แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

แกะรอยรอบ Social Network (แฉตัวเอง!!) ตอนที่ 3

(เนื้อหาต่อมาจากตอนที่ 2)



วงการดาราและบันเทิง ผมว่า Twitter นี่ค่อนข้างจะ work เพราะหากคุณเดินไปตามแผงหนังสือ ไอ้หนังสือ Gossip ดารานี่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า นั่นแปลว่า มีคนจำนวนมากมายที่อยากรู้การเคลื่อนไหว ทุกฝีก้าวของดาราที่ตัวเองชื่นชอบ ว่าทำอะไรอยู่

“ตอนนี้ผมตื่นขึ้นมา ก็ Twitter ลงมาบอก” .. “จากนั้นผมเริ่มแรงฟัน อุ๊..แปรงสีฟันตกส้วม” …. “ในที่สุดผมก็หย่อนก้นลงโถส้วม เพราะปวดมาก!! ทับไปบนแปรงสีฟัน” (ดาราคนนี้เริ่ม Twit ถี่ขึ้นเรื่อยๆ) … “เฮ้ย!! ดันอึใส่แปลงสีฟันยังไม่ได้หยิบขึ้นมาเลย” …. “เอาวะ ชักโครก ทิ้งแปรงไปเลยละกัน เหม็น” …. ระหว่างที่ดาราคนนี้ Twit ก็เริ่มมี Fan Club “ล็อคออน” เข้ามาอ่าน กันอย่างหนาแน่น … “ซวยแล้ว!! ซักโครกไม่ลง” --- เอาล่ะนี่แหละที่เราสามารถได้จาก Twitter คือเจาะลึกสั้นๆ แต่สาระน้อย

ในส่วนของสาระที่ Twitter สามารถให้ได้ ก็น่าจะเป็นวงการข่าว เช่น นักข่าว Twit สั้นๆ เกาะติดสถานการณ์ ประเด็นนี้ คุณ สุทธิชัย หยุ่น อ่านขาด จึงให้นักข่าวของ Nation ทุกคนมี Twitter แล้วก็ให้แต่ละคน Twit ข้อความสั้นๆ เกาะติดข่าวร้อน เหตุการณ์ร้อน …นอกจากนี้ ถ้าถามว่า คนเล่น Twitter เมืองไทยจะได้สาระอื่นๆมันท่าทางจะไม่ค่อยมีแล้ว สำหรับด้านสว่าง แต่ในด้านมืด แม้แต่วงการหุ้นก็เอามาใช้ ในการปั่นหุ้นได้ง่ายๆ เช่น Post หุ้นร้อนสำหรับวง Twit ที่จำกัด โดยคิดค่าสมาชิก แล้วบอกหุ้นร้อน

ย้อนกลับมาที่กลุ่มคนเล่น Facebook กับ คนที่เล่น Twitter ในเมืองไทย ในเวลานี้ (ปี 2011) ผมเชื่อว่าตอนนี้ยังจำกัดอยู่ในช่วงอายุของคนทำงานตอนต้นลงมา ซึ่งถ้าพูดในแง่กำลังซื้อ ณ เวลานี้ ยังไม่ใช่กลุ่มที่มีกำลังซื้อหลักของประเทศ ..อย่างไรก็ตาม คนกลุ่มนี้ผมมองว่า Major Group เล่นอยู่กับกลุ่มนี้ได้ดี ตั้งแต่ โรงหนังยันคอนโดสำหรับคนเริ่มทำงาน

