'ปั้นธุรกิจติดลมบน !!' ..ยุคนี้ใครๆ ก็อยากมีธุรกิจส่วนตัวทั้งนั้นแหละ ใครจะไม่อยากเป็นนายตัวเอง
-- ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ปัญหาของผมคือ ผมมีงานประจำอยู่ ครั้นจะลาออกไปเริ่มธุรกิจ ก็เสียดายเงินเดือนอ่ะ !!
ไม่!! ชีวิตจริง มันไม่ใช่เจอ Passion ปั๊บ กรูลาออก ลุยเลย ...มันต้องมองโอกาสให้ออก แล้วแน่ใจว่าทางเลือกครั้งใหม่มีโอกาสสูงและเสี่ยงต่ำถึงจะลุยได้
ตัวผมเริ่มธุรกิจครั้งแรกในสายผู้ประกอบการหลังเรียนจบ ก็การไปเปิดร้านอาหารในออสเตรเลีย และ การเริ่ม Venture ทำธุรกิจกระจกตามมา ซึ่งทั้งสองธุรกิจนั้นของผมล้มไม่เป็นท่า
(แม้จะไม่ได้เสียเงินมากวันนั้น แต่ผมเสียความมั่นใจในตัวเองทั้งหมด ..พูดภาษาบ้านๆ คือ หมดศรัทธาในตัวเอง เสีย Self -- จุดนั้นผมมืด 8 ด้าน คิดไม่ออกเลยว่า ชีวิตจะเดินต่ออย่างไร จะทำอะไรต่อ ? ..จุดนั้น ผมตัดสินใจ ตัดขายธุรกิจจ่ายหนี้ แล้วเอาธุรกิจส่วนที่ยังเหลือให้หุ้นส่วนทำต่อ ส่วนตัวผมก็ตัดสินใจ เดินทางกลับประเทศไทย)
7 ปีที่แล้ว ไม่มีใครรู้จักภาววิทย์ กลิ่นประทุม ..มีแค่เด็กคนนึงที่ทำธุรกิจล้มเหลว เสีย Self หมดศรัทธาในตัวเอง และ มองไม่ออกว่าจะทำอะไรต่อในชีวิต ...นั่นแหละครับ ตัวผมเมื่อ 7 ปีที่แล้ว -- ย้อนมองกลับไป ผมรู้สึกดีใจ ที่ผมล้มเหลวตั้งแต่ผมอายุน้อย เพราะ 7 ปีที่แล้ว ผมได้รู้จักคนนึงที่ผมไม่เคยรู้จักเขาจริงๆเลย คือ 'ตัวผมเอง'
ใช่!! ความล้มเหลว ทำให้ผมมานั่งทบทวนตัวเอง คุยกับตัวเอง แล้วรู้จักตัวเอง -- แต่ก็นั่นแหละ ใช่ว่า รู้จักตัวเองแล้ว ความเสีย Self จะหมดไป ไม่ใช่!! ..ผมก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดี ว่าคนอย่างผมจะทำมาหากินอะไรต่อไปดี ..ผมจบแค่ปริญญาตรีใบเดียว ส่วนปริญญาโทที่พ่อแม่ส่งไปเรียนออสเตรเลียก็ดันไม่จบ ไปทำธุรกิจซะงั้น ..แล้วจะทำอะไรดี ?
'ผมนอนอยู่บ้านเฉยๆ อยู่หลายเดือน จนแม่บอกว่า ..ไอ้ลูกเว..!! ไม่เอาไหนจริงๆ ไปหางานทำดิ ..อยู่เฉยๆ มันไม่ช่วยให้ชีวิตกลับมาดีหรอก มันต้องหาอะไรทำไปก่อน -- แม่เลยเอาผมไปฝากทำงานที่ธนาคารกรุงเทพ และนั่นคือ จุดเปลี่ยนชีวิตของผมอีกครั่ง คือ เปลี่ยนจาก ผู้ประกอบการ สู่การ เป็นลูกจ้าง !!' (น่าเขียนหนังสือสักเล่มนะ 'ภาววิทย์จากเจ้าของกิจการสู่ลูกจ้าง..555 -- น่าอ่านไหมครับ ?)
