แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

คอร์สมือใหม่เข้าใจหุ้นเดือนสิงหาเปิดให้จองแล้วครับ


'คอร์สมือใหม่เข้าใจหุ้น' เดือนสิงหาคมเปิดให้จองแล้วครับ วันที่ 20-21 สิงหาคมนี้ !!

อันนี้เป็นคอร์สปูพื้นฐานการลงทุนแบบเข้มข้นสำหรับมือใหม่ หรือคนที่เล่นหุ้นมาสักพักแต่ยัง งง จับทางตลาดไม่ถูก - เรียนทั้งหมด 2 วันเต็ม ซึ่งเป็นคอร์สที่ผมสอนเองทั้ง 2 วัน (ผมสอนเองครับ การันตีความเข้าใจง่าย!!)

โดยปูพื้นฐาน ตั้งแต่ Mindset วิธีคิดการลงทุนที่ถูกต้อง ..ไปจนวิธีทำ เริ่มจาก

- การอ่านงบการเงิน (Fundamental Analysis) เรียนได้ไม่ต้องรู้บัญชี แกะงบเพื่อหาหุ้นถูกแพง เลือกลงทุนสั้นหรือยาวให้เหมาะสม

- สอนอ่านกราฟหุ้นตั้งแต่พื้นฐาน (Technical Analysis) วิธีการดูจังหวะ การดูรอบของหุ้น

วันที่หนึ่งจะสอนพื้นฐานและการใช้เครื่องมือตั้งแต่เบสิค ..ส่วนวันที่สอง จะเรียนการใช้กราฟ และ workshop แกะงบบริษัท พร้อมดูรอบหุ้นไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเอาความรู้ที่เรียนไปปรับใช้ได้จริงในการลงทุนตามแบบของตัวเอง

คอร์สมือใหม่เข้าใจหุ้น จะจัดในวันที่ 20-21 สิงหาคม นี้ ..ใครสนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและจองที่นั่งเรียนคลิ๊กที่นี่ครับ 

สี่รู้เปลี่ยนชีวิต

4 ความรู้อะไรที่ใช้เปลี่ยนชีวิตผม 'ผจญภัย - เชี่ยวชาญ - ตื่นรู้ - เข้าใจเวลา'

1. 'ความรู้แบบนักผจญภัย' ความรู้อันนี้หายากขึ้นเรื่อยๆ มันคือความรู้ที่นักวิทยาศาสตร์เขามุ่งมั่นค้นหา ..เขาจะพบและรู้ในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้

 ...ผมตั้งเป้าหมายว่า ทุกปี ผมจะทำสิ่งนึงที่ผมรู้สึกอึดอัดในชีวิตอย่างน้อยปีละ 1 อย่าง - เพราะอึดอัดคือการเติบโต !!

2. 'ความรู้จากความเชี่ยวชาญ' หากเราเชี่ยวชาญในเรื่องใดก็ตามเป็นพิเศษ ทำสิ่งนั้นได้ดีกว่าคนทั่วไป ดีจนคนอื่นชมว่าคุณเก่งในเรื่องนั้นๆ ..เราจะยึดสิ่งนั้นแหละเป็น Passion และความรู้ที่สร้างจาก Passion มันลึกซึ้งและชวนให้น่าหลงไหล 

..ผมยึดเรื่องการลงทุนในหุ้น เอาให้สุดรู้ให้จริง ทำให้ได้ นั่นแหละที่มา The Stock Blueprint เลยแหละ

3. 'ความรู้จากการพิจารณาตัวเอง' สิ่งนี้คนส่วนใหญ่มองข้ามไปเลย ทุกวันนี้เราทำงาน ซื้อของ ใช้ชีวิต ทุกอย่างเพื่อถ่ายภาพอวดคนอื่นใน Facebook แต่เราลืมไปว่า ..หนึ่ง คนอื่นเขาอาจไม่ได้มองเหมือนเรา เช่น เรานึกว่าเท่ห์ แต่คนอื่นอาจมองตรงข้ามนะ เคยคิดไหม ..สอง ถ้าเราบอกไม่แคร์ ทำไมไม่หยุดใช้ชีวิตเพื่อโชว์คนอื่น ซื้อของที่เราไม่ได้อยากได้จริง แค่โชว์คนที่เราไม่ชอบ มันไร้สาระมากที่ใช้ชีวิตแบบนั้น

 ...ผมเคยทำงานหนักโดยไม่เลือกขอแค่ได้เงินเพื่อซื้อของที่แพงมากๆ เพื่อให้คนอื่นรู้ว่าผมสำเร็จ แต่ผมพบว่า คนอื่นกลับมองด้วยความอิจฉาปนความสมเพช ...เมื่อผมคิดได้ ผมถามตัวเองจริงๆ ว่าอยากทำสิ่งใด จากนั้นผมทุ่มชีวิตทำงานที่ หนึ่ง ผมรักงานนั้นจริงๆ สอง คนอื่นเห็นคุณค่าในงานที่ผมทำ สาม งานนี้สร้างประโยชน์และแก้ปัญหาให้ผู้คน -- หลังจากนั้นชีวิตผมเปลี่ยนทันที !!

4. 'ความรู้ในเรื่องของเวลา' คนไม่สำเร็จในชีวิตจะมองว่าเวลาของตัวเองไม่มีค่า แต่คนที่ประสบความสำเร็จจะหวงเวลาของตัวเองมาก ..เคล็ดลับมันคือ ในช่วงเริ่มต้น เราใช้ชีวิตแบบ เงินมีค่ามากกว่าเวลา ..ช่วงนี้สิ่งที่ต้องทำคือ ใช้เวลาสร้างความเชี่ยวชาญในงานที่เราเลือกให้มากที่สุด ...หลังจากเราทำได้ คุณจะเริ่มหวงเวลาและเห็นค่าเวลา คือ 'เวลาสำคัญกว่าเงิน' 

...ผมพบว่า วันที่ผมเริ่มหวงเวลาของตัวเอง มันคือวันที่ผมมีสติมากขึ้น ผมพบว่าเราต่างมีเวลาชีวิตที่จำกัด ให้เลือกและทุ่มเวลากับสิ่งที่เราให้ความสำคัญจริงๆ เท่านั้น

พอพบความรู้ 4 เรื่องนี้ ชีวิตเปลี่ยนเลยครับ !!! 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

มนุษย์เงินเดือน 4 แบบ


'มนุษย์เงินเดือน 4 แบบ'

ใครเป็นแบบใด จะมีค่าจ้างตามแบบนั้น ..หลายคนหลงคิดว่า ฉันเรียนสูง บ้านมีฐานะ อาจจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องอยู่ในกลุ่ม 

ไม่เลย !! ...สุดท้ายหากเราเป็นมนุษย์เงินเดือน เราต้องเลือกแบบใดแบบหนึ่ง เพื่อไปต่อในด่านถัดไปนะครับ -- 'คุณได้ไปต่อนะคร๊าบบ!!'

หนึ่ง : 'มนุษย์เงินเดือนหลักลอย' ..หลักลอย ก็คือ หลักร้อย ..หาเงินค่าจ้างขั้นต่ำ ..งานที่ทำคืองานที่จ้างเราให้ไปยืนหรือนั่งตรงนั้นแหละ ..งานนี้วัดผลจากสองอย่าง คือ หนึ่ง จำนวนชิ้นที่ทำ สอง วัดจากชั่วโมงที่นั่ง ..และจุดเด่นของงานนี้คือ ใครทำก็ได้ ใช้เวลาเรียนรู้งานไม่นาน ..ถ้าถามนายจ้าง เขาอยากเอาเครื่องจักรมาแทนคนงานเหล่านี้มากๆ ...ถ้างานใครเป็นแบบนี้คือ 'มนุษย์เงินเดือนหลักลอย' ..แนะนำให้พัฒนาตัวเอง เพื่อเปลี่ยนหลักอย่างด่วน !!

