แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เอาหุ้น"ประเภทสอง" มาให้ดู (ไม่ใช่สาวประเภทสองนะฮ้า!!)



(กราฟนี้ไม่ได้หมายความว่าหุ้นตัวนี้จะไม่ไปต่อ เพราะมันไปต่อแน่ !!..แต่ที่แน่ๆ คือ "เจ้ามือ" หรือ "คุณ"จะได้กำไรต่างหากครับ อิ อิ)

---นี่เป็นบทความขยายจากเมื่อวานละกัน!! ..หุ้นประเภทสองที่ผมยกมาก็คือ "หุ้นกลุ่มขวัญใจนักปั่นมีวินัย"
ช่วงที่ตลาดขึ้น หุ้นพวกแบบนี้จะวิ่งค่อนข้างดีมากๆ เพราะโดยลักษณะมันเป็นหุ้นที่มี Market Cap. ไม่ใหญ่ดังนั้น ไม่ต้องใช้เงินมากในการปั่น

การสร้าง story ก็ไม่ใช่เรื่องยาก "คุณแค่ผูกกับอะไร ให้ฟังดู Make Senseหน่อย ..คนก็เชื่อแล้ว" (กิจการที่ Book Value ลดต่ำลงเรื่อยๆ ผมมองว่า กิจการมันมีปัญหา (แต่อย่างบางกรณีก็มีข้อยกเว้น แต่ส่วนใหญ่จะห่วย.. ว่างั้น!!)

แล้วถ้ากิจการไหนปกติ ปันผลแย่ๆ ...แต่อยู่ดีๆก็มาจ่ายดี "อันนี้อาจเข้าข่าย กลุ่มเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ปั่นเอง ..แต่ก็ไม่ใช่เสมอไป(เอาเป็นข้อสังเกตละกันครับ)"

กิจการถ้าโดยปกติ Volume การซื้อขายไม่มาก แล้วอยู่ก็มี Volume กระโดดขึ้นมา -- "คุณต้องเข้าใจอย่างนึงว่า การที่ Volume กระโดดขึ้นมาแสดงว่า มันต้องมีคนขาย..(ผมถามหน่อยคุณคิดว่าใคร !!)..เขาเป็นทีมนักปั่นวงในรึเปล่า เอ๋!! น่าสงสัยมาก อิ อิ"

หุ้นแบบนี้ ถึงมีสัญญาณทาง Technical ว่ามันขึ้นอย่างชัดเจน ..ถามหน่อยคนปั่นเขาทำเพื่ออะไร "แน่นอนเขาไม่ได้ ตั้งใจจะปั่นให้คุณได้กำไร ต้องรำลึกเสมอนะครับว่า No free Lunch!!..."ในตลาดไม่มีใครทำเงินตกให้คุณเก็บ โดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจหรอก ..คุณต้องเข้าใจประเด็นนี้ให้ชัดก่อนที่คุณจะเล่นหุ้นแบบนี้"

ส่วนใครที่เล่นหุ้น เพราะมีเพื่อนมาแนะนำว่า "หุ้นนี้หุ้น Hot!!" (ผมว่าคุณเอาเงินก้อนนั้นมาให้ผมดีกว่า อิ อิ ..เพราะท้ายสุดคุณเสียอยู่ดีแหละ) ..(หุ้นHot!! ชื่อ ก็บอกอยู่แล้วว่า "ร้อน" จะเล่นก็ระวัง "มันลวก" ..ต้องดูให้ดี) ..หลายคนชื่อหุ้น Hot แล้วดันไปซื้อหนังสือ Warren Buffet อ่าน ..พอเห็นหุ้นตัวเองราคาขึ้นไปเรื่อยๆ ก็นึกว่า "อ้า!!คราวนี้ตูจะเป็น Value Investorแล้ว" --(จะบ้าหรือ!!)

กรณีการติดหุ้นมันไม่มีอะไรซับซ้อนเลย "อย่างแรกเจ้ามือก็ปล่อยให้คุณได้ก่อน ..พอคุณได้ คุณก็นึกว่ามันดีจริงๆ คราวนี้พอคุณมั่นใจเขาก็"ซัดคุณล่ะ" ..หุ้นปั่น เจ้ามือเขามีต้นทุนต่ำมาก (ก่อนเล่นหุ้นตัวใด ขอให้คุณย้อนดูราคาสักนิดก่อน อย่าลงมั่ว!!) ...เพราะเวลาเจ้ามือเขาทิ้ง "เขาปล่อยทุกราคา" ..."ส่วนแมลงเม่า ก็นึกว่า (อ้า!!ราคาหย่อนลงมา คิดว่าเนื้ออันโอชะ) "ช้อนมันเต็มที่ ..ยิ่งช้อนราคามันก็ยิ่งลง --สรุปช้อนหัก!!"

นี่แหละเรื่องราวของ "สัจธรรมแห่งความโลภ" ดังนั้น ต้องระวัง ..(เอาเป็นว่าหุ้นแบบนี้เล่นได้ ไม่ได้ห้าม แต่มีกฏอยู่ข้อนึงที่คุณจะต้องจำไว้ คือ ถ้าคุณกำไรขายไปแล้ว ---"คุณห้ามกลับมาซื้อตัวนั้นอีก" )

เพราะวันใดที่คุณแหกกฏ----"คุณก็แหกโค้งไง (ตาย!!)..อิ อิ"

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ตลาดขึ้นอย่าเมาหมัด "จัด Port ให้ถูก"



บทความนี้เขียนขึ้นมาเตือนสติคนเมาหมัดเลยครับ ..ช่วงนี้มีคนถามผมเยอะมาก ว่าจะขายหรือไม่ขาย ซื้อหรือไม่ "เอาอย่างนี้ผมขออธิบายชัดๆ" คือ อย่างแรกคุณต้องเข้าใจหุ้น กลุ่มที่คุณถืออยู่ก่อนว่าอยู่ใน Category ไหน

เริ่มจากแบ่ง Category จะมีคร่าวๆดังนี้

1. "หุ้นกลุ่มลูกเป็ดขี้เหร่" (กลุ่มนี้ของพวกเล่นยาวๆ ..ผมนี่แหละซื้อหุ้นแบบนี้ อิ อิ) คือ เป็นหุ้นที่พื้นฐานดี ปันผลดี เป็นหุ้นใหญ่ แต่ถ้าเทียบกับตลาดขาขึ้นในตอนนี้ สู้ไม่ได้ ผมให้ชื่อมันว่า "กลุ่มลูกเป็ดขี้เหร่" แต่ข้อดีของกลุ่มนี้ คือ มันสามารถต้านทานตลาดตกต่ำได้ เพราะถ้าเกิดตลาดไม่ได้ดีอย่างที่ทุกคนคาดกัน หุ้นพวกนี้ก็จะตกตาม แต่จุดดี คือ หุ้นยังคงได้ปันผลสม่ำเสมอ ซึ่งยังไงก็ดีกว่าฝากเอาไว้ในธนาคาร(ซึ่งจุดนั้นคุณไม่ได้อะไรเลย แถมโดน Inflation กัดกินให้มูลค่าลดลงทุกปี ในอัตราเร่ง)

2. "หุ้นกลุ่มขวัญใจนักปั่นมีวินัย" (กลุ่มนี้เป็นหุ้นที่กำลังคึกคัด กำไรกันอู่ฟู่ในขณะนี้..ผมก็เล่นกลุ่มนี้บ้างเล็กน้อยของ Port) คือ เป็นหุ้นเล็กที่พื้นฐานดี (ตั้งแต่ปี 97 ราคาหุ้นยังไม่เคยลืมตาอ้าปากอีกเลย แต่เนื่องจากกิจการได้ปรับตัวให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถเปลี่ยนตัวเองกลับมาเป็นกิจการที่ดี จากนั้นก็ปันผลสม่ำเสมอ (สังเกตได้จากให้ Dividend Yield ที่ดี แต่ P/BV ค่อนข้างต่ำ) แต่โดยปกติหุ้นพวกนี้จะไม่ค่อยมีสภาพคล่อง ..สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้มีคนกลุ่มนึง เราให้ชื่อว่า "นักปั่นมีวินัย" กระโดดเข้าในตลาด (ซึ่งคนกลุ่มนี้ อาจจะเกี่ยวข้องทางใดทางหนึ่ง ต่อกิจการนั้นๆ หรือไม่ อันนี้ยังเป็นข้อกังขา เพราะเดิมหุ้นไม่มีสภาพคล่อง แต่ถ้าตอนนี้มี มันแสดงถึงจุดเชื่อมโยงต่อผู้ถือหุ้นใหญ่ของกิจการในทางใดทางหนึ่ง "ขาใหญ่อย่ามาเตะผมล่ะ ผมแค่ให้ความรู้ครับ อิ อิ") --- หุ้นพวกนี้ ตอนนี้ก็จะวิ่งขึ้นมาค่อนข้างแรง กำไรกันอู่ฟู่ แต่หลังจากวิ่งขึ้นมาแล้วก็จะสังเกตเห็นได้ว่า ตอนนี้หุ้นเหล่านี้กลับมามีสภาพคล่องที่ดีขึ้น (ส่วน Dividend Yield กับ P/BV จะแย่ลง) .."วิธีการสังเกตหุ้นเหล่านี้คือ คุณย้อนไปดู History ของการซื้อขาย ว่าถ้าในอดีตไร้สภาพคล่อง แต่ตอนนี้มันบูม ..คุณเดาได้เลยว่าหุ้นนั้น เป็นหนึ่งใน Category นี้ครับ

3. "หุ้นบ้า" (กลุ่มนี้เป็นหุ้นไร้พื้นฐาน บริษัทแย่ยังไง ก็แย่เหมือนเดิม ปันผลก็ไม่เคยมี ) ..แต่มีอย่างเดียวที่มี คือ "มีข่าวดี" (ซึ่งข่าวดี ที่ว่านี้) -- มันมักจะเป็นข่าวลวง ...ที่หนึ่ง อาจจะยังไม่เกิดขึ้น(หรืออาจจะไม่เกิดขึ้นเลย!!) สอง ข่าวนั้นยังไม่มีผลต่อกิจการ และสาม ข่าวนั้น ทำให้ราคาหุ้นขึ้นอย่างบ้าคลั้ง ผนวกกับ Volume ในการซื้อขายที่มีเข้ามาอย่างบ้าคลั่งพอๆกัน "หุ้นพวกนี้คุณเล่นแล้วรวยได้เพียงชั่วข้ามคืน ..แต่ก็มีโอกาสจนทันทีในค่ำคืนถัดมา อิ อิ

ณ วันนี้ตลาดวิ่งขึ้นมาแตะ 900 จุด นำโด่งมาด้วย อันดับหนึ่ง "หุ้นบ้า" อันดับสอง "หุ้นกลุ่มขวัญใจนักปั่นมีวินัย" และลั้งท้ายคือ ขึ้นมาเบาๆ แบบขี้เหร่ๆ (แต่ยังไงก็เท่ห์กว่าเงินฝากวะ) "หุ้นกลุ่มลูกเป็ดขี้เหร่" ...อ่าฮ้า!!

ดังนั้นก่อนคุณจะตัดสินใจทำอะไร ให้หุ้นเข้าใจก่อนว่าหุ้นที่คุณถืออยู่ หรือ กำลังจะซื้อ ว่ามันจัดอยู่ใน Category ใด .."เมื่อจัดได้แล้ว คุณก็จะเข้าใจเองว่า คุณควรจะทำอย่างไรเมื่อตลาดวิ่งมาถึงตรงนี้"

อย่าง "หุ้นบ้า" ถ้าคุณกำไรแล้ว คุณก็รีบโกยได้แล้ว ไม่ใช่อยู่ลอยจนติดดอย ..ส่วนหุ้น "หุ้นกลุ่มขวัญใจนักปั่นมีวินัย" ก็ให้พิจารณาเองว่า ถ้าขายตอนนี้แล้วพอใจในกำไรก็ขายไป แต่ถ้าคิดว่าอยากถือต่อ เพราะปันผลดี ไม่รู้จะเอาเงินมาทำอะไรเมื่อขายแล้ว ก็อยู่ลุ้นต่อไป ..ส่วนหุ้น "หุ้นกลุ่มลูกเป็ดขี้เหร่" ก็ควรถือรับปันผลต่อไป เพราะหุ้นคุณยังไม่ได้วิ่งเลย (ที่ตลาดขึ้นมาเที่ยวนี้มันไม่ใช่โอกาสของคุณเลย ..เพราะราคาที่วิ่งมาเพียงน้อยนิดในขณะนี้ ผมมองว่า "ขนาดใครอยากซื้อเพิ่ม ผมยังว่ามันไม่แพงเลย")

เอาเป็นว่าอย่า (งง) ...แบ่งกลุ่มให้ถูก แล้วคุณจะเข้าใจสิ่งที่คุณถือมากขึ้นครับ!!

เตรียมตัวให้พร้อมกับตลาดหุ้นในยุค Asian Miracle 2 (คนรวยจะจน แต่คนฉลาดจะรวย “New Rich”)



ตลาดหุ้น จะแบ่งออกเป็น ตลาด Bull & Bear Market
Bull Market ก็คือช่วงที่นักลงทุน มองว่าเศรษฐกิจดี และ โอกาสที่หุ้นจะขึ้นมีเยอะ ทำให้ทุกคนกระโดดเข้ามาซื้อหุ้นในตลาด

สิ่งที่น่าสังเกตคือ ตลาดหุ้น ในสภาพ Bull Market จะมีแรงดึงดูดเงินทุนได้อย่างไม่จำกัด (ถ้ามองให้ดี เวลาตลาด Bull มากๆ หุ้นจะวิ่งแรงเหนือกว่า Commodity ใดๆ (รวมถึงทองด้วย…ถ้าใครสังเกตให้ดีเวลาหุ้นขึ้นมากๆ ราคาทองจะขี้เหร่มากๆ) – และนี่ก็คือ พลังของ Bull Market
กลับมามองตลาดในปัจจุบัน ถ้าถามใคร ก็ไม่มีใครรู้หรอกครับว่า ตอนนี้เป็น Bull หรือยัง “สรุปเลยคนส่วนใหญ่ใช้ความรู้สึกในการตอบว่า ตลาดมัน Bull แค่ไหน (ซึ่งไร้สาระ)”

สิ่งที่ผมจะชี้ให้เห็นก็คือ การจะวัดว่า ตลาดเป็น Bull หรือ Bear .. “คุณต้องดูที่พื้นฐาน” (ประเด็นอยู่ที่ว่าคุณจะเอาพื้นฐานอะไรมาวิเคราะห์...และนั่นเป็นส่วนที่สำคัญมากๆ)

สำหรับผม ผมจะเอา ผลตอบแทนที่ “จับต้องได้” ในตลาดหุ้นมาเป็นตัวชี้วัด ..คือ ผมจะเอา Dividend (เงินปันผล) เทียบกับ ผลตอบแทนดอกเบี้ยเงินฝาก ..(ถ้าเงินปันผลชนะเงินฝากมากๆ ผมมองว่า ตลาดยังไม่ Bull มาก..อย่างปัจจุบัน (ปี 2010) เงินปันผล สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากมากๆ --- ซึ่งถ้าเราย้อนกลับไปช่วงที่ตลาดเรา Bull ในช่วงปี 1993 -1994 เงินปันผลในสมัยนั้น ไม่สามารถสู้กับเงินฝากได้เลย)

