แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ทำไมจีนจึงเป็นดินแดนแห่งเศรษฐีพันล้าน


‘ทำไมจีน จึงเป็นดินแดนแห่งเศรษฐีพันล้าน’ Billionaire Maker !!

1. ‘ตลาดในประเทศใหญ่’ ...ยุคนี้ตลาดใหญ่ได้เปรียบ เพราะ มีเม็ดเงินไหลเวียนในประเทศเยอะ

2. ‘โอกาสขยายธุรกิจระดับโลก’ ...จีนได้ชื่อว่าเป็นโรงงานของโลก เพราะ ผลิตสินค้าให้ทั้งโลก ...คล้ายๆ อเมริกาที่ทำอะไรก็สามารถขยายในระดับโลก 

3. ‘สร้างแบรนด์สินค้าของตัวเอง’ ...การเป็นโรงงานรับจ้างผลิตมาก่อนทำให้จีนเรียนรู้ Know How จากคนอื่น จากนั้น ก็เอามาต่อยอดสร้างสินค้าแบรนด์ของตัวเอง ...จุดนี้แหละ ที่ทำให้ธุรกิจจากกำไรน้อยๆ กลายเป็นธุรกิจกำไรเยอะ ก็เพราะสร้างแบรนด์

4. ‘มีนักลงทุนที่ไม่ใช่แค่ธนาคาร’ ...ปกติประเทศเล็กๆ นักธุรกิจจะหาเงินทุนก็ต้องกู้ธนาคาร ซึ่งมีข้อจำกัดเยอะ เช่น ต้องมีทรัพย์สินมาค้ำประกัน ...แต่จีนคล้ายๆ อเมริกาตรงที่มี Angel และ Venture Capital จำนวนมาก ที่ลงทุนในธุรกิจใหม่ โดยไม่สนใจสินทรัพย์ค้ำประกัน แต่ดูจากศักยภาพธุรกิจ

5. ‘มีรัฐบาลที่ปกป้องธุรกิจในประเทศ’ ..อันนี้ชัดเจน รัฐบาลจีน จะสนับสนุนธุรกิจในประเทศแล้วพยายามกีดกันธุรกิจใหญ่ๆ ของต่างประเทศ ...เช่น Google โดนกัน ทำให้ Baidu เป็นยักษ์ใหญ่แบบผูกขาดในจีนในเรื่องการค้นหาข้อมูล

6. ‘กล้าลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน’ ...ตัดถนน สร้างรถไฟ สร้างสิ่งอำนวยความสะดวก มหาศาล ...ยิ่งรัฐบาลจ่ายเงินลงทุนใน infrastructure ก็ยิ่งทำให้ประเทศเจริญ การขนส่งสะดวก และ ต้นทุนต่ำลง ..ซึ่งสุดท้ายทำให้ราคาที่ดินทั้งประเทศเพิ่ม จุดนี้ก็ทำให้คนจีนมีทรัพย์สินที่ราคาสูงขึ้น

7. ‘กล้าประกาศสงครามกับคอรัปชั่น’ ...ประเทศที่คอรัปชั่นเยอะ จะรวยกระจุก จนกระจาย เพราะ ทุกธุรกิจจะรุ่งหรือร่วง ขึ้นกับเส้นสาย ไม่ได้ขึ้นกับฝีมือ

8. ‘คนจีนออมเงินเยอะ หนี้น้อย’ ...จุดนี้ที่ทำให้จีนได้เปรียบอเมริกาในสงครามการค้า เพราะ คนจีนออมเงินมากกว่า 

9. ‘ลงทุนกับการศึกษาและเทคโนโลยี’ ...เรื่องเทคโนโลยีคือหัวใจสำคัญของรายได้คน ...ถ้าประเทศสามารถสร้าง innovation ก็จะทำให้คนมีรายได้สูง

10. ‘คนจีนขยัน’ ...วัฒนธรรมการทำงานของจีนเป็นแบบ 996 คือ ทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้า ถึง 3 ทุ่ม 6 วันต่อสัปดาห์ ...เพราะคนจีนเชื่อว่า งานหนักไม่เคยทำให้ใครตาย ...โหดมาก !!