สอง : 'มนุษย์เงินเดือนหลักหมื่น' ...งานนี้ต้องมีบัตรผ่านเข้างานเป็นใบปริญญา ยิ่งถ้าเราเรียนเก่งจะได้รับพิจารณาเป็นพิเศษ ..งานนี้ต้องมีความรู้แต่ใครจบปริญญาก็ทำได้ทั้งนั้น ..ใช้เวลาเรียนงานไม่นานมาก ..วัดผลตามจำนวนชิ้นงาน และ เวลาที่เราใช้ ..คนที่จะรุ่งในหลักนี้ ต้องทำงานตามโจทย์ได้ดี ..'สั่งง่าย ทำไว ใจสู้'

สาม : 'มนุษย์เงินเดือนหลักแสน' ..อันนี้เกินใบปริญญาละ มาวัดที่ความเชี่ยวชาญ ..คนที่เงินเดือนหลักแสน ต้องมีความเชี่ยวชาญบางอย่างที่โดดเด่น ...งานนี้ไม่ใช่ใครทำก็ได้ ต้องเป็นฉันเท่านั้น เช่น ถ้าพี่เบิร์ดไม่มาร้องเพลงในงานคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดๆ ก็งานล่มอย่างเดียว ..อันนี้แหละงานของมนุษย์เงินเดือนหลักแสน ...เราเป็นผู้เชี่ยวชาญ เราได้รับการยอมรับ และไม่ใช่ใครๆ จะมาแทนเราได้ ...งานแบบนี้ดีทุกอย่าง เงินดี ชีวิตรุ่ง แต่จะไม่มีเวลาให้ตัวเอง เพราะ นี่คือ ระดับสูงสุดของมนุษย์เงินเดือนที่ขายเวลาแลกเงิน

สี่ : 'มนุษย์เงินเดือนหลักสี่' ...เข้าสี่แยกเลยครับ ..คนที่มาถึงหลักสี่ได้ ส่วนมากเคยผ่านมาทุกหลัก แล้วรู้จักพัฒนาตัวเอง ให้เปลี่ยนหลักมาเรื่อยๆ ...ส่วนใหญ่คนที่เก่งมากๆ จะมาติดอยู่ตรงหลักแสน แต่คิดไม่ออกว่า จะไม่ขายเวลาแลกเงิน จะทำอย่างไร ...มนุษย์เงินเดือนหลักสี่ คือ คนที่แยกตัวเองออกจากงานโดยการสร้างผลงานที่ทำงานแทนตัวเอง ...เพราะตัวเราทำเงินได้ แต่ผลงานเราจริงๆ ก็สร้างเงินได้ - คนที่จะเก่งในหลักนี้ ต้องคิดเรื่องการสร้างผลงานที่ทำเงิน 

ลองสำรวจดูซิครับว่า เรากำลังอยู่ในมนุษย์เงินเดือนหลักไหน ? ...ทุกหลักเปลี่ยนไป ถ้าเรารู้จักพัฒนาตัวเอง

เปลี่ยนตัวเอง ให้เปลี่ยนหลัก!!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ทำไงให้ไม่เสียเปรียบรายใหญ่ในตลาดหุ้น


ทำไงให้เราไม่เสียเปรียบรายใหญ่ในตลาดหุ้น ?

...'ก็เราต้องมีอาวุธ และความรู้ที่เสมอภาค เช่น อ่านกราฟหุ้นได้ !!

 ...ถ้าเรื่องพื้นฐานหรืองบการเงิน เจ้าของ ผู้บริหาร หรือรายใหญ่ เขารู้ข้อมูลก่อนรายย่อย ...แต่ถ้าราคาหุ้น ทุกคนเห็นในกราฟพร้อมกัน 

- ดังนั้นถ้าอ่านเกมจากกราฟหุ้นออก เราก็ไม่เสียเปรียบไง'

ถามต่อว่า อาวุธที่สำคัญสุดของนักลงทุนคืออะไร ?

เอาสำคัญสุดเลยนะ ..สำคัญว่า รู้สั้น รู้ยาว ก็คือ 'สติ'

ในตลาดหุ้นมันขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ล้วนๆ ราคาขึ้นลงรายวัน เกิดจากอารมณ์ของนักลงทุนตามข่าวแต่ละวัน 

'เจ้ามือรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี'

คิดดูซิ เขาเลยใช้ 'ข่าว' ในการขับเคลื่อนราคา ..ถ้าเขาอยากขาย เขาก็ใส่ข่าวดีเข้าไป ..ถ้าเขาอยากซื้อเขาก็ใส่ข่าวร้ายเข้าไป 

พื้นฐานน่ะเหรอ ก็อยู่ในมือเขา ถ้าเขาอยากได้หุ้นคืนในราคาถูก ก็หนึ่ง ปล่อยข่าวร้าย สอง ออกงบห่วยๆ สาม ประกาศไม่จ่ายปันผล และ ถ้าโหดกว่านั้น ก็สี่ เพิ่มทุนราคาถูก (ถ้าเจ้าของถือเยอะ ก็เพิ่มทุนราคาถูก ..ถ้าเจ้าของถือน้อย ก็เพิ่มทุนราคาแพง ดังนั้น ทิ้งของให้เม่าก่อน จากนั้นค่อยเพิ่มทุน ตัวเองใช้สิทธิให้เต็ม เพราะนักลงทุนขยาดและกำลัง งง ..555)

'เราเสียเปรียบอ่ะ' ..ก็ใช่อ่ะซิครับ หุ้นที่ทำแบบนี้ ก็คือ หุ้นปั่นไง !! (ถ้าอ่านเกมเขาไม่ออก อย่าไปยุ่ง 'สติ!!!!')

...ลองไปดูพอร์ตเม่าซิ  เวลาติดหุ้น ติดแต่หุ้นปั่น ทั้งที่เริ่มเล่นหุ้นก็เล่นหุ้นดีๆ หรอก แต่เห็นรวยช้า เห็นหุ้นปั่นขึ้นเร็วแรงดี ขอติดซะหน่อย (บ้าไปแล้ว?) -- นี่ไง 'ความโลภมา สติหาย ปัญญาหด พอร์ตพัง'

ถ้ามี 'สติ' ก็ยังมี ปัญญา พอร์ต ก็รวยได้

เดี๋ยวนะ !! ผมไม่ได้บอกว่าห้ามเล่นหุ้นปั่น ไม่ได้ห้าม แต่ถ้าจะเล่น มันเสี่ยงกว่าเท่านั้นเอง เพราะ หุ้นปั่น มีแค่ 'เจ้ามือ กับ เม่า' (พวกกองทุน หรือ นักลงทุน เขาไม่ซื้อหุ้นปั่น ดังนั้น ถ้าติดหุ้นปั่น ชาตินี้ อาจรออีกนาน ชาติหน้า เพราะเจ้าทิ้งแล้วเขาไม่จำเป็นต้องกลับมาช่วยเม่า 

 ..แต่ถ้าหุ้นพื้นฐาน ถึงติด พอรอบหน้ามา ก็มีคนมาซื้อ มันก็หลุดได้ แถมระหว่างรอหุ้นดี มันยังมีปันผลให้นะ)

สรุป 
1. มีสติ เหนือ ข่าว (เพราะนั่นคืออารมณ์)
2. ใช้ ปัญญา อ่านเกมให้ออก ..ถ้าหุ้นพื้นฐาน เกมมันก็ตามรอบธุรกิจ แต่ถ้าหุ้นจี๊ด คุณต้องอ่านเกมเจ้า (ถ้าอ่านไม่ออก ก็ไม่ต้องเข้าไป..จบ)

