แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ตู้เติมเงินหมื่นล้าน ที่กำลังถูกท้าทาย


‘ตู้เติมเงิน มันกลายเป็นธุรกิจพันล้านได้อย่างไร ?’

ผมว่า ทุกคนคงเคยเห็นตู้บุญเติม สีส้มๆ ...ที่ใครๆ ก็คิดว่า ‘ใครวะ จะไปเติมเงินทีละ 10 บาท 20 บาท’ ..คงได้ไม่เท่าไหร่มั้ง !!

ไม่ใช่ !! ...บริษัทนี้กำไรปีละกว่า 500 ล้านบาท แล้วโตทุกปี มูลค่าบริษัทตอนที่เขียนนี่ก็กว่า 6 พันล้านบาท ...เริ่มจาก ‘ตู้บุญเติม’ ที่เรามองว่า ใครจะใช้ ?

ผมได้คุยกับ CEO ของ FSMART พี่ณรงค์ศักดิ์ ..เล่าให้ฟังว่า 

‘ตู้ตอนนี้มี 130,000 ตู้ กระจายทั่วประเทศ ...แค่หน้าร้านสะดวกซื้อก็ 2 หมื่นกว่าตู้ ...รู้ไหมคนเติมเงินมือถือในประเทศไทยผ่านตู้นี่ 25 ล้านคน วันละ 2 ล้าน Transaction’

ผมก็ถามว่า ‘ทำไมเขาไม่เติมผ่าน 7-11’ ...พี่ณรงค์ศักดิ์ บอกว่า ร้าน 7-11 เขารับเติม 50 บาทขึ้นไป เพราะ เล็กกว่านั้นมันไม่คุ้มแรงงานคนของเขา เอาเวลาไปขายอย่างอื่นดีกว่า ‘ซาลาเปาเพิ่มไหมคะ ?’

แถมร้าน 7-11 ก็เติม AIS ไม่ได้ ทั้งๆ ที่ AIS กินลูกค้าอยู่ 60% ส่วน DTAC กับ TRUE ประมาณเจ้าละ 20% อันนี้พูดถึงตลาด เติมเงินแบบ Pre-paid 

‘ปีที่แล้ว มือถือทั้ง 3 เจ้า พยายาม เปลี่ยนลูกค้าเติมเงินให้เป็นรายเดือน ...ปรากฏว่า ไม่คุ้ม เพราะ Billing ของคนเหล่านี้ มันน้อยกว่าค่าบริการรายเดือน ..แถมหนี้เสียเพิ่ม ...แทนที่จะได้เงินสด ...ทำให้ปีนี้เริ่มปรับกลับมา’ 

“ยุคนี้ ทุกคนก็ปรับตัว มันก็ดิ้นกันทุกคน หาทางที่ดีที่สุด” ...แต่สุดท้าย พฤติกรรมจริงๆ ของลูกค้าจะเป็นตัวตัดสิน

‘วันแรกที่ทำ ตู้บุญเติม รายได้ เกือบทั้งหมด อยู่ที่การเติมเงินมือถือ ...แต่วันนี้ต้องปรับตัว เราเรียกว่า เปลี่ยนตู้เป็น ช่องทางขายสินค้า’

....“เปลี่ยนตู้ เป็นช่องทาง” Box to Channel !!

มองเราเป็น 7-11 ก็ได้ เราจำหน่ายสินค้า เริ่มตั้งแต่ รับชำระค่าบริการ 

..วันนี้เราเริ่ม ‘ขายซิม’ ...เราพัฒนาตู้ให้ มีกล้อง ใช้ Verify ตัวตน ที่รัฐบาลบอก ขายซิม ต้องระบุตัวตน ...เราก็เอากล้อง เอาเครื่องสแกนบัตรประชาชน เข้ามาเสริมกับตู้บุญเติม 

อนาคต KYC นี่ ทำให้ ธนาคารหรือ พวก e-Wallet ที่ต้องการระบุตัวตนลูกค้าได้หมด ...ต่อยอดได้อีกเยอะ

...ขายน้ำ ...ขนม ...รับส่งสินค้า ร่วมกับ ไปรษณีย์ไทย ทำจุดรับสินค้า ซึ่งตรงนี้พวกร้านออนไลน์สนใจร่วมพัฒนา

..หรือ อย่าง รถไฟฟ้า ..สิ่งที่จะมาก่อนรถ คือ มอเตอร์ไซค์ ...เราไปศึกษาเทคโนโลยีจากไต้หวัน ว่า ถ้าจะเอาตู้บุญเติม สามารถชาร์จไฟ มันจะทำอย่างไร ....สรุปเขาใช้การ Swap แบตเตอรี่ เปลี่ยนเลยแบบมือถือ 

รถยนต์และที่ชาร์จ มันก็จะตามมาแต่ไม่เร็ว เพราะ มันไม่ถูกเหมือนมอเตอร์ไซค์ 

...ที่จะต่อยอด ต่อไปคือ ปล่อยกู้ ...

“ผม งง มากว่า ตู้บุญเติม จะปล่อยกู้ยังไง ?”