การขยายตัวของ Social Network ในเมืองไทย ยังต้องรอฐานการศึกษาทางด้าน IT เป็นหลัก ปัจจุบันกลุ่มคนที่มีเงินจริงๆ มีกำลังซื้อในบ้านเรา ก็คือ Baby Boomer และก็ Gen X แต่ปัญหาคือ ทั้งสองกลุ่มนี้จะไม่ชอบใช้ IT อย่างแรง… แต่พักหลังๆมานี้ Gen X ก็โดดเข้ามาเล่นอุปกรณ์ IT มากขึ้น อันนี้ต้องขอบคุณ Steve Jobs เลยที่ทำให้ IT เป็นเรื่องง่ายสำหรับคนที่ไม่ได้เติบโตมากับอุปกรณ์เหล่านี้ ทำให้ถ้าดูจริงๆ อนาคตของบริษัท Apple นี่ค่อนข้างจะสดใสเอามากๆ เพราะตอนนี้ก็เปิดตัว iphone ไม่รู้กี่รุ่น กินตลาด Smart Phone เข้ามาตั้งเยอะแล้ว ทำเอาผู้นำตลาดอย่าง Blackberry , Samsung และ HTC เหงื่อแตกกันไปตามๆกัน

ดังนั้น หากเรารู้ว่ากลุ่มที่เข้ามาเล่น Social Network คือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา และเป็นกลุ่มอนาคตของประเทศ (ใช่!! หลักๆของคนกลุ่มนี้ ก็คือ Gen Y นั่นเอง) …การทำตลาดบน Social Network ในเมืองไทย ผมขอฝันธงเลยว่า “ไม่สามารถทำเงินได้ทันที เหมือนอย่างที่อเมริกาทำ เพราะอเมริกา ตลาด Online และกำลังซื้อได้พัฒนาไปอีก Level นึงแล้ว ..จึงไม่แปลกที่อเมริกาทำเงินได้อย่างมหาศาลจาก Social Network ในขณะที่เมืองไทยทำไม่ได้”

การสร้าง Business บน Social Network ของเมืองไทย ต้องมองระยะยาวเท่านั้น หรือ ไม่ก็ใช้ต่อยอดจากกิจการที่มีฐานการทำรายได้อยู่แล้ว … ประเด็นการต่อยอดจากธุรกิจ มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะช่องว่างตรงนี้ ในอเมริกาเขาถือเป็นอาชีพที่เงินเดือนดีเลยทีเดียว

ถึงจุดนี้หลายคน อาจจะยัง งง ว่าแล้ว Social Media ที่ตั้งอยู่บน Model ของ “เรื่องไร้สาระ เป็นส่วนใหญ่ จะทำเงินได้อย่างไร”

ในเมืองไทย มีธุรกิจมากมายที่เริ่มเข้ามาทำตลาดบน Social Network …ผมยกตัวอย่างของธุรกิจ ธนาคารก่อน เช่น ยกเอาส่วนที่ทำตลาดได้ง่ายมาไว้บน Online อย่างพวก Credit Card เอาของสมนาคุณ ลด แลก แจก แถม เก็บ Point …พูดง่ายคือ ยกเอาลูกค้าที่ Royalty กับตราสินค้าของเรา เข้ามารวมกลุ่ม ภายใต้ Facebook Fan Pages จากนั้น ก็สร้างกิจกรรม ให้เกิดภายใน Community ที่สร้างขึ้น … “ตรงนี้เป็นเรื่องที่บริษัทต่างๆพยายามสร้างกันอยู่ ..แต่ที่น่าสนใจกว่าคือ การต่อยอดให้ลึกซึ้งกว่านั้นควรทำอย่างไร”

“คิด คิด คิด” ….ผมยก Case ที่ทำอยู่จริงใน S2M มาให้ดูเลยจะได้เห็นภาพ ..คือ อย่าง S2M คือการรวมกลุ่มกันภายใต้ ความสนใจในเรื่องการลงทุน โดยเฉพาะการเล่นหุ้น ..ปัญหาคือ การเล่นหุ้นมันเป็นเรื่องที่ยาก แต่ในอนาคตมันเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องลงทุน ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง ..ดังนั้น ประเด็นสำคัญ คือ การให้ความรู้แก่นักลงทุนรายย่อย และนี่คือ “เป้าหมายหลักของ S2M”