ในหลักสูตร The Stock Blueprint ผมกับหยงให้ความรู้รายย่อย ให้คุณสามารถสู้กับคนอื่นๆในตลาด ..แม้เราตัวไม่ได้ใหญ่ แต่เรามีความรู้เพียงพอเอาตัวรอดและทำเงินได้ในตลาดหุ้น ...แพ้ทสอนลงทุนยาว & หยงสอนลงทุนสั้น ดูรายละเอียดของหลักสูตร Stock Blueprint คลิ๊กที่นี่ครับ
www.thestockblueprint.com

วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

คลิ๊ปการสร้างเครื่องผลิตเงินจากตลาดหุ้น

เอาคลิ๊ปอุ่นเครื่องมิติที่ 5 'เราสามารถใช้หุ้นเลี้ยงเราได้ ที่คนเขาพูดเรื่อง Passive Income แบบว่าลงทุนซื้อหุ้นครั้งเดียว รับปันผลชั่วชีวิตของจริงโดยไม่ต้องเหนื่อย ก็ตลาดหุ้นนี่แหละ..ใช่!!' มาให้ดูย้อนหลัง ใครยังไม่ได้ดู ...จัดไปครับ !!


หลักสูตรแกะพิมพ์เขียวตลาดหุ้นไทย : เข้าใจการลงทุนทั้งเล่นสั้นและเล่นยาวในคอร์สเดียว โดย 'แพ้ทยาว & หยงสั้น'

คอร์สนี้เป็นการเรียนผสมผสานโดยใช้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ : (เรียน Online 5 Days + Goldenticket 2 Full Days Seminar) ซึ่งการเรียนทั้งหมดสามารถดูย้อนหลังออนไลน์ และดูย้อนหลังซ้ำกี่รอบก็ได้

ค่าเรียนตลอดหลักสูตรราคา 14,500 บาท สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมและคลิ๊กสมัครได้ที่ www.thestockblueprint.com

-------------------------------

เนื้อหาทั้งหมดของหลักสูตร 

(สัมมนาออนไลน์ 5 วัน'สมัครแล้วสามารถเริ่มเรียนได้เลย' + สัมมนาเจอกัน Golden Ticket อีก 2 วัน 'เจอกันวันที่ 18 กันยา & 5 มีนาคม รายละเอียดส่งให้หลังสมัคร' : รวมเป็น 7 วันเต็มของเนื้อหา ตั้งแต่ปูพื้นฐาน + ปรับวิธีคิด + สอนวิธีทำ + ให้เวลานำไปปฏิบัติลงทุนจริง + กลับมาติดตามผลใน Golden Ticket)

- ปูพื้นฐานและปรับ Mindset มือใหม่ & ผู้ที่ต้องการปรับวิธีคิดการลงทุนใหม่ ด้วย Audiobook Online 5 ชุด (รวม 5 ชั่วโมง)

- เรียนออนไลน์ 5 วัน เรียนสั้นสร้าง Cashflow & เรียนยาวสร้าง Wealth (รวม 30 ชั่วโมง) 'เริ่มเรียนได้ทันทีหลังจากสมัครเรียบร้อย'

- E-book สรุปเนื้อหาที่เรียนทั้งหมด

- Golden Ticket  2 Days เป็นสัมมนาเต็มวัน สอนสดอีก 2 วัน ในวันที่ 18 ก.ย. & 5 มี.ค. (รวม 10 ชั่วโมง)

-------------------------------

ค่าเรียนตลอดหลักสูตร : ราคา Early Bird  สมัครวันนี้คือ 14,500 บาท 

สนใจอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ดูตัวอย่างสัมมนา และคลิ๊กสมัครได้ที่ www.thestockblueprint.com

(ราคา 14,500 บาท มาจาก 

- 'ราคาพิเศษ' : หลักสูตร The Stock Blueprint มูลค่า 29,500 บาท (เรียนออนไลน์ ลด 50% เหลือ 14,500 บาท) 
- 'แถมฟรี' : Golden Ticket 2 Days Seminar ราคาวันละ 4,500 บาท สองวัน รวม 9,000 บาท
- 'แถมฟรี' : E-book ราคา 250 บาท
- 'แถมฟรี' : Audiobook 5 ชุด มูลค่า 1,500 บาท)

ราคาและของแถมทั้งหมดนี้ ต้องสมัครภายใน 31 สิงหาคมนี้ (ถ้าสมัครหลังจาก 31 สิงหาคม จะเป็นราคาเต็มครับ)

-------------------------------

(สำหรับมือใหม่ ที่ยังไม่มีบัญชีซื้อขายหุ้นและเครื่องมือที่จำเป็นในการดูพื้นฐานและดูกราฟ สามารถสมัครเปิดบัญชีออนไลน์ได้ที่หลักทรัพย์บัวหลวงคลิ๊กที่นี่ได้เลย https://goo.gl/goj8BJ หรือโทรสอบถามข้อสงสัยในเรื่องบัญชีการซื้อขายและเครื่องมือการลงทุนต่างๆ ที่เบอร์ 02-618-1111 ในเวลาราชการครับ)

สมัครเรียนและดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่
www.thestockblueprint.com

ดูคลิ๊ปการสร้างเครื่องผลิตเงินจากตลาดหุ้น  คลิ๊กดูที่นี่ 


http://youtu.be/TZkylnKOKzU

ทำไมผมไม่เคยกลัววิกฤตเศรษฐกิจ


'ทำไมผมไม่กลัววิกฤตเศรษฐกิจ ทั้งๆที่เงินส่วนใหญ่ของผมวางอยู่ในตลาดหุ้น ?'

ในทุก Generation โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนผ่านของทุกยุค มักจะเกิดสงคราม ..ผมเห็นช่วงนี้นักทำนายอนาคต Futurist เริ่มเขียนบทความทำนายสิ่งร้ายๆ ที่จะเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ ...มันทำให้ช่วงนี้ผมอ่านหนังสือค้นคว้าข้อมูลเพิ่มขึ้น

เพราะแน่นอน ถ้าเกิดสงครามมันจะกระทบกับเรื่องการลงทุนและตลาดหุ้นที่ผมทำงานอยู่แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ -- หลายคนพอเห็นข่าวไม่ดี ก็มองแล้วว่าจะล้างพอร์ต 'พูดง่ายๆ คือ ขายหุ้นทั้งหมดทิ้ง แล้วถือเงินสดหรือทองคำ'

ครับ!! โดยปกติผมและนักลงทุนระยะยาว มักจะถือหุ้นเกิน 70% ของพอร์ตในทุกช่วงเวลาอยู่แล้ว (การวางพอร์ตแบบนี้ หุ้นขึ้นก็รวย หุ้นลงแรงก็ยิ่งรวย) ซึ่งทำตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ที่มักมีหุ้นน้อย แต่มีเงินสดเยอะกว่า -- ก็ไม่แปลก เพราะ

1. เราถูกสอนกันว่า หุ้นเสี่ยง แถมความผันผวนของหุ้นรายวันก็บ่งบอกเช่นนั้น ..ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่กล้าถือหุ้นยาวๆ -- แต่ผลลัพธ์จริงๆ มันตรงกันข้าม เพราะการเทียบผลตอบแทนจริงของคนถือหุ้นเป็นส่วนใหญ่ (กรณีถือหุ้นดี ไม่ใช่ติดหุ้นปั่นแบบคนส่วนใหญ่นะ) มักพอร์ตโตแบบก้าวกระโดด รวยกว่าคนที่ไม่ลงทุนประมาณ 10 เท่า 

2. การเปลี่ยนโครงสร้างในโลกการเงิน ที่ผลตอบแทนของสินทรัพย์ปลอดภัยลดลงจนแทบเหลือศูนย์ ..เงินไม่ได้หายไปไหน ทำให้ผลตอบแทนมันเปลี่ยนไปอยู่ในสินทรัพย์เสี่ยง เกิดเป็นยุค Bubble ในปัจจุบัน (เราจะเห็นคนที่เชื่อมั่นใน Asset จะผลัดกันรวย เพราะเงินมันวิ่งเข้าออก Asset ต่างๆ เป็นรอบๆ เกิดเป็น Bubble สร้างเศรษฐีจำนวนมากแบบชั่วข้ามคืน) 

ข้อสังเกตที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นคือ คนที่โชคดีจากข่าวร้ายหรือความผันผวนของเศรษฐกิจโลก คือ 'คนที่กล้าลงทุน' -- แปลกไหม ?

