แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

"เมื่อ ภาววิทย์ เจอท้าทายอย่างน่ากลัว"..การเดินทางจึงอุบัติขึ้น!!

เมื่อวานก็ผ่านไปด้วยดีกับ "สัมมนา Day Trade ที่เดินเครื่องโดยหนุ่มพีร์ Wizard kid" ดำเนินรายการโดย ภาววิทย์ ... ไหง!! เป็นงั้น

"ทำไมเอา VI มาช่วย Day Trade สอนสัมมนา.. บ๊ะมาก!!"

"อิ อิ ผมว่านี่แหละเสน่ห์ของ S2M ..การรวมความแตกต่างของการลงทุน แต่ละแนวทาง (ซึ่งต่างกันอย่างสุดโต่งในแนวคิด) แต่ก็มาร่วมเดินทางไปด้วยกันใน Concept "ยิ่งให้ ยิ่งได้"

เดี๋ยวๆๆ ไอ้การ "ยิ่งให้ ยิ่งได้" หลายคนมาหาว่า "สร้างภาพ" .... NO no no มันไม่ใช่หลักธรรมมะ หรือ แนวทางนักบุญ แต่มันเป็น Key Success Factor ของโลกยุคปัจจุบันจริงๆ "คือ คนที่อยากจะรับ ต้องให้มากๆ แล้วคุณจะได้รับ อย่างยั่งยืน ..เอ้า!! มาดูกัน"

สมัยนี้มีสื่อมากมาย ใครๆก็เรียนสูง คนมีเงินก็มากมาย คนมีประสบการณ์ก็เยอะแยะ ..."แล้วอะไรล่ะ ที่จะทำให้คนๆนึง สามารถโดดเด่น และประสบความสำเร็จได้" ...ทีแรกผมก็ทำอย่างที่ คนส่วนใหญ่ทำ นั่นคือ เอาเงินก้อนใหญ่มาลงทุนในธุรกิจ และพยายามรีบกอบโกย พอธุรกิจดี ก็เร่งขยายกิจการ ในที่สุดมันไม่ไปไหนเลย "มันเป็นการทำธุรกิจที่เร่ิมจากเงิน (ทำร้านอาหารในต่างประเทศ ซึ่งใครก็อยากทำ แม้จะไม่ได้เปิดง่าย อย่างร้านอาหารในไทย แต่สรุปมันก็เป็น Me too Product อยู่ดี "เลียนแบบ") ทีแรกผมก็คิดว่า ผมแตกต่างนะ แต่พอเอาเข้าจริงมันเป็นความแตกต่างที่ใครๆก็ทำได้

"ร้านอาหารผมต้องอร่อย บริการดี ราคาถูก ใส่กล่อง Concept แบบอเมริกัน คือ Noodle in a Box (แบบอาหารจีนใส่ กล่องๆในหนังฝรั่งนั่นแหละครับ) ผมลงทุนทุกอย่างแตกต่างจากร้านอื่น ลงทุนพิมพ์เมนูอย่างดี ผมโฆษณาลงหนังสือ ..พูดง่ายๆว่า ทำทุกอย่างตามตำราการตลาด Product Price Place Promotion ...สรุปทุกอย่างที่ทำมันเป็นความแตกต่างที่ต้องอาศัยเงินลงทุนที่มากกว่าคู่ แข่ง ..ในที่สุดการทำธุรกิจแบบดูดี หรือ อีกนัยหนึ่งก็คือ ทำธุรกิจแบบเงินฟาดหัว ก็เจอวิกฤตอย่างคนส่วนใหญ่เป็น ....ครับ!! ผมกำลังจะบอกว่า การทำธุรกิจแบบคนส่วนใหญ่ ย่อมไม่สำเร็จเหมือนคนส่วนน้อยที่ประสบความสำเร็จ!! (งง.. ไหม)

"แล้วอะไรล่ะ ที่ทำให้คนส่วนน้อย เหล่านั้นประสบความสำเร็จ"

ถูกต้อง !! คุณต้องแตกต่างแบบที่คนอื่นเลียนแบบไม่ได้ โดยที่ไม่ใช้เงินทุนสูง.!!. ผมคุยกับ ยอดฝีมือ หลายท่านในเมืองไทย และเมืองนอก เขาบอกกับผมว่า "ภาววิทย์ ผมว่าคุณ ทำธุรกิจแบบลูกคนรวย ..ยังไงมันไปได้ไม่กี่น้ำหรอก เพราะทำธุรกิจแบบนั้นมันทำแบบ ไฟไหม้ฟาง ไอ้วิชาการตลาดที่เอ็งเรียนมา จากมหาวิทยาลัย มันใช้ได้จริงกับองค์กรใหญ่ที่เงินหนา และมีทรัพยากรคนพร้อมเท่านั้น!! -- แต่ในกิจการที่เล็ก ที่ขาดในทรัพยากรทุกด้าน ตั้งแต่คนไปจนถึงลูกค้า ...คุณหวังจะเอาวิธีของ การสร้างกิจการใหญ่มาใช้ กับกิจการเล็ก --มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระที่สุด คือ มันโง่ และ ผลาญเงิน เพราะทำไปก็เจ๊ง ...ธุรกิจเล็กต้องเริ่มจากความแตกต่างที่ไม่ใช้เงิน!!"

"อะไรวะ ไม่ใช้เงิน ..จะแตกต่าง --ก็ต้องใช้เงินทั้งนั้นนี่!! เช่น โฆษณา ลงทุนทำ Package ที่สวยๆ หรือ ไม่ก็จ้างคนมาใส่ชุดหมี เดินแจกใบปลิวให้ลูกค้า ....อย่างนั้นไม่ใช่หรือ !!" ...ใช่ ถ้าคุณเป็นนักการตลาดให้องค์กรใหญ่ๆ แต่สำหรับธุรกิจเล็ก หรือ กิจการตัวเอง ทุกอย่างที่พูดมามันเป็นความแตกต่างสู่ความหายนะ เพราะเริ่มจากเงิน !!

"เงินเปรียบเสมือน น้ำ ..ต้นไม้เปรียบเสมือนธุรกิจ -- น้ำมากไป ต้นไม้ก็เน่า ... น้ำน้อยไปก็ไม่โต ประเด็นคือ ธุรกิจเล็กๆ ต้องไปหาน้ำมาจากคนอื่นหรือหุ้นส่วนจะสุดยอด (แต่ถ้าหาหุ้นส่วนไม่ได้ ..เป็น "น้ำ" ของคุณเอง ต้องพยายามบริหารอย่างฉลาด ).. การทำให้ต้นไม้เล็กๆของคุณโต จึง ไม่ใช่การรดแต่น้ำ แต่มัน คือการเข้าใจเป้าหมายของความสำเร็จตัวเองต่างหาก!!"

"คนรุ่นใหม่ นึกว่า การเร่งให้ต้นไม้โตเร็วๆ เป็นทางสำเร็จ..จริงหรือ!! --- ถ้าคิดถึงต้นไม้เล็กๆที่คุณปลูก ต่อให้คุณเร่งปุ๋ยอย่างไร มันก็ไม่โตเร็วไปกว่าชนิดของต้นไม้นั้นๆได้ ...ถูกต้องอยากโตเร็ว ก็ต้องเลือกประเภทต้นไม้ที่โตเร็ว ..ต้นสน ย่อมโตเร็วกว่า ต้นสัก แต่ท้ายสุดความยั่งยืนหรือ คุณภาพของไม้ ก็ต่างกัน -- เด็กรุ่นใหม่ใจร้อน ไม่เข้าหลักธรรมชาติ ตรงนี้เลย เพราะกิจการ หรือ สรรพสิ่งรอบตัว ล้วนเกิดจากธรรมชาติ ..หากเราพยายามทำอะไรที่ฝืนธรรมชาติ ย่อมดำเนินไปสู่ความล้มเหลว!!"

"เลือกประเภทของต้นไม้ และ เข้าใจผลลัพธ์มัน ...ถูกต้อง ก็เหมือนการลงทุน การลงทุนในแต่ละแบบ ก็คือ ประเภทของต้นไม้ที่ต่างกัน แต่ผลลัพธ์ของแต่ละวิธีก็จะออกมาแตกต่างกัน ...แต่!! ทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสีย อย่างบางคนบอกจะปลูกพืชไร่ เพราะได้ผลผลิตเร็ว เช่น Day Trade ..จากนั้น พอขายได้กำไร ก็เอาเงินแบ่งมาปลูกพืชสวน เช่น แนว VI ซึ่งเป็นพืชยืนต้น ..."แต่บางคนก็สามารถยึดอาชีพเป็นชาวไร่ตลอดชีวิตโดยไม่เป็นชาวสวนก็ได้" .."และชาวสวนก็ ไม่ต้องปลูกพืชไร่ก็ได้" ..มันอยู่ที่ความถนัดของเรามากกว่า

อย่างผม ก็ชาวสวน ซึ่งแน่นอน การลงทุนกว่าจะเป็น กำไรออกผล ย่อมยาวนาน .."ไม่ทันใจขาโจ๋ว!!" ...แต่บางครั้งก็มีข้อดี เช่น ผมอาจไปจับสวนปาล์ม สวนยาง (ราคาขึ้นสุดๆช่วงนี้ แต่ก่อนหน้านี้ ตอนเริ่มปลูก คุณไม่รู้หรอกว่า ราคามันจะพุ่งขนาดนี้ .. เหมือน VI ปีที่ผ่านๆ มา อยู่ดีๆ CPF ขึ้น 8 เท่า ...คนส่วนใหญ่ เห็นผมปลูกยางดี แห่มาปลูก พอถึงเวลานั้น ผลผลิตก็ล้นตลาด ..ราคาก็ตก เลือดสาดระนาว!!) ..แต่นอกจาก ผลผลิตที่ผมเก็บเกี่ยวแล้ว ผมยังช่วยให้โลกเขียวขึ้น เพราะผมปลูกไม้ยืนต้น ..."พยายามคิดถึงธรรมชาติ แล้วตีความ คุณจะเข้าใจทุกสิ่ง ตั้งแต่การลงทุนยันธุรกิจ ทั้งหมด"

สาเหตุที่คนส่วนใหญ่ล้มเหลว เพราะ ไม่เอาธรรมชาติมาศึกษา

"หลักของการ ยิ่งให้ ยิ่งได้ คืออะไร"

"เหมือน คุณมีน้ำ แล้วคุณแจกจ่ายน้ำนั้น ไปให้ต้นไม้ข้างๆ ..แจกให้ทั้งสวน แจกให้ทั้งประเทศ ..ในที่สุดพอต้นไม้ทุกต้นโต เขาก็ต้อง นึกถึงคุณบ้าง ..แหละนี่คือ การให้ ... (การให้คือ การสร้าง อำนาจและบารมี ซึ่งตรงนี้ สร้างจากตัว .. ตัวอย่างของผู้ที่ทั้งชีวิต สร้างแต่การให้ ก็ "ในหลวง" ของเรา ..และอำนาจและบารมีที่สร้างจากตัว มันส่งต่อไม่ได้ ..เงินอาจส่งต่อได้ แต่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่า ..บารมีและอำนาจมันส่งต่อกันไม่ได้ --- คุณต้องสร้างจากตัว!!)"

ถึงจุดนี้หลายคนสงสัยว่า "ถ้าเปรียบน้ำคือเงิน" คุณไม่สามารถแจกจ่ายได้ แบบไม่จำกัด ..คือ คุณไม่สามารถแจกจ่ายเงินอย่างไม่รู้จบ แต่ลองคิดใหม่ "ถ้าเปลี่ยนน้ำ เป็นสิ่งที่คุณมี และ คนอื่นต้องการ แทนการแจกเงินล่ะ ... ทำได้ไหม!!"

"ทำได้" ... และ หลักการ "ยิ่งให้ ยิ่งได้" ของทั้งผม และพีร์ และ ป๋ากิ้ง และ เพื่อนที่สมัครเข้ามาถ่ายทอดความรู้ใน S2M ก็ พยายามถ่ายทอดความรู้ของตัวเอง ... ยิ่งคุณให้ คุณยิ่งได้ ..และมันได้ที่ตัวเอง

"สร้างที่คนอื่นเลียนแบบไม่ได้ คือ การสร้างจากตัวเอง" จุดนี้ผมอยากให้คนรุ่นใหม่ทุกคนเข้าใจ ...ความอดทนเป็นสิ่งสำคัญ การเริ่มให้ ไม่มีทางที่จะได้รับทันที แต่เมื่อถึงเวลา "รับ" ..คุณจะรับอย่างไม่รู้จบ แถมไม่มีใครมาเลียนแบบคุณได้ "มันคือ ทางสู่ความสำเร็จ อย่างยั่งยืนในยุคปัจจุบัน"

นักธุรกิจที่รวยๆในอเมริกา ก็ให้ แต่ต่างกับเรา "เขาตั้ง Venture Capital มาให้โอกาสกับ คนเก่งได้สร้างกิจการ ด้วยเงินทุนและประสบการณ์" ..คนรุ่นใหม่มี idea ส่วนเศรษฐีมีเงินและมีประสบการณ์ ในที่สุดก็เกิดเป็นกิจการระดับโลกอย่าง Google , Facebook ธุรกิจแสนล้านที่สร้างใน Generation เดียว ..นี่เริ่มจากการให้ของเศรษฐีอเมริกา ..คนได้รับอย่างเจ้าของธุรกิจนั้น ก็คืนกำไรให้เศรษฐีเป็น ล้านเท่าทวีคูณ "และนี่คือ ส่ิงที่เมืองไทยไม่มี เพราะคนไทย ยังไม่เข้าใจว่า ยิ่งให้ ยิ่งได้คืออะไร"

ในโลกการลงทุน "คนที่ให้ความรู้มากมาย กลายเป็น idol และยิ่งเขาให้ความรู้นั้นๆด้วยความจริงใจ ไม่หลอกลวง เช่น Warren Buffet หรือ อย่างเมืองไทย ก็มีกูรู อย่าง ดร.นิเวศน์ ซึ่งหุ้นที่เขาให้ เป็นหุ้นคุณภาพ และเขาก็ซื้อด้วย ..รวยไปด้วยกัน ..ไม่ใช่อย่างพวกเสี่ยๆ เชียร์หุ้นให้คนส่วนใหญ่กระโดดเข้ามา พอคนเข้ามามากๆ เสี่ยทั้งหลายก็โยนหุ้นใส่หน้า "ไอ้โง่เอ๊ย" สรุปทุกคนที่ตามมา ตายหมด"... ความแตกต่างคือ ความรู้ตรงนั้นต่างหาก ที่มันของจริง หรือ ฉาบฉวย ..ทุกอย่างกลับมาที่พื้นฐานและความจริง ...ธุรกิจไม่สามารถโตได้ หากกำไรมันไม่จริง ...ธุรกิจโตไม่ได้ หากเจ้าของไม่จริงใจ (ปันผล) ...ธุรกิจโตไม่ได้ หากภาพใหญ่ ไม่โต ..ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องฉาบฉวย ..ผมเองก็หวังเดินในทางของ Buffett (เขาซื้อหุ้นไหน ทุกคนซื้อตาม เพราะกิจการที่เขาซื้อดีจริง "พื้นฐานดีจริง" ..พอทุกคนซื้อตาม หุ้นดี ที่ราคาต่ำ มันก็ขึ้นจริงๆ และ ก็รวยไปด้วยกัน) ...ทั้งหมดนี้อาศัยเวลาและความอดทน ซึ่งผมว่าสำคัญที่สุด

วันนี้หนังสือ แกะรอยหยักสมอง ทั้งภาค 1 และ 2 ขายดีระดับประเทศใน SE-ED ผมก็เชื่อว่า เป็นเพราะผม ถ่ายทอดประสบการณ์ ที่ผมเจ็บปวด และเรียนรู้ อย่างจริงใจไม่กั๊ก ถึงได้ขายดี .... วันนี้น้องพีร์ ก็พยายามเดินทางมาในเส้นทางนี้ "ยิ่งให้ ยิ่งได้" ..พีร์เอง ในโลกการลงทุน เขานับได้ว่าเป็น Day Trade รายใหญ่ (เพราะใช้เงินสถาบันเล่น) แถมอยู่แถวหน้าของ Day Trade เมืองไทย โดยใช้เวลาไม่นาน นั่นเป็นเพราะโอกาสที่เขาได้มาเป็นหนึ่งใน Prop. Trade ซึ่งในเมืองไทยมีไม่กี่คน ..ตรงนี้เป็นความโชคดี และ ฝีมือ

แต่สิ่งที่ดีกว่านั้น ผมเชื่อว่าเป็น ทางเลือก "นั่นก็คือ แทนที่พีร์จะเลือก การเป็นผู้กอบโกย ด้านเดียว เขาก็เลือกมานั่งในฝั่งการให้ด้วย (ถ่ายทอดมุมมองของผู้ล่า) ตรงนี้ผมว่ามันเป็นสิ่งที่ยั่งยืน และ ความสำเร็จจากการให้ จะทำให้พีร์สำเร็จกว่า การกอบโกย เสียด้วยซ้ำ "เวลาเท่านั้นจะไขความกระจ่าง!!"

ในโลกนี้ "อำนาจและความยิ่งใหญ่" ผมไม่เชื่อว่า สามารถสร้างได้จากการกอบโกย แต่มันต้องสร้างจากการให้ต่างหาก "ให้ในสิ่งที่คุณมี" ... คุณมีเงินก็ให้เงิน เหมือนอย่างเศรษฐีที่ตั้ง Venture Capital ... อย่างผมและทีม S2M พอจะมีความรู้ในด้านต่างๆ ที่มีประโยชน์ เราก็พยายามให้สิ่งนั้น แก่เยาวชนและรายย่อย ... ทั้งหมดนี้ผมเชื่อว่า เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง

และนี่คือ การเอาธรรมชาติมาศึกษา และพยายามเข้าใจมัน (ธรรมมะ เกิดจาก ธรรมชาติ ถ้าเข้าใจธรรมชาติ ..ผมว่า ไม่ว่าคุณจะทำอะไร คุณก็สำเร็จ)

เอาล่ะครับ "ให้แล้ว(ความรู้) ..ขอรับบ้าง(เงิน..น้ำมันหล่อลื่น) .. เพื่อที่ให้ต่อ(ความรู้)" ..อิ อิ ช่วยกันอุดหนุน หนังสือดีๆ ของ S2M ล่ะครับ ..ใครมีเพื่อนก็ช่วยแนะนำ ผมว่า ความรู้ความเข้าใจในเรื่องการลงทุน เป็นสิ่งที่ในอนาคต มันขาดไม่ได้ "ในที่สุด ทุกคนต้องลงทุน และการเข้ามาศึกษา ผมเชื่อว่ามันก็เป็นการให้ความรู้ ...ที่ยั่งยืนนั่นเอง" ..ตอนนี้ผลงานของ S2M ในการมุ่งให้ความรู้การลงทุน ก็ออกมา 3 เล่มแล้ว --สองเล่มแรกก็การลงทุนแนว VI + ธรรมชาติการใช้ชีวิต สู่ความสำเร็จ "แกะรอยหยักสมอง" ลองอ่านดู ..และเล่มที่ 3 ก็ลองศึกษา การลงทุนแนวพืชไร่ ได้ผลเร็ว แต่ต้องเข้าใจ ใช้ให้ถูกที่ถูกเวลา "หนังสือ 7 เทคนิค ฟันกำไร หุ้นเดย์เทรด" ...และต่อจากนี้ ก็เตรียมรอ ผลงานดีๆ ที่ S2M เราคัดความรู้ในแต่ละแนวมานำเสนอ ..ทุกคนที่เราคัดมา ขอบอกว่า ของจริง "ไม่ได้ท่องมาสอน แต่กลั่นจากประสบการณ์จริง"... ก็เลือกรับ ที่เหมาะกับเราครับ .. "ใครชอบหนังสือของพวกเรา บอกต่อได้ จะขอบคุณมาก ..ช่วยกันครับ คนไทยไม่ได้โง่กว่าฝรั่ง เพียงแต่เราไม่ได้ร่วมกันเดิน... ถึงเวลาแล้วครับ สู้!!"