ดังนั้น ในสภาวะปัจจุบัน (ปี 2010) ตลาดหุ้นแม้จะขึ้นมา อย่างแรงตลอดปีที่ผ่านมา จาก SET 400จุดวิ่งมาจน 900 จุด (หลายคนอาจคิดว่า คุณได้ตกรถไฟไปเสียแล้ว ...จริงหรือ!!) --- (ไม่จริงเลย) เพราะในตลาด ยังมีหุ้นอีกมากมายที่ยังคง ให้ผลตอบแทนเงินปันผลที่สูงมาก (แสดงว่า ตลาดในขณะนี้ ยังแทบไม่ใช่ Bull Market เลย)

กลับมาที่ประเด็นของ “หลักการเพิ่มโอกาส” นั่นก็คือ คุณต้องมองเห็นโอกาส ในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้มอง นั่นเอง การที่คุณจะสามารถซื้อหุ้นในราคาที่ถูก ก็คือ ในช่วงที่ตลาด “ยังอยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอน” อย่างในปัจจุบันนั่นเอง

Bear Market คือ อะไร ..ตอบง่ายๆก็คือช่วงที่ไม่มีใครอยากถือหุ้น ซึ่งเราเพิ่งผ่านช่วงนั้นมาไม่นานนัก ช่วงที่ตลาด Bear มากที่สุด ก็ช่วงปลายปี 2008 ที่ตลาดตกต่ำ และ Volume หดหายอย่างรุนแรง

“จากวันนั้นถึงวันนี้ ตลาดวิ่งขึ้นมากว่า 100% คุณคิดอย่างไร”

จุดนี้ผมกลับมองว่า คนส่วนใหญ่จริงๆ ยังไม่ได้เข้าตลาดหุ้น แต่หากใครดูลึกๆจะรู้เลยว่า ช่วงที่เกิดวิกฤต Sub-prime รัฐบาลประเทศต่างๆ อัดฉีดเงินเข้าระบบ รวมทั้งกระตุ้น การลงทุนใน Mega project และก็แผนกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมหาศาล “ถามว่า เงินมันหายไปไหน” (ผมขอตอบเลยว่า เงินทุนบาททุกสตางค์ที่รัฐบาล “ยอมเป็นหนี้” กู้มาอัดใส่ไปในระบบเศรษฐกิจ ยังคงอยู่ทุกบาททุกสตางค์!!)

ประเด็นที่ผม concern อย่างมากก็คือ “เมื่อเศรษฐกิจมีความชัดเจนเมื่อไหร่ เงินที่(เรานึกว่ามันฝืด) จะไหลกลับเข้ามาใช้จ่ายอย่างบ้าคลั่ง ส่งผลให้บริษัทต่างๆ อู่ฟู่ ผลกำไรดี จากนั้นปันผลก็จะดีตามมา ..จุดนี้ถ้ามองให้ดี แสดงว่า ปันผลที่ดี ในราคาปัจจุบันของบริษัทต่างๆในตลาดหุ้น มีโอกาสที่จะปันผลดีขึ้นไปอีก ..และยิ่งดีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดึงดูดคนเข้าไปซื้อหุ้นมากขึ้นเท่านั้น ...

ไม่ใช่แต่นักลงทุนที่โดนดูดเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น ยังมีบริษัทต่างๆ (บริษัทดีๆ ที่เคยมองว่า ตลาดไทยไม่น่าระดมทุน) พวกนี้จะเริ่มเปลี่ยนใจ หันกลับมาทำ IPO ซึ่งจะเป็นการเพิ่มน้ำดี เข้าไปในตลาด เกิดการแข่งขันพัฒนาคุณภาพของกิจการ – โอเค ภาพนี้คืออะไร (ใช่ครับ มันคือ Asian Miracle 2 --- การกำเนิดของ Super Bull Market อีกครั้ง)

วันนี้เราอยู่ในช่วง ของการก่อตัวของ Super Bull Market !! ...ผมขอเตือนให้คนที่ยังไม่เคยศึกษาเรื่องการลงทุน ให้เริ่มศึกษาได้แล้ว แล้วก็ค่อยๆเข้ามาเรียนรู้ ไม่ใช่รอให้ตลาดดีขึ้น ดีขึ้นๆ แล้วในที่สุดคุณทนไม่ไหว “สรุปกว่าคุณจะเข้ามาซื้อ ก็ใกล้ยอดดอยแล้ว”

คุณจำต้มยำกุ้งคราวก่อน ได้ไหมครับ “คนส่วนใหญ่ เข้ามาเล่นหุ้นตอนไหน ..พวกนี้ผมบอกแล้ว “คุณอย่าขำ” เพราะคนส่วนใหญ่ที่เจ๊งจากตลาดหุ้นตอนต้มยำกุ้ง เพิ่งเข้ามาเล่นตอนใกล้ยอดดอย !! จากนั้นตลาดก็ Crash (แล้วเขาเหล่านั้นก็ติดดอยจากนั้นมา)

ผ่านไป 16 ปี ตลาดยังไม่เคย คึกคักเหมือนกับเวลานั้นอีกเลย “แต่คุณรู้ไหมว่า History repeat itself!!” ในที่สุด Bull Market ของจริงก็จะกลับมา (อีกไม่เกิน 3 ปี คุณได้เห็น Asian Miracle 2 อย่างแน่นอน ..แล้วมาดูกันว่า เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว คนส่วนใหญ่จะทำอย่างไร)

บทความนี้เขียนในปี 2010 ..จากตลาด Crash ปลายปี 2008 ผมได้เข้าตลาดอย่างต่อเนื่อง ผ่านตลาดในช่วง Sub-prime และจากนั้นผมก็เฝ้าดูตลาดหุ้นเติบโต จนถึงปัจจุบัน .. ณ เวลานี้ คนส่วนใหญ่เริ่มมองอย่าง กล้าๆกลัวๆว่า ตลาดจะเป็นยังไง จะ Double Dip ไหม “และอารมณ์เช่นนี้ มันกลับทำให้ผมสบายใจ เพราะคุณรู้ไหมว่า ยอดดอยมรณะที่แท้จริง มันไม่ใช่จุดที่ทุกคน สงสัยว่าตลาดจะแย่หรือไม่ --- “แต่มันเป็นจุดที่ทุกคนในตลาดมั่นใจสุดขีดต่างหาก”

“คิดเยอะๆแล้วคุณจะโชคดี!!”

วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แนะนำ Facebook ของผมครับ



ใครที่เล่น Facebook อย่าลืมเข้ามาเป็นเพื่อนกันนะครับ (คือ ตัว Facebook อันเก่าของผมเขาจำกัดจำนวนเพื่อนไม่ให้เกิน 5 พันคน .."มันเต็มมานานแล้ว ทำให้ผมไม่สามารถ Add Friend ในหน้าเก่าได้อีกครับ (อึดอัดครับ !! ทำอะไรไม่ได้เลย" ) --- ตอนนี้ผมเลยตั้งหน้า Facebook ขึ้นมาใหม่ครับ ที่ Pawawit Stock Comment (คลิ๊กมาเป็นเพื่อนกันโดยกด like ในหน้านี้นะครับ)
http://www.facebook.com/home.php?#!/pages/Bangkok-Thailand/Pawawit-Stock-Comment/327341826315?ref=sgm

--"เอ้า!! มาเป็นเพื่อนกันครับ..อิ อิ"


(ปล ฺ ตอนนี้ผมชวน (Trader ลึกลับ) "หนุ่ม หยง"--เขาเล่นหุ้นเป็นอาชีพ..(วันๆ ทำเงินในชุดนอน กำไรระดับหกหลักขึ้นต่อเดือน..เท่ห์ไม่เบาสำหรับคนหนุ่มอย่างหยง.."หมวกอีกใบ(คุณหยง)คือ หนึ่งในอาจารย์ ในชมรมโฉลก ที่โด่งดัง")...เอาเป็นว่า เราจึงช่วยกันตั้ง Blog ที่อุทิศให้กับคนที่สนใจศึกษาการใช้ Technical ในการซื้อขายหุ้น (ผนวกกับแง่คิดการลงทุนเด็ดๆในการลงทุน ที่สอดแทรกมาให้อ่านกัน )-- โดยใช้ชื่อว่า Monkey Trade .."จริงๆมันเป็น การรวมตัวที่ประหลาด เพราะผมจะนิยมซื้อขายหุ้นแบบยาวๆ ส่วนคุณหยงก็อยู่อีกด้านเลย สรุป "ก็มันส์ดี...แปลกครับ!!" เอาเป็นว่าใครว่างๆ ก็คลิ๊กเข้าไปอ่าน กันเล่นๆนะครับผม) ที่ http://monkeytrade.blogspot.com

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ขอบคุณมากสำหรับ รางวัล Thailand Blog Awards "สาขา Business"


ผมรู้สึกเป็นเกียรตินะครับที่ ได้เป็นหนึ่งใน Blog อีกหลายๆ Blog ที่เป็นส่วนหนึ่งของรางวัลอันทรงเกียรตินี้
จริงๆแล้วผมเชื่อว่า คนเขียน Blog ทุกคน ไม่ได้มุ่งหวังจะได้รางวัลอะไรหรอกครับ เพียงแต่เขียนขึ้นมาเพื่อ ที่จะเป็น Diary , บางคนเขียนมาแบ่งปันในเรื่องต่างๆ ที่ตัวเองรู้ หรือ เรื่องที่ชอบและสนใจ

ซึ่งในสังคมที่เจริญแล้ว อย่างอเมริกา จะเห็นได้ว่า "การอ่านและการเขียนหนังสือ" ได้หล่อหลอมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ...ซึ่งในที่สุดแล้ว ความรู้และความคิดเหล่านี้ที่ร่วมกันเขียนถ่ายทอด มันก็กลายเป็นรากฐานของ "สังคมแห่งการเรียนรู้"

ประโยคหนึ่งที่กินใจผมมาก ของศาสนาพุทธ คือ "ยิ่งให้ เราก็ยิ่งได้" (ช่วงแรกผมไม่เข้าใจหรอกครับว่า มันหมายความว่าอะไร) จนวันนี้การเขียน Blog เผยแพร่และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการลงทุนของผม ได้นำเอาสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตของผม "อย่างน่าทึ่ง"

ผมเพิ่งเริ่มเขียน Blog นี้ ตอนต้นปี 2010 โดยใช้เวลาว่างจาก การทำงานที่ธนาคารกรุงเทพครับ (ผมกะจะเขียนขึ้นมาเป็น Diary รวบรวมประสบการณ์ทั้งหมด ซึ่งผมเจอมาค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ในการลงทุน และขยายร้านอาหารใน Australia จากเล็กๆ ให้กลายเป็น Chain 5 สาขา ..จนมาเจอวิกฤต และต่อมาก็การเข้าร่วมทุนกับ นักธุรกิจ Australia ในการนำ Glass Laminating Factory ใน Guildford, sydney ไปขยายในเมืองจีน --จนในที่สุดผมก็ได้กลับมายืนที่บ้านเกิดตัวเอง และได้ร่วมงานกับธนาคารกรุงเทพ โดยผมเข้าไปอยู่ใน Office Of President คือทำงานให้นายใหญ่ (คุณ ชาติสิริ โสภณพณิช)..หรือ คุณโทนี่ นี่แหละครับ)

ตั้งแต่ผมกลับมาเมืองไทย ผมก็เริ่มศึกษาการลงทุนอย่างจริงๆจัง ผนวกกับการที่อยู่ธนาคารกรุงเทพในหน่วยงาน Top มันทำให้ผม Access ข้อมูลที่หลายๆคนแทบไม่เคยเห็น จุดนี้มันเป็นการติดจรวด ในประสบการณ์การการลงทุนในตลาดหุ้นไทยของผมโดยตรง ..วันนี้ผมบริหาร Port ของครอบครัว และก็ส่วนตัวของผมเอง ที่ทยอยส่งกำไรจากธุรกิจในต่างประเทศ และก็ Port ในส่วนของเงินที่เหลือจากเงินเดือนจากธนาคารกรุงเทพ

กลายเป็นว่าผมบริหารในหลายแนวทางมากๆ (ด้วยเงินจริงๆ ซึ่งมันทำให้ผม ค่อนข้างจะมั่นใจในแนวทางเดินของผมที่ผ่านมา)..ระหว่างที่ลงทุน ผมก็ได้เล่า ประสบการณ์ของผมลงใน Blog (http://pawawit.blogspot.com) ซึ่งปรากฏว่า กลายเป็น Blog ที่มีผู้เข้ามาอ่านอย่างล้นหลาม ..จนในที่สุด Web ชุนชนนักเล่นหุ้นอันดับต้นๆของเมืองไทยอย่าง www.stock2morrow.com ถึงกับเข้ามาทาบทามผม

เจ้าของ Web คือ "คุณ ปิยพันธ์ วงศ์ยะรา" ฉายาในวงการหุ้นคือ "Looking" ---ได้มาทาบทามผมให้ ออกหนังสือ --- จึงเป็นที่มาของ "หนังสือ แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet " ที่ขายดีอย่างมาก เนื้อหาย่อ ก็อยู่ในแทบด้านบนของ blog ผม ในส่วนของ Pawawit Talk "ถ้าอ่านแล้วชอบอย่าลืมอุดหนุนหน่อยนะครับเพื่อนๆ.. ฮิ ฮิ" (แต่เผอิญนี่เป็นหนังสือเล่มแรกของ S2M เช่นกัน เราก็เลยไม่ได้ทำ Mass -- ก็เลยขายเฉพาะใน stock2morrow เท่านั้น.."แต่ถ้าใครสนใจก็คลิ๊กเข้ามาสั่งใน Web ได้นะครับ"

"กลับมาเรื่องของยิ่งให้ยิ่งได้ คืออะไร !!" ก็นี่แหละครับ จากที่ผมเป็น nerd ตัวยงในการอ่านหนังสือ (ซื้อมันเกือบหมด Asia book ..จนแม่ผมว่า ผมบ้า!!) คือถ้าผมไม่เขียน blog ก็คงไม่ได้มีโอกาสเช่นนี้ (แถมความรู้อัด กลายเป็นสติแตกไป .. อิ อิ)

วันนี้ผมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในแรงขับเคลื่อนชุมชน S2M ในการสร้างนักเขียน "หน้าใหม่" ที่มีประสบการณ์ตรง ในการลงทุนแบบต่างๆ -- จากผม"แนวหมัดเมา" ..ไปเจอหนุ่มพีร์ Wizard Kid (prop. trade )ที่มีหน้าที่บดขยี้รายย่อย (วันนี้ผมดึงมา ร่วมถ่ายทอด) ...Trader หยง (นัก Trade อิสระ อดีต Investment Banker เก่าที่ผันตัวมา Trade Commodity "Full Time" ก็มาร่วมถ่ายทอดความรู้ในนาม Monkey Trade ..หรืออย่าง Trader หนุ่ม ชื่อ Gap ผู้ที่ทำการซื้อขายหุ้นใน 17 ประเทศ รอบโลก เจ้าของฉายา Trade Tactic

ซึ่งทุกคนที่กล่าวมา ผมก็เอามา Link ในหน้า Blog ของผม..เข้ามาดูกันได้ "เรียกได้ว่าเป็น การรวบรวมเหล่าผู้ที่มี ฝีมือ ทางด้านการลงทุน มาสร้างสีสรรค์ให้กับวงการนักเล่นหุ้น ทั้งเมืองไทย และต่างประเทศ

นี่แหละครับ "ยิ่งให้ก็ยิ่งได้" ยิ่งผมถ่ายทอดความรู้ ยิ่งมีคนเข้ามาหามากมาย ซึ่งผมก็ได้ เรียนเชิญผู้ที่มีความสามารถ มาร่วมเดินในแนวการถ่ายทอด -- เพื่อให้สังคมไทย ก้าวเข้าสู่สังคมแห่งปัญญา และการเรียนรู้อย่างแท้จริง

ผมเชื่อว่า คนไทยไม่ได้เก่งน้อยไปกว่าฝรั่ง (ผมทำธุรกิจกับมันมาแล้ว..ไม่เห็นจะมีอะไร!!) แต่สิ่งที่เราขาดคือ การหาความรู้อย่างการอ่านหนังสือ รวมทั้งการถ่ายทอด ที่เริ่มง่ายๆจากการเขียน Blog -- "ถ้าเรารวมตัวกันได้ เมืองไทยไม่แพ้ สิงค์โปร์ หรือ อเมริกาอย่างแน่นอน"

ผมเชื่อมั่นครับ!!