คนส่วนใหญ่มักจะคิดตรงข้าม ..ยิ่งมีข่าวร้ายและความผันผวนเท่าไหร่ ยิ่งเอาเงินไว้ในที่ปลอดภัย แต่จุดนั้นแหละที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด -- พูดแบบชาวบ้าน คือ คนที่กลัวที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปก็จะเป็นคนที่จนที่สุด

เอาล่ะครับ เล่ามาเพื่อปูพื้นความคิด ของ The Stock Blueprint คือ 'ความเสี่ยงไม่ได้อยู่ในสิ่งที่คนอื่นบอกเราว่ามันเสี่ยง แต่ความเสี่ยงคือเราขาดความรู้ในสิ่งที่ทำ'

ดังนั้น การลงทุน การออมในหุ้น หรือ การเทรด Future ในมุมของคนส่วนใหญ่ต้องมองว่าเราเสี่ยงมาก ..แต่เขาคิดผิด เพราะสำหรับคนที่มีความรู้ในสิ่งที่ทำ การไม่ลงทุนคือเสี่ยงกว่าในโลกปัจจุบัน

เรามาคุยเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่หรือแม้กระทั่งสงครามกันต่อนิดนึงว่า มันจะกระทบพอร์ตการลงทุนอย่างไร ดังนี้

1. สงครามต่างๆที่อาจเกิดขึ้นต่อไปในโลก ไม่ได้เกิดจากคนไม่ชอบกัน ไม่ใช่.. มันเกิดด้วยสาเหตุเดียวคือ 'ผลประโยชน์ไม่ลงตัว' ..ลองดูซิครับว่า ในอดีตจนถึงปัจจุบัน สงครามจะเกิดในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ 

2. สงครามจะเกิดเมื่อเราเห็นชัดๆ ว่าใครได้ประโยชน์ ..ประเด็นนี้จะทำให้เราพอจะเห็นภาพว่าหลังวิกฤตที่ใดจะดี เช่น หลัง WW2 เราได้ประเทศมหาอำนาจใหม่คือ อเมริกา ซึ่งเป็นบิดาแห่งทุนนิยม รวมทั้งตลาดหุ้นที่เราลงทุนกันในปัจจุบัน

3. สงครามจะเกิดในประเทศที่มีความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจนมากเกินไป

ลองศึกษาสิ่งที่อเมริกาทำเวลานี้ คือ 

1. เขาพยายามทำ Wealth Distribution โดยการให้คนรวยทำมูลนิธิเพื่อกระจายความรวยและโอกาสให้คนจน 

2. เขาพยายามกระจายโอกาส มี Venture Capital และ เงินทุนร่วมลงทุน เพื่อให้โอกาสกระจายตัวกว้างขึ้น 

หันมามองเมืองไทย ผมว่า เราควรทำแบบอเมริกาใน 2 เรื่องที่กล่าวมา ..คือ หนึ่ง ให้คนรวยสร้าง Social Enterprise ที่เน้นสร้างประโยชน์ให้ประเทศ ..หลายคนถามว่า แล้วคนรวยจะได้อะไร ผมว่า เขาได้มากกว่าเงิน เขาจะได้สิ่งที่ Bill Gates ได้รับ คือ ได้รับการยอมรับและความสุขที่มีค่าสูงกว่าเงิน

สอง ให้คนรวยสร้างระบบทุนที่ให้โอกาสคนธรรมดาที่มีความสามารถในการเข้าถึงทุนทำธุรกิจ คล้ายๆ อุตสาหกรรม Venture Capital ในอเมริกา

ประเด็นที่ยกเรื่องนี้มาคุย เหมือนไม่มีสาระ แต่ผมว่า มันเป็นแก่นของความเข้าใจระบบทุนนิยมเลยว่า วันนี้โลกวางอยู่บนระบบผลประโยชน์ ..การที่เราจะช่วยกันทำให้ระบบนี้อยู่ได้ ก็คือ การแบ่งและกระจายผลประโยชน์ให้ลงตัว 

ยุคต่อไป คนจะแข่งกัน สร้างประโยชน์และแบ่งโอกาสให้คนอื่น ..ผมไม่ได้โลกสวยนะ เพียงแต่มองทุกอย่างตามความจริงเท่านั้น

ใช่!! โอกาสอยู่ที่การแบ่ง การให้ในสิ่งที่เรามี ..โดยเฉพาะการแบ่งโอกาส อันนี้สำคัญกว่าเงินอีก

บทความนี้ขอเสนอให้เราลองมอง อีกด้านของเหรียญ โดยเฉพาะเวลาที่เศรษฐกิจมีวิกฤต ..เรามักจะเห็นโอกาสในขณะที่คนส่วนใหญ่เห็นแต่วิกฤต

 ...ลองมองดู มันเปลี่ยนมุมคิดเราได้เลย

ใครสนใจอยากต่อยอดความรู้การลงทุน ผมแนะนำหลักสูตร The Stock Blueprint ผมกับหยง 'แพ้ทดล่นยาว & หยงเล่นสั้น' ร่วมกันแกะพิมพ์เขียว วิธีคิด วิธีทำกำไรในตลาดหุ้น ตั้งแต่แก่น จนถึงการนำไปใช้จริง ..ลองอ่านรายละเอียดที่นี่
www.thestockblueprint.com

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

คิดรวยเปลี่ยนหลัก ลองศึกษาหุ้นครับ


ตลาดหุ้น ทำให้คน 'รวยเปลี่ยนหลัก' ..มี 2 ด้าน 1. เจ้าของบริษัท รวยจาก Mutiple P/E ของกำไรกิจการ  2. นักลงทุนในหุ้น โดยเฉพาะคนออมหุ้นยาว พวกนี้ได้เครื่องผลิตเงินที่โตแบบก้าวกระโดด

เรื่องรวยเปลี่ยนหลัก หรือ การเติมศูนย์เข้าไปเพิ่มในบัญชีธนาคาร ...ใช่!! มันทำได้จากตลาดหุ้น 

หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมคนที่ใช้ตลาดหุ้นสร้างความมั่งคั่งจะรวยกว่าไม่ใช้ประมาณ 10 เท่า ..ก็คือ ค่า P/E นั่นเอง

โดยปกติธุรกิจจะมีมูลค่าเท่ากับรายได้ที่หา ..พูดง่ายๆว่า เจ้าของธุรกิจจะได้เงินจากธุรกิจเมื่อธุรกิจได้กำไรเท่านั้น 

ยกตัวอย่าง ถ้าธุรกิจมีกำไร 10 ล้าน แปลว่า เจ้าของจะได้เงินปีละ 10 ล้าน ..ถ้าเจ้าของอยากมี 100 ล้าน ก็ทำอีก 10 ปี ก็จะมีเงินได้ 100 ล้าน (นี่คือกรณี ธุรกิจอยู่นอกตลาดหุ้น)

