินค้า จะแพงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะออนไลน์ ...อำนาจการจับจ่ายจะขึ้นกับ Platform ไม่กี่รายที่ผูกขาด และ ตัดกำไร จนคนขายไม่เหลืออะไร ...เพื่อสนอง เจ้านายคนเดียวกัน ชื่อ ‘ลูกค้า’

3. ‘ยุคล่าแม่มด’ ..ถ้าคุณทำดี ลูกค้าก็เฉยๆ แต่ถ้าคุณทำแย่นิดเดียว เขาจะแชร์ และ ประจานให้คุณ ไม่ได้ผุดได้เกิดอีกเลย ...’ถ้าคุณ เลือกที่จะมีนายที่โหด คนนี้ ...เตรียมแผนรับมือไว้ ...ธุรกิจที่รอดจากออนไลน์ คือ ต้องโดนเหยียบแล้ว กลับมาได้ ..ถึงจะอยู่ได้’

4. ‘ลูกค้ายุคนี้ไม่รู้หรอกว่าตัวเอง อยากได้อะไร’ ...ไม่แปลกหรอก เพราะ คนยุคใหม่ ไม่ใครรู้หรอกว่า ตัวเอง ต้องการอะไร ...ก็เพราะ ความต้องการเขาเปลี่ยนตลอดเวลา ...แปลว่า เมื่อวานเขารักคุณ พรุ่งนี้เขาอาจจะมองว่าคุณโคตรเชย ...พร้อมหรือยังกับลูกค้าแบบนี้ ? - แปลว่า ถ้าคุณหยุดคิด หยุดพัฒนา คุณเตรียมตัวตาย !!

5. ‘โหวตด้วยเงิน’ ...ลูกค้ายุคนี้ โหวตด้วยเงิน ...เขาจะตีค่าสินค้าและบริการ จากเงินจริงๆ ที่เขาจ่ายเท่านั้น ...ถ้าจะอ่านความต้องการเข้าใจลูกค้า ศึกษาการจ่ายเงินของเขา

...เอาล่ะ นี้คือ จุดเริ่มคร่าวๆ ที่คนที่เลือกเป็นนายตัวเอง ต้องรู้ ...มันกำลังจะเปลี่ยน และ เปลี่ยนอย่างรุนแรง 

‘ลูกค้า = นายจ้าง ที่เอาใจยาก ..ใช้แต่อารมณ์ ...ต้องการสิ่งที่ดีขึ้น ..ถ้าไม่ดีขึ้น เอ็งต้องถูกลง ..ต้องการให้คุณเปลี่ยนแปลงตัวเอง พัฒนาตัวเองตลอดเวลา และ ที่สำคัญ ลำเอียงโคตรๆ ...ใช่!! ที่แหละนาย ของคนที่คิดจะเป็นนายตัวเอง’

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2561

ไม่มีใครร่ำรวยจากความสุรุ่ยสุร่าย



‘ไม่มีใครรวยจากความสุรุ่ยสุร่าย !!’


อันนี้ใครๆ ก็รู้ แต่ถามว่า จะมีสักกี่คนที่เข้าใจ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ 


ทุกวันนี้เราถูกกระแส Social ..กระแสสังคม กดดันให้เราใช้ชีวิตหรูหรา ...เปิดมือถือมาแต่ละครั้ง ก็เห็นคนนั้นโพส โชว์รถใหม่ ..นาฬิกาใหม่ ..กระเป๋าใหม่ ..ของเล่นใหม่ ...เห็นแล้วอยากซื้อบ้าง จริงไหม ?


จริงๆ ไม่ผิด ..แต่ต้องใช้บนฐานะของเรา ...อันนี้วัดยาก แต่ถ้าเราตั้งสติดีๆ เราจะรู้ว่า อะไรที่ควรซื้อ หรือ อะไรที่ไม่ควรซื้อ ถึงแม้ว่าเราจะมีเงินพอก็ตาม 


ถ้าเราไปดู คนที่ประสบความสำเร็จ ทุกคน จะพบว่า เขาจะมี 3 ช่วงชีวิต


คือ 1. ช่วงอดออม ศึกษา เรียนรู้ และ ค้นหาตัวเอง


2. ช่วงการเติบโต และ ความอดทน


3. ช่วงใช้เงินที่หามา


ถ้าถามว่า คนยุคนี้ รู้จักช่วงไหน ? ...ส่วนใหญ่จะรู้จักแต่ช่วงที่ 3 คือ ‘ช่วงใช้’ ...ที่หนักกว่านั้น คือ คนยุคนี้ใช้ก่อนหาได้ ยอมเป็นหนี้ เพื่อใช้ซื้อสิ่งที่อยากได้ ...นี่คือ ปัญหาที่มันขัดกับความสำเร็จ


ยกตัวอย่าง คนที่เพิ่งเรียนจบ ...จริงๆ คนที่เรียนจบ ต้องเริ่มช่วงที่ 1 ...แต่ที่เราเห็นส่วนใหญ่ เราจะเห็นเขาพยายามกระโดดไปช่วงที่ 3 เลย ...ซึ่งมันขัดกับหลักธรรมชาติของความสำเร็จ 


เหมือนคุณพยายามปลูกต้นไม้ แล้วเร่งกรีดยางให้เร็ว ...เอาน้ำยางออกมา รีบขาย ทั้งที่ต้นยาง ยังไม่ถึงเวลากรีด ...ผลก็คือ เจ๊ง นั่งเอง


