แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2565

5 ข้อควรรู้ เกษียณแล้วไปไหน

 5 ข้อควรรู้ เกษียณแล้วไปไหน 


หลายคนตั้งเป้าว่า การเกษียณแล้วจะได้สบาย หยุดทำทุกอย่าง …แต่จริงๆ แล้ว มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น 


ความโชคดีของผม คือ การเป็นที่ปรึกษาการลงทุน ทำให้ผมได้เจอคนที่เกษียณมากมาย มีทั้ง เกษียณแล้วรวย และ ก็เกษียณแล้วซวย …สุข และ เศร้า มากมาย จนพอจะสรุปได้ดังนี้


1. ‘เกษียณไม่ใช่แค่เรื่องเงิน’ …เรื่องเงินเป็นส่วนนึงที่ทำให้เรามีอิสระในเวลา แต่คำถามที่สำคัญกว่า คือ พอมีเวลาแล้วเราจะทำอะไรให้เรารู้สึกมีคุณค่า ?


2. ‘การมีคุณค่า ไม่ใช่แค่ทำในสิ่งที่เราชอบ’ …ความชอบจะทำได้ยาว สิ่งนั้น ต้องเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น เราจึงจะรู้สึกว่า มีคุณค่า …ถ้าแค่ชอบ มันทำได้ไม่นาน เดี๋ยวก็เบื่อ และ เลิกชอบได้ 


3. ‘สิ่งที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ ไม่จำเป็นต้องเสียเงินอย่างเดียว’ …ถ้าทำสิ่งที่มีประโยชน์ต่อคนอื่น แล้วเราได้เงินด้วย มันยิ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทาย และ ทำได้ยั่งยืนมากขึ้น …นี่คือ จุดเริ่มต้นของการหาความหมายของ ‘งานหลังเกษียณ ที่มีคุณค่า’ 


4. ‘การเกษียณเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ไม่ใช่จุดสิ้นสุด’ ..จุดเริ่มต้นของการกำหนดชีวิตและเวลาของเราเอง …เพราะ ก่อนเกษียณ เป้าหมายและเวลาของเรา ถูกกำหนดโดยคนอื่น …เป้าบริษัท เวลาที่บริษัทกำหนด …แต่หลังเกษียณ คือ เป้าหมายของเรา และ เวลาที่เรากำหนด


5. ‘หลังเกษียณคือ วินัย ไม่ใช่การเอาแต่ใจ’ …เป้าหมายและกิจวัตรใหม่ ต้องอาศัยการมีวินัย ความสม่ำเสมอ …ซึ่งตรงข้ามกับการใช้ชีวิตที่ไร้ระเบียบ ไร้ความหมาย ที่ไม่มีความสุข 


ใช่ครับ !! ผมได้เรียนรู้ว่า คนเกษียณที่มีความสุข …ก็คือ คนที่หาเป้าหมายชีวิตครั้งใหม่ ที่ทำอย่างมีวินัย และ สร้างคุณค่า 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 ข้อควรรู้ สำหรับคนชอบหุ้นเสี่ยง

 5 ข้อควรรู้ สำหรับคนชอบเล่นหุ้นเสี่ยง


แน่นอนผลตอบแทน ย่อมมาพร้อมความเสี่ยง …สำหรับคนชอบเสี่ยง มาดูกันว่าควรรู้อะไรบ้าง


1. ‘เสี่ยงได้สุดๆ เท่าที่สามารถกลับมาเล่นใหม่ได้’ …คนพอร์ตใหญ่เขาแค่แบ่งเงินมาเสี่ยง …ส่วนพอร์ตเล็ก ก็เสี่ยงได้ แค่เราต้องสามารถหาเงินมาเติมได้ …แต่อย่าเสี่ยงแบบนี่คือการเสี่ยงครั้งสุดท้าย เพราะ คุณจะเสียแน่นอน 


2. ‘การอ่านเกม สำคัญกว่าการอ่านงบ ในหุ้นเสี่ยง’ …ในการลงทุนระยะยาวพื้นฐานสำคัญสุด แต่สายเสี่ยงการอ่านเกมสำคัญกว่า …ถ้ามองเกมไม่ออก แทบจะ  การันตีว่า แพ้ตั้งแต่เริ่มแล้ว


3. ‘อย่าทำตัวเป็นรายใหญ่ ในเกมที่เสี่ยง’ …ใช่!! ถ้าคุณซื้อเยอะเกินไป คุณจะได้ติดหุ้นนี้ยาวนานสมใจ 


4. ‘หุ้นยิ่งเสี่ยง ยิ่งต้องใช้เงินเย็น’ …ในเกมที่เสี่ยง คนที่เงินร้อนกว่า ย่อมเสียเปรียบเสมอ …และควรเผื่อใจสำหรับการต้องติดหุ้นนี้ยาวนาน หากเราคาดการณ์ผิด (ซึ่งมันต้องเกิดขึ้นแน่นอน เผื่อเงิน และ เผื่อใจไว้ด้วย)


5. ‘หุ้นเสี่ยงต้องเก็บเวลาไม่มี Volume’ …และก็ต้องขายตอนที่มี Volume เท่านั้น …หุ้นแบบนี้ ไม่ได้มี Volume ตลอดเวลา ต้องอ่านเกมให้ออกด้วย


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2565

5 ประสบการณ์ตรงของคนชอบซื้อของถูก

 5 ประสบการณ์ตรงของคนชอบซื้อของถูก


ผมเป็นคนนึงที่ชอบซื้อของถูก ก็แน่ละ ก็มันถูก ใครจะอดใจไหว …แต่มันก็มี อยู่ 5 ข้อ ที่ต้องระวังเอาไว้ด้วย


1. ‘ถูกแล้ว มีถูกกว่า’ …การซื้อของถูก คือ ซื้อในขาลงของราคา …ใช่!! ลงแล้ว ถูกแล้ว มันก็มีโอกาสที่จะลงลึกขึ้น …ก็มันคือขาลงไง !!!


2. ‘มันถูกเลยซื้อเยอะ เจ็บหนักกว่าคนข้างบนอีก’ …คนติดดอยบางครั้ง ซื้อสูง แต่เขาซื้อไม่เยอะ …ไอ้เราพอเห็นว่ามันถูก รอราคาลงมาจากข้างบนเกือบ 50% แล้วคิดว่าสบายละ ก็จัดเต็ม …สุดท้ายจากจุดที่ซื้อลงไปอีก 50% สบาย ….หนักเลยจร้าา !! (หนักกว่ายอดดอย ก็ตีนดอยใกล้ๆ สุดนี่แหละ)


3. ‘ซื้อถูกจริง แต่กว่าจะขึ้น โคตรนาน’ …นานมาก …บางทีหลายๆๆๆ ปี นานจนบางคนทนไม่ไหว สุดท้ายซื้อถูก ก็ขายถูก เพราะ ไม่สามารถทนถือถูกนานๆ …ใช่!! ซื้อถูกไม่ได้หมายความว่ามันต้องขึ้นทันที อาจจะอีกหลายปี แน่ใจไหมว่าเงินเย็นพอ ?