(ใครที่มีความสามารถ แต่อยากหาเวทีที่จะถ่ายทอด ติดต่อผมมาได้นะครับ ทาง Facebook ก็ได้ "เข้าFacebook แล้ว Search ว่า "Pawawit Stock Comment" แล้วกด "Like" ทีนี้เราก็คุยกันได้แล้วครับ)

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มุมลับของ Buffett ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้!!



“ด้วย Supply ของเงินที่มากพอ คุณสามารถเคลื่อนตลาดไปในทิศทางใดก็ได้” ( นี่ Secret แห่งทุนนิยมเลย ..บั๊บผ่าเถอะ !!)

ผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับ Buffett หลายต่อหลายเล่ม รวมทั้งไป Load “Youtube” ดู Video ที่ Buffett ไป give speech ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ คือ ยิ่งศึกษาผมก็ยิ่งชอบ Buffett (จริงๆในแง่ของชีวิตเขาอาจจะแปลกๆ ซึ่งเขามีภรรยาสองคน ..อ้า!! คุณว่าแจ๋วไหมล่ะ “ไม่หรอกครับ..นี่มันประเด็นสับสนมากกว่า”)

“ผู้ยิ่งใหญ่มักมีชีวิตที่ไม่ธรรมดา” อย่าง Buffett จะคล้ายกับ Sam Walton(ผู้ก่อตั้ง Wal-mart) ก็คือ “หลุดพ้นจากความโลภ” ที่ผมพูดอย่างนี้เพราะทั้งสองคนนี้ แม้จะรวยเป็น หมื่นๆล้าน แต่ก็ยังคงขับรถเก่าๆ อยู่บ้านธรรมดาๆ (ซึ่งต่างจากลูกหลานของเขา ซึ่ง Ho-so อย่างสุดโต่ง)

“สิ่งที่เหมือนกันของสองผู้ยิ่งใหญ่ !!” ผมมองยังไงก็ไม่พ้นประเด็น “สมถะ” (หากคุณตัดความโลภ คุณจะนั่งอยู่เหนือกับดักแห่งทุนนิยม และนี่เป็นสิ่งที่ Billionaire ทั้งสอง ใช้เป็นแนวทางในการสร้างความมั่งคั้ง!!)

“เคล็ดลับของ Buffett ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้” ก็คือ การใช้พลังของ “ความเชื่อในตัวของ Buffett นั่นเอง(ซึ่งมีอยู่อย่างมหาศาล)”..ประเด็นความเชื่อ มันสอดคล้องกับ หลักการของการ Control Supply …ซึ่งหลักการก็คือ “หากคุณสามารถ Control Supply ของเงินที่มากพอ คุณก็จะสามารถเคลื่อนตลาดไปในทิศทางใดก็ได้!!”

นี่แหละครับ หลักการของ “The Winner Take all!!” ของระบบทุนนิยม …หากเรามองประเด็นนี้กับ Soros ครั้งที่เขา ถล่มค่าเงินของอังกฤษ และไทย --ที่เขาสำเร็จก็เพราะเขา “มีทุนมากพอ + สามารถสร้างให้ตลาดเชื่อว่า สิ่งที่เขาทำกำลังจะเป็นจริง” ..จุดนี้ถ้ามองให้ลึก คือ มันต้องมีมูลเหตุก่อน เช่น อย่างเงินบาท Soros ต้องเห็นแล้วว่าเศรษฐกิจของไทยในเวลานั้น มัน Bubble จริงๆ แถมการขยายธุรกิจในเวลานั้น ไม่ได้ตั้งบนพื้นฐานของความจริง คือ พูดง่ายๆว่าเวลานั้น Soros วิเคราะห์แล้วรู้ว่า ตลาดไทยมัน Over Investment (ในขณะที่คนไทยที่เล่นหุ้นในสมัยนั้นมองไม่เห็น “อาจเป็นกรรมที่บังตาอยู่.. ฮิ ฮิ”

ประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะเศรษฐกิจในช่วง “Asian Miracle 1” ว่า มันไม่ได้ดีจริง มันเป็น Bubble ที่ดึงดูดเงินลงทุนทั่วโลก (ซึ่งการไหลเข้าของเงินทุนทั่วโลก ย่อมหมายถึง การแข็งค่าของเงินบาท) ..จุดนี้หากคุณมองในมุมมอง Soros คุณจะรู้ว่า การที่ค่าเงินแข็งค่าในเวลานั้น มันแข็งเพราะ bubble ไม่ใช่แข็งเพราะเศรษฐกิจจริงๆแข็งแกร่ง ..ดังนั้น หากคุณ Control Supply ของเงินที่มากพอ ย่อมหมายถึงโอกาสในการตีค่าเงินอย่างไม่ยากเย็น --“และ Soros ก็ทำสำเร็จ ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทย “จุ้ง” ซวยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา!!

ในฝั่งของ Buffett ด้วย บุคคลิกและ Success Trail ตลอด 40 ปีแห่งการลงทุน ทำให้ Buffett กลายเป็น idol ของนักลงทุนทั่วโลก ..ฮึม!!จุดนี้มันหมายถึง ความสามารถในการ move ตลาดด้วย “ความเชื่อ” ..และในเวลานี้ ทั้งโลก ผมบอกได้เลยว่า “Buffett คือที่หนึ่งใน Sector นี้” …จึงไม่แปลกเลยที่ “ไม่ว่า Buffett จะซื้อหุ้นตัวใด มันก็ทำให้หุ้นนั้นๆ เติบโตอย่างรวดเร็ว”

ทั้ง Soros และ Buffett แม้ว่ามีแนวทางในการสร้างตัวที่ต่างกัน แต่ท้ายสุดก็มาบรรจบกันที่ “ความเชื่อนี่แหละ!!”
“หากคุณ Control Supply ของเงินในจำนวนที่มากพอ ..คุณสามารถจะ Move ตลาดไปในทิศทางใดก็ได้!! -- หุ้นที่ Buffett เลือกมักจะพุ่งอย่างเหลือเชื่อ เช่น หุ้นของ BYD และนี่คือพลังของ Buffett ในการเคลื่อน Supply ของเงิน “แค่เงินของ Buffett เองก็มากพออยู่แล้ว นี่บวกกับ ความเชื่อที่เหล่าสาวกทำตาม(ซื้อตาม)” -- ผมถามหน่อย ถ้า Buffett ต้องการให้หุ้นตัวไหนรุ่งหรือพัง มันง่ายเสียจริงๆ -- (สุดยอดจริงๆครับ)”

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

George Soros กับมุมมองที่ไม่มีใครเข้าใจ!!



พ่อมดทางการเงินนาม George Soros ผู้ล้ม Bank of England และทำลายค่าเงินบาท ทั้งหมดนี้หลายคนมองว่าเป็นความผิดของ Soros แต่ผมกลับไม่คิดเช่นนั้น ..ไม่มีใครในโลกหรอกครับ ที่มีพลังพอที่จะทำลายล้างได้ "บ้าบอขนาดนั้น"..จริงๆ Soros เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นต่างหาก!!

หลายครั้งที่ Soros พยายามเสนอแนวคิดของ "Reflexivity"( Soros เขียนเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครอ่านแล้วเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพราะ ผมว่า Soros เองก็ยัง งง อยู่ว่าแนวคิดที่เสนอมันคือ ทฤษฎีหรือไม่..เฮอะ ๆๆ)--ผมว่าจริงๆมันไม่ใช่ทฤษฏีนะ..ว่าแต่จะเป็นไม่เป็น ก็ไม่เกี่ยวกับเรา --เอาเป็นว่า "เรามาทำความเข้าใจ แนวคิดเงิน Billions อันนี้กันดีกว่าครับ!!"

"นักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกเชื่อว่าตลาดเสรี มีความสมดุลย์ นั่นคือหลัก Equilibrium ที่ท้ายสุดแล้ว ราคาจะกลับมาสะท้อนพื้นฐานของกิจการ" ซึ่งจริงๆแล้วมัน Make sense (เพราะทุกอย่างมี Demand & Supply เป็นที่ตั้ง ..แต่แนวคิด Reflexivity ของ Soros มันเป็นส่วนเสริมของทฤษฏีความสมดุลย์(Equilibrium)ต่างหาก)

ที่ผมบอกว่าแนวคิดของ Soros เป็นส่วนเสริม ก็เพราะ Soros พูดถึงตลาดมันจะวิ่งไปสุดๆทางด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งจุดนี้ก่อให้เกิด Boom & Bust ของ Cycle --- "พื้นฐานของคนมีความโลภเป็นที่ตั้ง ดังนั้น เงินจะวิ่งเข้าหาที่สูง ส่งผลให้ตลาด Bubble เสมอ (คิดดูซิ ว่าคนเราเล่นหุ้นเวลาไหน!! --ก็เล่นตอนหุ้นขึ้นไง ยิ่งหุ้นแพงคนก็ยิ่งซื้อมันจึงเกิดเป็น Bubble ) และเมื่อตลาดขึ้นเลยความจริงไปมากๆ ท้ายสุดมันก็จะตกลงมา (แต่เวลาตก ก็อยู่บนพื้นฐานความกลัวเป็นที่ตั้ง ดังนั้น เมื่อหุ้นตกแรงๆ คนก็จะคิดว่ามันจะตกต่อไปเรื่อยๆ ทำให้ทุกคนเทขาย ผลก็คือราคามันก็จะตกสุดๆ หรือ ตลาด Crash นั่นเอง)

ในภาพใหญ่ระดับ Macro หากคุณมองอาณาจักรอเมริกา จะเห็นได้ว่า "เงินดอลล่าห์" นี่แหละที่ไม่เคยอยู่ในจุด Equilibrium เลย..เงินดอลล่าห์ ลดค่าลงเรื่อยๆ แต่ในเวลาเกิดวิกฤตแรงๆ คนทั่วโลกกลับวิ่งเข้าหาดอลล่าห์อยู่ดี "สิ่งนี้สะท้อน Reflexivity ได้ชัดเจนจริงๆ"(อเมริกาสามารถสร้าง Platform ทางการเงิน ที่บิดเบือนค่าความเป็นจริง ส่งผลให้อเมริกาเป็นศูนย์รวมแห่งเงินทั่วโลก ดังนั้น ราคา Asset ในอเมริกาคุณว่ามันสะท้อนราคาจริงๆเท่าไหร่ล่ะ!!)

ดังนั้นถ้าจะสรุปแนวคิดของทฤษฎี Reflexivity ของ Soros ก็คือ (ทฤษฎี "ความโลภ + ความกลัว")--ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ปัญหาคือ พอเกิดเหตุการณ์จริง คุณก็โดน "ความโลภ + ความกลัว" ครอบงำอยู่ดี!! ส่งผลให้เราซื้อหรือขายหุ้นแบบโง่ๆอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้!!

ที่ Soros รวย!! -- ก็เพราะเขาสามารถเอาชนะกลไกของ "ความโลภ + ความกลัว" ได้ (ซึ่งในโลกนี้มีคนไม่กี่คนที่สามารถชนะกลไกนี้ได้ คนแรกก็คือ พระพุทธเจ้า... ส่วน Soros กับ Buffet ก็ทำได้มากกว่าคนทั่วๆไปนิดหน่อย แต่แค่นี้ก็รวยสุดๆ แล้วกั๊บ!!)

ใกล้ยุค "ผู้ใช้แรงงาน" ตกงานกันใหญ่แล้วครับ!!



ผมเป็นคนนึงที่ชอบสังเกตสิ่งรอบๆตัว(เรียกชอบสอดรู้!!) ช่วงนี้หลายคนคงเริ่มรู้สึก "แย่!!" กับไอ้ Easy Pass (ผ่านปื๊ด ผ่านปื๊ด ..แต่ Lane อื่นๆติดแหงก!!) จริงๆระบบ Easy Pass นี่ต่างประเทศอย่าง Australia เขาใช้กันมาตั้งนานแล้ว ..ช่วงผมขับรถใหม่ๆใน Sydney สุดเซ็งเลย เพราะส่วนมากเป็น Easy Pass เกือบทั้งหมด (ถ้าใครวิ่งผิดเข้าไป ต้องไปเสียค่าปรับอย่างแพง -- ตอนแรกๆผมนี่ก็โดนเลย!!)

จะว่าไปแล้วไอ้ Easy Pass ก็เป็นแนวคิดที่ดีนะครับ แต่อย่างประเทศไทยทำอะไรครึ่งๆกลางๆ มันเลยดูไม่ค่อยจะ Work อย่างเช่น เวลาซื้อต้องซื้อที่ทางด่วน ส่วนเวลาเติมเงินก็ต้องเติมที่"ช่องเติมเงิน" ..ผมถามจริงๆเถอะ ถ้าต้องมาเติมเงินในช่องเติมเงิน สุดท้ายมันก็ไม่ work อยู่ดี(มันจะช่วยให้เร็วได้อย่างไรเนี่ย!!)... (คือ ถ้าจะให้มันง่าย ทำไม ไม่สามารถซื้อขายและเติมเงินผ่าน 7-11 , ผ่านมือถือ , ผ่าน website หรือ Counter ธนาคาร)

แล้วตอนนี้ปัญหาสำหรับ คนที่ต้องเบิกค่าทางด่วนกับบริษัท ต้องใช้ "ใบเสร็จ"--ตอนนี้ผมบอกได้เลยว่ามีคนอีกเยอะที่อยากใช้ แต่ติดเรื่องใบเสร็จนี่แหละ ..จุดนี้ทำไมไม่ link กับ Online ให้คุณไป Download ใบเสร็จจาก Web-site(ซึ่งด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน คุณสามารถ Track History ของการใช้ทางด่วนของ Easy Pass ..จุดนี้ถ้ามองในแง่ของบริษัท มันสามารถทำให้ Control cost ได้ดีกว่าใบเสร็จในปัจจุบันด้วยซ้ำ)

สิ่งต่างๆเหล่านี้ถ้ามองให้ดีมันเริ่มเข้ามาทดแทนแรงงานคน ...ต่อจาก Easy Pass ผมมองว่า "Trend การเติมน้ำมันเอง..เด็กปั๊มตกงาน!!" ก็จะเป็นเทคโนต่อไปที่เราจะรับฝรั่งเข้ามา --ในอนาคต อาชีพใช้แรงงานแบบพื้นฐานมันกำลังจะหมดไป แทนที่ด้วยเทคโนใหม่ๆ

สรุปแล้วในอนาคตหากคุณยังมีอาชีพที่ใช้แรงงานเป็นหลัก มันกำลังจะถูกแทนด้วย Technology และการลด Cost ..ทางแก้ทางเดียวก็คือ การ Move up the Career Path สู่อาชีพที่ใช้ความแตกต่าง หรือ Knowledge Worker นั่นเองครับ!!