ชีวิตผู้ประกอบ สอนให้ผมรู้จักโลกภายนอกว่า มันยากแค่ไหน ปากกัดตีนถีบแบบพ่อค้าแม่ค้า มีรสชาติจริงๆ ยังไง ..ชีวิตลูกจ้าง สอนเรื่องความกดดัน อดทน !!
ไม่!! ผมจะไม่ยอมหยุดแค่นี้ ..ผมจะต้องกลับไปทำธุรกิจ ..ผมจะต้องประสบความสำเร็จในชีวิตให้ได้ ..และสุดท้ายพ่อแม่ต้องภูมิใจในตัวผม ...
จุดนั้นเอง ผมเอาเวลาว่างทั้งหมดที่หลังเวลาทำงาน รวมทั้งวันหยุด ทุ่มให้กับการหาโอกาสครั้งใหม่ในชีวิตผม ..ใช่!! เกือบ 7 ปี มาแล้วที่ผมทำงานตลอดเวลา วันหยุดก็ทำงาน กลับบ้านก็ทำงาน ..บ้างาน ..ผมบอกคุณเลยไม่มีใครตายเพราะทำงานหนัก ผมพิสูจน์มาแล้ว ..ไม่งั้นกรูตายไปแล้วล่ะ ..555
การทำงาน การเรียนรู้ครั้งใหม่ พาผมไปเจอกับชุมชนนักลงทุน Stock2morrow ซึ่งเวลานั้นยังเป็นเว็บบอร์ด ยังไม่มีสำนักพิมพ์หรือ สัมมนาใดๆ ..ผมได้รู้จัก คุณปิยพันธ์ (พี่ป้อม) ..ผมเริ่มจากเขียนบทความฟรีใน เว็บบอร์ดที่ต่างๆ ..ตอนแรกๆ ก็หว่านเขียนทุกที่ แต่มาลงตัวก็ที่ Stock2morrow นี่แหละ เพราะจริตมันตรงกัน คนที่นี่ชอบหุ้น ชอบการลงทุน ชอบการทำธุรกิจ
จุดเปลี่ยนชีวิตอีกครั้งกี่คือที่นี่ ..ผมตัดสินใจร่วมกับพี่ป้อม ตั้งสำนักพิมพ์ Stock2morrow โดยผมเป็นนักเขียนคนแรก และ เป็นวิทยากรคนแรก ..ด้วยความแข็งแกร่งของชุมชนที่นี่ เราชวนคนเก่งๆ ให้ขึ้นมาถ่ายทอดประสบการณ์ ผ่านงานสัมมนาและหนังสือ ..ที่นี่เอง ผมเจอทั้งอาจารย์ , เพื่อนและ New Business Partner -- คุณ หยง , พี่ปุย ..และคนเก่งอีกมากมาย
จากจุดนั้นถึงวันนี้ ชีวิตผมเปลี่ยนไป ..จากคนล้มเหลวคนนึง ก็กลับมามีจุดยืนอีกครั้ง วันนี้ผมรู้จักตัวเองอย่างชัดเจน รู้ Passion ว่าผมชอบอะไร และ ที่สำคัญผมได้กลับเข้าสู่โลกของผู้ประกอบการอีกครั้ง !!
(จากผู้ประกอบการ สู่ลูกจ้าง และ กลับสู่ผู้ประกอบการอีกครั้ง ..แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม ประสบการณ์ สอนผมเรื่องการทำธุรกิจครั้งใหม่ ..การหาโอกาส การจำกัดความเสี่ยง การหาหุ้นส่วน ..ทุกอย่างเปลี่ยนใหม่หมด)
ทุกวันนี้ผมยังคงทำงาน 7 วัน หนักอย่างบ้าคลั่ง ..งานประจำ ผมเปลี่ยนงานใหม่ มาอยู่ที่หลักทรัพย์บัวหลวง เป็นงานที่ผมชอบมาก เพราะผมทำหน้าที่ อาจารย์ในห้องค้า ..หน้าที่ผมที่บัวหลวงคือ สอนลูกค้าให้ลงทุนเป็น ซึ่งเป็นงานถนัดที่ผมชอบอยู่แล้ว ..ธุรกิจส่วนตัว ผมเป็นหุ้นส่วน Stock2morrow , ทำธุรกิจ Start-Up พวก Fintech (ใช้เทคโนโลยี เข้ามาซื้อขายหุ้นแบบอัตโนมัติ) , ผมเป็นนักเขียน , ผมเป็นวิทยากร , ผมเป็นอาจารย์พิเศษ ...