พี่ณรงค์ศักดิ์ บอกว่า Phase แรก ก็ปล่อยกู้ คนที่เป็นเครือข่ายตู้นี่แหละ 

คุณคิดดู ตู้เรามี 130,000 ตู้ ...แต่ละตู้ เราก็วางอยู่ในธุรกิจโชว์ห่วย , ร้าน , ตลาด , ที่ชุมชน ..ก็ปล่อยกู้ขั้นแรกให้คนที่เป็นหุ้นส่วนตู้บุญเติมนี่แหละ ที่มีอยู่ทั่วประเทศ 

คนเหล่านี้ดูแลตู้ และ เป็นหุ้นส่วนเราอยู่แล้ว ...ก็แค่เสนอ สินเชื่อแบบง่ายๆ จำนวนไม่เยอะ ...ซึ่งตอนนี้กำลังขออนุญาตจากแบงค์ชาติ ในเรื่องนี้อยู่

ที่เล่ามา เพื่อให้เห็นภาพว่า ขนาดตู้บุญเติม คนมองเป็นธุรกิจง่ายๆ ที่น่าจะโดน Disrupt ง่ายๆ ...แต่จริงๆ เราผันตัวเอง จากแค่ตู้เติมเงิน มาเป็นช่องทางแทน (Channel) 

“พอวิธีคิดเปลี่ยน โอกาสมันเพิ่มมหาศาลเลย”

ซึ่งที่สำคัญที่สุด คือ ‘ต้องรู้จุดแข็งของตัวเอง’

จุดแข็งของ FSMART คือ 

1. เทคโนโลยี ..เราเขียนโปรแกรมเอง คนไทยทำ ..ตู้ทั้งหมด คุมด้วย Computer ..อะไรเสียเรารู้หมด ..เงินเข้าออกกี่บาท ...ที่ส่วนกลาง มี War Room ทำการ Monitor ตลอด ...เอาขนาด คนมาเขย่าตู้ ยังรู้เลย

2. ผันตัวจากตู้เติมเงินเป็นช่องทาง ...วันนี้รายได้จาก คือ ขายสินค้าและบริการ เพิ่มเป็น 30% ...ก็วางไว้ว่าในอนาคต ต้องสูงถึง 50% ...ซึ่งนี่คิดในแง่ของยอดขายรวมโตทั้งหมดนะ 

3. มองโอกาสใหม่ๆ ตลอด ...อะไรที่สามารถ Partner ได้ ก็หาคนมาร่วม เพราะ ช่วยกันมันเร็ว ทุกคน Win-Win

4. การบริหารตู้แบบหุ้นส่วน ...ตรงนี้ต่างจากเจ้าอื่นๆ ที่มักขายตู้ แล้วให้คนผ่อน ..ระยะสั้น เหมือนจะได้เงินเร็ว แต่ปัญหาระยะยาวมันคือการดูแล และ การบริหาร ...ต้องบอกว่า Business Model แบบนี้เราแตกต่าง

5. บริษัทแม่ Forth มี R&D เอง ...ทำให้ปรับตัวได้ทุกอย่าง 

คิดง่ายๆ ว่า ตู้ FSMART แต่ละ ตู้ ก็เหมือน คอมพิวเตอร์ ที่มีอยู่ 130,000 จุด ทั่วประเทศ ...ถ้าจะทำอะไรก็แค่ปรับปรุง ใส่เทคโนโลยีเพิ่มเข้าไป ก็เกิดธุรกิจใหม่ ต่อยอดได้ตลอดเวลา

...นั่งคุยกันเป็นชั่วโมง รู้สึกว่า เหมือนได้นั่งเรียนในคลาส Start-up ...ไอเดียพุ่งพล่านเลยทีเดียว

แต่เดี๋ยวนะ บทความนี้ ไม่ใช่การแนะนำซื้อขายหุ้น ...แต่อยาก แบ่งปันมุมมอง แนวคิดเอาตัวรอดในโลก Disrupt นั่นเอง 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ปุกาด!! ขายบ้าน จุดเด่น 10 ประการดังนี้


‘ปุกาด!! ขายบ้าน’ ...มีจุดเด่น 10 ประการตามนี้ !! ..แต่ไม่ต้องทักมาครับ ...ไปหาซื้อเอาเองเลยครับ ..ฮ่า ฮ่า 

1. ‘บ้านหลังนี้ อยู่ใกล้ที่ทำงาน’ ...การเดินไปทำงาน ทำให้เรามีเวลามากกว่าคนส่วนใหญ่ ที่เสียไป 2 ชั่วโมงต่อวัน ...10% ของชีวิต ทิ้งกับรถติด และ ท้องถนน

2. ‘พื้นที่น้อย ส่วนกลางเลยถูก’ ...พื้นที่เยอะ ผมก็ยิ่งซื้อของเยอะ ..พื้นที่น้อย ทำให้ประหยัด ซื้อของแค่จำเป็นจริงๆ 

3. ‘ขายต่อง่าย’ ..เพราะอยู่ทำเลใจกลาง ซื้อแพง แต่ขายต่อแพงกว่า และ ขายต่อง่ายเสมอ

4. ‘ปล่อยเช่าง่าย’ ...พื้นที่แบบนี้ มีจำกัด สามารถปล่อยเช่าได้ตลอดถ้าต้องการ

5. ‘ติดอย่างน้อย หนึ่งอย่างที่เป็นของสาธารณะ’ ...ของสาธารณะ เช่น รพ. , โรงเรียน , สวนสาธารณะ , รถไฟฟ้า , สถานที่ราชการ ...