แต่ถ้าธุรกิจดังกล่าวอยู่ในตลาดหุ้น นักลงทุนจะยอมซื้อหุ้น หรือ ซื้อธุรกิจในราคาประมาณ 10 เท่าของกำไร คือ ที่คนพูดว่า P/E 10 ก็คือ นักลงทุนยอมจ่ายเงินซื้อหุ้นในราคา 10 เท่าของกำไร

ดังนั้น ถ้าธุรกิจที่กำไรปีละ 10 ล้าน แล้วอยู่ในตลาดหุ้นที่ P/E 10 เท่า ธุรกิจจะมีมูลค่า 100 ล้านบาท ..ยิ่งช่วงที่ตลาดหุ้นคึกคักหรือตลาด Bull Market นักลงทุนอาจยอมซื้อในราคาที่แพงขึ้นไป P/E 20-30 เท่า ในกรณีที่เขามองว่าธุรกิจเรามีอนาคตที่ดี 

ถ้า P/E ที่ 30 เท่า ..กำไรที่ 10 ล้านต่อปี ธุรกิจจะมีมูลค่า 30*10 = 300 ล้านบาท (ยิ่งถ้าธุรกิจสามารถเร่งกำไรในช่วงที่ตลาดดี มูลค่าบริษัทจะยิ่งเพิ่มเข้าไปอีก ..สมมุติธุรกิจโตแบบก้าวกระโดด กำไรเพิ่มเป็น 50 ล้านต่อปี ในช่วงที่ตลาดคึกคัก ..ถ้านักลงทุนซื้อกันที่ P/E ที่ 20 เท่า ก็เท่ากับ ธุรกิจจะมีมูลค่าในตลาดหุ้นเป็น 50*20= 1000 ล้าน) 

"นี่แหละ ที่เขาสร้างกัน พันล้าน ก็แบบนี้แหละ ...จะมานั่งเก็บเงินไปเรื่อยๆ คู่แข่งเขาวิ่งแซงเข้าตลาดก่อนเรา เขาก็เตะเราตกขอบไปแล้ว ...นี่มันยุค Economy of Speed และ ตลาดหุ้นตอบโจทย์นั้น"

อีกเหตุผลที่เข้าตลาด นอกจากรวยเปลี่ยนหลักดังที่กล่าวมาแล้ว ธุรกิจจะได้ประโยชน์หลายๆอย่าง เช่น

- ได้เงินกู้ถูกลง (ธนาคารให้ธุรกิจในตลาดกู้ดอกเบี้ยถูกกว่า และเจ้าของไม่ต้องค้ำประกัน)

- ขยายธุรกิจง่ายกว่า ..การเข้าตลาดคือการแบ่งธุรกิจบางส่วนให้นักลงทุนเป็นเจ้าของ โดยปกติเจ้าของจะขายให้นักลงทุนในสัดส่วนประมาณ 25% เวลาเข้าตลาด ..นั่นแปลว่า เจ้าของ ก็ยังคงมีสิทธิขาดในการตัดสินใจในการบริหารธุรกิจอยู่ แต่ได้เงินทุนมาเพิ่มให้ขยายธุรกิจโดยไม่ต้องกู้ ทำให้ธุรกิจโตก้าวกระโดดเวลาเข้าตลาด

- คู่ค้าเชื่อมั่น ลูกค้าเชื่อถือ ..ธุรกิจในตลาดหุ้นไดรับความเชื่อถือมากกว่า ส่งผลดีต่อกิจการ

- ไม่ต้องหลบภาษี เอาเงินนั้นมาสร้างระบบจ้างคนเก่งมาทำงาน ..บริษัทนอกตลาดหรือธุรกิจครอบครัว เจ้าของมักไม่อยากจ้างมืออาชีพเข้ามาบริหารเพราะเงินเดือนแพง ทำเองและหลบภาษีดีกว่า ..แต่ธุรกิจในตลาดหุ้นหลบภาษีไม่ได้ ก็เอาเงินนั่นแหละมาจ้างมืออาชีพ สร้างระบบ ทำให้ธุรกิจเป็นระบบและเป็นมืออาชีพ

ก็ประมาณนี้ครับ "กู้ถูก/เจ้าของไม่ต้องค้ำ/ขยายง่าย/คู่ค้าเชื่อมั่น/ลูกค้าเชื่อถือ/และมีเงินไปจ้างมืออาชีพ"

 ..ที่เล่ามาเพราะอยากให้เห็นภาพว่า ตลาดหุ้นมันให้โอกาสรวย 10 เท่าขึ้นไปอย่างไร 

..ส่วนนักลงทุน ถ้าเอาสถิติตลาดหุ้นมาดูจะพบว่า หุ้นโตประมาณ 12% ต่อปี ดังนั้น ทุกๆ 6 ปีพอร์ตจะเพิ่มขึ้น 100% ที่ลงทุนระยะยาว เช่น ออมในหุ้น ..ดังนั้น คนที่ออมในหุ้น มีโอกาสรวยขึ้น 5-10 เท่า ทุกๆ Cycle 10 ปี ตามรอบของตลาดหุ้นนั่นเอง

ใครสนใจเรียนการลงทุน เอาแบบง่าย แต่ใช้ได้จริง เล่นสั้นและเล่นยาวพร้อมกัน สอนโดย แพ้ทยาว & หยงสั้น ลองคลิ๊กดูหลักสูตรนี้ The Stock Blueprint ที่นี่จัดไป www.thestockblueprint.com

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

แนวคิดแบ่งชีวิตสามช่วง


"เล่นหุ้นมาตั้งนาน ไม่เห็นรวยสักที ?" ...คุณว่าผม ทำอะไรผิดหรือ โชคไม่ดีล่ะ !!

ปรับความคิด ให้แบ่งชีวิตเป็นสามช่วง : The Stock Blueprint -- "คนส่วนใหญ่ไม่เล่นหุ้น เพราะ ไม่เข้าใจหุ้น ..ส่วนคนที่เข้ามาเล่นหุ้น ส่วนใหญ่ ก็ไม่เข้าใจหุ้น ..เพราะคิดไปเองว่า เห็นคนอื่นรวยได้ ฉันก็ต้องรวยได้ ว่าแล้วก็เข้าไปลองเสี่ยงโชคบ้าง แต่ผลก็คือ โชคไม่เข้าข้าง -- คำถามคือ มันต้องแก้อย่างไรล่ะ ?"

มันมีตัวเลขอยู่ 2 ชุดที่น่าสนใจคือ

ชุดที่หนึ่ง 20/40/10   กับ ชุดที่สอง 30/30/30

อันนี้ไม่ใช่หวยนะ แต่เป็น ตัวเลขที่คนๆหนึ่งใช้ชีวิตแบ่งเป็นสามช่วง ตามยุคสมัยที่เขาอยู่ แบ่งเป็น
"ช่วงเรียน/ช่วงหาเงิน/ช่วงใช้เงินที่หา"

สมัยก่อน 20/40/10 คือ เราใช้เวลาเรียน 20 ปีเพื่อที่จะพร้อมหาเงิน พร้อมทำงานว่างั้น ..จากนั้นเราก็ทำงาน 40 ปีเพื่อเก็บเงินสร้างเนื้อสร้างตัว ..แล้วเราก็มีเวลา 10 ปี หลังเกษียณ ใช้เงินที่หามา

-- "ปัญหาคือ วันนี้กว่าจะเรียนจบโท แล้วพร้อมหาเงินมันปาเข้าไปเกือบ 30 ปี ..เราจึงเหลือเวลาแค่ 30 ปีในการสร้างเนื้อสร้างตัว ..แต่วันนี้ด้วยการแพทย์ที่ดีขึ้น อายุเรายืนขึ้น เราเลยมีเวลา 30 ปีใช้เงิน"

ก็คือ ยุคนี้มันเปลี่ยนเป็น 30/30/30 ซึ่งบอกเลยไม่ work...หลายๆ คนพยายาม เรียน ทำงาน อย่างหนัก ตามสูตร แต่สรุป ชีวิตแย่ ไม่รวย .