ที่ถูกต้อง คือ เริ่มจากช่วงที่ 1 อย่างจริงจัง


1. คนที่เพิ่งเรียนจบ ความเน้น ฝึกงาน ทำงานจริง ..หานายที่เก่ง เพื่อที่จะเรียนจากคนเก่ง แล้วก็ได้ลองทำงานในอุตสาหกรรมจริงๆ ...แน่นอน ช่วงแรก เงินจะไม่เยอะ แต่สิ่งที่เราจะได้ คือ ความรู้ ที่เราจะเอาไปใช้ต่อยอด ...เรียกว่า เรียนรู้ แล้ว ค่อยๆ เก็บฐานทุน 


ฐานทุน นี่สำคัญมาก ...ถ้าเรามัวแต่ใช้ทันที ตั้งแต่เรายังไม่มีฐานทุน ...เราจะต่อยอดอะไรไม่ได้เลย 


2. พอเริ่มมีฐานทุน (ตรงนี้ น่าจะใช้เวลาเกือบ 10 ปี) เราจะเริ่มมีฐานทุน และ ความรู้ในอุตสาหกรรมจริงๆ ...ทั้งสองอย่างนี่แหละ ที่จะทำให้เราเติบโตแบบก้าวกระโดด


ใครคิดจะเริ่มธุรกิจ หรือ ลงทุนแบบจริงจัง ควรเริ่มตรงนี้ 


เรามักจะได้เห็นเรื่องราวของ เศรษฐีอายุน้อย ที่เริ่มธุรกิจแล้วประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ...มันมีนะ แต่มันคือ 1 ใน แสน หรือ หนึ่งในล้าน จะเอามาเปรียบเทียบเป็นตัวอย่างในชีวิตจริงไม่ได้


3. ช่วงการใช้ อันนี้ไม่ต้องสอน เพราะ ทุกคนทำเป็นอยู่แล้ว ....แต่เชื่อเถอะว่า หลายๆ อย่างที่เราอยากซื้อตอนไม่มีเงิน ...พอมีเงิน เราอาจจะไม่อยากซื้อ 


มาถึงคำถาม ที่ว่า 


ถ้าต้องการสำเร็จ ให้เร็วขึ้น ตัองทำอย่างไร ?


- ก็ต้องเริ่มขั้นที่ 1 และ 2 ให้เร็วขึ้น ถ้าเราค้นหาตัวเอง คือ รู้ว่าเราเก่งอะไร ทำอะไรได้ดี ได้เร็ว เราก็จะย่นระยะเวลาความสำเร็จได้เร็วกว่าคนอื่น 


- ใช่!! เราจะหาตัวเองเจอ จากการทำให้มาก ลงมือให้เยอะ เท่านั้น ไม่มีทางลัด (ไม่มีหรอกครับ นั่งเฉยๆ นั่งมโน แล้วจะรู้ว่า เราทำมันได้ดีหรือเปล่า ต้องลงมือทำถึงจะรู้)


...เช่น ฝึกทำงานจริง ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ...ต้องฝึกหาเงินเร็วขึ้น ...แต่อย่าทิ้งการเรียน เพราะ แม้ว่า เราจะบ่นว่า การศึกษามันล้าหลัง และ ไม่ตอบโจทย์โลกยุคใหม่ 


แต่เชื่อเถอะว่า ...อย่างน้อย การศึกษา ก็เป็น บัตรการันตีว่า คุณไม่อดตาย


คนมีความรู้ ถ้าขยัน ไม่มีทางอดตาย 


คนมีความรู้ ถ้าขยัน แล้วหมั่นพัฒนาความรู้ตัวเอง ...อันนี้ยังไง ก็สำเร็จครับ


‘แค่ว่าวันนี้ เราไม่ได้ใช้เงินไฮโซ แบบคนอื่น ...ไม่ได้หมายความว่า เราตกต่ำ ...เพียงแต่เราแค่อดทน เรียนรู้ เพื่อรอความสำเร็จที่แท้จริง เมื่อเวลาของเรามาถึงต่างหาก’


ผมเชื่อว่า ทุกคนมีเวลาสุกงอมที่ต่างกัน ...แค่เรามุ่งมั่นในทางของเราก็พอ !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

‘มหัศจรรย์แห่งจีน ที่เราเรียนรู้ได้’



‘ความมหัศจรรย์ของจีน ...เราเรียนรู้อะไรได้ จากจีน’

ปี 1978 ประเทศจีนมี GDP แค่ $150 Billion ...แต่ปัจจุบัน GDP ของจีน แซงทั้ง เยอรมัน , อังกฤษ , ญี่ปุ่น ขึ้นมาเป็นที่ 2 ของโลกที่ $17,000 Billion ($ 17 Trillion) เป็นรองแค่อเมริกา ที่ $19 Trillion

แปลว่า 30 กว่าปีที่แล้ว จีนเศรษฐกิจเล็กกว่าประเทศไทยในเวลานี้เสียอีก ...วันนี้ GDP ของไทย เรา คือ $455 Billion (อยู่ในอันดับที่ 26 ของโลก) 

พูดตัวเลขมาก งง เปล่าๆ ...เอางี้ ‘จะบอกว่า จีนขยายเศรษฐกิจประเทศ เร็วมาก ถ้าย้อนไปไม่กี่สิบปีที่แล้ว คนจีน ส่วนใหญ่ยังจนกว่าคนไทย’

ก็สมัยก่อนที่ คนจีนโพ้นทะเล นั่งสำเภาหนีความจนจากจีนไปยังประเทศต่างๆ รวมทั้งเมืองไทย ...สมัยนั้นจีนยากจนมาก ...พี่น้องที่มาตั้งตัวได้ในต่างประเทศ ต้องส่งเงิน ส่งของไปช่วยเหลือ 