เมื่อเป้าหมายเกิด ปัญหาก็ตามมา … “โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี อันนี้จริงแท้” ในช่วงแรก ที่พวกผมเข้ามาก็ ทำเอามันส์ แต่พอชุมชนขยายโตขึ้น ก็เริ่มมีการทำหนังสือ มีการทำสัมมนา ค่าใช้จ่ายก็ตามเข้ามา เช่น Staff ทีมงานที่เข้ามาจัดการงาน Admin ต่างๆ การดูแลสมาชิก “ตรงนี้เลยไม่ได้แปลกอะไรที่ S2M ต้องเก็บค่าสมาชิกรายปี ปีละ 1,000 บาท ซึ่งจริงๆ ก็แทบไม่ได้กำไรอะไร เพราะค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมทั้งค่า Server และค่าพนักงานดูแล จริงๆเบื้องหลังมันมีเยอะมาก”

ในที่สุดก็เลย ต้องหา Business Model มา Support มันถึงจะสามารถดำเนินการต่อไปได้ “เหนื่อยจริงๆ” …เล่าให้ฟังนิดนึง ก่อนมีผมจะเข้ามา Join S2M ผมก็มีการเขียน Blog ส่วนตัวอยู่แล้ว ที่ http://pawawit.blogspot.com เป็นการถ่ายทอดความรู้ในเรื่องการลงทุน ในมุมมองของผม คือ ตอนแรกก็ทำเล่นๆ ทำไปทำมาก็มีคนเข้ามาอ่านมากขึ้นเรื่อยๆ จนมาเตะตาป๋ากิ้ง เจ้าของ S2M ก็ชวนมาเผยแพร่ความรู้ใน stock2morrow (ในส่วนของป๋ากิ้งเอง ก็สร้างชุนชมของ stock2morrow มากว่า 5 ปีแล้ว โดยมีสมาชิกเก่าแก่ และคุณหมอเก่งๆหลายๆท่าน ที่เป็นกำลังสำคัญ ในการขับเคลื่อนชุมชนมาเรื่อยๆ) --- จากนั้น ก็ค่อยๆก้าวเข้ามาเพิ่มขึ้น

ช่วงนั้นกระแสของ Social Network เพิ่งจะเริ่มแรง ผมกับป๋ากิ้ง ก็คุยกันว่าจะลองเข้ามาทำตลาดใน Social Network ดู … “ก็คิดๆอยู่ว่าจะเอา Product อะไร เป็นจุดขาย… สรุปมาลงตัวก็ ไม่ต้องมีสินค้าอะไร เอา Content หรือ เนื้อหาที่ผม Post ใน Blog นี่แหละ เอาเป็นจุดดึงดูด”

ก็เริ่มทำ Social Network โดยเปิด Facebook Pan Pages ของ “Pawawit Stock Comment” “Stock2morrow” ขึ้นมาก่อน ก็มั่วๆกันไป ในที่สุดก็เริ่มไปหา นักลงทุนเก่งเข้ามาร่วม ก็ไปเจอ อย่าง พีร์ และ ป๋าหยง ..จากนั้นก็ขยาย Fan Pages ของ “Wizard Kid” “Monkey Trade”

…ก็จริงๆ ก็นึกขำๆว่า ลองๆทำดู เอาแบบ Bakery Music เขาที่ ทำนักร้องเป็นวงๆ แล้วก็ใช้ Facebook ติดต่อกับแฟนๆ แต่ในส่วนของ S2M ก็เป็น Group แต่เป็นกลุ่มๆ ที่แบ่งตามเนื้อหาที่สนใจ ตามแนวการลงทุนแบบต่างๆ เช่น S2M จะเป็นรวมข่าวและครอบจักรวาลการลงทุน , Pawawit ก็จะมาในแนวของ การลงทุนแบบ Value Investor , Monkey Trade “ป๋าหยง” ก็มาแนว Technical แนวฉีกโลก , Wizard Kid คือตัวพีร์เขาเป็น Prop. Trade ก็จะเป็นแนว Day Trade เลย