4. ‘หุ้นมันเจ๊งไปเลย’ …มีด้วยเหรอ ? …มีดิคร้าบ ก็บริษัทมันเจ๊ง …สุดท้ายมันก็ลงไปเหลือศูนย์ …คำถามคือ เผื่อใจตรงนี้ไว้หรือเปล่า ? …ถ้าไม่เผื่อใจ มันมักจะเป็นแบบที่เราไม่เผื่อใจ คือ มันเจ๊ง !! (แต่ถ้าเราเผื่อใจ วางเงินดี ส่วนใหญ่มันไม่เจ๊ง โคตรแห่งความตลก ‘ถ้าเราเผื่อใจ มันไม่เจ๊ง แต่ถ้าเราไม่เผื่อใจ มันเจ๊งจริง’)


5. ‘อย่า Bet ในฝั่งมวลชน’ …โถ่!! ใครๆ ก็ติด …ถ้าแบบนี้มันก็เจ๊งกันทั้งประเทศดิ …ก็นั่นไง !! มันก็มีตัวอย่างที่เจ๊งกันถ้วนหน้ามาไม่รู้จักกี่ครั้งแล้ว …ผมนี่โคตรกลัวเลย หุ้นอะไรที่คนติดดอยไม่ยอมขายทิ้ง ..และ คนใหม่อยากเข้าไปลองวัดดวงเพิ่มอีก …สุดท้ายไม่เคยจบสวยสักที 


สรุป 


‘หนักชิ…หาย แต่ได้บทเรียน’


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ความอัจฉริยะเกิดจาก นิสัย ไม่ใช่ สมอง

 ‘ความอัจฉริยะ เกิดจาก นิสัย ไม่ใช่สมอง !!’ …ความสำเร็จก็เช่นกัน 


…ไม่!! ผมไม่ได้ชอบคำคม แต่ผมชอบทำความเข้าใจ ว่าคำพูดนี้ จริงๆ มันคืออะไร ?


โลกเราเต็มไปด้วยการแข่งขันและเปรียบเทียบ …เราทุกคนอยากจะเก่งทุกอย่าง ชนะในทุกเรื่อง …ใช่!! ผมก็เคยคิดแบบนั้น 


แต่พอโตขึ้นมาเรื่อยๆ กลับพบว่า วิธีคิดแบบเก่งทุกอย่างมันมี ‘ข้อจำกัด’ 


1. ‘เราไม่มีเวลาพอให้เก่งทุกเรื่อง เพราะเราทุกคนมีเวลาจำกัด’ …เอาตรงๆ ถ้าเรามีเวลาไม่จำกัด เราก็สามารถแบ่งเวลาให้กับทุกเรื่อง จนเราเก่งทุกเรื่องได้ แต่พอเวลาจำกัด การพยายามเก่งทุกอย่างทำให้เราเป็น เป็ด (ว่ายน้ำก็ได้ บินก็ได้ เดินก็ดี)


2. ‘การทิ้ง ยากกว่า การเอาทุกอย่าง’ …เรามักกลัวการปฎิเสธ ว่ามันจำกัด โอกาส …พูดง่ายๆ คนส่วนใหญ่ตอบรับทุกเรื่อง เพราะกลัวเสียโอกาส จนทำให้สุดท้าย แยกไม่ออกว่า อะไรคือโอกาสจริงๆ …การฝึกปฎิเสธจึงเป็นเรื่องยากที่จะเริ่มฝึกฝน (แต่มันทำให้เราแตกต่างจากคนส่วนใหญ่) 


3. ‘การสร้างนิสัย ทำซ้ำๆ จนเป็นกิจวัตร ทำให้เราเก่งกว่าคนอื่น’ …ถ้าเราทำอะไรเป็นกิจวัตร ทำทุกวัน มันจะเชี่ยวชาญในสิ่งนั่น …นี่คือ จุดเริ่มของความอัจฉริยะ ที่หลายคนมองข้าม


4. ‘เมื่อเรารู้ว่า อะไรที่เราทำได้ดี เราก็อยากทำให้มันยิ่งดี นี่แหละ Passion’ ….ใช่!! คำว่า Passion ไม่ได้เกิดจากการหาว่าเราชอบอะไร แต่มันเริ่มจากหาว่าอะไรที่เราทำได้ดีกว่าคนอื่น …ยิ่งทำ ยิ่งสนุก …ยิ่งทำ ยิ่งเก่ง


5. ‘ข้อจำกัด มันก็คือโอกาส อย่ามองข้าม’ …คนที่เอาชนะข้อจำกัดได้ สุดท้ายมันเปลี่ยนเป็นแต้มต่อ …ยกตัวอย่าง โอบามา การที่เขาเกิดมาเป็นคนผิวดำ มันคือ ข้อจำกัด แต่พอเขาชนะข้อจำกัด การเป็นประธานาธิบดีผิวดำคนแรกของอเมริกา มันกลายเป็นแต้มต่อทันที ….คนที่เกิดมาจน พอรวย กลายเป็น ‘โคตรเท่ห์’ แต้มต่อทันที


ก็ใช่!! ‘ข้อจำกัด’ มันไม่ใช่จะผ่านได้ง่ายๆ ….แต่คนที่ชนะข้อจำกัด ความสำเร็จยิ่งหอมหวาน และยิ่งใหญ่ 


‘อย่าท้อ’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2565

ฝีมือคือ 20% ส่วนความโชคดีคือ 80%

 ‘ฝีมือคือ 20% ที่เหลือคือความโชคดี’ 


…มีรุ่นน้องมาถามผมว่า ‘พี่!! ถามจริงๆ …ความโชคดีมันมีผลต่อความสำเร็จแค่ไหน ?’ 


…เอาตรงๆ เลยนะ …ฝีมือและความขยัน มีผลแค่ 20% …ส่วน 80% ที่เหลือคือ ความโชคดี 


‘พี่กำลังจะแนะนำให้ผมซื้อหวยใช่ไหม ?’ 


‘ถูก!!’


…ถูกหลอกแล้วเอ๊ง !! (ไม่ใช่เว้ย)


…ดูง่ายๆ ในโลกนี้ คนขยันทุกคนไม่ได้รวย …แต่คนรวยทุกคนขยัน …หมายความว่าอะไร ?


‘พูดภาษาให้เข้าใจง่ายๆ คือ เราต้องประคองตัว ทั้งขยัน ทั้งสู้ เพื่อให้เราไม่เจ๊ง …ทำไป ทนไป ถูๆไถๆไป ..ทำจน ความโชคดี 80% มันจะเข้ามา’ 


…ตอบไม่ได้นะ ว่ากี่ปี …บางคน ไม่กี่ปี …บางคนเป็นสิบปี …บางคนนานกว่านั้น 


สรุป ‘ประคองฝีมือ 20% ให้ไม่เจ๊ง …จนความโชคดี 80% มันทำงาน แค่นั้นแหละ !!’ (ไอ้คนที่มันใช้เวลานานกว่าคนอื่น แปลว่า ความสำเร็จของมันใหญ่ มันก็เลยต้องใช้เวลา …แต่ถ้าดันล้มเลิกก่อน นั่นคือ ความซวยของจริง) 


…คุณน่ะมีฝีมือ แค่อดทนทำไปจน ‘ความโชคดี’ มันทำงานให้เราในที่สุด 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2565

5 ข้อควรรู้ ในการช้อนซื้อ Bitcoin ‘ก็ของมันต้องมี’

 5 ข้อควรรู้ ในการช้อนซื้อ Bitcoin ‘ก็ของมันต้องมี’


1. ‘เก็งกำไรได้แต่อย่าใช้คำว่าลงทุน’ …เก็งกำไรแปลว่า เราพร้อม bet พร้อมสู้ เสียได้ ชีวิตไม่พัง …แต่ถ้าเราใช้คำว่าลงทุนแปลว่า เราเอาเงินใหญ่เข้าไปเล่น อันนี้ต้องระวัง


2. ‘ขึ้นชื่อว่าขาลง ย่อมลงลึกกว่าที่เราคิดเสมอ’ …การทยอยรับ จึงดีกว่าการรับไม้เดียวแน่นอน (เอาตรงๆ เวลาเราอยากรับ เราจะได้ซื้อราคาที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ) 


3. ‘จุดต่ำสุด คือ จุดที่ไม่มีข่าวดี และไม่มีใครคิดจะรับ’ …นั่นรวมถึงเราด้วย …ถ้าเรายังอยากซื้อ มันก็แปลว่า ยังลงไม่สุด …มันจะสุดเมื่อเราร้องว่า ‘กูเลิก!!’ 