เผลอแป๊บเดียว วันนี้ GDP ต่อหัวของคนจีน แซงไทยไปแล้ว แปลว่า ‘ค่าเฉลี่ยคนจีนวันนี้ รวยกว่าคนไทยไปแล้ว’ 

จุดที่น่าสนใจ คือ จีนเพิ่งมาเปิดประเทศจริงจังเมื่อ 1978 สมัย เติ้ง เสี่ยวผิง เป็นประธานาธิบดี ..ไม่ถึง 40 ปีเลย ...เวลานั้น จีนยังเดินทางมาดูงานประเทศไทยเลย ...แต่หลักๆ ที่จีนไปดูคือ สิงคโปร์ 

จีนพยายามศึกษาว่า ในเวลาสั้นๆ สิงคโปร์ ทำให้เศรษฐกิจโตได้อย่างไร ...ก็ได้ขอความร่วมมือ จากลีกวนยู ให้ไปสร้างนิคมอุตสาหกรรมใหม่ ในประเทศจีน พาคนไปลงทุน ....จากวันนั้นถึงวันนี้ จีนกลายเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลก ขนาดที่อเมริกายังกลัว 

เพราะจีน มีทั้งอุตสาหกรรม ..เทคโนโลยี ..เงิน ...คน ..และ ก็ Jack Ma 

เฮ้ย!! Jack Ma ด้วยหรือ ?

ใช่!! วันนี้ผมว่า เรามีอะไรที่ต้องเรียนรู้จากจีนเยอะทีเดียว ...จากประเทศที่ไม่มีเทคโนโลยี วันนี้มีรถไฟฟ้าความเร็วสูง ..ทำดาวเทียมได้ ...ทำเครื่องบินของตัวเองได้ ...IT Start up ก็ทำอเมริกาอายเลย - ทำได้ไง ?

1. ‘หมั่นเรียนรู้’ ...ต้องยอมรับว่า คนจีน ก๊อปปี้เก่งมากๆ แถมไม่ใช่แค่ก๊อปปี้เฉยๆ ...เขาต่อยอดด้วย ..จำได้โทรศัพท์มือถือ ..อเมริกาออกมายังไงก็มี ซิมเดียว ...ของจีนได้หลายซิม ...ตัวอย่างนี้ขำขำนะ แต่จะบอกว่า จีนนอกจากเรียนรู้แล้ว ต่อยอดด้วย

จีนให้ความสำคัญกับการศึกษามาก ...แข่งกันเรียนสุดๆ ...ถ้าวัดกันตรงๆ จีนน่าจะมีคนจบปริญญามาก และ สูงที่สุดในโลก (นี่คือ แรงงานความรู้ ที่ต่อยอดได้มากที่สุดในยุคนี้)

2. ‘ทำอะไร ใหญ่สุดๆ’ ...ตรงนี้เป็นความได้เปรียบส่วนนึงในเรื่องของความใหญ่ของประเทศ ..ทำให้เวลาจีนทำอะไร จะทำใหญ่ ทำเยอะ เน้นผลิต Mass 

3. ‘อุตสาหกรรมแข็งแรง’ ...จีนเน้น การผลิต จึงมีโรงงานเยอะมาก ...จุดนี้เอง เป็นการสร้างแรงงานคุณภาพ จำนวนมาก ที่ประเทศอื่นทำไม่ได้ ...อย่าง Apple CEO คุณ Tim Cook เคยให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้คนที่คิดว่าจีน คือ ฐานการผลิตราคาถูก อาจต้องคิดใหม่ เพราะวันนี้แรงงานจีน แพงแล้ว ....แต่สิ่งที่จีนมี ในขณะที่อื่นทำไม่ได้ คือ แรงงานคุณภาพ ในพื้นที่เดียวกัน จำนวนมหาศาล ต่างหาก ที่หาไม่ได้ใน Scale นี้

4. ‘สภาพแวดล้อม ที่เอื้อในการต่อยอด’ ...วันนี้เราอาจรู้จัก Silicon Valley ในอเมริกา แต่จริงๆ ที่อเมริกา เก่งในเรื่อง Software ...ถ้าพูดถึงเรื่องการทำสินค้าจริงๆ หุ่นยนต์ สินค้า อุปกรณ์ ที่จับต้องได้ ต้องมาที่เซินเจิ้น (Shenzhen = Silicon Valley of Hardware) ...นี่คือ ฐานทัพของ innovation startup ในสินค้าที่จับต้องได้ 

5. ‘การที่ไม่ยึดติด รูปแบบการค้าเดิมๆ’ ...วันนี้จะเห็นว่า ecommerce ของจีน แซงอเมริกาไปแล้ว ...เพราะ อเมริกา การค้าออนไลน์เป็นแค่ส่วนเสริมจากการค้าปกติ ...แต่จีนการค้าออนไลน์ คือ การค้าหลัก ...เพราะ การค้าเดิมในจีน ไม่มีด้วยซ้ำ 

ทำให้คนรับออนไลน์ เป็นการค้าหลักได้ทันที

ข้อดี คือ จีนไม่ต้องไปลงทุนสร้างระบบการค้าแบบเดิม ที่เป็นค้าส่ง ค้าปลีก สร้าง ห้างสรรพสินค้า สร้างร้านค้า ..เขาตัดจากโรงงาน ส่งถึง ลูกค้า ตรงเลย ...เขาเลยสร้างธุรกิจออนไลน์เร็ว และล้ำหน้าอเมริกาไปแล้ว อย่างเช่น 

- การส่งของที่รวดเร็ว เพราะ มีธุรกิจรายย่อยส่งสินค้าจำนวนมหาศาล พวกนี้เก่งและเร็วกว่า บริษัทขนส่งระดับโลก เพราะเขาคือคนท้องถิ่น