วันนี้งานโคตรเยอะเลย แต่ผมสนุกกับมันครับ ...สิ่งที่ผมชอบที่สุดในงานของผมคือ ผมได้เจอคนสุดยอด ในหลากกลายธุรกิจ เราได้คุยแลกเปลี่ยนความรู้ -- และใครก็ตามที่เราคุยกันถูกคอ ...จริตตรงกัน ผมจะชวนเขา 'มาเขียนหนังสือร่วมกัน' ...ต่อยอดทั้งความรู้ โอกาส และ แชร์ความรู้ให้คนอื่นในเวลาเดียวกัน
ครั้งนี้ผมเจอ พี่เมฆ ผู้ก่อตั้ง Creative Agency อันดับ 7 ฃองโลก บริษัท Index Creative ..พี่เมฆ คือ เจ้าพ่อ Event ระดับโลก ที่เริ่มจากเงิน 70,000 บาท พร้อมความบ้า ความกล้า สมอง + สองมือ ปั้นธุรกิจ Creative ระดับโลก ผู้สร้าง Thai Pavilion ในงาน World Expo ..ใช่!! พี่เมฆ คือ ตำนาน ..ผมไม่รีรอ 'พี่เรามาเขียนหนังสือร่วมกัน'
พี่เมฆ ตกลงเขียนหนังสือร่วมกับผม 'หนังสือ ปั้นธุรกิจติดลมบน' เพื่อถ่ายทอด ประสบการณ์ของ ผู้ประกอบการรุ่นใหม่
เราร่วมถ่ายทอด วิธีทำธุรกิจในแบบของตัวเอง ..ผมแชร์ในเรื่องของ โอกาสของคนตัวเล็ก ต้องมอง Product/ Price /Place / Promotion อย่างไร จึงจะไม่ปะทะรายใหญ่ แล้วมีจุดดีที่สุดในจุดที่ยืนของตัวเอง ..พี่เมฆแชร์ในเรื่องของประสบการณ์ การเปลี่ยน Idea ให้เป็นเงิน ..การเพิ่มมูลค่าในสิ่งที่ทำจากความสร้างสรรค์ ความติส และ คิดแตกต่าง -- ผมยอมรับว่า การได้เขียนหนังสือเล่มนี้กับพี่เมฆ ช่วยต่อยอดความคิดของผม อย่างก้าวกระโดด !! ในมุมของ ผู้ประกอบการ และ คนที่อยากมีธุรกิจส่วนตัว ..รวมทั้งต่อยอดธุรกิจตัวเองให้ก้าวกระโดด !!
ก็จัดไป 'ปั้นธุรกิจติดลมบน' หนังสือ ต่อ เติม ความคิด จุดประกายฝัน ของ นักธุรกิจรุ่นใหม่ จิ๋ว แต่ แจ๋ว ...พอกับหนังสือเล่มนี้ ตามร้านหนังสือชั้นนำครับ -- จัดดู!!
ใครอยาก เจอผมและพี่เมฆ ในงานหนังสือครั้งนี้ ก็เจอกันตามนี้ครับ ...ใครมาก็เจอกัน เดี๋ยวผมกับพี่เมฆ เซ็นต์ให้สดๆ ...เจอกัน
งานเปิดตัวหนังสือ "ปั้นธุรกิจติดลมบน"
วันอังคารที่ 27 ต.ค. 58 เวลา 13.00 – 14.00 น. ณ เวทีกิจกรรม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
พร้อมเรียนเชิญเพื่อแจกลายเซ็นต่อที่ บูธโพสต์บุ๊กส์ L01 ห้องเพลนารีฮอลล์ ในเวลา 14.00 – 15.00 น.