(นี่ตัวอย่างหนังสือ Wizard kid (พีร์) ก็ลองศึกษากันดู เป็นความรู้)

วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554

“Greed is Good” (only if you can control it !!)

"อะจ๊าก!! เมืองจีน กินอาหารเที่ยงของเรา ... คุณหมายถึง ซาลาเปา จะขาดตลาดหรือ ..โอ๊ -- ไม่!!

"ป๋ากิ้ง .. เมืองไทย จะเป็นอย่าง Wall street จริงหรือ แล้ว เสื้อเหลือง-แดง ล่ะจะว่าไง"

"ยิ่งดียิ่งแย่ แต่ยิ่งแย่ หมายถึง ยิ่งดี (เข้าใจไหมไอ้หนู!!)"

"การผันตัวเข้าสู่โลกการเงิน มันเป็นทางเลือกที่เสียวที่สุด เท่าที่ผมจะคิดได้ ..แต่มันก็เป็นทางเดินที่มันส์ที่สุด!!" Wizard kid


"ตลาดหุ้นมันคือ กระจกสะท้อนความโลภของตัวเราเอง หากเราเข้าใจตัวเรา ..คุณไม่มีทางแพ้ตลาด !!"

"ยิ่งให้ เรายิ่งได้ ..คุณเข้าใจสิ่งนี้แค่ไหน"

"ไม่ใช่นักบุญ..แต่มันคือ การ Give Before Take และมันคือ Success Trail ของโลกในยุคนี้"



ภาพ ของ Wall Street อาจทำให้หลายๆคน ชำเลืองมามองอาชีพการลงทุน เป็นหนึ่งในทางเดินที่อยากก้าวไป … เดิมทีผมเป็นผู้ประกอบการ แต่ในที่สุดก็ก้าวเข้าสู่โลกของ การเงินและการลงทุนในที่สุด “จะเรียกมันว่าเป็นจุดหมายของความมั่งคั่ง ที่คุณสามารถสร้างจากตัวคุณเอง ก็เห็นจะเป็นสิ่งที่ใช่!! (จริงแท้)”

หลายๆครั้งที่เราทำงาน และมีลูกน้อง ทำงานไม่ได้ดั่งใจ… แต่ในโลกของการลงทุน “คุณไม่สามารถโทษใครนอกจากคุณเอง!! … มันเป็นอะไรที่เท่ห์มาก หากคุณจะพูดได้อย่างเต็มปากว่า ความสำเร็จในวันนี้ของคุณ เป็นเพราะคุณเอง”

ภาพของ หมาป่าแห่ง ระบบทุนนิยม มันเป็นเรื่องที่ ไม่มีใครสามารถหลีกเลียงได้ แต่ตราบใดที่ คุณไม่ได้เอาปีนไปจ่อหัว และบังคับให้ใครทำอะไรโดยที่เขาไม่ต้องการ ผมมองว่า มันเป็นทางเดินที่งดงามนะ เพียงแต่ การเดินในสายนี้ มันประกอบไปด้วย มนุษย์ทุกสายพันธ์ ตั้งแต่ แนวซื่อๆ(บื่อ) ไปจน หมาป่ายังอาย!! “แล้วคุณคือคนประเภทไหน!!”


ณ วันนี้ตลาดหลักทรัพย์ วิ่งขึ้นมาแตะ 1,000 จุด อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนหน้านี้เป็นสิบปี ..หลายๆคนกลัวและเตรียมถอยออกจากตลาด แต่ในอีกมุมหนึ่ง ผมและนักลงทุนชาว S2M เรากลับมองว่า “นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ของ The Greatest Boom ของตลาดหลักทรัพย์ ในเมืองไทย และ เอเชีย” ซึ่งแน่นอน ระหว่างทางของการเติบโตครั้งนี้ ย่อมไม่ได้เป็นขาขึ้นที่เรียบง่าย แต่มันจะเป็น ทางขึ้นที่เต็มไปด้วยขวากหนามและอันตรายต่างๆนานา ..ทั้งในเรื่องของการเมือง และเรื่องของเศรษฐกิจภายนอก (อย่างอเมริกา และ ยุโรป) ที่ยังไม่ได้มีแนวโน้มที่ดีขึ้นในภาพใหญ่

แต่อย่างน้อยสิ่งที่ทำให้พวกเราเชื่อมั่นในทางเดินที่ขรุขระ เพราะเราอาศัยความจริง หรือ ข้อมูลจริง ที่เราวิเคราะห์ร่วมกัน โดยปราศจาก Greed & Fear …ในภาพใหญ่ ความเสื่อมลงของอาณาจักรอเมริกา และยุโรป รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของประชากรในประเทศกำลังพัฒนา มันเป็นทางบังคับก็ว่าได้ ที่การเติบโตส่วนใหญ่ของโลก จากนี้ไป ไม่ว่าจะในเชิง เศรษฐกิจ และ ตลาดการบริโภค มันอยู่กับประเทศกำลังพัฒนาอย่างเราๆนี่เอง

สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน คือ การเติบโตของชนชั้นกลางในประเทศเอเชีย ซึ่งจะเพิ่มความตึงเครียดในส่วนของ ราคา Commodity รวมทั้ง การพุ่งขึ้นของราคา Asset ต่างๆในเอเชีย ซึ่งทั้งหมดนี้ มันเป็นทางบังคับ!! (คือ ภาพใหญ่ ไม่มีใครหลีกเลี่ยงภาพนี้ได้) ..ภาพการลดลงของค่าเงินดอลลาห์ การพุ่งขึ้นของราคา Commodity และ Asset ต่างๆ โดยเฉพาะในซีกของเอเซีย …ซึ่งทั้งหมดนี้ แน่นอน รวมถึงประเทศไทย !!

ไม่ว่าการเมืองจะ เป็นอย่างไร สุดท้ายผมเชื่อว่าทางออก จะเป็นไปในทางที่ดี แต่อาจต้องอาศัยเวลา และความขรุขระ ระหว่างทางเดิน …. การที่เราเดินไป ขัดขากันเองไป ในอีกมุม มันก็คือ การสร้างให้เราเดินอย่างระวัง และค่อยๆเดิน ซึ่งในจุดนี้ การขยายตัวของเศรษฐกิจ อย่างค่อยเป็นค่อยไป ได้แสดงออกในตัวเลขของเศรษฐกิจที่ Confirm ภาพนี้อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ทางเลือกในการลงทุน ไม่ได้มีทางเลือกเดียว หากแต่ มีหลากหลายแนวทาง ซึ่งอย่าง S2M เราก็ เลือกสรรค์ ผู้ที่เดินจริง ในแต่ละแนวทาง เพื่อมาถ่ายทอดความรู้ ในแต่ละด้าน ตั้งแต่ แนว VI , แนว Trend Follower และ แนว Day Trade …ซึ่งข้อดีของ S2M คือ เนื่องจากเราเป็นศูนย์รวมนักลงทุนอยู่แล้ว จึงไม่ยากนัก ที่จะดึงเอาคนที่มีประสบการณ์ตรงในแต่ละแนวทางมาเติมเต็มและถ่ายทอด ประสบการณ์ ที่สมัยก่อน อาจเรียกได้ว่าเป็น “ความลับ”

วันนี้เป็นความยินดี ที่ผมและ S2M อยากแนะนำ “สุดยอด Day Trade” คนนึงของเมืองไทย แม้ว่าอายุเขาจะไม่มาก แต่ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบ และประสบการณ์การบริหารเงิน Port สถาบัน แบบ Day Trade ที่มีวินัยสูง …ผมเชื่อว่า คนนี้ของจริง!! ..Wizard kid หรือ น้องพีร์ นั่นเอง!!

ก็เอาเป็นว่า ผมขอฝากผลงาน “หนังสือ 7 เทคนิค ฟันกำไรหุ้นเดย์เทรด โดย Wizard kid” ให้เพื่อนๆลองพิจารณา หรือ ศึกษาเป็นทางเลือกทางอาวุธ(ลับ)อีกประเภท ที่รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม …. ผมเชื่อว่า หนังสือที่กล้าถ่ายทอดมุมมองตรงๆ และ Technic การทำเงินแบบไม่กั๊ก ในเมืองไทย แทบหาไม่ได้ ดังนั้น การที่พีร์ กล้าถ่ายทอด และ ทำอย่างเต็มใจ เป็นสิ่งที่เราชุมนุม S2M ภูมิใจ และขอขอบคุณ การถ่ายทอดความรู้อย่างจริงใจในครั้งนี้ “เยี่ยมมาก!!”

“ยิ่งให้ ยิ่งได้”

Pawawit & S2M ขอคารวะ


วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554

อะไรคือ “หุ้นปั่น”


เกริ่นนำ ว่าด้วยเรื่อง “หุ้นปั่น” ได้ยินแล้วตื่นเต้น มันอาจทำให้หลายคนเลือดสูบฉีด ประมาณว่า “อยากโดนเข้าไปแจม” …อย่างไรก็ตามขึ้นชื่อว่าปั่น ย่อมมีทั้งคนที่ได้และคนที่เสีย “ตลาดหุ้น” ใครๆก็รู้ว่ามันเป็น Zero sum game คือ ต้องมีคนนึงได้ และมีอีกคนนึงเสียเสมอ

“แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ” ..หากผมจะกล่าวว่า “คุณคิดผิด” ตลาดหุ้นไม่ใช่ Zero sum game แต่มันเป็นเกมของ “win –win” ล่ะคุณจะว่าอย่างไร

เรามาดูกันว่า การรับรู้กำไรหรือขาดทุน ของนักลงทุน หรือนักเก็งกำไร มีอยู่ทางเดียว ..นั่นก็คือ การขายหุ้นเท่านั้น …คุณไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า คุณกำไรหรือขาดทุน หากคุณยังถือครองหุ้นนั้นๆอยู่ เพราะราคามันสามารถขึ้นลงได้ทุกนาทีที่ตลาดเปิด

โดยปกติแล้ว คนส่วนใหญ่มักจะมีความเชื่อที่ว่า “หุ้นจะขึ้นลงตาม ผลประกอบการ” แต่นั้นเป็นความคิดที่อันตรายที่สุด เท่าที่ผมเคยได้ยินมาในการลงทุน

…เพราะแท้จริงแล้ว หุ้นมันขึ้นลงตาม Demand & Supply ต่างหาก (ถ้า Classifies ให้ชัด หุ้นก็ไม่ต่างจาก Commodity ชนิดอื่นๆ ที่ขึ้นลงตามความต้องการของคนซื้อและคนขาย แต่สิ่งที่ทำให้หุ้นต่างจาก Commodity ชนิดอื่นๆ เนื่องจาก หุ้นมันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องใช้ ..ซึ่งต่างจาก Commodity อื่นๆ ที่มักจะเป็นส่วนหนึ่งของวัตถุดิบในการผลิต จุดนี้ส่งผลให้หุ้นมีความผันผวนที่สุดโต่งกว่า Commodity ธรรมดานั่นเอง)

อย่างที่กล่าว ก็คือ “หุ้นไม่ใช่สิ่งจำเป็นของชีวิต ดังนั้น คนที่เข้ามาซื้อหุ้นมีวัตถุประสงค์ ไม่ใช่ที่การบริโภค

(หุ้นมันบริโภคไม่ได้ เพราะมันเป็นแค่สิทธิในการเป็นเจ้าของกิจการ --- ไม่ใช่สิ่งที่บริโภคเข้าไปได้!!) วัตถุประสงค์ของการซื้อหุ้นจริงๆเลย ...ก็คือซื้อเก็งกำไร ซึ่งแบ่งออกเป็น การเก็งกำไรในระยะสั้น และการเก็งกำไรในระยะยาว (ซึ่งหลายคน ให้นิยามของพฤติกรรมนี้ว่า การลงทุนนั่นเอง.. "ตัวผมก็ ถือว่าตัวเองคือ นักลงทุน เพราะฟังดูเท่ห์กว่านักเก็งกำไรระยะยาว แต่จริงๆมันก็เหมือนกันนั่นแหละ..หุ หุ")

1. “นิยาม” หุ้นปั่นคืออะไร …ก็คือ หุ้นทุกตัวนั่นแหละ ที่พยายามซื้อขายทำให้ราคามันสูงขึ้นหรือลดลง เพื่อมุ่งหวัง ให้เป็นไปในทิศทางของกลุ่มคนหนึ่งๆ (นี่ไม่ใช่การกวนประสาท แต่มันคือ ความจริง ..เพราะหุ้นไม่สามารถขึ้นได้ หากไม่มีคนเข้ามาซื้อขายเก็งกำไร --แต่การจะเป็นหุ้นปั่นหรือไม่ มันขึ้นกับว่า ลักษณะการขึ้นลงของราคามันเป็นไปตามกลไกตลาด หรือ มันเป็นไปตามความต้องการของคนกลุ่มหนึ่งๆ)

สรุป “หุ้นปั่น” ก็คือ หุ้นที่วิ่งตามความต้องการของคนกลุ่มหนึ่งๆ ซึ่งบิดเบือนไปจาก ราคาที่ขึ้นลงตามกลไกของตลาดนั่นเอง

2. เราสามารถแบ่งหุ้นปั่นได้เป็น 2 ประเภท คือ

หนึ่ง ปั่นแบบมีพื้นฐานรองรับ คือ การทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของกิจการ (ประเด็นนี้ต้องทำความเข้าใจนิดนึงว่า ตลาดหุ้นไทย เป็นตลาดที่ไร้คุณภาพ นั่นก็คือ มีคนเข้ามาซื้อขายน้อยมาก จุดนี้เองทำให้ตลาดหุ้นซบเซา และแทบไม่มีการเคลื่อนไหว ..ซึ่งถ้าดูให้ดีแล้ว นับจากปี 1997 เป็นต้นมา หุ้นที่ทำการซื้อขายอย่างจริงจัง มีเพียง “หยิบมือ” เท่านั้น โดยที่กลายเป็นว่า หุ้นส่วนใหญ่ถูกทิ้งไว้เฉยๆ แบบต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน และไร้สภาพคล่อง “หุ้นเหล่านี้คือ หุ้นพื้นฐานดี ที่เจ้าของก็คิดว่ามันต่ำกว่าความเป็นจริง จึงไม่ปล่อยหุ้นออกมาขาย ..และเนื่องด้วยไม่มีสภาพคล่อง ดังนั้น ก็ไม่มีคนเล่น”

จากต้นปี 2009 เป็นต้นมา ตลาดเปลี่ยนจาก Mode “ซบเซา” กลายเป็น Mode “Bullish” ..จุดนี้ทำให้เจ้าของหุ้นที่เคยเน่าๆ กลับมาคึกคักอีกครั้ง เพราะสืบเนื่องมาจากการที่ กิจการมีการฟื้นตัวที่ชัดเจน ประกอบกับ Sentiment ของตลาด ที่คึกคัก “และนี่เอง ก็เป็นความเป็นมาของ หุ้นปั่นที่มีพื้นฐานรองรับ” ( ก็คือเจ้าของ ถือโอกาสนี้ในการดันราคา หุ้นคุณภาพดีของตัวเอง ที่ราคาราคาต่ำเตี้ยมาเป็นเวลานาน ให้ราคาพุ่งขึ้นไปสะท้อนมูลค่าความเป็นจริง ตัวอย่าง หุ้นเหล่านี้ก็ เช่น หุ้นร้อนๆที่มีการซื้อขายอย่างร้อนแรงในปัจจุบัน แต่ถ้าย้อนไปก่อนหน้านั้นไม่นาน จะแทบไม่มี Volume ซื้อขายเลย “ก็คือเพิ่งมาปั่นนั่นเอง!!”)

สอง “หุ้นปั่นไร้พื้นฐาน” คือ หุ้นที่เจ้ามือ หรือ ขาใหญ่ในตลาด หาจังหวะ โดยใช้โอกาสในช่วงตลาด Bullish ในการไปเอาหุ้นที่ไม่มีพื้นฐาน (หุ้นห่วยแตก ..ตัวอย่าง เช่น หุ้นที่ไม่เคยมีกำไร ไม่เคยให้ปันผล ราคามีแต่ย่อลงๆ ..ลักษณะ การสังเกตหุ้นเหล่านี้ ก็คือ หุ้นที่ราคาต่ำมาก บางหุ้นราคาไม่กี่ สตางค์) ..ถามว่าทำไม นักปั่นหุ้นจึงเลือกหุ้นประเภทนี้มาปั่น ..ก็เพราะมันไม่ต้องใช้เงินจำนวนมากในการปั่น รวมทั้งอีกสาเหตุคือ “คนปั่นจะต้องได้ไฟเขียวจากเจ้าของหุ้น” (และนี่เป็นประเด็นที่น่าสนใจมาก) …สมมุติว่า คุณเป็นเจ้าของหุ้นดี แต่ราคาถูก คุณย่อมไม่ต้องการให้ คนเอาหุ้นของคุณมาปั่นเล่น ทุบลง เพราะมันเสียภาพลักษณ์ต่อกิจการ (ซึ่งถ้าเจ้าของหุ้นดีราคาถูก ต้องการทำราคาจริง ก็คงต้องทำแบบวิธีแรก คือ การปั่นขึ้นไปแบบติดลมบน ทำราคาโดยมีพื้นฐานที่แท้จริงรองรับ ซึ่งแน่นอน ความต่างของ การปั่นแบบมีพื้นฐาน กับ การปั่นแบบไม่มีพื้นฐาน ก็คือ การ “ปิดเกม”)

---- การ “ปิดเกม” ของการปั่นหุ้นแบบไม่มีพื้นฐานรองรับ ย่อมจบลงด้วยการเทขายหุ้นทิ้งทุกราคา (ภาษาตลาดก็คือ เลือดสาด !! นั่นเอง) …ส่วนหุ้นที่ปั่นโดยมีพื้นฐานรองรับ ย่อม “ปิดเกม” โดยที่เจ้าของอาจทำกำไรบ้าง แต่หุ้นส่วนใหญ่ก็จะยังคงอยู่ในมือของเจ้าของอยู่ดี

การสังเกตุว่าหุ้นนั้นๆ เข้าข่ายหุ้นปั่น ต้องดูอย่างไร … “ง่ายๆ สังเกตุที่ Volume มันต้องมากกว่าปกติ ..ประกอบด้วย ข่าวดี ที่มีการปล่อยออกมา ทั้งข่าวแบบปากต่อปาก(วงใน) .. …ข่าวตามสื่อ จะเป็นข่าวที่ดี ประกอบกับการวิเคราะห์ในมุมบวกของนักวิเคราะห์ เสริมเข้ามา ….และแน่นอน ท้ายสุด ราคาต้องขึ้นอย่าง ก้าวกระโดดในระยะเวลาสั้นๆ (มันจะขึ้นในอัตราที่สูงเกินกว่า การเพิ่มขึ้นของ SET Index อย่างมาก) เช่น SET ขึ้น 10% หุ้นตัวนั้นๆพุ่งขึ้น 300% .. “ปั่นชัวร์ ..ฟันธง!!”

----คำถามที่น่าสนใจว่า หุ้นปั่นนั้นๆ เป็นหุ้นปั่นที่ มีพื้นฐาน หรือ ปั่นแบบเลือดสาด (ไร้พื้นฐาน)รองรับ ..ดูง่ายๆ ก็คือ ดูพื้นฐานกิจการนั่นเอง …. ง่ายๆ ถ้าเราไม่โลภ เราจะไม่หลงเข้าไปซื้อหุ้นปั่นหรอกครับ ดังนั้นต้องมีสติแล้วแยกแยะให้ออก !!