- เงินออนไลน์ วันนี้จีนรับเงินออนไลน์ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ 

6. ‘การสนับสนุนธุรกิจโดยภาครัฐ’ จะเห็นว่า จีนเป็นไม่กี่ประเทศ ที่ Amazon เจาะไม่ได้ , Google เข้าไม่ได้ , Facebook ก็เข้าไม่ได้ ...ขนาดโปรแกรม chat ก็มี wechat ของตัวเอง ซึ่งทำได้มากกว่า ทั้งซื้อสินค้า จ่ายเงิน เป็นกระเป๋าสตางค์ 

ประเทศส่วนใหญ่ เสียอธิปไตยในออนไลน์เรียนร้อย ยกเว้นจีน

7. ‘สิ่งที่เราควรเรียนรู้จากจีน คือ การขายออนไลน์ และ การสร้างระบบการค้า การส่งสินค้า ให้ได้แบบจีน’ 

....จริงๆ ไทยเราคล้ายจีน เราเป็นฐานการผลิตของโลก ...เราต้องเอาวิธีการขายของจีนมาปรับใช้ ...โรงงาน สู่ลูกค้าปลายทาง !!

เคล็ดลับความสำเร็จของจีน ก็คือ การค้า

ยิ่งสามารถเคลื่อนสินค้าได้เร็ว และ ชำระเงินง่าย ก็จะยิ่งเกิดการค้าขายมหาศาล ...ยิ่งเกิดการหมุนเวียน ทุกคนก็จะยิ่งได้ประโยชน์

ยุคนี้ต้องเร็ว มันเป็นยุคที่พ่อค้า แม่ค้า กำลังมาแรง

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

"โลกยุคใหม่ ประเทศไหนมีทรัพยากรเยอะจะจน ..แต่ประเทศที่ไม่มีทรัพยากรจะรวย!!"




"โลกยุคใหม่ ประเทศไหนมีทรัพยากรเยอะจะจน ..แต่ประเทศที่ไม่มีทรัพยากรจะรวย!!"

ดูซิทวีป Africa เป็นทวีปที่มีทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งเพชร น้ำมัน แร่ธาตุ ป่าไม้ ..ทุกอย่าง อุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก ...แต่ประเทศส่วนใหญ่ใน Africa กลับจน

แต่พอมาดูประเทศที่ไม่มีทรัพยากร อย่าง ญี่ปุ่น , สิงค์โปร์ , เกาหลี , อิสราเอล ...เฮ้ย!! ไม่มีทรัพยากร กลับรวย

ว่าแต่มันเป็นอย่างนี้ได้อย่าง ...ผมเชื่อว่า หลายๆ คนก็ต้องสงสัยไม่ต่างกับผม !!

พอศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ เศรษฐกิจไปเรื่อยๆ ก็พบว่า ..."เรื่องเงินๆ ทองๆ มันเป็นสิ่งที่เราไม่เข้าใจมากที่สุด ...เอาง่ายๆ คนส่วนใหญ่ มีเป้าหมายสูงสุด คือ ทำงานหาเงินให้มากที่สุด ...แต่ถ้าถามลึกจริงๆ ว่า คุณรู้รึเปล่าว่า ไอ้เงิน ที่คุณหา มันคืออะไร ?"

- สมมุติ คุณหาเงินเก่งมาก แต่ดันอยู่ในประเทศที่การเงินไม่มั่นคง ...วันดีคืนดี ..ค่าเงินของประเทศคุณก็ลดลง ...นั่นแปลว่า เงินที่คุณหามา มันลดลงโดยอัตโนมัตินะ ...คือ ซวยว่างั้นเถอะ

เราก็เลยเห็น คนรวย ในประเทศที่เศรษฐกิจไม่มั่นคง ...พอหาเงินมาได้ ก็พยายามเอาเงินที่หาได้ เปลี่ยนเป็น สกุลเงินอื่น เช่น ดอลลาร์ , ยูโร ..แล้วก็ขนเงินไปฝากไว้นอกประเทศ อย่างเช่น มี บัญชีที่สวิส

...โอเค ผมจะแปลให้ฟังว่า ที่เล่ามา มันหมายความว่าอะไร ...ก็หมายความว่า หาเงินได้เท่าไหร่ ไม่สำคัญ เพราะ ผลประโยชน์มันไปตกกับประเทศที่คุณไปถือเงินของเขา ...อย่างในปัจจุบัน ประเทศที่คนรวยทั่วโลก เอาเงินไปแลกเป็นสกุลนั้นมากที่สุด ก็คือ ดอลลาร์

ไม่แปลกเลยที่ วันนี้ อเมริกา รวยและ มีอำนาจที่สุดในโลก

ลองนึกภาพตามนะ ...สมมุติ มีประเทศนึงใน Africa ขาย น้ำมัน ได้เงินมหาศาล ...ถามหน่อย ใครได้ ? ...หลายคนนึกว่า ประเทศเหล่านั้น จะแจกเงินให้ประชาชนอย่างเท่าเทียม ...แต่ไม่ใช่เลย ...คนที่ได้ประโยชน์ ส่วนใหญ่ก็คือ ผู้นำทหาร เผด็จการในประเทศนั้นๆ ...ซึ่งเงินส่วนใหญ่ของเขา ก็เอาไปเปลี่ยนเป็น ดอลลาร์ แล้วฝากไว้ต่างประเทศ