6. ‘อยู่ในซอย’ ...ถ้าจะอยู่ ในซอย พลุกพล่านน้อยกว่า แถมราคาดีกว่า ติดถนนใหญ่ ...ถ้าจะอยู่เอง เลือกในซอยอาจจะดีกว่า

7. ‘ตึกเตี้ย’ ...โครงการใหญ่อาจจะดูดี แต่ถ้าจะอยู่เอง โครงการเล็ก อยู่สบายกว่า ความปลอดภัยทั่วถึงกว่า 

8. ‘ราคาสูง ให้ความสำคัญกับเพื่อนบ้าน’ ...บางครั้งการยอมซื้อ โครงการที่ต่อตารางเมตรที่แพงกว่า เพราะ เราต้องการเพื่อนบ้านที่ดีกว่า ...เรื่องเล็กๆ แบบนี้ มันก็มีผลต่อราคาขายต่อนะ 

9. ‘ซื้อบ้านนี้แล้ว ไม่ต้องซื้อรถ หรือ ขายรถทิ้งไปได้เลย’ ...ก็มันใกล้ ไปไหน ก็นั่ง BTS หรือ Grab ไปเลย ...การไม่มีรถ จะทำให้คุณรวยขึ้นแบบน่าตกใจ

10. ‘โปะให้เร็วครับ อย่าเป็นหนี้นาน’ ...การไม่เป็นหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ 

ความทุกข์ของคนส่วนใหญ่ ในโลกโลกทุนนิยม ก็คือ ‘สร้างหนี้ แล้วไม่มีเงินใช้ นี่แหละครับ’

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

เด็กรุ่นใหม่ ทำไมทำงานไม่มีเกษียณ


‘เด็กรุ่นใหม่ ทำไมทำงานไม่มีเกษียณ’

คนสมัยก่อน ทำงาน 60 เกษียณ แล้วตาย ..ไม่ต้องคิดมาก

คนเดี๋ยวนี้ ทำงานเกษียณที่ 60 แล้วเครียด เพราะ ‘สุดสลด เงินหมดก่อนตาย’ 

เด็กรุ่นใหม่ นี่แหละ ที่จะทำงานตลอดชีวิต ไม่มีเกษียณ !!

...มันจะเปลี่ยนไปดังนี้

1. ‘งานจะไม่เหมือนงาน’ ..อาชีพใหม่จะเกิดขึ้นอีก ...สมัยก่อนเขาบอกอาชีพดารา ไม่มั่นคง เพราะ เต้นกินรำกิน แต่เดี๋ยวนี้ ดารา เป็นหนึ่งในอาชีพที่เงินเยอะ และ สบายที่สุด ต่อยอดได้ ...ถ้าบริหารเงินเป็น รวยทุกคน ...อาชีพ เน็ตไอดอล ...อาชีพ เซเลป 

2. ‘กำหนดเวลาทำงานเอง’ ...งานยุคใหม่ เรากำหนดเองว่าจะทำเวลาไหน ตามใจเรา

3. ‘กำหนดสถานที่ทำงานเอง’ ...ไม่มีแล้ว ไปทำงาน 9 โมง เลิก 5 โมง ...ออฟฟิศ ใช้ที่ไหนก็ได้ ...ร้านอาหาร ทะเล สวนสาธารณะ ร้านกาแฟ ...อยากทำตรงไหน ก็ใช้ตรงนั้นแหละ ....สิ่งนี้จะเปลี่ยนตลาด อสังหาริมทรัพย์ ครั้งใหญ่ !! ...ที่แพง อาจขายไม่ออก ..ที่ไม่เคยมีราคา อาจบูม 

4. ‘ไม่มีแล้ว ลูกจ้าง’ ...มีแต่เพื่อนร่วมงาน ...การทำงานแบบบริษัทเดียวชั่วชีวิตมันไม่มีแล้ว ...ต่อไป การทำงานทีละบริษัท ก็ไม่มีเช่นกัน ...หนึ่งคน ทำงานให้หลายๆ บริษัท ...ความสัมพันธ์ ประดุจเพื่อนร่วมงาน

5. ‘เปลี่ยนอาชีพง่าย’ ...ยุคก่อนเปลี่ยนอาชีพยาก เพราะ การศึกษาและปริญญาเป็นกรอบข้อจำกัด ...แต่เมื่อมหาวิทยาลัยเปลี่ยน ...คนที่สามารถเรียนใหม่ ใช้เวลาน้อย เปลี่ยนอาชีพได้บ่อยตามต้องการ

6. ‘ทำเงินไป ใช้ไป ไม่ต้องเครียด’ ...ยุคนี้เครียดสุดๆ กว่าจะเรียนจบ ทำงานไม่กี่ปี ต้องวางแผนเกษียณ ...ต่อไป ทำไป ใช้ไป ไม่เครียด

7. ‘คำว่า คนแก่ จะไม่มีแล้ว’ ...คนแก่ เดี๋ยวนี้ คือ คนที่หยุดเปลี่ยนแปลงตัวเอง ...แต่คนรุ่นใหม่ เปลี่ยนแปลงตัวเองตลอด ...คำว่า คนแก่ จึงกำลังจะเป็นคำที่ล้าสมัย