4. ‘Volume ที่น้อย แล้วราคาลงแรง คือ จุดที่น่าสนใจ’ …ภาวะแบบนี้ ถ้า Volume เยอะ แปลว่า มวลชนยังอยู่ ไม่น่าสนใจ …มันจะยิ่งน่าสนใจเมื่อ ราคาลงแรงแต่ไม่มี Volume


5. ‘เอาบทเรียนรู้ไปใช้ในการลงทุนครั้งต่อไป’ …ใช่!! เราก็แค่คิดและทำแบบคนส่วนใหญ่ …โจทย์คือ แล้วเราจะทำอย่างไรให้คิดแบบคนส่วนน้อย ?


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2565

5 ระดับ ความแม่นยำของตลาดหุ้นโดยเซียนหมู ผู้หยังรู้ดวงดาว

 5 ระดับ ความแม่นยำ ของการทำนายตลาดหุ้นโดยเซียนหมูผู้รู้ถึงดาวดาว 


‘เราคือ เครื่องทำนายตลาดหุ้นที่แม่นยำ’ (ที่สุด) 


…หลายคนอาจไม่รู้ว่า ‘ตัวเรา’ นี่แหละ คือ เครื่องทำนายตลาดหุ้นที่โคตรแม่น …ยังไงมาดูกัน 


1. ‘ถ้าเราซื้อหุ้นน้อยๆ’ …หุ้นจะขึ้น แทบไม่ต้องสงสัย


2. ‘ถ้าเราซื้อหุ้นเยอะ’ …ลงแสกหน้าครับ …ที่กำไรก่อนหน้า คืนตอนนี้ พร้อมขาดทุนแบบจุกๆ 


3. ‘เราขายหุ้น’ …ขึ้นต่อครับ พอเรายิ่งขาย หุ้นก็ยิ่งขึ้น 


4. ‘เราขายหมด’ …ยิ่งขายแบบล้างพอร์ต เดี๋ยวขาขึ้นครั้งใหญ่กำลังจะมาเลยทีเดียว …ขึ้น ชิ หาย วายป่วง !!


5. ‘เลิกเล่น กรูเลิก’ …ขาขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดของตลาดหุ้นกำลังมาครับ …ที่สุดของการขึ้นแบบอภิมหากำไร มันจะมาเวลาเราเลิกเล่นครับ 


นี่แหละ !! ‘ตัวเรา’ …โคตรแห่งความแม่น 


อะไรที่เราซื้อ ‘เละ’ …อะไรที่เราไม่ซื้อ ‘ขึ้นชิบหาย’ 


เหมือนตลก …แต่คุณก็รู้ว่า นี่คือเรื่องจริง !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 ความย้อนแย้งในตลาดหุ้นที่รายย่อยควรรู้

 5 ความย้อนแย้งในตลาดหุ้นที่รายย่อยควรรู้


1. ‘รายย่อยมักเล่นหุ้นใหญ่ ส่วนรายใหญ่มักเล่นหุ้นเล็ก’ …ตลกร้ายในตลาดหุ้นคือรายใหญ่ที่ผมเคยเจอ ส่วนใหญ่รวยมาจากหุ้นเล็ก …แต่รายย่อยที่เจอมักบ่นว่าเขาติดหุ้นใหญ่ 


2. ‘คนส่วนใหญ่ชอบ DCA ตอนตลาดดี แต่จริงๆ ควร DCA ในช่วงที่ตลาดไม่ดี’ …พูดง่ายๆ การ DCA แบบทยอยซื้อหุ้นเข้าไปทุกเดือน ควรทำในช่วงที่ตลาดไม่ดี เรากลัว และมีความไม่แน่นอน จะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า


3. ‘คนส่วนใหญ่ชอบซื้อหุ้นเพิ่ม ในช่วงที่หุ้นกำลังร้อนแรง’ …จริงๆ จุดที่หุ้นนั้นๆ ร้อนแรง มักเป็นจุดที่ไม่น่าซื้อแล้ว เพราะ เป็นจุดที่รายใหญ่ทยอยขายทำกำไร   (อารมณ์คล้ายๆ วิ่งเก็บเศษเหรียญ บนทางด่วน) 


4. ‘จุดต่ำสุดของหุ้นในแต่ละรอบ เป็นจุดที่ไม่มีอะไรดูดีเลย’ …ตลาดไม่ดี งบไม่สวย Volume เบาบาง นั่นแหละ ช่วงจุดต่ำสุดของหุ้นในแต่ละรอบ


5. ‘ทนรวยของรายย่อยคือ ติดหุ้นแล้วถัว ..แต่ทนรวยของรายใหญ่คือ ทนคืนกำไร เพื่อกำไรที่มากขึ้น’ …หลายคนคิดว่า การซื้อหุ้นถัวขาดทุนไปเรื่อยๆ คือการทนรวย แต่จริงๆ นั่นเขาเรียกว่า ‘ติดหุ้น’ …การทนรวย คือ ซื้อหุ้นขาขึ้นถูกทาง แต่หุ้นย่อลงมา จากนั้นก็ทำ New High ต่อ เพื่อกำไรที่มากขึ้นเรื่อยๆ 


ใช่!! รายย่อยมักสับสน ระหว่าง ‘ขาขึ้น’ กับ ‘ขาลง’ (งง ชิบ ..555) 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2565

5 ข้อ แกะวิธีคิดรายใหญ่หุ้น แบบเล่นไม่เลิก

 5 ข้อ แกะวิธีคิดรายใหญ่หุ้น …’การออกแบบเกมที่เล่นไม่เลิก เล่นตลอดไป’ 


…เบื้องหลังความคิดของรายใหญ่เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง เพราะเขาไม่บอกเรา …อ้าว!! กั๊กนี่หว่า


ลองมาพยายามแกะดูจะพบว่า 


1. ‘รายใหญ่วิ่งเข้าหาความเสี่ยง’ …รายย่อยพยายามหลีกหนีความเสี่ยง …ทำไม ? …ก็เพราะ โลกปัจจุบัน ผลตอบแทน มันผูกอยู่กับความเสี่ยง (อะไรที่ไม่เสี่ยง ก็เท่ากับ ไม่มีผลตอบแทน)