นั่นแปลว่า ทรัพยากร มหาศาล ที่ขายออกมา ...มันไม่ได้ประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ในประเทศเลย ....คนที่ได้ประโยชน์ก็คือ ผู้นำเผด็จการ ...และ ผู้ได้ประโยชน์สูงสุด ก็คือ "ผู้สร้าง ดอลลาร์ ..ซึ่งก็คือ อเมริกานั่นเอง"

ถ้าย้อนไปตอนที่ มีการโค่นล้ม กัดดาฟี ของลิเบีย ...คุ้นๆ ไหม ...ผู้นำเผด็จการ ...เงินส่วนใหญ่ อยู่นอกประเทศ สุดท้าย โดนยึดหมด ...คนซวยคือ ประชาชนลิเบีย เพราะ ขายทรัพยากรประเทศออกไปมหาศาล แต่สุดท้ายไม่ได้อะไรเลย

นี่คือ การออกแบบให้ประเทศรวย ยิ่งรวย โดย ระบบทุนนิยม ...คนที่ได้เปรียบมากที่สุด ก็คือ คนที่เป็นเจ้าของดอลลาร์ ...จริงๆ แล้ว ก่อนหน้านี้ ก็มีการคิดจะสู้ เช่น ยุโรป ออกเงิน ยูโร มาสู้ แต่ก็ยังสู้ไม่ได้ ...ทำให้อเมริกา ยิ่งใหญ่สุดๆ

ถ้าย้อนอ่านประวัติศาสตร์ จะพบว่า ตั้งแต่สมัยโบราณ อาณาจักร ที่สามารถครองโลกได้ ต้องเป็นเจ้าของ "เงินของโลก"

หลายคนอาจคิดว่า "ทหาร" สำคัญที่สุด ...แต่จริงๆ แล้วทหาร สำคัญ อันดับสอง รองจาก "การเป็นเจ้าของเงินที่คนทั่วโลกยอมใช้" ...เพราะ เงิน ซื้อ ทหาร ได้ไง ...ในสมัยของ กุบไรข่าน เป็นครั้งแรกๆ ของโลก ที่มนุษย์ คิดเงินกระดาษขึ้นมา

ก่อนหน้านั้น การแลกเปลี่ยนสินค้า เป็นแบบ Barter Trade ก็คือ การแลกเปลี่ยนสินค้า เช่น ฉันให้งวงช้าง แลก กับ อาหาร อะไรก็ว่าไป ...พัฒนามาเป็น สิ่งที่มีค่า เช่น ทองคำ เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน

ซึ่งข้อจำกัดของ เงินที่มีค่าจริงๆ คือ มันไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ ...อย่างสมัยโรมัน ก่อน ล่มสลาย ก็คือ ช่วงที่เงิน เริ่มเฟ้อ เพราะ คนเริ่มจับได้ว่า เหรียญทองคำของโรมัน มันไม่ใช่ทองคำบริสุทธิ์ ...สุดท้าย ก็เกิดเงินเฟ้อ มหาศาล แล้วเป็นที่มาของการส่มสลายของอาณาจักรโรมัน ..คุ้นๆ ไหมว่า วิกฤต สุดท้ายจบ ด้วยเงินเฟ้อ และ เศรษฐกิจล่มสลาย

ย้อนกลับมาที่ กุปไรข่าน ...เป็นยุคที่มีการสร้าง เงินกระดาษขึ้นมา หรือ Fiat Money ...แปลว่า เงินนี้ ท่านข่าน สามารถสร้างเงินนี้ ขึ้นมาได้เอง ...ใครเอา ทรัพยากร มาขายให้จีน ในเวลานั้น ก็เอากระดาษ ไปแทน

กระดาษที่ว่านี่ สามารถใช้เป็นเงิน แลกเปลี่ยนสินค้าทุกอย่างในอาณาจักร ...ด้วยเหตุที่ กุปไรข่าน สามารถสร้างเงินให้ทุกคนยอมรับ ..ส่งผลให้ กุปไรข่าน ในเวลานั้น มีทรัพยากรไม่จำกัด ...คือ เอากระดาษไปแลกได้ทุกอย่าง ทั้งอาวุธ , คน ,​ทรัพยากรที่จำเป็น ...และจุดนี้เองที่ทำให้ กุปไรข่าน ได้เป็น มองโกล คนแรก ที่เป็น จักรพรรดิของประเทศจีน (ผมดูเรื่องนี้ จาก Marco polo ใน Netflix แบบว่า โคตรมันส์)

แต่สุดท้าย อาณาเขาก็ลมสลาย จาก "เงินเฟ้อ" นี่เอง ...เหมือน ซิมบับเว่ ..เหมือน เวเนซุเอลา

ที่เล่าเรื่องนี้อย่างยาว เพื่อจะให้เห็นภาพว่า "เงิน" สำคัญมาก ...ถ้าเราแค่ "หาเงินเป็น" มันไม่เพียงพอ ...มันต้อง "เข้าใจเงิน" และ บริหารมันเป็น ...ไม่งั้น สุดท้าย เราก็ตกเป็นเหยื่อ ของคนที่เข้าใจเงินมากกว่าเราอยู่ดี

"เงิน" ทุกวันนี้ เหมือน "สินค้า" อย่างนึง ...ที่ราคาจะขึ้นลง ตามความต้องการของมัน

ยกตัวอย่าง ...ทุเรียน ราคาจะขึ้นอยู่กับ Demand & Supply ..อย่างทุเรียนหมอนทอง ก็เหมือนเงิน ดอลลาร์ ที่ใครๆ ก็อยากได้ ...จึงราคาแพง ...ค่าเงินมันก็จะแข็งในระยะยาว