8. ‘เดินทางชั่วชีวิต’ ...อุตสาหกรรมที่จะใหญ่ที่สุดในอนาคตก็คือ การท่องเที่ยว ...เพราะทุกชีวิตคือการเดินทาง ...การเดินทางจึงเป็นความหมายของทุกชีวิต

9. ‘สะสมประสบการณ์ ไม่ใช่สิ่งของ’ ...เมื่อซื้อของลดลง ขยะก็น้อยลง ..ซื้อประสบการณ์ได้มากขึ้น ‘จากบริโภคนิยม สู่ประสบการณ์นิยม’

10. ‘การทำงานของคนรุ่นใหม่นั่นแหละ คือ ความสนุก’ ....เมื่อเราพยายามมากพอ เราจะสามารถ ‘เล่นเป็นเงิน’ ...ทำสนุก ได้เงิน นั่นแหละ งานของคนรุ่นใหม่ ที่ค่อยๆ สร้างกันขึ้นมา

อาชีพแห่งอนาคต กำลังค่อยๆ ปรากฏ !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


คิดสร้างมูลค่าเพิ่มให้ที่เรา


‘การสร้างมูลค่าเพิ่มให้พี่ดินของเรา’

ว่าด้วยเรื่อง ‘ที่ดิน’ สมบัติล้ำค่าของคนที่มีไว้ครอบครอง ...ตั้งแต่มนุษย์ยุคหิน ...เฮ้ย!! ไม่ใช่ ...ตอนมนุษย์ยุคหิน ที่ดิน ไม่ได้มีค่าอะไร ...มันมามีค่า จริงๆ จังๆ ในยุคที่มนุษย์เริ่มทำเกษตรกรรมนี่แหละ 

‘เคยดูหนังที่ พ่อสั่งเสียไว้ก่อนตาย ...ลูก ก ก ก ..ต้องรักษาผืนดินนี้ไว้ให้ดี เพราะ มันคือทุกอย่างของเรา !!’ ...ลูกฟังก็ไม่อิน ...เอาว่า ใครเสนอ ราคาดีก็ขายๆ ไป

‘ล้ำค่า!!’ ...ยังไง ?

- ‘ที่ดินจำกัด ในขณะที่คนเพิ่ม’ ...ที่ดินในฮ่องกง จึงแพงกว่าทอง ...คนส่วนใหญ่พอราคาที่ขึ้นก็ขายเอากำไร ใครไม่ขายก็รวยกลายเป็นเศรษฐี ...ลูกหลานเป็น Landlord ‘ไม่ต้องทำอะไร วันๆ เก็บค่าเช่าก็รวยละ !!’

- ‘เงินเฟ้อ ที่ดินไม่เฟ้อ’ ...เงินนับวันจะลดมูลค่า ..แต่ที่ดินเพิ่ม ...คิดง่ายๆ เงินลดมูลค่าเท่าไหร่ ที่ดิน ก็เพิ่มมูลค่าสวนทางกัน 

มาดูกันว่า อะไรอยู่เบื้องหลังการเพิ่มมูลค่าของที่ดินกัน

1. ‘จำนวนจำกัด’ ...ที่ในเมืองจำกัด ราคาถึงขึ้นเร็ว ...แต่ที่ดินไกลๆ มันยังมีเยอะ มันก็ขึ้นช้า หรือไม่ขึ้น ...คนรวยเวลาซื้อที่เลย ชอบซื้อที่แพงๆ ใจกลางเมือง เพราะ มันขึ้นเร็ว ยิ่งขายได้แพงกว่า

2. ‘มีคนใช้ที่ดิน’ ...เบื้องหลังราคาที่ดิน มันก็คือ ‘ประโยชน์ต่อคน’ ...เช่น แบ่งที่ทุ่งนาให้สร้างโรงเรียน เดิมราคาไม่สูง แต่พอเอาแบ่งมาทำโรงเรียน คราวนี้ คนพลุกพล่าน ...ราคาที่ดินแถวนั้นก็สูงขึ้น

3. ‘กฏหมาย’ ...หลายประเทศ มีผังเมือง จำกัดพื้นที่ เช่น กันพื้นที่สีเขียวไว้เยอะ ..ก็ยิ่งทำให้ ที่ดิน มาอยู่น้อยลง (อย่างเช่นฮ่องกง) ...ที่ดินที่ใช้ได้ ก็ยิ่งแพงเข้าไปอีก

4. ‘เพิ่มประโยชน์’ ...ที่สวย บางครั้ง แค่ทำที่ชมวิว ..คนมาถ่ายรูป ...ราคาก็แพงขึ้นละ ...นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หัวใส บางครั้ง สร้างลิฟต์ก่อนสร้างตึก ...ขายหมดก่อนสร้าง !! เพราะ คนมาดู ก็พาขึ้นลิฟต์ดูวิว ก็ซื้อเลย 

5. ‘ถนนเล็กตัดผ่าน’ ...ถ้าถนนใหญ่ตัดผ่าน มันผ่านไปเลย ไม่ work ...แต่ถ้าถนนเล็กตัดผ่าน มันเกิดชุมชน ...ราคาจะขึ้น จากชุมชน