---- “สรุปทำทั้งหมด ไม่มีใครได้เงินเลย ขำขำ เอามันส์ …แต่อย่างที่บอก พอกลุ่มมันต้องมี Full Time Staff มาช่วย Support เขาต้องกินต้องใช้ ..ทำให้นักลงทุนแบบเอามันส์อย่างพวกผม ต้องมาขบคิดกันว่าจะทำเงินอย่างไร จะได้มีเงินจ่ายน้องทีมงาน”

ผมกับป๋ากิ้ง วิ่งพล่านเลย หา Sponsor ..ก็อย่างที่รู้ๆกัน Banner Ads แทบจะเป็นทางเดียวของการอยู่รอดของ Website ในเมืองไทย ซึ่งตลาดนี้ ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ เรียกได้ว่า “ค่าโฆษณา ต่อรองกัน ยังกับซื้อของตลาดนัด”

ระหว่างนั้น เราได้ไปคุยกับ Online Agency ก็เลยต้องไปนำเสนอ ทาง Agency ก็ถามมาว่า “คุณต่างจาก Web ดังๆอย่าง Pantip หรือ Settrade อย่างไร ทำไมผมต้องโฆษณากับคุณด้วย”

“มันอยู่ที่ Target ลูกค้า อย่างของ S2M เราเก็บค่าสมาชิก มันเลยเป็นกลุ่มที่ดีกว่า”

“ดียังไงล่ะ พอเก็บค่าสมาชิก คนก็เข้าน้อยลง จะดียังไง”

“ลองนึกดูนะครับ …คนที่ยอมจ่ายหนึ่งพันบาท เพื่อเข้ามาศึกษาว่า ชุนชนแห่งนี้สามารถให้อะไรคุณ ต่างกับคนที่เข้าไปหาของฟรี อย่างมหาศาล เพราะ นิสัยของคนสองกลุ่มนี้ต่างกันราวฟ้ากับเหว --- เอาง่ายๆว่า เราแบ่งเกรดของความจริงจังในการลงทุน กับพวกที่เข้ามาดูเล่นๆ จากเงินพันบาทนี่แหละ ดังนั้น คนที่ยอมจ่ายปีละพันบาท คุณรู้แน่ๆว่าเขาเป็นนักลงทุนจริงๆ เพราะถ้าเขาไม่ได้เล่นหุ้นจะจ่ายเงินเป็นสมาชิกทำหยังอะไร จริงไหมครับ!! …ดังนั้น สมาชิกของ S2M ก็คือ นักลงทุนจริงๆ ที่มีกำลังซื้อ ….ในประเทศเรามีคนเล่นหุ้นแค่แสนคนเท่านั้น …คิดดูคนที่จะเล่นหุ้นได้ คือ คุณต้องมีเงิน นี่แหละ S2M เราจับลูกค้า Top of the cream!! ของประเทศไทยนั่นเอง ---- คุณคิดว่าคนมีกำลังซื้อของเมืองไทย ผมคัดมาให้คุณแล้ว …คุณสนใจไหมล่ะ!!”

จากวันนั้นเป็นต้นมา เราก็มีโฆษณาเข้ามามากขึ้น เป็นทั้งโฆษณา ขายบ้าน ขายคอนโด พูดง่ายๆสินค้า Hi-so ต่างๆ ก็เข้ามาโฆษณา ….แต่รายได้มันก็ยังน้อยอยู่ดี ดังนั้นต้องมาคิดต่อว่า จะทำอย่างไร

ก็มาจบที่การเริ่มทำ คอร์สสัมมนา --- แต่ประเด็นคือ เราก็ยังคงรักษาความจริงใจ คือ ไม่ได้หน้าเลือด เอาแค่พออยู่รอด ดังนั้น งานสัมมนา เราก็เก็บค่าเข้าฟังแค่พันกว่าบาท ซึ่งเทียบแล้วถูกมากสำหรับสัมมนาหุ้นที่ให้ความรู้ในการทำเงินจริงๆ ในตลาดนะ …บางที่ถูกกว่า หรือไม่ก็ฟรี (ใช่!!) ผมไม่เถียง แต่นั่นคุณเข้าไปฟังเขาแนะนำสินค้า หรือ ไม่ก็พยายามจูงใจให้คุณเปิดบัญชีซื้อขายกับเขา