แต่ทุกเรียน ที่คนไม่ค่อยกิน ...อาจจะเหมือน เงินในประเทศที่คนไม่ค่อยยอมรับ ...ในระยะยาว ค่าเงินของประเทศนั้นก็อ่อน เหมือนอย่างในประเทศที่ไม่ค่อยเจริญ คือ สุดท้ายคนจนลงเรื่อยๆ ถ้าถือ และ สะสมเงินสกุลของตัวเอง (พวกคนรวย จึงไม่ถือเงินสกุลของตัวเอง ไปถือ ดอลลาร์ นั่นเอง)

"คุณสงสัยไหมว่า ทำไม อเมริกา สามารถทำให้เงินตัวเองเป็นที่ยอมรับ ...ถ้าเทียบสินค้าก็เหมือน สินค้าชั้นดี ที่ใครถือไว้แล้วมูลค่าไม่ลดลง"

คำตอบง่ายๆ คือ

1. เงินที่ดี คนเก็บต้องสบายใจ คือ แน่ใจว่า ในระยะยาว มูลค่าจะไม่ลดลง (ในอดีต ถึงปัจจุบัน มีแต่สกุลเงินใหญ่ๆ อย่าง ดอลลาร์ , ยูโร , สวิส , ...ที่มูลค่า มันไม่ลดลงอย่างน่าตกใจ เหมือนอย่าง เงินเวียดนาม , เวียดนาม , ...)

2. เงินที่ดี ต้องไม่ผันผวน ...ไม่งั้น ใครจะอยากเก็บความมั่งคั่งของตัวเองเป็นสกุลเงินนั้น (ทุกวันนี้ มี Cryptocurrency อย่าง Bitcoin ที่เสนอตัวเอง ว่าเป็น สกุลเงินใหม่ของโลก ...แต่ปัญหาคือ ราคามันผันผวนมากเกินไป ทำให้วันนี้ Bitcoin ไม่สามารถเป็นเงินได้ ...มันกลายเป็นเหมือน Commodity (สินค้าโภคภัณฑ์) ...คือ เขาไม่ใช้เป็นเงิน แต่เขาใช้เก็งกำไร ...ยกเว้นว่า วันใดก็ตามที่ ราคา Bitcoin นิ่งๆ ไม่ผันผวนขึ้นลง วันนั้นแหละ ที่ Bitcoin จะสามารถใช้เป็นเงินได้)

ตลกร้าย คือ ถ้า Bitcoin ราคาไม่ผันผวน หรือ ไม่ขึ้น ..แล้วคนที่เล่น Bitcoin ก็คงไม่มีเหตุผลที่เขาจะเข้ามาเล่น ...เพราะ วันนี้เหตุผล เดียวที่คนเข้าไปเล่น Bitcoin ไม่ใช่เพราะ มันจะมาแทนเงิน แต่เพราะ ราคามันขึ้น ...คนส่วนใหญ่ แค่มองว่า เป็นโอกาสในการเก็งกำไรก็เท่านั้นเอง

เอาเท่านี้ก่อน ...ไว้ค่อยมาเล่าต่อ

สรุป "ยุคที่เงินเป็นพระเจ้า" ...ต้อง "เข้าใจและบริหารเงินเป็น" ...ไม่งั้น เราจะเป็นแค่แมงเม่า ที่ใครพูดอะไรก็เชื่อ โดนหลอกไปลงทุนในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ สุดท้ายเสียหาย

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2561

ทำไม เวเนซุเอลา จึงเจ๊งทั้งประเทศ ทั้งๆ ที่รวยน้ำมัน



"เอาเรื่อง เวเนซูเอลา มาเล่าให้ฟัง" 


ปี 2012 ค่าเงินของ เวเนซูเอลา ยังไม่ได้พัง ..เวลานั้น 1 ดอลลาร์ แลกได้ 4.2 ..แต่วันนี้ ค่าเงินอ่อนค่า จนต้องใช้เงิน 60,000 กว่าเหรียญของเวเนซูเอลา ถึงจะแลกได้ 1 ดอลลาร์ - น่าตกใจมาก !! 


พูดง่ายๆ คือ วันนี้ เงิน เวเนซูเอลา พังไปเลย จากที่เคยมีค่ามากกว่าเงิน บาท บ้านเราเสียอีก ...แต่วันนี้ เงิน เวเนซูเอลา ไม่มีค่าเลย ...เดี๋ยวนี้จะซื้อกาแฟสักแก้ว ต้องขนเงินเป็นกระสอบไปซื้อ ..บ้าไปแล้ว !!


หลายคนคงสงสัยว่า เงินเวเนซูเอลา ทำไมอยู่ดีๆ ก็พังไปเลย ...ใครเก็บเงินไว้ เรียกได้ว่า จะเก็บไว้เป็นล้าน วันนี้ไม่เหลือค่าเลย ...สาเหตที่เป็นแบบนี้ เพราะ เศรษฐกิจของเวเนซูเอลา ล่มสลายไปแล้ว 


แต่เหตุการณ์แบบนี้ ไม่ได้เกิดข้ามคืน แต่ค่อยๆ สะสมความแย่มาเรื่อยๆ 


"คุณสงสัยไหมว่า แล้วคนรวยในเวเนซูเอลา เขาเป็นยังไง ?" 


