เมื่อวานก็ผ่านไปด้วยดีกับ "สัมมนา Day Trade ที่เดินเครื่องโดยหนุ่มพีร์ Wizard kid" ดำเนินรายการโดย ภาววิทย์ ... ไหง!! เป็นงั้น
"ทำไมเอา VI มาช่วย Day Trade สอนสัมมนา.. บ๊ะมาก!!"
"อิ อิ ผมว่านี่แหละเสน่ห์ของ S2M ..การรวมความแตกต่างของการลงทุน แต่ละแนวทาง (ซึ่งต่างกันอย่างสุดโต่งในแนวคิด) แต่ก็มาร่วมเดินทางไปด้วยกันใน Concept "ยิ่งให้ ยิ่งได้"
เดี๋ยวๆๆ ไอ้การ "ยิ่งให้ ยิ่งได้" หลายคนมาหาว่า "สร้างภาพ" .... NO no no มันไม่ใช่หลักธรรมมะ หรือ แนวทางนักบุญ แต่มันเป็น Key Success Factor ของโลกยุคปัจจุบันจริงๆ "คือ คนที่อยากจะรับ ต้องให้มากๆ แล้วคุณจะได้รับ อย่างยั่งยืน ..เอ้า!! มาดูกัน"
สมัยนี้มีสื่อมากมาย ใครๆก็เรียนสูง คนมีเงินก็มากมาย คนมีประสบการณ์ก็เยอะแยะ ..."แล้วอะไรล่ะ ที่จะทำให้คนๆนึง สามารถโดดเด่น และประสบความสำเร็จได้" ...ทีแรกผมก็ทำอย่างที่ คนส่วนใหญ่ทำ นั่นคือ เอาเงินก้อนใหญ่มาลงทุนในธุรกิจ และพยายามรีบกอบโกย พอธุรกิจดี ก็เร่งขยายกิจการ ในที่สุดมันไม่ไปไหนเลย "มันเป็นการทำธุรกิจที่เร่ิมจากเงิน (ทำร้านอาหารในต่างประเทศ ซึ่งใครก็อยากทำ แม้จะไม่ได้เปิดง่าย อย่างร้านอาหารในไทย แต่สรุปมันก็เป็น Me too Product อยู่ดี "เลียนแบบ") ทีแรกผมก็คิดว่า ผมแตกต่างนะ แต่พอเอาเข้าจริงมันเป็นความแตกต่างที่ใครๆก็ทำได้
"ร้านอาหารผมต้องอร่อย บริการดี ราคาถูก ใส่กล่อง Concept แบบอเมริกัน คือ Noodle in a Box (แบบอาหารจีนใส่ กล่องๆในหนังฝรั่งนั่นแหละครับ) ผมลงทุนทุกอย่างแตกต่างจากร้านอื่น ลงทุนพิมพ์เมนูอย่างดี ผมโฆษณาลงหนังสือ ..พูดง่ายๆว่า ทำทุกอย่างตามตำราการตลาด Product Price Place Promotion ...สรุปทุกอย่างที่ทำมันเป็นความแตกต่างที่ต้องอาศัยเงินลงทุนที่มากกว่าคู่ แข่ง ..ในที่สุดการทำธุรกิจแบบดูดี หรือ อีกนัยหนึ่งก็คือ ทำธุรกิจแบบเงินฟาดหัว ก็เจอวิกฤตอย่างคนส่วนใหญ่เป็น ....ครับ!! ผมกำลังจะบอกว่า การทำธุรกิจแบบคนส่วนใหญ่ ย่อมไม่สำเร็จเหมือนคนส่วนน้อยที่ประสบความสำเร็จ!! (งง.. ไหม)
"แล้วอะไรล่ะ ที่ทำให้คนส่วนน้อย เหล่านั้นประสบความสำเร็จ"
ถูกต้อง !! คุณต้องแตกต่างแบบที่คนอื่นเลียนแบบไม่ได้ โดยที่ไม่ใช้เงินทุนสูง.!!. ผมคุยกับ ยอดฝีมือ หลายท่านในเมืองไทย และเมืองนอก เขาบอกกับผมว่า "ภาววิทย์ ผมว่าคุณ ทำธุรกิจแบบลูกคนรวย ..ยังไงมันไปได้ไม่กี่น้ำหรอก เพราะทำธุรกิจแบบนั้นมันทำแบบ ไฟไหม้ฟาง ไอ้วิชาการตลาดที่เอ็งเรียนมา จากมหาวิทยาลัย มันใช้ได้จริงกับองค์กรใหญ่ที่เงินหนา และมีทรัพยากรคนพร้อมเท่านั้น!! -- แต่ในกิจการที่เล็ก ที่ขาดในทรัพยากรทุกด้าน ตั้งแต่คนไปจนถึงลูกค้า ...คุณหวังจะเอาวิธีของ การสร้างกิจการใหญ่มาใช้ กับกิจการเล็ก --มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระที่สุด คือ มันโง่ และ ผลาญเงิน เพราะทำไปก็เจ๊ง ...ธุรกิจเล็กต้องเริ่มจากความแตกต่างที่ไม่ใช้เงิน!!"