..สาเหตุหลักๆ คือ "การใช้ชีวิตตามตัวเลข 30/30/30 มันไม่ work ไง ..กว่าเราจะรู้ว่า มันไม่ work ส่วนใหญ่ก็สายไปแล้ว แก้ไขไม่ได้ ..จบเกม"

ทางแก้ คือ "เอาช่วงชีวิตมาแบ่งใหม่" ...แบ่ง ดังนี้ "ช่วงเรียน/ช่วงหาเงิน/ช่วงใช้เงิน" ..คนรุ่นใหม่ เขาเอามารวมกันเลย กลายเป็น "ชีวิตใช้ซะ !!"

เฮ้ย!! มันเหมือนโฆษณาไปหรือเปล่า ...ก็ใช่นะ แต่เราต้องใช้อย่างฉลาดกว่าเดิม ไม่งั้นอีกหน่อยจะลำบาก

เรามาแบ่งช่วงชีวิตใหม่ ดังนี้ "เอาสูตรสำเร็จใน 10 ปี"

1. ช่วงเรียน  เราก็เรียนเหมือนเดิม เพียงแต่แบ่งเวลามา "ทำงานหาเงิน" ในช่วงเริ่มต้น เราอาจไม่สามารถสมัครงานในบริษัทดีๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะ เขาต้องการปริญญาโท หรือ เอก ซึ่งเด็กๆ ยังไม่มี ...แต่เด็กๆ สามารถเริ่มทำงานบทโลกออนไลน์ได้เลย ..ง่ายที่สุดก็คือ เปิดธุรกิจออนไลน์ เพราะ มันใช้เงินเริ่มต้นไม่เยอะ - อันนี้แนะนำเด็กรุ่นใหม่เลยว่า ต้องเริ่มเรียนไป ลองทำงานหาเงินออนไลน์ไประหว่างเรียน เพื่อให้เราเรียนรู้วิธีทำเงิน ไปพร้อมๆ กับการเรียน

--- (ในขณะที่เพื่อนๆ หาเงินไม่เป็น เราเริ่มหาเงินเป็น)

2.ช่วงหาเงิน คนที่หาเงินมาสักพัก อาจจะล้มลุกบ้าง แต่ด้วยการเริ่มธุรกิจออนไลน์ที่ใช้เงินน้อย ก็ทำให้เราผ่านประสบการณ์หาเงินจริง ...ถ้าใครทำธุรกิจมาอย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป จะเริ่มหาเงินเป็น ...เงินที่หามาได้ ให้ฝึกการลงทุน "วางเงินทำงาน" ...ตลาดหุ้นเราสามารถออมในหุ้นที่ให้ปันผล อันนี้แหละวางเงินทำงาน ..คนที่มือใหม่เลย อาจเริ่มจากออมในกองทุนรวมก่อนก็ได้ เพื่อที่จะได้เข้าใจว่า เราสามารถรวยจากการซื้อหุ้น หรือ Asset แล้วทนรวยได้

--- (ในขณะที่เพื่อนๆ เริ่มหาเงินเป็น เราเริ่มลงทุนเป็น)

การทนรวย หรือ การวางเงินทำงาน เช่น การออมในหุ้น ใช้เวลาประมาณ 10 ปี ที่จะเริ่มเห็นผล ..เพราะ หลักการมันคือ การซื้อธุรกิจที่ดีในช่วงที่เขามีวิกฤต จากนั้นก็รอให้ธุรกิจดีขึ้น โตขึ้น ปันผลมากขึ้น ..สุดท้าย Port การลงทุนก็จะเริ่มโตขึ้น

3.ช่วงใช้เงิน ..ตรงนี้ ผมว่าใครๆ ก็รู้ว่าใช้เงินอย่างไร ...แต่ถ้าเรามองคนรวย เขาใช้เงินแล้วรวยขึ้น ต่างกับคนส่วนใหญ่ที่ยิ่งใช้เงินยิ่งเป็นหนี้ เพราะ คนรวยเขาใช้เงินส่วนใหญ่ซื้อ Asset "ซื้อของที่เก็บไว้แล้วมูลค่าเพิ่มเป็นส่วนใหญ่"

--- (ในขณะที่เพื่อนๆ เริ่มเงินหมด แต่เงินเราไหลมาได้เรื่อยๆ เพราะ เรามี Port การลงทุนที่เลี้ยงเราแม้เราไม่ได้ทำงานแล้วก็ตาม) 

การเข้าใจช่วงของชีวิตใหม่นี้ ผมเรียกว่า "เข้าใจชีวิตนักลงทุน" ..เราเรียนไปทำเงินไป แล้วก็เรียนเพิ่ม ไม่หยุดเรียน เพราะ การเรียนคือ การลงทุนในตัวเราเอง ..เราหาเงินได้ เราก็เรียนเรื่อง "วางเงินทำงาน" ...สุดท้ายชีวิตเราก็จะดีได้ รวยได้ -- นี่แหละ การเข้าใจชีวิตคนรุ่นใหม่ ในแบบนักลงทุนรุ่นใหม่

"เป้าหมาย ของการเป็นนักลงทุนรุ่นใหม่ ไม่ใช่การหาแต่เงิน แต่เป็นการที่เรารู้ว่า การหาเงิน การใช้เงิน และ การวางแผนชีวิตให้ไม่ขาดเงิน มันคือ พื้นฐานของชีวิตที่มั่งคั่งและมีความสุขนั่นเอง"

ลองคิดวางแผน 3 เรื่องที่กล่าวมา ..ใช้เวลาประมาณไม่เกิน 10 ปี ..ชีวิตเราจะเริ่มดี เริ่มดูแลตัวเองได้ และ ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน ..นั่นแหละเป้าหมายครับ !!

รายละเอียดโครงการ The Stock Blueprint คลิ๊กดูที่นี่ครับ

http://www.pawawit.com/2016/07/stock-blueprint_4.html?m=1

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ชีวิตเปลี่ยน อย่ารอพึ่งดวง


อยากได้ชีวิตที่ดีขึ้น ผมจะไม่พึ่งดวง แต่จะพึ่งตัวเอง ..เพราะมันคือวิธีการที่ชัวร์กว่า !!

"ขอหุ้นเด็ดตัวนึง บอกมาเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ซื้อเลย" ...เฮ้ย!! ถ้าเล่นหุ้นมันง่ายแบบนั้น ทุกคนคงเป็นเศรษฐีหุ้นไปทั้งประเทศแล้วล่ะครับ --  อยากได้เงิน 15,000 เราทุ่มศึกษา 20 ปี จบปริญญามารับเงินเดือนหมื่นห้า ... แต่พอ อยากรวยเงินแสน เงินล้าน จากตลาดหุ้น ...ลองตั้งใจหาความรู้ ทุ่มเวลาสักนิด ผมว่าชีวิตคุณเปลี่ยนเลยนะ !!"

