‘ตู้เติมเงิน มันกลายเป็นธุรกิจพันล้านได้อย่างไร ?’
ผมว่า ทุกคนคงเคยเห็นตู้บุญเติม สีส้มๆ ...ที่ใครๆ ก็คิดว่า ‘ใครวะ จะไปเติมเงินทีละ 10 บาท 20 บาท’ ..คงได้ไม่เท่าไหร่มั้ง !!
ไม่ใช่ !! ...บริษัทนี้กำไรปีละกว่า 500 ล้านบาท แล้วโตทุกปี มูลค่าบริษัทตอนที่เขียนนี่ก็กว่า 6 พันล้านบาท ...เริ่มจาก ‘ตู้บุญเติม’ ที่เรามองว่า ใครจะใช้ ?
ผมได้คุยกับ CEO ของ FSMART พี่ณรงค์ศักดิ์ ..เล่าให้ฟังว่า
‘ตู้ตอนนี้มี 130,000 ตู้ กระจายทั่วประเทศ ...แค่หน้าร้านสะดวกซื้อก็ 2 หมื่นกว่าตู้ ...รู้ไหมคนเติมเงินมือถือในประเทศไทยผ่านตู้นี่ 25 ล้านคน วันละ 2 ล้าน Transaction’
ผมก็ถามว่า ‘ทำไมเขาไม่เติมผ่าน 7-11’ ...พี่ณรงค์ศักดิ์ บอกว่า ร้าน 7-11 เขารับเติม 50 บาทขึ้นไป เพราะ เล็กกว่านั้นมันไม่คุ้มแรงงานคนของเขา เอาเวลาไปขายอย่างอื่นดีกว่า ‘ซาลาเปาเพิ่มไหมคะ ?’
แถมร้าน 7-11 ก็เติม AIS ไม่ได้ ทั้งๆ ที่ AIS กินลูกค้าอยู่ 60% ส่วน DTAC กับ TRUE ประมาณเจ้าละ 20% อันนี้พูดถึงตลาด เติมเงินแบบ Pre-paid
‘ปีที่แล้ว มือถือทั้ง 3 เจ้า พยายาม เปลี่ยนลูกค้าเติมเงินให้เป็นรายเดือน ...ปรากฏว่า ไม่คุ้ม เพราะ Billing ของคนเหล่านี้ มันน้อยกว่าค่าบริการรายเดือน ..แถมหนี้เสียเพิ่ม ...แทนที่จะได้เงินสด ...ทำให้ปีนี้เริ่มปรับกลับมา’
“ยุคนี้ ทุกคนก็ปรับตัว มันก็ดิ้นกันทุกคน หาทางที่ดีที่สุด” ...แต่สุดท้าย พฤติกรรมจริงๆ ของลูกค้าจะเป็นตัวตัดสิน
‘วันแรกที่ทำ ตู้บุญเติม รายได้ เกือบทั้งหมด อยู่ที่การเติมเงินมือถือ ...แต่วันนี้ต้องปรับตัว เราเรียกว่า เปลี่ยนตู้เป็น ช่องทางขายสินค้า’
....“เปลี่ยนตู้ เป็นช่องทาง” Box to Channel !!
มองเราเป็น 7-11 ก็ได้ เราจำหน่ายสินค้า เริ่มตั้งแต่ รับชำระค่าบริการ
..วันนี้เราเริ่ม ‘ขายซิม’ ...เราพัฒนาตู้ให้ มีกล้อง ใช้ Verify ตัวตน ที่รัฐบาลบอก ขายซิม ต้องระบุตัวตน ...เราก็เอากล้อง เอาเครื่องสแกนบัตรประชาชน เข้ามาเสริมกับตู้บุญเติม
อนาคต KYC นี่ ทำให้ ธนาคารหรือ พวก e-Wallet ที่ต้องการระบุตัวตนลูกค้าได้หมด ...ต่อยอดได้อีกเยอะ
...ขายน้ำ ...ขนม ...รับส่งสินค้า ร่วมกับ ไปรษณีย์ไทย ทำจุดรับสินค้า ซึ่งตรงนี้พวกร้านออนไลน์สนใจร่วมพัฒนา
..หรือ อย่าง รถไฟฟ้า ..สิ่งที่จะมาก่อนรถ คือ มอเตอร์ไซค์ ...เราไปศึกษาเทคโนโลยีจากไต้หวัน ว่า ถ้าจะเอาตู้บุญเติม สามารถชาร์จไฟ มันจะทำอย่างไร ....สรุปเขาใช้การ Swap แบตเตอรี่ เปลี่ยนเลยแบบมือถือ
รถยนต์และที่ชาร์จ มันก็จะตามมาแต่ไม่เร็ว เพราะ มันไม่ถูกเหมือนมอเตอร์ไซค์
...ที่จะต่อยอด ต่อไปคือ ปล่อยกู้ ...