"อะไรวะ ไม่ใช้เงิน ..จะแตกต่าง --ก็ต้องใช้เงินทั้งนั้นนี่!! เช่น โฆษณา ลงทุนทำ Package ที่สวยๆ หรือ ไม่ก็จ้างคนมาใส่ชุดหมี เดินแจกใบปลิวให้ลูกค้า ....อย่างนั้นไม่ใช่หรือ !!" ...ใช่ ถ้าคุณเป็นนักการตลาดให้องค์กรใหญ่ๆ แต่สำหรับธุรกิจเล็ก หรือ กิจการตัวเอง ทุกอย่างที่พูดมามันเป็นความแตกต่างสู่ความหายนะ เพราะเริ่มจากเงิน !!
"เงินเปรียบเสมือน น้ำ ..ต้นไม้เปรียบเสมือนธุรกิจ -- น้ำมากไป ต้นไม้ก็เน่า ... น้ำน้อยไปก็ไม่โต ประเด็นคือ ธุรกิจเล็กๆ ต้องไปหาน้ำมาจากคนอื่นหรือหุ้นส่วนจะสุดยอด (แต่ถ้าหาหุ้นส่วนไม่ได้ ..เป็น "น้ำ" ของคุณเอง ต้องพยายามบริหารอย่างฉลาด ).. การทำให้ต้นไม้เล็กๆของคุณโต จึง ไม่ใช่การรดแต่น้ำ แต่มัน คือการเข้าใจเป้าหมายของความสำเร็จตัวเองต่างหาก!!"
"คนรุ่นใหม่ นึกว่า การเร่งให้ต้นไม้โตเร็วๆ เป็นทางสำเร็จ..จริงหรือ!! --- ถ้าคิดถึงต้นไม้เล็กๆที่คุณปลูก ต่อให้คุณเร่งปุ๋ยอย่างไร มันก็ไม่โตเร็วไปกว่าชนิดของต้นไม้นั้นๆได้ ...ถูกต้องอยากโตเร็ว ก็ต้องเลือกประเภทต้นไม้ที่โตเร็ว ..ต้นสน ย่อมโตเร็วกว่า ต้นสัก แต่ท้ายสุดความยั่งยืนหรือ คุณภาพของไม้ ก็ต่างกัน -- เด็กรุ่นใหม่ใจร้อน ไม่เข้าหลักธรรมชาติ ตรงนี้เลย เพราะกิจการ หรือ สรรพสิ่งรอบตัว ล้วนเกิดจากธรรมชาติ ..หากเราพยายามทำอะไรที่ฝืนธรรมชาติ ย่อมดำเนินไปสู่ความล้มเหลว!!"