(เดี๋ยวนี้ใครเล่นกอล์ฟ หากสังเกตให้ดี เขาจ้างชาวสวนน้อยลง แต่เอาแรงงาน Caddy มาใช้ฟรีๆ (อย่างสนาม President ที่ผมเล่น นี่อย่างเคี่ยว!! คือ Caddy ทุกคนต้องทำเวร นั่นก็คือ ใครจะมาเป็น caddy ที่นี่ต้องทำงานฟรีอย่างน้อยอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง เช่น การเข้าไปแคะหญ้า ลอกคลอง ตัดต้นไม้ พรวนดิน กวาดใบไม้ ..ซึ่งการทำเช่นนี้ทำให้สนาม สามารถประหยัดเงินโดยสามารถจ้างคนสวนน้อยลง -- จุดนี้ถ้าดูให้ดี Caddy ก็จำยอมต้อง "ทำเวรฟรีๆ" เพื่อแลกกับการที่ยังสามารถเป็น Caddy ที่สนามนี้ได้) --เห็นไหมล่ะครับ ขนาดสนามกอล์ฟ ยังแข่งกัน Cut cost โดยเบียดเบียน"แรงงานราคาถูก"นั่นเอง

อนาคตของงาน คือ คุณต้องมี Skill ที่แตกต่าง เพราะหากอาชีพของคุณ ต้องอยู่บนแรงงาน ย่อมหมายถึงการแข่งขัน ที่มากขึ้นเรื่อยๆ + ค่าแรงที่ลดลงเรื่อยๆ พร้อมๆกัน ..."ปรับตัวก่อนที่จะปรับไม่ทันครับ (ต้องตั้งอยู่บน Knowledge และ ต้องแตกต่าง!!)"

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ขัดจังหวะความมั่งคั่ง ซะหน่อย!!



ตัวผมจริงๆ ถือว่า โชคดี ที่ได้เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลง "ความมั่งคั่งของตระกูล อย่างใกล้ชิด" (จากรวยมาก มาเป็นรวยธรรมชาติ และมาเป็น รวยนิดๆ) แต่จริงๆแล้วผมก็มานั่งนึกๆว่า จริงๆเราวัดความมั่งคั่งจากอะไร

วันก่อนผมนั่งดู "Zeitgeist" video สารคดีที่หาดูไม่ได้จากแหล่งทั่วไป มีแต่ใน youtube "อันนี้ขอบอกว่า FBI Censor" เพราะเนื้อหามันแรง เริ่มตั้งแต่ ถ้าทายศาสนา ต่อมาก็ท้าทาย FED และต่อมาก็ท้าทาย 9-11 (ดูแล้วก็ตัวเบาขึ้น มันช่วยให้ภาพเก่าๆที่เคยศึกษา เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มัน "Flash!!" ขึ้นมา Before my eyes!!)

อย่างที่บอกครับว่า ปกติงานผม Banker ขลุกอยู่กับตัวเลขและข้อมูล (คือ ถ้าไม่เขียน Blog คงสติแตกไปแล้ว.. อิ อิ) ..ส่วนตัวแล้วผม ว่าการเดินอยู่ใน Mean ของตัวเอง และทำสิ่งที่เราชอบ โดยไม่เบียดเบียนใคร ผมว่ามันเป็นอะไรที่เรียกว่า "มั่งคั่ง"แล้วครับ

ช่วงหลังจากที่ผม ออกหนังสือ แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน กับทาง S2M มันเป็นการเปิดประตูให่้ผมเข้าสู่ ชุมชนของนักลงทุนอย่างแท้จริง ทุกวันนี้ผมใช้เวลาค่อนข้างมาก ในการพบปะและพูดคุยกับนักลงทุนหลายๆประเภท ..จุดนี้มันชี้ให้ผมเห็นเลยว่า "เงินมันสร้างจากความคิดจริงๆ หลายคนที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุน เริ่มจากเงินเพียงน้อยนิดเท่านั้น" (แต่!! ต้องไม่ลืมว่า คนที่เจ๊ง มันมีมากกว่าเยอะครับ)

วันนี้พี่ป้อม"พี่ใหญ่ของ web stock2morrow โทรมาหาผม บอกว่าทาง TRIS ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กำลังอยากจัดสัมมนา อยากให้ผมกับคุณป้อมร่วมใส่ input ในงานสัมมนา รวมทั้งต้องการหาข้อมูล จากรายย่อย "ประเด็นก็คือ การศึกษาว่ารายย่อยคิดอย่างไรนั่นแหละ" ...คืองานนี้ผมก็ตอบตกลง แต่ยังไม่รู้จะพูดอะไรดี!!

จริงๆแล้วมุมมองของการสร้างความรวยจริงๆ ผมกลับมองว่า "คุณต้องตัดมันได้" (ถูกต้อง)ผมหมายถึง ถ้าคุณมองว่า เงินก้อนที่คุณลงทุน คุณสามารถตัดมันออกไปจากชีวิตได้(หรือไม่)..ผมพูดถึงว่า เงินก้อนนี้เป็นเงินที่คุณจะไม่ต้องแตะมันอีกเลยชั่วชีวิต --- "การลงทุนด้วยเงินแบบนี้ ผมว่าผลตอบแทนมันจะมหาศาล!!"

หลักการของการลงทุน แบบนี้ จริงมันก็คือ Buffet นั่นแหละ ..ผมมานั่งนึกๆนะว่า ทำไมเขาทำได้ --จริงๆแล้วถ้านึกให้ดี หากใครเคยอ่านประวัติของ Buffet ตอนเริ่มต้นของ Partnership เขาแทบไม่ได้ใส่เงินตัวเองลงไปเลย ..ซึ่งถ้าคุณมองในจุดนี้ มันชี้ให้เห็นเลยว่า เขามองจากศูนย์ ดังนั้น ไม่แปลกที่เขามองเงินนี้ด้วยใจที่นิ่งมาก!! "เพราะผมไม่กลัวที่ มันจะกลับไปเป็นศูนย์"(ด้วยหลักการคัดหุ้นที่ Conservative อย่าง Buffet เป็นไปได้น้อยมากที่ หุ้นที่เขาเลือกจะเจ๊ง และนี่ก็คือ"หัวใจของหลักการนี้")

แต่ด้วยความประจวบเหมาะของ Buffet กับนโยบายของ FED ซึ่งเพิ่ม Supply และ Dilute ค่าเงิน ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา "มันเป็นช่วงที่เกิด Inflation ในอัตราเร่ง จุดนี้ถ้าวิเคราะห์ลึกๆแล้ว Buffet แทบจะไม่ได้ สร้างผลตอบแทนที่มากมาย แต่จุดที่เขายืน คือ "เขาสามารถชนะหรือ Beat Inflation ในขณะที่คนทั้งโลกทำไม่ได้"

จุดนี้ผมว่าเป็นปัญหาของคนรวยนะ "ซึ่งตัวอย่างที่ผมเอามาวิเคราะห์ก็ปู่ผมนี่แหละ" หากคุณต้องการรักษาสถานะความมั่งคั่งของคุณ ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของ Inflation ในระยะยาว ผมมองไม่ออกว่า วิธีไหนที่จะสามารถชนะ หลักการของการ Hold Key Asset till your Dead!! (ผมว่ายากนะ!!)

โจทย์หนักอีกข้อของพวกเรายุคนี้ คือ "Key Asset" ของเรามันคือ perishable product ที่เน่าเสียได้ นั่นก็คือ Commodity ..จุดนี้ผมว่ามันต่างกับยุครุ่นปู่หรือรุ่นพ่อของเรา ที่รวยกันมาจากที่ดินและ Real Estate !!

"เส้นทางสู่ความตาย" เมื่อนายแบงค์ริเล่นหุ้น


"ริรักในวัยเรียน เหมือนจุดเทียนกลางพายุ" ..ประโยคเตือนใจจากในวัด

เอ๊ะ!! แต่ไม่เห็นมีใครเตือนผมก่อนเล่นหุ้นเลยว่า "มันไม่ใช่เทคนิค การวิเคราะห์งบการเงินที่สวยหรู แต่มันเป็นจิตของเราเอง ที่ฆ่าตัวเราเองทุกยุคทุกสมัย"

วันก่อนผมคุยกับ น้องๆลูกเจ้าสัว (ไฟแรงมากๆ) "คือประมาณว่า เขาอยากเล่นหุ้น" ผมก็แนะนำไปเลยว่า ไปเล่นในจิตของตัวเองก่อน ผมมอบหนังสือ แกะรอยหยักสมอง ให้เขาไปอ่าน รวมทั้งอธิบาย ถึง "สัจธรรมของตลาดหุ้น"

"อะไรเหรอพี่ สัจธรรมหุ้น !! (งง ว่ะ)" "จิต" ไงน้อง ยิ่งแปลกยิ่งรวย ตามทฤษฎี "ชาวสวน" ผู้สร้างตัวจากมือเปล่า

ด้วยความสนใจในแนวคิด ผมถามน้องๆว่า "ไหนบอกผมซิว่า น้องๆมีหุ้นไหนอยู่ในใจ" -- "เอ๋อ!! ผมว่า CPF ครับ เพราะเห็นมันดูดี ราคาก็พุ่ง ถ้าซื้อต้องรวยแน่..ใช่ไหมพี่ !!"

"ใช่ป่าววะ ..ผม อึ้งกึมกี๋!!"

ผมยกตัวอย่างของหุ้น ขึ้นมา 5 ตัว คือ ( CPF , CPALL , TRUE , BJC และก็ BLA ) ผมมองว่า หุ้นเหล่านี้มี เจ้าสัว เป็นเจ้ามือ "คุณเข้าใจไหมว่าหุ้นประเภทนี้จะ Movement อย่างไร ..จริงๆแล้ว ส่วนตัวผมชอบหุ้นที่มี "เจ้าสัวถือเยอะๆ มากกว่า เจ้ามือถือเยอะๆนะ" เพราะยังไง เจ้าสัวก็ยังมีความผูกพันธ์กับกิจการที่สร้างมากับมือ ต่างจากเจ้ามือ คือ "กำไรกูทิ้ง !!"

ผมก็เลยแนะนำ น้องๆ ว่า จริงๆ CPF ก็ซื้อได้นะ เพียงแต่จะให้ดีก็รอให้ "หุ้นมันตกหนักๆก่อน" ซึ่งแน่นอน มือใหม่อย่างน้องๆ คงต้อง งง เป็นธรรมดาว่า ทำไมต้องซื้อหุ้นตอนราคาถูก เพราะมันหมายถึง ราคามันก็อาจลงถูกกว่านั้นอีก "เอ๋อใช่!! มองอย่างนั้นก็ไม่ผิด"

เพราะหากเรามาวิเคราะห์กันให้ดี จะเห็นได้ว่า กลยุทธ์ของรายย่อยที่ใช้กันมาตั้งแต่ปลายปี 2008 และได้กำไร "ทำเอารายย่อยยุคนี้ยิ้มกันทั่วบ้านทั่วเมือง!!" .."กลยุทธ์ชาวสวน" จะใช้ได้อีกถึงเมื่อไหร่ -- ที่ผมพูด คุณคงเข้าใจนะว่า ทุกอย่างโดยธรรมชาติมีวันหยดอายุ ซึ่งหากคุณยังหลับหูหลับตาเล่น "กลยุทธ์นี้จนเลยวันหมดอายุ" คุณจะเปลี่ยนเป็น เหยื่อ!! ในที่สุด

จริงๆแล้ว ระยะยาว ถ้าดูตามสถิติ ผมไม่เห็นว่า รายย่อยสามารถชนะตลาดในระยะยาวได้ (ซึ่งถ้าย้อน 2 ปีที่ผ่านมา ผลงานรายย่อยนี่ Impressive มากนะ บางคนฟันไป หลายร้อย% )

เอาเป็นว่า สรุปแล้วผมจึงแนะนำลูกเจ้าสัว น้องกลุ่มนี้ ให้เล่นเอา เงินฝากเป็น Benchmark (เทียบผลตอบแทนกับเงินฝาก แต่ถ้าเก่งขึ้นก็เทียบกับพันธบัตร ..ดังนั้น ให้ไปเลือกหุ้นที่ถูกๆ (P/BV ต่ำ) แต่ให้ ปันผลดี อย่างต่อเนื่องสมำ่เสมอ และเหนือ Benchmark ...

สาเหตที่ผมแนะนำให้เล่น conservative เช่นนี้ เพราะน้องๆทั้งสาม ได้เงินเริ่มต้นที่ 30 ล้านต่อคน (เอ๋อ!!ขอผมบ้างได้ไหม (ล้อเล่น..อิ อิ)) ดังนั้น ด้วยฐานเงินขนาดนี้ หากคุณได้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ และโยกเงินไปมาอย่างฉลาด ระหว่าง Asset Class เช่น เอาแค่ระหว่าง พันธบัตร กับ หุ้น (แค่นี้ผมว่า การ Grow Port ของแต่ละคน ผมว่าสามารถแตะร้อยล้านในเวลาไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า อย่างแน่นอน!!)

เส้นทางนี้ของหนุ่มสาวทั้งสามคน "ยังรอการพิสูจน์" เอาเป็นว่า เริ่มจากเข้าใจตัวเอง และเดินอย่างระวัง ผมว่าความสำเร็จมันอยู่ไม่ไกล!!

เรื่องเล่าจาก Banker โดย ภาววิทย์ (ตอนที่ 5) "Risk"


ความเสี่ยง "The Risk"

ความเสี่ยงมันมาจากการ "หยุด" ..แชร์ลูกโซ่ที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็คือ "ระบบทุนนิยม" ดังนั้น การเคลื่อนตัวของระบบเศรษฐกิจเกิดจากการ สร้างเงินใหม่ แล้วถมเข้าระบบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ใช้กลไกของ "ความโลภ Greed เป็นกลจักรในการขับเคลื่อน"

ระบบเศรษฐกิจเราขับเคลื่อนด้วย Financial Innovation ซึ่งล้วนแต่สร้างขึ้นมาบนพื้นฐานของ Risk (นั่นก็คือ เดิมที เครื่องมือเหล่านี้สร้างขึ้นมาเพื่อ "ลดความเสี่ยง" ไม่ว่าจะเป็น Derivative อย่าง CDO ที่เริ่มสร้างเพื่อการลดความเสี่ยงของ "เงินกู้บ้าน" แต่ท้ายสุด คนเราก็เอาไปใช้อย่างผิดวิธี จนที่สุดแล้วจากเครื่องมือ ลดความเสี่ยงก็เปลี่ยนมาเป็นระเบิดเวลา มาระเบิด Lehman Brother ในที่สุด

อาจจะฟังดู เท่ห์ ว่า Goldman Sachs สามารถรอดจาก Sub prime มาได้อย่างหวุดหวิด จนหลายคนมองว่า "เป็น Hero" เพราะขนาดสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Citibank ยังหนีวิบากตรงนี้ไม่พ้น.. Chuck Prince อดีต CEO ของ Citibank เคยกล่าวไว้ว่า "ทุกคนจงเต้นรำต่อไป ตราบเท่าที่เสียงเพลงยังคงบรรเลงอยู่" มันเป็นประวลีเด็ดที่ โชว์ภาพของความเป็น "เก้าอี้ดนตรี" ของระบบการเงินของอเมริกา (ที่เรียกว่าเป็นต้นแบบของ Financial Innovation ทั่วโลก)

เครื่องมือ ความเสี่ยงที่ผมจะเอามาแนะนำท่านวันนี้มี 2 ตัว ตัวแรกคือ Futures ส่วนอีกตัวคือ Options ..สิ่งที่ต่างกันระหว่าง Derivatives สองตัวนี้ก็คือ "ตัวนึงเสี่ยง" "ส่วนอีกตัวเสี่ยงกว่า"..เอ๋อ!! สรุปว่ามันเป็นเครื่องมือ ลดความเสี่ยง (Risk Control) หรือ เครื่องมือเพิ่มความเสี่ยงกันแน่!!