แค่ 10 ข้อนี้ ก็เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า Billionaire Maker เขาทำได้อย่างไร !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2562

8 ข้อคิด ของงานที่ทำแล้วรวยตลอดกาล


8 ข้อคิด ของงานที่ทำแล้วรวยตลอดกาล

ทุกวันนี้หลายคนบ่นว่า งานหนัก เงินน้อย ขายของไม่ได้ ตกงาน หางานทำไม่ได้ ...เลยเอา ข้อคิดของงานที่ทำแล้วรวยตลอดทุกยุค ทุกสมัย มีดังนี้

1. ‘งานที่เอาเวลาเราเข้าไปแลก มันรวยยาก’ 

2. ‘งานที่ใครทำก็ได้ ทำหนักแค่ไหนก็ไม่รวย’ ...เพราะ เขาหาคนแทนเราได้ง่ายๆ 

3. ‘ต้องสร้างระบบ ให้ธุรกิจเดินหน้าได้โดยไม่มีเรา’ ...จริงๆ แล้ว หัวใจหลักที่ทำให้คนเอาธุรกิจเข้าตลาดแล้วรวยมากๆ ก็เพราะเรื่องระบบนี่แหละ 

4. ‘ต้องสร้าง แบรนด์’ ...ไม่ว่าจะเป็นตัวเราเอง หรือ ธุรกิจเรา ในยุคนี้สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้เรามีราคา มีความแตกต่าง มีความยั่งยืน ก็คือ ต้องสร้างแบรนด์

5. ‘ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ จะรวยง่าย’ ...เช่น เกี่ยวกับอสังหา หรือ หุ้น เพราะ ถ้าเราเก่ง เราจะซื้อของเป็น ซื้อแต่ของดี ...ขายไม่ได้ เก็บไว้ราคายังขึ้นเลย ...สินทรัพย์ยุคนี้ แตกแขนง สร้างเศรษฐีมากมาย ...ทะเบียนรถ , เบอร์โทรศัพท์ ...บอกตรงๆ เมืองไทย มีโอกาสมากมายแบบฝรั่ง งง ..เฮ้ย !! อะไรที่เป็นเลข คนไทย เอามารวยได้หมด 

6. ‘งานที่คู่แข่งน้อย’ ...ธุรกิจยอดฮิต อย่าทำ เพราะ คู่แข่งเยอะ ...ยุคนี้ต้องเริ่มคิดจาก สิ่งที่คนอื่นไม่คิดจะทำ หรือไม่อยากทำ

7. ‘งานที่คนซื้อใช้เหตุผลรวยยาก ...งานที่คนซื้อใช้อารมณ์ ในการซื้อ รวยง่ายกว่าเยอะ’

8. ‘อย่าทำงานที่เป็น Mass ให้ทำงานที่ขายตลาดเฉพาะ Niche’ ...ยุค social องค์กรใหญ่จะทำทุกอย่างเพื่อจับตลาด Mass ...เราอย่าไปแข่งกับรายใหญ่ ให้มุ่งไปในจุดแข็ง จุดเล็กๆ ที่เราได้เปรียบ

ใช่!! หาจุดยืนที่ชัด ยิ่งมีหลายข้อ ยิ่งมีโอกาสรวยง่ายกว่า

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2562

10 ข้อ เช็คลิสต์ ก่อนเอาธุรกิจเข้าตลาดหุ้น


10 ข้อ เช็คลิสต์ ก่อนเอาธุรกิจเข้าตลาดหุ้น

1. ‘อยู่ในอุตสาหกรรม ที่กำลังเติบโต’ ...ตลาดหุ้นไม่ได้สนว่า ธุรกิจคุณกำไรเท่าไหร่ แต่เขาสนใจว่า กำไรโตปีละเท่าไหร่ 

2. ‘เป็นผู้นำ ในจุดเล็กๆ ของตัวเอง’ ...ปลาเล็กที่โดดเด่น ดีกว่า ปลาใหญ่ที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเลย

3. ‘มีกำไร ให้ปันผล’ ...หุ้นที่นักลงทุนซื้อแล้วถือยาวอย่างสบายใจ ต้องกำไรและจ่ายปันผลสม่ำเสมอ

4. ‘เจ้าของถือหุ้นใหญ่’ ...ยิ่งเจ้าของถือหุ้นมากแต่ไหน เขาก็จะยิ่งที่งานหนีกเพื่อธุรกิจมากเท่านั้น