6. ‘ปลูกป่า’ ...ป่ากลางเมือง / ป่ากลางทุ่ง ...เท่ห์ไม่น้อย

7. ‘ปลูกพืช’ ..การปลูกพืชอย่างน้อยก็ลดภาษีได้ เป็นการเกษตรไป 

8. ‘สร้างตึก’ ...เช่น สร้างตึกให้นกอยู่ ขายรังนก ก็แนวๆ กันอีกแบบ 

9. ‘สร้างงานศิลปะ’ ...ศิลปะมันคือ ‘ความแตกต่าง และ แรงบันดาลใจ’ ...ยิ่งแยกต่าง และ สร้างแรงบันดาลใจ ก็จะยิ่งมีราคา ...ศิลปิน คือ นักผจญภัย และนักเล่าเรื่อง ที่แสดงผลงานผ่านผลงานของตัวเอง 

10. ‘แบ่งขายให้คนรวย’ ...ใช่!! ขายที่ดินน่ะดี แต่อย่าขายหมด เก็บไว้บ้าง ...ยิ่งแบ่งขายคนรวย เขาเอาไปพัฒนา ราคามันก็จะดี 

พูดไป 10 ข้อ หลายคนบอก ...ปัญหาใหญ่สุด คือ ฉันไม่มีที่ดิน อ่ะ !!

ยังมีวิธีอีกเยอะแยะ ที่จะเพิ่มมูลค่าในที่ดิน ...ก็ลองคิดต่อ ยอดกันดู 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ตื่นเต้นกับเด็กรุ่นใหม่ ที่จะได้เรียนมหาวิทยาลัยแบบที่พี่ได้แค่ฝัน

‘ตื่นเต้นกับเด็กรุ่นใหม่ ที่จะได้เรียนในมหาวิทยาลัยแบบที่พี่ๆ ได้แค่ฝัน !!’

มหาวิทยาลัยในฝัน ไม่ใช่ ม.ดัง แต่เป็นทุกมหาวิทยาลัยกำลัง ...ปรับเปลี่ยนหลักสูตรแบบ Disrupt ตัวเอง 

‘รู้สึกว่า ผมเกิดเร็วไป ...555’ 

...มันเปลี่ยนยังไง มาดูกัน !!

- ‘เรียนเมื่อไหร่ก็ได้’ ...แต่ก่อนต้องจบ ม.6 แล้วค่อยมาสอบ ลุ้นแทบตาย ‘มีโอกาสครั้งเดียวในชีวิต!!!!’ ...ครั้งเดียว!!! ...สุดท้ายได้คณะที่ไม่ได้อยากเรียน ...จบไปได้งานที่ไม่ได้อยากทำ ชีวิตกรู!! ...เดี๋ยวนี้ เรียนเมื่อไหร่ก็ได้ ...ออนไลน์ก็ได้ ...แก่แล้วกลับมาเรียนก็ได้ ...อยากเปลี่ยนอาชีพกลับมาเรียนก็ได้ แจ๋ว !!

- ‘หลักสูตรเป้าชัด’ ...จบไป ทำเงินได้เลย ...เรียนไปหาเงินตรงๆ ...แต่ก่อนเรียนไป ทำวิจัย แล้วเอาไปเก็บไว้ในห้องสมุด ....ทุกวันนี้แข่งกันปั้นหลักสูตร จบแล้วไปหาเงินได้เลย ดี !! ...งานวิจัยดี เอาไปเปิดบริษัทจริง เราจะได้มีแบบ Google / Facebook บ้างในเมืองไทย 

- ‘สั้น’ ...ทำไมต้อง 4 ปีจบ ..ยัง งง ถึง วันนี้ ...เพราะ พอไปทำงาน ก็ต้องฝึกงานใหม่หมด ...ต่อไป สั้นๆ ชัดๆ พร้อมประกาศนียบัตรเริ่มทำงานได้เลย 

- ‘อ.หลัก กับ อ.เสริม ทำงานร่วมกัน’ ...อ.หลัก คือ อาจารย์ประจำ เป็นคนกำหนดหลักสูตร เป็นเหมือนผู้จัดการทีมฟุตบอล ...อ.เสริม คือ โค๊ช พวกนี้เอาประสบการณ์จริงมาเสริม ..ในธุรกิจก็พวกผู้บริหาร คนที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจ แต่อาจไม่ได้จบสูง ...อนาคตทั้ง 2 คนนี้ จะร่วมกัน สร้างนักศึกษาสายพันธุ์ใหม่ ที่เก่งทั้ง ทฤษฎีและปฏิบัติ ครบเครื่อง !!

- ‘ทำงานจริง วัดผลจริง’ ...เดิมทีมหาวิทยาลัยวัดผลด้วยข้อสอบ เพื่ออะไร ? ...ต่อไปมหาวิทยาลัยจะวัดผลจากของจริง เช่น เรียนธุรกิจต้องเปิดธุรกิจจริงเลย ถ้าเจ๊งก็สอบตก ...ถ้ารุ่ง ทำสำเร็จด้วย เอาเกียรตินิยมแถมไปเลย !! (แปลว่า คนที่จบ ต้องสำเร็จ ในที่สุด ‘ล้มแล้วลุก’ ..ล้ม ลุก !! ..ใช่!! เรียนจบ ต้องรวยดิ) 

- ‘ศูนย์กลางชุมชนธุรกิจ’ ...แต่ก่อนศูนย์กลางชุมชนคือ วัด ..ทุกคนหากินรอบๆ วัด ...พ่อค้า แม่ค้า มอไซค์ ..ร้านค้า ..ตลาด ...ในอนาคต เราจะเป็นแบบ Stanford ที่ มหาวิทยาลัยกับธุรกิจมันคือ สิ่งเดียวกัน ...มหาวิทยาลัยก็คือ ’มันสมอง’ หน่วยวางแผน หน่วยวิจัย ต่อยอดทำเงิน แบ่งปันผลประโยชน์แบบธุรกิจ

- ‘เรียนฟรีมีไหม ?’ ...มีออนไลน์ไง ..แค่คนชี้แนะมันไม่ฟรี ก็แค่นั้น เพราะ แก่นของการเรียนรู้ มันไม่ใช่แค่ความรู้ แต่มันคือ การสร้างคน

‘ถ้าจะสร้างคน เริ่มจากอะไร ?’