“ผม งง มากว่า ตู้บุญเติม จะปล่อยกู้ยังไง ?”
พี่ณรงค์ศักดิ์ บอกว่า Phase แรก ก็ปล่อยกู้ คนที่เป็นเครือข่ายตู้นี่แหละ
คุณคิดดู ตู้เรามี 130,000 ตู้ ...แต่ละตู้ เราก็วางอยู่ในธุรกิจโชว์ห่วย , ร้าน , ตลาด , ที่ชุมชน ..ก็ปล่อยกู้ขั้นแรกให้คนที่เป็นหุ้นส่วนตู้บุญเติมนี่แหละ ที่มีอยู่ทั่วประเทศ
คนเหล่านี้ดูแลตู้ และ เป็นหุ้นส่วนเราอยู่แล้ว ...ก็แค่เสนอ สินเชื่อแบบง่ายๆ จำนวนไม่เยอะ ...ซึ่งตอนนี้กำลังขออนุญาตจากแบงค์ชาติ ในเรื่องนี้อยู่
ที่เล่ามา เพื่อให้เห็นภาพว่า ขนาดตู้บุญเติม คนมองเป็นธุรกิจง่ายๆ ที่น่าจะโดน Disrupt ง่ายๆ ...แต่จริงๆ เราผันตัวเอง จากแค่ตู้เติมเงิน มาเป็นช่องทางแทน (Channel)
“พอวิธีคิดเปลี่ยน โอกาสมันเพิ่มมหาศาลเลย”
ซึ่งที่สำคัญที่สุด คือ ‘ต้องรู้จุดแข็งของตัวเอง’
จุดแข็งของ FSMART คือ
1. เทคโนโลยี ..เราเขียนโปรแกรมเอง คนไทยทำ ..ตู้ทั้งหมด คุมด้วย Computer ..อะไรเสียเรารู้หมด ..เงินเข้าออกกี่บาท ...ที่ส่วนกลาง มี War Room ทำการ Monitor ตลอด ...เอาขนาด คนมาเขย่าตู้ ยังรู้เลย
2. ผันตัวจากตู้เติมเงินเป็นช่องทาง ...วันนี้รายได้จาก คือ ขายสินค้าและบริการ เพิ่มเป็น 30% ...ก็วางไว้ว่าในอนาคต ต้องสูงถึง 50% ...ซึ่งนี่คิดในแง่ของยอดขายรวมโตทั้งหมดนะ
3. มองโอกาสใหม่ๆ ตลอด ...อะไรที่สามารถ Partner ได้ ก็หาคนมาร่วม เพราะ ช่วยกันมันเร็ว ทุกคน Win-Win
4. การบริหารตู้แบบหุ้นส่วน ...ตรงนี้ต่างจากเจ้าอื่นๆ ที่มักขายตู้ แล้วให้คนผ่อน ..ระยะสั้น เหมือนจะได้เงินเร็ว แต่ปัญหาระยะยาวมันคือการดูแล และ การบริหาร ...ต้องบอกว่า Business Model แบบนี้เราแตกต่าง
5. บริษัทแม่ Forth มี R&D เอง ...ทำให้ปรับตัวได้ทุกอย่าง
คิดง่ายๆ ว่า ตู้ FSMART แต่ละ ตู้ ก็เหมือน คอมพิวเตอร์ ที่มีอยู่ 130,000 จุด ทั่วประเทศ ...ถ้าจะทำอะไรก็แค่ปรับปรุง ใส่เทคโนโลยีเพิ่มเข้าไป ก็เกิดธุรกิจใหม่ ต่อยอดได้ตลอดเวลา
...นั่งคุยกันเป็นชั่วโมง รู้สึกว่า เหมือนได้นั่งเรียนในคลาส Start-up ...ไอเดียพุ่งพล่านเลยทีเดียว
แต่เดี๋ยวนะ บทความนี้ ไม่ใช่การแนะนำซื้อขายหุ้น ...แต่อยาก แบ่งปันมุมมอง แนวคิดเอาตัวรอดในโลก Disrupt นั่นเอง
#ภาววิทย์กลิ่นประทุม