ถ้าจะให้พูดมันก็เหมือน "มีด" คือถ้าใช้ให้ดีมันก็มีประโยชน์ แต่ถ้าใช้ผิดๆ อาจบาดมือ ..ฆ่าคนอื่น ..แล้วก็ฆ่าตัวตายได้!!นั่นเอง

ประเทศเราเพิ่งจะได้ลิ้มลองกับ Futures และ Options ไม่นาน ..คือ บางคนบอกแค่หุ้น ตูก็มึนตึบแล้ว (จะเอาอะไรกับตูอีก!!) ...ตัว Futures และ Options ความเด็ดมันก็คือ Gearing หรือ leverage ซึ่งก็คือ คุณสามารถใช้เงินน้อยกว่า และ Take Bet ในจำนวนที่มากกว่า "และถ้าคุณคิดเช่นนี้ คุณกระโดดลงหลุมไปได้เลย .."ย้ำว่าฝังกลบ ไม่ต้องเผา!!"

(TFEX กับ Gold Future บ้านเราก็คือ Future ลองซื้อดู ขำขำ (อย่าง TFEX คนเล่นมีแต่ เซียน กับ prop. trade คนนึงเขี้ยวสาด อีกคนค่าคอมถูกกว่าตลาด 10 เท่า เราจะกระโดดเข้าไปปล่อยหมูคงไม่มีใครห้ามครับ อิ อิ) ..ส่วน Options บ้านเราไร้สภาพคล่องสิ้นดี ซื้อปั๊บระวังออกบ่ได้ ยิ่งตลาด Afet ตลาด Future Commodity ของไทย ..ดูแล้วเอาเถอะ -- ดังนั้น ใครสนใจตรงนี้ go Inter เท่านั้น ค่อยๆเรียนรู้กันไป)

การใช้เครื่องมืออย่าง Futures และ Options ให้เกิดประโยชน์มันเริ่มจากที่คุณจะต้องเข้าใจก่อนว่า มันช่วยลดความเสี่ยงให้กับคุณอย่างไร

ในตลาด Commodity การเกษตรอย่าง ข้าว , น้ำตาล ,ยาง ล้วนแต่เป็นตลาดที่มีความเสี่ยงสุดๆ ..จริงๆแล้วหลายๆคนมองว่า การลงทุนเปิดศูนย์การค้า เสี่ยงกว่า ปลูกข้าว ..จริงๆผมว่า คุณอาจต้องคิดใหม่ (หากใครดูราคาข้าว หรือ น้ำตาล ตั้งแต่ตอนต้นปี จนถึงตอนนี้ คุณเห็นได้เลยว่าราคามันขึ้นลง มากกว่า หุ้น!!)

การใช้ Futures ในการ ซื้อขายล่วงหน้า ผลผลิตทางการเกษตร เป็นสิ่งที่ชาติตะวันตกใช้เป็นเวลานานแล้ว(เช่น ตลาด CME) จึงไม่แปลกที่ก่อนลงทุนเพาะปลูก ชาวนาของเขารู้ก่อนแล้ว ว่าจะได้กำไรเท่าไหร่

ในประเทศไทยมีโรงน้ำตาลมากมาย แต่มีแค่ "มิตรผล"เท่านั้นแหละ ที่เริ่มมีหน่วยงานเล็กๆ อย่าง Futures Trading เข้าช่วยในการป้องกันความเสี่ยง จะเห็นได้ว่า โรงน้ำตาลทุกโรง รวยสุดๆ และก็จนสุดๆ ขึ้นลงตาม Cycle ในขณะที่ "มิตรผล" ไม่ได้เป็นอย่างนั้น

หากใครยังจำได้ Soros ผู้ได้ชื่อว่า "The Man who break Bank of England" มันช่างเป็นความเท่ห์ อย่างมหาโคตร สำหรับนักการเงินอย่างผม ..คุณรู้ไหมว่าเครื่องมือที่ Soros ใช้คืออะไร (ใช่!! นี่แหละ Options)

ปัจจุบัน โรงน้ำตาลใช้ Futures ในการ Hedge หรือป้องกันในความเสี่ยง (ซึ่งโรงน้ำตาลในประเทศไทยเกือบทุกโรง ใช้บริการ Trading Company เหล่านี้) Trading Company เหล่านี้ใช้ Futures --- ถึงคุณจะไม่ต้องจ่ายเงินทั้งก้อนอย่างซื้อหุ้น แต่คุณต้องวาง Initial Margin ซึ่งอย่างเยื่ยมก็ต้องใช้ถึง 10% ของราคาสินค้าเป็นอย่างน้อย ..แต่ในมุมมอง Commodity Trader แล้วหากคุณใช้ Options ในการ Hedge มันหมายถึง จำนวนเงินที่น้อยกว่าการใช้ Futures เข้าไปอีก( เอ๋อ!! แต่ถ้าคุณ Trade Options แบบไม่มี Physical Back (คือ pure paper play) เอ๋อ!! ตายได้ง่ายๆครับ

สรุปว่า เครื่องมือแต่ละอย่าง มีความซับซ้อนและมีประโยชน์ รวมทั้งโทษอย่างมหาศาล ขึ้นอยู่กับคุณจะใช้มัน ..และนี่คือ "การแนะนำตัว Futures & Options -- (มีดสุดคมกริบ ในโลกแห่งทุนนิยม) ..ถึงเวลาแล้วครับที่ทุกคนจะต้องใช้มีดเล่มนี้ให้เป็น ก่อนมันจะบาดนิ้วน้อง... "อุ อุ!! คุงแม่ มีดบาดนิ้วน้อง!! ฮะ"

เรื่องเล่าจาก Banker โดย ภาววิทย์ (ตอนที่ 4) "เงิน??"


เงินในสายตาของ Banker คืออะไร!!

"เงิน" ในมุมมองของ Banker มันก็คือ "เบ็ดตกปลา!!" ..อะไรฟะ --ถูกต้อง เพราะในมุมมองธนาคาร เงินมันก็คือ "หนี้" (ดังนั้นเงินฝากของคุณ ก็คือหนี้ของธนาคาร)

หน้าที่อย่าง Banker อย่างผม ก็คือ "คิดหาวิธีให้คุณสร้างหนี้ให้มากที่สุดได้อย่างไร ซึ่งถ้ายก case ของอเมริกา เขาก็สร้าง The American Dream (นั่นคือ ความฝันของอเมริกันคือ มีบ้านเป็นของตัวเอง) นี่คือหนี้ก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิตของคน ดังนั้น ถ้าผมผูกหนี้ก้อนนี้ เข้ากับชีวิตคุณได้ เราก็ขอต้อนรับคุณสู่ " Rat Race ของระบบทุนนิยม!!" (เอ๋อ!! ใครอยากกู้ซื้อบ้าน โทรหาผมได้ ถ้าเกิน 20 ล้าน ผมจะส่งสาวๆแบงค์ บริการถึงที่ "ขำขำ"อย่าคิดลึก!!)

แต่อย่างที่เข้าใจ "หากคุณต้านมันไม่ได้ ให้คุณเรียนรู้ และหาประโยชน์จากมัน" (เพราะถ้าคุณทำตรงข้าม คุณอาจต้องบินไป เกาหลีเหนือ ไปเป็นสาวก (คิม จอง อิว) แทน..แต่ต้องรีบๆนะครับ ได้ข่าวมา ป๋าคิม ตอนนี้มะเร็งกินไปกว่าครึ่งร่าง เดี๋ยวจะไปไม่ทัน) บ้า!! --- คือ ทางแก้ไม่ใช่ให้คุณหนี!! แต่คุณต้องสู้กับมัน ..ผมคนหนึ่งแหละ ที่ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับทุนนิยมอย่างจริงจัง!!

ดังนั้น ถ้าคุณมองเหมือนธนาคาร คุณจะไม่ชอบ "เงินสด" เลย เพราะมูลค่ามันลดลงในอัตราเร่ง!!

ขอนอกเรื่องนิดนึง คือ จะยก Case Study ของปู่ผมเอง (คุณ ทวิช กลิ่นประทุม) ..คือสมัยที่ท่านยังหนุ่ม ปู่ผมเป็นนักธุรกิจคนนึงที่เรียกได้ว่า รวยโคตรและดังสุดๆ ไม่แพ้คุณ อุเทน เตชะไพบูรณ์ แต่จุดที่เปลี่ยนของตระกูลผมก็คือ การก้าวเข้าสู่การเมืองของคุณปู่

ถ้าผม Comment ผมจะเรียก มันว่า "The Worst Decision of the Great man" (คือการตัดสินใจที่ห่วยที่สุดของชีวิตคุณทวิช) ปู่ผมรวยจากธุรกิจขนส่ง ซึ่งใครๆก็ทราบว่ายุคนั้น ความรวยอยู่ที่ ท่าเรือและ Shipping ยิ่งสมัยที่เกิดสงคราม เวียดนาม ..บริษัทที่ผูกขาดการขนส่งในสมัยนั้น ก็คือ เทรลเลอร์ ทรานสปอร์ต (ใช่แล้วครับ บริษัทของตระกูล "กลิ่นประทุม" ที่ผูกขาดการขนส่งของประเทศไทยในสมัยนั้น)

ปัญหาที่แท้จริงมันก็คือ "การเมือง!!" (สมัยก่อนใครเล่นการเมือง มีแต่เสียเงิน เพราะยุคนั้น คุณอย่ามาหวังสัมปทานเลย รัฐบาลยังจนสุดๆ Project เอกชนเท่านั้น ที่ขับเคลื่อนประเทศ..คุณปู่ผมเอาเงินไปละลายในการเมือง จนได้รับ ฉายาว่า "เจ้าบุญทุ่ม" มันเป็นสิ่งที่ผมเสียดายสุดๆ ..แต่ทำไงได้ นั่นมันเงินท่าน ปู่ผมบอก "ปู่สร้างตัวจากศูนย์ และปู่ก็ไม่กลัวที่จะกลับไปที่ศูนย์" และนี่คือประโยคจาก นักธุรกิจและนักการเมืองหัวใจนักเลงที่ชื่อว่า ทวิช กลิ่นประทุม(ปู่ผม ๆ ..เท่ห์ ๆ))

ผมศึกษาประเด็นการตัดสินใจของคุณปู่ ซึ่งถ้าผมมองมันเป็น Life time Opportunity --หลายครั้งมากๆ ที่ปู่ผมปล่อยโอกาสให้มันผ่านไป (แต่อย่างที่บอกนะครับ แต่ละคนเกิดมาไม่เหมือนกัน สิ่งต่างๆหรือโอกาสที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ก็มีไม่เท่ากัน ..ชีวิตของคนๆนึง บางครั้งขอแค่ Shot เดียว คุณก็รวยทั้งชาติ ..แต่ปู่ มีโอกาสที่ผ่านเข้ามาจน ทำให้ผมนึกว่า "เฮ้ย!! ทำไมมันไม่ผ่านเข้ามาให้ผมบ้างฟะ!! อิ อิ" ..คนเราต่างกัน รอก่อนนะ"ภาววิทย์" (จ๋อย เลย!!)

โอกาสครั้งใหญ่ที่ผ่านเข้ามาในช่วง ปู่ผมกำลังอยู่ในช่วง peak ของธุรกิจและการเมือง มันคือ Project กับบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของโลก (สมัยนั้น PTT ยังไม่เกิดเลย) ปู่ผม กับ ฝรั่ง วางแผนกันเรื่องการเปิด ปั๊มน้ำมันทั่วประเทศตั้งแต่เหนือจดใต้ ซึ่งทุกปั๊มจะเป็น Community shop ก็คือ มีที่พัก และเอาของในชุมชนนั้นๆมาขาย เป็น center "เรื่องนี้คิดกันก่อนที่ PTT จะเกิดขอย้ำ!!"

..ทุกอย่างได้รับไฟเขียว ยกเว้นเรื่องเดียว คือ ตอนนั้นตกลงกันไม่ได้ ระหว่าง บริษัทฝรั่งกับปู่ผมว่า ใครจะถือ 50/49 หรือ 49/50 .."สรุป ด้วยความนักเลงของคุณปู่ "งั้นกูไม่ทำ!!"..โห!! ไม่งั้นตอนนี้หลาน อย่างผมไม่ต้องทำงานแล้วครับ เป็น ลูกเจ้าสัว ขับสปอร์ต ไร้สาระไปวันๆ เดี๋ยวจีบดาราคนนั้นคนนี้" ..เอ๋!! แต่ก็เอาเถอะ ผมว่า อย่างนี้ดีแล้ว ผมเป็น Banker สานต่อฝันคุณตา รับใช้ธนาคารกรุงเทพต่อไป ..อิ อิ (ไม่คิดมาก)

การตัดสินใจครั้งใหญ่อีกครั้งของปู่ ที่ผมเสียดาย ก็คือ "ปู่ผม เกลียดตลาดหุ้น แต่ชอบเงินสด(Cash is King)" แต่ถ้ามองในมุมของปู่ ก็น่าอยู่หรอกครับ เพราะช่วงเปิดตลาดหุ้นใหม่ๆมีบริษัทอยู่แค่ 8 บริษัท หลังจากนั้น ก็มีแต่กิจการเน่าๆ แถมปั่นราคากันใหญ่ ..แต่ประเด็นมันอยู่ที่ การรักษามูลค่าของเงินนี่แหละ ที่ผมเสียดาย!!

"ปู่ผมสร้างตัวจาก การทำงานหนัก ดังนั้นท่านจะ Value เงินสดว่ามันคือของจริง" แต่หลังจากที่โลกเราเข้าสู่ระบบทุนนิยมในอัตราเร่ง (หลังจาก เรแกน เป็นประธานาธิปดี) อเมริกาดึงเงินตัวเองออกจากทอง แล้วผูกระบบการสร้างเงินเข้ากับหนี้ (สิ่งที่เกิดขึ้น คือ แค่ช่วง 30 ปี ที่ผ่านมา อเมริกาสร้าง Supply เงินเข้าสู่ระบบการเงินทั่วโลกอย่างบ้าคลั้ง ทั้งด้วย ธนาคารเอง บวกกับ Shadow Banking ที่เร่งปฎิกริยา การลดค่าเงิน และการเพิ่ม Inflation)

ประเด็นที่ปู่ผมคิด"ผิด!!"-- คือท่านคิดว่าเงินมันเป็นสิ่งที่รักษามูลค่าความมั่งคั้งได้ แต่ในมุมของ Banker มันไม่ใช่ ..สิ่งที่รักษามูลค่าคือ Asset ต่างหาก (ไม่แปลกนะที่ธนาคาร ไม่ค่อยสนใจแผนธุรกิจท่าน แต่เขาสนใจหลักทรัพย์ค้ำประกัน เพราะนั่นมันคือของจริง)

((หากย้อนเวลากลับไปได้))-- ผมจะแบ่งเงินของปู่ผม ไปลงทุน ในทอง ในที่ดิน และในหุ้น (สมมุติ เพราะจริงๆมันผ่านไปแล้ว)..ถ้าผมทำเช่นนั้น ปู่ผมจะรักษามูลค่าความมั่งคั้งไว้ได้ แถมยังรวยขึ้นอีกในอัตราเร่ง!! ..สิ่งที่คุณปู่ผมพลาด "มันคือมุมมอง และมูลค่าของเงิน"

...คิดให้ดี เพราะชีวิตนี้ยังพอมีเวลา ให้คุณเลือกได้ครับ!!