"เลือกประเภทของต้นไม้ และ เข้าใจผลลัพธ์มัน ...ถูกต้อง ก็เหมือนการลงทุน การลงทุนในแต่ละแบบ ก็คือ ประเภทของต้นไม้ที่ต่างกัน แต่ผลลัพธ์ของแต่ละวิธีก็จะออกมาแตกต่างกัน ...แต่!! ทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสีย อย่างบางคนบอกจะปลูกพืชไร่ เพราะได้ผลผลิตเร็ว เช่น Day Trade ..จากนั้น พอขายได้กำไร ก็เอาเงินแบ่งมาปลูกพืชสวน เช่น แนว VI ซึ่งเป็นพืชยืนต้น ..."แต่บางคนก็สามารถยึดอาชีพเป็นชาวไร่ตลอดชีวิตโดยไม่เป็นชาวสวนก็ได้" .."และชาวสวนก็ ไม่ต้องปลูกพืชไร่ก็ได้" ..มันอยู่ที่ความถนัดของเรามากกว่า
อย่างผม ก็ชาวสวน ซึ่งแน่นอน การลงทุนกว่าจะเป็น กำไรออกผล ย่อมยาวนาน .."ไม่ทันใจขาโจ๋ว!!" ...แต่บางครั้งก็มีข้อดี เช่น ผมอาจไปจับสวนปาล์ม สวนยาง (ราคาขึ้นสุดๆช่วงนี้ แต่ก่อนหน้านี้ ตอนเริ่มปลูก คุณไม่รู้หรอกว่า ราคามันจะพุ่งขนาดนี้ .. เหมือน VI ปีที่ผ่านๆ มา อยู่ดีๆ CPF ขึ้น 8 เท่า ...คนส่วนใหญ่ เห็นผมปลูกยางดี แห่มาปลูก พอถึงเวลานั้น ผลผลิตก็ล้นตลาด ..ราคาก็ตก เลือดสาดระนาว!!) ..แต่นอกจาก ผลผลิตที่ผมเก็บเกี่ยวแล้ว ผมยังช่วยให้โลกเขียวขึ้น เพราะผมปลูกไม้ยืนต้น ..."พยายามคิดถึงธรรมชาติ แล้วตีความ คุณจะเข้าใจทุกสิ่ง ตั้งแต่การลงทุนยันธุรกิจ ทั้งหมด"
สาเหตุที่คนส่วนใหญ่ล้มเหลว เพราะ ไม่เอาธรรมชาติมาศึกษา
"หลักของการ ยิ่งให้ ยิ่งได้ คืออะไร"
"เหมือน คุณมีน้ำ แล้วคุณแจกจ่ายน้ำนั้น ไปให้ต้นไม้ข้างๆ ..แจกให้ทั้งสวน แจกให้ทั้งประเทศ ..ในที่สุดพอต้นไม้ทุกต้นโต เขาก็ต้อง นึกถึงคุณบ้าง ..แหละนี่คือ การให้ ... (การให้คือ การสร้าง อำนาจและบารมี ซึ่งตรงนี้ สร้างจากตัว .. ตัวอย่างของผู้ที่ทั้งชีวิต สร้างแต่การให้ ก็ "ในหลวง" ของเรา ..และอำนาจและบารมีที่สร้างจากตัว มันส่งต่อไม่ได้ ..เงินอาจส่งต่อได้ แต่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่า ..บารมีและอำนาจมันส่งต่อกันไม่ได้ --- คุณต้องสร้างจากตัว!!)"
ถึงจุดนี้หลายคนสงสัยว่า "ถ้าเปรียบน้ำคือเงิน" คุณไม่สามารถแจกจ่ายได้ แบบไม่จำกัด ..คือ คุณไม่สามารถแจกจ่ายเงินอย่างไม่รู้จบ แต่ลองคิดใหม่ "ถ้าเปลี่ยนน้ำ เป็นสิ่งที่คุณมี และ คนอื่นต้องการ แทนการแจกเงินล่ะ ... ทำได้ไหม!!"