1. ‘เปลี่ยนความเชื่อ’  ...คือ ถ้าไม่เปลี่ยนความเชื่อ ไม่ต้องมาเรียน เพราะ น้ำเต็มแก้ว มันเติมของใหม่ไม่ได้ ล้น ...ถ้าจะเรียน เริ่มจาก ทิ้ง อีโก้ จึงจะใส่สิ่งใหม่เข้าไปได้

2. ‘เผชิญความจริง’ ...โอ้ว !! ยากสุดก็สิ่งนี้แหละ ...คนที่ไปต่อไม่ได้ เพราะ มันติดเรื่องรับความจริงบางอย่างไม่ได้ ...’ก็มันเป็นแบบนี้แหละ รับได้ ก็ไปต่อได้!!’

3. ‘การตั้งเป้าหมายครั้งใหม่’ ...อันนี้คือ Roadmap ในแต่ละช่วงของชีวิต ...ส่วนใหญ่เราไปเพ้อเจ้อ อยากจะ Roadshow คือ โชว์ ชิว แต่เอาเข้าจริง มันเพ้อ เพราะ ขาด Roadmap ขาดทิศทาง

ทั้ง 3 ข้อนี้ คือ วงจร การเรียนรู้ ที่เราเรียนรู้และเติบโตในแต่ละช่วงของชีวิต ...พอถึงรอบ มันก็ หมุนวนใหม่ 

‘วนหลายรอบ น่ะเก่ง แต่เหนื่อย’ ..สุดท้าย ก็อยู่ที่ความพอใจของแต่ละคนนั้นแหละ 

เอาว่า ตั้งตารอ ดูคนรุ่นใหม่ กับการศึกษาที่กำลังจะพลิกประเทศไทย !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2562

โรงงานไทย เอาตัวรอดอย่างไร ในยุคนี้


ทำไม โรงงานไทย ไปไม่รอด ?

1. ‘ค่าเงินแข็ง’ ...ยิ่งค่าเงินบาทแข็ง สินค้าไทยก็ยิ่งแพง ก็ยิ่งแข่งยาก ขายยาก

2. ‘สิทธิประโยชน์ทางภาษีหายไป’ ...อย่างเช่น ธุรกิจเสื้อผ้า สมัยก่อนเราได้ 18% วันนี้เหลือ 0% ...ถ้าอยากได้ สิทธิประโยชน์ทางภาษี เจ้าของโรงงานก็ต้องปิดโรงงานในไทย ไปเปิดใน เวียดนาม , บังกลาเทศ ...แทน 

3. ‘ค่าแรงสูง’ ...ตอนขึ้น 300 บาท ก็ตายไปหลายอุตสาหกรรมละ โดยเฉพาะ อุตสาหกรรมที่ Margin ต่ำๆ ตายหมด ...คราวนี้ สัญญานักการเมือง 400 บาท คงตายอีกเกลื่อน 

ผมได้ผมคุยกับ คุณ บุญชัย CEO ของ Sabina ...ใช่!! ชุดชั้นใน Sabina นั่นแหละ ...เขาเป็นผู้ให้คำตอบเรื่องนี้ได้ดีที่สุด 

เพราะ เดิมที Sabina เคยเป็น OEM กว่า 90% แปลว่า ‘รับจ้างต่างชาติผลิต’ กำไรบางเฉียบ (ซึ่งโรงงานส่วนใหญ่ในไทยก็คือแบบนี้เกือบทุก อุตสาหกรรม)

คือ ฝรั่งจะมาจ้างแรงงาน ในประเทศที่แรงงานถูก แล้วเขาก็กำหนดทุกอย่าง ทั้งราคา ทั้งวัตถุดิบ จนโรงงาน OEM แทบไม่เหลือกำไร ...ที่แย่กว่านั้น คือ ทุกปี เขาจะขอราคาต่ำลง ...ทุกวันนี้ ฝรั่งเขายิ่งเลือกได้ เพราะ มีโรงงาน OEM ในจีน ในเวียดนาม ในประเทศเพื่อนบ้าน ที่พร้อมกดราคาตัวเอง 

ในอดีตโรงงานในไทย ยังได้เปรียบบ้าง เพราะ เดิม แรงงานเราถูก / เรามีสิทธิประโยชน์ทางภาษี / และ ค่าเงินเราถูก ....วันนี้ 3 ข้อได้เปรียบเรา ไม่มีแล้ว !!

‘แล้วพี่ทำยังไง ครับ ?’