"คนส่วนใหญ่มองว่า เล่นหุ้นต้อง เล่นให้เร็ว เทรดให้บ่อย จัดให้หนัก แล้วจะรวยเร็ว" ....ไม่ใช่เลยครับ

ลองนึกถึง คนว่ายน้ำไม่เป็น พอลงน้ำปั๊บ ตระเกียกตระกาย ตีน้ำแรงๆ ว่ายอย่างรวดเร็ว มันจมลง จมลง ..ออกแรงเต็ม แต่ไม่ไปไหน ก็เหมือนคนส่วนใหญ่ที่คิดว่าการเล่นหุ้นต้องทำแบบนั้น เทรดมันส์เฝ้าหุ้นทุกวัน งานประจำก็พัง ตังค์ก็เสีย !! เฮ้ยไม่ดีมั้ง!!  -- ความจริง คนที่ว่ายน้ำเป็น เขาใช้จังหวะ ออกแรงพอดี มีเทคนิค แป๊บเดียวก็ถึงอีกฝั่ง ...คนเล่นหุ้นเป็นก็เหมือนกัน

"การดึงเงินเร็วออกจากตลาดหุ้น แบบเทรดเดอร์ มีเป้าหมายที่ Cashflow นั่นคือ การหาจังหวะจากรอบการขึ้นลงของราคา ..อ่านรอบ อ่านจังหวะ ดูรอบที่ความเสี่ยงต่ำ จากนั้น ก็เข้าเทรดทำกำไร โดยการกำหนดความเสี่ยงทุกครั้งที่เข้าซื้อขาย

เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ เขาใช้ Technical ในการหาโอกาสลงทุน แบบไม่ต้องนั่งเฝ้าหน้าจอ ..การเทรดที่บ่อย ไม่ได้หมายความว่าจะทำเงินมากกว่า ...แต่การดึงเงิน Cashflow จากตลาด ต้องรู้จังหวะ รอเป็น มี Stop Loss ทุกครั้งที่ลงทุน ...นั่นแปลว่า "เราต้องปิดประตูแพ้ ป้องกันการขาดทุนหนัก ทุกครั้ง ..เราจะไม่ออกรบ โดยที่เราไม่รู้ความเสี่ยงในการรบแต่ละครั้ง"

หลักการเข้าเทรดมีดังนี้
1. การจัดทัพ แบ่งเงินที่ต้องการนำมาสร้าง Cashflow "เน้นเอาเงินเร็ว ไม่ได้เน้นรวย"
2. กำหนดกลยุทธ์ อ่านรอบจาก Technical และ Momentum หาจังหวะที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่มีความน่าจะเป็นในการทำกำไรที่สูงกว่าความเสียหาย
3. กำหนด Stop Loss ก่อนที่จะซื้อหุ้น .."ต้องรู้ว่า การเทรดครั้งนี้ ความเสียหายสูงสุดอยู่ที่เท่าไหร่"
4. หาจังหวะเข้าลงทุนตามกลยุทธ์ที่วาง

ฟังดูน่าเบื่อ ...แต่นี่คือ สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ -- "เราเทรดหุ้น เอาเงิน ไม่ได้เอามันส์"

ความน่าเบื่อ มันทำเงินได้ จำกัดความเสี่ยงได้ ..."ผมเรียกมันว่า ความน่าเบื่อที่งดงาม !!"

-- "อยากรวยเงินแสน เงินล้านจากตลาดหุ้น ให้หาความรู้ แล้วทุ่มเวลาสักนิด ชีวิตเราเปลี่ยนเลย"  

ในโครงการ The Stock Blueprint คุณหยง จะสอนในเรื่องของ Casflow วิธีหยิบเงินออกจากตลาดหุ้น ที่ได้เงินเรื่อยๆ "เบื่อ แต่ได้เงิน ...ดีกว่ามันส์ แต่เสียเงิน"

รายละเอียดโครงการ The Stock Blueprint คลิ๊กดูที่นี่ครับ

www.thestockblueprint.com

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ทุกคนล้มก่อนจะขี่จักรยานเป็น แต่มันก็เป็นเรื่องดี


'คนส่วนใหญ่คิดว่า คนที่รวยจากตลาดหุ้นได้ ต้องมีเงินเยอะ ต้องเป็นรายใหญ่ และต้อง Inside ..นั่นแปลว่า คนนั้นต้องรวยอยู่แล้วถึงจะคว้าโอกาสได้ในตลาดหุ้น'

จริงๆ ไม่ใช่ ..สิ่งที่เหมือนกันสำหรับทุกคนที่เข้าตลาดคือ 'การรับน้อง' เหมือนขี่จักรยานที่ไม่มีใครขี่เป็นโดยไม่มีแผล แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า การขี่จักรยานไม่ดี เพราะอย่างน้อยมันก็พาเราไปสู่เป้าหมายได้เร็วกว่าการเดิน ..ตลาดหุ้นก็เช่นกัน

"บางครั้งการเริ่มเล่นหุ้นที่เงินน้อย กลับดีกว่า เพราะ ไหนๆ ทุกคนต้องเสียหาย ก็เสียหายมันตอนเริ่มน้อยๆนี่แหละ ..คนส่วนมากที่ล้มและลุกไม่ขึ้นอีกเลยในตลาดหุ้น ก็คือ คนที่เข้ามาแบบ 'จัดหนักและไม่ศึกษา' คนแบบนี้ เสียหายหนักทุกคน และ เป็นเหตุผลเดียวที่เขาออกจากตลาดไป" 

...ไม่มีนักธุรกิจคนไหนที่ไม่เคยล้ม เพราะ ถ้ากลัวล้มคุณก็ไม่มีทางเป็นนักธุรกิจ ...และ ก็ไม่มีนักเล่นหุ้นคนไหนที่ไม่เคยเจ๊ง ไม่เคยติดหุ้น (โดนกันมาทุกคน แต่เขาไม่เลิกไง) ...มีคำพูดนึงที่น่าสนใจเกี่ยวกับตลาดหุ้นและการทำธุรกิจว่า 

-- "ไม่มีความล้มเหลวที่แท้จริง เพราะ ความล้มเหลวสามารถนำมาเป็นบทเรียนให้ฉลาดขึ้น และเป็นเชื้อเพลิงแห่งความสำเร็จในครั้งต่อไป ..มีแต่ความล้มเลิกของแต่ละคนเท่านั้น ที่เป็นความล้มเหลวอย่างถาวร !!"

ส่วนเรื่องที่หลายคนไม่รู้ก็คือ จริงๆ แล้ว สิ่งที่ทำให้รายใหญ่เสียหายมากที่สุด อาจจะพูดได้ว่า 'กับดักของรายใหญ่(รวมถึงรายย่อยที่ชอบแต่หาหุ้นเด็ด)' ก็คือ เสียหายจากการเล่นหุ้น Inside

ใช่!! สิ่งที่ทุกคนอยากจะได้ ..พวกข้อมูลวงในเหล่านี้แหละที่ทำให้คนเสียหาย หมดตัวมากที่สุด เพราะ

1. ข้อมูล Inside ทำให้เราซื้อหุ้นเน่า ในเวลาที่มันแพงที่สุด (เราหลงไปเล่นหุ้นปั่น ตอนที่เขาปั่นข่าวดีๆ ขึ้นมาก็จังหวะนั้นแหละ)

2. ข้อมูล Inside ทำให้เราติดดอย เพราะมันทำให้เรามั่นใจไร้สติในขยะ 'หุ้นปั่นยิ่งลง เรากลับยิ่งเก็บ' ...ก็เพราะเราคิดว่า Inside มันเป็นของดี ซวยไหมล่ะ !!