5. ‘มีกลุ่มนักลงทุนที่ถือยาว’ ...นักลงทุนระยะยาวจะทำการบ้านอย่างดีแทนเราได้ในระดับนึง

6. ‘ธุรกิจคือชีวิตเจ้าของ’ ...ชื่อเสียง และ ความร่ำรวย ของเจ้าของอยู่ในธุรกิจนี้ ..เป็นการการันตีว่าเขาจะทำทุกอย่างเพื่อธุรกิจ

7. ‘หนี้น้อย’ ...ในโลกที่แข่งขันสูง คนที่สามารถปรับตัวได้เร็วคือคนที่ตัวเบาที่สุด ...หนี้น้อยเป็นวิชาตัวเบาที่บ่งบอกฝีมือของเจ้าของ

8. ‘สร้างสินค้า Best Seller ได้เรื่อยๆ’ ...โลกยุคนี้ การขาย สำคัญน้อยกว่า สินค้าที่ดี ...เพราะ สินค้าที่ดี มันขายได้ด้วยตัวของมันเอง

9. ‘Know Who สำคัญกว่า Know How’ ...ปั้นธุรกิจในประเทศไทย รู้จักใคร สำคัญมากๆ 

10. ‘โปร่งใส ไม่เอาเปรียบ’ ...หุ้นที่ดีแบบยั่งยืน คือ ธุรกิจที่เอาลูกค้าเป็นที่หนึ่ง เอาพนักงานเป็นที่สอง ...แล้วก็ดูแลผู้ถือหุ้นแบบโปร่งใส ไม่เอาเปรียบ

ถ้าธุรกิจใครมี 10 ข้อนี้ มันแทบการันตีความสำเร็จในการเอาหุ้นเข้าตลาด 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ต้องมีเงินเท่าไหร่จะเกษียณสบายยุคนี้

‘ต้องมีเงินเท่าไหร่จึงจะเกษียณสบายในยุคนี้’

คนยุคก่อน มีดอกเบี้ยสบายๆ แต่ยุคนี้คือ ยุคเงินฝากดอกเบี้ย 0% แปลตรงๆ ว่า ‘ไม่มีดอกเบี้ย’

1. ‘คนที่เกษียณสบายยุคนี้ ต้องมีเงินใช้เดือนละ 100,000 บาท ตกปีละ 1.2 ล้าน’ ...ถ้ามีเงิน 10 ล้านฝากธนาคาร แปลว่า อยู่ได้ 10 กว่าปีก็เงินหมดแล้ว

2. ‘คนที่มีเงินน้อยมักวางเงินส่วนใหญ่ในเงินฝาก ทำให้ไม่มีผลตอบแทน ...คนที่มีเงินเยอะ มักวางเงินส่วนน้อยในเงินฝาก แต่เงินส่วนใหญ่เอาไปลงทุน’ ...ทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยของคนทั่วไปอยู่ไม่ถึง 1% ...ในขณะที่คนลงทุนจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5-10 เท่า 

3. ‘คนที่กล้าวางเงินส่วนใหญ่ในการลงทุน มักจะเริ่มทำตั้งแต่ตัวเอง ยังมีเงินไม่เยอะ’ ...แล้วก็ทำต่อเนื่อง ...ยิ่งมีเงินเยอะขึ้น ก็ยิ่งเพิ่มสัดส่วนเงินลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ

4. ‘การสร้างพอร์ตการลงทุน ที่ดี ควรใช้เวลามากกว่า 10 ปี ในการทยอยลงทุน’ ...คนที่ขาดทุนจากการลงทุนส่วนใหญ่คือคนที่เข้ามาลงทุนระยะสั้น ..ถ้าใครวางแผนปั่นพอร์ต ค่อยๆ ซื้อเป็นเวลา 10 ปีขึ้นไป แทบจะไม่มีโอกาสเจ๊งเลย ...เพราะเขาอยู่นานพอจนเข้าใจรอบของตลาด

5. ‘คนที่ลงทุนจริงจัง ส่วนใหญ่สามารถมีอิสรภาพทางการเงินก่อนเกษียณ’ ...เพราะเขาได้ประโยชน์ 2 เด้ง หนึ่ง จากพอร์ตที่โตเร็วกว่าที่อื่น และ สอง จากเงินปันผล ที่ค่อยๆ โตอย่างต่อเนื่อง (หุ้นปันผลดี ส่วนมากสามารถคืนทุนจากแค่รับเงินปันผล ไม่เกิน 20 ปี หลังจากนั้น คือ Passive Income ชั้นดี ตราบที่ไม่ขาย ตลอดไป)