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

วาทะ Billionaire อินเดียผู้ให้กำเนิด Infosys นาย Murthy ตอนที่ 2 (จบ)



อะไรคือ Globalization (โลกาภิวัฒน์)

Globalization ก็คือ การที่เราสามารถหาต้นทุน จากแหล่งที่มีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำที่สุด ใช้ทรัพยากรบุคคลที่เยี่ยมยอดที่สุด โดยไม่มีข้อจำกัดว่า บุคคลากรนั้น จะอยู่ที่ใดก็ได้ในโลก และ สามารถขายสินค้า ไปที่ใดก็ได้ โดยไม่มีข้อจำกัด ในเรื่องของ พรมแดน และ ประเทศ ..โดยทั้งหมดต้องตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ ต้นทุนที่เกิดขึ้น จะต้องต่ำกว่าต้นทุน ณ ราคาตลาดนั้นๆโดยปกติ นั่นเอง

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรา !!

ในบทความของ Theodore Levitt ว่าด้วยเรื่อง “The Globalization of Markets” ในนิตยสาร Harvard Business Review ชี้ประเด็นของ IT ที่จะย่อโลกให้เป็นหนึ่งเดียว ..ในบทความได้ชี้ประเด็น ที่ว่าบริษัท ต้องสามารถปรับตัวและมองโลก เสมือนตลาดเพียงตลาดเดียว …สิ่งที่แน่นอนในธุรกิจปัจจุบันคือ “Change” ไม่มีใครหนีพ้นการเปลี่ยนแปลง “ให้สังเกตุ บริษัทใหญ่ระดับ Fortune 500 ถูกโละทิ้งออกไปจากกระดานเกือบครึ่ง ทุกๆ 10 ปี …มันบ่งบอกให้เรารู้ว่า Change or Die!!”

การเปลี่ยนแปลงในด้าน Business Models

G7 ไม่ใช่ผู้นำในการขยายตัวของ GDP อีกต่อไป ..โลกจะขยายตัวจาก emerging economies อย่างเช่น จีน และ อินเดีย…กลบทแห่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ เปลี่ยนมุมมองของบริษัทในอุตสาหกรรมต่างๆ(ตั้งแต่ ภาคบริการ ไปจน ภาคการผลิตและ อุตสาหกรรม) ซึ่งหันมาให้ความสนใจกับ ตลาดเกิดใหม่อย่าง emerging market มากขึ้น

วัฏจักรชีวิตของสินค้า Product Life Cycle “มันสั้นลงเรื่อยๆ” …ภาพของการขายของ ล้าสมัย สู่ตลาด Emerging Market มันเป็นภาพที่หมดยุคไปแล้ว ..ปัจจุบันกลายเป็นการผลิตจากตลาดเกิดใหม่ แล้วย้อนกลับไปขายในตลาดประเทศพัฒนาแล้ว ..ประเทศเอเชียได้กลายมาเป็น ผู้ผลิตใน Supply Chain..ไม่เพียงแต่การผลิตเท่านั้น มันได้ครอบคลุมไปถึงในด้าน การบริการ และ Customer service เราก็ได้เพิ่มบทบาทอย่างเด่นชัด ตัวอย่าง ก็อย่างประเทศอินเดียที่กลายมาเป็น Back Office ของบริษัทต่างๆ ..นอกจากนี้ การเข้ามาตั้ง R&D ในเอเชีย ส่งผลให้เกิดงานวิจัยที่สามารถคิดในกรอบที่เหนือกว่า ในเรื่องของต้นทุนที่ ประเทศพัฒนาแล้ว ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ดูอย่างรถยนต์ ที่สามารถผลิตในราคาที่ต่ำกว่า ที่ทั่วโลกจะสามารถจินตนาการได้

ในส่วนของธนาคารที่เข้าไป Focus ตลาดเอเชีย ได้โตในอัตราที่ดีกว่า ประเทศตะวันตก ..อย่าง Stanadrd Chartered Bank คาดว่าในปี 2010 รายได้ของ Private Banking จะมาจากอินเดียถึง 15%

“นับเป็นความท้าทาย ต่อสภาวะการแข่งขัน ที่เขย่ากลบท และแบบฉบับ ความสำเร็จ แบบเดิมๆ ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ จริงๆ”

“ธุรกิจ เฉือนชนะ กันที่ข้อมูล”

Wal-mart เป็น Case Study ที่น่าสนใจ ของกิจการที่เน้นการเอาข้อมูล พฤติกรรมการซื้อของลูกค้ามาวิเคราะห์ และสนองตอบความต้องการ โดยที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องร้องขอ ..ระบบ POS ของ Wal-mart ได้ทำการเชื่อมโยง กับระบบการวิเคราะห์ข้อมูลแบบชนิด Real-time ซึ่งจุดนี้จะเชื่อมโยงไปกับระบบการสั้งซื้อและ Supply Chain รวมทั้งการ นำข้อมูลมาช่วยในเรื่องของการ บริหาร Inventory ที่เยี่ยมยอด “ใครคิดว่า Wal-mart เป็นบริษัทค้าปลีก ผมว่าคุณต้องคิดใหม่ … เพราะแท้จริงแล้ว Wal-mart คือบริษัท IT ทางด้านการค้าปลีกที่เยี่ยมยอดที่สุดในโลกต่างหาก”

ทั้งหมดมันเกี่ยวอะไรกับคุณ!!

แน่นอน ไม่มีใครปฏิเสธความสำคัญที่ IT กำลังเปลี่ยนบริบทในการแข่งขัน ในรูปแบบของ Do or Dies ..มันไม่จำเป็นหรอกว่า คุณจะ เป็นอุตสาหกรรม IT เพราะจากนี้ไป ระบบ IT และ Internet มันได้หล่อหลอมเป็นส่วนหนึ่งของ ต้นทุน / เป็นส่วนหนึ่งของการบริการ / เป็นส่วนหนึ่งของการขาย / เป็นส่วนหนึ่งของการตลาด … “มันคือทุกสิ่งที่ คุณหลีกเลี่ยงไม่ได้!!”

ความร่วมมือสร้าง ในยุค IT
Don Tapscott และ Anthony D. Williams กล่าวไว้ในหนังสือ Wikinomics ของเขาว่า สิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนโลก คือ การร่วมมือกันของคนที่สามารถเข้าถึงข้อมูลนับเป็น พันล้านคน ที่จะเข้ามาช่วยกันสร้าง และเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม และการแข่งขันแบบเดิมๆ ไปอย่างชิ้นเชิง

วิธีการเปลี่ยนแปลงหลักๆ ประกอบไปด้วย 4 ปัจจัย ซึ่งก็คือ

การเปิดเผย (Openness) เช่น การร่วมมือกันผ่าน Open source Software อย่าง Wikipedia ที่คนนับล้านๆ เข้ามาสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ร่วมกัน หรือ อย่าง YouTube ที่ทุกคนทั่วโลก ต่างนำ VDO เข้ามา Post และแบ่งปัน เกิดเป็นสังคม ที่เปิดเผยความจริงในแง่ต่างๆมากที่สุดแห่งนึงของโลก

, การเชื่อมโยง (Peering) การเชื่อมโยงที่มากกว่า การเชื่อมต่อ Internet แต่มันเป็นการแบ่งปัน Bandwidth แบ่งปัน พลัง Computer รวมทั้งการแบ่งปันความรู้ที่เชื่อมต่อกันทั่วโลก

, การแบ่งปัน (Sharing) จะเป็นการเชื่อมโยงทางความรู้ ที่ Internet ได้กลายมาเป็นฐานข้อมูลที่สำคัญที่สุดในโลก ด้วยค่าใช้จ่ายที่ต่ำที่สุด

และ การ Act Globally คุณต้องสร้างวิสัยทัศน์ ในระดับโลก ก่อนที่คุณจะ Obsolete หรือ ตกขอบโลกไป!!

ตัวอย่างของบริษัทอย่าง P&G ก็ได้เริ่มการทำธุรกิจ แบบสองทาง นั่นคือ การเปิดรับ Input ที่มาจากลูกค้า (ตัวอย่างที่น่าสนใจ ก็เช่น อุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีความรู้ในเรื่องของ Social Network ได้อาศัยช่องทางเหล่านี้ ในการรวมกลุ่มผู้มีความสนใจในด้านต่างๆ โดยอาศัย Content เป็นหัวใจของการขับเคลื่อน ….ในอดีตเรามองว่าสื่อ คือ พลัง เพราะช่องทางในการติดต่อมีน้อย มีทีวี วิทยุ จำนวนจำกัด ดังนั้น อำนาจอยู่ที่การ Control สื่อ

…แต่ในยุคนี้ มันเปลี่ยนแบบ พลิกคั่ว เพราะอำนาจมันกลับมาสู่ เนื้อหา หรือ Content เพราะการเกิดของ Internet และ การพัฒนา Bandwidth และความรวดเร็วในการเชื่อมต่อ …ปัจจุบัน Channel ในการเข้าถึงลูกค้า มันมีอย่างไม่จำกัด ดังนั้น วิธีการเดียวที่คุณจะครอบครอง ช่องทางในการสื่อสารกับลูกค้า ก็คือ “มันไม่มี” …ยุคนี้ ลูกค้าเป็นผู้เลือก และนี่คือ กลบทการแข่งขันที่ จะทำให้องค์กรใหญ่ๆ ล้มหายตายจากไปอีกครึ่งโลก ในเวลาไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า “มันช่างท้าทาย ความสามารถของผู้กำหนด ทิศทางขององค์กรอย่างแท้จริง”)

การคืนอำนาจสู่ผู้บริโภค

Tom Friedman ได้กล่าวในหนังสือขายดีของเขา The World is Flat ว่า การแข่งขันในยุคต่อไป มันผูกไว้กับ IT

รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับ การจัดหา Computer และรูปแบบการเชื่อมโยงในต้นทุนที่ต่ำ ..ตัวอย่างของรัฐบาล เช่น การสร้าง e-governance ที่สร้างความโปร่งใส ในระบบราชการ

ตัวอย่างของ Project ที่บ้านเกิดผมเอง เรียกว่า “Bhoomi” ซึ่งเป็นการสร้างความโปร่งใสของระบบ การถือครองที่ดิน ที่กระทบต่อชีวิตของชาวนา 6.7 ล้านชีวิต “มันทำให้ทุกอย่างโปร่งใสขึ้น” ซึ่งโครงการนี้ ได้ริเริ่มโดย World Bank ซึ่งสร้างผลงานช่วยเหลือคนอินเดีย ได้อย่างน่ายกย่องมาก

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นตัวอย่างและแนวความคิด ในการนำ IT เข้า สร้างประโยชน์ในหลายๆด้าน ตั้งแต่ การแข่งขันในเชิงธุรกิจ ตลอดจน การนำ IT มาใช้ในการยกระดับคุณภาพชีวิต ด้วยการเข้าถึงข้อมูล และฐานความรู้ที่มากมาย ด้วยต้นทุนที่ต่ำ รวมทั้งการนำระบบ IT มาสร้างความโปร่งในระบบ ราชการและเอกชน “ผมเป็นคนนึงที่ชื่นชม และสนใจประเทศไทย” ซึ่งผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า แนวคิดต่างๆเหล่านนี้สามารถนำมาปฏิบัติ และ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และคุณภาพชีวิต โดยรวมของคนเอเชียได้อย่างทั่วถึง และยั่งยืน

นี่แหละคือการ Leverage IT การใช้ต้นทุนที่ต่ำที่สุด และก่อให้เกิด คุณประโยชน์ที่สูงที่สุดนั่นเอง ..

“ขอบคุณครับ”

จบการปาฐกถา...... "เก็บตกจบแล้วจ๊า!!"

วาทะ Billionaire อินเดียผู้ให้กำเนิด Infosys นาย Murthy ตอนที่ 1

เอาวาทะของนาย Murthy ครั้งที่มา เป็นองค์ปาฐก ให้ธนาคารกรุงเทพเมื่อสามปีก่อน ( Murthy พูดตั้งนานมาแล้ว แต่สิ่งที่เขาพูดมันกำลังเกิดขึ้น “จริง!!” ในปัจจุบัน นี่แหละที่เราเรียกว่า คนที่มี Vision อย่างแท้จริง มันทำให้ทุกคำพูด และทุกแนวคิด สามารถนำมาศึกษาต่อยอด พัฒนาความคิดของคนเล็กๆอย่างพวกเราได้ดีขึ้น “สุดยอดจริงๆครับ!!” )

…เศรษฐีอินเดียเหล่านี้สร้างตัวจากมือเปล่า ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ ไม่น่าจะสร้างธุรกิจได้ … “ประเทศอินเดีย ใครๆก็รู้ว่า Infrastructure ตั้งแต่ระบบราชการ การขนส่ง แรงงาน การคอรับชั่น ..พูดง่ายว่าไม่มีอะไรที่เอื้อในการสร้างกิจการระดับโลก อย่าง Infosys ได้เลย ..แต่!! พวกเขาทำได้ และทำได้ดีด้วย”

ปัจจุบันอินเดีย ถือว่าเป็น Back Office ของโลก …พวกเขาใช้เพียง “Internet + เครื่องคอมพิวเตอร์ -- มองข้ามทุกอย่างไป แล้วสร้างกิจการระดับโลก” …. คนไทยเกิดในสภาวะน้ำมีปลานามีข้าว ทำธุรกิจก็แสนง่าย ระบบการขนส่ง ท่าเรือ เอื้ออำนวยต่อการทำธุรกิจ .. “เราน่าจะทำได้อย่างพวกเขาบ้าง ..ลองทำดู!!”
“Leveraging Information Technology” (ติดปีกการแข่งขัน ให้ธุรกิจด้วย IT)
โดย Narayana N R Murthy


(ผู้ก่อตั้ง Infosys Technology “เศรษฐีพันล้าน ผู้มีแนวคิดติดดิน” ..ชายผู้นี้สร้าง ปรากฏให้ให้โลกเห็นว่า การหั่นบริษัทออกเป็นซีกๆ แล้ว นำไปตั้งอยู่ในประเทศต่างๆทั่วโลก มันเป็นเรื่องที่ทำได้ และทำได้ดีเสียด้วย “NR Murthy” บิดา ของ White Collar Outsourcing --- “ผู้แจ้งเกิดให้อินเดีย กลายเป็น Back Office ของโลก ในเวลาไม่ถึง 10 ปี” …ปัจจุบัน Infosys เป็นบริษัท Outsource ในด้าน IT ที่ใหญ่อันดับต้นๆของโลก มีพนักงาน 122,468 คน กระจายสำนักงานไปใน 33 ประเทศทั่วโลก )

..จะว่าไปแล้ว Infosys ไม่ใช่เพียงแค่บริษัท IT รายใหญ่ของโลก หากแต่เป็นบริษัทที่สร้างคุโณปการ ต่ออุตสาหกรรม IT ของอินเดียเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากการจ้างงานที่มหาศาลแล้ว สิ่งที่ Infosys ได้สร้างมันคือ มหาวิทยาลัยที่ใหญ่โตและสุดทันสมัย เพื่อมุ่งเน้นในการพัฒนาบุคคลากร ซึ่งเราพูดได้เต็มปากว่า ชายผู้นี้ Narayana N R Murthy เป็นผู้วางรากฐานทางด้าน Inflastructure ของอุตสาหกรรม IT ที่ยิ่งใหญ่ ที่สุดแห่งนึงในโลก …สุดยอดจริงๆ)

ต่อไปนี้เป็น การสรุปใจความสำคัญของปาฐกถา ของ นาย Murthy ที่ได้มาเป็นองค์ปาฐก ในงาน “รำลึกถึง คุณ ชิน โสภณพนิช ครั้งที่ 9 ที่ธนาคารกรุงเทพสำนักงานใหญ่”

เกริ่นนำ

“ผมมีความยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสมาแสดงมุมมองของการ “leveraging IT” ในวันนี้ …เราปฏิเสธไม่ได้ว่า อุตสาหกรรม IT ได้มีบทบาทต่อ บริบทในการแข่งขันของธุรกิจในด้านต่างๆ ….ผู้ที่สามารถใช้ IT ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จะสร้าง Competitive edge ทั้งในด้านของต้นทุน และ Productivity

Information Technology เป็นอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย Innovation ..ทุกองค์กรทั้วโลก ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจ , วงการศึกษา , โรงพยาบาล , กลุ่มทางสังคม ตราบจนรัฐบาล ล้วนได้ประโยชน์จากการ นำ IT มาใช้ในการประหยัดต้นทุน รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต ไม่ว่าจะเป็น ในเชิงของการปรับปรุงและลดต้นทุน เช่น ลดการเดินทาง , การเชื่อมโยง กับลูกค้า ด้วยค่าใช้จ่าย ต้นทุนที่ต่ำลง …ในธุรกิจธนาคาร ATM คงเป็นเรื่องที่เป็นไม่ได้ หากปราศจาก IT และ IT เองก็คงไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง หากปราศจาก Infrastructure และ เครือข่าย

การวิวัฒนาการของระบบ IT

อุตสาหกรรม Computer เกิดขึ้นในช่วง 1940 – 1950 จากประเทศอเมริกา ซึ่งจุดเริ่มต้น มันพัฒนามาจาก วงการศึกษา ..ผู้เล่นที่มีบทบามสำคัญใน Computer ยุคแรก ก็เช่น IBM , BUNCH , UNIVAC , NCR , Control Data Corporation และ Honeywell

ในยุคแรก Computer เป็นอะไรที่ใหญ่เทอะทะ ประสิทธิภาพต่ำ และราคาแพง ..ปัญหาง่ายๆเท่านั้นที่เครื่อง Computer ในยุคแรกๆจะแก้ไขได้ …ในยุคต่อมา เป็นยุคเริ่มต้นของ Minicomputers และ Super minicomputers (ซึ่งทั้งขนาดและราคา ย่อขยาดลงมา จากยุคแรกๆมากทีเดียว) ต่อมาในยุคนี้เป็นยุคแห่งการกำเนิด อุตสาหกรรม Software ซึ่งพัฒนาไปควบคู่กับ ฐานข้อมูล

จากนั้นเราก็เข้าสู่ยุค PC ที่นำทัพโดย Bill Gates และ Steve Jobs วัตถุประสงค์ ก็เพื่อให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึง Computer ได้ในวงกว้าง และใช้งานง่ายที่สุด ..และจุดนี้เอง ที่เป็นจุดเปลี่ยน ที่พลิกอุตสาหกรรม Computer ให้แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง

ในระดับของ ปัจเจกชน Computer ก่อให้เกิด การสร้าง “ชุมชนเสมือน” ที่เชื่อมต่อบุุคคลในวงกว้าง ด้วยค่าใช้จ่ายที่ต่ำมาก

ในยุคที่สี่ คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มใช้ Internet เข้ามาในชิวิตและส่วนหนึ่งของการทำงานอย่างขาดไม่ได้ “และนี่ที่เราเรียกว่า ยุคคลื่นที่สี่ของ Computer.. ในส่วนของ Web 2.0 เอง ตัว Internet จะกลายมาเป็น platform หรือ โครงสร้างรากฐานของการเชื่อมโยงที่เป็นหนึ่งเดียว

ปัจจัยสำคัญที่สร้างให้เกิดการกระจายตัวของ IT อย่างกว้างขวาง ประกอบไปด้วยแรงขับในห้าปัจจัย ดังนี้

1. อุปกรณ์ Computer ที่นับวันจะมีราคาถูกลงเรื่อยๆ
2. การลดลงของ ต้นทุนในการสื่อสาร ซึ่งเพิ่ม bandwidth ที่เอื้อให้เราสามารถส่งข้อมูล ในหลายรูปแบบด้วยต้นทุนที่ต่ำมาก
3. การลดลงอย่างมหาศาลของหน่วยความจำ และ การระบบการเก็บข้อมูล รวมทั้งการกระจายข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ
4. การเกิดขึ้นของ “ยุคที่เนื้อหา ถูกสร้างขึ้นจาก ผู้ใช้ (นั่นก็คือ ใครก็ได้ที่สามารถเชื่อมต่อ Computer คนนั้นก็สามารถผลิต Content ได้)”
5. การยอมรับในการ Offshoring IT “นั่นคือ ความเป็นไปได้ในการทำงาน ที่สามารถร่วมมือกัน โดยบุคคลที่อยู่ห่างกันคนละซีกโลก เช่น อินเดียได้กลายมาเป็น Back Office ของโลก

(อ่านต่อตอนต่อไป)

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

“ฟรีด้อมเทรดเดอร์” ทำอะไรถึงจะรุ่ง ( Freedom Trader !!)

