แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2563

หุ้นแบบไหนมีอนาคตมากกว่ากัน

‘หุ้นแบบไหน มีอนาคตมากกว่ากัน’

ในอดีตผมมองว่า หุ้นที่ผมซื้อควรทำธุรกิจที่คนขาดไม่ได้ (ตามแนว VI ระดับโลก) ...สุดท้าย พอร์ตผม เต็มไปด้วยหุ้นน้ำมัน , ไฟฟ้า , อาหาร ...พูดง่ายๆ ผมเก็บแต่หุ้นที่อยู่ในธุรกิจที่จำเป็น มนุษย์ต้องกินต้องใช้ ...สรุป ถามว่าดีไหม ?

ตอบตรงๆ เลยนะ ‘มั่นคงดี ก็รวยใช้ได้นะ ..แต่รวยน้อยกว่าคนอื่น!!’

‘เฮ้ย!! อธิบายด่วน หมายความว่าอะไร ?’

...แล้วไง ?

...วันนี้ผมมาเรียนรู้ว่า ‘มันมีวิธีรวย ที่สบายกว่านี้ ง่ายกว่านี้ !!’ ...รู้ไหมทำไง ?

...อย่างแรก ‘เปลี่ยนวิธีคิดก่อน’

คือ ในอดีต คนรวยคือ คนที่ทำในสิ่งที่จำเป็น ...เพราะ ในอดีต ‘ความต้องการ’ มากกว่า ‘สินค้า’ เสมอ

แต่ปัจจุบัน โลกเข้าสู่ ‘สินค้า’ มันผลิตเกิน ‘ความต้องการ’ เช่น ‘น้ำมัน’ ปัจจุบัน น้ำมัน สามารถผลิต ได้มากกว่า ความต้องการใช้จริงๆ

ผล ก็คือ น้ำมันจำเป็นนะ ขาดไม่ได้ แต่ราคาไม่เอาไหนเลย ...บริษัทน้ำมัน ในอนาคต แค่เอาตัวให้รอด ก็เหนื่อยแล้ว

...หลักฐานก่อนหน้านี้ ..การเกษตร โคตรจำเป็นเลย คือ ความมั่นคงของประเทศ แต่คุณหาให้ผมดูหน่อยว่า ชาวนา ที่เป็นมหาเศรษฐี มีกี่คน ?

...มาของ ไม่จำเป็นบ้าง !! ...หนี้ บัตรเครดิต ...โคตรรวยเลย ปล่อยเงินให้คน ซื้อของไม่จำเป็น ...ความต้องการ มากกว่า จำนวนเงินที่ปล่อยกู้เสมอ

แปลว่า ...ธุรกิจจำเป็น ไม่เห็นการเติบโต ...แต่ธุรกิจไม่จำเป็น สามารถโตได้ไม่จำกัด ....หนี้ !! ...โตได้เรื่อยๆ ไม่จำกัด ‘ใครๆ ก็อยากเป็นหนี้ จริงไหม ?’

หลังจากนี้ พี่แพ้ท จะลงทุนยังไง ?

‘ครับ’ ...ผมก็ยังลงทุนในหุ้นที่จำเป็นอยู่นะ ...แต่ส่วนที่จะทำให้พอร์ตผมโต ผมเชื่อว่า มันไม่ได้มาจากหุ้นจำเป็น ...แต่มันจะมาจากหุ้น ไม่จำเป็น แต่คนขาดไม่ได้

...รถหรู บ้านหรู ...ไม่จำเป็น แต่ ขาดไม่ได้
..หนี้ ...ไม่จำเป็น แต่ของมันต้องมี ก็เลยจำเป็นโคตรๆ
...ความสวย ชนะ สุขภาพเสมอ
...ความกลัว ชนะ ความจริง เสมอ
...ของแพง ยังไงก็ดีกว่า ของถูก (ธุรกิจขายแพง เลยรวยกว่าเสมอ)

สรุป หุ้นไหน ที่คนส่วนใหญ่ มองว่า จะกลับมาเร็ว หรือ จะดี ผมว่า มันจะไม่ดี ...แต่อะไรที่คนคิดว่าไม่ดี รอบนี้ มันจะมาครับ !!

เฮ้ย!! คิดหนักเลย ...ใช่!! ทำการบ้านให้เยอะ ...รอบนี้ตลาดจะสร้างคนรวยเยอะเลย ...แต่คนรวยเหล่านี้ ต้องคิดไม่เหมือนคนส่วนใหญ่คิดนั่นเองครับ

‘หุ้นไหน เขาเชียร์กัน ...คุณอย่าไปยุ่งจะรวยกว่า’ ...อันไหน ไม่มีใครเชียร์ ...อาจใช่!!!!!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


อะไรที่เราควรซื้อ มือสองดี

‘อะไรที่เราควรซื้อ มือสองดี ?’

ตั้งแต่เด็ก ผมเคยคิดว่า ..’คนที่ซื้อของมือสอง ก็คือ คนที่ไม่มีตังค์ ซื้อของมือหนึ่งไม่ไหว ก็เลยต้องมาซื้อของมือสอง!!’ ...ใครคิดแบบนั้นบ้าง ยกมือขึ้น !!

เมื่อเวลาผ่านไป ...ผมโตขึ้น ...เดินทาง และ เรียนรู้มากขึ้น ...เจอคนมากมาย ...โดยเฉพาะ อาชีพนักการเงินอย่างผม ต้องเจอ เศรษฐี ไปจนมหาเศรษฐี มากมาย

สิ่งที่ผมเคยคิด กับ ความเป็นจริง มันช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว !!

..ผมพบว่า ‘พวกเศรษฐี ซื้อแต่ของมือสอง ...แต่คนทั่วไป ซื้อแต่ของมือหนึ่ง !!’

...ที่ดินที่เศรษฐีซื้อมา คือ ของมือสอง ...ของสะสม แทบทุกอย่างของเศรษฐีคือ ของมือสอง ...หุ้น และ การลงทุนส่วนใหญ่ เขาซื้อในตลาด ก็คือ ซื้อมือสอง ...อ้าว!! แล้ว หุ้น IPO ...นั่นน่ะ เขาเป็นคนขาย IPO ให้รายย่อยรับมือหนึ่ง ...เขาเป็นคนขายไง ...แต่หุ้นที่เขาสะสม ล้วนซื้อในตลาด ก็มือสองทั้งนั้น

ที่แสบกว่านั้น คือ ‘ราคามือสอง ที่เศรษฐีเหล่านี้ซื้อ มักเป็นเวลาที่เกิดวิกฤต หรือ เวลาที่คนขายร้อนเงิน ..ทำให้เขาได้ราคาที่ถูกมากๆ’

- เรามักจะคุยกันว่า ‘เรามีความสุข ที่ได้ครอบครองของสิ่งนี้’ แต่พวกเศรษฐี เขากลับมีความสุขมากกว่า ที่ได้คุยว่า ‘เขาซื้อของ สิ่งนี้ มาในราคาถูกขนาดไหน !!’

ผมเคยคุยกับเพื่อน ที่ซื้อแต่ของมือหนึ่ง ว่า ‘ทำไมนายไม่ซื้อของ มือสองเลยล่ะ ?’

เขาตอบว่า

1. ‘เดี๋ยวคนอื่นดูถูกว่า ไม่มีเงิน ถ้าซื้อของมือสอง ..จริงเหรอ ?’ ...ผมมานั่งคิดว่า ‘การกลัวคนอื่นดูถูก นี่มันมีราคาแพงจริงๆ’ ...คนรวยจริงๆ ที่ผมเจอ ส่วนใหญ่ ไม่เคยสนใจเลยว่า คนอื่นจะดูถูก

...ไม่ใช่ซิ ..เขาไม่แคร์เลยมากกว่า ว่าคนอื่นจะมองเขายังไง ? ...มันเลยทำให้เขาใช้ชีวิตในแบบที่สบายกว่า ต้นทุนทางสังคมถูกกว่า (แปลกแต่จริง) ...เศรษฐีตัวจริง มักจ่ายเงินน้อยกว่า เพราะ ไม่ต้องเสียเงินเพื่อให้ตัวเองดูดีในสายตาคนอื่น ...นั่นคือ ต้นทุนที่แพงที่สุดของคนยุคนี้เลยทีเดียว !!

2. ‘กลัวโดนหลอก’ ...การที่จะแก้ปัญหาโดนหลอก ก็คือ เราต้องมีความรู้ ..สมมุติเราจะซื้อนาฬิกามือหนึ่ง เราก็แค่เดินเข้าร้าน ก็จบละ ...’นี่ครับ Patek รุ่นพิเศษ  1 ล้านเท่านั้น’ ...เอาตรงๆ นะ พอซื้อแล้วเดินออกจากร้าน ราคาจะลดลงทันที 30-50% ...หลายคนบอก ‘มันก็มีบาง Brand นะ ที่ซื้อมาแล้วราคาขึ้น!!’

...เอาอย่างงี้ ‘คนที่พูดแบบนี้ บอกเลยว่า ส่วนใหญ่ไม่เคยขายของมือสอง’ ...ที่ไม่เคยขายของมือสอง เพราะ ‘กลัวว่า คนอื่นจะมองว่าฉันไม่มีเงิน’ (สรุป สิ่งที่แพง ที่สุด ของคนเรา คือ กลัวคนอื่นมองไม่มีเงิน)

ผมมานั่งคิดว่า ‘ถ้าเราผ่านจุดนี้ไปได้ ชีวิตจะดีขึ้นทุกคน’ ...ทำไมเราต้องกลัวว่าคนอื่นจะมองเรายังไง ...จนเราใช้ชีวิต แบบที่ว่า

‘ซื้อของ ที่ไม่ชอบ ในราคาที่แพงบ้าคลั่ง เพื่อโชว์คนที่เราไม่ชอบหน้า ...สุดท้าย เราต้องขายสิ่งที่เราชอบ ...เฮ้ย!! ทำเพื่อ ?!?’

ทางแก้ !!

ผมว่าทางออก คือ

1. ‘หาความรู้ ในสิ่งของที่เราอยากได้มากขึ้น’ ...แค่มีความรู้เราก็จะประหยัดเงินมหาศาล เพราะ คนอื่นจะไม่สามารถหลอกเอาของไม่ดี มาขายเราแพงๆ

2. ‘กล้าซื้อของมือสอง’ ...อย่าไปสนว่า คนอื่นมองเรายังไง เพราะ สุดท้าย คนอื่นไม่ได้รับผิดชอบชีวิตเรา ...อย่าได้แคร์ ว่างั้น !!

3. ‘คุณจะเป็นคนมีเสน่ห์มากขึ้น แค่ทำตามข้อ 1 และ 2 ได้’ ...คนที่ใช้ชีวิตมัวแต่แคร์ว่าคนอื่นจะคิดยังไง จะขาดความมั่นใจ ไร้เสน่ห์ ...ต่างกับคนที่มั่นใจในตัวเอง ...ไม่เห็นต้องดูรวย แต่ฉันใช้ชีวิตในแบบที่ฉันต้องการจริงๆ ไม่แคร์สายตาใคร

4. ‘คนที่กล้าซื้อและ กล้าขาย’ ...จะไม่สะสมขยะ ...ของที่ไม่ดีจริง ก็ขายทิ้งไป ...เก็บไว้แต่สิ่งที่ใช่ และดีจริงๆ ไม่รกบ้าน

ก็ประมาณนี้ครับ ...’อย่าใช้ชีวิต แบบติดกับดัก ...เราต้องมั่นใจ และ ใช้ชีวิตในแบบที่เราต้องการจริงๆ ไม่ต้องแคร์ว่า ใครจะดูถูก’

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2563

อะไรคือโอกาสในธุรกิจออนไลน์

‘อะไรคือโอกาส ในธุรกิจออนไลน์’

ใครๆ ก็รู้ว่า ออนไลน์ คือ ธุรกิจของอนาคต แต่ประเด็นที่สำคัญกว่า ...’แล้วฉันควรทำอะไร เพื่อให้ได้โอกาสสูงสุด สำหรับโลกออนไลน์ในอนาคต ?’

เอางี้ ผมขอสรุป ให้เข้าใจง่ายๆ ว่า ‘เราควรทำอะไรในโลกของออนไลน์ คือ อนาคต’ ดังนี้

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

1. ‘ธุรกิจที่เหมาะกับออนไลน์ คือ สินค้าที่ Margin สูง’ ...หลายคนคิดว่า ทุกอย่างรุ่งหมดแหละ ในออนไลน์ แต่เอาเข้าจริง ผมว่า E-commerce ส่วนใหญ่ ไม่น่ารอดนะ ...เอาง่ายๆ ผมว่า สินค้ากว่าครึ่งที่ Amazon ขายน่ะ มันไม่น่ารอดในระยะยาว ...ทำไมน่ะหรือ ?

ให้ผมเดานะ

1. ค่าโฆษณา Facebook (หรือ ค่าโฆษณาออนไลน์) นับวันจะแพงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทางลดลง

2. ค่า ‘ขนส่ง’ นับวันจะแพงขึ้นเรื่อยๆ

3. คนซื้อ สนใจแต่ของที่ถูกลง ...ใครแพงเลิกซื้อ ...ดังนั้น คุณต้องเฉือนเนื้อเข้าสู้ ...ถามหน่อย เกมแบบนี้ มันจะอยู่ได้นานแค่ไหน ?

4. คู่แข่ง เกิดง่ายมาก ...ถ้าคุณทำอะไรดี พรุ่งนี้จะมีคนที่ทำเหมือนคุณเลย ในราคาที่ต่ำกว่า ...ลูกค้าจะเลือกแบบไหน ? ...แน่นอน ลูกค้าจะเลือกที่ถูกกว่า

โอเค!! คนที่จะรอดได้ ต้องมี

1. ‘Brand แข็ง’...ยกตัวอย่าง นาฬิกา Patek คนไม่ได้ซื้อ Patek เพราะว่า มันถูก ...ดังนั้น ถึงมีคนทำนาฬิกาที่ดีกว่า Patek และราคาถูกกว่า คนก็จะไม่เปลี่ยนไปซื้ออันนั้น ...แปลว่า คุณสอบผ่านในเรื่อง Brand

2. ‘Margin สูง’ ...ถ้า Margin ต่ำ แค่จะทำให้คุ้มค่า โฆษณา และ ค่าขนส่ง ก็แทบไม่คุ้มแล้ว ...ดังนั้น สินค้าที่ Margin ต่ำ ควรขายผ่านช่องทางปกติ ...ถ้าจะขายผ่านออนไลน์แล้วคุ้มในระยะยาว ต้องเป็นสินค้าที่ Margin สูง

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

2. ‘ออนไลน์ เหมาะกับ ธุรกิจที่คนซื้ออยากบอกต่อ’ ...สินค้าบางอย่าง คนซื้อ อยากซื้อเงียบๆ ไม่อยากบอกใคร ...แบบนี้ไม่เหมาะกับออนไลน์ ...ที่เหมาะคือ สินค้าที่ซื้อแล้ว อยากแนะนำให้เพื่อซื้อด้วย

3. ‘ออนไลน์ เหมาะกับ ธุรกิจที่เป็นระบบ’

4. ‘ออนไลน์ เหมาะกับ ธุรกิจที่ต้องซื้อซ้ำๆ’ ...การซื้อซ้ำๆ มันทำให้ต้นทุนการหาลูกค้าใหม่ลดลง ทำให้คุ้ม ...เพราะ จริงๆ แล้ว ต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่ มันแพงกว่าเสมอ แม้ว่า จะเป็นออนไลน์ ก็ยังแพงอยู่ดี

ก็ประมาณนี้ ...ใครคิดจะ ทำธุรกิจออนไลน์ หรือ ขยายตลาดไปออนไลน์ ควรทำความเข้าใจให้ดีครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

อสังหาริมทรัพย์หมดอนาคตแล้วใช่ไหม

‘อสังหา หมดอนาคตแล้ว ใครๆ ก็พูดกัน!!’

จริงเหรอ ? ....ผมถามหน่อย มีมนุษย์ยุคไหน ที่สามารถซื้อบ้าน ในราคาที่ถูกกว่าคนรุ่นก่อน มีไหม ?

ถูกต้อง ไม่มีไง !! ...มันจะมีได้ไง เพราะ ตั้งแต่ยุคโชซอน ถึง จักรพรรดิ ทรัมป์ ...ที่ดินและอสังหา มันแพงขึ้นเสมอ

‘แต่คนไม่มีเงินซื้อบ้านแล้ว ...มันจะไปยังไงต่อ ?’

ตอบง่ายๆ มันจะมี 2 แนว คือ

1. ‘จะมีคนที่เช่าบ้านชั่วชีวิต ไม่ซื้อเลย’ ...เพราะ คนรุ่นใหม่บางคน อาจชอบใช้ชีวิต On the Move คือ พร้อมย้ายถิ่นฐาน เปลี่ยนงาน เปลี่ยนแปลงตลอด ไม่ชอบอยู่ที่เดิม ...คนแบบนี้ ก็จะ เช่าเอา ไม่ซื้อ

2. ‘คนที่ยอมผ่อนบ้าน นานขึ้น’ ...ในอดีตเราไม่ค่อยเห็นหรอก คนยอมผ่อนบ้าน 30 ปี ...’ใครจะไปผ่อนนานขนาดนั้น!?!’ ...แต่ปัจจุบัน การผ่อนบ้าน 30 ปี เป็นเรื่องปกติ ....ก็คนเราอายุยืนขึ้นไง ไม่แปลก ...งั้นต่อไป ผ่อนบ้านชั่วชีวิต ก็คงเป็นเรื่องปกติ ...พอตายปั๊บ เราก็มี บ้าน เป็นมรดกให้คนรุ่นต่อไป

ประมาณว่า ลงทุนข้ามชาติกันเลยทีเดียว ...