6. ‘เงินเริ่มต้นการลงทุนจริงๆ หลักพัน ก็เริ่มออมหุ้นได้แล้ว โดยใช้ ETF เช่น ซื้อกองทุน BMSCITH แบบ DCA เท่าๆ กันทุกเดือน’ ...แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น เมื่อเรามีเงินมากขึ้น

7. ‘กลับมาตอบคำถามเริ่มต้นว่า ต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะเกษียณสบายแบบไม่ต้องลงทุนเลย ?’ ...คำตอบ คือ ประมาณ 100 ล้านบาท ...เอาไปฝากประจำ จะได้ ประมาณปีละล้าน แบบไม่ต้องไปยุ่งกับเงินต้น

8. ‘ในส่วนคนที่ลงทุนระยะยาวเป็น จะเริ่มสบายเมื่อพอร์ตการลงทุน เช่น พอร์ตออมหุ้น ออมกองทุน เริ่มแตะ 10 ล้านบาท’ ...ผลตอบแทนเฉลี่ยในระยะยาวของตลาดหุ้น จะมากกว่าเงินฝากประมาณ 10 เท่า นั่นเอง 

ที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เพราะ อยากให้ทุกคนเห็นภาพว่า การลงทุนระยะยาว อย่างออมหุ้น ออมกองทุน มันทำให้คนยุคนี้เกษียณสบาย และ เกษียณเร็วกว่า คนที่ไม่เข้าใจอย่างมากเลยครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


7 ข้อควรรู้ กับ Career Path ยุคใหม่


7 ข้อควรรู้ เกี่ยว Career Path ยุคใหม่

1. ‘การมีตำแหน่ง และ หน้าที่การงาน ..Career Path ที่ดีคือ สิ่งที่ลูกจ้างทุกคนต้องการในอดีต’ ...แต่ปัจจุบันเรามีคำใหม่ ที่เข้าใจโลกและการเปลี่ยนแปลงมากกว่าเดิม เรียกว่า Career Landscape

2. ‘Career Path คือ โตในแนวตั้ง ...แต่ Career Landscape คือ การเติบโตในแนวนอน’ ...มนุษย์เรามีความสูงจำกัด แต่ขยายออกข้าง(พุง) ไม่จำกัด ..555

3. ‘Career Landscape คือ การแตกแขนงองค์ความรู้เดิม ให้เกิดสิ่งใหม่’ ...เช่น เอาอาหาร มาผสมความรู้วิทยาศาสตร์ กลายเป็น ฟิวชั่น ...เปลี่ยนอาหาร เป็น ศิลปะราคาแพงที่กินได้ 

4. ‘Career Landscape คือ การขยายการเรียนรู้ ไปสู่สิ่งที่เราชอบ’ ...ภาษาคนทำงานแบบนี้เขาเรียกว่า ตามหา Passion

5. ‘Career Path มีหัวหน้างานตัดสินผลงาน ..แต่ Career Landscape มีมวลชนเป็นคนตัดสินผลงาน’ ..เด็กคนนึงลุกขึ้นมาถ่ายวีดีโอขำๆ ลง YouTube สนุกๆ ...หลังจากนั้น เขาก็ยึดตรงนี้เป็นอาชีพจริงๆ 

6. ‘Career Path หมดอายุ วันที่คุณเกษียณจากตำแหน่ง แต่ Career Landscape อยู่กับคุณจนวันตาย’ ...ไม่มีใครมาพรากตัวคุณไปจากคุณได้ 

7. ‘คุณไม่สามารถติดสินบนมวลชน ให้รักคุณได้’ ...ความจริงใจ และการเดินทางสู่ Passion จึงเป็นของจริงที่ไม่มีทางลัด

เมื่อเราเข้าสู่ สังคมและอาชีพรุ่นใหม่ ที่ผู้ตัดสินคือมวลชน ...ผมเชื่อเสมอว่า หุ่นยนต์ และ เครื่องจักร อาจมาแทนคน ในเรื่อง ความแม่นยำ การคำนวณ ความสม่ำเสมอ แต่มันจะไม่มีทางมาแทน จินตนาการและ ความฝันของเราได้ !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2562