เรื่องเล่าจาก Banker โดย ภาววิทย์ (ตอนที่ 3)



ตอน : "เงินทองของมายา ข้าวปลาซิของจริง" (ยืมใช้ๆ หุ หุ)
เช้านี้หยิบอ่านหนังสือพิมพ์ Post today เจอพาดหัว "คนมีกินรวบ ศก." ..โห!! ขึ้นต้นด้วยสัจธรรมเลย (แปลกตรงไหนเนี่ย มันเป็นอย่างนี้ทั้งโลก!!) ..ผู้เสียภาษี 37% ทั่วประเทศมีแค่ 6 หมื่นคน(เอ๋อ!! รัฐจะหารายได้จากไหน เออ..เพิ่ม VAT ละกัน ดีไหมเนี่ย..เฮอะๆ คิดยังไงคนจนก็ซวยอยู่ดีอ่ะ!!)

จากสถิติคนรวยสุด 20% ของประเทศมีรายได้คิดเป็น 54% ของ GDP ..ส่วนคนจน 20% มีรายได้แค่ 4.8% "ต่างกัน 11.3 เท่า" (เงินฝากธนาคาร บัญชีที่มีเกิน 1 ล้านบาทมีแค่ 1.2% จากบัญชีทั้งหมด แต่มีจำนวนเงินถึง 71% ของเงินฝากทั้งระบบ)

เห็นภาพไหมครับว่า คนรวยเพียงหยิบมือ Control ทุกอย่างในประเทศ ซึ่งในหลักการของทุนนิยม (ชื่อก็บอกแล้วว่า "นิยม(ทุน)" ดังนั้น ถ้าคุณไร้ทุน คุณไม่เป็นที่นิยม สรุปติดกับดัก Rat Race (ของ Rich Dad) คือ วิ่งวนใช้แรงงานจนตาย แต่ไม่เคยรวย ---คุณว่าคนเงินเดือนเป็นแสนรวยไหม !!

"ตอบเลย"ในมุมมองของ Banker ถ้าคุณเงินเดือน "หนึ่งแสนขึ้น" คุณไม่รวยแต่คุณเป็น "เหยื่อ!!" เพราะ Sophisticated Product หรือ Product ซับซ้อนๆต่างๆพุ่งเป้าไปที่คุณ!! ไม่แปลกที่ทุกวันนี้แต่ละคนพกบัตรเครดิตไม่ต่ำกว่า 5 ใบ รวมทั้งมีหนี้บ้าน!! (หนี้บ้าน = หนี้หัวบาน!!..อิ อิ ผ่อนกันจนตาย) แต่อย่างน้อย Banker และรัฐบาลทั่วโลก ภายใต้ระบบทุนนิยม จะสรรเสริญคุณ เพราะคุณเป็น "กลไกเดียวที่ทำให้ระบบเงิน เดินต่อไป" (ระบบเพิ่ม Supply ของเงินไปเรื่อยๆ)--ทุกๆ 1 บาทที่ผ่านธนาคาร และวนจนถึงมือผู้กู้ มันได้ multiply ไป 9 เท่า..ยิ่งเศรษฐกิจดี คนกู้ยิ่งเยอะ กู้ธุรกิจ กู้บัตรเครดิต กู้บ้าน มันก็ยิ่งทำให้ Supply ของเงินพุ่งในอัตราเร่ง!! แหมมันส์จริงๆ "ตราบเท่าที่ Rat Race นี้ยังคงหมุนต่อไป ต่อไป ๆ...

ผมนั่งอ่าน นสพ. เห็นความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจนยิ่งมาก มันยิ่งสะท้อนใจ เพราะทางแก้พื้นฐานอย่าง การให้ "ปัญญา" ยังไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ ...(ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ผมได้ร่วมกับ "คุณหยง Trader (อิสระ)" ผู้หาเงินอย่างไม่ต้องเป็นลูกน้องใคร ร่วมกันต่อตั้ง Monkey Trade (http://monkeytrade.blogspot.com) เป็น Blog ที่สนับสนุนทางปัญญา ..พูดง่ายๆว่าเป็นทางเลือก ของการเดินทางสู่ Financial Freedom ในโลกแห่งทุนนิยม

ทุกวันนี้ชาวนาเรา กับชาวนาฝรั่ง รวยจนต่างกันราวฟ้ากับเหว สิ่งที่ต่างไม่ใช้พลังกาย แต่มันเป็นเครื่องมือ หรือ Instrument ทางการเงิน อย่าง Derivative (พวก Future, Option) -- คือชาวนาฝรั่งเขารู้"กำไรก่อนไถหว่าน"(ยืมคำพูดลุงโฉลกมาใช้ครับ!!) ดังนั้น ไม่แปลกที่ชาวนาเราจน เพราะเราไม่เคยรู้"กำไรก่อนไถหว่าน ทำให้มีโอกาสขาดทุนได้ตลอดเวลา"ในขณะที่ชาวนาฝรั่งสามารถ ล็อกราคาขายล่วงหน้าไว้เรียบร้อยแล้ว "นี่แหละความต่าง มันคือเครื่องมือทางปัญญา ที่คนรวยในบ้านเราไม่เคยคิดจะแจกจ่ายคนจน!!"

ในฐานะ Banker ตัวเล็กๆคนนึง ผมทำอะไรไม่ได้มาก ก็ได้แต่ช่วยแนะนำได้ว่า "ปัจจุบันเครื่องมือทางการเงิน(Financial Innovation)ที่เกิดขึ้นมา มันไม่ใช่เรื่องไกลตัวของท่านอีกต่อไป...ยิ่งการเคลื่อนย้ายเงินทำได้รวดเร็ว ประกอบกับเรามี "หมาป่าทางเศรษฐกิจ"ที่อาศัยเครื่องมือ เหล่านี้สร้างความได้เปรียบ จากความรู้ที่มากกว่า ..ส่งผลให้ความมั่งคั่งในปัจจุบัน เคลื่อนย้ายไปมาระหว่าง Asset Class อย่างรวดเร็ว

ไม่แน่ "เงินสดที่คุณถืออยู่ในมือ อาจมีมูลค่าลดลงครึ่งนึง เหมือนที่เคยขึ้นกับเราทุกคนในช่วงยุคต้มยำกุ้ง แต่ในอัตราที่เร่งกว่า และมากกว่า ในไม่ช้านี้(เจอแน่)!!" ..จงใช้ปัญญาของคุณ เตรียมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น!!

Are you Ready (ครับ)!!

เรื่องเล่าจาก Banker โดย ภาววิทย์ (ตอนที่ 2)



ผ่านเรื่องหนาวๆของเครื่องปั๊มเงิน คราวนี้มาดูจุดแข็งของธนาคารว่ามันคืออะไร!! ..ไม่เดาก็ถูกใช่ไหมครับ มันก็คือ "มั่นคง!!" เนื่องจากธนาคารเป็นเครื่องปั๊มเงินของระบบทุนนิยม ทำให้ทุก Boom & Bust จะมีธนาคารหรือสถาบันการเงินมีเอี่ยวด้วยเสมอ แต่ความแจ๋วก็คือ "มันเจ๊งยาก..ถึงยากสุดขีด" (ยิ่งถ้าธนาคารใหญ่ๆ ไม่ต้องพูดถึง มันเจ๊งไม่ได้!!)ถึงกับช่วงนึง อเมริกามีการออกมาตีแผ่ "รายชื่อลับ Too Big too Fail ของรัฐบาลอเมริกัน" ช่วงนั้นก็มีการฮือฮา!! กันยกใหญ่

เพราะถ้ามองจริงๆแล้วหลักการสำคัญที่สุดในการลงทุน คือค้องดูความมั่นคงของกิจการ ..ถ้าเรารู้แน่ว่ากิจการนี้มันไม่เจ๊ง "ผมบอกเลยว่า ยังไงเล่นหุ้นนี้ก็ไม่เสียเงิน!!" เพราะถ้าเราสังเกตให้ดีตลาดหุ้นก็แบ่งเป็นแค่ 2 ช่วงใหญ่ๆ ก็คือ Bull กับ Bear (ช่วง Bull มันก็คือ Bubble งั้นพูดได้เลยว่า ถ้ากิจการนั้นๆมั่นคงพอ มันก็ต้องสามารถผ่าน Bear มาเจอ Bull-- ก็อย่างที่รู้ๆกันว่า Bull Market ใครๆก็ได้กำไร "หลักการซื้อแบบ Too Big too Fail ก็คือซื้อทุกรอบ ที่มันเข้าสู่วิกฤตนั่นเอง"

ถ้าจะให้พูดกันจริงๆ บ้านผมนี่เป็นคอหุ้นธนาคาร(ก็เล่นรับใช้ธนาคารมา 3 ชั่วอายุคน ยังไงก็เกมบังคับน่ะครับ) แต่ซื้อตอนถูกเท่านั้นนะ ไอ้ตอนที่ชอบสุดๆก็ช่วงปี 2000 ที่หุ้นธนาคารกรุงเทพลงไปแตะ 20 บาท SCB เหลือ 10 กว่าบาท Kbank ก็ประมาณ 10 บาท ..เฮอะๆ!! Too Big too Fail ..บ้านผมอัดเต็มแม็ค!!(ยิ้ม) "ก็ช่วงนั้นก็อิ่มกันตามยถา กันเลยทีเดียว!!"

(แต่มีข้อควรระวัง ช่วงต้มยำกุ้ง ตลาด Crash แบบ "W Shape"นะ คือปี 1998 หุ้น BBL ลงไปแตะ 20 กว่าๆ จากนั้นพอปี 1999 มันก็ Rebound ขึ้นถึงเกือบ 90 แล้วพอปี 2000 ก็ร่วงลงมาใหม่ที่ 20 กว่าบาท..) แต่คุณเห็นไหมละครับว่าทั้ง "W" ในครั้งนั้น--ไม่ว่าจะเข้าตรงไหนมันก็ยัง "โคตรถูก" ..ถึงคุณห่วยจริงๆดันไปเข้าปี 1999 ที่ราคา 90 บาท (คุณลองดูราคาตอนนี้ซิ 140 บาทแล้ว..ยิ้มทั้งนั้น)

จะเห็นได้ว่า W ครั้งก่อน ถูกกว่า "ตลาดหุ้นปี 2010 อีก" แต่ทำไมตอนนี้นักวิเคราะห์ออกมาฟันธงกันว่าตลาดปี 2010 ยังไปได้อีก "แพงได้อีก"-- ก็เพราะ Inflation ไงครับ!! และเจ้า inflation มันก็คือผลิตผลของ "ระบบทุนนิยม + ธนาคาร --ร่วมทุนสร้าง..ว่างั้น!!)

ประเทศไทยเป็นประเทศเล็กมาก ดังนั้น ระบบเศรษฐกิจทั้งหมด หากถ้าเอาสายมาลากเชื่อมกัน จะล้วนมีจุดกำเนิดจาก 3 ธนาคารใหญ่ทั้งนั้น เรียก Connect จุดนี้ว่า "ชนวนแห่งเศรษฐกิจ" ฮ่าฮ้า!! มันก็การเชื่อมโยงของระเปิดเวลานั้นเอง และเป็นที่มาของ Cycle ของธุรกิจต่างๆ ที่ผลัดกัน Boom & Bust วนเวียนกันไปเรื่อยๆ อาศัยธนาคารเป็น เครื่องกระตุ้น ผ่อนแรง หรือ ชี้ขาด

(เรื่องสมมุติ)
ภาววิทย์ : "คุณสมชาย ธุรกิจคุณแย่มากๆ เราคงไม่สามารถปล่อยสินเชื่อเพิ่มให้คุณ!! ดังนั้น Go to Hell!!"
คุณสมชาย : ""What!! the..(FucXX!!)" (ในใจคุณสมชายรู้ดีว่า ถ้าได้เงินต่อ มันก็เปรียบเสมือน การต่ออายุสายชนวนทางเศรษฐกิจของกิจการคุณสมชาย ..แต่!!ธนาคารไม่คิดเช่นนั้น-- "ตัดชนวนเศรษฐกิจเส้นนั้นทิ้งไป!!")
นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ เพราะถ้าเรามาวิเคราะห์กันให้ดี ไม่ว่าธุรกิจใดมันก็ย่อมมี Cycle ทั้งนั้น ดังนั้น หากคุณเป็นธนาคารจอมโหด (ฉายา:"นักล่าแห่งทุนนิยม") คุณก็สามารถใช้ทุก Downturn ของ Cycle "ตัดน้ำเลี้ยง ..ไปเชิญกลุ่มหมาป่ามา ..จากนั้นก็รุมกินโต๊ะ" สนุกสนานจริงๆ

จุดนี้หลายคนอาจ งง ว่า "หมาป่าของระบบเศษฐกิจ คือใคร" ..มันก็คือกลุ่ม Shadow Banking ไง ที่จริงๆแล้วมันก็คือ Sub set ของธนาคารซึ่งแยกตัวออกมาเพื่อหากำไร "อย่างสุดโต่ง" แล้วนำกำไรเหล่านี้กลับคือสู่ เศรษฐีผู้ชักใยอยู่ข้างหลังระบบ "ชนวนแห่งเศรษฐกิจ" (กลุ่ม Shadow Banking ที่ผมพูดถึงก็คือ Investment Banker, Private Equity , Hedge Fund ต่างๆ ..จริงๆมันก็ตั้งชื่อให้มันต่างกัน แต่สุดท้ายพวกนี้ก็คือ หมาป่าของระบบเศษฐกิจ อยู่ดี)

Goldman Sachs เป็นผู้จุดชนวน Sub prime แต่ตัวเองรอด "คนจุดมันก็รู้ซิ มันถึงหนีทัน!!" หรืออย่าง The Carlyle Group กลุ่ม private equity ที่รวมเอาผู้นำระดับสูงของโกลอย่างอดีตประธานาธิปดีไอ้กัน Bush ผู้พ่อหรืออดีต CEO ใหญ่ๆอย่าง Louis Gerstner (จริงๆช่างมันเถอะ จะเป็นใครก็ตาม ...คือสรุปว่า เป็นการรวมตัวของนักล่า
"หมาป่าของระบบเศษฐกิจ" ละกัน)

นี่แหละครับภาพคร่าวของ "ชนวนแห่งเศรษฐกิจ" ซึ่งเข้าใจในแบบชาวบ้านว่า มันคือระเบิดเวลาที่เกือบทุกธุรกิจในโลก เชื่อมสายต่อมายัง "ธนาคาร(รวมถึง Shadow Banking)"..ฮึ ฮึ รู้สึกว่าธนาคารนี่มันมีอะไรลึกกว่า "ฝาก-ถอน-กู้" จริงๆนะครับ

เอ๋อ!! ธนาคารกรุงเทพกำลังรับสมัครพนักงานอยู่อย่างเมามันส์ ลองมาเป็นหมาป่ากันบ้างไหม!! ว่าแต่ อย่าไปมองเงินเดือนล่ะ กั๊ก กั๊ก!! เมืองไทยทำไมหมาป่ามีแต่ซี่โครงล่ะ ฮ่า ฮ่า...