“ทำอะไรจะรุ่ง ..เป็นคำถามที่ถามง่ายแต่ตอบยาก” -- บางคนบอกให้ทำในสิ่งที่ชอบ ใช่ไหม!! …

ในยุคก่อน ที่ Demand เยอะๆ แต่ Supply น้อยๆ “ทำอะไรก็รุ่ง” หากใครจำสมัยยุค RS รุ่งเรือง สมัยนั้น ฮ่าฮ่า (ขำ) จะเห็นได้ว่า “เชยโคตร วงการบันเทิง” ประเด็นคือ ใครหน้าตาดี เขาเอามาเป็นนักร้อง เรื่องความสามารถค่อยมาฝึกเอา ---“แต่จุดนี้ถ้าใครสังเกตุการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน มันคนละเรื่องเลย”

ทุกวันนี้ ถ้ามองแค่ธุรกิจบันเทิง ใครอยากจะเป็นนักร้องต้องแข่งกันเข้ามา คือ คุณต้องมีฝูงชน ชื่นชอบก่อน เช่น พวก The Star , AF หรือ เวทีต่างๆ …ที่เป็นเช่นนี้เพราะมันง่ายต่อคนปั้น “ปล้ำง่าย..เฮ้ยไม่ใช่!! หลุดๆ ๆ .. ปั้นง่าย ต่างหาก” …. “มาให้ป๋าปั้นซิ -- ไม่ค่อยมีแล้ว เดี๋ยวนี้ต้องผ่าน The Star … จากนั้นป๋าค่อยรอ Step ถัดไป …หุ หุ”

ดังนั้น ถ้าคิดดีๆแล้ว ในเมื่อยุคนี้ คนเก่งมันเยอะขึ้น ในด้านการผลิตสินค้า Supply ก็เริ่มมากกว่า Demand…ดูจีนซิครับ ผลิตอะไรก็สุดจะ Mass ราคาต่อชิ้นก็สุดถูก ประเด็น มันคือ เมื่อตัวเลือกมันเยอะมากๆ --การที่คุณจะโดดเด่นในส่ิงใด นั่นหมายความว่า คุณต้องเจ๋งสุดๆ จริงไหม!!

บอกตรงๆกว่าผมจะเข้าใจประเด็นนี้ ผมโยนทิ้งไปแล้ว 20 ล้านบาทเป็นค่าโง่ คือตอนขยายกิจการร้านอาหารในออสเตรเลีย มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมรัก หรือ สิ่งที่ผมถนัดแต่อย่างใด มันเป็นเพียงช่องว่างที่ผมเห็นว่า “อาหารไทย” มันสามารถโตระดับโลกได้ ..แต่สุดท้ายผมก็คิดผิด เพราะโอกาสจริงๆมันไม่ได้สำคัญที่สุด …การที่เรามองเห็นโอกาส ก็ใช่ว่าคนอื่นเขาจะไม่เห็น ดังนั้น การที่ผมกระโดดเข้าไปในโอกาส โดยที่ผมไม่มี ความเชี่ยวชาญอย่างโดดเด่น --- ในที่สุดมันก็ไปไม่รอด!!

หลังจากนั้น ผมกระโดดเข้าไปในกิจการกระจก ซึ่งผมก็ไม่มีความชำนาญอีกเช่นเคย -- สรุป ทั้งหมดคือ ค่าโง่!! “โง่ที่ไม่เชื่อว่า ความสำเร็จต้องเกิดจากสิ่งที่เรารัก และชำนาญต่างหาก” ..หลายคนบอกว่า “ผมยังหาไม่ได้” …ผมก็บอกได้เลยว่า ตราบใดที่คุณยังหาไม่ได้ “คุณก็ไม่มีทางสำเร็จ..ฟันธง!! ..อ้าว เฮ้ย ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะ”

คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ “จะทำอย่างไรเราถึงจะหาเจอว่า เราชอบและชำนาญอะไรล่ะ” คำตอบก็คือ “คุณก็หาให้เจอซิครับ”

การหามันต้องเกิดจากการสังเกตุ ว่าเราทำอะไรแล้ว “มันดี” ถ้าทำแล้วมันดี แถม “คุณชอบ” มันก็มีโอกาสที่สิ่งนั้นๆ หากคุณมุ่งมั่นที่จะทำมัน ก็อาจนำไปสู่ความสำเร็จได้ ….ใช่แล้ว!! ผมพูดอย่างนี้ อาจกระทบจิตใจใครหลายๆคนว่า เอ๊ะ!! เรามาทำงานทุกเช้า โคตรจะไม่อยากมาทำงานเลย ..ยิ่งวันไหนวันหยุดน่ะ โห!! แม่เจ้า ดีใจสุดขั้ว .. “ก็นี่แหละงานผม ทำเพื่อมีเงินเดือนมากิน รอเพียงวันหยุด” --- เห็นไหมล่ะครับว่า คนส่วนใหญ่รู้สึกเช่นนี้ กับงานที่ตัวเองทำ มันจึงไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่ ไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ทำ “ก็เพราะเขาไม่ได้รักในสิ่งที่ทำ และไม่ชำนาญ”

“ลาออกซิ!!” อิ อิ เฮ้ย !! ไม่ใช่ จะบ้าหรือ …ถ้าใครอ่านบทความนี้เสร็จแล้วอยากลาออก ก็บ้าเต็มทีแล้ว เพราะมันผิด Step คือ ก่อนอื่น “มันต้องหาให้เจอก่อนว่า คุณชำนาญและชอบในเรื่องอะไร จากนั้นต้องมาดูว่าสิ่งที่คุณชอบนั้น มันสามารถทำเงินได้ไหม …ส่วนใหญ่ผมบอกได้เลยว่า สิ่งที่คุณชำนาญและชอบ มักเป็นสิ่งที่ไม่ทำเงิน ฮ่า ฮ่า”

คุณรู้ไหมสิ่งที่ เศรษฐีของโลกที่ทำในสิ่งที่ตัวเองรักในตอนแรก มันก็ไม่ได้ทำเงิน …สมัยที่ Tiger Woods เล่นกอล์ฟหลังเลิกเรียนช้อมอย่างหนักเป็นเวลานับสิบปี ก็ไม่ได้ทำเงินแต่อย่างใด ..มันค่อยมาทำเงินทีหลัง ประเด็นก็คือ Tiger Woods รักในสิ่งที่ทำ เพราะทำได้ดี และ Keep going เขาจึงรวยเป็นพันล้านอย่างวันนี้ “เริ่มจากสิ่งที่รัก”

มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ค ชอบเล่นคอมเป็นชีวิตจิตใจ เขาใช้เวลาเป็นสิบปี ฝึกฝนเล่นคอม เขียนโปรแกรม จริงๆเขาก็ไม่ต่างจาก Bill Gates , Sergey Brin , Larry Page เท่าไหร่ ที่ทุ่มชีวิตให้กับสิ่งบ้าๆ อย่าง คอมพิวเตอร์ จนเกิดความชำนาญ และในที่สุดหลังจากนั้นเป็นสิบปี จึงมี Microsoft มี Facebook มี Google …ทั้งหมด เร่ิมจาก “รักในสิ่งที่ทำ แถมทำอย่างไม่ได้อะไรเลยเป็นสิบปี ก่อนที่ “ไอ้ไม่ได้อะไรเลย” จะสร้างเงินให้เขารวยระดับโลก”

แถมไปอีกคน J K Rowing นักเขียนนิยายเพ้อฝันไส้แส้ง ลูกติด กินเงินประกันสังคมจากรัฐบาล ประทังชีพ อย่างตกอับ แต่ก็เขียนไอ้นิยายเพ้อฝัน พ่อมดบ้าบอ เป็นสิบปี ก่อนที่ไอ้นิยายพ่อมด บ้าบอ จะกลายมาเป็น Harry Potter และสร้างให้ J K Rowing กลายเป็น เศรษฐีพันล้านคนแรกของโลกที่สร้างตัวจากอาชีพนักเขียน “อันนี้ก็เกิดไม่ได้เลย หาก J K Rowing ไม่ยอมเป็นนักเขียนไส้แห้ง และ Keep on เขียนนิยายเพ้อฝัน ที่ตนเองรักเป็นเวลานับสิบปี ก่อนที่ สิ่งนั้นจะเริ่มทำเงินให้เขามหาศาล”

หากเทียบกราฟความสำเร็จของคนที่มั่งคั่งจากสิ่งที่รัก มันคงเป็น “กราฟเรียบๆกระดกตูด--แบบตูดเป็ด” ก็เพราะช่วงแรก มันไม่ได้อะไรเลย ดังนั้น ถ้าคุณไม่ได้รักในสิ่งที่ทำ “คุณเลิกทำไปตั้งนานแล้ว”

ผมเฝ้าสังเกตุ ระยะเวลา อย่างน้อยที่คนเหล่านี้ “ทำสิ่งนั้นโดยไม่เห็นอะไรเลย” น่าจะประมาณ สิบปีเป็นอย่างน้อย ..ดังนั้น วันนี้ถ้าใครมาบอกผมว่า ลงทุน เล่นหุ้น หรือ ทำอะไรก็ตาม ..ถ้ายังทำไม่ถึงสิบปี ..ผมบอกได้เลย ว่ามันยังวัดไม่ได้ !! (สิบปี ไม่มีอะไรเลย โหด โคตร …ดังนั้น อยากสำเร็จมากๆ มันยิ่งยาก เพราะน้อยคนในโลก กล้าที่จะทำในสิ่งที่ สิบปี ไม่เห็นอะไรเลย… แปลกแต่จริง!!)

บ้านเรา “เมืองไทย” เหนื่อยหน่อย เพราะคุณมีสังคมรอบด้าน เพื่อนบ้าน พี่น้อง ญาติ คอยใส่ไฟคุณอยู่ “เฮ้ย!! ลูกเอ๊งวันๆ ไม่เห็นทำอะไรเลย ใส่แต่ชุดนอน นั่งอยู่หน้าคอม พอว่างๆ ก็นั่งสมาธิ ..มันเพื้ยนหรือเปล่า” ..แต่หารู้ไม่คนที่หลายคนนึกว่าเพื้ยนนั้น คือ Freedom Trader (เทรดเดอร์อิสระ ที่ทำเงินในชุดนอน)!!

แหม!! เล่ามาซะยาว ก็จะโฆษณา หนังสือ “ฟรีด้อมเทรดเดอร์” อาชีพอิสระที่สามารถทำเงินในชุดนอน ..ฮ่า ฮ่า เป็นผลงาน ร่วมสร้างระหว่าง "Trader ลึกลับ" กับ ภาววิทย์ ฺนายธนาคาร & นักเขียน ไส้แห้ง ที่มีความหวังจะเผยแพร่ ความรู้ในด้านการ Trade และ Hedging ให้ทุกคนรู้ว่า “ความมั่งคั่ง ในโลกยุคต่อไป มันไม่ได้อยู่ในมือเจ้านายหรือใครก็ตาม แต่มันอยู่ในมือคุณ”

…นี่แหละหนังสือที่คนรุ่นใหม่ทุกคนต้องอ่าน !! “วางแผงทั่วประเทศเร็วๆนี้ที่ SE-ED ทุกสาขา”

วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

บุกถ้ำเสือสีส้ม แล้วโกยความรู้และความท้าทาย จากพี่ TJ


วันนี้ได้มีโอกาสไปสวัสดีปีใหม่พี่ TJ หนุ่มใหญ่มาดเข้ม CEO ของ "Green Spot"

...ผมและทีมธนาคารกรุงเทพ ขนทีมผู้จัดการเข้าไปคาราวะพี่ TJ ถึงถ้ำเสือ ..."ได้กิน Vitamilk กันจนอิ่มท้อง แถมได้ความรู้รอบด้าน ตั้งแต่ Customer Service ไปจน Commodity Hedger !!"

ฮั่นแน่ !! เพื่อนๆอาจ งง ว่า ธุรกิจอย่าง Green Spot และ Vitamilk เกี่ยวข้องอะไรกับ Commodity ล่ะ ...เกี่ยวครับ แถมเกี่ยวอย่างแรง !!--- เพราะทุกขวดทุกกระป๋อง ของเครื่องดื่มเต็มไปด้วย Commodity อัดแน่นกระป๋อง นั่นก็คือ "ถั่วเหลือง และ ก็น้ำตาล"

ปัญหาที่น่าตกใจของธุรกิจในปัจจุบันนี้ ก็คือ ความเสี่ยงในเรื่องของต้นทุน "ลองคิดดูนะครับว่า สมมุติ Vitamilk หนึ่งขวด ราคาขายต้อง Fix เช่น 10 บาท แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ถ้าใครดูราคาน้ำตาลและถ่ัวเหลือง จะเห็นได้ว่า Commodity ทั้งสองที่เป็นส่วนประกอบหลักของ บริษัท Green Spot มีราคาผันผวนขึ้นลงเป็น "เจ้าเข้า" (ราคาแกว่งขึ้นลงทีเป็นเท่าตัว ในเวลาไม่กี่เดือน และนี่เป็นเรื่องที่น่ากลัว)

--- นั่นหมายความว่า ราคาขาย ปรับไม่ได้ง่ายๆ แต่ต้นทุน แกว่งขึ้นลง คือ ถ้าบริษัทไหน ไม่มีความรู้ในเรื่องของการ Hedge (ป้องกันความเสี่ยง โดยอาศัย Derivatives ทางการเงินอย่าง Futures แล้วล่ะก็ ..."สยองได้ง่ายๆ")

ผมจะยกราคา Commodity ทั้งสอง มาให้ดูกัน เริ่มจาก น้ำตาล SB.1

(ดูกราฟ) จะเห็นได้ว่าราคา น้ำตาลในหนึ่งปี มีการแกว่งขึ้นลงของราคาเป็นเท่าตัว "สยองโดยแท้!!" ..ผมถามหน่อยว่า หากคุณทำธุรกิจที่ ต้นทุนของสินค้าวิ่งขึ้นลงแบบ ราคาน้ำตาลที่เห็นคุณจะทำอย่างไร -- ฮึม!! ทางแก้ก็มีอยู่ เช่น หนึ่ง ซื้อน้ำตาลมาตุนเลยถึงปีถัดไป คำถามคือแล้ว พอถึงปีถัดไปมาถึงจะทำอย่างไร ... หรือ ถ้าเก็บแล้วน้ำตาล ราคาลด คุณก็ขาดทุน หรือ ถ้าน้ำตาลเก็บแล้วคุณภาพแย่ ก็ซวย ..."คิดแล้ว มันยากสุดขั้ว!!"

เอาใหม่ "วันนี้หากเราใช้ความรู้ทางด้าน Technical Analysis มาช่วยในการคาดคะเนราคาขึ้นลง ก็สามารถลดความผันผวนที่มองไม่เห็นได้" เรามาดูตัวอย่างกัน

(ผมลองยกตัวอย่างสัญญาณของ Moving Avarage มาใช้ ก็สามารถช่วยในเบื้องต้นได้แล้ว ...จาก Chart เราจะใช้ EMA 13 วัน (เส้้นน้ำเงิน) และก็ใช้ EMA 34 วัน (เส้นสีแดง) --คือ ดูค่าเฉลี่ยของราคา ระยะสั้นกับระยะยาวมาตัดกัน ถ้าเส้น สั้นตัดเส้นยาวขึ้น ก็คือ เรามอง Bullish "ราคามันน่าจะขึ้นต่อ" ..แต่ถ้าเส้นสั้นมันตัดเส้นยาวลง ก็คือ Bearish "ราคามันน่าจะลงต่อ") --- เพียงแค่ใช้ EMA เข้ามาดู เป็นเบื้องต้น เราก็สามารถลดความเสี่ยงในเรื่องของความผันผวนลงไปได้มาก

นั่งคุยอยู่กับพี่ TJ ก็ เห็นได้เลยครับว่า ในอนาคตหากใครมีความรู้ในเรื่องของ การใช้ Technical Analysis ผนวกกับการดู Demand & Supply ของ Commodity ก็จะสามารถควบคุมต้นทุน ได้ดีกว่ากิจการที่ไม่ได้ทำอะไรเลย

ทุกวันนี้ อย่างบริษัท Green Spot ใช้ ถั่วเหลือง และน้ำตาล ปีละกว่า 20,000 ตัน ในการผลิตเครื่องดื่ม นับว่าเป็นปริมาณที่มหาศาลจริงๆ .."และนี่เป็นการยกตัวอย่างให้ดู เพียงบริษัทเดียว" ...ลองนึกภาพกิจการทั้งประเทศ ที่ต้องอาศัย Commodity เป็นวัตถุดิบการผลิตรวมกันซิครับ ว่ามันมีปริมาณมากขนาดไหน ...แล้วภาพระดับโลก ยิ่งมากเข้่าไปใหญ่ !!

สาเหตุที่ราคา Commodity ทั่วโลก มีความผันผวนมากขนาดนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจาก การที่ Fund Manager ทั่วโลก กลัวในเรื่องของความผันผวนในค่าเงินดอลลาห์และยูโร ก็ทำให้กองทุนมากมาย โยกเงินมาเก็งราคา Commodity ซึ่งจุดนี้ก่อให้เกิด Demand ที่โป่งมหาศาล เพิ่มขึ้นจาก Demand ปกติที่บริษัทต่างๆต้องใช้อยู่แล้ว (นี่แหละการ Bubble ที่เกิดใน Demand ของ Commodity)

นอกจากนี้ หากมองการ ที่ประชากรในกลุ่ม BRIC ที่กำลังย้ายสถานะจากคนจน ที่บริโภคน้อย เลื่อนมาเป็นชนชั้นกลาง ที่บริโภค Commodity มากขึ้น ทั้งทางตรง เช่นอาหาร และทางอ้อม เช่น จากบ้านที่ใหญ่ขึ้น รถยนต์ เครื่องใช้ในบ้าน เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ..ทั้งหมด ก็คือ ภาพใหญ่ของปริมาณความต้องการ Commodity ที่มากขึ้น

"ทั้งเก็งกำไร ทั้งประชากรบริโภคเพิ่ม ผนวกกับ การผันผวนของเศรษฐกิจ" ไม่แปลกเลยครับ ที่เราจะเห็นราคา Commodity ราคาแกว่งขึ้นลงอย่างมหาศาล และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ นับจากวันนี้ไป "มันเป็นภาพที่น่ากลัวมากๆ นะครับ หากคุณเป็นหนึ่งในกิจการที่มี Commodity เป็นส่วนหนึ่งในการผลิต"

...โอ้โห!! มาสวัสดีปีใหม่ พี่ TJ แต่ได้การบ้าน และ มุมความรู้ให้ไปคิดไปต่อยอด ...เอาเป็นว่า ผมและทีม Monkey Trade ภายใต้ชุมนุม S2M จะพยายามไปคิดและต่อยอดสร้าง มุมมองที่เกิดประโยชน์ แก่ตลาดและ Trend ความผันผวนของ Commodity ที่จะเข้ามากระทบกับชีวิตของทุกคน อย่างไม่สามารถหลีกเลียงได้

ลุยแล้ว !! "Monkey Trade"

ทุนนิยมในปัจจุบัน เรากำลังก้าวมาสู่ จุดเปลี่ยนที่สำคัญในเชิงโครงสร้าง ของต้นทุนการผลิต "เพราะผลกระทบในเรื่องของสภาพแวดล้อม มันเข้ามาเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญ ที่อเมริกาและยุโรปในช่วงยุคเริ่มต้น ไม่ได้ประสบ" ดังนั้น โจทย์ของการก้าวขึ้นมาของเอเชีย สู่การเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลก จึงไม่ใช่ทางเดินที่ง่ายดายอย่างที่หลายคนคิดแน่นอน

เอ้่า!! ก่อนจบบทความลองมาดูราคาถั่วเหลืองกันดู ว่า "สยองแค่ไหน!!"