10 ข้อ ควรรู้เพื่อรวยขึ้น 100 เท่า

10 ข้อ ควรรู้ที่จะทำให้เรารวยขึ้น 100 เท่า

1. ‘ถ้าจะรวยขึ้น 1 เท่า เราก็แค่ออกแรง ทำงานหนักเพิ่มขึ้น’ ....หาเงินจากแรงงานเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐาน แต่มันไม่ทำให้เรารวย 

2. ‘ถ้าจะรวยขึ้น 10 เท่า เราต้องเริ่มใช้สินทรัพย์ทำงานแทน’ ...สินทรัพย์คือสิ่งมหัศจรรย์ในโลกนี้ ที่คนรวยสร้างขึ้นมาเพื่อรักษาความมั่งคั่ง และ ส่งต่อให้ลูกหลาน

3. ‘ถ้าจะรวย 100 เท่า เราต้องไม่คิดจะขายสินทรัพย์’ ...ยกตัวอย่างหุ้นดีๆ ขึ้นเป็นสิบเป็นร้อยเท่า ในระยะยาว แค่คนส่วนใหญ่ ‘ทนรวยไม่ได้’

4. ‘สินทรัพย์ ต้องซื้อเมื่อพร้อม ..ดีกว่าซื้อเมื่อถูก’ ..ถ้าเราซื้อสินทรัพย์ ในเวลาที่เราไม่พร้อม ไม่ว่ามันจะถูกแค่ไหน สุดท้ายเราก็อาจรักษามันไม่อยู่

5. ‘สินทรัพย์ที่จะทำให้เรารวย ไม่ได้ขึ้นกับว่าสินทรัพย์อะไร แต่ขึ้นกับความรู้และความเชี่ยวชาญที่เรารู้จริงๆ ในสินทรัพย์นั้นๆ’

6. ‘สินทรัพย์ที่ดีที่สุด บางครั้งก็ไม่ใช่สิ่งที่ราคาขึ้นมากที่สุด’

7. ‘สินทรัพย์จะขึ้นในเวลาที่คนส่วนใหญ่ ไม่ได้ครอบครองสินทรัพย์นั้นๆ’

8. ‘เวลาที่น่ากลัวที่สุดในการซื้อสินทรัพย์ คือ เวลาที่ทุกคนที่อยากได้สินทรัพย์นั้น เขาได้ซื้อหมดแล้ว’ ...วันที่มีแต่ข่าวดี คือ วันที่สินทรัพย์นั้นๆ น่ากลัวที่สุด

9. ‘หัวใจของการรวยจากสินทรัพย์ คือ การลงทุนสินทรัพย์เป็นพอร์ต แบบกระจายความเสี่ยง’ 

10. ‘สินทรัพย์ที่ทำให้เราเกษียณได้แบบมีอิสรภาพทางการเงิน ก็คือ สินทรัพย์ที่ให้เงินปันผลแบบที่เราไม่ต้องไปยุ่งกับมัน’

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม




วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ทำไมเราไม่ควรซื้อของที่อยากซื้อในเวลาที่อยากได้


7 ข้อควรรู้ ว่าทำไมไม่ควรซื้อของที่อยากได้ ในเวลาที่เราอยากได้จริงๆ 

ทุกคนล้วนมีเวลาที่อยากได้ ของบางอย่าง ...มันคัน ...ไม่ต้องพูดมาก ก็ของมันต้องมี และนี่คือ 7 ข้อ ควรรู้ก่อนตัดสินใจจ่ายเงินซื้อครับ

1. ‘เวลาเราอยากได้ เราจะใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ มากกว่าเหตุผลเสมอ’ ...เมื่ออารมณ์เหนือเหตุผล เราจะเสียเปรียบเสมอในการต่อรอง

2. ‘เรามักจะอยากได้ของมี่คนอื่นอยากได้’ ...เมื่อ Demand ความต้องสูงกว่า Supply ราคาจะพุ่งขึ้นอย่างน่าตกใจ จนบางครั้งไม่สมเหตุสมผล

3. ‘การไม่ตามใจตัวเอง ในเวลาที่อยากได้ เป็นทักษะที่จำเป็นในโลกที่มีของไม่จำกัด แต่เงินในกระเป๋าเราแสนจะจำกัด’