ให้ผมเดา ...Sabina น่าจะไปเปิดโรงงาน ในเวียดนาม ใช่ไหม ....เพราะได้ 18% สิทธิประโยชน์ทางภาษี ...แถมแรงงานก็ถูกกว่าเรา ...ค่าเงินก็ไม่แข็ง 

‘ผิด!!’ ...ไม่ใช่เลย 

‘อ้าว!! แล้ว Sabina ทำไง ?’

10 ปี ที่ผ่านมา Sabina เปลี่ยนจาก เคยเป็น OEM มาเป็น สร้าง Brand เอง 

- จากผลิตให้ฝรั่ง ส่งออก กลายมาเป็น ผลิตขายคนไทยโดยสร้าง Brand เอง ...ตอนนี้ รายได้ 90% คือ Brand ตัวเอง เหลือ 10% เป็น รับจ้างผลิต 

- ผลคือ Margin เพิ่ม 2 เท่า จากเดิม OEM แทบตาย กำไรแค่ 20% แต่วันนี้ กำไรขั้นต้น 50% ขึ้น

- วันนั้น ทางเลือกเรามี 2 แบบ คือ หนึ่ง ไปตั้งโรงงานในเวียดนาม หรือ ประเทศเพื่อนบ้าน เพิ่มยอดขาย แต่กำไรบาง แบบพวกโรงงานในจีน ซึ่งถ้าเลือกแบบนั้น ก็ต้องเจอคู่แข่งกับจีน ...แต่เราเลือกแบบที่สอง คือ เลือกเป็นฝรั่ง คือ พัฒนา Brand ตัวเอง 

‘ความยาก คือ อะไร ?’

‘ต้องเปลี่ยนทุกอย่าง’ เช่น เดิมที OEM ผลิต 1 แบบ ล้านชิ้น ก็ทำไปเลย ....แต่พอทำ Brand เอง ถ้าทำ ล้านชิ้น ใครจะซื้อ ? ...มันต้องเพิ่มแบบ ...ทำความเข้าใจ Segment ลูกค้า ...เช่น นมเล็ก , นมใหญ่ , นมแปลก อะไรก็ว่าไป ....พูดง่าย ๆ แต่ก่อน ทำสินค้าตามสั่ง ไม่ต้องเข้าใจคนซื้อ แต่วันนี้ พี่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญยกทรง !!

‘พี่เป็นผู้ชาย ที่ขาย ยกทรง ...เข้าใจทรง !! ...มันคืออะไรครับ ?’

- ใช่ !! วันนี้ Sabina เลือก ทำตัวเป็นฝรั่ง ...ปีนี้ เราไปจ้าง ตปท. เช่น จีน , เวียดนาม ผลิตให้เรา เกือบ 30% ...จาก “รับจ้าง” กลายเป็น “ผู้จ้าง” ...พอ เงินบาทแข็ง เราเลยได้เปรียบ 

- ออนไลน์ วันนี้ กลายเป็นโอกาสให้โรงงาน เพราะ เดิมทีโรงงาน จะโดนห้างบีบ ขอทั้ง ค่าเช่า ทั้ง GP ...แทบไม่เหลืออะไร ...จ่ายช้าอีก ...ก็เขารายใหญ่ ...แต่คราวนี้ออนไลน์ เขาจ่ายสด ...สรุป ขายถูก แต่กำไรเพิ่มขึ้น เพราะ Win-Win ทั้ง 2 ฝ่าย ...ใครมีโรงงาน ต้องขยายจุดนี้

- ต่างประเทศ ขายไหม ? ....’เอาตรงๆ ไป ตปท. ตรงๆ มีเจ๊ง นะครับ คนส่วนใหญ่ไป ตปท. ไม่รอด เพราะ คิดง่ายๆ ถ้าโกง ..โกงต่างชาติง่ายกว่า ...คนบ้านเขาก็เหมือนกัน ดังนั้น ตรงนี้ มันมี Learning Curve’

สุดท้าย โรงงาน ยังทำไหม ?

‘ทำ แต่ไม่ขยาย ...ไป ทำงานยาก งาน Premium ...อย่างที่บอก งาน 90% ของ โรงงาน Sabina 5 แห่ง ในไทย ทำให้ Brand ตัวเอง ...อีก 10% ทำงาน OEM แบบยากๆ’

....คุยกับ พี่บุญชัย ผมเห็น แสงสว่าง ปลายอุโมงค์ของโรงงานในไทย ที่มองออก 

สำคัญ วันนี้ ต้องกลับมา ‘ทำตัวเป็นฝรั่ง!!’ 
1. สร้าง Brand
2. ศึกษาลูกค้าอย่างลึกซึ้ง 
3. พัฒนาไปเรื่อยๆ ลดต้นทุน / เพิ่มคุณภาพ / ตอบโจทย์ตลาด

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

10 ข้อ ควรรู้ ทำไมขยัน ประหยัด แต่ก็ยังไม่รวยสักที !!




 
10 ข้อ ควรรู้ ทำไมขยัน ประหยัด แต่ก็ยังไม่รวยสักที !!