เฮ้ย!! จริงดิ ...คิดตามแล้ว จิตตกเลยว่ะ

...’คนแต่ละรุ่นน่ะ คิดไม่เหมือนกัน ...แต่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ เราจะคิดยังไงไม่สำคัญ เพราะ เราเปลี่ยนโลกให้ไปตามที่เราคิดไม่ได้ ...สุดท้ายโลกมันเปลี่ยนเราในแบบที่มันจะเป็นอยู่ดี’

‘แปลว่า ถ้าใครเข้าใจโลก ในแบบที่มันจะเป็น ก็จะได้เปรียบ ?’

ใช่!! ‘ถ้ารู้ว่าโลกมันจะเป็นยังไง เราก็ได้เปรียบ’

โอเค เรามาคุยกัน ว่า ‘ในมุมที่ผมเข้าใจ ผมว่าโลกมันจะไปแบบนี้’ คือ

1. ‘อสังหา ในระยะยาว ราคาจะแพงขึ้นไปเรื่อยๆ’ ...เพราะ ที่ดิน มีจำกัด แต่เงินมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะ รัฐบาลทั้วโลก พิมพ์เงินเพิ่มเพื่อพยุงเศรษฐกิจ

2. ‘จะมีบางช่วงที่ราคาอสังหา ลดลงมาในจุดที่ถูก เป็น ช่วงๆ’ ...ใช่!! อสังหา ไม่สามารถแพงตลอด มันก็จะมีบางปี ที่ราคาอสังหา ลดลงมาจนน่าสนใจ ...แต่ก็เหมือนหุ้นแหละ คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้ซื้อ เพราะ หนึ่ง ไม่มีเงิน สอง ยังไงก็ซื้อไม่ไหว (มันเป็นโอกาสของคนมีเงินมากกว่า นั่นแหละครับ)

3. ‘เราจะติดกับดักหนี้ มากขึ้นเรื่อยๆ’ ...เราเคยสงสัยไหมว่า ทำไมเดี๋ยวนี้ใครๆ ก็ขับรถ ราคาเป็นล้านได้ ...ไม่แปลก เพราะ มันผ่อนได้ ยาวววว ...เดี๋ยวนี้ รถ 3 ล้าน คุณสามารถผ่อน เดือนละ 30,000 บาท 7 ปีได้ละ ...ถ้าให้เดา ผมว่า ต่อไป คนก็จะขับรถแพงขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ผ่อน นานขึ้นไปอีก

4. ‘คนจะเป็นหนี้ ทั้งบ้าน และ รถ นานขึ้นเรื่อยๆ’ ...อีกหน่อย เราก็จะเห็นคนผ่อนนาฬิกา ผ่อนเสื้อผ้า ผ่อนทุกอย่างนั่นแหละ ...ใช่!! นี่คือ หลักการ ใช้ชั่วคราว เป็นหนี้ชั่วโคตร ...นั่นคือ วิถีชีวิตแบบคนรุ่นใหม่ (ไม่ค่อยดีอ่ะนะ แต่คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ ก็จะใช้ชีวิตแบบนี้อยู่ดีอ่ะ)

5. ‘เราสามารถหลุด จากวงจรแย่ๆ แบบที่ว่ามาได้หรือไม่ ?’ ....ได้ครับ แต่ต้อง ‘มีแผน และ มีวินัย’

หนึ่ง ‘ไม่สร้างหนี้ ถ้าไม่ใช่เอามาซื้อสินทรัพย์’ ...ถ้าสิ่งที่เราอยากได้ ไม่ใช่สินทรัพย์ ต้องไม่สร้างหนี้เด็ดขาด

สอง ‘ทุกครั้งที่เกิดวิกฤต ให้ทยอยสะสมสินทรัพย์ ให้มากที่สุด’ ....เงินน้อย ก็ทยอยซื้อหุ้นได้ ...เงินเยอะ ก็อาจซื้ออสังหาได้ เอาที่เราถนัดและเข้าใจมัน

สาม ‘ใช้เงินจาก Passive Income เท่านั้น’ ...ใช้เงินอย่างไรให้ไม่จนลง ...ก็ใช้เงินจาก ปันผล หรือ ดอกเบี้ย เท่านั้น ไม่แตะเงินต้น

ใช่!! ใครทำ 3 ข้อนี้ได้ นานพอ ...สุดท้าย จะสามารถหลุดออกจาก Rat Race ได้ในที่สุดครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

จุดเริ่มต้นของวิกฤตครั้งใหม่


‘จุดเริ่มต้นของวิกฤตครั้งใหม่’

มีหลายคนถามผมว่า Covid คือ จุดเริ่มต้น หรือ Tipping Point ไปสู่ วิกฤตที่เลวร้ายกว่านี้ใช่หรือไม่ ?

‘ใช่ครับ!!’ ...บางธุรกิจ หรือ บางอาชีพ อาจถึงการล่มสลายเลยก็ได้ ...ทุกครั้งที่เราเผชิญวิกฤต มันจะเหมือน ‘สารเร่ง’ ...เร่งให้อนาคตมาถึงเร็วขึ้น

อย่างในอดีต วิกฤตที่เลวร้ายสุดๆ เลย เช่น สงครามโลก ...มันทำให้ ธุรกิจ และ อาชีพ ล่มสลายจำนวนมาก ...แต่อีกมุม มันได้สร้าง นวัตกรรมใหม่ๆ ในเกือบทุกด้านเลยนะ ตั้งแต่ การสื่อสาร , การขนส่ง , การอุปโภค บริโภค , การใช้ชีวิต , อาชีพใหม่ๆ

ใช่!! Covid อาจจะไม่ได้เลวร้ายเท่าสงครามโลก แต่มันก็เป็น ‘จุดเปลี่ยน’ ครั้งนึงของโลกเราเหมือนกัน

ผมอ่านบทความค่อนข้างเยอะ ที่เขียนเกี่ยวกับผลกระทบ แล้วก็สิ่งที่จะเกิดขึ้น หลังจากนี้ ...ยิ่งอ่านก็รู้สึกว่า ‘ทุกคนเดากันไป เปะปะ คนละทิศ คนละทาง’ ...เฮ้ย!! ยังไง มันต้องมีคนเดาถูกแน่นอน

แต่ปัญหา คือ ‘ข้อมูล แบบนี้ มันใช้ประโยชน์ไม่ได้ !!’

สมมุติอ่านไป 100 คน เราขอเลือก 1 คนนี้แหละ ดูมีเหตุผล น่าจะเป็นแบบนี้แหละ !! ...อ้าว!! แล้วถ้ามันผิดล่ะ ...ซึ่งโอกาสผิดมันก็ 99 ต่อ 1 อ่ะนะ ...แล้วจะทำยังไงต่อ ?

เอางี้ ...ผมว่า ทุกอาชีพ ต้องกลับมาทบทวนมากกว่า ว่า เราจะเอายังไงต่อ กับงาน สิ่งที่เราทำอยู่ ...เราควรจะวางแผนต่อไปยังไง

อย่างผม อยู่ในอาชีพ สายการลงทุนในหุ้น ...ผมเริ่มตั้งคำถามแล้วค่อยๆ ตอบทีละข้อ ...ซึ่งมันช่วยให้ผมรับมือกับวิกฤตครั้งนี้ได้ดีขึ้น ดังนี้

1. ‘หลัง Covid ตลาดหุ้นจะอยู่ต่อไปไหม ?’ ...อันนี้เป็นคำถามแรก สำหรับอาชีพที่เราทำเลย ...ตอบเลย ตลาดหุ้นยังอยู่แน่นอน ..เพราะตลาดหุ้น คือ ที่รวมของบริษัทที่ใหญ่และแข็งแรงที่สุดในแต่ละประเทศ ...วิกฤต Covid ทำลายธุรกิจ ในวงกว้าง ตั้งแต่รากหญ้าขึ้นมาเลย ...แต่ถ้ามองดีๆ ผมว่า ธุรกิจชุมชน จริงๆ อยู่ได้นะ เพราะ วันนี้คนเห็นความสำคัญกับการบริโภคสิ่งที่ใกล้ตัวมากขึ้น ...รายใหญ่ก็น่าจะรอด เพราะ สายป่านยาว ...แต่ SME ขนาดกลาง น่าจะล้มหายตายจากไปเยอะที่สุด

2. ‘คนจะซื้อหุ้นมากขึ้น หรือ น้อยลง หลังจากนี้’ ...อันนี้คำถามเบสิคมากๆ ที่จะบอกว่า สิ่งที่เราทำ มันจะรุ่งหรือร่วง ...ถ้าต่อไปคนจะซื้อสิ่งนี้มากขึ้น ก็รุ่งแน่นอน ต้องลุยต่อ

ถามว่า หลังวิกฤตคนจะอยากซื้อหุ้นมากขึ้นไหม ? ...ตอบเลยว่า ‘มากขึ้น’ เพราะ หลังวิกฤตแนวโน้มที่จะตามมาคือ เงินเฟ้อสูง แต่ดอกเบี้ยต่ำ ...ฝากธนาคารเฉยๆ ไม่ได้ เงินเฟ้อ และ ค่าครองชีพ มันทำลายมูลค่าเงิน ...คนก็จะต้องหาทาง ลงทุนให้เพิ่มมูลค่า ...หุ้นก็น่าจะเป็นหนึ่งในทางออก

อย่างหลักการที่ผมนำเสนอตลอดก็คือ ‘ออมในหุ้น’ ผมว่า หลังจากนี้จะยิ่งฮิต ...เพราะ หนึ่ง หุ้นมันไม่แพง และ สอง ผลตอบแทนมันค่อนข้างสูง (ยิ่งวิกฤต Yield ปันผล ยิ่งสูง ...มันเลยเป็นคำตอบ)

3. ‘ลงทุนแนวไหน น่าจะรุ่งที่สุดหลังวิกฤต’ ...ถ้าเดาว่าตลาดหุ้นจะเป็นยังไงหลังจากนี้ ...ตอบได้เลยว่า ผันผวน ...ดังนั้น คนที่จะรอดในตลาดผันผวน คือ พวกที่ จิตนิ่ง !! ...จิตใจมั่นคง

คนที่จะไม่รอดคือ พวกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ...เอ๊ะ!! เล่นยาวดีกว่า ...พอหุ้นลงแรง ...เอ๊ะ !! ขายไปก่อนดีกว่า ...พอหุ้นสะบัดกลับมา ...เฮ้ย!! หรือเล่นยาว แต่ราคามันขึ้นไปเยอะ เอาไงดีวะ ...เดี๋ยวตกรถ ซื้อก็ได้ !! ...ตูม!! ‘ตลาดปรับฐาน’ ...เละ ครับ !! ใครแนวทางไม่ชัด หลังจากนี้ คำเดียว ‘เละแน่นอน’

ดังนั้น จากนี้ไป ‘แนวทางต้องชัด’ ...เล่น 2 แนวได้นะ แต่ต้องเปิด 2 พอร์ต (แยกกันชัดเจน)...พอร์ตนึงเอาไว้เก็งกำไร เล่นเอาส่วนต่างของราคา ใช้ Technical เป็นหลัก วาง Stop Loss ชัด ไม่ใช้อารมณ์ ใช้กราฟล้วนๆ

อีกพอร์ต ‘ออมหุ้น’ ครับ ...อย่างแรกทำ Stock Wish List เลือกหุ้นที่คิดว่ารอดจากวิกฤต แต่ยังไม่ซื้อทันที ...จากนั้น รอว่า หุ้นที่เลือก ราคาลง ก็ทยอยจัด เก็บไปเรื่อยๆ

ใช่!! ถ้าใครเปิดพอร์ตเดียวแล้ว คิดว่าจะ เล่นทั้งสั้น และ ยาว ...พังแน่นอน ...มันจะเริ่ม งง แล้ว สุดท้ายจะมั่ว ....ต้องแยกให้ชัดเจนครับ ‘วิกฤตครั้งนี้ คนรอด ต้องชัดเจน!!’

สรุป หลัง Covid จะเป็นวิกฤตของหุ้นหลายๆ ตัว อาจถึงขั้นเจ๊ง ...แต่บางตัวจะเป็น Tipping Point สู่โอกาสครั้งใหม่ครับ

ครั้งก่อน หลังปิดสนามบิน เราเจอหุ้น 50 เด้ง ในสิบปี อย่างหุ้น AOT ...หลังจากวิกฤตหนี้ เราเจอหุ้น 60 เด้ง อย่าง KTC ในสิบปี

ครั้งนี้ ...มันก็ต้องมีหุ้นหลายสิบเด้ง หลังจากนี้ ...เพียงแต่มันจะไม่ใช่ตัวเดิมไง !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย
http://bls.tips/pawawitTeam

หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ”

วิธีการทำให้ตัวเองโชคดีในตลาดหุ้น

‘เล่นหุ้นอย่างไร ให้โชคดี’

เล่นหุ้นต้องอาศัยโชคด้วยเหรอ ...ใช่ซิ !! ทุกอย่างในชีวิตมันก็มีเรื่องของโชคเข้ามาเกี่ยวข้องทุกเรื่องแหละ

ประเด็นที่คนไม่ค่อยพูดกัน คือ ‘เราสามารถ ออกแบบ ให้ตัวเองโชคดีได้ ในทุกเรื่อง’

...‘เดี๋ยวนะ!! ออกแบบให้เราโชคดี ...เฮ้ย!! มันทำได้ด้วยเหรอ’ ...อธิบายซิ

ยกตัวอย่าง ‘คุณอยากจะซื้อหุ้น แบบซื้อหวย คือ ซื้อทุกเดือนเท่าๆ กัน แล้วก็นั่งลุ้นถูกหวย’ ...ตลาดหุ้นก็ทำได้ ...ซื้อเท่ากันทุกเดือนเขาเรียกว่า DCA ...แล้วก็ซื้อ ETF แทน หวย ....ถ้าทำนานพอ อันนี้ รวยเลย ...รวยแบบไม่ต้องลุ้น !!

‘มันแทนกันได้ด้วยหรือ ?’

แทนได้ซิ ...จะเปรียบเทียบให้ดู

หวยน่ะ ...รางวัลมันก้อนโต จ่ายน้อย แต่ลุ้นใหญ่ ...จ่ายทุกงวด ได้ลุ้น แต่เอาเข้าจริง คนซื้อหวย นี่วินัยสูงมากนะ ...เขาซื้อทุกงวด ทั้งชีวิตเลย ...พูดง่ายๆ คนที่มีวินัยสูงแบบนี้ เป็นนิสัยของเศรษฐีเลยแหละ

เพียงแต่ไปซื้อหวย ที่โอกาสชนะ มัน 0.001% ก็เลยเป็นแบบที่เราเห็น ว่า ‘ทั้งที่มีวินัยในการทำ สม่ำเสมอ แต่สุดท้ายก็ยังไม่รวย’

...มาดูหุ้นบ้าง ...ปกติถ้าซื้อน้อย มันไม่ค่อยคุ้ม ...แต่ถ้าซื้อออม ยกตัวอย่าง ซื้อทุกครั้งที่หวยออก ครั้งละ 500 บาท ทุก 15 วัน ...อย่างนี้ทำได้ แต่ไม่ใช่ซื้อหุ้นรายตัว ...เราซื้อ ETF แทน

‘เริ่มปวดตับแล้ว !! ...อะไรอีก จะหุ้น หรือ ETF’ ...อธิบายง่ายๆ แบบนี้ ...สำหรับคนที่ไม่อยากศึกษาและไม่ได้มีเวลามาดูหุ้น การซื้อหุ้นรายตัว อาจทำได้ยาก เพราะ มันผันผวน

...แต่ถ้าเราอยากได้ ผลตอบแทนระยะยาวเท่าตลาดหุ้น คือ ‘ผลตอบแทนสูงที่สุดในสินทรัพย์ทั้งหมดแล้ว’ ก็ซื้อ ETF ซึ่งเป็น กองทุนดัชนีแทน (การซื้อ ETF นี่ง่ายๆ ก็ซื้อผ่าน Streaming เหมือน ซื้อหุ้นรายตัวเลย ..เช่น BMSCITH นั่นเองครับ)

...ข้อเสีย ของการออมในหุ้น (หรือ ออมใน ETF) คือ มันใช้เวลานาน ..ไม่ได้ลุ้น ...ไม่มันส์ว่างั้น

แต่ข้อดี คือ มันรวยชัวร์ ...ยิ่งแก่ ก็ยิ่งรวย ...รวยเท่าไหร่ ? ...ก็ประมาณ 10 เท่าขึ้นไป ของเงินฝาก ในระยะยาว ‘รวยขึ้น 10 เท่า เพียงเปลี่ยนวิธีออมเงิน’

(จริงๆ มันคำนวณไม่ยาก ..เราเอาเงินที่จะซื้อทุกเดือน คำนวณผลตอบแทนทบต้นที่ 10-12% เราก็ได้ตัวเลขแล้วว่า ...กี่ปี จะมีเงินเท่าไหร่)

ที่เล่ามา คือ อยากจะบอกว่า ‘หลายๆคน จริงๆ สามารถ ออมจนเป็นเศรษฐีได้หมดแหละ ซึ่งมันเริ่มจากเพียงเดือนละ 1,000 บาท แต่ทำสม่ำเสมอ ระยะยาว ก็จะเห็นผล’ ...ใช่!! มันต้องเปลี่ยนวิธีคิด จากซื้อแล้วสนุก ลุ้น ...มาเป็น เหมือนซื้อประกัน ใส่ไปเรื่อยๆ ไม่ได้หวังผลอะไร แต่สุดท้ายสิ่งนี้มันโต จนทำให้เราร่ำรวยได้

....นี่แหละ วิธีคิด ในการออกแบบพอร์ตหุ้นให้เราโชคดีครับ !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย
http://bls.tips/pawawitTeam

หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ”

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2563

10 ข้อ หุ้นแบบไหน ที่เหมาะกับคนเกษียณ

‘10 ข้อ หุ้นแบบไหน ที่เหมาะกับคนเกษียณ’

พูดแบบนี้ หลายคนจะแย้งว่า ..หุ้นมันผันผวนจะตาย มันไม่เหมาะกับคนเกษียณ

แต่ผมอยากจะบอกว่า ‘ในความผันผวน มันมีเพชรซ่อนอยู่ครับ’ ...พูดง่ายๆ ใครก็ตามที่ใช้หุ้นในการเกษียณมันกลับเป็นแนวทางที่สบายที่สุดแล้ว

ผมมีหลักการ คัดหุ้นเข้าพอร์ตเกษียณ ดังนี้

1. ‘คัดหุ้นที่ปันผล 3% ขึ้นไป’ ...ยิ่งยอดขาย และกำไรเติบโตก็ยิ่งดี

2. ‘ซื้อหุ้นที่ไม่คิดจะขาย’ ...หุ้นที่ไม่คิดจะขายมีข้อดีคือ มันสามารถขึ้นกี่เด้งก็ได้ ...เพราะ ถ้าเราคิดขาย มันขึ้น 50% เราก็ขายทิ้งไปแล้ว ...กลัวรวย!!