2. ‘กระจายความเสี่ยง เพื่อให้เสี่ยงได้มากขึ้น’ …รายย่อยมักจะคิดว่า All in จะทำให้พอร์ตโต …แต่รายใหญ่แทบไม่มีใคร All in ..เพราะ ถ้า All in แล้วพลาดจะไม่สามารถกลับมาเล่นได้อีกเลย


3. ‘รายใหญ่มักลงทุนตรงข้ามกับมวลชน’ …ตรงข้ามก็คือ จุดที่รายย่อยกลัวเป็นจุดที่รายใหญ่ทยอยซื้อ …จุดที่รายย่อยแห่เข้าไปเล่น เป็นจุดที่รายใหญ่ทยอยขายทำกำไร


4. ‘รายใหญ่สามารถทนความผันผวนได้มากกว่า’ …แน่นอน ก็พอร์ตเขาใหญ่กว่า …แต่จริงๆ สิ่งที่ทำให้รายใหญ่ทนความผันผวนได้มากกว่า เพราะ เขาได้คำนวณไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าครั้งนี้จะเสียหายสูงสุดได้เท่าไหร่ …พูดง่ายๆ รายย่อย ใช้การ วัดดวง ในการลงทุน แต่รายใหญ่ ‘ไม่วัดดวง’ (คำนวณ Risk / Reward ก่อนลงเล่น)


5. ‘รายใหญ่ไม่มีแผนรวยแล้วเลิก’ …คนส่วนใหญ่เข้าตลาดหุ้นเพื่อหวังว่า วันนึงรวย จะได้เลิก (ล้างมือในอ่างทองคำ) …แต่รายใหญ่ออกแบบเกมที่เขาจะเล่นได้ตลอดไป ‘ไม่มีเลิก’ (Infinite Game)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 วิธีคิดแบบรวยเปลี่ยนหลักในตลาดหุ้น

 5 วิธีคิดแบบ รวยเปลี่ยนหลักในตลาดหุ้น 


…อะไรคือ ‘รวยเปลี่ยนหลัก’ …? …สั้นๆ คือ เติมศูนย์เข้าไปในพอร์ต …1 เป็น 10 , 10 เป็น 100 , 100 เป็น 1,000 !!!


1. ‘การเปลี่ยนหลัก คือ การเปลี่ยนวิธีคิด’ …การทำแบบเดิมโดยทำให้หนักขึ้น มีข้อจำกัด เช่น ตัวเรา , แรงเรา , เวลาของเราที่จำกัด เช่น การสร้างบ้าน 1 หลัง ก็ต้องคิดแบบนึง แต่ถ้าโจทย์เปลี่ยนต้องสร้าง 100 หลัง ก็ต้องเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำแทบทั้งหมด


2. ‘จากตัวเรา สู่ระบบ’ …ระบบ คือ สิ่งที่ทำแทนเรา …วิธีการที่เอาตัวเราออกไป แต่ผลลัพธ์จะต้องยังคงอยู่


3. ‘ต้องเกิดซ้ำๆ ได้’ …ถ้าเกิดได้ครั้งเดียว ก็คือโชคดี ไม่ต่างจากการถูกหวย …การชนะของเราจึงต้องออกแบบให้เกิดซ้ำๆ ต่อเนื่อง


4. ‘ต้องออกแบบวิธีการให้ผิดพลาดได้แต่ไม่เจ๊ง’ …ในระยะยาวเราต้องเจอข้อผิดพลาด ต้องออกแบบให้พลาดแล้วยังทำต่อไปได้ ไม่เจ๊ง


5. ‘รวยเปลี่ยนหลักเป็นเรื่องของการยืนระยะ’ …Stay in the Game หรือ การยืนระยะให้นานที่สุด คือ หัวใจของความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ …รางวัลของการยืนระยะ ก็คือ ผลตอบแทนแบบดอกเบี้ยทบต้น


…จะรู้ได้ไง ว่าเราเริ่มมาถูกทางแล้ว ?


‘ก็เมื่อเราเหนื่อยน้อยลง แต่ผลลัพธ์กลับเพิ่มขึ้น’ …ใช่!! ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องของโชคดี หรือ ความฟลุ๊ค แต่มันคือ ‘การออกแบบ’


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2565

10 ข้อดีประเทศไทย หุ้นไทยไปได้อีกเยอะ

 10 ข้อดีประเทศไทย หุ้นไทยไปได้อีกเยอะ


เห็นแต่คนพูดว่าประเทศเราแย่อย่างนั้น อย่างนี้ ไม่โตแล้ว คนก็แก่ ขี้เกียจ นักการเมืองก็… ธุรกิจก็ไม่มีนวัตกรรม …ก็ถูกนะ หลายๆ เรื่องเหล่านั้น เป็นจุดอ่อน …แต่การลงทุน มันต้องหาจุดแข็ง แล้วโฟกัสไปที่จุดนั้น 


….มาดูกันว่า แล้ว จุดแข็งเราอยู่ที่ไหน …ที่จะทำให้เศรษฐกิจโต ธุรกิจดี หุ้นพุ่ง มาดูกัน


1. ‘ตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลาง’ ..ความเจริญกำลังย้ายมาสู่โลกตะวันออก ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในจุดเชื่อมโยงภูมิภาคที่สะดวกในการเดินทาง …ใช้เป็นฐานธุรกิจได้


2. ‘บ้านไม่แพง’ …เทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ราคาบ้านเราถือว่าไม่โหด แปลว่า ราคาบ้านไปต่อได้


3. ‘คนไทยอยู่รวมกับต่างชาติได้อย่างกลมกลืน’ …เราไม่ค่อยแบ่งแยกชัดเหมือนต่างประเทศ พูดง่ายๆ ใครมาอยู่ไทยก็สามารถกลายเป็นไทยได้สบายๆ 


4. ‘เราให้เกียรติคนต่างชาติ’ …เวลาเราไปต่างประเทศจะสัมผัสได้ว่าเขามองเราค่อยข้างจะต่ำกว่าเขา …แต่เวลาต่างชาติมา เราให้เกียรติเขามากกว่า


5. ‘ค่าครองชีพเราไม่แพง’ …การกินอยู่ของบ้านเราเรียกได้ว่าถูก เทียบกับคุณภาพ …แถมมีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ กินริมทาง ไปจนมิชเชอลินติดดาว …ส่วนนึงเพราะเรามีฐานผลิตการเกษตรที่แข็งแรง


6. ‘ที่เที่ยวครบ’ …เที่ยวทุกแบบ ไม่ได้มีข้อจำกัดอย่างหลายๆ ประเทศ …ตั้งแต่เที่ยวของวัยรุ่น ไปจนวัยเกษียณครบเครื่อง


7. ‘อาหารหลากหลาย’ …อาหารบ้านเรามีทุกแนวทุกชาติ แถมเรายังพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้นด้วย …ถ้าเราเอาจริง น่าจะเป็นศูนย์กลางอาหารโลกยังได้ 


8. ‘สาธารณูปโภคดี’ …ไฟฟ้า น้ำประปา อินเตอร์เน็ต ของเราครอบคลุมอันดับต้นๆ ของโลก


9. ‘โรงพยาบาลดี และไม่แพง’ …อุตสาหกรรมท่องเที่ยวสุขภาพ น่าจะเติบโตได้อีกไกล …เทคโนโลยีการแพทย์เราค่อนข้างดี ราคาไม่แพง …มันเป็นโอกาสของสังคมที่เข้าสู่ผู้สูงอายุ 


