แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554

อะไรคือ “หุ้นปั่น”


เกริ่นนำ ว่าด้วยเรื่อง “หุ้นปั่น” ได้ยินแล้วตื่นเต้น มันอาจทำให้หลายคนเลือดสูบฉีด ประมาณว่า “อยากโดนเข้าไปแจม” …อย่างไรก็ตามขึ้นชื่อว่าปั่น ย่อมมีทั้งคนที่ได้และคนที่เสีย “ตลาดหุ้น” ใครๆก็รู้ว่ามันเป็น Zero sum game คือ ต้องมีคนนึงได้ และมีอีกคนนึงเสียเสมอ

“แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ” ..หากผมจะกล่าวว่า “คุณคิดผิด” ตลาดหุ้นไม่ใช่ Zero sum game แต่มันเป็นเกมของ “win –win” ล่ะคุณจะว่าอย่างไร

เรามาดูกันว่า การรับรู้กำไรหรือขาดทุน ของนักลงทุน หรือนักเก็งกำไร มีอยู่ทางเดียว ..นั่นก็คือ การขายหุ้นเท่านั้น …คุณไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า คุณกำไรหรือขาดทุน หากคุณยังถือครองหุ้นนั้นๆอยู่ เพราะราคามันสามารถขึ้นลงได้ทุกนาทีที่ตลาดเปิด

โดยปกติแล้ว คนส่วนใหญ่มักจะมีความเชื่อที่ว่า “หุ้นจะขึ้นลงตาม ผลประกอบการ” แต่นั้นเป็นความคิดที่อันตรายที่สุด เท่าที่ผมเคยได้ยินมาในการลงทุน

…เพราะแท้จริงแล้ว หุ้นมันขึ้นลงตาม Demand & Supply ต่างหาก (ถ้า Classifies ให้ชัด หุ้นก็ไม่ต่างจาก Commodity ชนิดอื่นๆ ที่ขึ้นลงตามความต้องการของคนซื้อและคนขาย แต่สิ่งที่ทำให้หุ้นต่างจาก Commodity ชนิดอื่นๆ เนื่องจาก หุ้นมันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องใช้ ..ซึ่งต่างจาก Commodity อื่นๆ ที่มักจะเป็นส่วนหนึ่งของวัตถุดิบในการผลิต จุดนี้ส่งผลให้หุ้นมีความผันผวนที่สุดโต่งกว่า Commodity ธรรมดานั่นเอง)

อย่างที่กล่าว ก็คือ “หุ้นไม่ใช่สิ่งจำเป็นของชีวิต ดังนั้น คนที่เข้ามาซื้อหุ้นมีวัตถุประสงค์ ไม่ใช่ที่การบริโภค

(หุ้นมันบริโภคไม่ได้ เพราะมันเป็นแค่สิทธิในการเป็นเจ้าของกิจการ --- ไม่ใช่สิ่งที่บริโภคเข้าไปได้!!) วัตถุประสงค์ของการซื้อหุ้นจริงๆเลย ...ก็คือซื้อเก็งกำไร ซึ่งแบ่งออกเป็น การเก็งกำไรในระยะสั้น และการเก็งกำไรในระยะยาว (ซึ่งหลายคน ให้นิยามของพฤติกรรมนี้ว่า การลงทุนนั่นเอง.. "ตัวผมก็ ถือว่าตัวเองคือ นักลงทุน เพราะฟังดูเท่ห์กว่านักเก็งกำไรระยะยาว แต่จริงๆมันก็เหมือนกันนั่นแหละ..หุ หุ")

1. “นิยาม” หุ้นปั่นคืออะไร …ก็คือ หุ้นทุกตัวนั่นแหละ ที่พยายามซื้อขายทำให้ราคามันสูงขึ้นหรือลดลง เพื่อมุ่งหวัง ให้เป็นไปในทิศทางของกลุ่มคนหนึ่งๆ (นี่ไม่ใช่การกวนประสาท แต่มันคือ ความจริง ..เพราะหุ้นไม่สามารถขึ้นได้ หากไม่มีคนเข้ามาซื้อขายเก็งกำไร --แต่การจะเป็นหุ้นปั่นหรือไม่ มันขึ้นกับว่า ลักษณะการขึ้นลงของราคามันเป็นไปตามกลไกตลาด หรือ มันเป็นไปตามความต้องการของคนกลุ่มหนึ่งๆ)

สรุป “หุ้นปั่น” ก็คือ หุ้นที่วิ่งตามความต้องการของคนกลุ่มหนึ่งๆ ซึ่งบิดเบือนไปจาก ราคาที่ขึ้นลงตามกลไกของตลาดนั่นเอง

2. เราสามารถแบ่งหุ้นปั่นได้เป็น 2 ประเภท คือ

หนึ่ง ปั่นแบบมีพื้นฐานรองรับ คือ การทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของกิจการ (ประเด็นนี้ต้องทำความเข้าใจนิดนึงว่า ตลาดหุ้นไทย เป็นตลาดที่ไร้คุณภาพ นั่นก็คือ มีคนเข้ามาซื้อขายน้อยมาก จุดนี้เองทำให้ตลาดหุ้นซบเซา และแทบไม่มีการเคลื่อนไหว ..ซึ่งถ้าดูให้ดีแล้ว นับจากปี 1997 เป็นต้นมา หุ้นที่ทำการซื้อขายอย่างจริงจัง มีเพียง “หยิบมือ” เท่านั้น โดยที่กลายเป็นว่า หุ้นส่วนใหญ่ถูกทิ้งไว้เฉยๆ แบบต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน และไร้สภาพคล่อง “หุ้นเหล่านี้คือ หุ้นพื้นฐานดี ที่เจ้าของก็คิดว่ามันต่ำกว่าความเป็นจริง จึงไม่ปล่อยหุ้นออกมาขาย ..และเนื่องด้วยไม่มีสภาพคล่อง ดังนั้น ก็ไม่มีคนเล่น”