4. ‘การซื้อช้า ไม่ได้หมายความว่า ไม่ให้ซื้อ เพียงแต่การชะลอการซื้อ มันทำให้เรารู้ว่า จริงๆ แล้ว เราอยากได้มันจริงๆ หรือเปล่า’ ...ถ้าชะลอการซื้อแล้วก็ยังอยากได้ เราจะได้รู้ว่า เราต้องการมันจริงๆ แหละ 

5. ‘ทุกวันนี้แล้วเรามีของที่ไม่จำเป็น หรือ ขยะ เต็มบ้าน ก็เพราะ เราซื้อของในเวลาที่อยากซื้อนั่นแหละ’

6. ‘อย่าซื้อเงินผ่อน ให้เก็บเงินก้อนแล้วค่อยซื้อเงินสด’ ....เพราะการจ่ายเงินเต็มมันช่วยกรองอีกชั้นว่า เราอยากได้ของนั้นจริงๆ ใช่หรือไม่

7. ‘วิธีคิดนี้ใช้ได้ดีกับ การซื้อหุ้นด้วย’ ...คนที่ติดหุ้น ติดดอย ส่วนมากเพราะ ซื้อหุ้นที่อยากซื้อในเวลาที่อยากซื้อ ....แต่คนลงทุนระยะยาวที่ประสบความสำเร็จ มักรอซื้อหุ้นเวลาวิกฤต หรือ ช่วงที่มีข่าวร้ายๆ 

มันสรุปได้ว่า คนเหล่านี้ อดทนรอมากกว่า คนทั่วไป 

‘ซื้อในวิกฤต ก็คือ ซื้อในเวลาที่เราไม่ได้อยากซื้อ ...ที่สำคัญเรากำหนดให้เกิดวิกฤตไม่ได้ ...บ่อยครั้งที่คนเหล่านี้ ต้องซื้อหุ้นที่ไม่ได้อยากได้ด้วยซ้ำ’

สรุป ‘ฉันซื้อหุ้นพื้นฐานดี ตัวที่ไม่ได้อยากได้ ในเวลาที่ไม่มีใครอยากซื้อ’ ...มันคือ ตลกร้าย ของโลกใบนี้จริงๆ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

รู้เท่าทัน Gen และ การเปลี่ยนแปลง

‘รู้เท่าทัน Gen กับ การเปลี่ยนแปลง’

ทุกวันนี้คนเราถูกแบ่งเป็น Gen ตามปีที่เกิด บนความเชื่อที่ว่า ‘สภาพแวดล้อม และ ประสบการณ์’ เป็นสิ่งที่ทำให้แต่ละคนแตกต่างกัน

- Baby-boomer เกิดในช่วง 1945 - 1960 ...เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกเพิ่งผ่านความยากลำบาก พ่อแม่มีลูกมาก ทุกคนมุ่งสร้างตัวเพื่อให้ครอบครัวของตัวเองมั่นคง ...คนกลุ่มนี้ ทำงานหนัก แต่ใช้น้อยประหยัด และ มุ่งสะสมสินทรัพย์ เช่น บ้าน ที่ดิน เงินทอง ...คนที่ประสบความสำเร็จในกลุ่มนี้ คือ คนที่ทำงานหนัก ทำเยอะ ใช้น้อย สะสมสินทรัพย์ มีความอดทนสูง มีอุดมการณ์ รักชาติ และ เสียสละ 

- Gen X เกิดในช่วง 1961 - 1980 ...นี่คือ ยุคของมืออาชีพ การศึกษาสูง มีอาชีพการงานที่มั่นคง มีความกบฏในตัวเอง เป็นยุคที่นำพาธุรกิจจากความเป็นเถ้าแก่ เข้าสู่องค์กรมืออาชีพ ...กลุ่มนี้จะมองโลกตามความเป็นจริง ซึ่งอยู่กึ่งกลาง ระหว่าง Baby boomer ที่มองโลกตามอุดมคติ และ กลุ่ม Gen Y ที่มองโลกบวกมากเกิน ...คนที่ประสบความสำเร็จในกลุ่มนี้คือ คนที่เข้าใจว่า Career Path ต้องถูกแทนด้วย Career Landscape คือ การไม่ยึดติดทักษะของตัวเอง แต่มองโอกาสจากการเพิ่มทักษะใหม่ๆ เสริมสิ่งที่ตัวเองเชี่ยวชาญ 