3. ‘ซื้อหุ้นที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม’ ...เอาเบอร์ 1 เท่านั้น ...อุตสาหกรรมอะไรก็ได้ ยังไงเบอร์ 1 ก็มีโอกาสรอดและรวยที่สุด

4. ‘คัดหุ้นที่เจ้าของถือเกิน 50%’ ...ถ้าเจ้าของถือเกิน 50% เขาจะทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ถือหุ้น

5. ‘ซื้อหุ้นนั้นในจังหวะ ที่ไม่มีใครเชียร์’ ...อย่างที่รู้กัน หุ้นดีก็ติดดอยได้ ถ้าซื้อตอนที่มีโบรคเกอร์เชียร์ ..คนอื่นเชียร์ ...ยิ่งมีข่าวดี เยอะ ยิ่งไม่ใช่จังหวะที่น่าซื้อ (เพราะ ข่าวดี เท่ากับ รายใหญ่ขาย)

6. ‘มีหุ้นเกิน 10 ตัว หรือมากกว่านั้น’ ...พอร์ตเกษียณ ไม่ใช่พอร์ตที่เรานะเอามาเสี่ยง ...ถ้ามี 1 ล้าน ก็ซื้อหุ้น ตัวละไม่เกินแสน 10 ตัว ....เดี๋ยวตัวดี มันก็จะมาช่วยตัวไม่ดี ...แล้วยังไงมันต้องมี หุ้นหลายเด้ง ถ้าถือยาวจริงๆ

7. ‘ช่วงแรกเน้นปันผล พอถึงแล้วเน้นเติบโต’ ...คนที่ปั้นพอร์ตเกษียณ ในช่วงแรกต้อง เน้นสะสมหุ้นที่ปันผล เพื่อให้เรามี Passive Income ที่เพียงพอ เลี้ยงเราได้ ...แต่เมื่อถึงแล้ว ก็ค่อยๆ แบ่งไปเน้นความเติบโต

8. ‘หุ้นหลายเด้ง ไม่ต้องสนใจสภาพคล่อง’ ..ถ้าเล่นสั้น ซื้อมาขายไป เรื่องสภาพคล่อง มีปริมาณซื้อขายเยอะ ถึงจะเล่นได้ ...แต่ถ้าเราอยากได้หุ้น 5 เด้ง 10 เด้ง ...สังเกตดีๆ ตอนที่ราคามันถูก แทบไม่มี Volume การซื้อขายเลย ...ใช่!! ของดี ซื้อยาก แต่ตอนขายง่าย เพราะ กว่าเราจะขาย มันก็เป็นหุ้นชั้น 1 ยอดฮิตไปแล้ว

9. ‘เงินสด ไม่ต้องมีมากมาย’ ...คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า คนเกษียณควรมีเงินสดเยอะๆ ...ตรงๆ นะ เงินสด มันผลตอบแทนน้อย ถ้าไม่ได้รีบใช้ ควรวางในสินทรัพย์ หรือ หุ้นที่มันผลตอบแทนดีกว่าเยอะ ....อย่างพ่อแม่ผม เกษียณแล้ว ผมให้ถือหุ้นเกือบ 100% ...สภาพคล่อง ‘ปันผล’ ก็คือ สภาพคล่อง ถ้าสะสมได้มากพอ มันให้ทุกปี สม่ำเสมอ แทบไม่ต้องวางในเงินฝากธนาคารก็ยังได้

10. ‘อย่าเล่น Margin สำหรับพอร์ตเกษียณ’ ...อันนี้สำคัญมาก คือ อย่ากู้ ในพอร์ตเกษียณ ...เพราะ มันเสี่ยงเกินไป

ก็ ประมาณนี้ ...ถ้าใครลอง ฝึกเลือกหุ้น เพื่อเกษียณ ...สุดท้าย คุณจะเกษียณแบบ สบายสุดๆ ...มันแค่ยากตอนเริ่ม แต่มันจะสบายเมื่อเราเข้าใจครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย
http://bls.tips/pawawitTeam

หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ”

5 มาตรวัด คัดหุ้น 5 เด้ง

5 มาตรวัด คัดหุ้น 5 เด้ง

‘พี่แพ้ทครับ ผมอยากได้หุ้น 5 เด้งขึ้นไป ...สอนผมดูหน่อยซิครับ’

เอางี้ ผม เอา 5 เรื่อง ที่มันจะช่วยคัดหุ้น 5 เด้ง จากตลาดมาดูกัน

1. ‘กำไรของบริษัทนี้ต้องโต 100% เป็นอย่างน้อยใน 5 ปีข้างหน้า’ ...ใช่!! งบการเงิน มันบอกไม่ได้ แต่มันช่วยกรองคุณภาพบริษัทในเบื้องต้น ...จากนั้น เราต้องมองในฐานะเจ้าของธุรกิจว่า ‘โตเท่าตัวได้ไหม ใน 5 ปี ...แล้วโตยังไง?’

2. ‘มีสินค้าชั้นนำ ในอุตสาหกรรมของตัวเอง’ ...เดี๋ยวนี้โรงงาน หรือ รับจ้างผลิต เอาเยอะๆ มันผ่านยุคนั้นไปแล้ว ...ยุคนี้หุ้น 5 เด้ง ต้องเป็นเจ้าของแบรนด์เป็นของตัวเอง ....และที่สำคัญ แบรนด์ นั้นต้องเป็นผู้นำในตลาดที่เขาอยู่

3. ‘ผู้บริหารมองไกล’ ...หุ้นที่จะโต 5 เด้งขึ้นไป เจ้าของต้องไม่ขาย!! ...ถ้าเจ้าของรินขายตลอดทาง หุ้นไม่มีทางไปไหน ...พูดง่ายๆ ว่า ถ้าเจ้าของยังไม่เชื่อมั่นในหุ้นตัวเอง ...ก็ไม่มีทางที่คนอื่นจะเชื่อครับ

4. ‘ธุรกิจตัวเบา’ ...วิชาตัวเบาในการทำธุรกิจ ก็คือ ยอดขาย และกำไร ต้องเติบโตได้โดยไม่ต้องสร้างหนี้มหาศาล ...ในอดีตธุรกิจแบบนี้มันหายาก ...คุณอยากได้ ก็ต้องกู้มาลงทุนมหาศาล ...แต่ปัจจุบันโอกาสของ ธุรกิจตัวเบา กำลังเกิดขึ้นเรื่อยๆ ...พวกหุ้นแบบนี้ 5 เด้งสบายๆ

5. ‘มีกลุ่มนักลงทุนที่เชื่อมั่น’ ...ขั้นแรก เจ้าของต้องเชื่อมั่น ซึ่งแค่นั้นไม่พอ ...ต้องมีกลุ่มนักลงทุนระยะยาวที่เชื่อมั่นด้วย ...พูดง่ายๆ เราให้พวกนักลงทุนที่ทำการบ้าน มากกว่าเรา ลึกกว่าเรา มาช่วยดู ...แต่ข้อควรระวังคือ ‘ต้นทุนเราต้องไม่แพง’ ...ถ้าเราไปซื้อหุ้นแพง ยังไงมันก็เสี่ยงอยู่ดี

ก็คร่าวๆ 5 ข้อนี้ ก็จะช่วยคัดหุ้น 5 เด้งในเบื้องต้น ...พอคุณชำนาญมีประสบการณ์มากขึ้น เดี๋ยวเราจะเห็นโอกาสที่มากขึ้น ...สามารถพลิกแพลงกระบวนท่าอื่นๆ ต่อไป

เอาใจช่วย ...เมื่อมีวิกฤต ย่อมมีโอกาสแฝงอยู่เสมอครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2563

คุณว่า Buffett เขาคิดยังไง

‘แล้ว Buffett เขาคิดยังไง ?’

ช่วงนี้ได้มีโอกาสดูสัมภาษณ์ค่อนข้างเยอะ ...จริงๆ ผมชอบดูเวลาที่เขาสัมภาษณ์สดๆ กับคนที่ประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ

เพราะเวลาดูสัมภาษณ์สด มันจะมีคำพูดบางคำที่หลุดออกมา ...ต่างกับอ่านหนังสือ หรือ อะไรที่เขาต้องการจะพูดออกสื่อ (ส่วนใหญ่ พูออย่าง ทำอย่าง ต้องอ่านให้ออก) ...อย่างคนนึงที่ผมชอบดูมากคือ Warren Buffett นักลงทุนที่เก่งที่สุดในโลก

‘เอาตรงๆ ตอนดู Warren Buffett ครั้งแรกๆ ..รู้สึกว่า เขาพูดฟังยาก พูดเร็ว แล้วไม่ค่อยตรงประเด็น’ ...แต่พอตั้งใจฟังดีๆ พบว่า เขาเป็นหนึ่งในคนที่พูดอะไรตรงมาก แล้วมีข้อคิดดีๆ ที่หลุดออกมา สามารถเอาไปใช้ได้เยอะ

‘อะไร คือ การลงทุนของ Buffett’ ...คนส่วนใหญ่คงมองภาพว่า ..อ๋อ Buffett ก็ นักเล่นหุ้น ..อะไรก็ว่าไป ...แต่ประเด็นสำคัญที่หลายคนไม่รู้ก็คือ ...เรื่องการเล่นหุ้น หรือ ลงทุนมันเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่เข้าใจไม่ตรงกัน

ยกตัวอย่าง ‘มีผู้ใหญ่ที่เกษียณแล้ว มาปรึกษามาว่า ..เขาควรลงทุนอย่างไรดีกับเงินเกษียณของเขา’

เอาตรงๆ นะ คำแนะนำ มันขึ้นกับแต่ละคน ...เพราะ สถานะทางการเงิน การใช้เงิน ไม่มีใครเหมือนกัน

‘แต่ถ้าจะถามว่า แบบไหนล่ะรวยสุด และ ปลอดภัยที่สุด ?’

...ถ้าตามหลักวิชาการ คนสูงอายุ เสียเงินไม่ได้ ใช้ไม่เยอะ ดังนั้น ให้ซื้อตราสารหนี้เยอะหน่อย ...แต่ถ้าถามว่า แนะนำส่วนตัวเถอะ เอาจริงๆ ควรลงทุนยังไง

อันนี้ที่ Buffett ตอบได้ดีมาก ...’เขาบอกว่า ให้ลงทุน’
แค่นั้น !! ...คนฟังก็ งง ดิ ...แล้วมันแปลว่าอะไร

...ขยายความเพิ่มเติม คนส่วนใหญ่คิดว่า คุณแค่มีบัญชีหุ้น แล้วเริ่มซื้อขาย ก็แปลว่า คุณเป็นนักลงทุนแล้ว ....แต่ไม่ใช่ !!

‘ในนิยามของ Buffett มองการลงทุน คือ ให้เงินทำงานอย่างแท้จริง ...แทบไม่สนการเก็งกำไร ระยะสั้นเลย’

Buffett มองว่า ‘ถ้าจะเรียกอะไรว่า การลงทุน เราต้องสามารถซื้อสิ่งนั้น แล้วไม่ได้สนว่า ราคาจะขึ้นเท่าไหร่ ...แต่ให้สนใจว่า ระหว่างที่ถือสิ่งนั่น มันต้องให้ผลตอบแทน ที่น่าพอใจ’

...แปลว่า อะไร ?

ก็แปลว่า ‘ถ้าห้ามซื้อขายสิ่งนั้น ...ของสิ่งนั้นยังจะมีค่าอยู่ไหม ?’

ยกตัวอย่าง ถ้าคุณมีที่ดิน แล้วมีคนมาเช่า คุณจะได้ค่าเช่า ...สมมุติว่า ‘รัฐบาลสั่งห้ามซื้อขายที่ดิน’ ...คำถาม คือ

 1.ที่ดินนั้น ยังมีมูลค่าอยู่ไหม

..2. ที่ดินนั้น ยังทำเงินให้คุณอยู่ไหม

ตอบคือ 1.ใช่มูลค่ามันยังมี เพียงแต่มันเปลี่ยนมือไม่ได้ ก็ถือต่อไป ...2. ระหว่างที่ถือ ถ้าคนเช่ายังจ่ายค่าเช่า ก็แปลว่า มันยังทำเงินได้อยู่ ....’นี่แหละ คือ นิยามของการลงทุน ให้เงินทำงานให้เราจริงๆ’

- ‘หุ้นล่ะ’ ...1. ถ้าหยุดการซื้อขาย มันจะมีมูลค่าไหม ก็ขึ้นกับว่า บริษัทนั้น ยังทำธุรกิจได้กำไรหรือไม่ ...ถ้าใช่ มันก็ยังมีมูลค่าอยู่ ....ยกตัวอย่าง หุ้นบริษัท ผลิตพลังงาน ถ้าเขาไม่เข้าตลาดหุ้น .. จริงๆ ก็คือ แค่ไม่ได้มีการซื้อขายหุ้น แต่จริงๆ ธุรกิจเขาก็ยังกำไรอยู่ ก็แปลว่า ‘มันมีมูลค่าในตัว แม้เขาจะไม่ได้เข้าตลาดหุ้นก็ตาม’
2. ระหว่างที่ถือ ถ้าบริษัทนั้นกำไร และ ก็ยังจ่ายปันผล ...มันก็เหมือน คนมีที่ดิน แล้วยังได้ค่าเช่าอยู่ นั้นแหละ

แต่!! ...แต่ไม่ได้หมายความว่า หุ้นทุกตัว ผ่าน 2 ข้อ ...ไม่ใช่!! หุ้นหลายตัว ไม่ทำกำไร ไม่จ่ายปันผล หรือ จ่ายปันผลน้อยจนตอบไม่ได้ว่า ‘ถือทำไม? ซื้อขายเล่นกำไรกว่า’ ...พวกนี้ก็ไม่ใช่การลงทุน มันเป็นแค่การเก็งกำไร

- ‘ทองล่ะ’ ....ข้อ 1 ผ่าน คือ ยังไงทองก็มีมูลค่าในตัวเองของมัน ...แต่ข้อ 2 ไม่ผ่านเพราะ ทองไม่สามารถให้ปันผล เหมือนที่ดินหรือหุ้น

- ‘ตราสารแปลกๆ ล่ะ’ ...ก็แค่ตอบ 2 ข้อ ว่า 1.ถ้ามันถูกห้ามการซื้อขาย มันยังมีมูลค่าในตัวเองไหม ถ้าไม่มีก็ไม่ผ่าน ...2.ถ้าถือเฉยๆ มันให้ปันผลเราไหม ...ถ้าไม่ ข้อ 2 ก็ไม่ผ่าน

...เฮ้ย!! ไม่ผ่านเลย ....ก็นั้นแหละ ที่วันนี้หลายๆ คิดว่า เขาซื้อหุ้นบางตัว หรือ ลงทุนแปลกๆ ...จริงๆ เขาแค่มาเสี่ยงดวงเท่านั้น ไม่ใช่ การลงทุน

สุดท้าย คนถาม Buffett ว่า ‘คุณอยากให้คนจดจำ คุณว่าอะไร ?’

เขาบอกว่า ‘Teacher’ ...ครู!! ...ใช่!! คนที่มีทุกอย่าง รวยอันดับต้นๆ ของโลก ...เขาเลือกที่ว่า อยากให้คนจดจำเขาในฐานะ ‘ครู’

...เยี่ยม!! ผมคิดใจเลยว่า นี่แหละ ที่ผมอยากเป็น ‘ครูที่รวยโคตรๆ’ ...ดี ดี

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2563

ความเข้าใจจะช่วยให้ไม่ตกรถ ไม่ติดดอย

‘ตอนนี้ยังซื้อหุ้นทันไหม ?’

ทัน แน่นอน !! ..แต่พูดแบบนี้ไม่ได้ ต้องเอา ‘ข้อมูล’ และ สถิติ มาคุยกัน ถึงจะมีเหตุผล

สำหรับคนทั่วไป การจะให้ซื้อหุ้น แล้วถือยาว อาจเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก เพราะ ราคาหุ้นมันแกว่ง

ยกตัวอย่าง สมมุติซื้อหุ้น ปี 2008 ที่ราคา 2 บาท พอปี 2009 ราคาหุ้นมันวิ่งขึ้นไป 6 บาท ...โอ้ว!! ปีเดียว 3 เด้ง (ฉันรวยแล้ว!!) ...สมมุติว่า เผอิญไม่ได้ขาย มาปี 2010 มีข่าวร้าย ราคาหุ้นลง จาก 6 บาท ไปเหลือ 3 บาท ...คราวนี้ โคตรเครียด !!!