(ราคาถ่ัวเหลือง วิ่งเป็นพลุแตกตั้งแต่ต้นปี "ตั้งแต่สัญญาณ EMA ตัดขึ้น" และภาพในขาขึ้น ในมุมของ Technical ยังคงส่งสัญญาณ Bullish อย่างต่อเนื่อง ...ถ้าคุณต้องใช้ถั่วเหลืองในปีนี้ คิดหนักแน่นอน เพราะ Price Move In Trend การขึ้นของราคาถ้าขึ้นแรง คุณเดาทิศทางได้เลยว่า มันจะขึ้นต่อ "เหมือนกับเรือน่ะครับ" ..ถ้าเรือจะหันหัวลง มันก็จะส่งสัญญาณทาง Technical ให้คุณเห็นก่อนเช่นกัน ..."ภาพเช่นนี้ เปิดสัญญาณ Long ขาเดียวครับ"...)

...เอาเป็นว่า ฝากโจทย์ ในเรื่องของการป้องกันความเสี่ยงในเรื่องของต้นทุน "หากใครทำได้ดี คุณจะได้เปรียบคู่แข่งอย่างแน่นอน"

แกะรอยรอบ Social Network (แฉตัวเอง!!) ตอนที่ 4 (จบแล้ว)

(เนื้อหาต่อมาจากตอนที่ 3)



ถึงจุดนี้ ทั้งผมและป๋ากิ้งที่ งงๆ ว่าตกลงเอาไงต่อดี มันมาครึ่งๆกลางๆ ก็ตัดสินใจ ลุยหนังสือต่อ ..โดยจะออกงานเขียนของ Wizard kid และ Monkey Trade ออกมาตีตลาดให้สนั่นวงการลงทุนเลยว่างั้น

จริงๆ ถ้าถามว่า ทำหนังสือ มันได้อะไร “ผมว่าความมันส์ กับ Impact ที่มันเกิดต่อสังคม มันเป็นอะไรที่ สุดยอดนะ… ไอ้เรื่องจะรวยจากเขียนหนังสือ ผมว่าเลิกคิดไปเลย ร้านหนังสือก็เอาไปครึ่งนึงแล้ว ไหนจะค่าพิมพ์ โอ๊ย!! ไม่ต้องไปหวัง” …แต่ในส่วนของสัมมนา นี่ถ้าทำดีๆก็เงินค่อนข้างมากนะ แต่นอกนั้น ผมว่ามันเป็น Long term Investment ทั้งนั้น
แต่จุดมุ่งหมายแท้จริงของเราชาว S2M แล้ว ผมว่ามันคือ การสร้าง Profile และการสร้างเวที และจุดยืนที่มีความหมายในสังคมต่างหากที่ ดึงดูดให้พวกเรามารวมตัวกัน

ตอนนี้บอกได้เลยว่า “ตลาดหุ้น Bullish อย่างนี้” เราแต่ละคน แค่ในส่วนของลงทุน ก็ไม่ต้องไปสนอย่างอื่นแล้ว แต่สิ่งที่เราเห็นตรงกันก็คือ แล้วในระยะยาว อะไรล่ะที่มันยั่งยืน … “นี่เลยเป็นที่มาของการ ถ่ายทอดความรู้อันน้อยนิด แต่หลายๆคนมารวมกัน ก็กลายเป็นน่าสนใจ ด้วยอุดมการณ์ที่ว่า ยิ่งให้ เราก็ยิ่งได้” (อันนี้ไม่ใช่ โยนเบ็ด แล้วหวังเหยื่อ อันนั้นคนละประเด็น)



..แต่เรามองว่าการที่เรา ถ่ายทอดสิ่งดีๆให้กับคนอื่น มันก็นำแต่สิ่งดีๆกลับคืนมา เช่น แทนที่เราจะมองแต่กอบโกย การให้ความรู้ ก็ทำให้เรามีความสุขุม มีความสุข เพราะความโลภ ความอยากได้มันลดลง .. “แปลกมาก ทั้งผม และป๋า น้องทุกคนที่เข้ามาในระบบนี้ กลับมีการ Trade และการลงทุนที่ดีขึ้น …การที่เรามาสอนมันทำให้เราได้ Define ความคิด มันส่งผลให้ Logic ต่างๆในการ Trade และ การลงทุนมันยิ่งดีขึ้นไปอีก”

พูดไปพูดมาก็มาจบที่ Concept “ยิ่งให้ เรายิ่งได้นี่แหละครับ” …ดังนั้นเชิญชวน ใครที่มีความรู้ในด้านการลงทุน ..เอามาเผยแพร่ อย่ากั๊ก เก็บไว้ก็ใช้ว่าจะรวย เพราะยุคกอบโกยมันเชยไปเสียแล้ว ยุคนี้ เมื่ออำนาจการตัดสินความมั่งคั่ง มันไม่ได้มาจากธุรกิจผูกขาด แต่มันมาจากมวลชน หากคุณเข้าใจตรงนี้ “คุณรวยแน่นอน”
อ้าว!! แล้วตกลงว่า Social Network เอาไงดีล่ะ ….หลายคนอ่านไปอ่านมา งง เลยว่า ตกลงฟังผมแล้วจะปรับเอามาใช้กับตัวเองอย่างไรดีล่ะ !!

Social Network & YOU “ตัวคุณล่ะ จะทำไง”



เอาล่ะ Social Network เริ่มจาก “คุณอยากจะทำอะไรกับมัน เพราะ ประเด็นมันอยู่ที่ว่า คุณอยากจะทำอะไร คุณก็ได้อย่างนั้นแหละ” …เอาล่ะถ้าให้พูดทุกเรื่องเกี่ยวกับ Social Network พูดกันอีกปีก็ไม่จบ เพราะ มันต่อยอดไปเรื่อยๆ
หลายคนมองว่า Social Network คือ Facebook แต่นั่นเป็นเพียงเศษเสี้ยวของ Social Network เท่านั้น “คิดดู เศษเสี้ยว ยังทำเงินให้หนุ่มมาร์ค เป็นพันๆล้าน ..น่าจะมีช่องว่างให้เราบ้างนะ แหะ ๆ ๆ” (มีครับ เพียงแต่ว่า มันยากน่ะ) เอาง่ายๆดีกว่า ไม่ต้องไปต่อยอดระดับโลกแข่งกับเขา … “เอาเครื่องมือที่มันมีอยู่แล้วมาทำประโยชน์แก่ตัวเราดีกว่า ผมว่าอันนี้ซิ ที่เราจะมาคุยกัน”

ผมจะพูดเฉพาะเรื่องที่ผมถนัดเท่านั้น นั่นก็คือ การใช้ Social Network มาสร้าง Profile ให้กับ “ตัวเรา” …แค่จุดนี้ ผมบอกได้เลยว่า ต่อยอดได้มหาศาล ….ลองนึกดู นักการเมือง หากคุณสามารถ Develop และ Marketing Profile ของตัวเอง ได้เข้าถึงกลุ่มสนับสนุน ได้อย่าง Obama ทำตอนหาเสียงนะ “คุณสำเร็จขั้นเทพ!!”

หรืออย่างดารา ถ้าสามารถใช้ Social Network เกาะกลุ่มแฟนไว้อย่างเหนียวแน่น …เวลาคุณออกเพลงใหม่ หรือ หนังเรื่องใหม่ “ไม่ต้องโฆษณาครับ …แฟนๆวิ่งเข้ามาหาคุณเอง”

โอเค!! ผมจะมาคุยเรื่องการสร้าง Profile ตัวเอง (ผมยกตัวอย่างผมเองนี่แหละ)
คือ ผมเป็นคน No-name เลย ไม่มีใครรู้จัก …ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำคือ

1. ต้องดูว่าเราเด่นที่ตรงไหน “บางคนเล่นกีตาร์เก่ง” “อย่างผมนี่ เขียนมันส์ และก็ชอบการลงทุน เป็นชีวิต” ..นี่แหละผมได้ Content แล้ว “ผมจะนำเสนอ แนวคิดการลงทุน ในแบบฉบับของภาววิทย์ ขึ้นมา (แน่นอนคุณไม่ต้องเป็นมนุษย์คนแรกของโลกที่สร้างมันขึ้นมา เพียงแต่คุณต้องสามารถถ่ายทอด ให้คนอื่นเข้าใจได้เท่านั้นเอง)

2. ดูซิว่า คุณ ถนัดถ่ายทอดด้วยวิธีไหน ..คือ ศูนย์กลางของ Content คุณ ควรรวมอยู่ใน Blog จะใช้ของ Word Press หรือ Blogger (หรือ จะใช้ของไทยอย่างของ Bloggang , Ok nation หรือ exteen ) อันนี้แล้วแต่ชอบ แต่ที่แนะนำ “ของนอก” เพราะมัน ทำได้อินเตอร์ดูมืออาชีพกว่าเยอะ “แต่ปัญหาคือ Blog ต่างประเทศจะไม่มี Platform ในการ Publish เนื้อหาให้คุณ ..เดี๋ยวเราจะมาคุยตรงนี้กัน)



3. “หัวใจของทั้งหมดคือ เนื้อหา Content” …เนื้อหามันต้องมีประโยชน์ อย่างของผม ก็คือ เนื้อหาผมก็คือ การเน้นในเรื่องของการนำเสนอความคิดในการลงทุน ในรูปแบบของผม “แกะรอยหยักสมอง” นั่นแหละ …จากนั้นคุณต้องตั้งใจ ค้นคว้าข้อมูล ตั้งใจเขียน …แต่ถ้าคุณไม่ชอบเขียน จะอัด VDO ใส่ Youtube แล้วค่อยมา Post ใส่ Blog ก็ได้ (ใครทำไม่เป็นเข้าไปดูใน Blog ผม ที่ http://pawawit.blogspot.com ทุกอย่างมันมี Link หมด ..เครื่องมือ ทั้งหมดในการเขียนในการออกแบบฟรีหมด ทั้งตัว Stats ก็ฟรี อยากใช้อะไร ก็คลิ๊กเข้าไปลองทำดูเลย เดี๋ยวก็เป็นเอง) …. ถ้าทำแล้วเริ่มมีเนื้อหา พอสมควร ก็ให้หาที่ Publish เนื้อหา ให้คนอื่นได้เห็น “เห็นความคิดความสามารถคุณไง ดังนั้น ทุกเรื่องที่เขียนลงมาใน Blog ของคุณ อย่าไปก๊อบปี้ ถึงจะเอามาจากที่อื่น ก็ต้องเปลี่ยนเป็นคำพูดคุณเอง”

4. สถานที่เผยแพร่เนื้อหา ถ้าเป็นเรื่องการลงทุน เรื่องธุรกิจ ผมแนะนำให้สมัครสมาชิก Stock2morrow จากนั้นก็ Post บทความคุณลงไป แล้วค่อยดู Feedback ว่ามีคนสนใจติดตามเราหรือเปล่า ถ้ามีเดี๋ยวมันก็ต่อยอดได้ไปเรื่อยๆ ..ในส่วนเรื่อง Content ด้านอื่นๆ ผมว่าคุณอาจต้องไป Link กับ Web ที่ดังๆในเรื่องที่คุณสนใจ …อย่างใน Bloggang , exteen หรือ Oknation ก็เป็นอีกทางที่คุณสามารถเอา บทความหรือ VDO ของคุณไป Publish ได้ ….ลองทำดูละกันครับ!!

5. จากนั้นก็สร้าง Link เชื่อมมายัง Facebook …ตรงนี้ผมแนะนำให้ใช้ Facebook Fan Pages เพราะถ้าเป็น Facebook ปกติจะ Limit เพื่อนได้ 5 พันคน แต่ถ้าเป็น Fan Pages จะไม่จำกัด ..อยากรู้ว่าสร้างยังไง เข้ามาดูของผมก็ได้ ..โดยคุณเข้า Search ใน Facebook หา “Pawawit Stock Comment” แล้วลองดู มันจะมี Link ให้คุณสามารถสร้าง Fan Pages ได้ฟรี

6. จากนั้นคุณก็ลุยไปเรื่อยๆสร้าง Profiles ถ้าคุณทำได้ดี ….คราวนี้ ก็จะมี ตำแหน่งงานดีๆ เงินเดือนสูงๆ เริ่มกระโดดเข้า เหมือนฝัน “แม่เจ้า!! ทำไมอยู่ดีผมโชคดี มีคนมาเสนองานเงินเดือนสูงขนาดนี้ให้ …โชคดี มันมาจากความเหนื่อยที่โชคเลือดก่อน ..อิ อิ”

นี่แหละครับวิธีการสร้าง Profile ของคุณเอง โดยใช้ Social Network ผมพูดคร่าวๆ เท่านั้น เพราะไอ้หนังสือ Step by Step คุณไปซื้อเอาเองได้ทั่วไป แต่ผมพูดจริงๆนะ “ลองทำเอง ลองผิดลองถูก นี่ผม Guide ให้ยิ่งง่ายใหญ่เลย…ใครอยากโชคดีก็ลองทำดูนะครับ”

เอาเป็นว่า ถ้าคุณสามารถทำ Social Network ได้ดี มันสามารถทำเงินให้คุณได้ อย่างยกตัวอย่างของผม “ผมก็ลองเอา Social Network มาทำให้หนังสือผมเป็น Best Seller โดยที่ผมไม่ต้องจ่ายเงินฆ่าโฆษณาเลย ..อันนี้ผมว่า ธุรกิจต่างๆ สามารถปรับประเด็น และวิธีการนี้ ไปต่อยอดได้นะครับ”

ในอนาคต ผมมองว่า ถ้าคุณจะอยู่รอดได้ “คุณต้องเป็น Someone” นั่นคือ คุณจะหวังเดินตามกรอบของสังคม เรียนสูงๆทำงานหนักๆ ผมว่ามันไม่พอ ..เพราะนั่นมันเป็นประเด็นที่ใครๆก็ทำกัน แต่การสร้าง profile ตัวเอง มันเป็นงานที่ต้องใช้สมอง ต้องทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ต้องมีการนำเสนอ ต้องทำการบ้าน ต้องศึกษาลึกๆ และต้องสามารถ Manage เครือข่ายของคนที่เข้ามาสนใจ เรื่องราวที่เรานำเสนอ …พูดอย่างนี้มันจะเริ่มคล้ายๆกับ One Man Media หรือ One Man Company ..และนี่คือ ความท้าทายของอนาคต

แกะรอยรอบ Social Network (แฉตัวเอง!!) ตอนที่ 3

(เนื้อหาต่อมาจากตอนที่ 2)



วงการดาราและบันเทิง ผมว่า Twitter นี่ค่อนข้างจะ work เพราะหากคุณเดินไปตามแผงหนังสือ ไอ้หนังสือ Gossip ดารานี่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า นั่นแปลว่า มีคนจำนวนมากมายที่อยากรู้การเคลื่อนไหว ทุกฝีก้าวของดาราที่ตัวเองชื่นชอบ ว่าทำอะไรอยู่

“ตอนนี้ผมตื่นขึ้นมา ก็ Twitter ลงมาบอก” .. “จากนั้นผมเริ่มแรงฟัน อุ๊..แปรงสีฟันตกส้วม” …. “ในที่สุดผมก็หย่อนก้นลงโถส้วม เพราะปวดมาก!! ทับไปบนแปรงสีฟัน” (ดาราคนนี้เริ่ม Twit ถี่ขึ้นเรื่อยๆ) … “เฮ้ย!! ดันอึใส่แปลงสีฟันยังไม่ได้หยิบขึ้นมาเลย” …. “เอาวะ ชักโครก ทิ้งแปรงไปเลยละกัน เหม็น” …. ระหว่างที่ดาราคนนี้ Twit ก็เริ่มมี Fan Club “ล็อคออน” เข้ามาอ่าน กันอย่างหนาแน่น … “ซวยแล้ว!! ซักโครกไม่ลง” --- เอาล่ะนี่แหละที่เราสามารถได้จาก Twitter คือเจาะลึกสั้นๆ แต่สาระน้อย

ในส่วนของสาระที่ Twitter สามารถให้ได้ ก็น่าจะเป็นวงการข่าว เช่น นักข่าว Twit สั้นๆ เกาะติดสถานการณ์ ประเด็นนี้ คุณ สุทธิชัย หยุ่น อ่านขาด จึงให้นักข่าวของ Nation ทุกคนมี Twitter แล้วก็ให้แต่ละคน Twit ข้อความสั้นๆ เกาะติดข่าวร้อน เหตุการณ์ร้อน …นอกจากนี้ ถ้าถามว่า คนเล่น Twitter เมืองไทยจะได้สาระอื่นๆมันท่าทางจะไม่ค่อยมีแล้ว สำหรับด้านสว่าง แต่ในด้านมืด แม้แต่วงการหุ้นก็เอามาใช้ ในการปั่นหุ้นได้ง่ายๆ เช่น Post หุ้นร้อนสำหรับวง Twit ที่จำกัด โดยคิดค่าสมาชิก แล้วบอกหุ้นร้อน

ย้อนกลับมาที่กลุ่มคนเล่น Facebook กับ คนที่เล่น Twitter ในเมืองไทย ในเวลานี้ (ปี 2011) ผมเชื่อว่าตอนนี้ยังจำกัดอยู่ในช่วงอายุของคนทำงานตอนต้นลงมา ซึ่งถ้าพูดในแง่กำลังซื้อ ณ เวลานี้ ยังไม่ใช่กลุ่มที่มีกำลังซื้อหลักของประเทศ ..อย่างไรก็ตาม คนกลุ่มนี้ผมมองว่า Major Group เล่นอยู่กับกลุ่มนี้ได้ดี ตั้งแต่ โรงหนังยันคอนโดสำหรับคนเริ่มทำงาน

การขยายตัวของ Social Network ในเมืองไทย ยังต้องรอฐานการศึกษาทางด้าน IT เป็นหลัก ปัจจุบันกลุ่มคนที่มีเงินจริงๆ มีกำลังซื้อในบ้านเรา ก็คือ Baby Boomer และก็ Gen X แต่ปัญหาคือ ทั้งสองกลุ่มนี้จะไม่ชอบใช้ IT อย่างแรง… แต่พักหลังๆมานี้ Gen X ก็โดดเข้ามาเล่นอุปกรณ์ IT มากขึ้น อันนี้ต้องขอบคุณ Steve Jobs เลยที่ทำให้ IT เป็นเรื่องง่ายสำหรับคนที่ไม่ได้เติบโตมากับอุปกรณ์เหล่านี้ ทำให้ถ้าดูจริงๆ อนาคตของบริษัท Apple นี่ค่อนข้างจะสดใสเอามากๆ เพราะตอนนี้ก็เปิดตัว iphone ไม่รู้กี่รุ่น กินตลาด Smart Phone เข้ามาตั้งเยอะแล้ว ทำเอาผู้นำตลาดอย่าง Blackberry , Samsung และ HTC เหงื่อแตกกันไปตามๆกัน