3. ไม่ว่าคุณจะมี Connection ดีแค่ไหน หรือ วงในแค่ไหน ..คุณก็ไม่สามารถที่จะได้ข้อมูล Inside ที่ถูกทุกรอบ -- มันต้องมีสักรอบที่โดนหลอก และรอบนั้นแหละที่มักจะเป็นครั้งที่เสียหายมากที่สุด

สิ่งที่ The Stock Blueprint นำเสนอทางแก้คือ 'รู้วิธี - รู้เป้า - เข้ามีจังหวะ'

ข้อมูล Inside เราฟังได้ เล่นได้ แต่อย่างน้อยควรรู้วิธีจำกัดความเสี่ยงทุกครั้งที่เก็งกำไร เข่น การใช้ Technical กรองข่าวที่ได้ข้อมูลมา ..ถ้าดีจริง หุ้นต้องขึ้น กราฟหุ้นจะ Confirm ..แต่ถ้ามันลง แต่เรายิ่งรับก็แปลว่า เราน่ะโง่แล้ว ถูกหลอกแล้ว กราฟหุ้นมันก็จะลง Confirm เช่นกัน -- ดังนั้น การเข้าใจความเสี่ยงและวาง Stop Loss ทุกครั้งที่เข้าเก็งกำไร + รู้วิธีการอ่านกราฟขึ้นหรือลง + เลือกจังหวะที่เข้าลงทุนได้เหมาะกับจริตของเรา

นี่แหละ 'รู้วิธี - รู้เป้า - เข้ามีจังหวะ' 

รายละเอียดโครงการ The Stock Blueprint คลิ๊กดูที่นี่ครับ

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

วิธีการสมัครหลักสูตร The Stock Blueprint


วิธีการสมัครหลักสูตร The Stock Blueprint 

ทีมงาน The Stock Blueprint ขอขอบคุณที่ท่านให้ความสนใจในหลักสูตร The Stock Blueprint  ซึ่งสอนโดยคุณแพ้ท ภาววิทย์ และคุณหยง ธำรงชัย

ชำระค่าลงทะเบียนเพียง 14,500 บาท เพื่อรับชมวิดีโอออนไลน์หลักสูตร 5 วัน 30 ชั่วโมง พร้อมเอกสาร pdf ประกอบการเรียน และพิเศษ! ชำระภายในวันที่ 31 สิงหาคม รับโบนัสเพิ่ม รวมมูลค่า 10,750 บาท ดังนี้
1. ebook 27 บท สรุปเนื้อหาทั้ง 5 วัน
2. audiobook 5 ชั่วโมง ปรับแนวคิดที่ถูกต้องในการลงทุน
3. บัตรเข้าสัมมนาอัพเดทตลาดหุ้น สอนเต็มวันโดยแพ้ท-หยง (18 กันยายน 2559)
4. บัตรเข้าสัมมนาอัพเดทตลาดหุ้น สอนเต็มวันโดยแพ้ท-หยง (5 มีนาคม 2560)

ชำระค่าลงทะเบียน 14,500 บาท (กรุณาใส่เศษสตางค์ เพื่อง่ายในการตรวจสอบ เช่น 14500.20 บาท)
ด้วยการโอนเงินผ่านธนาคารดังต่อไปนี้

ชื่อบ/ช จารุวรรณ ตงน้อย

KBANK สาขาสีลม คอมเพล็กซ์
เลขบ/ช 008-1-86409-8

BBL สาขา อาคารซิลลิค เฮ้าส์
เลขบ/ช 860-0-19792-8

SCB สาขาสีลมคอมเพล็กซ์
เลขบ/ช 406-714526-9

----------------------------------------
เมื่อชำระเงินเรียบร้อยแล้ว กรุณาทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

1. ส่งหลักฐานการโอนเงินพร้อมชื่อ-นามสกุล เบอร์โทร email กลับมาที่ line@ นี้

2. ให้เข้าไป create account ที่ www.thestockblueprint.com เพื่อรอการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่


ลงทะเบียนดังนี้
- เข้าเว็บ www.thestockblueprint.com
- กดที่มุมบนขวามือ Login/Create Account จะเข้าหน้านี้ 
- ให้กด Create Account แล้วใส่ข้อมูล ตามนี้


- พอใส่ข้อมูล email / ตั้ง Password ที่คุณกำหนดเอง / ใส่ชื่อ-นามสกุล และ เบอร์โทรศัพท์ : แล้วกด Register จากนั้น ทางเว็บจะขึ้นแสดงว่าคุณลงทะเบียนเรียบร้อยรอการตรวจสอบการโอนเงิน



3. เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบการชำระเงินเรียบร้อยแล้ว จะแจ้งกลับทาง email ว่า account ของท่านเปิดใช้งานเรียบร้อยแล้ว และสามารถเข้าดูคอร์ส online the stock blueprint ได้ทันที

4. หากมีข้อสงสัย ติดต่อเจ้าหน้าที่ได้ที่ 063-191-0816

เริ่มเปิดโครงการ The Stock Blueprint


'เริ่มเปิดโครงการ The Stock Blueprint !!' 

หลักสูตรแกะพิมพ์เขียวตลาดหุ้นไทย : เข้าใจการลงทุนทั้งเล่นสั้นและเล่นยาวในคอร์สเดียว โดย 'แพ้ทยาว & หยงสั้น'

คอร์สนี้เป็นการเรียนผสมผสานโดยใช้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ : (Online 5 Days + Goldenticket 2 Full Days Seminar) ซึ่งการเรียนทั้งหมดสามารถดูย้อนหลังออนไลน์ และดูย้อนหลังซ้ำกี่รอบก็ได้

ค่าเรียนตลอดหลักสูตรราคา 14,500 บาท สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมและคลิ๊กสมัครได้ที่ www.thestockblueprint.com

----------------------------------------------

เนื้อหาทั้งหมดของหลักสูตร 

(สัมมนาออนไลน์ 5 วัน + สัมมนาเจอกัน Golden Ticket อีก 2 วัน : รวมเป็น 7 วันเต็มของเนื้อหา ตั้งแต่ปูพื้นฐาน + ปรับวิธีคิด + สอนวิธีทำ + ให้เวลานำไปปฏิบัติลงทุนจริง + กลับมาติดตามผลใน Golden Ticket)

- ปูพื้นฐานและปรับ Mindset มือใหม่ & ผู้ที่ต้องการปรับวิธีคิดการลงทุนใหม่ ด้วย Audiobook Online 5 ชุด (รวม 5 ชั่วโมง)

- เรียนออนไลน์ 5 วัน เรียนสั้นสร้าง Cashflow & เรียนยาวสร้าง Wealth (รวม 30 ชั่วโมง)

- E-book สรุปเนื้อหาที่เรียนทั้งหมด

- Golden Ticket  2 Days เป็นสัมมนาเต็มวัน สอนสดอีก 2 วัน ในวันที่ 18 ก.ย. & 5 มี.ค. (รวม 10 ชั่วโมง)

-----------------------------------------------

ค่าเรียนตลอดหลักสูตร : ราคา Early Bird  สมัครวันนี้คือ 14,500 บาท 

สนใจอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ดูตัวอย่างสัมมนา และคลิ๊กสมัครได้ที่ www.thestockblueprint.com

(ราคา 14,500 บาท มาจาก 
- 'ราคาพิเศษ' : หลักสูตร The Stock Blueprint มูลค่า 29,500 บาท (เรียนออนไลน์ ลด 50% เหลือ 14,500 บาท) 
- 'แถมฟรี' : Golden Ticket 2 Days Seminar ราคาวันละ 4,500 บาท สองวัน รวม 9,000 บาท
- 'แถมฟรี' : E-book ราคา 250 บาท
- 'แถมฟรี' : Audiobook 5 ชุด มูลค่า 1,500 บาท)

ราคาและของแถมทั้งหมดนี้ ต้องสมัครภายใน 31 สิงหาคมนี้ (ถ้าสมัครหลังจาก 31 สิงหาคม จะเป็นราคาเต็มครับ)

-----------------------------------------------

(สำหรับมือใหม่ ที่ยังไม่มีบัญชีซื้อขายหุ้นและเครื่องมือที่จำเป็นในการดูพื้นฐานและดูกราฟ สามารถสมัครเปิดบัญชีออนไลน์ได้ที่หลักทรัพย์บัวหลวง www.bualuang.co.th หรือโทรสอบถามข้อสงสัยในเรื่องบัญชีการซื้อขายและเครื่องมือการลงทุนต่างๆ ที่เบอร์ 02-618-1111 ในเวลาราชการครับ)

สมัครเรียนและดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่





บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