"ทำได้" ... และ หลักการ "ยิ่งให้ ยิ่งได้" ของทั้งผม และพีร์ และ ป๋ากิ้ง และ เพื่อนที่สมัครเข้ามาถ่ายทอดความรู้ใน S2M ก็ พยายามถ่ายทอดความรู้ของตัวเอง ... ยิ่งคุณให้ คุณยิ่งได้ ..และมันได้ที่ตัวเอง
"สร้างที่คนอื่นเลียนแบบไม่ได้ คือ การสร้างจากตัวเอง" จุดนี้ผมอยากให้คนรุ่นใหม่ทุกคนเข้าใจ ...ความอดทนเป็นสิ่งสำคัญ การเริ่มให้ ไม่มีทางที่จะได้รับทันที แต่เมื่อถึงเวลา "รับ" ..คุณจะรับอย่างไม่รู้จบ แถมไม่มีใครมาเลียนแบบคุณได้ "มันคือ ทางสู่ความสำเร็จ อย่างยั่งยืนในยุคปัจจุบัน"
นักธุรกิจที่รวยๆในอเมริกา ก็ให้ แต่ต่างกับเรา "เขาตั้ง Venture Capital มาให้โอกาสกับ คนเก่งได้สร้างกิจการ ด้วยเงินทุนและประสบการณ์" ..คนรุ่นใหม่มี idea ส่วนเศรษฐีมีเงินและมีประสบการณ์ ในที่สุดก็เกิดเป็นกิจการระดับโลกอย่าง Google , Facebook ธุรกิจแสนล้านที่สร้างใน Generation เดียว ..นี่เริ่มจากการให้ของเศรษฐีอเมริกา ..คนได้รับอย่างเจ้าของธุรกิจนั้น ก็คืนกำไรให้เศรษฐีเป็น ล้านเท่าทวีคูณ "และนี่คือ ส่ิงที่เมืองไทยไม่มี เพราะคนไทย ยังไม่เข้าใจว่า ยิ่งให้ ยิ่งได้คืออะไร"
ในโลกการลงทุน "คนที่ให้ความรู้มากมาย กลายเป็น idol และยิ่งเขาให้ความรู้นั้นๆด้วยความจริงใจ ไม่หลอกลวง เช่น Warren Buffet หรือ อย่างเมืองไทย ก็มีกูรู อย่าง ดร.นิเวศน์ ซึ่งหุ้นที่เขาให้ เป็นหุ้นคุณภาพ และเขาก็ซื้อด้วย ..รวยไปด้วยกัน ..ไม่ใช่อย่างพวกเสี่ยๆ เชียร์หุ้นให้คนส่วนใหญ่กระโดดเข้ามา พอคนเข้ามามากๆ เสี่ยทั้งหลายก็โยนหุ้นใส่หน้า "ไอ้โง่เอ๊ย" สรุปทุกคนที่ตามมา ตายหมด"... ความแตกต่างคือ ความรู้ตรงนั้นต่างหาก ที่มันของจริง หรือ ฉาบฉวย ..ทุกอย่างกลับมาที่พื้นฐานและความจริง ...ธุรกิจไม่สามารถโตได้ หากกำไรมันไม่จริง ...ธุรกิจโตไม่ได้ หากเจ้าของไม่จริงใจ (ปันผล) ...ธุรกิจโตไม่ได้ หากภาพใหญ่ ไม่โต ..ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องฉาบฉวย ..ผมเองก็หวังเดินในทางของ Buffett (เขาซื้อหุ้นไหน ทุกคนซื้อตาม เพราะกิจการที่เขาซื้อดีจริง "พื้นฐานดีจริง" ..พอทุกคนซื้อตาม หุ้นดี ที่ราคาต่ำ มันก็ขึ้นจริงๆ และ ก็รวยไปด้วยกัน) ...ทั้งหมดนี้อาศัยเวลาและความอดทน ซึ่งผมว่าสำคัญที่สุด
วันนี้หนังสือ แกะรอยหยักสมอง ทั้งภาค 1 และ 2 ขายดีระดับประเทศใน SE-ED ผมก็เชื่อว่า เป็นเพราะผม ถ่ายทอดประสบการณ์ ที่ผมเจ็บปวด และเรียนรู้ อย่างจริงใจไม่กั๊ก ถึงได้ขายดี .... วันนี้น้องพีร์ ก็พยายามเดินทางมาในเส้นทางนี้ "ยิ่งให้ ยิ่งได้" ..พีร์เอง ในโลกการลงทุน เขานับได้ว่าเป็น Day Trade รายใหญ่ (เพราะใช้เงินสถาบันเล่น) แถมอยู่แถวหน้าของ Day Trade เมืองไทย โดยใช้เวลาไม่นาน นั่นเป็นเพราะโอกาสที่เขาได้มาเป็นหนึ่งใน Prop. Trade ซึ่งในเมืองไทยมีไม่กี่คน ..ตรงนี้เป็นความโชคดี และ ฝีมือ
แต่สิ่งที่ดีกว่านั้น ผมเชื่อว่าเป็น ทางเลือก "นั่นก็คือ แทนที่พีร์จะเลือก การเป็นผู้กอบโกย ด้านเดียว เขาก็เลือกมานั่งในฝั่งการให้ด้วย (ถ่ายทอดมุมมองของผู้ล่า) ตรงนี้ผมว่ามันเป็นสิ่งที่ยั่งยืน และ ความสำเร็จจากการให้ จะทำให้พีร์สำเร็จกว่า การกอบโกย เสียด้วยซ้ำ "เวลาเท่านั้นจะไขความกระจ่าง!!"