ตอบเลยว่า คนรวย เขาก็คงออกนอกประเทศไปแล้ว ขนเงินตัวเอง ไปแลกเป็นเงินดอลลาร์ หรือ ไปเปลี่ยนเป็นทองคำ ตั้งแต่เงินยังไม่พัง ..เวลานี้ คนรวยในเวเนซูเอลา ก็คงมีบัญชีอยู่ในประเทศอื่น เช่น สวิส , สิงค์โปร์ ..แล้วเก็บอยู่ในเงินสกุลอื่นที่ไม่ใช่ สกุลเงินของ เวเนซูเอลา 


เรื่องแบบนี้ ก็เคยเกิดในบ้านเราตอนปี 1997 ตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง ...เพียงแต่ตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง เศรษฐกิจบ้านเราไม่ได้เลยร้ายถึงขั้นนี้ ...


ถ้าใครจำได้ สมัยก่อน เงินบาท เคยผูกกับเงิน ดอลลาร์ ไว้ที่ 25 บาท แลกได้ 1 ดอลลาร์ เป็นเวลานานมากๆ ...จนคนไทย ไปกู้เงินต่างประเทศจำนวนมา ปล่อยกู้ ในประเทศมากมาย ...ปัญหาอยู่ที่ เวลาไปกู้ต่างประเทศมาง่ายๆ ก็เอามาปล่อยกู้ แบบบ้าคลั่ง แล้วมาลงทุนในธุรกิจ ในอสังหา ในตลาดหุ้น จนราคาพุ่งมหาศาล แต่สุดท้าย พอได้เงินมาง่ายๆ ก็ไปลงทุน แบบไม่สมเหตุสมผล จนเกิดหนี้เสียจำนวนมาก 


ธุรกิจที่ลงทุนในเวลานั้น ก็ลงไปแบบไม่มีใครควบคุม ...เกิดหนี้เสีย จำนวนมหาศาล ...จนในที่สุด ปี 1997 รัฐบาล ประกาศว่า แบงค์ชาติ ไม่มีเงินเหลือแล้ว เพราะ เอาเงิน Foreign Reserve คือ เงินในกระเป๋าของประเทศ ไปพยุงค่าเงิน 


ในเวลานั้น พวกนักลงทุน นักธุรกิจ เก่งๆ เขาจะรู้ว่า เศรษฐกิจตอนนั้น ไม่ได้ดีจริง มันเป็นแค่ฟองสบู่ Bubble เพราะ คนลงทุนแบบมั่วๆ ทำไปก็เพื่อปั่นอสังหา ปั่นตลาดหุ้น แล้วก็มีแต่เก็งกำไร ...คนเหล่านี้พอรู้ เขาก็เริ่มขายเงินบาททิ้ง 


อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่า "ค่าเงิน" จะขึ้น จะลง แข็ง หรือ อ่อน มันขึ้นอยู่กับ ว่า "ถ้ามีคนต้องการซื้อเงินบาท มากๆ ค่าเงินก็จะแข็ง" ....แต่ถ้ามีคนต้องการขายเงินบาททิ้งไปถือเงินสกุลอื่น ค่าเงินบาทก็จะอ่อน 


พวกคนที่รู้ว่า เศรษฐกิจไทยในเวลานั้น ไม่ได้ดีจริง ก็ พยายามขายเงินบาท ออกไปแล้วถือเงินสกุลอื่นที่แข็งกว่าแทน เช่น ดอลลาร์ ...พอคนทำแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ค่าเงินบาทก็อ่อน ...แต่ในยุคนั้น ประเทศไทย พยายามตรึงค่าเงินบาทไว้ที่ 25 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ ...ก็ทำให้แบงค์ชาติ ต้องเอาเงินสำรองของประเทศออกมาขาย เพื่อพยุงค่าเงินบาท ให้สามารถคงอยู่ที่อัตราแลกเปลี่ยนนั้น ...จนเงินสำรองหมดกระเป๋า 


พอเงินหมด คราวนี้ ไม่มีเงินมาพยุงเงินบาท ...ก็เลยต้องประกาศลอยตัวค่าเงิน ...เวลานั้น เงินบาทก็อ่อนค่าทันที กลายเป็น ต้องใช้เงิน 60 บาท เพื่อแลกเงิน 1 ดอลลาร์ 


คราวนี้ ซวยกัน ทั้งธนาคาร ทั้งบริษัทต่างๆ ที่ไปกู้เงินต่างประเทศ ...เดิมที กู้ที่อัตราแลกเปลี่ยน 25 บาท พอค่าเงินอ่อนไปเป็น 60 บาท ...ก็กลายเป็นว่า หนี้เพิ่มหลายเท่าในชั่วข้ามคืน


ยกตัวอย่าง สมมุติไปกู้ ต่างประเทศที่ 25 ล้าน พอเงินอ่อน เวลาไปคืน ต้องไปคืนที่ 60 ล้าน ...ใครจะไป หาเงินมาคืนได้ล่ะ ? 


ปี 1997 ทั้ง ธนาคาร และ ธุรกิจ ทั้งประเทศ จึงเจ๊งพร้อมกัน กลายเป็นหนี้เสียทั้งประเทศ ...แล้วลามทั้งระบบ ...คนที่ดี ก็ซวยไปด้วย เพราะ มันเจ๊งทั้งระบบ ...เวลานั้น เราถึงต้องไปกู้ IMF ไง 


แต่เราโชคดีกว่า เวเนซูเอลา เพราะ เศรษฐกิจไทยเวลานั้น เริ่มมีธุรกิจส่งออกที่แข็งแกร่ง ...พวกธุรกิจส่งออกนี่แหละ ที่เติบโต และ รวยขึ้น ชั่วข้ามคืน ในเวลานั้น ...เพราะ เดิมทีรับเงินที่ 25 บาท แต่พอค่าเงินอ่อน คราวนี้ ขายของ 1 ดอลลาร์ พอเปลี่ยนเป็นเงินไทย ได้ 60 บาท 


ตอนนั้นใครทำธุรกิจส่งออก จึงรวยเละ ....