10. ‘ตลาดหุ้นเราแข็งแรง’ …เรามีนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากจนประเทศอย่าง สิงคโปร์ยังอิจฉาเราในด้านนี้ …รายย่อยเป็นหัวใจของตลาดทุน 



ที่หลายๆ คนมองเห็นแต่ข้อเสีย แต่จริงๆ เรามีข้อดีมากมาย ที่ผมเชื่อว่า เศรษฐกิจรวมทั้งตลาดหุ้นไทย จะเติบโตไปได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว 


‘ใช่!! หุ้นไทย ไปได้อีกเยอะ’ …ฟันธง !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2565

3 สมการทางการเงินที่โรงเรียนไม่ได้สอน


 3 สมการ การเงินที่เราควรเข้าใจ


Income = ค่าจ้าง (รายได้ที่ใช้แรงงานและเวลาเข้าแลก)


Royalty = รายได้จากสินทรัพย์ (ก็คือรายได้ที่เกิดจากสินทรัพย์ที่เราครองครอง เช่น ปันผล , ค่าเช่า ..รายได้นี้เกิดขึ้น โดยที่เราไม่ต้องทำงานก็ยังได้)


Expense = รายจ่าย (เกิดขึ้นเมื่อเราซื้อของ ใช้จ่าย)


Liability = ภาระค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง (รายจ่ายที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากการที่เราไปสร้างหนี้ …รายจ่ายนี้เกิดขึ้นสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง) 


1. ‘สมการหาเช้ากินค่ำ’ …Income มาก็จ่าย Expense แต่ไม่พอกิน …อันนี้ทำไปก็ไม่มีทางรอด จนลงเรื่อยๆ 


2. ‘สมการคนชั้นกลาง’ …Income มา ใช้จ่ายแล้วไปสร้างหนี้ เกิด Liability เป็นค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง …อันนี้ชีวิตเหนื่อย เพราะ ค่าใช้จ่ายมีทั้ง Expense และ Liability เข้ามารัวๆ ต่อเนื่อง …แต่มีแค่ Income ที่ต้องอาศัยตัวเองเท่านั้น …แบบนี้ชีวิตพอไปได้ แต่ไม่รวย ไม่มีเงินเก็บ พอแก่ตัวจะยิ่งเหนื่อย เพราะ Income มีแต่ลดลง


3. ‘สมการคนรวย’ …Income มา เอาไปซื้อ สินทรัพย์ ..แล้วได้ Royalty เป็นรายได้เข้ามาช่วย …พอเวลาผ่านไป สินทรัพย์ราคาขึ้น ..Royalty ค่อยๆ เพิ่มขึ้น …อันนี้รวยในระยะยาว 


แค่นี้แหละ 3 สมการ ….ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่เราทำให้มันยากเท่านั้นเอง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

10 ข้อควรรู้ ในการสร้างตัวด้วยหุ้น

 10 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับการสร้างตัวด้วยหุ้น


1. ‘ราคาหุ้นเป็นเรื่องของการเติบโต’ …นักลงทุนซื้อหุ้นเพื่อหวังการเติบโต …ถ้าหุ้นไม่โต ก็ไม่มีใครให้ราคา ไม้ว่าพื้นฐานจะแข็งแกร่งก็ตาม


2. ’หุ้นอัตรากำไรสูงมีโอกาสรวยง่ายกว่า’ …โดยมากหุ้นที่อัตรากำไรสูง แปลได้ว่า ธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูง ..ลูกค้าถึงต้องยอมจ่ายแพงกว่าคู่แข่ง เช่น มีแบรนด์ มีสินค้าที่เหนือกว่า มีบริการที่สุดยอดกว่า …


3. ‘ยอดขายเป็นสิ่งที่แต่งยากกว่ากำไร’ …ยอดขายคือ Market Size ก็คือ ขนาดของตลาดที่ธุรกิจนั้นๆ อยู่ …บางครั้งหุ้นเล็กที่กำไรสูงเกินไป ต้องระวังเรื่องการแต่งงบ …โดยเฉพาะเวลาที่นักลงทุนสนใจและซื้อขายหุ้นนั้นๆ อย่างร้อนแรง


4. ‘เล่นหุ้นใหญ่ต้องระวังนักลงทุน เล่นหุ้นเล็กต้องระวังเจ้าของ’ …หุ้นใหญ่ต้องอ่านนักลงทุนรายใหญ่ที่เล่นหุ้นนั้น เพราะหุ้นใหญ่สามารถใช้ Leverage ได้สูง ..ส่วนหุ้นเล็กคนที่ทำแบบนั้นได้ หลักๆ ก็คือเจ้าของ …ต้องพยายามอ่านเกมของเขาให้ออก


5. ‘Volume การซื้อขายมากเกินไป มักจะเป็นทุนที่อันตรายเสมอ ทั้งหุ้นเล็กและหุ้นใหญ่’ …Volume คือ จำนวนเงินจริงๆ ที่เปลี่ยนมือ …ช่วงที่จะมีคนกำไรมากๆ หรือขาดทุนหนักๆ ก็คือช่วงที่ Volume มหาศาลนี่แหละ 


6. ‘ตลาดหุ้นมักไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็น’ …เวลาหุ้นดูดีมากเกินไป เป็นช่วงที่ต้องระวัง …เช่นกัน ช่วงที่หุ้นดูแย่จนเกินไป มันอาจจะไม่ได้แย่จริงๆ อย่างที่เราคิด


7. ‘การ All in เป็นสิ่งที่แทบไม่ควรทำในทุกกรณี’ …กับดักของคนที่เสียหายหนัก มักจะเกินจากความมั่นใจเกินไป


8. ‘การเพิ่มความเสี่ยงไม่ควรทำเมื่อเราผิดทาง’ …ใช่!! การเพิ่มความเสี่ยงทำได้ ถ้าเราถูกทาง หรือกำไรมาพอสมควร …แต่การถัวหุ้นที่พลาด มักทำให้เราเสียหายหนักขึ้น จนสุดท้ายอาจจะไม่สามารถแก้ไขได้


9. ‘การลงทุนระยะยาว Bottom up สำคัญกว่า Top Down’ …เศรษฐกิจในภาพใหญ่สำคัญ แต่พื้นฐานของธุรกิจสำคัญที่สุด


10. ‘การหาแนวทางที่เหมาะกับเรา เป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด’ …การลงทุนมีแนวทางที่หลากหลาย แต่เราจะประสบความสำเร็จ จากแนวทางที่เหมาะกับเราเท่านั้น …การจะรู้ว่า นี่คือแนวทางที่ใช่ ต้องค่อยๆ ดูจากผลลัพธ์ที่เราทำได้อย่างสม่ำเสมอ 


‘ทำแล้วใช่ กำไรดี ค่อยเป็นค่อยไป’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

10 ข้อสังเกต เมื่อเศรษฐกิจแย่ และเงินเฟ้อสูงเกิดขึ้นพร้อมกัน

 10 ข้อสังเกต ‘เมื่อเศรษฐกิจแย่ และ เงินเฟ้อสูง เกิดขึ้นพร้อมกัน’ (Stagflation)


..ปกติเศรษฐกิจแย่ มักจะเงินฝืด ก็ใช้การ ‘ลดดอกเบี้ย’ ก็กระตุ้นการกู้ของคน เศรษฐกิจก็จะดีขึ้น 


ส่วนเวลา ‘เงินเฟ้อสูง เศรษฐกิจเฟื่องฟู’ ก็เลยต้อง ‘ขึ้นดอกเบี้ย’ เพื่อหยุดเงินเฟ้อ


…แต่วันนี้ ‘เงินเฟ้อสูง แต่เศรษฐกิจเปราะบาง (คนส่วนใหญ่แย่ กู้เยอะ)’ …การขึ้นดอกเบี้ย ก็ทำให้เศรษฐกิจยิ่งแย่ แถมเงินเฟ้อก็ยังสูงอยู่ 


‘แล้วไงต่อล่ะ ?’ 