ดังนั้น หากเรารู้ว่ากลุ่มที่เข้ามาเล่น Social Network คือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา และเป็นกลุ่มอนาคตของประเทศ (ใช่!! หลักๆของคนกลุ่มนี้ ก็คือ Gen Y นั่นเอง) …การทำตลาดบน Social Network ในเมืองไทย ผมขอฝันธงเลยว่า “ไม่สามารถทำเงินได้ทันที เหมือนอย่างที่อเมริกาทำ เพราะอเมริกา ตลาด Online และกำลังซื้อได้พัฒนาไปอีก Level นึงแล้ว ..จึงไม่แปลกที่อเมริกาทำเงินได้อย่างมหาศาลจาก Social Network ในขณะที่เมืองไทยทำไม่ได้”

การสร้าง Business บน Social Network ของเมืองไทย ต้องมองระยะยาวเท่านั้น หรือ ไม่ก็ใช้ต่อยอดจากกิจการที่มีฐานการทำรายได้อยู่แล้ว … ประเด็นการต่อยอดจากธุรกิจ มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะช่องว่างตรงนี้ ในอเมริกาเขาถือเป็นอาชีพที่เงินเดือนดีเลยทีเดียว

ถึงจุดนี้หลายคน อาจจะยัง งง ว่าแล้ว Social Media ที่ตั้งอยู่บน Model ของ “เรื่องไร้สาระ เป็นส่วนใหญ่ จะทำเงินได้อย่างไร”

ในเมืองไทย มีธุรกิจมากมายที่เริ่มเข้ามาทำตลาดบน Social Network …ผมยกตัวอย่างของธุรกิจ ธนาคารก่อน เช่น ยกเอาส่วนที่ทำตลาดได้ง่ายมาไว้บน Online อย่างพวก Credit Card เอาของสมนาคุณ ลด แลก แจก แถม เก็บ Point …พูดง่ายคือ ยกเอาลูกค้าที่ Royalty กับตราสินค้าของเรา เข้ามารวมกลุ่ม ภายใต้ Facebook Fan Pages จากนั้น ก็สร้างกิจกรรม ให้เกิดภายใน Community ที่สร้างขึ้น … “ตรงนี้เป็นเรื่องที่บริษัทต่างๆพยายามสร้างกันอยู่ ..แต่ที่น่าสนใจกว่าคือ การต่อยอดให้ลึกซึ้งกว่านั้นควรทำอย่างไร”

“คิด คิด คิด” ….ผมยก Case ที่ทำอยู่จริงใน S2M มาให้ดูเลยจะได้เห็นภาพ ..คือ อย่าง S2M คือการรวมกลุ่มกันภายใต้ ความสนใจในเรื่องการลงทุน โดยเฉพาะการเล่นหุ้น ..ปัญหาคือ การเล่นหุ้นมันเป็นเรื่องที่ยาก แต่ในอนาคตมันเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องลงทุน ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง ..ดังนั้น ประเด็นสำคัญ คือ การให้ความรู้แก่นักลงทุนรายย่อย และนี่คือ “เป้าหมายหลักของ S2M”



เมื่อเป้าหมายเกิด ปัญหาก็ตามมา … “โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี อันนี้จริงแท้” ในช่วงแรก ที่พวกผมเข้ามาก็ ทำเอามันส์ แต่พอชุมชนขยายโตขึ้น ก็เริ่มมีการทำหนังสือ มีการทำสัมมนา ค่าใช้จ่ายก็ตามเข้ามา เช่น Staff ทีมงานที่เข้ามาจัดการงาน Admin ต่างๆ การดูแลสมาชิก “ตรงนี้เลยไม่ได้แปลกอะไรที่ S2M ต้องเก็บค่าสมาชิกรายปี ปีละ 1,000 บาท ซึ่งจริงๆ ก็แทบไม่ได้กำไรอะไร เพราะค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมทั้งค่า Server และค่าพนักงานดูแล จริงๆเบื้องหลังมันมีเยอะมาก”

ในที่สุดก็เลย ต้องหา Business Model มา Support มันถึงจะสามารถดำเนินการต่อไปได้ “เหนื่อยจริงๆ” …เล่าให้ฟังนิดนึง ก่อนมีผมจะเข้ามา Join S2M ผมก็มีการเขียน Blog ส่วนตัวอยู่แล้ว ที่ http://pawawit.blogspot.com เป็นการถ่ายทอดความรู้ในเรื่องการลงทุน ในมุมมองของผม คือ ตอนแรกก็ทำเล่นๆ ทำไปทำมาก็มีคนเข้ามาอ่านมากขึ้นเรื่อยๆ จนมาเตะตาป๋ากิ้ง เจ้าของ S2M ก็ชวนมาเผยแพร่ความรู้ใน stock2morrow (ในส่วนของป๋ากิ้งเอง ก็สร้างชุนชมของ stock2morrow มากว่า 5 ปีแล้ว โดยมีสมาชิกเก่าแก่ และคุณหมอเก่งๆหลายๆท่าน ที่เป็นกำลังสำคัญ ในการขับเคลื่อนชุมชนมาเรื่อยๆ) --- จากนั้น ก็ค่อยๆก้าวเข้ามาเพิ่มขึ้น

ช่วงนั้นกระแสของ Social Network เพิ่งจะเริ่มแรง ผมกับป๋ากิ้ง ก็คุยกันว่าจะลองเข้ามาทำตลาดใน Social Network ดู … “ก็คิดๆอยู่ว่าจะเอา Product อะไร เป็นจุดขาย… สรุปมาลงตัวก็ ไม่ต้องมีสินค้าอะไร เอา Content หรือ เนื้อหาที่ผม Post ใน Blog นี่แหละ เอาเป็นจุดดึงดูด”

ก็เริ่มทำ Social Network โดยเปิด Facebook Pan Pages ของ “Pawawit Stock Comment” “Stock2morrow” ขึ้นมาก่อน ก็มั่วๆกันไป ในที่สุดก็เริ่มไปหา นักลงทุนเก่งเข้ามาร่วม ก็ไปเจอ อย่าง พีร์ และ ป๋าหยง ..จากนั้นก็ขยาย Fan Pages ของ “Wizard Kid” “Monkey Trade”

…ก็จริงๆ ก็นึกขำๆว่า ลองๆทำดู เอาแบบ Bakery Music เขาที่ ทำนักร้องเป็นวงๆ แล้วก็ใช้ Facebook ติดต่อกับแฟนๆ แต่ในส่วนของ S2M ก็เป็น Group แต่เป็นกลุ่มๆ ที่แบ่งตามเนื้อหาที่สนใจ ตามแนวการลงทุนแบบต่างๆ เช่น S2M จะเป็นรวมข่าวและครอบจักรวาลการลงทุน , Pawawit ก็จะมาในแนวของ การลงทุนแบบ Value Investor , Monkey Trade “ป๋าหยง” ก็มาแนว Technical แนวฉีกโลก , Wizard Kid คือตัวพีร์เขาเป็น Prop. Trade ก็จะเป็นแนว Day Trade เลย

---- “สรุปทำทั้งหมด ไม่มีใครได้เงินเลย ขำขำ เอามันส์ …แต่อย่างที่บอก พอกลุ่มมันต้องมี Full Time Staff มาช่วย Support เขาต้องกินต้องใช้ ..ทำให้นักลงทุนแบบเอามันส์อย่างพวกผม ต้องมาขบคิดกันว่าจะทำเงินอย่างไร จะได้มีเงินจ่ายน้องทีมงาน”

ผมกับป๋ากิ้ง วิ่งพล่านเลย หา Sponsor ..ก็อย่างที่รู้ๆกัน Banner Ads แทบจะเป็นทางเดียวของการอยู่รอดของ Website ในเมืองไทย ซึ่งตลาดนี้ ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ เรียกได้ว่า “ค่าโฆษณา ต่อรองกัน ยังกับซื้อของตลาดนัด”

ระหว่างนั้น เราได้ไปคุยกับ Online Agency ก็เลยต้องไปนำเสนอ ทาง Agency ก็ถามมาว่า “คุณต่างจาก Web ดังๆอย่าง Pantip หรือ Settrade อย่างไร ทำไมผมต้องโฆษณากับคุณด้วย”

“มันอยู่ที่ Target ลูกค้า อย่างของ S2M เราเก็บค่าสมาชิก มันเลยเป็นกลุ่มที่ดีกว่า”

“ดียังไงล่ะ พอเก็บค่าสมาชิก คนก็เข้าน้อยลง จะดียังไง”

“ลองนึกดูนะครับ …คนที่ยอมจ่ายหนึ่งพันบาท เพื่อเข้ามาศึกษาว่า ชุนชนแห่งนี้สามารถให้อะไรคุณ ต่างกับคนที่เข้าไปหาของฟรี อย่างมหาศาล เพราะ นิสัยของคนสองกลุ่มนี้ต่างกันราวฟ้ากับเหว --- เอาง่ายๆว่า เราแบ่งเกรดของความจริงจังในการลงทุน กับพวกที่เข้ามาดูเล่นๆ จากเงินพันบาทนี่แหละ ดังนั้น คนที่ยอมจ่ายปีละพันบาท คุณรู้แน่ๆว่าเขาเป็นนักลงทุนจริงๆ เพราะถ้าเขาไม่ได้เล่นหุ้นจะจ่ายเงินเป็นสมาชิกทำหยังอะไร จริงไหมครับ!! …ดังนั้น สมาชิกของ S2M ก็คือ นักลงทุนจริงๆ ที่มีกำลังซื้อ ….ในประเทศเรามีคนเล่นหุ้นแค่แสนคนเท่านั้น …คิดดูคนที่จะเล่นหุ้นได้ คือ คุณต้องมีเงิน นี่แหละ S2M เราจับลูกค้า Top of the cream!! ของประเทศไทยนั่นเอง ---- คุณคิดว่าคนมีกำลังซื้อของเมืองไทย ผมคัดมาให้คุณแล้ว …คุณสนใจไหมล่ะ!!”

จากวันนั้นเป็นต้นมา เราก็มีโฆษณาเข้ามามากขึ้น เป็นทั้งโฆษณา ขายบ้าน ขายคอนโด พูดง่ายๆสินค้า Hi-so ต่างๆ ก็เข้ามาโฆษณา ….แต่รายได้มันก็ยังน้อยอยู่ดี ดังนั้นต้องมาคิดต่อว่า จะทำอย่างไร

ก็มาจบที่การเริ่มทำ คอร์สสัมมนา --- แต่ประเด็นคือ เราก็ยังคงรักษาความจริงใจ คือ ไม่ได้หน้าเลือด เอาแค่พออยู่รอด ดังนั้น งานสัมมนา เราก็เก็บค่าเข้าฟังแค่พันกว่าบาท ซึ่งเทียบแล้วถูกมากสำหรับสัมมนาหุ้นที่ให้ความรู้ในการทำเงินจริงๆ ในตลาดนะ …บางที่ถูกกว่า หรือไม่ก็ฟรี (ใช่!!) ผมไม่เถียง แต่นั่นคุณเข้าไปฟังเขาแนะนำสินค้า หรือ ไม่ก็พยายามจูงใจให้คุณเปิดบัญชีซื้อขายกับเขา

ก็ผ่าน Step แรกไป คือ สัมมนา ก็ต้องเลี้ยง S2M Center จากนั้น ก็ต้องมาดูว่า เราจะ Bundle ให้ Social Network สามารถสร้าง Value ไปสู่การทำเงินในตลาดจริงได้หรือไม่ … เราเลยมาดูที่ตัวหนังสือ ที่จริง “หนังสือ แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน เล่มแรก” ออกตั้งแต่กลางปีแล้ว ซึ่งขายกันอยู่เฉพาะในเว็บของ S2M ก็ถือว่ายอดขายดีทีเดียว สำหรับ e-commerce เมืองไทย “ขายได้หลักพันเล่ม”



มาถึงโจทย์ที่น่าสนุก ..เนื่องจากผมเขียน Blog ค่อนข้างเยอะ ก็มาจากผมบ้าอ่านหนังสือเยอะมาก ก็เลยเขียนเยอะตาม ในที่สุดก็มาถึงการรวมเล่ม “แกะรอยหยักภาค 2” คราวนี้เลยจะมาลองตลาดของร้านหนังสือบ้าง …ไอ้ทีแรกก็ไม่อยากเข้าร้านหนังสือเท่าไหร่ เพราะรู้มาว่า เขาเก็บค่าฝากวาง แพงมาก --- พอมารู้จริงๆ มันสูงกว่าที่คิดอีก ใช่ครับ!! ค่าวางอย่างเดียว 40% จากราคาปก ..ฮึม !! อึ้งไปเลย … “ผมหันมามองป๋ากิ้ง แล้วก็ หน้าซืด …คือ ต้องจ่ายค่าพิมพ์ล่วงหน้า ค่าทำเล่ม …คือ จะเอาคอไปพาดเขียงแล้ว ถ้าใจไม่รักจริง เลิกทำไปตั้งแต่แรกแล้ว --- ตกลง!! ลุย”



ผลปรากฏว่า หลังจากที่ขายผ่าน SE-ED ได้รับการตอบรับดีเกินคาด …คือ จุดนี้ผมต้องบอกเลยว่า ส่วนหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้ หนังสือ แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านขึ้น Best-seller ของประเทศ เพราะว่า S2M เรามี Media อยู่ในมือ …ตัว Stock2morrow แม้จะไม่ทำเงินมาก แต่ก็ถือว่าเป็น Web site ด้านการลงทุนอันดับต้นๆของประเทศ มีคนเข้ามาดู วันๆเป็นหมื่นคน ..ไหนจะ Social Network ที่เรา Explore ในเรื่องของ Fan Pages ไปก่อนหน้านี้ ก็ถือว่า “ได้ผลเกินคาด”
หลังจากนั้น ผมกับป๋ากิ้ง ก็เริ่มมาให้ความสนใจตัว Social Network มากขึ้น

คราวนี้ ป๋ากิ้งยอมจ่ายเงินโฆษณาใน Facebook ของ stock2morrow Fan Pages แต่ตัว Fan Pages อื่นๆก็ไม่ใช้เงิน…อาศัย Link กันไปมา ฮ่า ฮ่า …ยิงนัดเดียวได้นกหลายๆตัวเป็นกระบุง “จากนี้เราก็ลุยสร้างเครือข่ายของ Facebook Fan Pages ของแต่ละคน ทั้ง Pawawit , Wizard kid , Monkey Trade , S2M Café ให้ลุยลึกกันคนละด้านของการลงทุน และมารวมเป็นองค์ความรู้ใหญ่ ภายใต้ S2M “ศูนย์กลางนักลงทุนรายย่อย”

(ติดตามตอนต่อไป ฮ่า….)

แกะรอยรอบ Social Network (แฉตัวเอง!!) ตอนที่ 2

(เนื้อหาต่อมาจากตอนที่ 1)



“นี่ก็ อีกตัวอย่างที่น่าสนใจ” … ป๋าหยง และ ผม จัดการเรียนการสอน Technical Analysis โดย Monkey Trade ขึ้นมา โดยได้รับความร่วมมือในด้านสถานที่ และอุปกรณ์การสอน “จัดมา” โดย ป๋ากิ้ง พี่ใหญ่แห่ง S2M (ศูนย์กลางนักลงทุนรายย่อย ของมนุษย์ที่เป็นคนไทยอย่างใจจริง ฮ้า!!)

คอร์ส Technical ของ Monkey Trade มีนักเรียนที่เข้ามาเรียนประมาณ 50 กว่าคน (รวมเรียนทั้งหมด 4 ครั้ง) ..ผลปรากฏว่า พอเรียนเสร็จ “ป๋าหยง” ก็เสนอให้ กลุ่มผู้เรียน ต่อยอด คือ ตั้งกลุ่มเรียนรู้ขึ้นมา

..และแล้ว ก็มาลงตัวตรงการใช้ Create Group โดยใช้ Facebook ซึ่งง่าย ต่อการคุยแลกเปลี่ยน ความรู้ เอา Graph มาโชว์ แลกเปลี่ยนมุมมอง …แถมสามารถปิดเป็น Close Group คือ อนุญาตเฉพาะคนที่เราให้เข้ามาร่วมเท่านั้น ดังนั้น กลต. จึงไม่สามารถเข้ามา ยุ่งกับเราได้ (แหะ ๆ ๆ สวรรค์ของนักปั่นหุ้น …แต่ เดชะบุญ โชคดีที่เราเป็นคนดี จึงไม่มีการปั่นหุ้น แหะ ๆ ๆ)

จุดที่น่าสนใจมันอยู่ตรงนี้ “ประหยัด” …นั่นเอง ..ก่อนหน้านี้ การตั้ง Forum อาจติดต่อกันด้วย Email และก็ใช้เครื่องมือ สื่อสารแบบฟรีต่างๆ เช่น Skype ในการคุยกัน และ ก็แลกเปลี่ยน …แต่ท้ายสุดแล้ว ผมว่า ยิ่งมาก ยิ่งยุ่งยาก มันก็ยากต่อการใช้ “สุดท้ายสิ่งที่จะเป็น The Winner ในแต่ละเครื่องมือการติดต่อ มันต้องเป็น One-stop ที่ใช้ง่าย ง่ายแบบสุดๆ”
ไอ้ประเด็นความง่าย ผมเห็นสิ่งที่ ป๋า Steve Jobs บิดาแห่ง Apple ทำกับวงการมือถือ และก็ ipod , ipad และ ก็ iphone แล้ว ฟันธงเห็นภาพเลยว่า “นี่แหละ เป็นเครื่องมือที่เชื่อมโยงคนที่ หลุดออกไปจากยุค Internet ก่อนหน้านี้ ให้หันกลับมาใช้ Internet ในทางอ้อม ผ่านเครื่องมือ ที่ใช้ง่ายกว่า “คอมพิวเตอร์”

สิ่งที่ผมมองแล้ว ตกใจเกี่ยวกับ อุปกรณ์ต่อ Net ที่เป็น Handheld หรือ ที่เป็นตระกูลมือถือ แนว Smartphone นี่แหละ ที่จะเข้ามาเปลี่ยนโลกเราให้ Always Online , Always Connection ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใด และเมื่อใดก็ได้ บนโลกนี้!!
พักหลังๆ มานี้ เวลาผมเดินทางต่างประเทศ แทบไม่มีใครรู้เลยว่า “ผมอยู่ต่างประเทศ” เพราะผมก็แค่เอา Notebook ของผม ไปต่อเน๊ต และก็เข้ามาเล่น Facebook และ Trade หุ้นไทย ได้ตามปกติ ไม่ว่าผมจะกำลังนั่ง กินโรตี ในอินเดียก็ตาม “และนั้น เป็นที่มาของ การตั้ง Monkey Trade ที่เรานำเสนอ อาชีพใหม่ ที่คุณสามารถทำเงิน แม้อยู่ในชุดนอน …แต่ข้อแม้อันเดียวคือ คุณต้องต่อเน๊ตได้เท่านั้นเอง”

พลัง Impact ของสื่อยุคใหม่อย่าง Facebook เทียบกับสื่อยุคใหม่ที่มาก่อนอย่าง Blog ต่างกันอย่างไร
“ผมว่ามันต่างกันที่วัตถุประสงค์ในการใช้ และจำนวนของการเข้าถึงของสื่อต่างๆ”…อย่าง Blog นี่ การเข้าถึงก็จะน้อยกว่า แต่ได้คนสนใจจริงๆ “เพราะคนอ่านต้องเข้ามาอ่านเอง” (Pull Strategy)

ผมยกตัวอย่าง case ของ ผมเองเลยคือ หน้า Blog ที่ผมใช้ post บทความจะมีคนเข้ามาเดือนละประมาณ หมื่นครั้ง แต่ถ้าเทียบกับ Facebook (ตัวที่ผม set Fan Pages ตอนนี้มี สมาชิก หรือเพื่อนนั่นแหละ ประมาณ 4,000 กว่าคน เข้ามาติดตาม เรื่องการลงทุน ..แต่คุณรู้ไหมว่า Impression หรือ จำนวน Page Views ที่อยู่ใน Facebook ผมต่อเดือน ตกประมาณ 800,000 กว่าครั้ง)