‘แย่จริงๆ ...ฉันน่าจะขาย ตอน 6 บาท แล้วนี่ 3 บาท ก็มาซื้อกลับ’ ...โถ่เอ้ย !! ‘รู้งี้รวยแล้ว’ หงุดหงิดจริงๆ

จากนั้น ราคาหุ้นค่อยๆ ขึ้นไปที่ 6 บาท ...’ขายละ !! โชคดีจริงๆ’ ...พอขายเสร็จ ราคาหุ้นค่อยๆ วิ่งไปอย่างช้าๆ จนถึง 10 บาท

‘ฉันเริ่มเซ็ง ไม่ดูละ ปวดหัว ตลาดหุ้น การพนันชัดๆ ...ไร้สาระ!!’

หลังจากนั้น ฉันก็ไม่สนใจตลาดหุ้นอีก ...วันนึงปี 2015 ก็นึกคลึ้ม อยากรู้ว่า หุ้นที่ขายไป 6 บาท ...ตอนนี้เท่าไหร่แล้ว ?

ดูปั๊บ ...ปี 2015 หุ้นตัวนี้ ราคา 20 บาท

‘เฮ้ย!! บ้าไปแล้ว ....ทำไม คนพวกนี้โง่จริงๆ ...หุ้นตัวนี้ จะไปราคา 20 บาท  ได้ไง ? ....โง่ จริง ๆ ...ใครซื้อ ก็โง่แล้ว !! ...ฮ่า ฮ่า ตลกจริงๆ’

เรื่องที่ผมเล่า คือ เรื่องจริง ขอสรุปให้ เข้าใจง่ายๆ ดังนี้

1. ตอนซื้อที่ 2 บาท คือ ซื้อหุ้นตอนวิกฤต ราคามันถูก บางทีซื้อได้ ต่ำกว่า Book Value ด้วยซ้ำ

2. ขายไปที่ 6 บาท ...เพราะ ถือไป แล้วราคาลง ก็รู้สึกว่า ‘รู้งี้น่าจะเล่นสั้น ...น่าจะเอากำไรบ้าง ระหว่างทาง’ ราคาลงไป 3 บาท ก็เลยเซ็ง ...พอราคาเด้งกลับมาที่ 6 บาท เลยรีบขาย ....แต่สุดท้ายหุ้นวิ่งต่อไป 10 บาท ก็เซ็ง

แต่สรุปง่ายๆ คือ ‘คนนี้ ไม่เข้าใจเรื่องรอบหุ้น’ ...ว่า ถ้ามันลง มันก็จะลงไปต่ำกว่ามูลค่า ...พอเวลาเด้ง มันก็ย่อมเด้งเกินมูลค่า ...ถ้าเข้าใจ เราจะเฉยๆ มาก เพราะ เราเข้าใจ ‘รอบหุ้น’

3. ‘เอาตรงๆ นะ ถ้าซื้อ 2 บาท แล้วทนๆ ถือ ทนรวยไป’ ...ขึ้นลง ช่างมัน ทนรับปันผลไป ...ซึ่งดีกว่า ฝากธนาคารหลายเท่าๆ ...ถ้าทำแบบนี้ สุดท้ายจะได้กำไรสูงสุด !! ...แต่คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้ เพราะ ไม่เข้าใจนั่นเอง

4. ‘วิธีแก้ปัญหานี้ คือ ศึกษาเรื่องรอบ’ ...ถ้ารอบระยะกลาง หุ้นจะใช้เวลา 2 ปี จากข่าวร้ายถึงข่าวดี หุ้นขึ้นตั้งแต่ 50% จนถึง 200% ในแต่ละช่วง

5. ‘ช่วงที่รับหุ้นได้ราคาถูก’ ก็คือ ช่วงวิกฤตที่ RSI อยู่ในระดับต่ำ จากนั้น ถือขึ้นไปจน RSI ขึ้น ..ชน Oversold แล้วก็ไม่ต้องรีบขาย ทนรวยได้ต่อ ...ขาขึ้น จะรีบขายทำไม

6. ช่วงปรับฐานระยะกลาง ตลาดมีข้าวร้ายทุกๆ 2 ปี ...เก็บเพิ่มได้ ถ้ามีเงินเตรียมไว้ (เงินมากน้อยไม่สำคัญ ที่สำคัญคือ เราเตรียมเงินเย็น ไว้ซื้อในเวลาที่หุ้นมีวิกฤตหรือเปล่า)

7. โอกาสครั้งใหญ่ จะเกิดเวลาตลาดเกิดวิกฤตแรง ...ตลาดจะลงเกือบ 50% เหมือนอย่างปี 2008 จากนั้น จะค่อยๆ ขึ้นครั้งใหญ่หลังจากนั้น

8. ‘ตลาดถูก คือ ตลาดอยู่ในช่วง 1 เท่าของ Book Value’ ...แปลว่า เราสามารถซื้อหุ้นได้เท่าๆ ต้นทุนเจ้าของ แถมปันผลก็ค่อนข้างสูง

เอาสถิติ มาดู ก็รู้เลยว่า ที่คนส่วนใหญ่ พลาดโอกาส เพราะ เอาอารมณ์นำเหตุผล ...ศึกษาดีๆ ครับ จากนี้ไป ผมว่า โอกาสจากตลาดหุ้นจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ครับ

เอาใจช่วย ให้เพื่อนๆ นักลงทุน สามารถคว้าโอกาสในรอบนี้นะครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

เศรษฐกิจเรื่องหนักๆ

‘วันนี้มาเรื่องหนักเลย ...เรื่องเศรษฐกิจ’

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า QE ...คุ้นๆ ไหม ...ที่ประมาณว่า อเมริกาทำ QE แล้วรัฐบาลประเทศใหญ่ๆ ก็หันมาทำบ้าง ...คราวนี้วิกฤต Covid ...พอจะเดาได้ไหมว่า เขาเตรียมสู้กับปัญหาด้วยอะไร ?

ใช่!! ...ถูกต้อง เขาก็ทำ QE อีกครั้ง ...อธิบายแบบชาวบ้านก็คือ พิมพ์เงินเพิ่ม (เพียงแต่ไม่ได้พิมพ์แล้วแจกตรงๆ แต่พิมพ์เงินมาซื้อสินทรัพย์แทน ก็สรุปว่า เขาแก้ปัญหาวิกฤตรอบใหม่นี้ด้วยการเพิ่ม Supply ของเงินนั่นเอง)

ผลลัพธ์ถ้าวิเคราะห์ตรงๆ คือ ...อะไรก็ตามที่ Supply เพิ่ม สุดท้ายมูลค่ามันจะลดลง ...ยกตัวอย่าง ทุเรียน ถ้ามีผลผลิตน้อยๆ ราคาทุกเรียนก็จะแพง ...แต่ถ้าผลผลิต หรือ Supply เยอะ ..ราคาก็จะตก

‘แล้ว เงิน มันเหมือน ทุเรียน หรือ ?!?’

จริงๆ มันก็คล้ายๆ กัน ...เพียงแต่เงินมันซับซ้อนกว่า

...ต้องเข้าใจก่อนว่า เงินคือ สินค้าอย่างนึง ที่ความต้องการไม่จำกัด Demand มหาศาล ...ในอดีตเราใช้ ‘ทองคำ’ เป็นตัวอ้างอิงมูลค่า ...ก็แน่นอน ‘ทอง’ มันมีจำกัด ก็ทำให้ Supply ของเงินมีจำกัด

แต่ปัญหามันเกิด คือ เวลามีวิกฤตเศรษฐกิจ ...Supply ของเงินมันหายไป ..ซึ่งถ้าเป็นทอง รัฐบาลพิมพ์เพิ่มไม่ได้ ...เลยไม่สามารถพยุงเศรษฐกิจไว้ได้ ..สมัยก่อนเราก็จะเห็นอย่าง Great Depression ...เพราะ มันแก้อะไรไม่ได้

แต่วันนี้ มันมี นวัตกรรม ที่เรารู้จักกันในนาม QE ...ซึ่งมันเริ่มจากที่ อเมริกา เปลี่ยนตัวอ้างอิงมูลค่าของเงิน จาก ทองคำ มาเป็น ‘หนี้รัฐบาล’ แทน

ตอนนั้น คนก็คิดว่า ‘เฮ้ย!! เงินดอลลาร์พังแน่ มันจะไม่เหลือมูลค่า’ ...แต่ผลลัพธ์มันไม่ใช่อย่างที่ทุกคนคิด ...การตัดสินใจครั้งนั้น ของอเมริกา ทำให้เงินดอลลาร์ กลายมาเป็น ‘เงินของโลก’ (เดิมทีธนาคารทั่วโลก ต้องมีทองคำ ค้ำมูลค่าของเงินตัวเอง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ พอยกเลิกทอง ก็สามารถใช้ ดอลลาร์แทนได้)

ทำให้คนกำหนด มูลค่าเงินของทั้งโลก ก็คือ ‘อเมริกา’

การคุมมูลค่าเงินของโลก ก็ผ่านการคุม Supply ...พิมพ์เพิ่มหรือลด นั่นแหละ

แล้วปี 2008 วิกฤตการเงินก็เกิดขึ้น ...สิ่งที่อเมริกาสร้างความ งง ให้คนทั้งโลกอีกครั้ง คือ การทำ QE ...เดิมทีเพดานหนี้มันมีจำกัด เพื่อไม่ให้เพิ่ม Supply ของเงินได้แบบมั่วๆ ...แต่วันนี้ถ้าไปดูทั้งอเมริกา , ญี่ปุน , ยุโรป ...เพดานหนี้มันทะลุ 100% ไปหมดแล้ว ....ใช่!! ถ้านี่คือ คนธรรมดา ก็ล้มละลายไปแล้ว

โอเค!! ถ้าให้เดา เราคงคิดว่า QE คงทำให้ ดอลลาร์พัง ใช่ไหม ?

ผิด!! ตั้งแต่ปี 2008 ที่เราเริ่มทำ QE มาถึงปัจจุบัน ซึ่งกำลังทำ QE อีกครั้ง ...เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ ...งง กันละครับ !!

ที่เล่าเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อจะชี้ว่า กลไกทางเศรษฐกิจมันกำลังบิดเบี้ยวมากๆ ...ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่เราเคยเรียนกันมาตอนมหาวิทยาลัย แทบจะตอบอะไรไม่ได้เลย ....’เฮ้ย!! สงสัยผู้นำโลก เวลาเรียนเศรษฐศาสตร์เขาต้องโดดเรียนแน่ๆ’ ...แต่ไม่ใช่!!

ผมว่าวันนี้ เรากำลังต้องทำความเข้าใจใหม่ กับโลกปัจจุบัน ...ถ้าไม่เข้าใจ ผมว่า เราจะกลายเป็นเหยื่อ ของระบบ

1. ‘การทำ QE จะทำ สินทรัพย์ราคาสูงขึ้น’ ...ไม่ต้องไปเดาอะไรให้ซับซ้อน การทำ QE ย่อมส่งผลให้ราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้น

2. ‘คนส่วนใหญ่ซวย เพราะ ไม่ได้ถือสินทรัพย์’ ...คนส่วนใหญ่ยิ่งกลัวยิ่งถือเงินสด ...แต่ปรากฏว่าสินทรัพย์ต่างหากที่ราคาขึ้นไปเรื่อยๆ

3. ‘ช่วงวิกฤตจะมีช่วงสั้นๆ ที่เปิดโอกาสให้คนไม่มีสินทรัพย์สามารถเข้ามาซื้อมันในราคาถูก’ ...แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ซื้ออยู่ดี ...กลับเป็นจังหวะ ที่พวกคนรวยมาซื้อสินทรัพย์เพิ่มเข้าไปอีก ...มันโหดไหมล่ะ !!

มีทางแก้ไหม ? ...เออ!! ทางแก้ระดับชาติไม่มีหรอกครับ ...มันมีแต่ทางแก้ระดับบุคคล ‘เอาตัวเองให้รอดน่ะ ก็พอได้’ ...ยกตัวอย่าง ผมจะเป็นคนที่สำรองเงินสด ประมาณ 30% ตลอดเวลา เผื่อว่า ถ้าเกิดวิกฤต ก็จะได้เอาเงินนี้มาช้อนซื้อสินทรัพย์ ซึ่งสำหรับผม สินทรัพย์ที่ผมชอบสุดก็ หุ้น อย่างเดียวเลย

ก็แค่นี้แหละ ทางแก้ของผม ...ทุกวิกฤตผมเข้าซื้อหุ้น ...เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับ ...เอาง่ายๆ ผมสอนลูกศิษย์ทุกคนให้ทำแบบนี้แหละ ....เพียงแต่จังหวะการซื้อ หรือ ซื้อได้มากน้อย ราคาไหน อันนั้น ก็ขึ้นกับชั่วโมงบินและประสบการณ์ของแต่ละคนเลย

4. ‘บริษัทใหญ่ จะได้ผลกระทบน้อยกว่า SME’ ...อ้าว!! แล้วคนตัวเล็กๆ จะทำยังไงถึงจะได้ประโยชน์ ....เราก็ซื้อหุ้น บริษัทใหญ่ ในตลาดหุ้นได้เลย ...คือ ภาวะแบบนี้ การจะเริ่มธุรกิจใหม่น่ะยากมาก ...แต่การหาโอกาสไปซื้อหุ้นบริษัทใหญ่ ที่น่าจะรอด ในราคาถูก ง่ายกว่า

5. ‘ทำไมดอลลาร์ ขึ้นตั้งแต่ปี 2008 ทั้งที่มันควรจะอ่อน จาก QE’ ...ตรงๆ นะ ถ้าเทียบอเมริกาเป็นบริษัท ก็เหมือนบริษัทใหญ่ ประเทศอื่นเป็น SME ...ดังนั้น โอกาสรอดเขามีสูงอยู่แล้ว

6. ‘แล้วประเทศไทย จะรอดไหม’ ...ถ้าอเมริกาเป็นบริษัทใหญ่ ...ประเทศอื่นเป็น SME ...ประเทศไทย เราเป็น ร้านข้าวแกง หน้าหมู่บ้านเลยแหละ

อ้าว!! ก็ซวยดิ ?

...ไม่!! ถ้ามองดีๆ เราอาจจะดีกว่า SME หลายๆ ประเทศด้วยซ้ำ

สิ่งหนึ่งที่จะมาหลังจากนี้ อาจจะเป็น อาหาร การเกษตร และ สินค้าจำเป็น จะราคาสูงขึ้น ...ซึ่งประเทศไทย อย่างที่รู้ๆ ว่า ก่อนหน้านี้ เราตามใครเขาไม่ทันแล้ว คนอื่นเขาไป IT , AI ไป เทคโนโลยี แต่เรา มีแต่ของพื้นๆ

ใช่!! หลังจากนี้ ‘ของพื้นๆ’ น่าจะดี ...ของจำเป็น อาหาร สินค้าเกษตร ...แต่เราแค่ต้อง ‘ต่อยอด’ คือ การแปรรูป เพิ่มมูลค่า

7. ‘เราต้องลดหนี้’ ...รัฐบาลเขาเพิ่มหนี้ นั่นเป็นเรื่องของรัฐบาล ...แต่ถ้าตัวเรา เราต้องลดหนี้ ...หลักการเริ่มต้นที่ผมแนะนำ เรื่องการบริหารเงินคือ ‘ซื้อของเงินสดเท่านั้น ไม่ผ่อน ไม่กู้’

ถ้าอยากจะผ่อน ผมแนะนำ อันเดียวเลย คือ ‘ทยอยออมในหุ้น’ ...อย่างบัวหลวง มีโปรแกรม ออมหุ้นอัตโนมัติแบบ DCA ...เช่น ใครต้องการซื้อหุ้นแบบทยอยซื้อเดือนละหมื่นทุกเดือน อันนี้ติดต่อบัวหลวงได้เลยครับ ที่ 02-618-1111

(พี่แพ้ท ขายของ!!! ...ก็สักนิดครับ ...อะไรที่มันดี ก็แนะนำกันตรงๆ)

8. ‘ลงทุนให้กับทักษะใหม่’ ...ผมว่าพอวิกฤตผ่านไป จะเกิดโอกาสงานใหม่ๆ ...ถามว่า งานอะไร ผมไม่รู้ ...แต่ที่รู้คือ งานนั้นต้อง หนึ่ง Supply น้อย ..สอง เป็นสิ่งที่คนต้องการ เช่น ธุรกิจแปรรูป สินค้าเกษตร อาจเกิดขึ้นมากมาย , คนสนใจสุขภาพมากขึ้นแน่นอน , หมาแมวมาแน่นอน ถ้าถามว่า วันนี้ผู้หญิงที่อยู่กับ แฟนกับ อยู่กับหมาแมว ผมว่า อย่างหลังมากกว่าเยอะ ...ค่อยๆ คิด ผมว่ามีเยอะ

ก็ประมาณนี้ ...เอาใจช่วย สู้ สู้ กันครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2563

ถ้าพอร์ตไม่ใหญ่ ควรซื้อหุ้นตัวเล็กหรือตัวใหญ่ดี

‘คนเงินไม่เยอะ ควรซื้อหุ้นเล็ก หรือ หุ้นใหญ่ดี’

นี่เป็นอีกคำถามคลาสสิคสำหรับมือใหม่ ชอบถามผมว่า ‘พี่ครับ ผมเงินไม่เยอะ จะเล่นหุ้นเล็กหรือหุ้นใหญ่ ดีกว่า ?’

ก่อนอื่น ผมต้องถามกลับว่า ‘เป้าหมายคืออะไร ...อยากมั่นคง หรือ อยากรวยเร็ว ?’ ...เพราะจริงๆ มันไม่ได้เกี่ยวกับ ขนาดของพอร์ต แต่มันเกี่ยวกับ เป้าหมายที่เราต้องการจะได้ มากกว่า

มันต่างกันมากเลย ...อธิบายอย่างนี้

1. ‘ถ้าอยากมั่นคง ผมก็จะบอกว่า ให้เล่นหุ้นใหญ่’ ...ยกตัวอย่าง สมมุติคุณซื้อหุ้นอย่าง AOT , CPALL ,PTT อะไรพวกนี้ มันคือ หุ้นที่เชื่อขนมกินได้ว่า ไม่มีทางเจ๊ง

แต่ข้อเสียของหุ้นที่ไม่มีทางเจ๊ง คือ มันจะเป็นหุ้นสิบเด้ง แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย จากจุดนี้

ในอดีต มันอาจจะเป็นหุ้น 10 เด้ง หรือ 100 เด้ง มาก่อน ...แต่ถ้าถามว่า หลังจากนี้ มันจะเป็นหุ้น 100 เด้งได้ไหม ? ...ตอบเลยว่า ‘ไม่ได้!!’