1. ‘การขึ้นดอกเบี้ย จะทำ Bubble เริ่มแตก’ …สินทรัพย์ไหนที่ Bubble ที่สุดจะเริ่มโดนก่อน เช่น คริปโต , หุ้นเทค , …ลามมาเรื่อยๆ 


2. ‘เศรษฐกิจจะเข้าสู่ Recession เป็นระยะ’ …พอดอกเบี้ยแพง คนจะลดหนี้ลง …จุดนี้เปราะบางมาก ถ้าดอกเบี้ยขึ้นเร็วเกิน อาจเกิด วิกฤตเศรษฐกิจเป็นช่วงๆ ซึ่งจริงๆ เป็น จังหวะในการเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ดี


3. ‘การเก็งกำไรจะอยู่ในวงจำกัด’ …การขึ้นของตลาดในภาพใหญ่ จะเริ่มเกิดยาก …เช่น หุ้นจะไม่ขึ้นทั้งตลาดพร้อมกันแบบก่อนหน้านี้ ทำให้การลงทุนในหุ้นต้องอาศัยการคัดหุ้นที่เล่นกันในวงจำกัด (Select Play)


4. ‘ธุรกิจต้นน้ำ จะดีกว่าธุรกิจปลายน้ำ’ …อันนี้มันสลับกับช่วงที่เศรษฐกิจดี ธุรกิจปลายน้ำที่ใกล้ลูกค้าจะขายดี โตเร็ว …แต่วันนี้ตรงข้าม ธุรกิจที่อยู่ต้นน้ำจะได้เปรียบกว่า


5. ‘ธุรกิจที่จับตลาดบน จะดีกว่าธุรกิจที่จับตลาด Mass’ …อย่างที่รู้กัน ภาวะแบบนี้ คนที่กระทบน้อยสุดคือ คนรวย …ธุรกิจที่จับตลาดบน จึงดีกว่าในภาวะแบบนี้


6. ‘ธุรกิจปล่อยกู้เพื่อทำธุรกิจ จะดีกว่าปล่อยกู้เพื่อใช้จ่าย’ …ก็เมื่อคนลดการใช้จ่าย แต่ยังต้องทำมาหากิน ..คนปล่อยกู้เพื่อใช้จ่ายก็จะได้รับผลกระทบหนักกว่า


7. ‘ธุรกิจเก็บหนี้เพื่อธุรกิจ ก็จะดีกว่าเก็บหนี้เพื่อใช้จ่าย’ …หนี้เสียจะเพิ่มขึ้นเมื่อดอกเบี้ยขึ้น …หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ก็จะหนักสุดนั่นเอง


8. ‘ธุรกิจยักษ์ใหญ่กระทบน้อย แต่โตยาก’ …ใช่!! ไม่ตาย แต่ก็ไม่โต ในการลงทุนก็คือภาวะ Sideway …ช่วงนี้จึงเป็นช่วงการลงทุนใหม่ และ ลดต้นทุนของธุรกิจใหญ่ ในเวลาเดียวกัน ….รอบใหญ่จึงต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควร


9. ‘เงินสดเหมือนจะดี แต่ในระยะยาวซวยที่สุด’ …ในภาวะแบบนี้ การถือเงินสดเหมือนจะสบายใจที่สุด …แต่ถ้าไม่หาจังหวะทยอยลงทุน สุดท้ายเงินสดจะด้อยค่าสุด (ตลาดจะปรับฐานเรื่อยๆ ให้เรามีโอกาสสะสมหุ้นดี) 


10. ‘การบริหารสภาพคล่อง คือหัวใจของการผ่านวิกฤตในครั้งนี้’ …ผมเชื่อว่า วิกฤตครั้งนี้ไม่ใช่วิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่แบบที่เพิ่งเกิดในปี 2020 หรือ 2008 …แต่จะเป็นวิกฤตย่อยๆ ที่ซัดเข้ามาเรื่อยๆ ระหว่างการขึ้นของตลาดหุ้นในรอบนี้ 


…ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่คำทำนายอะไร เพียงแต่เป็นข้อสังเกตที่อาจจะเกิดหรือไม่เกิดก็ได้ …ในฐานะนักลงทุนคนนึง ผมเชื่อว่า การเปิดใจเรียนรู้และปรับตัว จะทำให้เราผ่านไปได้ แล้วก็รวยขึ้น เหมือน Stagflation ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว …ไม่ได้มีอะไรใหม่ 🤔


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 ระดับความกลัว กับหุ้นน่าซื้อในตลาด

 5 ระดับความกลัว กับหุ้นที่น่าซื้อ ในตลาดหุ้น


1. ‘เริ่มกลัว แต่ยังทนได้’ …อันนี้การแกว่งของขาขึ้นปกติ ซึ่งแกว่งในระดับ 10-15 % …สิวๆ ใครๆ ก็ทนได้ …ซื้อเพิ่มก็ไปต่อ …เริ่มสร้างนิสัยการถัวหุ้น


2. ‘กลัวแต่ถัวเพิ่ม’ …อันนี้คือภาวะอารมณ์ค้างในขาขึ้น …แต่หารู้ไม่ว่า Volume มัน Peak ไปแล้ว …จากนี้เตรียมรับ ‘การปรับฐาน’ ลง !! …’ยิ่งรับ ยิ่งจุก’


3. ‘กลัวมาก ไม่เอาแล้ว’ …แปลว่า หุ้นเข้าสู่การปรับฐาน 30-50% (หุ้นใหญ่ลงแถวๆ 30% ..หุ้นเล็กลงแถวๆ 50%) …หลายๆ คน ตัดสินใน Cut Loss ในจุดนี้ …ซึ่งหลายๆ ครั้งจุดนี้ ก็คือ จุดกลับตัว !!


4. ‘เริ่มไม่กลัวแล้ว อยากซื้อเพิ่ม’ …หุ้นกระชากขึ้นแรงจากการปรับฐาน …มีน้อยตัวที่สามารถกลับไปทำ New High (ส่วนใหญ่ เด้งขึ้นเพื่อลงต่อลึกขึ้น) …บางทีเขาเรียกอาการ ‘ศพกระตุก’


5. ‘กลัวจนสิ้นหวัง’ …หุ้นลงเฉลี่ย 70% (หุ้นเล็กเฉลี่ย ลึกกว่านั้น) …Volume หาย ข่าวร้ายท่วมตลาด …ขาดทุนลึกสุดใจ …ข้อสังเกตว่าตลาดอยู่ในจุดนี้ คือ ‘เราไม่มีเงินสดเหลือแล้ว ส่วนพอร์ตหุ้นก็ขาดทุนหนัก’ 


อ้าว!! ‘ไม่มีเงินเหลือจะซื้อยังไงล่ะ ?’ 