ในโลกนี้ "อำนาจและความยิ่งใหญ่" ผมไม่เชื่อว่า สามารถสร้างได้จากการกอบโกย แต่มันต้องสร้างจากการให้ต่างหาก "ให้ในสิ่งที่คุณมี" ... คุณมีเงินก็ให้เงิน เหมือนอย่างเศรษฐีที่ตั้ง Venture Capital ... อย่างผมและทีม S2M พอจะมีความรู้ในด้านต่างๆ ที่มีประโยชน์ เราก็พยายามให้สิ่งนั้น แก่เยาวชนและรายย่อย ... ทั้งหมดนี้ผมเชื่อว่า เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง
และนี่คือ การเอาธรรมชาติมาศึกษา และพยายามเข้าใจมัน (ธรรมมะ เกิดจาก ธรรมชาติ ถ้าเข้าใจธรรมชาติ ..ผมว่า ไม่ว่าคุณจะทำอะไร คุณก็สำเร็จ)
เอาล่ะครับ "ให้แล้ว(ความรู้) ..ขอรับบ้าง(เงิน..น้ำมันหล่อลื่น) .. เพื่อที่ให้ต่อ(ความรู้)" ..อิ อิ ช่วยกันอุดหนุน หนังสือดีๆ ของ S2M ล่ะครับ ..ใครมีเพื่อนก็ช่วยแนะนำ ผมว่า ความรู้ความเข้าใจในเรื่องการลงทุน เป็นสิ่งที่ในอนาคต มันขาดไม่ได้ "ในที่สุด ทุกคนต้องลงทุน และการเข้ามาศึกษา ผมเชื่อว่ามันก็เป็นการให้ความรู้ ...ที่ยั่งยืนนั่นเอง" ..ตอนนี้ผลงานของ S2M ในการมุ่งให้ความรู้การลงทุน ก็ออกมา 3 เล่มแล้ว --สองเล่มแรกก็การลงทุนแนว VI + ธรรมชาติการใช้ชีวิต สู่ความสำเร็จ "แกะรอยหยักสมอง" ลองอ่านดู ..และเล่มที่ 3 ก็ลองศึกษา การลงทุนแนวพืชไร่ ได้ผลเร็ว แต่ต้องเข้าใจ ใช้ให้ถูกที่ถูกเวลา "หนังสือ 7 เทคนิค ฟันกำไร หุ้นเดย์เทรด" ...และต่อจากนี้ ก็เตรียมรอ ผลงานดีๆ ที่ S2M เราคัดความรู้ในแต่ละแนวมานำเสนอ ..ทุกคนที่เราคัดมา ขอบอกว่า ของจริง "ไม่ได้ท่องมาสอน แต่กลั่นจากประสบการณ์จริง"... ก็เลือกรับ ที่เหมาะกับเราครับ .. "ใครชอบหนังสือของพวกเรา บอกต่อได้ จะขอบคุณมาก ..ช่วยกันครับ คนไทยไม่ได้โง่กว่าฝรั่ง เพียงแต่เราไม่ได้ร่วมกันเดิน... ถึงเวลาแล้วครับ สู้!!"
(นี่ตัวอย่างหนังสือ Wizard kid (พีร์) ก็ลองศึกษากันดู เป็นความรู้)