- Gen Y เกิดในช่วงปี 1981 - 1995 ...นี่คือ ยุคของ Start-Up ที่โอกาสนอกออฟฟิศ มันมีมากกว่าโอกาสในออฟฟิศ ...จุดแข็งของคนยุคนี้คือ คิดบวก พร้อมรับความเปลี่ยนแปลง กล้าลุย แต่จุดอ่อนคือ ‘ประสบการณ์’ ...คน Gen นี้ มีความกดดันสูงที่สุด โดยเฉพาะ ความคาดหวังของพ่อแม่ ...Gen Y ส่วนใหญ่เป็นลูกของ Baby boomer ที่ประสบความสำเร็จทั้งที่ตัวเอง คาดหวังน้อย เลยมองว่า ‘ฉันหวังน้อย ยังสำเร็จแบบนี้ ดังนั้น ลูกฉันซึ่งเป็น Gen Y ก็ต้องยิ่งดีกว่าฉันแน่นอน’ (แต่เขาลืมไปว่า โลกทุกวันนี้ การแข่งขัน สูงมากกว่ายุคเขามาก พอเจอความคาดหวังของพ่อแม่ กดดันเข้าไปอีก เราก็จะเห็น คน Gen Y เป็นโรคเครียด โรคซึมเศร้า กันเยอะ) ....กลุ่ม Gen Y ที่ประสบความสำเร็จ คือ คนที่มุ่งไปที่การค้นหา ความถนัดและ ความชอบของตัวเอง แล้วค่อยๆ พัฒนาทักษะนั้นให้โดดเด่น ...เราจะเป็นคน Gen Y จำนวนมาก กลายเป็น Micro Influences เป็น Net Idol ซึ่งเป็นการ ‘ปักธง’ ในการสร้างอาชีพและงาน ในโลกยุคใหม่ ...ซึ่งไม่มีความสำเร็จชั่วข้ามคืน ...ทำให้คน Gen Y ที่ค่อยๆ พัฒนางานเล็กๆ ของตัวเอง อย่างค่อยเป็นค่อยไป มักประสบความสำเร็จกว่าพวกที่รีบเร่งแล้วพยายามหา Shortcut ในชีวิต ....คำแนะนำ สำหรับคน Gen Y คือ อย่าเพิ่งลาออกจากงาน แต่ให้เรียนรู้จากงาน แล้วค่อยๆ ผสม Talent Matrix จนคุณพร้อมที่จะก้าวออกไปยืนด้วยตัวเองจริงๆ 

- Gen Z เกิดในปี 1995 เป็นต้นไป ...คนกลุ่มนี้เกิดท่ามกลาง Technology และ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก ...เมื่อเขาเกิดมาในยุคที่ โลกร้อน การเมืองวุ่น เศรษฐกิจแย่ มันทำให้คนกลุ่มนี้ อยากที่จะเปลี่ยนแปลงโลก ..ถ้า Gen Y คิดบวกเกิน คุณ Gen Z คือ กลุ่มที่คิดลบเกิน ...ทั้งที่จริงๆ แล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ ความสะดวกสบายในชีวิต เขาเป็นกลุ่มที่สบายกว่า Baby Boom เยอะมาก เรียกว่า สบายที่สุดก็ว่าได้ ....คนกลุ่ม Gen Z ที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในรุ่นเดียวกัน คือ คนที่หันมาสนใจการเข้าใจตัวเอง พัฒนาและเพิ่มศักยภาพของตัวเอง แทนที่จะไปเปลี่ยนคนอื่น

ใช่ครับ !! คนแต่ละรุ่น ก็มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน ของตัวเอง ....ใครก็ตามที่เข้าใจ แล้วมุ่งเปลี่ยนแปลงตัวเอง ก็จะกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จสูง และ มีความสุขมากที่สุดนั่นเอง

‘เมื่อเราเดินทางไปรอบโลก ต่อสู้กับทุกอย่าง เราจะพบว่า ตัวเองว่างเปล่า ไม่มีความสุข ...เพราะ ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์ในยุคนี้ ก็คือ ตัวเราเอง ...การหันมาศึกษาตัวเรา เพื่อรู้เท่าทันอารมณ์ แล้วค่อยๆ พัฒนาทักษะอย่างค่อยเป็นค่อยไป จะทำให้เรามีชีวิตที่ดีที่สุดนั่นเองครับ’

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