‘ก็บางคนเขามีเงินเหลือไง ซึ่งไม่ใช่เรา …พอผ่านจุดนี้ เราต้องทำยังไงก็ได้ ให้ครั้งต่อไปที่เกิดแบบนี้แล้วเราเป็นคนที่ได้ซื้อ’


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

พี่เคยผิดพลาดในตลาดหุ้นไหม

 ‘พี่เคยผิดพลาดในตลาดหุ้นไหม ?’ 


ตลก!! …พูดไม่อายเลย คือ ผิดมาทุกรูปแบบ


‘อ้าว!! แล้วทำไมพี่ไม่เจ๊งอ่ะ …ผิดก็ต้องเจ๊งดิพี่’ 


…นี่แหละเสน่ห์ของตลาดหุ้น คือ ‘ผิดได้ แต่ต้องรวย’


ยังไง ?


1. ‘ผิดเพราะศรัทธา’(คิดว่าคนนั้นเทพ) ..ซื้อตามคนที่เราคิดว่าเก่งกว่า …ไม่ได้ศึกษาหุ้นนั้นดีพอ ก็โดน …แบบนี้จะโดนหนัก เพราะศรัทธาทำให้กล้าแบบไร้สติ ใส่เยอะ เจ็บผนัก


2. ‘ผิดเพราะคิดว่าตัวเองเก่ง’ …เวลากำไรติดต่อกันเยอะๆ จะเริ่ม Self …จากนั้นเราจะเริ่มซื้อหุ้นซี้ซั้ว …ต้องระวังอีโกตัวเองให้ดี …อีโก้เพิ่มแค่ไหน เงินในกระเป๋ามันจะลดลงเท่านั้น


3. ‘ผิดเพราะคิดว่าหุ้นถูก’ …หุ้นดูดี P/E ต่ำ ..แต่กลายเป็นหุ้นถูกแล้วก็ลงถูกลงไปอีก …อ๋อ!! มันคือหุ้น วัฏจักร รายได้มันเป็นรอบ …มือใหม่สายพื้นฐาน ถ้าไม่ระวังจะเสียหายแบบนี้ 


4. ‘ผิดเพราะคิดว่างบดีเกินจริง …งบโตตลอด โตจนเหลือเชื่อ ยอดขายโต แถมกำไรโต และ อัตรากำไรสุทธิก็โตกระโดดอีก …อะไรวะ ? ปกติยอดขายขึ้น อัตรากำไรมันไม่น่าขึ้นมากกว่า …ก็นั่นแหละ สุดท้ายเจอว่า ‘ผู้บริหารแต่งงบ’ …ซวยดิครับ 


5. ‘ผิดเพราะซื้อตามมวลชน’ …ก็หุ้นมันต้องมี ใครๆ ก็ว่าดี อันนี้แหละ โคตรกับดัก …อะไรก็ตามที่คนส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่าดี ให้ระวังให้มาก เพราะ ส่วนใหญ่มันไม่ดี 


เออ..ถ้างั้นก็ประมาณว่า 

‘ต้องไม่ตามมวลชน ต้องไม่เชื่อเซียน ต้องไม่อีโก้จัด ..ซื้อหุ้นต้องกล้าๆ กลัวๆ หวาดระแวง …อะไรประมาณนั้นป่ะพี่ ?’ 


ใช่!! ถูกทางละ …555


‘แล้วมันจะรวยเหรอครับพี่ ?’ 


‘รวยดิ …ตลาดหุ้นแค่ไม่เจ๊งก็รวยแล้ว ..หลักๆ คือ ยืนระยะให้ได้และอยู่ให้รอด ..ที่เหลือตลาดจะทำให้เรารวยเอง’


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2565

5 เรื่องควรรู้ ในการเดินทางสู่ฝันของตัวเอง

 ‘อย่าใช้ชีวิตเพื่อความฝันของของอื่น’ 


เป็นคำพูดที่ทรงพลัง ที่กล่าวโดย Steve Jobs ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ …บอกตรงๆ ผมได้ฟังคำพูดนั้นแล้วไม่เข้าใจ …อะไรวะ ‘ความฝันคนอื่น’ แล้วไง ?


แต่พอมาคิดทบทวนลึกๆ ถึงจะเข้าใจว่า 


1. ‘เราทุกคนล้วนมีเวลาที่จำกัด’ …ก็ใช่ไง ทุกคนมีเวลาเท่าๆ กัน …มนุษย์ทุกคนเกิดมาก็อยู่ไม่เกิน 100 ปี แล้วก็ตาย แล้วไงล่ะ ?


2. ‘ความฝันของคนอื่น’ …เวลาเราไปทำงานให้ใคร จริงๆ ก็คือ เราไปช่วยให้ฝันของคนนั้นเป็นจริง ซึ่งเขาก็ให้เงินเรา ไม่ได้ทำฟรีๆ …การทำงานให้คนอื่นมันก็มีข้อดีหลายอย่าง เช่น มันเสี่ยงต่ำ เพราะนายจ้างเขาแบกรับความเสี่ยงหลักๆ ไปหมด เราได้ค่าจ้าง …แต่เวลาชนะ คนที่แบกรับความเสี่ยงมักจะได้ผลกำไรแทบทั้งหมด (เราอยากจะรู้ว่า ตกลงความเสี่ยง เทียบกับ ผลตอบแทน มันคุ้มไหม ?)


3. ‘ความฝันของเรา’ …ทุกคนมีความฝัน ..แต่ความฝันมันชัดมากตอนเด็กๆ จากนั้นมันก็จะจางลงเรื่อยๆ เมื่อความฝันเรามาเจอกับความจริง เช่น เราไม่มีทุน บ้านเราไม่ได้รวย , เรามีภาระ , เราเสี่ยงไม่ได้ , เราล้มไม่ได้ …สรุป ฝันเรามันถูกความจริงเข้ามาดับแทบมอด


4. ‘การสร้างสมดุลย์ระหว่าง ฝันของเรา กับ ความจริง’ …ตรงนี้แหละ ที่โลกปัจจุบันเปิดโอกาสให้เราแบ่งเวลาและทรัพยากรบางส่วน เพื่อให้เราสามารถทดลองความฝัน 


ผมเห็นคนรุ่นใหม่จำนวนมาก ที่พยายามทำทั้ง ‘งานประจำ’ ควบคู่กับ ‘งานที่เราใฝ่ฝัน’ 


อย่างผมเอง งานประจำคือ ‘งานที่ปรึกษาการลงทุน’ ส่วนงานในฝัน คือ ‘นักลงทุน ที่ใช้เงินส่วนตัวลงทุนเอง’ 


การสร้างสมดุลย์นี่แหละ ที่ผมว่ามันเป็นศิลปะของการ ‘ตามฝัน’ …นั่นก็แปลว่า งานจริงๆ ต้องไม่เสีย และ ก็ต้องแบ่งเวลามาเติมเต็มความฝัน (ซึ่งบางคนอาจจะเป็น การขายของ การเริ่มธุรกิจ อะไรก็ว่าไป) 


5. ‘ความมุ่งมั่น และอดทนที่มากเพียงพอ’ …เอาตรงๆ ข้อ 5 นี่แหละโคตรยาก …สุดท้ายเราจะรู้ว่าอะไรมันใช่ ก็เมื่อเราอดทนทำได้นานเพียงพอ และ ผ่านวิกฤต ซึ่งวิกฤตนี่แหละ ที่มันเป็นการสอบไล่ จริงๆ ในโลกความจริง


ถ้าผ่านวิกฤตแล้วเรายังทำได้ ยังมุ่งมั่น นั่นแหละ ‘ถูกทาง’ 


…’ยากชิบหายเลยพี่ ?’ 