ก็ผ่าน Step แรกไป คือ สัมมนา ก็ต้องเลี้ยง S2M Center จากนั้น ก็ต้องมาดูว่า เราจะ Bundle ให้ Social Network สามารถสร้าง Value ไปสู่การทำเงินในตลาดจริงได้หรือไม่ … เราเลยมาดูที่ตัวหนังสือ ที่จริง “หนังสือ แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน เล่มแรก” ออกตั้งแต่กลางปีแล้ว ซึ่งขายกันอยู่เฉพาะในเว็บของ S2M ก็ถือว่ายอดขายดีทีเดียว สำหรับ e-commerce เมืองไทย “ขายได้หลักพันเล่ม”



มาถึงโจทย์ที่น่าสนุก ..เนื่องจากผมเขียน Blog ค่อนข้างเยอะ ก็มาจากผมบ้าอ่านหนังสือเยอะมาก ก็เลยเขียนเยอะตาม ในที่สุดก็มาถึงการรวมเล่ม “แกะรอยหยักภาค 2” คราวนี้เลยจะมาลองตลาดของร้านหนังสือบ้าง …ไอ้ทีแรกก็ไม่อยากเข้าร้านหนังสือเท่าไหร่ เพราะรู้มาว่า เขาเก็บค่าฝากวาง แพงมาก --- พอมารู้จริงๆ มันสูงกว่าที่คิดอีก ใช่ครับ!! ค่าวางอย่างเดียว 40% จากราคาปก ..ฮึม !! อึ้งไปเลย … “ผมหันมามองป๋ากิ้ง แล้วก็ หน้าซืด …คือ ต้องจ่ายค่าพิมพ์ล่วงหน้า ค่าทำเล่ม …คือ จะเอาคอไปพาดเขียงแล้ว ถ้าใจไม่รักจริง เลิกทำไปตั้งแต่แรกแล้ว --- ตกลง!! ลุย”



ผลปรากฏว่า หลังจากที่ขายผ่าน SE-ED ได้รับการตอบรับดีเกินคาด …คือ จุดนี้ผมต้องบอกเลยว่า ส่วนหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้ หนังสือ แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านขึ้น Best-seller ของประเทศ เพราะว่า S2M เรามี Media อยู่ในมือ …ตัว Stock2morrow แม้จะไม่ทำเงินมาก แต่ก็ถือว่าเป็น Web site ด้านการลงทุนอันดับต้นๆของประเทศ มีคนเข้ามาดู วันๆเป็นหมื่นคน ..ไหนจะ Social Network ที่เรา Explore ในเรื่องของ Fan Pages ไปก่อนหน้านี้ ก็ถือว่า “ได้ผลเกินคาด”
หลังจากนั้น ผมกับป๋ากิ้ง ก็เริ่มมาให้ความสนใจตัว Social Network มากขึ้น

คราวนี้ ป๋ากิ้งยอมจ่ายเงินโฆษณาใน Facebook ของ stock2morrow Fan Pages แต่ตัว Fan Pages อื่นๆก็ไม่ใช้เงิน…อาศัย Link กันไปมา ฮ่า ฮ่า …ยิงนัดเดียวได้นกหลายๆตัวเป็นกระบุง “จากนี้เราก็ลุยสร้างเครือข่ายของ Facebook Fan Pages ของแต่ละคน ทั้ง Pawawit , Wizard kid , Monkey Trade , S2M Café ให้ลุยลึกกันคนละด้านของการลงทุน และมารวมเป็นองค์ความรู้ใหญ่ ภายใต้ S2M “ศูนย์กลางนักลงทุนรายย่อย”

(ติดตามตอนต่อไป ฮ่า….)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