จากต้นปี 2009 เป็นต้นมา ตลาดเปลี่ยนจาก Mode “ซบเซา” กลายเป็น Mode “Bullish” ..จุดนี้ทำให้เจ้าของหุ้นที่เคยเน่าๆ กลับมาคึกคักอีกครั้ง เพราะสืบเนื่องมาจากการที่ กิจการมีการฟื้นตัวที่ชัดเจน ประกอบกับ Sentiment ของตลาด ที่คึกคัก “และนี่เอง ก็เป็นความเป็นมาของ หุ้นปั่นที่มีพื้นฐานรองรับ” ( ก็คือเจ้าของ ถือโอกาสนี้ในการดันราคา หุ้นคุณภาพดีของตัวเอง ที่ราคาราคาต่ำเตี้ยมาเป็นเวลานาน ให้ราคาพุ่งขึ้นไปสะท้อนมูลค่าความเป็นจริง ตัวอย่าง หุ้นเหล่านี้ก็ เช่น หุ้นร้อนๆที่มีการซื้อขายอย่างร้อนแรงในปัจจุบัน แต่ถ้าย้อนไปก่อนหน้านั้นไม่นาน จะแทบไม่มี Volume ซื้อขายเลย “ก็คือเพิ่งมาปั่นนั่นเอง!!”)

สอง “หุ้นปั่นไร้พื้นฐาน” คือ หุ้นที่เจ้ามือ หรือ ขาใหญ่ในตลาด หาจังหวะ โดยใช้โอกาสในช่วงตลาด Bullish ในการไปเอาหุ้นที่ไม่มีพื้นฐาน (หุ้นห่วยแตก ..ตัวอย่าง เช่น หุ้นที่ไม่เคยมีกำไร ไม่เคยให้ปันผล ราคามีแต่ย่อลงๆ ..ลักษณะ การสังเกตหุ้นเหล่านี้ ก็คือ หุ้นที่ราคาต่ำมาก บางหุ้นราคาไม่กี่ สตางค์) ..ถามว่าทำไม นักปั่นหุ้นจึงเลือกหุ้นประเภทนี้มาปั่น ..ก็เพราะมันไม่ต้องใช้เงินจำนวนมากในการปั่น รวมทั้งอีกสาเหตุคือ “คนปั่นจะต้องได้ไฟเขียวจากเจ้าของหุ้น” (และนี่เป็นประเด็นที่น่าสนใจมาก) …สมมุติว่า คุณเป็นเจ้าของหุ้นดี แต่ราคาถูก คุณย่อมไม่ต้องการให้ คนเอาหุ้นของคุณมาปั่นเล่น ทุบลง เพราะมันเสียภาพลักษณ์ต่อกิจการ (ซึ่งถ้าเจ้าของหุ้นดีราคาถูก ต้องการทำราคาจริง ก็คงต้องทำแบบวิธีแรก คือ การปั่นขึ้นไปแบบติดลมบน ทำราคาโดยมีพื้นฐานที่แท้จริงรองรับ ซึ่งแน่นอน ความต่างของ การปั่นแบบมีพื้นฐาน กับ การปั่นแบบไม่มีพื้นฐาน ก็คือ การ “ปิดเกม”)

---- การ “ปิดเกม” ของการปั่นหุ้นแบบไม่มีพื้นฐานรองรับ ย่อมจบลงด้วยการเทขายหุ้นทิ้งทุกราคา (ภาษาตลาดก็คือ เลือดสาด !! นั่นเอง) …ส่วนหุ้นที่ปั่นโดยมีพื้นฐานรองรับ ย่อม “ปิดเกม” โดยที่เจ้าของอาจทำกำไรบ้าง แต่หุ้นส่วนใหญ่ก็จะยังคงอยู่ในมือของเจ้าของอยู่ดี

การสังเกตุว่าหุ้นนั้นๆ เข้าข่ายหุ้นปั่น ต้องดูอย่างไร … “ง่ายๆ สังเกตุที่ Volume มันต้องมากกว่าปกติ ..ประกอบด้วย ข่าวดี ที่มีการปล่อยออกมา ทั้งข่าวแบบปากต่อปาก(วงใน) .. …ข่าวตามสื่อ จะเป็นข่าวที่ดี ประกอบกับการวิเคราะห์ในมุมบวกของนักวิเคราะห์ เสริมเข้ามา ….และแน่นอน ท้ายสุด ราคาต้องขึ้นอย่าง ก้าวกระโดดในระยะเวลาสั้นๆ (มันจะขึ้นในอัตราที่สูงเกินกว่า การเพิ่มขึ้นของ SET Index อย่างมาก) เช่น SET ขึ้น 10% หุ้นตัวนั้นๆพุ่งขึ้น 300% .. “ปั่นชัวร์ ..ฟันธง!!”

----คำถามที่น่าสนใจว่า หุ้นปั่นนั้นๆ เป็นหุ้นปั่นที่ มีพื้นฐาน หรือ ปั่นแบบเลือดสาด (ไร้พื้นฐาน)รองรับ ..ดูง่ายๆ ก็คือ ดูพื้นฐานกิจการนั่นเอง …. ง่ายๆ ถ้าเราไม่โลภ เราจะไม่หลงเข้าไปซื้อหุ้นปั่นหรอกครับ ดังนั้นต้องมีสติแล้วแยกแยะให้ออก !!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