…เออ !! ถ้าง่ายมันก็ไม่เรียกว่า ‘บททดสอบ’ …มันต้องยาก …ต้องท้อจัดๆ …ต้องน้ำตาไหล …พอผ่านได้ ความสำเร็จจึงเป็นความหอมหวน ชวนหลงใหลนั่นเอง 


เขียนมายืดยาว แค่จะบอกว่า ทุกคนล้วนต้องผ่านบททดสอบในแบบฉบับของตัวเอง ไม่เหมือนกัน ….การเดินทางทั้งหมด ก็คือทั้งชีวิตของเรา 


ใช่!! ‘เราทำตามฝันคนอื่นไม่ใช่เรื่องผิด มันเป็นด่านแรกที่เราต้องผ่าน พร้อมๆ กับการเริ่มทำตามฝันของตัวเองไปพร้อมๆ กัน’


…แต่ระวัง หัวหน้าเดินมาหาเราแล้วบอกว่า ‘พี่ว่าเอ๊งเก่งทุกเรื่องเลย ยกเว้นงานในหน้าที่นะ’ 


…อ้าว!! ซวยละกรู 🤣


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 ข้อ ออมหุ้นให้เกษียณสบายเขาทำได้ยังไงกัน

 ‘ออมหุ้น ให้เกษียณสบาย ทำไมทำได้จริง !!’


คุยเรื่องการวางแผน Life Design ก็มีคนอยากให้ขยายความในเรื่องของ ออมหุ้นให้เกษียณมันคือทำยังไง ..มาดูกัน


1. ‘เริ่มจากเงินน้อย ง่ายกว่าเงินก้อน’ …หลายคนรอจนเก็บเงินได้ก้อนใหญ่ก่อนซึ่งเอาตรงๆ กว่าจะเก็บเงินจนเป็นก้อนใหญ่มันยาก สุดท้ายใช้หมดก่อน 


(บางคนรอจนได้เงินเกษียณ พอมาลงก็เสียหนัก เพราะไม่เคยฝึกฝน ถึงเงินจะเยอะแค่ไหน พอเริ่มเข้าตลาดก็เป็นมือใหม่ ซึ่งโอกาสเสียหายของมือใหม่คือประมาณ 50% …ดังนั้น ถ้าเริ่มเงินน้อย มันก็เสียน้อยกว่า แล้วกลับมาทำต่อได้ง่ายกว่า)


การเริ่มออมหุ้นจากก้อนเล็ก เหมือนการออกกำลังกาย เช่น เริ่มจากวิ่งน้อยๆ แล้วค่อยๆ เพิ่ม จนสุดท้าย วิ่งได้เป็นกิจวัตร ทำสม่ำเสมอจน สุขภาพดี หุ่นดี …พอร์ตออมหุ้นก็คล้ายๆ กัน ต้องเริ่มจากสร้างกิจวัตรในการเริ่มซื้อสะสม แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น


2. ‘ทำให้ถึงจุดโชคดีในการออมหุ้น’ …ความโชคดีในการออมหุ้นมันมีอยู่จริง แต่มันจะเกิดกับคนที่ออมอย่างสม่ำเสมอ นานพอ จนมี Big Shot !!


(เหรียญมี 2 ด้านเสมอ ..เวลาที่เราขาดทุนหนัก มันมีคนอีกด้านที่กำไรเยอะเช่นกัน …คนที่อดทนออมหุ้นนานพอ ก็จะเจอกับอีกด้านที่เราอาจไม่เคยเจอในที่สุด ‘กำไรเยอะ’)


การออมหุ้นเป็นการซื้อสะสมไปเรื่อยๆ ทุกเดือน …คนที่ไม่มีประสบการณ์ในตลาดก็ให้เริ่มจาก กองทุนพวก ETF , DR …ส่วนคนที่เริ่มมีประสบการณ์ก็ค่อยขยับมาออมรายตัวเพิ่มขึ้น 


3. ‘เป้าหมายไม่ใช่กำไร แต่คือการสะสมจำนวนหุ้นดี’ …คนที่เข้าตลาดใหม่จะสนใจแค่ กำไรขาดทุนจากการซื้อขาย ซึ่งก็ไม่ผิด แต่จุดสำคัญที่ทำให้วิธีการออมหุ้นเติบโต มันไม่ได้อยู่ที่การหากำไรไปวันๆ แต่คือ การสะสมจำนวนหุ้น 


เพราะ ความมั่งคั่ง ในระยะยาว คือ ‘จำนวนหุ้น x ราคาหุ้นในอนาคต’ …คิดง่ายๆ เหมือนที่ดิน …ถ้าเราสะสมซื้อที่ดินไปเรื่อยๆ …ความรวยจริงๆ ก็คือ ‘ขนาดของที่ดิน x ราคาที่ดินในอนาคต’ 


4. ‘ปันผลเป็นของแถม’ …จะบอกว่า ปันผล คือ ของแถมที่ดีที่สุดในการออมหุ้น …ที่ทำให้ชีวิตมีอิสรภาพทางการเงิน 


5. ‘เวลาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของคนออมหุ้น’ …เคล็ดลับของเวลาคือ สร้างดอกเบี้ยทบต้นในการลงทุน …ที่เราเห็นคนมีพอร์ตหุ้นโตเป็นสิบ เป็นร้อยเท่าของเงินเริ่มต้น มันเกิดจาก ‘เวลา x ผลตอบแทน’ 


คิดง่ายๆ ถ้าเราแค่ ซื้อๆขายๆ มันก็จะได้แค่กำไร …แต่กำไรจะไม่ทบต้นทบดอก (จะไม่โตก้าวกระโดดแบบคนที่ทนถือยาว)


…จุดที่ต้องระวัง คือ ‘การเปรียบเทียบ’ …หลายๆ คนหยุดออมหุ้น เพราะ ไปเทียบผลตอบแทนกับคนเทรด ..แน่นอน การเทรดในระยะสั้น มันได้เงินเร็วกว่า ก็เลยทำให้หลายๆ คนเลิกออม แล้วสุดท้ายก็ต้องเทรดไปตลอด ไม่สามารถหยุดได้ 


เหมือนที่คนชอบพูดกันว่า ‘ทำงานแลกเงิน’ กับ ‘ให้เงินทำงาน’ ก็พูดกันเยอะ แต่เวลาทำจริง มันยากกว่า …มันต้องผ่านบททดสอบ 5 ข้อที่ว่ามา แถมเราเองก็จะสงสัยเรื่อยๆ ว่า สุดท้ายแบบไหนเหมาะกับเรา 


เอาตรงๆ นะ ‘เราทุกคนควรทดลองทั้ง 2 แบบ แล้วเทียบกันในระยะยาว สุดท้ายแบบไหนเราทำได้ดีกว่า ก็คือ นั่นแหละ เหมาะกับเรา’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