จากวันนั้น ถึงวันนี้ เศรษฐกิจไทย เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ...ธุรกิจ ส่งออกโตขึ้นเรื่อยๆ จนกลายมาเป็น 70% ของ GDP แปลว่า เรากลายเป็นผู้ส่งออก ที่สำคัญ ขายของได้เงินเป็นดอลลาร์ 


พอเศรษฐกิจดี ธุรกิจแข็งแรง ...เงินบาทก็แข็งค่าขึ้นมาเรื่อยๆ จนมาอยู่ที่ 30 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ในปัจจุบัน 


แต่เวเนซูเอลา ไม่ได้โชคดีแบบไทย เพราะ ธุรกิจในประเทศเขา ดันพึ่งพาน้ำมันเกือบ 100% ...ธุรกิจอื่น เป็นธุรกิจเล็กๆ ทำให้ทุกวันนี้ ไม่มีใครอยากได้เงิน เวเนซูเอลา ...จากที่อ่อนแล้ว ก็อ่อนค่าไปอีก 


ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครมองออกว่า แล้ว เวเนซูเอลา จะฟื้นได้อย่างไร ?


เพราะ คนรวยก็ไม่มีใครอยากถือเงินเวเนซูเอลา ...ธุรกิจ ก็เจ๊ง ..คนก็ตกงาน ...คราวนี้ จากที่แย่ ก็แย่หนัก เพราะ คนว่างงาน ...รัฐบาลก็ไม่มีเงิน เพราะ ก่อนหน้านี้ รัฐบาลก็พึ่งพารายได้จากน้ำมันอย่างเดียว ...พอน้ำมันราคาถูก ก็ซวยอย่างในปัจจุบัน 


"คำถาม คือ แล้วไทย จะเป็นอย่าง เวเนซูเอลา ได้ไหมในอนาคต ?" 


อันนี้คำถามระดับ ประเทศเลยว่า 


ทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล และ เอกชน ต้องร่วมมือกัน 


1. ถ้าการท่องเที่ยวดี คนก็อยากถือเงินไทย ...อันนี้ค่าเงินก็จะแข็ง 


2. ถ้าธุรกิจเราดี การค้าขายดี ก็ทำให้คู่ค่า ต้องการเงินบาท อันนี้ก็ดี 


3. ถ้าการลงทุนบ้านเราขยายตัว ต่างประเทศอยากมาลงทุน ..เขาก็ต้องการเงินบาท 


พูดง่ายๆ ว่า ถ้าเรายังรักษา สมดุลย์ทั้ง 3 อย่างได้ดี ..."ค่าเงินบาท" ก็จะแข็งแรง ก็ไม่น่าจะเป็นอย่าง เวเนซูเอลา (ยกเว้น ใครทำห่วยขึ้นมาก็อาจซวย อันนี้ไม่มีใครรู้) 


มาดูอย่าง เวียดนาม ที่ผมเคยยกตัวอย่าง มาให้ดู ว่า ค่าเงินเขา ไม่ได้เหมือนเมืองไทย ที่ค่าเงินค่อยๆ กลับมาแข็งขึ้น หลังจากปี 1997 เป็นต้นมา ...แต่ค่าเงิน ดอง ของเวียดนามเทียบช่วงเวลาเดียวกับเรา ถึงปัจจุบัน ค่าเงินเขาอ่อนลงไปเป็นเท่าตัว 


ลองคิดถึงว่า ถ้าคุณเป็นคนรวย คุณค้าขาย แล้ว เก็บเงินเป็นเงิน ดอง คุณก็จะจนลงเรื่อยๆ ...ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คนเหล่านี้ เขาก็คงไม่เก็บเป็นเงินเวียดนาม แต่คงถือ ดอลลาร์ หรือ ทองคำแทน 


สังเกตเวลาเราไปเวียดนาม คนเขา ชอบ ดอลลาร์ และ ทองคำ มากกว่า เงินดอง ...ก็ไม่แปลก เพราะ เท่าที่ผ่านมา ค่าเงินมันอ่อนไปเรื่อยๆ 


คนรวยในประเทศที่ค่าเงิน มันไม่มีเสถียรภาพ ...อ่อนค่าต่อเนื่อง เขาก็จะมีบัญชีต่างประเทศกัน ไปฝากเป็นดอลลาร์ ในสวิส หรือ ในสิงค์โปร์ ก็ว่ากันไป 


ไว้บทความหน้า ผมจะเอา เรื่องของ สวิส และ สิงค์โปร์ มาเล่าให้ฟังว่า ทำไมค่าเงินเขาแข็ง แล้วเป็นเหตุผล ที่คนรวย เอาเงินไปฝากไว้ที่นั่น แล้วรวยขึ้น 


...พุดก็พูดเถอะ บ้านเราก็นับเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ...เราก็คล้ายๆ สวิส และ สิงค์โปร์ ย่อยๆ เลยนะ ที่คนสามารถเก็บเงิน ลงทุน แล้วรวยขึ้น 


(คนไทย ตั้งแต่ปี 1997 เป็นต้นมา ทั้งรวยขึ้น ..ค่าเงินก็แข็งขึ้น ...คนไทยจึงรวย 2 เด้ง คือ นอกจากรายได้เพิ่ม แล้ว ราคาสินทรัพย์ยังเพิ่มด้วย)


จะบอกว่า "ลงทุนในประเทศไทย ถ้าเราเข้าใจ การกระจายความเสี่ยง ก็ไม่ขี้เหร่นะครับ"


ไว้เดี๋ยวจะเอามาเล่าให้ฟัง ลำดับต่อไป 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