แต่ถ้าถามว่า ผ่านวิกฤตไป มันจะดีไหม ...ตรงๆ นะ มันรอดอยู่แล้ว ....ผมแทบไม่เคยสงสัยเลยนะ ว่าหุ้นใหญ่ๆ แบบนี้ สุดท้าย ถึงราคามันจะลงไปแค่ไหน ...วันนึงมันก็ต้องกลับมาเป็นขาขึ้น ทำ New High ใหม่ ...แต่ถ้าจะหวัง รวยเปลี่ยนชีวิต มันไม่ใช่ไง

ถ้าคุณเป็นเศรษฐี มีพอร์ตแบบ ร้อยล้านขึ้น ผมจะบอกว่า ‘คุณเก็บหุ้นพวกนี้เป็นหลัก’ เพราะ ถ้าคุณมี 100 ล้าน มันได้ 1 เด้ง คุณก็ดีใจโคตรๆ แล้ว

แต่ถ้าพอร์ตคุณ ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น ผมจะแนะนำให้คุณเก็บหุ้นแถว 2 ..หุ้นชั้น 2 ให้มากขึ้น

2. ‘ถ้าคุณอยากรวยเร็ว คราวนี้ คุณจะเล่นหุ้นชั้น 1 มันก็ยาก’ ....คิดแบบนี้ ถ้าหุ้นมันจะขึ้นสัก 5 เด้ง ...กำไรบริษัท ต้องโตอย่างน้อย 100% - 200% ...คุณคิดดูนะ ถ้าคุณจะให้ 7-11 กำไรโตอีก 100% มันง่ายไหมล่ะ ?

ไม่ง่าย !! ...ผมว่า 7-11 ต้องควบรวมบริษัทอื่นอีกมหาศาล โคตรเหนื่อย ....เทียบกับ หุ้นแถวสอง ที่บริษัทกำไรสัก 50 ล้านต่อปี

ถ้าจะโตเป็น 100 ล้าน มันไม่ได้ยากเท่า 7-11 โต 2 เท่า

แต่!! ...แต่ความเสี่ยงย่อมสูงขึ้น จริงไหม ?

การซื้อหุ้นชั้น 2 แถว 2 ...ผมต้องหา ตัวที่เป็นผู้นำในธุรกิจที่เขาทำ ซึ่งตรงนี้ ต้องใช้พลังในการวิเคราะห์พอสมควร ...ไม่ใช่หุ้นแถว 2 ซื้อได้ทุกตัว ...เพราะ เอาเข้าจริง หุ้นแถว 2 บางตัวอาจไม่รอด ...เจ๊งได้นะ !!

สรุป ‘ถ้าพอร์ตผมเล็ก ผมจะ ให้น้ำหนัก หุ้นแถวสองมากกว่า แต่ต้องวิเคราะห์ดีๆ ทำการบ้านเยอะๆ’

ถามว่า แล้วหุ้นชั้น 1 ที่ลงมา ก็อาจเก็บไว้บ้าง ‘เพื่อความมั่นคงทางจิตใจ ... Yield คุ้ม (ยังไงก็ดีกว่าฝากธนาคาร) ...แค่มันไม่ได้ทำให้เรารวยก็เท่านั้นเอง’

ที่อธิบายมา น่าจะตอบข้อสงสัยของหลายๆ คนได้นะครับ ...ก็เอาใจช่วย สู้ สู้ ครับ

‘วิกฤต มีโอกาส ...อย่างน้อยก็ควรเริ่ม ออมในหุ้น กันนะครับ’

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย
http://bls.tips/pawawitTeam

หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ”


วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2563

ทำไมซื้อหุ้นตอนที่มั่นใจมากๆ มักจะซวย

‘ทำไมเวลาซื้อหุ้นตอนที่มั่นใจมากๆ มักจะซวย’

คนส่วนใหญ่อาจจะคิดว่า เขาคงไม่มีดวงในหุ้น ...เพราะ กว่าจะทำใจ จนมั่นใจ และก็เริ่มซื้อหุ้นปั๊บ ..หลังจากนั้น ซวยทุกที !!

‘เฮ้ย!! ผมเลยพี่ ...ผมไม่รู้เป็นอะไร ...ถ้าผมอยากซื้อหุ้นเมื่อไหร่ ...หลังจากนั้นไม่นาน ตลาดจะมีอันเป็นไป !!’

โอเค !! เรื่องนี้ผมอธิบายได้

มันเป็นเรื่องปกติมากๆ เลย ที่กว่าคนส่วนใหญ่จะอยากซื้อหุ้น เริ่มคิดจะลงทุน ตลาดก็ใกล้จะเกิดวิกฤตอีกรอบแล้ว ....แล้วมันก็เป็นแบบนี้ทุกรอบ

หรือ ในทางตรงข้าม พอตลาดลงแรงๆ ...ช่วงแรกๆ คนที่มีหุ้น ก็รู้สึกเฉยๆ มองว่า ‘ถ้าไม่ขาย ก็ไม่มีทางขาดทุน จริงไหม ?’ ...ไม่จริงครับ!! เพราะ คนที่คิดแบบนี้ ส่วนใหญ่มักจะขาย พอหุ้นมันลงไปลึกมากขึ้น

ช่วงหุ้นลงสัก 10-20% คนเหล่านี้ มักจะ ‘ไม่ขาย’ แล้ว อ้างว่า ‘ไม่ขายไม่ขาดทุน’

พอตลาดหุ้นลง 50-70% คราวนี้ ใจเสีย ...’รีบขาย!!’ ...สุดท้าย ขาดทุนหนัก แถมบางครั้งจุดที่ขาย มักเป็นจุดเริ่มต้นของการขึ้นของหุ้นในรอบใหม่

ที่เล่ามา มันคือ เรื่อง ‘จิตวิทยาในการลงทุน’ ...คนที่เป็นมือใหม่ หรือ ไม่เคยเล่นหุ้น อาจจะไม่เข้าใจ แถมมองว่า เป็นเรื่องตลก

‘โถ่!! พี่แพ้ท ...ใครมันจะโง่ ทำแบบที่พี่แพ้ท เล่า ...ไม่มีหรอกพี่ !!’

‘สุดท้าย ตัวมันเลย ...พอมันเริ่มเข้ามาตลาดหุ้น มันทำแบบที่ผมพูดเลย ...ซื้อแพง ขายถูก ...ซื้อปั๊บลง ...ขายปั๊บขึ้น ...เข้าหลัก แมงเม่าขั้นเทพ กันเลยทีเดียว!!’

มีทางแก้ไหมล่ะ ?

มีซิครับ !! ...ผมถึงมีอาชีพไง

อาชีพ ‘ที่ปรึกษาการลงทุน’ หรือ ‘อาจารย์สอนลงทุน’

หลักๆ ไม่มีอะไรมาก ต้องแก้ทีละจุด

1. ‘ปรับ Mindset’ ..เอา Mindset แมงเม่า ออกไป จากนั้น ใส่ความรู้ในเรื่อง ‘รอบหุ้น’ , ‘รอบตลาด’ ให้เข้าใจภาพรวม

2. ‘ให้ตั้งโจทย์ใหม่’ ...เป้าหมายต้องชัด ...จะยาว จะสั้น แบ่งพอร์ตให้ชัด คราวนี้ ก็ง่ายขึ้นแล้ว

3. ‘ลงเงินจริง’ ...แค่นี้เอง

อะไรยากสุด ?

...’ยากสุดคือ ปรับ Mindset ครับ’

พวกมือใหม่ Mindset จะ ‘คิดลบ’ ...มองทุกอย่าง แย่หมด

1. ‘ใครพูดอะไร ตั้งป้อมเลย มรึงหลอกกูแน่นอน’

2. ‘ยกข้ออ้างตลอด ...ฉันเป็นเหยื่อ ฉันไม่ได้มีฐานะ อะไรก็ว่าไป’

3. ‘โทษคนอื่น’ ...ถ้าพ่อแม่ผมรวย ชีวิตจะไปได้ไกลกว่านี้ ...ฉันผิดที่เกิดมาจน อะไรก็ว่าไป

4. ‘หาของวิเศษ’ ...หาที่พึ่งทางใจ ...เอาตรงๆ นะ ผมว่า ที่พึ่งที่ดีที่สุด คือ ตัวเราเอง ...เวลาเราพลาดนะ มีแต่ตีนเหยียบซ้ำ ...ดังนั้น ถ้าจะลุกขึ้นมา ก็แค่ลุกขึ้นมาเอง ...อย่างหุ้น มือใหม่ จะไปหาเซียนหุ้น ...โคตรไร้สาระ ....สิ่งที่สอนกันได้ มันแค่ หลักการเบื้องต้น ...จากนั้น คนที่จะทำให้สำเร็จ มันคือ ตัวเราเองเลย

สรุป ‘ทำไมเวลามั่นใจ เรามักจะซวย ?’

ตอบ ‘ก็เพราะ เวลาเรามั่นใจ จริงๆ คือ รอบตัวมันมีแต่ข่าวดี ...ซึ่งเวลานั้น ควรเป็นเวลาขาย ไม่ใช่เวลาซื้อ จริงไหม ?’

ยิ่งอยู่ในตลาดหุ้นนาน ยิ่งคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง ...ก็ดีดิครับ ...คุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องก็ไม่เป็นไร ขอให้เราลงทุนแล้วรวยแบบรู้เรื่อง ผมว่า ถูกทางละ!!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

คำนวณราคาหุ้นในอนาคตทำอย่างไร


‘คำนวณราคาหุ้นในอนาคต ทำอย่างไร’

ทำได้ด้วยหรือ ? ...แค่คำนวณราคา ตีมูลค่า ปัจจุบันยัง มึนตึ๊บ !!

‘ทำได้ครับ’ ...มันมีวิธีการ ซึ่งจริงๆ ไม่ได้ซับซ้อนอะไร ...มาอธิบายให้ฟัง

เอาแบบใช้จริงนะ ...เพราะ ถ้าเอาแบบวิชาการ มันเยอะเกิน ...พูดก็พูดเถอะ อะไรที่มันซับซ้อน มันดูเท่ห์เวลาหยิบมาพูด ดูมีความรู้ แต่เวลาใช้จริง มันใช้ไม่ได้อ่ะ !!

ที่ใช้จริง มันคำนวณราคาหุ้นในอนาคตได้ 2 แบบ

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

1. ‘คำนวณจากการ ประมาณการกำไรของบริษัท’ ...หนึ่ง คือ ประมาณคร่าวๆ ว่า ‘กำไรปีหน้า’ จะอยู่ที่เท่าไหร่ จากนั้น ก็ประเมินว่า P/E ของบริษัทนี้ น่าจะเทรดกันอยู่กี่เท่า

ภาวะปกติ มันก็ เทรดกัน P/E ระหว่าง 10-60 เท่า
ภาวะวิกฤต มันก็ เทรดกัน P/E ระหว่าง 5-30 เท่า

เราก็คำนวณตรงๆ เลย ...สมมุติบริษัทกำไรหุ้นละ 2 บาท เทรดกันคร่าวๆ ที่ 20 เท่า ก็แปลว่า ราคาหุ้นตอนนี้เทรดกันที่ราคา 40 บาทต่อหุ้น

ถ้าปีหน้า เราประมาณว่า กำไรจะโตไปเป็น 3 บาท ...เราก็ประมาณการว่า ถ้าเทรดกันที่ P/E 20-30 เท่า ...ปีหน้า เราก็น่าจะเห็นราคาวิ่งอยู่ระหว่าง 60-90 บาท นั่นเอง

‘คำถาม คือ แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่า ปีหน้า บริษัทมันจะกำไรต่อหุ้นกี่บาท ?’

‘นี่แหละ ความท้าทายของตลาดหุ้น’ เพราะ 

1. ไม่มีใครรู้จริงๆ หรอกว่า ปีหน้า บริษัทจะกำไรเท่าไหร่ ...เอาตรงๆ เจ้าของยังไม่กล้าฟันธงเลย ...ไอ้ที่เจ้าของรู้ก่อน ก็แค่ช่วงปิดงบ ก่อนจะส่งข้อมูลให้ตลาด ไม่กี่เดือนแค่นั้นแหละ 

อย่างวิกฤตโควิท ยิ่งประเมินยากเข้าไปอีก ...ปิดเมือง สรุปนานเท่าไหร่ กำไรหายเท่าไหร่ ...เดากันมันส์ล่ะ !!

2. ไม่มีใครรู้หรอกว่า จริงๆ ตลาด ในปีหน้าจะเทรดกันที่เท่าไหร่ ...ถ้าเงินมันฝืดมาก อาจเทรดกันต่ำ ...อย่างปีนี้ เราเห็นบางหุ้นเทรดกันที่ P/E ไม่ถึง 10 เท่าเยอะแยะ

——————————————

2. ‘คำนวณจากต้นทุนของเจ้าของ’ ...บางปี ธุรกิจอาจขาดทุน จนไม่มีกำไรเลย ...คราวนี้เราจะคำนวณราคาหุ้นจากกำไรต่อหุ้นไม่ได้ละ

ต้องเปลี่ยนมาคำนวณ จากต้นทุนเจ้าของแทน ...ดูที่ Book Value

ในตลาดปกติ หุ้นจะเทรดกันที่ 2-5 เท่า ของ Book
ในตลาดวิกฤต หุ้นจะเทรดกันที่ 1-3 เท่า ของ Book 

แต่บางธุรกิจ อาจเทรดกันแพง เกินค่าเฉลี่ย ก็อาจเพราะ ‘นักลงทุนอยากซื้อ ก็ยอมซื้อแพงกันไปเรื่อยๆ’ แต่เวลาหุ้น มันเทรดกันแพง มันก็เหมือน ‘เผือกร้อน’ ใครถือคนสุดท้าย ก็ซวยสุดนั่นเองครับ

วิธีที่ 2 ก็คำนวณเหมือนแบบแรกนั่นแหละ คือ 

1. ประเมินราคา Book Value ในปีหน้า ...’กำไร หัก เงินปันผล ที่เหลือ มันก็มาเพิ่มใน Book นั่นแหละ’

2. ประเมินว่า คนจะเทรดกันที่กี่เท่าของ Book

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ง่ายแค่นี้เองเหรอ ? 

‘ก็ใช่’ ...การคำนวณมันไม่ได้ยาก ...ที่ยากคือ ‘มุมมอง ตัวเลข ที่จะประเมินเอามาใส่ต่างหากที่มันยาก’

‘แล้ว พวกที่ปั่นหุ้น เขาทำอย่างไร ?’

ก็นี่แหละครับ ...เขาก็เอา กำไร มาใส่ คุมในเรื่องของรายได้ ...จากนั้น เขาก็พยายามไปคุม การซื้อขาย ...กวาด Offer หมด ราคาก็ขึ้นแล้ว ...เงินมากหน่อย ซื้อทุกช่อง ราคาก็พุ่งแล้ว ‘ยิ่งเทรดกันน้อยๆ ราคายิ่งลากง่ายสุดๆ’

‘แล้ว อย่างนี้ เราก็โดนหลอกดิครับ ?’

...ก็ไม่ทุกตัว ...อย่างหุ้นตัวใหญ่ ปริมาณการเทรดเยอะๆ พวกนี้ ก็ปั่นยาก ...แต่หุ้นเล็กๆ ที่วันๆ เทรดกันไม่เยอะ ก็ปั่นง่ายกว่า ต้องระวัง

...ที่เล่ามา ไม่ได้จะขู่ให้กลัว แต่อยากจะชี้ให้เห็นภาพว่า เราต้องมีความรู้เพียงพอที่จะคุมความเสี่ยงของพอร์ตเราเองได้ 

(เราคุมตลาดไม่ได้ แต่เราคุมความเสี่ยงของพอร์ตเราได้)

อย่างผม ออมในหุ้น ผมยึดพื้นฐานเป็นหลัก ...กราฟ ก็เอามาดูอารมณ์ตลาด ...ส่วนเรื่องหุ้นปั่น เราคุมไม่ได้ ผมก็ใช้การกระจายความเสี่ยง คุมไม่ให้ซื้อหุ้นตัวไหนหนักเกินไป ...เพราะ ตลาดหุ้น ความมั่นใจมากเกินคือ หายนะ !!