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เรื่องเล่าจาก Banker โดย ภาววิทย์ (ตอนที่ 1)


เล่าเริ่มตั้งแต่สมัยคุณตาเลยละกัน ..เรื่องมันมีอยู่ว่า ตระกูล "รมยะรูป" ทางด้านคุณตาผม รับใช้ธนาคารกรุงเทพมาถึง 3 ชั่วอายุคน...คุณตาเป็นมือขวาท่านเจ้าสัวชิน บุกเบิกธนาคารกรุงเทพตั้งแต่เป็น "แบงค์ห้องแถว" ทุนตั้งแต่ไม่กี่สิบล้าน ..จนวันนี้มูลค่าธนาคารปาเข้าไป 2 แสนกว่าล้านบาท (เอ๋อ!! ลองดูๆ Growth รู้สึกว่ามันโตอย่าน่าใจหาย ดังคำกล่าว "จากสิบเป็นแสนล้าน จากงาน 60 ปีแห่งอาณาจักรบัวหลวง..เท่ห์ไหม!!")

รุ่นที่สองรุ่นรับใช้คุณ ชาตรี โสภณพนิช.. แม่+ลุง+ป้า+น้า (ทำธนาคารกรุงเทพเกือบทุกคน)..จนถึง "ยุคผม"รับใช้คุณโทนี่ (นายธนาคารที่หน้าใสที่สุดในวงการ..ไม่เชื่อไปดูรูปได้!!) ..โอเค เรื่องราวของธนาคารก็จบลงเพียงเท่านี้..(งง)

แฮะ แฮะ!! ล้อเล่น ..(ความมันส์มันเริ่มตรงจุดนี้ต่างหาก)-- หลายคนสงสัยว่าทำงานธนาคารทำอะไร วันๆฝากถอน ปล่อยกู้ ใช่หรือไม่ "ใช่ !!" แต่ความมันส์มันอยู่ที่ Logic ของธุรกิจต่างหาก ..ผมว่าหลายคนตั้งคำถามในใจอยู่แล้วว่า ธนาคาร กับ ความรวย มันเป็นของคู่กันหรือเปล่า!!

"ถูกต้อง" Logic ของธนาคารมันเริ่มจาก "เครื่องผลิตเงิน -- Money Printing Machine!!" ..เอ๋อ!! ไม่ใช่เครื่องพิมพ์เงินแบบโรงกษาปณ์นะครับ แต่ไอ้เครื่องพิมพ์เงินที่ว่านี่ "มันคือเครื่องที่สร้างเงินจากอากาศ และก็ให้กู้เป็นอากาศ" --ถามหน่อยว่าวันนี้คุณทำ Transaction โดยที่ไม่ได้จับเงินเลย มากน้อยเพียงใด (มากสุดๆ)

Transaction ของธนาคารส่วนใหญ่กว่า 90% "คุณไม่ได้สัมผัสเงินเลย มันคือตัวเลขที่วิ่ง ไหลไปมา" หลายคนตั้งคำถามว่า เอ๋!! อย่างนี้ถ้าเกิดคอมพิวเตอร์เจ๊ง แล้วระบบมันเกิดรวน จากนั้นมันก็โอนเงินมาใส่บัญชีผม 1 พันล้าน "ถามว่าจะทำยังไง!!"

..ถามได้ ผมก็ก็รีบถอนอย่างไว แล้วหายตัวไปเลยไง อิ อิ ...เอาเป็นว่าประเด็นนี้ เรารอให้เกิด Hacker เทพ กับสงครามเคลื่อนแม่เหล็กก่อน ตอนนี้อย่าเพิ่งก้าวไปคิดถึงขั้นนั้น เดี๋ยวคนจะแห่มาถอนเงิน มีหวังผมได้ตกงานแน่!!

หลายคนสงสัยว่า "อ้าว!! แล้วถ้าทุกคนเกิด Panic แล้วมาถอนเงินออกจากธนาคารพร้อมกัน อะไรจะเกิดขึ้น" --"เจ๊ง!! ก็เพราะธนาคารไม่ทางที่จะมีเงินพอ..ทำไมล่ะ!!"-- คุณลองคิดดูนะ สมมุติผมเริ่มต้นจากเงิน 100 บาท ฝากเข้าธนาคาร ..ธนาคารต้องสำรองเงินตามกฏของแบงค์ชาติไม่ถึง 10% นั่นหมายความว่า อีก 90 บาท ธนาคารสามารถปล่อยกู้ต่อไปได้ --ถึงจุดนี้ผมถามคุณว่า ถ้าธนาคารปล่อยกู้ทั้ง 90 บาทออกไป จะทำให้เงินทั้งหมดเป็นเท่าไหร่!!

"ถูกต้อง" ถ้าธนาคารปล่อยกู้ไปทั้งหมด 90 บาท มันหมายความว่า ในระบบเศรษฐกิจตอนนี้เงินที่มี ทั้งหมดรวมกันจะเป็น 190 บาท (พูดอย่างนี้หลายคนตกใจว่า เฮ้ย!! ตอนแรกมี 100 บาท แล้วตอนนี้เพิ่มเป็น 190 บาท ...จุดนี้ก็เพราะทุกคนที่กู้ไป 90 บาท จริงๆแล้วเขาต้องคืน "ดังนั้นในอนาคตเขาต้องเอาเงินมาคืน พร้อมดอกเบี้ย") ..ขอย้ำนะครับ ว่าคนที่กู้เงินธนาคารไปต้องเอามาคืนพร้อมดอกเบี้ย นั้นแสดงว่า จริงๆแล้วเงินที่ธนาคารจะได้กลับคืนมาในอนาคตมันคือ 90 บาท บวกดอกเบี้ย!!

คุณเข้าใจภาพที่ผมพูดไหม!! สรุปเงิน 100 บาท ธนาคารสร้างให้เป็น 190 บาท++ จากนั้นคนอื่นๆก็ทำอย่างนี้บ้าง ทุกคนทำ ธนาคารสร้างเงิน ..คนมาฝาก ..ธนาคารสร้างๆๆๆ ..คุณเห็นหรือยังว่า ธนาคารสามารถสร้างเงินจากอากาศ ..เท่ห์ไหม!!

"ไม่เลย..ไม่เท่ห์เลย" เพราะประเด็นมันอยู่ที่ว่า ทุกๆจำนวนเงินที่สร้างขึ้นมาใหม่ มันหมายถึง Supply ของเงินที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ Asset ในโลก ไม่ว่าจะเป็น ที่ดิน ,ทอง , อาหาร, น้ำมัน คือทุกอย่างน่ะ มันโตตามเงินที่มัน multiply เพิ่มขึ้นไม่ทัน!!-- ผลก็คือ "เงินเฟ้อ--Inflation"(เงินลดค่า แต่ของแพงขึ้นเรื่อยๆ)

ถามว่าวันนี้ผมในฐานะ Banker ผมรู้แล้วผมจะแก้ไขอย่างไร (แก้ไม่ได้!! จะไปแก้อย่างไรเล่า!!) นี่คือรากฐานของทุนนิยม คือมันสร้างให้เงินลดมูลค่า ซึ่งจะมากจะน้อย ขึ้นอยู่กับ Inflation ยิ่งถ้าการบริโภคเพิ่มขึ้น แต่พืชผล อากาศบ้าบอ เกิดภัยธรรมชาติ รถยนต์มาแย่งอาหารคน ข้าวโพด อ้อย ไปทำ Ethanol ผนวกกับภาพของธนาคารกลางทั่วโลกอัด Supply ของเงินใส่เข้ามาในเศรษฐกิจ ที่เขาเรียกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจ..จริงๆมันก็คือการกระตุ้น inflation ให้มันแรงๆ ๆ (ฆ่าตัวตายชัดๆ)

ทางแก้มีอยู่ทางเดียว นั่นก็คือ "การลงทุน เพื่อรักษาสถานะความรวยของคุณไว้" ..ผมใช้คำว่า แค่รักษานะ (ยังไม่ง่ายเลย!!) เพราะคนที่ลงทุนเก่งที่สุดในโลกอย่าง Warren Buffet ยังทำผลตอบแทนต่อปี Average ในระยะยาว( 40 กว่าปี) ยังไม่ถึง 25% ต่อปีเลย ..ดังนั้นตอนนี้ ใครที่กำไรอู่ฟู่ (คุณรักษามันให้อยู่นะ) ..โจทย์นี้ไม่ต้องตอบผม อีกสิบปี Port ที่คุณบริหารมันจะตอบคุณเองว่า "คุณเดินทางถูกหรือเปล่า"

ความมันส์ มันอยู่ตรงที่ การลงทุนจริงๆ คุณแทบไม่มีเวลาฝึกฝนเลย เพราะทุกช่วงเวลาคุณเจอเหตุการณ์หรือ Scenario ที่เปลี่ยนไปตลอดนะ ตอนนี้เข้าสู่ Commodity Cycle ผมพูดอย่างนี้หลายคนยัง งง อยู่เลยว่าผมพูดอะไร!!(เพราะวันก่อนแม่ยังสอนอยู่เลยว่าจะรวยต้องซื้อที่ดิน ..เชื่อแม่ดีไหมเนี่ย เอ๊ะ!! หรือไม่เชื่อดี..)

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สำนัก Oxford บู๊ลิ้มทางปัญญาของ ท่านนายก+ท่านคลัง..น่านับถือ!!



"ตั้งแต่เรามาเป็นรัฐบาล ดัชนีหุ้นก็ขึ้นไปจาก 440.40 จุด เป็น 875.07 จุด และไม่มีสาเหตุอะไรที่จะขึ้นต่อไปไม่ได้" Quote คำพูดคุณกรณ์ออกมาจาก Facebook เลย...(ถ้าถามผมว่า ผมเชื่อไหม -- "ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ..ยอมจำนนครับ!!"

ตั้งแต่มีรัฐบาลมา เพิ่งเคยเห็น นายกหนุ่ม(ที่สุด) ที่เจอปัญหาหนักที่สุดเท่าที่เคยมีมา ..แต่สังเกตไหม "หุ้นวิ่งเอาวิ่งเอา" --เวลานี้ถ้าถามผมว่า ผมชอบท่านนายกไหม คำตอบคือ "ไม่ชอบไม่ได้แล้ว!!" เศรษฐกิจจริงๆ รากหญ้าเป็นอย่างไรผมไม่รู้นะ แต่หุ้นวิ่งเอาวิ่งเอา .. เดี๋ยวก็มีคนนู๋น คนนี้ ออกมาให้ข่าว ให้ทีก็พุ่งที หรือไม่ก็ให้ข่าวทีก็ลง ให้ช้อน "เอ๊ะ!! มันเป็นความบังเอิญ หรือ บรรจงสร้าง อันนี้ผมชักจะสงสัยซะแล้ว!!"

ตอนนี้ตลาดวิ่งกว่า 800 จุด แต่คุณสังเกตไหมว่า หุ้นที่วิ่งคือหุ้นที่แทบไม่เคยวิ่งเลย ..ปกติตลาดเราให้น้ำหนักไปที่กลุ่มพลังงานเยอะมาก (หรือพูดอีกนัยคือตลาด SET เป็น Energy Dominate Market) แต่ตอนนี้กลุ่ม Energy ถูกแตะเบรกโดยใช้ มาบตาพุด ดึงไว้ (มันช่างบังเอิญเสียจริง!!).. นึกสนุกๆแค่รัฐบาลปล่อยเบรก "มาบตาพุต" 1200 ยังทุได้เลย อย่าว่าแต่พันจุดเลย เด็กๆ!! (แต่เขาไม่ปล่อยง่ายๆ เขาเก็บไว้เป็นพลังสำรอง ถ้าตลาดดันดิ่งผิดทาง เขาก็ปล่อยหมัดเด็ด ..แค่นี้ก็สามารถดึงดัชนีกลับมาชิวๆได้สบายๆ)

วันนี้เหล่า "นักปั่น" ไม่รู้มาจากไหน ใครสร้าง เครือข่ายใคร ..ช่างมัน!! (ที่ผมพูดไม่ใช่นักปั่นจักรยานนะครับ..!!) ไม่ต้องบอกหรอกครับว่า วันนี้ สมการความรวยเร็ว (ขอย้ำว่ารวยเร็ว!! )ก็คือการใช้ "ข่าว + นักปั่น" เท่ากับ "รวยเร็ว!!"

ไม่แปลกที่รัฐบาลนี้จะ "เก่งหุ้น" เพราะคุณกรณ์สร้างตัว จากหุ้น ฝีมือก็เรียกได้ว่า "ขั้นเทพคนนึงของเมืองไทย" ...จริงๆแค่คุณกรณ์ แย้มๆใน Facebook ก็น่าจะพอเดาออกแล้วนะครับ ว่า Road map ของตลาดหุ้นเราจะเป็นอย่างไรต่อไป "โบราณว่าน้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ ถ้าเทพว่าไปไหน คุณตามเทพไป (ไม่ใช่เทพเทือกนะครับ แต่เป็นเทพกรณ์..อิ อิ)"

วันนี้แม้การเมืองจะยัง "ลูกผีลูกคน" แต่การกอดกันแน่น ของผู้กุมอำนาจย่อมชี้ให้เราเห็นว่า จุดจบของเกมนี้จะเป็นอย่างไร ..แต่แน่นอนครับ ใต้น้ำย่อมมีคลื่นแฝงตัวอยู่มากมาย รอการปะทุ!! ..นโยบายการโปรยเงินของรัฐบาลตอนนี้ ทั้งการล้างหนี้รากหญ้า รวมทั้งการขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ก็ถือเป็นแนวทางที่ดี ที่จะสามารถปลดเกียร์ว่างที่ใส่ๆกันอยู่ให้กลายเป็น Drive ได้(น่าคิด!!)

ภาคธุรกิจของไทยเวลานี้ เดินเครื่องเกือบเต็มสูบแล้ว เริ่มตั้งแต่การประกาศขยายกิจการของธุรกิจต่างๆ ซึ่งแน่นอนใครประกาศปั๊บ หุ้นพุ่งขึ้นทันที ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ยังไม่ได้ทำอะไรเลย --เฮอะๆๆ!! สงครามสร้างข่าวสร้างราคามันเริ่มปะทุขึ้นอีกครั้งแล้ว ..ขอเตือนสติให้คนที่ฉลาด จับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด "ต้องดูที่เขาทำ ไม่ใช่ดูที่เขาพูด"

"ไอ้ประเภทกิจการที่พูดแล้วยังไม่ได้ทำ แต่ราคาหุ้นมันวิ่งไปแล้ว ..นี่ถ้าผมเป็นเจ้าของกิจการนะ --ผมขายหุ้นไปเลย แล้วไม่ต้องทำ สบายกว่าไหม!!" ...นี่คือมรสุมการก่อตัวขึ้นของ Asian Miracle 2 ถ้าไม่เชื่อให้ไว้หู แต่เอาตาดูให้ดีครับ!!