หลายคนอาจมองว่า นี่คือเรื่องของ Spam หรือเปล่า “ผมกลับมองว่า นี่มันเป็น Permission Marketing นั่นก็คือ เจ้าของหรือสมาชิกที่เข้ามาติดตาม Facebook อนุญาตให้เจ้าของเนื้อหา สามารถติดต่อกับเขาได้ ดังนั้น ทุกครั้งที่ผม Post บทความลง Facebook มันก็จะไปขึ้นหรือปรากฏอยู่ใน มือถือ หรือ ipad หรือ อะไรก็ได้ที่คนๆนั้นชอบอ่าน ..จากนั้น เขาจะอ่านหรือไม่ มันก็เป็นการตัดสินใจของเขา ซึ่งตรงนี้มันดีกว่า E-mail ตรงที่ E-mail ไม่ว่าจะอ่านหรือไม่ มันก็จะรกอยู่ใน Inbox ของคุณ จากนั้น เราก็ต้องเสียเวลามาลบอีก อันนี้แหละที่ผมมองว่าคือ Spam”

คุณเห็นไหมล่ะครับว่า Facebook ทำทีเดียว แต่ตอบโจทย์แก้ปัญหาได้ถึงสองเด้ง ทั้งในเรื่องของ การ Spam และก็ในเรื่องของ Exclusivity หรือ Permission Marketing ที่แยกกลุ่มคนที่สนใจ ในหัวข้อนั้นๆ ให้สามารถมารวมกลุ่มกัน แล้วแลกเปลี่ยนมุมมอง กันได้ โดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด และที่สำคัญ มันใช้ง่ายที่สุด “แต่ตรงนี้ ก็ใช่ว่า Facebook เป็นอมตะ เพราะในอนาคตหากมี นักคอมพิวเตอร์คนใดที่เสนอ Platform การเชื่อมโยงของ Social Network ที่ตอบโจทย์ได้ดีกว่า และใช้ง่ายกว่า Facebook ..เมื่อนั้น Facebook ก็คงต้องตกกระป๋องไป โดยปริยาย”

ปัจจุบันคนไทยประมาณ 5 ล้านคน เริ่มมาใช้ Facebook (ช่วงที่คนไทยกระโดดเข้ามาเล่น Facebook มากอย่างก้าวกระโดด ก็ช่วงสงครามกีฬาสีบ้านเราเดือดๆ ตอนต้นปี 2010 นั่นแหละ …ช่วงนั้น สาเหตุหลักที่คนเข้ามาติดตามทั้ง Facebook และ Twitter ของคนดังๆ เพราะมัน บิดเบือนความจริงน้อยกว่าสื่อหลักๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสีย เพราะ Social Network เหล่านี้ ข้อมูลส่วนใหญ่จะเรียกว่า ไร้สาระ หรือ Junk ก็ได้)

ในส่วนของ Twitter ผมไปซื้อหนังสือมาอ่านสองเล่ม เกี่ยวกับการทำการตลาดโดยใช้ Social Media



















ก็ถือว่าน่าสนใจ เพราะหากเราหาตำราฝรั่งมาศึกษา เขาจะให้ความสำคัญกับ Twitter มากกว่า Facebook แต่ถ้าเรามาดูในเมืองไทย ณ ปี 2011 คนไทยใช้ Facebook 5 ล้านกว่าคน ในขณะที่ Twitter เพียงประมาณ 300,000 คนเท่านั้น

ข้อแตกต่างระหว่าง Twitter กับ Facebook ก็อยู่ตรงลูกเล่น กับ ปริมาณข้อมูลที่สามารถนำมา Post

…ตัวผมกับทีมงานของ S2M สารภาพตรงๆ ว่าด้วยลูกเล่นที่มีให้ใช้ในปัจจุบัน ผมว่า Facebook กินขาดในเรื่องของประโยชน์ใช้สอย เพราะในส่วนของ Twitter ผมว่ามีข้อจำกัดค่อนข้างมาก เพราะ Twitter อนุญาตให้พิมพ์ได้ไม่เกิน 140 ตัวอักษร แถมภาพต่างๆ ก็ไม่สามารถ post ได้อย่างสะดวก

เอาตัวอย่างชัดๆเลย คือ อย่างทีม S2M เราจะเขียนบทความแนะนำการลงทุน อยู่เป็นหลัก ดังนั้นเนื้อหา ก็จะต้องมี กราฟ หรือ ภาพประกอบเพื่อให้เข้าใจ ดังนั้น แน่นอน 140 ตัวอักษรของ Twitter ไม่พอให้สื่อสารเรื่องหุ้นให้เข้าใจได้ ดังนั้น เราจึงใช้ Facebook สำหรับ Post ข้อความสั้นๆ แต่ในส่วนของ Twitter เราก็แค่เชื่อมฝาก Link ไว้เท่านั้น

โอเค พล่ามมาซะยาว ..ผมจะสรุปว่า จริงๆ ไม่มีเครื่องมือ Social Network อันใดที่เพียบพร้อม เหมาะกับทุกอย่าง ..ดังนั้น การเลือกเอาใช้ให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ของการสื่อสาร ผมมองว่าเป็นเรื่องท่่ีสำคัญที่สุด

(ติดตามตอนต่อไป ฮ่า….)

แกะรอยรอบ Social Network (แฉตัวเอง!!) ตอนที่ 1

กลับมาเจอเพื่อนเก่าๆ ที่ห่างหายไปนับสิบๆปี ด้วย “Facebook”



เรื่องมันมีอยู่ว่า ปีที่แล้ว ได้เกิดมีเด็กธรรมศาสตร์คนนึง อยากจะรวมกลุ่มเพื่อนๆที่ห่างหายกันไปนาน …”จึงเอา Facebook ขึ้นมาแล้วก็ตั้งเป็น Group “Kor Kai Friends”

เกริ่นหน่อยเกี่ยวกับกลุ่มก้อนใน เด็กบัญชีธรรมศาสตร์ ..ผมถือเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่ม กอไก่ ที่ถูกตั้งขึ้นมาเป็นกลุ่มๆในคณะบัญชี หลังจากที่เด็กใหม่สอบติดแล้วกำลังจะเดินทางเข้ามาเป็นน้องใหม่ในคณะนี้

“มันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้น สำหรับเด็กใหม่อย่างผมในเวลานั้น ที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม กอ ไก่ ..แต่พอหันไปกลุ่ม ข ไข่ หรือกลุ่มอื่นๆ กลับมองเห็นกลุ่มนั้น มีสาวสวยที่น่าตาน่าดึงดูดใจมาก “หน้าซีด!! อยู่คนละกลุ่ม ซวยเลยตู” (สาเหตุที่คณะบัญชีธรรมศาสตร์ รุ่นพี่ของแต่ละกลุ่มก็จะแบ่งรุ่นน้องออกเป็นกลุ่มๆ จุดมุ่งหมายก็เพื่อ แข่งกันร้องเพลงเชียร์)

“อ้า!!” คนนอกอาจไม่รู้ว่า …การแบ่งกลุ่มของเด็กคณะบัญชีธรรมศาสตร์ เป็นกลุ่มย่อยๆ ก,ข,ค,ง,จ,ฉ,ช…. แล้วเอาทุกกลุ่มมาแข่งกันร้องเพลง เพื่อชิงถ้วยรางวัลของคณะ มันมีความหมายมากกว่า แค่แบ่งกลุ่มร้องเพลง

โดยปกติแล้ว การเรียนในสถาบันทั่วไป ก็คือ เรียนจบก็สะบัดตูดแล้วจากไป แต่ที่ธรรมศาสตร์เขาต้องการให้ ผู้เรียนรู้สึกว่า นี่คือสถาบันที่ตัวเองเป็นส่วนหนึ่ง (ตรงนี้มหาวิทยาลัยที่เข้ายากๆ ทุกแห่ง ก็พยายามทำ ..อย่างของต่างประเทศ Harvard หรือตัวย่อ HBS นี่ก็ “ตักสิลา ของธุรกิจเลย” …นี่ยิ่งบ้าสถาบันเข้าไปอีก และจะว่าไปแล้ว ไอ้ Facebook เองนี่ ก็มีจุดเริ่มต้น หรือ รากฐานความคิด มาจาก Harvard นั่นเอง)

ผมว่าหลายๆคนคงได้ดู หรือไม่ก็อ่านหนังสือเกี่ยวกับ Social Network มาบ้าง ..อย่าง มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ค จริงๆไม่ใช่ บิดาของ Social Network อะไรหรอก ..ไอ้ Social Network จริงๆ มันก็คือ รากฐานของสถาบันการศึกษาที่เราเรียกว่า สมาคมศิษย์เก่า ที่ตั้งมาเป็นร้อยๆปีแล้ว เพียงแต่ Facebook มันเป็นการพัฒนาโครงสร้างการติดต่อ ที่วางอยู่บน Internet ซึ่งทำได้ดีกว่า Social Network บน Internet อื่นๆ เช่น Hi5 , Myspace …ก็เลยดังสุดๆ

“บางครั้งคุณไม่จำเป็นต้องเป็นผู้สร้าง เพียงแค่เลียนแบบเขา แต่ทำได้ดีกว่า ใช้ง่ายกว่า ก็สามารถรวยได้ -- นี่แหละที่ Facebook ทำ”

เอาล่ะ หลายคนอ่านถึงตรงนี้ อาจเริ่ม งง ว่า ผมเล่าจาก Facebook สร้าง Group ขึ้นมา แล้วก็เล่าที่มาของ โครงสร้างแนวคิดของ Social Network จากนั้นก็โยงกลับมาที่ Facebook … “นี่แหละ ผมว่า หลายๆคนคงเริ่มเห็นภาพที่ผมพยายามจะสื่อแล้ว”

โครงสร้างของ Social Media จริงๆแล้ว ก็คือ โครงสร้างของ การรวมกลุ่มแบบ Exclusivity คล้ายๆสมาคมศิษย์เก่าของที่ต่างๆ เพียงแต่การวาง Platform ในการติดต่อสื่อสารกันของ Facebook มันวางอยู่บน Internet เลยทำให้การติดต่อสื่อสารกันของสมาชิก มันง่ายและประหยัดกว่า การส่งจดหมายแบบเดิมๆที่สมาคมเหล่านี้ใช้อยู่

“คุณกรณ์ สารภาพลงไปใน Facebook ของเขาเลยว่า เขาชอบ Facebook มาก เพราะมันทำให้เขาสามารถติดต่อกับประชาชนได้ง่าย แถมไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย (แต่เท่าที่ดู แกไปจ้างดารามาแสดง วนิดา อะไรของแก ก็คงเสียเงินไม่น้อย ..ไม่เสียยังไงเนี่ย) ..แหะ ๆ ๆ ก็อย่างที่แก บอกแหละครับ คือ ถ้าคุณ กรณ์ต้องการสร้าง Impact อย่างที่เขาทำได้โดนผ่าน Facebook หากต้องใช้สื่ออื่นในการติดต่อ เช่น ผ่านทีวี , วิทยุ หรือ สิ่งพิมพ์ คงต้องใช้งบประมาณมหาศาลเลยทีเดียว”

….หากใครจะให้คำนิยามของ Social Media อย่าง Facebook ผมว่าเราต้อง นิยามมันว่า “Leverage Communication Tool for Small Guy!!”

อ่ะจ๊าก!! ขออีกรอบ “Leverage Communication Tool for Small Guy!!” แปลว่าไรฟะ …หุ หุ หุ ก็แปลว่า สมัยก่อน คนตัวเล็กๆ ไม่ได้มีอำนาจในการติดต่อสื่อสารกับคนจำนวนมากๆได้ แต่ไอ้ Facebook ทำให้ คนตัวเล็กๆที่ไม่มีสิทธิมีเสียบง แมลงหวี่ แมลงวัน อย่างผม สามารถใช้ Facebook ส่วนตัวของผม ติดต่อกับนักลงทุนได้เป็นหมื่นๆคนในคราวเดียว “พระเจ้าจอร์จมันยอดมาก”

--- ถ้ามองให้ดี ไอ้ที่นิยายหลายเรื่องเคยพูดไว้เกี่ยวกับ One Man Media “คนๆเดียว สู้กับ ไทยรัฐ หรือ สู้กับช่อง 3 ..ผมว่าสิ่งนั่นมันกำลังจะเกิดขึ้น”

เรื่องของ Leverage ในแง่ของนักลงทุน ก็คือ คุณใช้เงินจำนวนที่น้อยกว่า แล้ว Bet กับเงินจำนวนที่มากกว่า โดยใช้เครื่องมือทางการเงินอย่าง Futures หรือ Options ..แต่ในโลกแห่งการสื่อสาร คุณสามารถใช้เงินที่น้อยกว่า แต่สามารถเข้าถึงคนที่มากกว่า มันก็คือ Leverage ทาง Communition นั่นเอง “สุดโข้ย มัก มัก”

และ อานิสงค์ จาก Facebook เด็กธรรมศาสตร์ กลุ่ม กอ ไก่ ก็เลยสามารถมาเจอกันอีกครั้ง หลังจากแตกกระจายกันไปนาน “นี่แหละพลังของ Facebook”

(ติดตามตอนต่อไป …ฮ่า)

วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

วาทะ นายจิน ลี่ฉวิน “ผู้กุมชะตากองทุนจีน ที่อเมริกายังเกรงกลัว” (เท่ห์อ่ะ!!) ตอนที่ 2

(เนื้อหา ต่อมาจาก "ตอนที่ 1")

ประการที่ 2 : ประสบการณ์และความท้าทายของประเทศจีน ในมุมมองการพัฒนาเศรษฐกิจ

30 ปีที่ผ่าน จีนมีการเติบโตของเศรษฐกิจ อย่างต่อเนื่อง และแข็งแกร่งสุดๆ -- “ผมไม่ได้เว่อร์!!” การเติบโตในอัตราเร่งของจีน กระตุ้นต่อมความสนใจของทั่วโลก ทั้งนี้สาเหตุหลักๆของการเติบโตก็มีรากฐานมาจาก

1. ความมั่นคงทางการเมือง (เผด็จการทุนนิยม Combination ที่ดีในยุค ความผันผวนอย่างปัจจุบัน จีน, สิงคโปร์ , รัสเซีย …จุดประเด็นทางความคิดในด้านการเมืองอย่างน่าสนใจยิ่ง)
2. การมุ่งเน้นการ เอาคน เป็นศูนย์กลางและเป้าหมายของนโยบาย เป็นสิ่งที่ทำให้เราเติบโตจากการพัฒนาที่แท้จริง
3. “การพัฒนาเศรษฐกิจ” คือ นโยบายศูนย์กลางของการพัฒนาในทุกๆด้านที่ตามมาของจีน
4. รัฐบาลเป็นผู้คุมนโยบาย ก่อให้เกิดการพัฒนาที่สามารถควบคุมได้ (ห่างไกลความผันผวน)
5. จีนเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก อีกทั้งเป็นประชากรที่ทำงานหนัก
6. จีนเป็นศูนย์กลางของแรงดึงดูด จากทุนทั่วโลก ที่เข้ามาหาโอกาสจากตลาดการบริโภคภายใน ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
7. จีนสามารถคง อัตราการออมและการลงทุน ในระดับที่สูง ไปอย่างควบคู่กัน
8. เราให้ความสำคัญกับการเมืองและสิ่งแวดล้อมในระดับโลก

คำถามที่ผมเจอบ่อยที่สุด ก็คือ “จีนจะสามารถรักษาการเติบโตในระดับนี้ ในระยะยาวได้หรือไม่”
เอาอย่างนี้ ผมจะตอบด้วยนโยบายที่เราได้วางไว้ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งก็คือ “The 12th Five Year Plan” มันเป็นการแผนการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยทั้ง ปัจจัยภายนอกและภายใน

ยุคก่อนวิกฤตเศรษฐกิจ การเติบโตของเศรษฐกิจโลก จะโตแบบวัฎจักรสามเหลี่ยม “Triangle Cycle” (นั่นก็คือ นโยบาย นำด้วยส่งออกของประเทศเอเชียตะวันออก , การบริโภคในอัตราสูงของยุโรปและอเมริกา และก็ การส่งออกทรัพยากรธรรมชาติจากประเทศที่เหลือ “สามขาของการพัฒนาเศรษฐกิจโลก”)

สิ่งที่วิกฤตคราวนี้ทำก็คือ การทำลาย “สามขาของการพัฒนาเศรษฐกิจโลก” บังคับให้ประเทศจีน ต้องบริโภคมากขึ้น โดยการเร่งสร้างชุมชนเมือง ขยายอุตสาหกรรมภาคบริการ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อขยาย ตลาดบริโภคภายในประเทศนั่นเอง

“แล้วจีนจะทำอย่างไร !!” อย่างแรก จีนจะต้องเปลี่ยนโครงสร้าง จากการเน้นส่งออก ให้เป็น เน้นการลงทุนมากขึ้น (โดยเฉพาะ โครงสร้างพื้นฐาน infrastructure ภายใต้นโยบายที่เรียกว่า “troika”) อย่างที่สอง เราต้องสร้างอุตสาหกรรมที่มี Value Added ทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น อย่างเช่น อุตสาหกรรมภาคบริการ (Service Industry) และอย่างที่สาม เราจะเริ่มเปลี่ยนจากการพึ่งพึง การผลิตแบบ Mass หรือ Economic of Scale เปลี่ยนมาเป็น การผลิตที่พึ่งพึงนวัตกรรม Innovation และฐานความรู้ เพื่อพัฒนาโครงสร้างอุตสากรรมของจีนให้ ยกระดับความสามารถสู่ Knowledge Industry ที่กำไรและ Margin มหาศาล!!