แต่สุดท้าย พอออกแบบ ให้ออมในหุ้น แบบเหมาะสม ....ตลาดหุ้นก็ยังเป็นแหล่งออมเงินที่ผลตอบแทนสูงที่สุด แถมมีปันผล ที่เราสบายที่สุดอยู่ดีครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย
http://bls.tips/pawawitTeam 

หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ”

ตกรถซื้อหุ้นไม่ทัน ทำไงดี

‘ตกรถ!! ซื้อหุ้นไม่ทัน ต้องทำยังไง’

คำถามคลาสสิคครับ ...ตอบง่ายๆ ทำได้ 2 แบบ

1. ‘ซื้อตาม แต่เล่นสั้น’ ...ซึ่งแบบนี้ต้องมีประสบการณ์ หน่อย ...การซื้อตาม หลายๆ คนไม่กล้า มองว่าเสี่ยง ...ก็ใช่!! เสี่ยงกว่าซื้อข้างล่าง แต่อีกมุมคือ ‘ไม่ว่าจะซื้อตรงไหน ถ้าเรามี Stop Loss มันก็จำกัดความเสี่ยงได้อยู่ดี’

2. ‘ไม่ตาม ไปซื้อหุ้นแถว 2’ (พลาดคือพลาด แต่พลาดรอบนี้ เดี๋ยวอีกรอบก็มา มันมาเรื่อยๆ ตลอด)
...ถ้าใครศึกษา ‘รอบหุ้น’ จะเข้าใจวัฏจักรของตลาดหุ้น ‘เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ...เกิดใหม่ วนไปเรื่อยๆ’

ศึกษามากๆ จะเริ่มไป ปฏิบัติธรรม ...ฮ่า ฮ่า ...มันเป็นเช่นนั้นแล

รอบตลาด 10 ปี เกิดที ...แต่รอบหุ้นรายตัว บางครั้ง ไม่ได้ตรงกับ ‘รอบตลาด’ ...มันเลยมีจังหวะให้เราตลอดแหละ

พอวิกฤตหุ้นลงหมด ...แต่พอตลาดเริ่มกลับมา จะขึ้นจากตัวใหญ่ พอขึ้นไปถึงจุดนึง มันก็จะปรับฐานลงมา ...เปลี่ยนตัว เป็นหุ้นกลาง หุ้นเล็ก ...คราวนี้พอไล่หุ้นเล็กขึ้นไปถึงจุดนึง ก็จะหยุด ปรับลง ...แล้วหุ้นใหญ่ก็วิ่งอีกรอบ ...สลับไปมา ...จนพื้นฐานหุ้น มันแพงขึ้นไปเรื่อยๆ ...แพงอีกๆ ๆ ...จนสุดท้าย วิกฤตมา จบรอบ พังหมด ...เริ่มใหม่ ไปเรื่อยๆ

ปัญหาไม่ใช่ตลาด ...แต่ปัญหาอยู่ที่เรา ...’พอหุ้นขึ้น เรากลัวตกรถ ตามไปรับ ...รายใหญ่ ทิ้งใส่หน้า หุ้นลงลึก เรา Stop Loss ...สักพัก อ้าว!! ตัวเล็กมาละ ไม่ทัน ...ไม่ขึ้นจริงหรอก ไม่ตาม ...สักพัก เฮ้ย!! ขึ้นแรงเว้ย ...ตามก็ได้ ....ตูม!! เจ้าทิ้ง ลึกสัด!! ...ลึกเกิน Cut Loss ไม่ไหวละ ถือก็ได้วะ ....สุดท้ายลงลึกสุดๆ บางตัวลงไป 70% ...อวกแตก!! ขายก็ได้ ดีกว่าหมดตัว

จากนั้น ก็สัญญากับตัวเอง ‘ชาตินี้กรูจะไม่เล่นหุ้นแล้ว !!’

พอตลาดมาใหม่ ...เอ๊ะ!! รึว่า ครั้งนี้จะมาจริง

‘แม่งเด้งเฉยๆ ...เพราะ รายใหญ่ Cover Short ...รับปั๊บ จุก ...รายใหญ่ Short ลงมาอีกรอบ’

เปิดไปดู CNBC ฝรั่งบอกนี่แหละ โคตรแห่ง Great Depression ของจริง ...มันขุดข้อมูลสมัยพระเจ้าเหา ปี 1930 มา บอกนี่ไง เหมือนกันเลย ....’ทุกคนถือเงินสดนะ รักษาตัวดีๆ’

ตัวมัน ‘ช้อนตั้งแต่ ข้างล่าง ...ลากขึ้นมา V Shape’

เราก็ งง ไรวะ ...เปิดไปดู Ray Dario เขาบอก ‘Cash is Trash !!’ ..เงินคือขยะ เก็บทองซิ ...ทองคำนี่แหละของจริง เพราะ กรูช้อนซื้อมาตอนถูกๆ ...ตอนนี้ มรึง มารับของกรูละ ‘ของจริงแน่นอน’

‘อะไรวะเนี่ย !!??!!’

สรุป ให้ครับ ...ไอ้ที่มันขยะ คือ ‘ข้อมูลนี่แหละ ที่เราเสพกัน มั่วซั่วกันสุดๆ ในยุคนี้ !!’

คำแนะนำมีดังนี้

1. ‘เลือกให้ชัดก่อน ว่าจะลงทุนแนวไหน ...จะเทรด หรือ จะออมหุ้น’ ...เพราะ มันคนละทางเลย ...เอามารวมในพอร์ตเดียวกันไม่ได้ ต้องแยกคนละพอร์ต ‘ไม่งั้นลมปรานแตกซ่าน!!’

2. ‘พอร์ตเทรดก็ตามกราฟเลย วาง Stop Loss ให้ถูก ยังไงก็รอด ....ส่วนพอร์ต ‘ออมในหุ้น’ ถ้าราคาลงมาใน Yield ที่ได้ ทยอยจัดเลย’ ...ซื้อเลย มากน้อย ก็ต้องจัด ...ถ้าไม่กล้า ก็ซื้อหลักพัน อะไรก็จัดไป ...เพราะ พอเราเริ่มซื้อ เราจะเริ่มจับอารมณ์ตลาดถูก ไม่มั่ว !!

เบื้องต้น จริงๆ มันง่ายๆ แค่นี้เลย ...ฟังมากมั่วครับ กูรูเยอะเกิน มันพูดทุกแบบ ....เอา ‘กรู’ นี่แหละ เป็นหลัก ไม่ต้องกูรู

ค่อยๆ ลุย ...ค่อยๆ เรียนรู้ ...เดี๋ยวก็จับทางได้ครับ

ว่าแต่ จะเริ่ม ‘ออมในหุ้น’ เปิดอีกพอร์ตครับ ...เงินน้อยๆ เริ่มเลย อย่ารอ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย
http://bls.tips/pawawitTeam

หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ”

ข้อจำกัดความรวยของคนเราคืออะไร

‘ข้อจำกัดความรวย ของคนเรา คืออะไรครับ’

ถ้าพูดเรื่องนี้ปั๊บ จะมีคนพูดขึ้นละ ว่า ‘แหม!! ผมไม่ได้มีพ่อแม่รวยนี่ครับ’ ...แต่เอาจริงๆ ตรงนั้นไม่ใช่ข้อจำกัดที่สำคัญ ...เพราะยุคนี้ Selfmade เยอะมาก คือ สร้างขึ้นมาเอง

ก็อย่างที่เคยคุยกันว่า ‘โลกยุคนี้ ถ้าจับถูกทาง ขอ 10 ปี ก็รวยแบบใช้ไม่หมดแล้ว ...ไม่เหมือนสมัยก่อน สร้างตัว กันทั้งชีวิต’

ข้อจำกัดที่ผมว่า สำคัญที่สุด คือ ‘Mindset’ หรือ วิธีคิดอะไรก็ว่าไป

‘แล้ววิธีคิดแบบไหนล่ะ ที่รวยไม่จำกัด’ ...เรามาดูกัน

1. ‘ชอบหาเงิน ไม่ชอบใช้เงิน’ ..อันนี้เบสิคใครๆ ก็รู้ ...คนรวยมันทำงานตลอดเวลา ไปเที่ยวยังคิดเรื่องงาน

2. ‘ชอบซื้อสินทรัพย์ ไม่ชอบซื้อขยะ’ ...ถ้ายุคนี้ สินทรัพย์ที่เขาเก็บมากที่สุด ก็หุ้น นี่แหละ ...อย่าง Bill Gates เขารวยจากสร้าง Microsoft ขึ้นมา ...แต่ทุกวันนี้ เขารวยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นะ ...คนคิดว่าเขารวยเพิ่มเพราะ Microsoft แต่ไม่ใช่ หลักคือ เขาเอาเงินไปซื้อหุ้น สะสมหุ้น รวยเพิ่มจากหุ้นคนอื่นนี่แหละ

3. ‘ซื้อหุ้นดี แล้วไม่ขาย’ ...ถ้าขายมันก็รวยถึงแค่จุดที่ขาย ...หุ้นบางตัวขึ้น 100 เด้ง แต่คนส่วนใหญ่ ถือ พอขึ้น 10% ก็ขายไปแล้ว ...พอคุยเรื่องนี้ ทุกคนจะอ้างว่า ‘โถ่!! ผมไม่ได้รวยนี่ ก็ต้องขาย’ ....เอาจริงๆ นะ นั่นมันข้ออ้าง ...ในทางปฏิบัติจริง เราสามารถแบ่งพอร์ต เปิดอีกพอร์ตสำหรับ ออมในหุ้นได้

แล้วสามารถเริ่มจากเงินไม่เยอะก็ได้ เช่น สมมุติเราเทรดหุ้นทีเป็นแสน เป็นล้าน แต่เราอาจจะ เปิดอีกพอร์ตมาออมหุ้น ...แบ่งมา หมื่นบาท ออมหุ้น ...คิดง่ายๆ แค่หมื่นบาท ถ้าไม่ขาย มันขึ้นไปเรื่อยๆ วันนึงมันโตเป็นล้านก็ได้

ก็ซื้อไปเรื่อยๆ ...บางก้อนอาจโตน้อย บางก้อนอาจไม่โตได้แค่ปันผล ...แต่มันต้องมีสักก้อนโตสุดๆ ...เอางี้ !! ระยะยาวมาวันกันเลย ...เชื่อไหม ไอ้พอร์ตออมหุ้น ที่เริ่มจากเงินน้อย ผมว่า โตกว่าพอร์ตใหญ่เราอีก !!

4. ‘ไม่ชอบใช้เงินเกินตัว’ ..อะไรคือ ใช้เงินเกินตัว ...วัดง่ายๆ คือ อยากได้อะไร ‘ไม่กู้’ ซื้อเงินสดเท่านั้น ....ทำไมล่ะ ผ่อน 0% ดิ ‘โหห !! คุณแพ้ท โง่แล้วนี่ !!’ ...คิดดีๆ นะ ยุคนี้ที่คนเป็นหนี้หัวโต ก็เพราะผ่อน 0% รึเปล่า ....ถ้าต้องใช้เงินสดซื้อผมว่า เราคิดเยอะ บางที ไม่ซื้อไปเลย ...ผมก็เป็น คือ ถ้าผ่อน 0% มันรู้สึกถูก แต่คิดเลยนะ ว่า ‘ถูกหลอกแล้ว!!’

คนใช้เงินเกินตัว วันนึงอาจต้องขายสินทรัพย์กิน ...ซึ่งส่วนมาก เวลาที่ต้องขาย มันมักเป็นเวลาที่ควรซื้อเพิ่ม

5. ‘ชอบหาความรู้เพิ่ม’ ...ผมเจอคนรวยทุกคน ถ้าไม่อ่าน ก็ฟัง หรือดู ...หาความรู้เพิ่มตลอดเวลา ...ลูกค้ารายใหญ่ที่ผมสัมผัส ส่วนใหญ่ ฟังมากกว่าพูด ...เอาง่ายๆ ถ้าคุณเจอพวกพูดเยอะ เสียงดัง พวกนี้ส่วนใหญ่ลูกน้อง ไม่ใช่ตัวใหญ่ ...ผมเคยเจอเบอร์หนึ่ง ของจริง นี่เจอแล้ว งง อ่ะ ..เฮ้ย!! โคตรสุภาพ ไม่มีถือตัวเลย แล้วใฝ่รู้ตลอด ...ก็นั่นแหละ เขาถึงเป็นเบอร์หนึ่งไง

6. ‘เคยผิดพลาดหลายครั้ง’ ...คนไม่เคยพลาด ไม่มีทางประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ ...เวลาผมคุยกับคนยิ่งใหญ่ ผมชอบถามประสบการณ์ผิดพลาด ...อยากรู้ว่า เขาผ่านจุดนั้น อย่างไร ...ส่วนมาก เล่าได้เป็นฉากๆ ฟังแล้วสนุกเหมือน ดู Netflix เลยอ่ะ

บางคนบอก ‘ผมก็พลาดบ่อยครับพี่ ...พลาดมันเรื่องเดิมตลอดเลยครับ’ ...เออ!! มรึงไม่ใช่ละ พลาดเรื่องเดิม นี่มันไม่เคยเรียนรู้เลยนี่หว่า

7. ‘คิดยาว จริงๆ’ ...ผมรู้สึกว่า เวลาคุยกับคนที่รวยมากๆ บางทีเราคุยกับเขาไม่ค่อยรู้เรื่อง ...ก็ใช่!! คนเหล่านี้ ไม่ได้อยู่ในโลกปัจจุบันเหมือนคนทั่วไป ...เขาอยู่ในโลกอนาคต ...’นี่ผมไปลงทุนบริษัทนี้นะ เขาทำเกี่ยวกับ อาหารสมอง ของมนุษย์อนาคต (อะไรก็ว่าไป) ....บอกเลยต่อไป มนุษย์จะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากๆ ...มันเปลี่ยนชีวิตจริงๆ’

ลงไปเท่าไหร่ครับ ? ....’ล้านนึง’ ...แต่อีก 20 ปีนะ มันจะเป็น พันล้าน ....โหห!! ท่านคิดไกลจริง

8. ‘มีความสุขกับงานที่ทำ’ ...เดี๋ยวนะ !! เราอาจคิดว่า ทุกคนล้วนมีความสุขกับงานของตัวเอง ...ใช่เหรอ ? ...ไม่ใช่... คนส่วนใหญ่ ไม่ชอบงานที่ตัวเองทำ เซ็ง เบื่อ อยากเลิกทำ ....แต่ก็ไม่หาทางขยับขยาย กลับทนไปเรื่อยๆ จนสุดท้าย ‘หมดไฟ’ ...ชีวิตชาตินี้ของฉัน คงได้เท่านี้แหละ

‘แล้วเราก็เป็นไปดั่งที่เราคิด!!’ ...สรุป ได้เท่านี้แหละแบบที่คิดจริงๆ

แล้วแก้ไงล่ะ ? ....’แค่เปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตก็เริ่มเปลี่ยนแล้ว’

งานจริงๆ ยุคนี้ เราสร้างขึ้นมาเองได้ ....ต่างกับยุคก่อนที่การสร้างงานเป็นเรื่องยาก ....ทุกวันนี้อะไรที่เป็นปัญหา นั่นก็คือโอกาสธุรกิจแล้ว

ถ้าผมอยากให้เด็กเก่งนะ ...ไม่ต้องเรียนมาก มันเนิร์ด !! ...โยนปัญหาเข้าไปเลย ...เอาโจทย์ยากๆ ให้เขาแก้ ...พามันไปอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัด เดี๋ยวมันเก่งเอง

ก็ประมาณนี้ ‘ข้อจำกัดความรวยของแต่ละคน’ มันอยู่ที่ ‘ขนาดของความคิด’ ซึ่งมันสร้าง จาก ‘ปัญหาและความผิดพลาด’ ที่เราแต่ละคนพบเจอ ระหว่างทาง จนหล่อหลอม ให้เราเป็นเราในทุกวันนี้นั่นเอง

...’ไปออมหุ้น’ ....เริ่มแบ่งเงินน้อยๆ ซื้อหุ้นดี ในวิกฤต แล้วไม่ขายชั่วชีวิต ....ใครไม่ทำ เราทำ ...วิธีคิดถูก เดี๋ยวมันรวยเอง ไม่ต้องกลัว !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย
http://bls.tips/pawawitTeam

หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ”

วันเสาร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2563

หุ้นไทย มี 3 ชนชั้น ..จริงดิ

‘หุ้น มี 3 ชนชั้น ...จริงดิ’

หุ้นมีชนชั้นด้วยเหรอ ? ...มีดิ ...ถ้าจะเข้าใจหุ้นมันต้องเข้าใจเรื่องนี้ก่อน

“หุ้นชั้นที่ 1” : อันนี้ระดับเจ้าขุนมูลนาย ...หุ้นแบบนี้เรียกได้ว่า ชนชั้นสูงของประเทศไทย ...เช่น SCC , PTT , AOT , CPALL อะไรพวกนี้ ที่มีลักษณะผูกขาดโดยธรรมชาติ ...เอาตรงๆ นะ หุ้นแบบนี้ในต่างประเทศอาจจะไม่ค่อยมี แต่ประเทศอย่างเรามีเยอะแยะ

“หุ้นชั้น 1” : ข้อดี คือ เวลาเจอวิกฤต จะผ่านสบายๆ สุดท้ายสามารถกลับไปที่ราคาเดิม และ ทำ New High ครั้งใหม่ได้ไม่ยาก

ข้อเสีย คือ พอมันไม่มีทางเจ๊ง ก็เลยทำให้พอกำไร มันไม่ได้หลายเด้ง เหมือนหุ้นตัวเล็ก ...เอาตรงๆ นะ คุณไม่สามารถซื้อหุ้นชั้น 1 แล้วหวังรวยหลายๆ เด้ง

แค่ 2 เด้ง ยังเหนื่อยเลย ...แต่มันมั่นคง ปันผล สม่ำเสมอ เราหาได้จากหุ้นชั้น 1

“หุ้นชั้น 2” : หุ้นพวกนี้ คือ หุ้นขนาดกลางถึงเล็ก ที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโต ...พวกนี้จะใช้เวลาพอสมควร แล้วค่อยๆ เติบโตกลายเป็นหุ้นชั้น 1 ในที่สุด ...อย่างหุ้น CPALL หรือ AOT ก็เคยเป็นหุ้นชั้น 2 มาก่อน

จากนั้น ก็ค่อยๆ เติบโต กลายเป็นหุ้นชั้น 1 ...ถ้าสังเกต คนที่เป็นเซียนหุ้น ยกตัวอย่าง ดร.นิเวศน์ แกก็ลงทุนถือหุ้น CPALL ตั้งแต่ตอนที่เป็นหุ้นชั้น 2 ...ถือไปจนสุดท้าย มันกลายเป็นหุ้นชั้นหนึ่ง ก็จะรวยเป็นหลายๆ เด้ง

อย่างกลุ่ม โรงพยาบาล ในอดีต ก็เคยเป็นหุ้นชั้นสอง แต่วันนี้มันโตเป็นหุ้นหลายสิบเด้ง เข้าไปอยู่ในหุ้นชั้น 1 เรียบร้อยแล้ว

สรุป ถ้าคุณอยากเป็นเซียนหุ้น คนต่อไป ...คุณต้องหาหุ้นชั้น 2 นี่แหละ ...คุณต้องวิเคราะห์ให้ถูกว่า หุ้นชั้น 2 ตัวนี้ ในอนาคต มันจะโตเป็นหุ้นชั้น 1 ...ถ้าถูกต้อง สุดท้ายคุณก็จะเป็นเซียนหุ้น เป็นเศรษฐีคนต่อไปนั่นเอง

“หุ้นชั้น 3” : พวกนี้คือ หุ้น ที่เหมือน หวย ...บางทีโตหลายสิบเด้ง แต่ส่วนใหญ่ มันจะเจ๊งมากกว่า ...หุ้นพวกนี้ จริงๆ ก็คือ หุ้นปั่น หุ้นต่ำบาท หุ้นถูกมากๆ แบบที่รายย่อยชอบ

แต่ก็อย่างที่เข้าใจ คือ ส่วนใหญ่มันจะเจ๊ง มากกว่ารุ่ง ...ดังนั้น ถ้าเล่นหุ้นแบบนี้ ต้องเข้าใจด้วยว่า ฝั่งตรงข้ามที่ซื้อขายหุ้นกับเราคือ รายใหญ่

พวกนี้มืออาชีพ นับหุ้นตลอด รู้ด้วยว่าใครถือ ถือเท่าไหร่ ....สำหรับผม หุ้นแบบนี้ผมไม่ยุ่ง หรือ ถ้าเล่น ผมคิดเหมือนว่า ซื้อหวย คือ ถ้าไม่รวยหลายเด้ง ก็พร้อมเจ๊งเงินทั้งก้อนที่ลงเลย

ก็ประมาณนี้ ...ลองไปสำรวจ การลงทุนของเราดูว่า จริงๆ เราเหมาะกับหุ้นแนวไหน ?