"มีคนแบบนี้เยอะไหม ?" ...บอกเลย โคตรเยอะ ...ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ อดทน ครบ แต่จน ...ก็เพราะ ไม่เข้าใจ 10 ข้อนี้

1. "โลกนี้ไม่ได้วัดที่ทำงานหนัก แต่วัดที่ผลงาน" ...ดังนั้น ต้องวัดผลงานของเราเทียบคนอื่นด้วย อย่ามองแค่ตัวเอง

2. "เครื่องทุ่นแรงมี ต้องใช้" ...สมัยก่อนวัดกันที่มือล้วนๆ เดี๋ยวนี้ มันมีเครื่องทุ่นแรง ...ยกตัวอย่าง ที่ฝรั่งเขาเงินเดือนสูงกว่าเรา ก็เพราะฝรั่งเขาเรียนรู้การใช้เครื่องทุ่นแรงทำงาน ...ดังนั้น อย่าแค่ก้มหน้า ก้มตาทำงาน ต้องมองไปรอบๆ ตัวด้วยว่า งานที่เราทำ มันมีเครื่องทุ่นแรงอะไรมาช่วยเราได้บ้าง ให้ทำงานเท่าเดิม แต่ให้ผลลัพธ์เพิ่มขึ้น

3. "คนเก่งไม่รวย คนทำงานกับคนอื่นดีต่างหากรวย" ...ยุคนี้เขาไม่สนว่าใครเก่ง แต่เขาสนใจ ใครร่วมงานกันแล้วดี ...ยกตัวอย่าง คุณ คนเดียวสร้างเครื่องบินไม่ได้ ...แต่คนหลายๆ คน รวมกันเป็นทีม สร้างเครื่องบินอวกาศยังได้เลย ...ไม่แปลก ถ้าวันนี้เรายังไม่รวย แปลว่า มรึงทำงานอยู่คนเดียวอ่ะ !!

4. "สิ่งที่ทำไม่มีความแตกต่าง" ...หลายคนทำสิ่งเดิมๆ ไม่แตกต่าง แล้วก็ งง ว่า ทำไมลูกค้าน้อยลง ...ก็เพราะ คนที่เขาทำสินค้าเฉพาะด้านเขาค่อยๆ มาแย่งลูกค้าจากเรา

5. "ไม่ใส่อารมณ์ เข้าไปในสิ่งที่เราทำ" ...ยุคนี้ลูกค้ามีทางเลือกเยอะ และ ตัดสินใจซื้อด้วยอารมณ์ ไม่ใช่เหตุผล ....ถ้าเราทำสินค้า ขายสินค้า ต้องเอาเรื่อง "อารมณ์" เป็นตัวตั้ง ...สมัยก่อน ต้องตอบว่า "ทำไมลูกค้าต้องซื้อของคุณ" ..แต่ยุคนี้มีเงิน ต้องตอบว่า "ทำไมลูกค้าต้องอยากได้สินค้าคุณ" ...มันต้องตอบที่อารมณ์ ไม่ใช่แค่เหตุผล !!

6. "ประหยัดผิดที่ไม่มีรวย" ...ยุคก่อนทำงาน แล้วออมในธนาคาร ก็รวยได้แล้ว แต่ยุคนี้ ต้องออมในสินทรัพย์ ...เพราะ ธนาคารไม่มีดอกเบี้ยแล้ว ใส่เงินเท่าไหร่ เก็บนานไป มูลค่ายิ่งลด ....คนรวยถึงเก็บเงินในสินทรัพย์ เพราะ สินทรัพย์เป็นสิ่งเดียวที่สิ่งเก็บมูลค่ายิ่งเพิ่ม ....แบ่งเวลาไป ลองศึกษา "ออมหุ้น" หรือ "ออมอสังหา" จะทำให้ประหยัดแล้วรวยได้

7. "คนส่วนใหญ่ แค่อยากดูรวย ไม่ได้อยากรวย" ...อยากดูรวย คือ มีเงินเท่าไหร่ ก็ต้องไปซื้อของเพื่อมาใส่ มาใช้ ให้ดูรวย ...ทำแบบนี้ ชาติหน้าก็ไม่รวย ..."อยากดูรวย ...ไม่มีทางรวย ฟันธง"

8. "คนรวย ต้องเข้าใจคน" ...เข้าใจคนแปลว่า ต้องรู้ว่า คนแต่ละคน ต้องการอะไร แล้วปฏิบัติต่อเขาในแบบที่เขาชอบ ...อย่า ติส ...รวยแล้วค่อยติส ก็ยังทันนะ

9. "หัดเดินทางลัดบ้าง" ...ทางลัด คือ "ทำงานน้อย แต่ได้เงินเยอะ" ...การเดินทางลัด คือ เราต้องรู้จักปฏิเสธงานหนัก เงินน้อย เพราะ เวลาเรามีจำกัด ...ถ้ามัวแต่เสียเวลากับ "งานหนัก เงินน้อย" ก็ยากที่จะร่ำรวยได้

10. "ขี้กลัวมากเกินไป" ...อันนี้ปัญหาคนเก่ง รู้เยอะ จะขี้กลัว มองแต่ความเสี่ยง จนไม่กล้าทำอะไร ไม่กล้าลงทุนอะไร ...ข้อแนะนำของผม คือ ทดลองความเสี่ยงเล็กๆ ที่ควบคุมได้ ....ยกตัวอย่าง ถ้าเสียเงินก้อนนี้ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าทำได้จะเติบโตก้าวกระโดด ...แบบนี้ ต้องทดลอง ทำเลย !!

ใช่!! บางคน ติดแค่ไม่กี่ข้อ ....ผ่านได้ ก็ไปต่อได้ ....ลองดู

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