ทั้งนี้ต้องพัฒนาไปควบคู่กับ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของคน อย่างแรก คือ การเร่งขยายกลุ่มชนชั้นกลาง เพื่อให้เป็นกำลังซื้อหลักของเศรษฐกิจ อย่างที่สอง การเร่งขยาย “เมือง” เพราะ ชุมชนเมืองเป็นหัวใจของการสร้างงาน และการบริโภค รวมทั้งโครงสร้างของ “กำลังซื้อ” ที่จะเติบโตตามอย่างมหาศาล ซึ่ง การสร้าง “เมืองสมัยใหม่” จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถของคน ด้วยการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และสภาพแวดล้อมของการ เร่งพัฒนาคุณภาพชีวิต ไปพร้อมๆกับ การเติบโตของเมืองนั่นเอง ….สุดท้าย สิ่งที่ขาดไม่ได้ ก็คือ “เครื่องวัดผลทางความสำเร็จ” ที่ต้องเป็นมากกว่า GDP เพราะมันควรจะต้องสามารถ วัดคุณภาพในเชิงลึก ถึงสภาพความเป็นอยู่ รวมทั้งคุณภาพชีวิต และจิตใจของคน ไม่ใช่เฉพาะตัวเงิน

ประการที่ 3 : การกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือในกลุ่มประเทศเอเชียด้วยกัน
ในขณะที่ Globalization เชื่อมโยงโลกให้เล็กลง ..ประเทศในเอเชีย ก็สร้างความร่วมมือกัน ทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งในลักษณะของการรวมกลุ่มทั้งภูมิภาค อย่าง ASEAN ที่สร้าง AEC (Asean Economic Community) , ASEAN 10+3 , 10+1 , East Asian Summit หรือ อย่างการเชื่อมโยงทางการเงินภายใต้ Chiang Mai Initiative

ความร่วมมือเหล่านี้ ส่งเสริมการเจริญเติบโตของ ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย ให้โตในอัตรา 7.7% และ 6.9% ในปี 2008 และ 2009 (ตั้งแต่กลางปี 2009 เราได้เห็นการฟื้นตัวในภาคการส่งออก ซึ่งได้อานิสงค์หลักๆ จากความร่วมมือทางการค้าของอาเซียนนี่เอง) และต้นปี 2010 ที่ผ่านมา จีนกับ ASEAN 10 ก็บรรลุข้อตกลง ในเรื่องของการขจัดกำแพงภาษีระหว่างกัน ให้เป็นศูนย์…ตัวเลขการค้าของจีนกับ ASEAN โตขึ้น 58% มาเป็น $100 billion ภายในระยะเวลาแค่หนึ่งปี

ระหว่างจีนกับไทย ใน 10 เดือนที่ผ่านมา การส่งออกของไทยไปจีน โตขึ้น 38.2% แตะ $17.39 billion (ซึ่งจีนมีสัดส่วนถึง 10.58% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทยไปทั่วโลก ซึ่งถือเป็นตลาดส่งออก อันดับหนึ่งของไทยเลยทีเดียว) ในด้านการนำเข้า ไทยซื้อสินค้าจากจีน $19.75 billion เพิ่มขึ้น 45% จากปีที่ผ่านมา (ซึ่งถือว่าจีนเป็น ประเทศที่ไทยซื้อของด้วยมากที่สุดเป็นอันดับสองรองจากญี่ปุ่น)

การลงทุนโดยตรงจากจีนในปี 2009 มีมูลค่า $1 billion และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ..ในส่วนของคนไทยที่ไปลงทุนในจีน มีมูลค่า $3.25 billion (อย่างเช่น กลุ่มเจีย ไต๋ (CP) เป็นต้น) ..ในส่วนของความร่วมมือทางการค้า ประเทศไทยได้ทำ Trade Agreements เรื่อยมา ตั้งแต่ปี 1978

ปัจจุบัน เอเชีย ทำหน้าที่เป็นแรงงาน (ราคาถูก) ของโลก ซึ่งวิกฤตที่ผ่านมา ได้กระทบกับ Model “การส่งออกราคาถูก” อันนี้โดยตรง ซึ่งแน่นอน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ปัญหาจะหมดไปในเร็ววัน

ก้าวสำคัญของ CIC (China Investment Corporation) ก็คือ การเข้าไปสร้างเครือข่ายการลงทุนโดย ยึด Hong Kong เป็นฐาน (ซึ่งที่รู้ๆกันว่า ฮ่องกงนับเป็นศูนย์กลางในการเงินที่สำคัญของโลก) ดังนั้น จากนี้ไป บทบาทของ CIC จะทวีความสำคัญในการลงทุนใน Asset ต่างๆ ที่เป็นหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจและ ผลตอบแทนการลงทุนในระยะยาว

ครั้งนี้เราจะสอนอเมริกาให้รู้ว่า การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน มันเป็นอย่างไร!!


ฮึม!! นี่คือ วาทะคร่าวๆ ที่สกัดมาจาก Mr.Jin Liqun (จิน ลี่ฉวิน) ผู้ที่กุมชะตาของ CIC หนึ่งในกองทุน ระหว่างประเทศที่ใหญ่ และมีอิทธิพลมากที่สุด กองทุนหนึ่งในเอเชีย หรือจะเรียกว่า ระดับโลกก็ว่าได้

“การเดินเกมของจีนในครั้งนี้ไม่ธรรมดา เพราะมันเป็นการวางแผนอย่างแยบยล ตั้งแต่ระดับบนลงล่าง ด้วยมันสมองของผู้นำจีน ที่ได้รับการศึกษาจากตะวันตก ที่เต้งเสี่ยวผิง วางรากฐาน ก่อนที่ประเทศจะก้าวมาคุมอำนาจทางเศรษฐกิจของเอเชีย ผ่านนโยบายของ “ทุนนิยมเผด็จการ”

ข้อเสียอย่างนึงของจีน คือ "กำกวม แต่ชัดเจนในแนวทาง" ไม่ว่าคุณจะถามใครในรัฐบาล เขาจะตอบเป็นเสียงเดียวกัน “เหมือนกับท่องมา”

ดังนั้น หากจะทำความเข้าใจ คุณต้องอ่านเกมให้ขาดเอง!!

..แต่อย่างน้อยการพูดของนายจินในครั้งนี้ ก็แฝงมุมมองที่ลึกซึ้ง และ บอกเป็นนัยว่า The China Bullish!!รอบนี้

“โลกจะมองข้าม มหาอำนาจลูกใหม่ทางเศรษฐกิจ ไม่ได้อีกต่อไป เพราะการพุ่งของเศรษฐกิจในคราวนี้ของจีน มันของจริง ไม่ใช่ขึ้นด้วยลมอย่างอเมริกา ..หุ หุ !!”

วาทะ นายจิน ลี่ฉวิน “ผู้กุมชะตากองทุนจีน ที่อเมริกายังเกรงกลัว” (เท่ห์อ่ะ!!) ตอนที่ 1



บทความนี้เป็นการ สกัดวาทะของ นาย จิน ลี่ฉวิน (ผู้จัดการกองทุนระหว่างประเทศที่ใหญ่สุดขีด CIC) “คนผู้นี้อเมริกายังหนาว.. ธนาคารกรุงเทพเลยไปเชิญ นาย จิน มาเป็นองค์ปาฐก ในงานรำลึก คุณ ชิน โสภณพณิช ในปี 2553 นี้ ลองอ่านดู ผมเผอิญ อยู่ในทีมผู้จัดงานของ ดร.สาธิต (ที่ปรึกษาของท่านประธานธนาคารกรุงเทพ “คุณ ชาตรี”) เอาเป็นว่า เขาพูดภาษาอังกฤษ แต่ผมเลยแปลเป็นภาษาไทย “จัดให้!!” อาจจะงงๆ (เพราะนายจิน นี่พูดภาษายากว่ะ..หุ หุ) แต่มันแฝงคำคม และมุมมองที่ไม่ธรรมดาของ หนึ่งในผู้นำระดับสูงของจีน ที่น้อยครั้งจะมาเยือนประเทศ (เล็ก กระจิ๊ด!! อย่างไทย)

“มิติแห่งความก้าวหน้าของจีน กับความมุ่งมั่น แบ่งปันความมั่งคั่งสู่ประเทศในภาคพื้นเอเชีย”
โดย Mr.Jin Liqun (จิน ลี่ฉวิน)

(เกริ่นเกี่ยวกับ องค์ปาฐก “จิน ลี่ฉิน” ตำแหน่ง : Chairman of China Investment Corporation – “CIC “ ถือเป็นหนึ่งใน SWF (Sovereign wealth funds) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก “ดูอันดับความใหญ่ จากภาพที่แนบมา”



…ซึ่งความสำคัญของ SWF ก็คือกองทุนที่ประเทศต่างๆตั้งขึ้นมาเพื่อเข้าไปซื้อ Asset เพื่อมุ่งหวัง Capital Gain ในระยะยาว รวมทั้งการวางแผนที่จะ Acquire Strategic Asset ที่สำคัญต่อการเจริญโตอย่างยั่งยืน ของประเทศนั้นๆ เช่น การเข้าไป Secure แหล่งวัตถุดิบในการผลิต ทั้งนี้ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการถือครอง “กระดาษสีเขียวๆที่ ลดมูลค่าในอัตราเร่ง …US Dollar นั่นเอง”

-----ตัวอย่างของ SWF ที่สำคัญของโลกก็มาจากประเทศที่สามารถค้าขายได้เกินดุลและ สร้างเงินสะสมในรูปของ Exchange Reserve เช่น Middle east , จีน , สิงคโปร์ และประเทศต่างๆนั่นเอง)

.. “เป็นโชคดีของธนาคารกรุงเทพและลูกค้าของธนาคาร ที่จะได้ฟัง มุมมองและแนวคิดจากปากของ หนึ่งใน ผู้ที่มีอำนาจทางการเงิน “ของจริง” ซึ่งความสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจโลกและเอเชีย ไม่ได้ด้อยไปกว่า นักการเงินคนใดในโลก ไม่ว่าเป็น Ben Bernanke, Alan Greenspan , จอร์ส โซรอส

..เรามาฟังมุมมองของ คุณ จินกันได้แล้ว ------ ณ บัดนี้”

ท่านผู้มีเกียรติ

“ผมมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติมาเป็น Speaker ในงานปาฐกถา “รำลึก คุณ ชิน โสภณพนิช” ในวันนี้ เรื่องมุมมองของ โอกาสและความท้าทายของเอเชียท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

งานปาฐกถานี้คือเป็นประเพณีปฏิบัติ เพื่อเป็นเกียรติต่อ (ธนราชันย์) “คุณ ชิน” ในการสืบทอดและ ชี้ประเด็น เรื่องราวสำคัญทางเศรษฐกิจ และ ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เรื่อยมานับเป็นเวลากว่าสิบปี โดยเวทีแห่งนี้ได้ นำผู้ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ ที่ผลัดกันมาถ่ายทอดมุมมอง เรื่องราวและความเป็นไปของเศรษฐกิจทั้วโลก

--- “ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง!!”

…เช็กสเปียร์ กล่าวว่า “บางคนเกิดมาพร้อมกับความยิ่งใหญ่ , บางคนสร้างและบรรลุความยิ่งใหญ่ และบางคนมีความกระหายหิวต่อความยิ่งใหญ่” อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้มีทั้งสามอย่าง แต่เรามุ่งมั่นที่จะสร้างความยิ่งใหญ่จากการทำงานหนักต่างหาก และนี่คือสิ่งที่ผมอยากจะมาแชร์ในวันนี้ครับ

เรื่องราวของความสำเร็จของจีนในวันนี้และก้าวต่อไปที่สำคัญ เริ่มมาจากมุมมอง และการวางรากฐาน ของการ ดำเนินนโยบาย อย่างมีแบบแผน โดยอาศัย แม่แบบและแนวคิด ที่เราจะมาเล่าให้ฟังในวันนี้ โดยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนใหญ่ๆ ของการพัฒนา ดังนี้
ประการที่ 1 : “ก่อนอื่น เรามาย้อนดูเรื่องราวของ Financial Crisis และ การแก้ปัญหาทั้งในมุมมองต่างๆ”

ตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมา วิกฤตเศรษฐกิจจะเกิดทุกๆ 2-3 ปี …ในช่วงปี 1990 – 2000 เราได้เห็นวิกฤตที่วนเวียนตั้งแต่ประเทศ เม็กซิโก , เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (South east Asia) , รัสเซีย , อเมริกาใต้ และวิกฤตตุรกี …จะเห็นได้ว่าวิกฤตได้หมุนเวียนอยู่ แต่ในประเทศกำลังพัฒนา (Developing Countries) และ ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) – “ทำให้ภาพหลอนของวิกฤต มันเป็นเสมือนตราบาป ที่เกิดวนเวียน อยู่ในประเทศด้อยพัฒนา และ กำลังพัฒนาเท่านั้น”

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ “วิกฤต Subprime มันไม่ได้เกิดจากพวกเรา หากแต่มันก่อตัวจากอเมริกา (ประเทศที่ได้ชื่อว่า มหาอำนาจแห่งทุนนิยม) ข้อสังเกตที่น่าสนใจของวิกฤตครั้งนี้ มันกลับกระจาย และสร้างรัศมีทำลายล้าง ในวงกว้างไปทั่วโลก กระทบทั้งตลาดเงินไปจนตลาดทุน ตอนนี้จะเห็นได้ว่าวิกฤตดังกล่าว มันได้ลามไปสู่ยุโรป…และจุดนี้มันชี้ให้เห็นว่า ไม่มีใครสามารถรอดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจ ตราบใดที่เรายังคงอยู่ภายใต้ระบบทุนนิยม

ก่อนที่เราจะเข้าสู่ยุคแห่ง “วิกฤตเศรษฐกิจ” โลกเราอยู่ในสถานะของ Win-Win “คือต่างคนต่างได้” ซึ่งความเสียหายคือมันได้ทำให้ทุกคนชะล่าใจ !!

วิกฤต Subprime กระหน่ำโลกโดยที่ไม่มีใครตั้งตัว..หลายคนกล่าวว่า วิกฤตคราวนี้ จะทำให้โลกเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ประเทศพัฒนาโดนกระหน่ำด้วยวิกฤต ที่ยากจะแก้ไข .. “การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ไม่สามารถ แก้ปัญหาเรื่องคนตกงาน” “ปัญหาความขัดแย้งในเรื่องสันติภาพกับประเทศใน Middle East” “ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำของยุโรป และประเด็นหนี้ต่างประเทศเรื้อรังของอเมริกา”

แน่นอน ภาพทั้งหมด สื่อถึงความเสี่อมถอยของประเทศตะวันตก (การแก้ปัญหา มันคือการรื้อถอนรากฐานทางความคิด ในเชิงโครงสร้างและแนวคิดดั้งเดิม ที่มีต่อ การกีดกันทางการค้า ปัญหาในเชิงนโยบาย รวมทั้ง การส่งต่อปัญหา “อย่างเช่นอเมริกา ที่สร้างอุตสาหกรรมใหม่ ..นั่นคือ อุตสาหกรรมส่งออกเงินเฟ้อไปทั่วโลก”)

จากการคาดการณ์ของ IMF และ World Bank ..GDP ของประเทศ OECD จะขยายตัวประมาณ 2.8% ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาจะขยายตัวประมาณ 5% และ ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย จะขยายตัวมากถึง 8.7% ..ภาพที่เกิดขึ้น ก็คือการเปลี่ยนแปลงที่เคลื่อนย้ายความเจริญ จากโลกตะวันตกสู่โลกตะวันออก โดยเฉพาะเอเชียนั่นเอง

กำลังซื้อของประชากร (Purchasing Power Parity “PPP”) เทียบกับทั้งโลก ประเทศ OECD จะหดตัวลงจาก 60% ของโลก ในปี 2000 ไปเหลือ 51% ของโลกในปี 2011 และจะหดตัวไปถึง 43% ในปี 2030 และนี่คือ “The Rising of the East & Asia” นั่นเอง

จากเศรษฐกิจของประเทศในโลกตะวันออกที่แข็งแกร่งขึ้น จะเพิ่มบทบาททั้งในเชิงการเมืองและความสำคัญในด้านต่าง “เราจะเสียงดังขึ้น!!”

…จากการประชุม G20 ที่ Copenhagen เกี่ยวกับ Climate Change ที่ประเทศกำลังพัฒนาไม่ได้ถูกให้เข้าร่วมในเชิงสิ่งแวดล้อม กำลังจะเปลี่ยนบทบาทไป เพราะในอนาคตการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลก กับประเทศกำลังพัฒนา มันเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้!!

อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่ลืมว่า พื้นฐานหลักของเอเชีย ยังพึ่งพึงอยู่กับอุตสาหกรรมยุคหิน (พึ่งพิงแรงงานราคาถูก และ สร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงเศรษฐกิจน้อยมาก) ในอีกมุมหนึ่งมันก็เป็นโอกาสที่ประเทศในเอเชีย สามารถพัฒนาอุตสาหกรรมจาก Low-end ไปเป็น High-End ที่สร้างมูลค่าเพิ่มจากนวัตกรรม และ Value Added industry ที่สร้างผลกำไร และการเติบโตอย่างมหาศาล

ย้อนดูปัญหาเศรษฐกิจ ผมมองว่า รากฐานของปัญหา มันก่อกำเนิดจาก Macroeconomic “นโยบายมหภาคที่ไร้การควบคุม” (จากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย เช่น ดอกเบี้ยสุดต่ำ ก่อ Bubble ในภาคอสังหา อย่างยาวนาน , นโยบายการคลังที่ขาดดุล รัฐบาลจ่ายเกินตัว , หนี้สาธารณะ , ระบบประกันสังคม Social Security แบบแซร์ลูกโซ่ ) --- ทุกนโยบายเหล่านี้ ล้วนเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดวิกฤตในครั้งนี้

ทฤษฎีที่มา ของนโยบาย เริ่มมาจาก “The Great Moderation Theory” ..จุดเริ่มต้น มันมาจากการวิจัยเศรษฐกิจในช่วง 1980 -1990 ที่ประเทศตะวันตกสามารถสร้างให้เศรษฐกิจ เติบโตในระดับสูง ในขณะนี้อัตราเงินเฟ้อต่ำมาก รวมทั้งลดความผันผวนของวิกฤตเศรษฐกิจ

(ถ้ามองในภาพรวมในช่วง 20 ปีที่ผ่าน วิกฤตเศรษฐกิจเกิดทั้งหมด 43 ครั้ง ในเวลาเพียงยี่สิบปี และเกิดวนไปเวียนมาในประเทศกำลังพัฒนาและประเทศเกิดใหม่เท่านั้น) ..แต่ภัยเงิียบที่ก่อตัว มันทำให้ประเทศตะวันตก หลงระเริงกับการเติบโตของเศรษฐกิจลวงๆ ที่แฝงด้วยระเบิดเวลา ..จนในที่สุดในปี 2008 ระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจของประเทศตะวันตก ก็ประทุพร้อมกัน --“และนี่เป็นสิ่งที่ชี้ให้เราเห็นว่า สิ่งที่เขาคิดว่าเยี่ยมยอด แท้จริงแล้ว มันมิได้เป็นเช่นนั้นเลย”

นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลอย่าง Paul Krugman ได้กล่าวในงาน Lecture ที่ London School of Economics ในเดือนมิถุนายนว่า “ภาพของ Macroecomonics ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา มันเป็นเศรษฐกิจดี ที่แฝงภัยเงียบ (ภัยที่ร้ายกว่าสิ่งที่มันลบภาพความดี อย่างไม่เหลือหลอ)” หรือ อย่างบรรณาธิการของ The Economist ได้กล่าวเกี่ยวกับ วิกฤตครั้งนี้ว่า “มันได้ลบความความดีทั้งหมดในช่วงที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู ไปอย่างสิ้นเชิง”

จาก Report ของ UN 2008 “Trade and Development Report” ได้กล่าวถึงนโยบายของ Neo-liberalism (นโยบายมหภาคที่เป็นรากฐานของการเติบโต ตลอดช่วง 30 ปีที่ผ่านมาของโลกตะวันตก) มันเป็นนโยบายที่ผ่อนคลายให้หาเงินได้ง่าย แต่ไม่ได้นำไปใช้ในเชิงการผลิต หากแต่เงินเหล่านี้ ได้ไหลเข้าเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ และการบริโภคที่เกินกว่าความสามารถในการหาได้ของประชากร ..ในขณะที่โลกตะวันตก ส่งเสริมการเก็งกำไรและการบริโภคแบบสุดโต่ง แต่ประเทศเอเชีย ก็ได้รัดเข็มขัด และพัฒนาอย่างระมัดระวัง สืบเนื่องมากจาก วิกฤตต้มยำกุ้งในปี 1997

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เอเชียโตอย่างระวัง และสร้างความแข็งแกร่งในเชิงโครงสร้าง ทั้งในภาครัฐ เช่น การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของเงิน Foreign Reserves และในส่วนของเอกชน ที่ค่อยๆขยายจากฐานของตัวเองอย่างระมัดระวัง

ตัวอย่างการขยายตัวในช่วงที่ผ่านมาของประเทศตะวันตก ที่สร้างจากการเก็งกำไร ก็เช่น ประเทศ Iceland ที่เงินทุนสามารถหาได้ง่ายและถูก มันเท่ากับเชื้อไฟอย่างที่ทำให้เศรษฐกิจของ Iceland เกิด Bubble และจบลงอย่างเละเทะ

ความเชื่อของโลกตะวันตกเกี่ยวกับ “Invisible Hand” ผมว่ามันเป็นความสุดโต่ง ที่ไม่สะท้อนความเป็นจริง เพราะกฏไกตลาดที่แท้จริง ที่ปล่อยให้ตลาดควบคุมตัวของมันเอง แทนที่จะเป็นการป้องกันความเสี่ยง มันกลับเป็นตัวเร่งให้เกิดวิกฤต

( อ่านต่อ ตอน 2 … “มันยาวจริงๆฮะ” )

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