อ๋อ!! ถ้าใครจะมาแนว ออมในหุ้น คุณต้อง Focus หุ้นชั้น 1 กับ 2 เท่านั้น ...ส่วนชั้น 3 เอาแค่ลงแบบลุ้นขำขำ พอครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย
http://bls.tips/pawawitTeam

หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ”

ของแพงที่สุดในชีวิต ที่คุณเคยซื้อคืออะไร

‘ของแพงที่สุดในชีวิต ที่คุณเคยซื้อคืออะไร’

บางคนก็ตอบว่า บ้าน , คอนโด , รถยนต์ อะไรก็ว่าไป  ...กว่าจะซื้อได้แต่ละอย่าง บางทีผ่อนหนี้กันหัวโตเลยทีเดียว

แต่สำหรับผม ของที่แพงที่สุดในชีวิตผมคือ ‘เวลา’ ...ถ้าจะซื้อของ ผมต้องซื้อเงินสด ไม่ผ่อน ถ้าซื้อสดไม่ได้ ก็รอไปก่อน ...สิ่งเดียวที่ผมจะยอมผ่อน ก็คือ ‘การซื้อเวลาของชีวิต’

ถ้าให้ลำดับความสำคัญ ในชีวิต ผมมี 2 เรื่อง

1. ‘ผมอยากมีชีวิต ที่ไม่ต้องมาห่วงเรื่องเงิน’

2. ‘ผมอยากมีเวลา ที่ใช้ในสิ่งที่เราอยากทำ’

ตอนแรกผมก็มานั่งคิด ว่า ‘ทำไมโจทย์ชีวิตกรู มันยากเกินไปหรือเปล่า ?’

ใช่!! ถ้าทำผิดวิธี โจทย์แบบนี้ ไม่มีทางไปถึงแน่นอน ..ตายก่อน บรรลุเป้าหมาย

มันตัองเริ่มจาก ‘วิธีคิดที่ถูกต้อง’ ดังนี้

ข้อ 1 ...ต้องหาวิธีสร้าง Passive Income ให้มีรายได้ เข้ามา ให้มากกว่า ค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง ...ซึ่งหนีไม่พ้น ต้องเรียนรู้ การลงทุนทางใดทางหนึ่ง

ผมเลือก ‘ออมหุ้น’ เพราะ ได้ทั้งปันผล และ การเติบโต

สิ่งที่ผมได้มาอย่างไม่คาดคิด จากการเริ่มออมในหุ้น ก็คือ ‘การเข้าใจสัจธรรมของมนุษย์’ ...ผมเรียนรู้โดยบังเอิญ จากแค่ถือหุ้นนี่แหละ

ครั้งนึงพอร์ตผมเคยโตแบบไม่คาดคิด แต่สุดท้ายไม่ได้ขาย พอร์ตลดมาเกือบครึ่ง ...ทำใจแทบไม่ทัน ...ก็ลองมาคิดทบทวนว่า ‘แล้วคนที่พอร์ตใหญ่กว่าผม อย่างพวกเจ้าสัว พอร์ตเป็นหมื่นล้าน เวลาตลาดแกว่ง ก็เท่ากับ เขารวยขึ้น จนลง แบบนี้ตลอดเวลา’ ...แล้วเจ้าสัวเขาทำใจยังไงล่ะ ?

เมื่อวาน พอร์ตพันล้าน พออาทิตย์ถัดไป ดันเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ พอร์ตลดลงเหลือ 500 ล้าน ...เฮ้ย !! 1 สัปดาห์ เงินหายไปเลย 500 ล้าน ....ไปฆ่าตัวตายเลยดีกว่า !!

ใช่!! คนที่ถือหุ้นยาว จะรู้เลยว่า จริงๆแล้ว ถ้าเรามัวแต่มองว่า พอร์ตโตเท่าไหร่ กำไร หรือขาดทุนแค่ไหน สุดท้ายคุณถือหุ้นไม่ได้หรอก ....ต้องเปลี่ยนวิธีคิด

‘พอเข้าใจเรื่องนี้ ก็เริ่มเรียนรู้ว่า ถ้าเราอยากมีอิสรภาพทางการเงิน เราต้องมองผ่านราคา ...มองไปที่มูลค่าเป็นหลัก’ .....หลังจากนั้น การลงทุนผมก็เปลี่ยนไป นิ่งขึ้น ...หุ้นขึ้นก็ไม่ตื่นเต้น เพราะรู้ว่า เดี๋ยวเราก็ตามได้ หาจุดเข้าทันอยู่แล้ว

หรือ พอหุ้นลง ก็รู้ว่า จุดไหนควรเริ่มทยอยเก็บ ...ไม่ต้องรอข่าวดี ด้วยซ้ำ ...ขืนรอข่าวดี หุ้นมันวิ่งไปเป็น 100% แล้ว ...ช้าไป!!

พูดง่ายๆ ว่า แค่โจทย์ ข้อ 1 ผมใช้เวลากว่า 10 ปี เรียนรู้การออมในหุ้น เพื่อตอบโจทย์

ข้อ 2 ...ผมอยากมีเวลาทำสิ่งที่อยากทำ ...จริงๆ ถ้าทำข้อ 1 ได้ มันก็ได้ข้อ 2 ด้วย ....สิ่งสำคัญของข้อ 2 คือ คนส่วนใหญ่ ไม่รู้หรอกว่า จริงๆ ชีวิตอยากจะทำอะไรจริงๆ ...คนเรามักจะรู้จักความต้องการจริงๆ ของตัวเอง ก็เมื่อเราเจอปัญหา เจอวิกฤตครั้งใหญ่ นั่นแหละ รู้จักตัวเองขึ้นเยอะเลย !!

....ผมเคยเจอผู้ใหญ่ท่านนึง เขาบอกว่า ‘ชีวิตคนส่วนใหญ่มัวแต่ทำมาหากิน หาเงิน พอรู้ตัวอีกที ก็แก่แล้ว ...สุดท้ายก็ยังเอาตัวไม่รอดอยู่ดี’ ...ฟังแล้วโคตรหดหู่

นั่นแหละ ที่ผมต้องพยายาม ไม่ให้เงินมาเป็นนายเรา ...เราจะต้องเป็นนายเงิน ให้เงินมันทำงานให้เรา

ที่เล่าเรื่องนี้ ไม่ได้อยากจะอวด หรืออะไร ...แต่อยากจะบอกว่า เผอิญผมโชคดี ที่เจอผู้ใหญ่หลายๆ คนชี้แนะ ตั้งแต่อายุยังน้อย ก็เลยเรียนรู้ ปรับตัวได้เร็ว

ก็เลยอยากแชร์เรื่องนี้ ให้เพื่อนๆ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ที่ยัง งง กับ การใช้ชีวิต ให้ลองมองในมุมนี้บ้างครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

อาชีพนักลงทุน เขาทำงานกันยังไง

‘อาชีพ นักลงทุน เขาทำงานกันยังไง’

มีคนถามผมเยอะว่า อาชีพนักลงทุน เขาทำงานกันยังไง ...เอาตรงๆ นะ มันก็เหมือนอาชีพอื่นๆ นั่นแหละ

ผมขออธิบาย ให้เห็นภาพดังนี้

1. ‘นักลงทุน กับ นักเทรดเก็งกำไร ไม่เหมือนกัน’ ...นักเก็งกำไร ส่วนใหญ่ต้องนั่งเฝ้าจอเทรด ต้องติดตามข่าวสารใกล้ชิด คือ พูดง่ายๆ ก็หนักพอๆ กับงานออฟฟิศเลยครับ ...ส่วนนักลงทุน จะเน้นให้เงินทำงาน ดังนั้น การเฝ้าพอร์ตหรือ ตามข่าวอาจจะน้อยกว่า ไม่ต้องเร็วขนาดนั้น ค่อยๆ คิดวิเคราะห์ก็ยังทัน

2. ‘นักลงทุน อาจทำอาชีพอื่นไปด้วยก็ได้’ ...คุณจะทำอาชีพอื่นไปกับการเป็นนักลงทุน มันก็ได้ทั้งนั้น เพราะ การเป็นนักลงทุน มันไม่ได้ต้องการ เวลาของคุณ ...มันใช้แค่เงิน กับ การวิเคราะห์เท่านั้น

3. ‘นักลงทุนไม่ต้องมีเงินเยอะก็ได้ แต่ต้องมีเงินเย็น’ ...คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่า คนที่จะเป็นนักลงทุนต้องรวยก่อน ทำให้กว่าจะเริ่มลงทุนก็ช้าไป ...จริงๆ ความรวยของนักลงทุน อยู่ที่ชั่วโมงบิน ประสบการณ์จากการลงเงินจริง ที่มันทบเป็นสิบเท่า ร้อยเท่า พันเท่า ของเงินเริ่มต้น ก็อยู่ที่ประสบการณ์นี่แหละ ....ใครอยู่ในตลาดนานกว่า ได้เปรียบกว่าเสมอ ....ผมถึงแนะนำคนรุ่นใหม่ว่า อย่ารอรวย ให้เริ่มเลย เข้ามาเลย เงินน้อยๆ ก็ได้ ขอให้เป็นเงินเย็น ก็เริ่มเป็นนักลงทุนได้แล้ว

4. ‘นักลงทุน ต้องให้เงินมันทำงาน อย่าไปทำงานแทนเงิน’ ...การขยันซื้อขายบ่อยๆ ไม่ได้ทำให้คุณเป็นนักลงทุนที่เก่งขึ้น ....’ยิ่งเก่ง ยิ่งขยับตัวน้อย’ ...เฮ้ย!! เหมือน ตัว สลอธ เลย ....ใช่!! ไม่เคลื่อนตัวเยอะ แต่คิดเยอะ ....ถ้าไม่นิ่ง เป็นนักลงทุนไม่ได้ ...ฝึกสมาธิควบคู่จะดีมาก

5. ‘นักลงทุนต้องเก่งที่การจัดสรรเงิน’ ...อย่างที่บอกว่า นักลงทุน คือ ให้เงินทำงาน ...ดังนั้น พอมีเงิน นักลงทุน จะจัดสรรเป็นก้อนๆ ตามความเสี่ยงที่คิดว่ารับได้ จากนั้น ก็ลงทุน กระจายลงทุนไปในหุ้น ที่คิดว่า ขึ้นได้มากกว่า 1 เด้งเสมอ (ก็เวลาเสียมัน 1 เด้ง ‘ทั้งก้อน’ เวลาได้ มันต้องหลายเด้งไงครับ)

6. ‘นักลงทุน ต้องคิดต่างเสมอ’ ...ถ้าตลาดมีวิกฤตแล้วคุณแพนิค ตื่นตระหนก แปลว่า ยังเป็นนักลงทุนมือใหม่ ...ส่วนมือเก๋า เขาเตรียมเงินอยู่แล้ว เขารู้นี่ ตลาด ทุกๆ 10 ปี มีวิกฤตใหญ่ทีนึง ก็เป็นโอกาสลงทุนมากหน่อย ...ทุกๆ 3 ปี ก็มีวิกฤต ย่อย ก็ค่อยๆ ทยอยลงทุนได้ ...คือ ทุกวิกฤต มันมีของถูก ...ซื้อตลอด ก็แค่นั้นเอง ....’อ้าว!! แล้วขายเมื่อไหร่ ?’ ....ไม่ต้องขายก็ได้ ถือเฉยๆ มันก็รวยไปเรื่อยๆ แล้ว ....แต่ถ้าจะใช้เงินก็ขายได้ ตลาดหุ้น สภาพคล่องดีจะตาย ดีกว่าที่ดิน หรือ สินทรัพย์อื่นๆ

7. ‘นักลงทุน ต้องฝึกเรียนรู้จากข้อผิดพลาด’ ...ขึ้นชื่อว่านักลงทุน ต้องมีพลาดอยู่แล้ว ซื้อพลาด ติดหุ้น มีเรื่อยๆ ...ยิ่งเก๋า ยิ่งแผลเต็มหลัง ...แต่ทุกครั้งที่พลาดมันเรียนรู้ไง ...พอผ่านไป ก็รวยขึ้นเสมอ ...ล้ม เดี๋ยวก็ลุกใหม่ ...โอกาสมาเรื่อยๆ ...ทุกวิกฤตนั่นแหละ โอกาสรวยเลย

8. ‘นักลงทุน เป็นอาชีพไม่กี่อาชีพ ที่ยิ่งแก่ ยิ่งรวย และ มีอิสรภาพทางการเงิน’ ....ถ้าผมจะแนะนำ คนรุ่นใหม่เรื่องเดียว ผมจะบอกว่า เรียนรู้ทักษะ ‘ออมในหุ้น’ แล้ว วันนึงคุณจะไม่ต้องเครียดเรื่องเงินอีกต่อไป !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย
http://bls.tips/pawawitTeam

หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ”

การตีราคาหุ้น ทำไมยากจัง

‘การตีราคาหุ้น ทำไมยากจัง’

ก็เหมือน ‘สินทรัพย์อื่นๆ’ ...การที่เราจะซื้อสินทรัพย์อะไรก็ต้องตีราคา ...ซึ่งความยาก ที่มันแฝงอยู่ในราคา ก็คือ ‘มูลค่าที่แท้จริง’ ของมัน

หุ้น มีการตีราคาหลายแบบ ...ถ้าจะสรุปให้ง่าย ผมขอสรุปเป็น 2 แบบ

1. ‘ตีราคาหุ้น เทียบกับรายได้’ ...ที่เขาเรียกว่าค่า P/E ก็คือ เขาเอา ‘ราคาหุ้นที่เราจะซื้อ’ เทียบกับ ‘กำไรต่อหุ้น’ ...เทียบทำไม ? ....พอเทียบเราก็จะรู้ว่า ‘ราคาหุ้นที่เราซื้อ มันใช้เวลากี่ปี ถึงจะคืนทุน’

ยกตัวอย่าง หุ้นราคา 20 บาท ...หุ้นนี้มีกำไรต่อหุ้นปีที่ผ่านมา 2 บาทต่อหุ้น (ทำธุรกิจ 1 ปี ได้เงิน 2 บาทต่อหุ้น) ...แปลว่า ถ้าเราซื้อที่ 20 บาท เราต้องถือหุ้น 10 ปี ถึงจะคืนทุนนั่นเอง

ในอีกมุม ถ้าเรามองในเชิงว่า ‘นักลงทุนยอมซื้อกี่เท่าของกำไร ก็ได้’ ...ในที่นี้ ถ้าหุ้นกำไร 2 บาท แล้วเรายอมซื้อที่ 20 บาท ก็แปลว่า เรายอมซื้อแพงกว่ากำไรที่บริษัทหาได้ 10 เท่านั่นเอง

สรุป ในมุมของรายได้ เราตีความ 2 แบบ คือ ‘กี่ปีคืนทุน’ หรือ ‘กี่เท่าของกำไร’

2. ‘ตีราคาเทียบกับ ต้นทุนเจ้าของ’ ...ต้นทุนเจ้าของ ก็คือ Book Value (มูลค่าหุ้นทางบัญชี) ...เราเอาสินทรัพย์ของบริษัท หักหนี้สินออกไป ก็จะเหลือ ส่วนต้นทุนของเจ้าของ ....ถ้าเราหารเฉลี่ยต่อหุ้น ก็คือ Book Value นั่นเอง

ช่วงหุ้นแพง เราอาจต้องซื้อแพงกว่าต้นทุนเจ้าของ หลายเท่า ...แต่ในช่วงวิกฤต หุ้นดีบางตัว ลงมาที่ 1 เท่า Book เลย คือ ซื้อได้เท่าต้นทุนเจ้าของ ...หรือ บางตัวต่ำกว่าต้นทุนเจ้าของก็มี

แต่ภาวะแบบที่เราสามารถซื้อหุ้นดีๆ ได้ต่ำกว่า ต้นทุนเจ้าของ มันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ...ก็มักจะเกิดขึ้น 10 ปีมีครั้งนึง ช่วง วิกฤตนั่นแหละ

นอกจากนี้ ‘การตีราคาหุ้น’ ผมขอสรุป จุดที่ดูง่ายๆ 5 ข้อ ดังนี้

1. ‘กำไรต่อหุ้น เติบโตไหม’ ...ถ้าเติบโต ผมยอมซื้อที่ค่า P/E สูงขึ้น ...สูงเท่าไหร่ อันนี้แล้วแต่ภาวะตลาด ภาวะ ปกติมันวิ่งตั้งแต่ 10-60 เท่า ...ในภาวะวิกฤต มันวิ่งตั้งแต่ 5-30 เท่า ...ก็ขึ้นอยู่กับว่า เราซื้อในภาวะใด

2. ‘ปันผลดีไหม’ ...ปันผลในภาวะปกติ จะอยู่ประมาณ 3% (คือ มันต้องดีกว่าเงินฝาก ไม่งั้นคนก็ฝากธนาคารกินดอกเบี้ยดีกว่า) ...ในภาวะวิกฤต พอราคาลง Yield ปันผล มันก็สูงขึ้น เป็นเฉลี่ยประมาณ 6% ....แบบนี้ก็เป็นช่วงที่ ควรออมในหุ้น เก็บยาว เพราะ Yield มันคุ้มที่จะถือยาว

3. ‘สภาพคล่อง เป็นไง’ ...ถ้าจะเก็งกำไรระยะสั้น ทุกวันนี้เล่นตัวใหญ่ดีกว่า บางคนเซียนหน่อย ก็ Leverage เล่น Block Trade แต่ไม่แนะนำสำหรับมือใหม่ เพราะ มันหมดตัวชั่วข้ามคืนได้เลย

ถ้าผมอยากได้หุ้นหลายเด้ง ผมชอบหุ้นเล็ก ที่ปันผลใช้ได้ แล้วกำไรโตดี ...พวกนี้ สภาพคล่อง อาจจะน้อย แต่คิดง่ายๆ ถ้ามันดีจริง เก็บยาวๆ ไป พอวันที่จะขาย เดี๋ยวสภาพคล่องมันมีเอง (ของดี มันซื้อยาก แต่มันขายง่าย)

ถ้าจะเก็บเอาปันผล จริงๆ ใหญ่เล็กได้หมด เพราะ เราไม่คิดจะขาย ...แต่ต้องแน่ใจว่า เจ้าของนั่งอยู่ฝั่งเดียวกับเรา

4. ‘เจ้าของนั่งอยู่ฝั่งเดียวกับเรา หรือ ตรงข้าม’ ...ดูง่ายๆ คือ ดูสัดส่วนที่เจ้าของถือ ...ถ้าเจ้าของถือน้อย อันนี้ เข้าข่ายนั่งคนละฝั่ง เขาจะไม่สนทำให้ธุรกิจกำไรยั่งยืน เขาสนใจมาทำราคาหุ้นมากกว่า ...เจอแบบนี้ ไม่ได้ห้ามเล่น ก็เล่นได้ แต่เราต้องเล่นสั้น ไม่ถือยาว

5. ‘ถ้าหุ้นไม่โตเลย คุณให้ราคาหุ้นเท่าไหร่’ ...อันนี้น่าสนใจ เพราะ คนเล่นหุ้น ส่วนใหญ่ให้ราคากับการเติบโตเป็นหลักเหมือนที่กล่าวมา

แต่ในกรณีที่ ‘ถ้าหุ้นไม่โตเลย ก็เท่ากับว่า เหมือนเราเอาเงินไปฝากธนาคาร ...แต่อย่างที่เรารู้ ราคาหุ้น มันแกว่ง ผันผวน ไม่ได้นิ่งเหมือนเงินฝากธนาคาร’

...สำหรับผม หุ้นไม่โตเลย แต่มั่นคง ผมรับได้ที่ปันผล ใกล้ๆ 10 % เพราะ ถือ 10 ปี คืนทุนแล้ว ...แต่สำคัญกว่า คือ เราต้องแน่ใจว่า เงินที่เอามาซื้อคือเงินเย็นเท่านั้น

‘ก็ไม่ได้ยากนี่ ?’

จริงๆ การตีราคาหุ้น มันก็ไม่ได้ยาก ...ที่ยากคือ ‘เวลาซื้อขาย มันมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง’ ..อันนี้แหละที่ยาก ซึ่งมันใช้เวลาและประสบการณ์ กว่าที่เราจะเก่ง เริ่มนิ่ง เริ่มชิวๆ

อ้าว!! แต่ผมว่า คุ้มนะ ...ทักษะ นึงที่ฝึกแล้วโคตรคุ้มสำหรับคนรุ่นใหม่ ก็คือ ทักษะออมในหุ้นนี่แหละ

ในโลกที่ไม่มีอะไรแน่นอน ...แต่แนวทางการลงทุนฉันแน่นอน หนักแน่น มั่งคั่ง ยั่งยืน ...ฮ่า ฮ่า !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย
http://bls.tips/pawawitTeam

หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ”

หุ้นลงในข่าวร้าย ทำไมไม่น่ากลัว ?

‘หุ้นลงเพราะ ข่าวร้ายทำไมไม่น่ากลัว’

หุ้นลงเพราะข่าวร้าย ไม่น่ากลัวหรอกครับ มันเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นจริงใจที่สุดแล้ว ไม่หรอกเรา ถ้ามีประสบการณ์เราใช้เป็นจังหวะเก็บของดีราคาถูกเลย

แต่ช่วงที่น่ากลัวที่สุด !! ก็คือ ‘หุ้นลงในข่าวดี ...อันนี้แหละ โคตรแห่งความหลอกลวง ...ข่าวดี แต่หุ้นลง อันนี้สยองโคตรๆ’

หลายคนสงสัยว่า ตลาดหุ้นผันผวนสุดๆ ทำไมนักลงทุนระยะยาวถึงแทบไม่เคยดูราคาหุ้นขึ้นลงรายวันเลย ?

"บ้าหรือ เงินแกว่งขึ้นลงเป็น แสน เป็นล้าน ทำไมดูเฉยๆ"

ที่เขาดูเฉยๆ เพราะเขามองหุ้นในคนละ มิติกับเราไง ...เฮ้ย!! เขาอยู่มิติไหนเนี่ย พระเจ้าช่วยกล้วยทอด ?!?

คนส่วนใหญ่อาจมองหุ้นใน มิติของ "ราคา" แล้วมองการขึ้นลงเป็นความรวยหรือจนที่ขึ้นๆลงๆตลอดเวลา

แต่คนที่มอง มิติของ"มูลค่า" บางครั้งเขามองแค่ปันผล และพยายามซื้อหุ้นนั้นในข่าวร้าย จากนั้นก็พยายามถือให้นานที่สุด -- ภาวะแบบนี้ในมุมของเจ้าของหุ้น เศรษฐี เจ้าสัว ก็คือ "โอกาสซื้อ และการทนรวย"

คุณไม่คิดเหรอว่า เวลาหุ้นลงในข่าวร้าย ..มันแปลว่าคนส่วนใหญ่แย่งกันขาย ราคาจึงลงแรง ..แปลอีกอย่างว่า มีกลุ่มคนอีกกลุ่มที่รอรับซื้อหุ้นจากคนเหล่านี้ ..ที่น่าสนใจกว่านั้น คือคนเหล่านี้มักเป็นรายใหญ่ !!

ครับ!! หุ้นลงในข่าวร้าย บางครั้งอาจเป็นโอกาสเพราะในวิกฤตมีบางคนที่เห็นโอกาส ..แต่ถ้าหุ้นลงในข่าวดี อันนี้แหละน่ากลัวจริง

เพราะมันมีบางคนพยายามหลอกคนส่วนใหญ่ โดยอาศัยข่าวดีหลอกให้คนส่วนใหญ่รับซื้อหุ้น!!

หลายคนถามผมว่า ปี 2020 เป็น มหาวิกฤตเท่าที่เคยมีมาเลย พี่แพ้ท คิดยังไง ?

‘ถามหน่อย ใครบอกคุณ ?’

เออ!! ก็อ่านข่าว

‘ไอ้คนเขียนข่าว มันเป็นหมอดูเหรอ มันรู้ได้ไง ?’

...ไม่มีใครรู้จริงหรอกครับ ...ทุกคนก็มีข้อมูลบางส่วน ...อีกส่วนก็เดา ...ดังนั้น การทำนายตลาดเป็นเรื่องไม่จำเป็น !!

‘อ้าว!! ถ้าไม่ทำนายตลาดหุ้น แล้วจะรวยได้ไงครับ ?’

‘ออมในหุ้น’ ซิครับ

ไม่ต้องไปทำนายตลาด เสียเวลา ....ทุกวิกฤตมีโอกาสอยู่แล้ว ...ถ้าดูหุ้นตัวไหนถูกก็ทยอยซื้อ ...ไม่ต้องไปสนหรอกว่า ต่ำสุดหรือยัง ...จริง ๆ Yield ได้ก็ทยอยซื้อได้แล้ว

Yield คืออะไร ?

‘เงินปันผล เทียบกับจุดที่เราซื้อ!! ...ตอนหุ้นแพง Yield มันไม่คุ้ม เอาเงินฝากธนาคารดีกว่า รอก่อน ...แต่พอหุ้นลง Yield มันจะเริ่มสูงขึ้น จนคุ้ม ...นั่นแหละ ก็เริ่มทยอยซื้อ’

...ที่ผมกลัวมากกว่า คือ โลกหลัง covid ...ผมกลัวว่า supply ของเงิน มันจะถูกอัดฉีดเข้ามาไม่จำกัด เพื่อพยุงเศรษฐกิจ (ต้องทำอยู่แล้ว ถ้าไม่ทำ อาจเจอปัญหาที่หนักกว่าคือ สงคราม หรือ ความวุ่นวายทางการเมือง) ...คราวนี้ ยิ่งเดาไม่ออกใหญ่ว่า วิกฤตต่อไปคืออะไร อาจจะเงินเฟ้อสูง แถมดอกเบี้ยต่ำอีก ...ซวยดิ ...อย่าไปเดาดีกว่า ปวดหัว

มาดูดีกว่า ว่า เศรษฐี เขาทำอะไร ? ...

‘ทุกวิกฤตเขาซื้อสินทรัพย์ ก็ง่ายๆ แค่นั้น ...เราก็ทำตาม  เวลาวิกฤต เราก็ทยอยซื้อสินทรัพย์ ...ถ้าทำนานพอ สินทรัพย์อย่างหุ้น ก็จะให้ปันผลเลี้ยงเราจนใช้ไม่หมด’ ...นั่นแหละ ออมในหุ้น จนมีอิสรภาพทางการเงินครับ !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย
http://bls.tips/pawawitTeam

หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ”

หุ้นขึ้นได้กี่เด้ง แล้วลงได้กี่เด้ง

‘หุ้นขึ้นได้กี่เด้ง แล้วลงได้กี่เด้ง ?’

หุ้นน่ะขึ้นกี่เด้งก็ได้ ...หุ้นมันขึ้นเป็นรอบๆ ...หนึ่งรอบก็ประมาณ 10 ปี หุ้นใหญ่ก็ขึ้นได้ 3-5 เด้ง ..หุ้นตัวเล็กก็อาจขึ้นได้ 10 เด้ง ...ถ้าเป็น Superstock ของแต่ละรอบ ก็ขึ้นมากกว่านั้น

ยกตัวอย่าง superstock รอบวิกฤต 2008 แล้วขึ้นมา อย่าง AOT หรือ KTC พวกนี้ขึ้นมาเกิน 50 เด้ง (ใช่!! สมมุติ ซื้อ 1 ล้าน มันกลายเป็น 50 ล้าน ได้ในเวลาประมาณ 10 ปี)

...ส่วนหุ้นในตำนาน ที่อยู่ในตลาดหุ้นมานานอย่าง SCC , CPN อะไรพวกนี้ ขึ้นเป็น 100 เด้ง

บ้านเราเห็นขึ้นสูงสุดคือ หลายร้อยเด้ง ...แต่ถ้าต่างประเทศ ยกตัวอย่าง Amazon นี่ 20 ปี ขึ้นที 1200 เด้ง

...ใครถือได้ คุณเป็นมหาเศรษฐี ..แต่ก็อย่างที่รู้กัน คนส่วนใหญ่ เล่นหุ้นแบบ ‘หาค่ากับข้าว’ ...ซื้อวันนี้ ขายพรุ่งนี้ ถืออย่างมากก็ไม่กี่สัปดาห์ ..ถือเป็นเดือนนี่จะตายละ ...ตรงๆ นะ ถึงคุณเคยซื้อหุ้นอย่าง Amazon แต่คุณถือแค่ไม่กี่เดือน หรือ ถือ ปีเดียว มันก็ไม่รวยหรอก ...จี๊ดเลย!!

(เดี๋ยวจะขออธิบายเพิ่ม ว่าวิธีคิดของคนส่วนใหญ่ที่เข้ามาตลาดหุ้นน่ะ มันผิดตั้งแต่เริ่ม ...คือ เขาลงทุนแบบผลตอบแทนจำกัด แต่ความเสี่ยงไม่จำกัด ...เวลาได้กำไร นิดเดียวขายละ แต่พอขาดทุน ทนขาดทุนจนเลือดสาด!!)

ส่วนขาลง ...เราก็จะเห็นตลาดหุ้นมันมักจะเกิดวิกฤตทุกๆ 10 ปีตามสถิติ ...ตลาดหุ้นอาจจะลงประมาณ 50% ...เช่น อย่างวิกฤตปี 2008 หรือ อย่างวิกฤต 2020 ...แต่หุ้นรายตัวมักจะลงลึกกว่านั้น ...เฉลี่ยการลงเมื่อหุ้นจบรอบคือประมาณ 70% (แปลว่า หุ้นเล็กอาจลงลึกกว่านั้น บางตัวลง 90% ก็มี)

เลวสุด หุ้นสามารถลงได้ 1 เด้งเลย ...’คือ เด้งไปเลย เจ๊ง ลง 100%’ ....แล้วไงล่ะ ?

‘แล้วไงล่ะ ?’

ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่า ‘หุ้นมันเหมือนที่ดิน’ คือ เวลาขึ้นมันขึ้นกี่เด้งก็ได้ 5 เด้ง 10 เด้ง 50 เด้ง ...แน่ตอนลงมันลงได้ 1 เด้ง เท่านั้น

อย่างคุณซื้อที่ดิน ไร่ละ 100,000 บาท ถือ 20 ปี พอเมืองมันเจริญ มันก็อาจจะขึ้นไป 2 ล้าน ...นี่ก็คือ 20 เด้ง ...แต่ความเสี่ยงมันคือ แสนเดียวไง

แต่ทุกวันนี้ เราหาไม่ได้แล้ว ที่ดิน ที่มันจะขึ้นแบบบ้าคลั่งเหมือนสมัยก่อน เพราะ เมืองมันเจริญไปเรียบร้อยแล้ว ....เราเลยต้องเปลี่ยนไปลงในสินทรัพย์ที่ยังมีโอกาสอยู่ อย่างเช่น หุ้น

ข้อดี อีกอันของหุ้น คือ ระหว่างถือ มันให้ปันผลด้วย

ในมุมของผม ผม ‘ออมในหุ้น’ คือ หาหุ้นดี ตอนวิกฤตแล้วถือไปเลยชั่วชีวิต ...ปันผลนี่แหละ ที่โคตรสุดยอดคำตอบทางการเงินของชีวิต ...เพราะ ถ้าผม ออมหุ้น ไปเรื่อยๆ ...มีวิกฤตก็ทยอยซื้อเพิ่มไปเรื่อยๆ สุดท้าย ผมก็จะมีอิสรภาพทางการเงิน จากปันผลนี่แหละ

ถึงจุดนึง พอร์ตจะขึ้นลง มันไม่สำคัญ เพราะ ปันผลมันเลี้ยงเราได้ ...นั่นแหละ สุดยอดเป้าหมายเลย

แต่!! ....แต่คนที่จะทำได้ ต้องมี Mindset ของการออมหุ้น ที่ถูกต้องก่อน ...เริ่มจากเปิดบัญชี แยกออกจากบัญชีเล่นหุ้นอันเดิม (ทำไมใช้พอร์ตเดียวกันไม่ได้เหรอ ? ...ไม่ได้!! เพราะ ถ้าใช้พอร์ตเดียวกันกับพอร์ตเล่นสั้น สุดท้ายคุณจะเล่นสั้นหมด ไม่ได้ออมหรอก ...ดังนั้น ต้องแยกคนละพอร์ต เปิดอีกพอร์ตใหม่เลย แล้วตั้งใจออมในพอร์ตใหม่)

เริ่มจากเงินน้อยๆ ที่ตัดออกจากชีวิตได้ ..เช่น 10% ของเงินเดือน แยกออกมาเริ่ม ออมในหุ้น

‘แล้วเมื่อไหร่ จะรวยล่ะ ?’

ไม่รู้ แต่ที่รู้คือ เมื่อวิธีคิดถูกต้อง มันรวยชัวร์ในวันนึง ...อย่างน้อย ถ้าติดกระดุมเม็ดแรกถูก เม็ดต่อไปมันก็น่าจะถูก จริงไหม ?

ออมในหุ้น นี่คือ ทุกครั้งที่ซื้อ เรายอมเสีย 1 เด้ง แต่เวลาได้ เอาเท่าไหร่เท่ากัน ไม่จำกัดเด้ง ...ดังนั้น มันปิดประตูแพ้ ตั้งแต่วันที่ซื้อแล้ว ...แต่คำเตือนคือ ระหว่างทางที่ทำ จะมีบททดสอบใจให้เลิกทำมากมาย ...ใครผ่านได้ ก็รวยครับ ..จัดไป !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย
http://bls.tips/pawawitTeam

หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ”

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