การเล่นหุ้นขาขึ้น ใครๆก็รวยทั้งนั้น แต่จุดที่คุณเข้ามัน ไม่ใช่ตีนดอย ตอนนี้มันกลางๆดอยแล้ว ต้องสังวรณ์ว่าใครซื้อหุ้นจากนี้ไป คุณไม่ได้ซื้อหุ้นถูก ดังนั้น Style การเล่นมันจะต้องเปลี่ยนไป .."อย่าโลภครับ!!"

โอเค!!..ปิดท้ายด้วยคำแนะนำจาก คุณกรณ์ (เทพหุ้นแห่งเมืองไทยที่ฮอตสุดในเวลานี้)


"อย่างไรก็แล้วแต่ ต้องเตือนทุกครั้งครับว่า การลงทุนมีความเสี่ยง และในการลงทุนในตลาดทุนนั้น ผมมีหลักที่ใช้มาโดยตลอดคือ

1. อย่าคิดว่าเรา “เล่นหุ้น” แต่เป็นการซื้อส่วนหนึ่งของกิจการ เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ต้องทำความเข้าใจกับกิจการนั้น ๆ และที่สำคัญต้องสามารถเชื่อใจในความซื่อสัตย์ของผู้บริหาร สำหรับผมประเด็นนี้สำคัญที่สุดเสมอ

2. ความผันผวนในตลาดหุ้นเป็น โอกาส เพียงต้องรักษาสติ อย่าไปเต้นตาม

3. ผมเชื่อว่าประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยเสมอ ใครที่บอกว่า “ครั้งนี้จะไม่เหมือนครั้งก่อน” คือผู้ที่กำลังจะพลาดท่าครั้งใหญ่

4. ทิ้ง 10%สุดท้าย (ทั้งตอนที่ซื้อและตอนที่ขาย) ให้คนอื่นเถอะครับ อย่าโลภ

5. อย่าซื้อหรือขายหุ้น เพียงเพราะหุ้นกำลังขึ้น หรือกำลังลง นั่นคือการ “เล่น” ตามกระแส ไม่ใช่การลงทุน"

......"อย่าโลภ!! ...อิ อิ"

"ศาสตร์แห่งปูติน" จากสายลับสู่ประนาธิปดีรัสเซีย ผู้คุมอำนาจเบ็ดเสร็จใน 8 ปี



"ศาสตร์แห่งปูติน" เป็นการก้าวขึ้นมาสู่เส้นทางอำนาจเบ็ดเสร็จ(คุมทั้งเศรษฐกิจและการทหารของรัสเซีย)

ด้วยเวลาเพียง 8 ปี "วลาดิเมียร์ ปูติน"ผันตัวจากสายลับ KGB เข้าสู่ การเป็นประธานาธิปดี (คุณทักษิณยังใช้เวลามากกว่านั้นเลย..ทำได้ไง!!)ด้วยวัยเพียง 47 ปี ปูตินได้ก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งสูงสุดในครั้งนี้ด้วยการสนับสนุนจาก บอริล เยลต์ชิน ..นับเป็นห้วงเวลาที่ เศรษฐกิจรัสเซียตกต่ำถึงขีดสุด (สาเหตหลักๆของความตกต่ำของรัสเซีย ก็เนื่องจากความไม่พร้อม ของการเปลี่ยนจากระบอบเผด็จการมาสู่ประชาธิปไตย ดังนั้น คนจึงแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ รวยสุด กับ จนสุดขีด!!)

"สิ่งที่ปูตินทำ ถือว่าเหลือเชื่อ!!" คือ หลังจากที่เขาก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งประธานาธิปดีของรัสเซียในปี 2000 เขาก็เริ่ม "ยืนบนขาของตัวเองทันที" แม้ว่าข้อตกลงลับๆ ระหว่าง บอริล เยลต์ซิน ในการสนับสนุนเขา "ว่าเขาจะไม่เช็คบิล ย้อนหลัง เยลต์ซิน" ..แน่นอน!! ปูตินทำตามสัญญา แต่เหนือไปกว่านั้น เขาได้ ดึงเครือข่ายของ เยลต์ซิน ให้พ้นจากวงจร แล้วสร้างเครือข่าย"ปูติน" ที่คุมอำนาจเผด็จการอย่างเบ็ดเสร็จขึ้นมาแทน!!"

ปี 2007 ปูติน ได้รับยกย่องจากนิตยสาร Time ให้เป็น Person of the Year "เนื่องจากในปีนั้นเอง คะแนนนิยมในตัวปูติน ขึ้นถึง 80% (ถือว่าสูงมาก ถ้าวัดกับผู้นำประเทศอื่นๆของโลก) เขาสร้างให้อุตสาหกรรมเติบโตกว่า 76% , การลงทุนพุ่งถึง 125% และคนในประเทศรวยขึ้น 7 เท่า "เรียกได้ว่า ศาสตร์แห่งปูติน สามารถสร้าง miracle จากประเทศที่ตกต่ำถึงขีดสุด ขึ้นมาเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจ Hot ที่สุดประเทศหนึ่งของโลก เลยทีเดียว

มาดูกันว่า "ศาสตร์ของปูติน" คืออะไร .."คือเผด็จการ ทุนนิยมนั้นเอง!!" ...ตั้งแต่ สิงค์ไปร์ ตามมาด้วย มาเล และ จีน ผมว่า "ระบบทุนนิยมประชาธิปไตย" กำลังถูกท้าทายด้วย "ระบอบเผด็จการทุนนิยมเข้าแล้วซิ!!" ..หากเรากางเศรษฐกิจทั่วโลกมาดู คุณจะเห็นได้ว่า "สิ่งที่ผมพูดมันคืออะไร" ---(แต่!! ใช่ว่าระบอบนี้จะไม่มีข้อเสีย เพราะจุดสำคัญที่ประเทศอย่าง สิงค์โปร์ หรือ รัสเซีย สามารถเดินไปได้ ก็เนื่องจากผู้นำ "ไม่โกง" (เฮอะๆๆ ต่างกับประเทศเรายังกับฟ้ากับเหวเชียวครับ!!)

อ๋อ!! ประเทศเราขืนเอาระบอบนี้มาใช้ จะเป็นแบบ อูกันดา หรือ ซิมบับเว เพราะถ้าเรามีจังหวะ "พี่ท่าน" โกยเข้ากระเป๋าตัวเองอย่างเดียว แย่ชะมัด!! --- กลับมาที่ประเด็นของ "ศาสตร์แห่งปูติน" ก็คือ การรวบศูนย์อำนาจทางการทหารและเศรษฐกิจเข้าสู่ส่วนกลาง"เครมลิน"... และใช้อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จในการชี้นำประเทศ

"เครมคิม" ฐานบัญชาการการรบของปูติน เริ่มตั้งแต่ คุมสื่อ ยึดทรัพย์จากเศรษฐีฝ่ายตรงข้ามอย่าง Mikhail Khodorkovsky เจ้าของ Yokos (บริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย ก่อนที่ปูตินจะมามีอำนาจ) แล้วก็สร้างเครือข่ายของน้ำมันให้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ..สาเหตที่ ประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนการกระทำเช่นนี้ของปูติน ก็เนื่องมาจากทุกคนเชื่อม่ันว่า KGB ไม่มีทางโกง และทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติ (นี่แหละจุดแข็งของ "ศาสตร์แห่งปูติน" มันคือความ"ศรัทธา"นั่นเอง)

ปัจจุบันปูตินเก้าลงอย่างตำแหน่งอย่างสวยงาม พร้อมคุมบงการอยู่เบื้องหลัง ไม่ต่างจาก "ป๋าลี!!(ลี กวน ยู)" ทั้งหมดมันเป็นการชี้นำ ถึงสัจธรรมให้เราเห็นได้ว่า ผู้ที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ไม่ใช่คนที่ทำเพื่อตัวเอง(ซึ่งบางที อาจต้องใช้ตัวเข้าแลก และรับความโกรธแค้นทุกอย่างเข้าตัว จากนั้นก็ใช้ตัวเองเป็นเกาะกำบังให้ประเทศพุ่งสู่เป้าหมาย "พูดง่ายๆคือ ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว..ซึ่งจุดนี้จะสำเร็จหรือไม่ มันก็ขึ้นอยู่กับคุณธรรมของผู้นำเผด็จการท่านนั้นๆ")

ท้ายสุดผู้ให้ ก็ย่อมเป็นผู้ได้รับ(อย่างจริงใจ) -- อย่าง "ลี กวน ยู" ได้รับการยกย่องให้เป็น บิดาแห่งสิงค์โปร์ (เอ๋อ!! ปูติน ยังไม่ถึงขั้นนั้น) เอาเป็นว่านี่เป็นตัวอย่างของ ศาสตร์ของการให้ "แล้วคุณจะได้รับ..นั่นเอง!!" สุดยอด!!

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ยุคมืดของ Las Vegas กับยุครุ่งโรจน์ของ “มาเก๊า”



Gary Loveman ก้าวออกจากการเป็นอาจารย์ของ Harvard Business School เข้ามาเป็น CEO แม่ทัพใหญ่ให้กับ Harrah’s Entertainment (หนึ่งใน Casino Group ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เจ้าของ Casino 59 แห่ง ทั่วโลก”)...ปัญหาอย่างเดียวที่ Harrah ไม่มีก็คือ Casino ใน “มาเก๊า” (ตลาด Casino ที่ Hot ที่สุดในโลก “แหล่งดูดเงิน จากเศรษฐีจีนที่สุดจะอู่ฟู่ในยุคนี้!!”

Gary Loveman เริ่มขยาย Harrah จาก Regional Player ไปสู่การเป็น Global Player โดยการนำความเก่งในด้านงานวิจัยในช่วงที่เป็นอาจารย์ Harvard ในเรื่อง “Customer Royalty Program” และการนำข้อมูลลูกค้ามาวิจัย --- นำมาซึ่ง “ความพอใจของลูกค้า ซึ่งทำให้ Harrah เป็น Casino Group ที่กำไรที่สุดในโลก”

คุณรู้ไหมว่า “กลุ่มลูกค้าที่ทำกำไรให้ Casino มากที่สุด ไม่ใช่ High Roller หรือ Hi-so นี่นั่งเครื่องบิน Jet ส่วนตัวมาเล่นแต่อย่างใด” …แต่กลุ่มที่ทำเงินให้ Harrah มากที่สุดก็คือ “ป้าแก่ๆ” ---“ไม่ผิดหรอกครับ!! หญิงสูงอายุนั่นเอง ที่เป็นคนที่สร้างผลกำไรมากที่สุด จากการเล่น Slot Machine” -- การใช้ Demographic เข้ามาวิเคราะห์เข้ากับพฤติกรรมของลูกค้า ทำให้ Harrah สามารถหากลุ่มลูกค้าที่กำไรที่สุดเจอ!! …. จากนั้นก็เสนอ สิ่งตอบแทนที่ดีให้ลูกค้ากลุ่มดังกล่าว

การที่ Casino ต่างๆ Focus แต่ลูกค้า Hi-so ทำให้เขามองข้ามลูกค้าที่กำไรที่สุด อย่าง “ป้าแก่ๆ” โดยไม่เหลียวแล --- จุดนี้เองทำให้ Harrah จัด Royalty Program และสนองตอบลูกค้าที่ทำกำไรให้กับ Casino มากที่สุด ..ผลก็คือ “Harrah ทำกำไรเกือบ 2 เท่าของ industry average”

กลับมาที่จุดตกต่ำของ Harrah นั่นก็คือ การตัดสินใจผิดของ CEO “Mr.Loveman” ผู้ตัดสินใจเดินหนีออกจากการประมูล License การเปิด Casino ใน “มาเก๊า” ด้วยสาเหตุที่เวลานั้น Loveman มองว่า ค่า license เริ่มต้นที่ราคา 900 ล้านเหรียญ เป็นอะไรที่ “แพงเกินไปและไม่คุ้ม” ---แต่ในที่สุดบัดนี้ Loveman ก็ได้เรียนรู้ว่า “การไม่เข้าลุยมาเก๊า เป็นการเดินที่ผิดที่สุดในชีวิตของเขา”

Las Vegas ตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา เข้าสู่ยุคตกต่ำ รายได้ลดลงเกือบครึ่ง … Loveman ตัดสินใจ ทำ LBO (Laveraged buyout) ร่วมกับ Private Equity อย่าง Apollo และ TPG Capital ในปี 2008 –“ซึ่งจะว่าไปแล้วก็คือ ทำในช่วงที่ผิดอย่างแรง เพราะหลังจากนั้น Harrah ก็โดน Hit ด้วย Sub-prime คือรายได้ลดลงอย่างมหาศาลทั้งอุตสาหกรรมการพนัน พร้อมด้วยโดน Hit ด้วยหนี้อย่างมหาศาลจากการทำ LBO (Laveraged buyout)” และสิ่งที่เจ็บปวดไปกว่านั้นของ Loveman ก็คือ ตลาดแห่งเดียวของ อุตสาหกรรมการพนันที่ยัง Boom อยู่ก็คือ “มาเก๊า”

จากกรณีศึกษานี้ มันชี้ให้เราเห็นเลยว่า แม้แต่ CEO เก่งๆอย่าง Loveman ผู้ที่เคยนำทัพ Harrah ให้รุ่งสุดขีดในช่วงก่อนหน้านี้ ด้วยการปฎิวัติวงการ Casino ด้วยการนำเอา Customer Information Analytic มาใช้ ซึ่งทำให้ Harrah สามารถรีดกำไรได้สูงที่สุด ..แต่ด้วยความสำเร็จที่ยิ่งยวด มันทำให้ในที่สุดก็สะดุดขาตัวเอง โดยการปฏิเสธการเข้าไปลงทุนใน “มาเก๊า” เพื่อรองรับตลาดจีน ที่บูมที่สุดในขณะนี้ (ทำให้คู่แข่งอย่าง MGM และ Sand Casino เข้าไปนอนตีพุง ทำกำไรอย่างผูกขาดใน “มาเก๊า”) และอีกจุดที่พลาด ก็คือ การสร้างหนี้ โดยการทำ LBO ในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ …จุดนี้มันชี้ให้เห็นเลยว่า Loveman เก่งการวิเคราะห์ข้อมูล แต่ไม่เคยมองการณ์ไกลเลย!! ( No Vision )

ตอนนี้ Harrah ขาดทุนอย่างมหาศาล พร้อมทั้งกำลังทุ่มสุดตัวเพื่อที่จะไปเปิด Casino ในมาเก๊าให้ได้ และได้ทุ่มเงินไปกว่า 600 ล้านเพื่อซื้อที่ดินในมาเก๊า (โดยที่ยังไม่มีแววว่าจะได้ Gambling Licensed แต่อย่างไร!!) … “เป็นการเดินตาม ตลาดที่ขุดหลุมฝังตัวเองอย่างชัดเจน ซึ่งต่างกับ Case ของ BP ที่ผมเคยยกมาก่อนหน้านี้ เพราะ BP พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ..ในขณะที่ Harrah เดินแบบ งง ๆ ตามตลาด(ใช้ Strategy แบบ Me too!!)ซึ่งแน่นอนมันไปไม่รอด..ฟันธง!!)

จาก Case นี้มันชี้ให้เราเห็นเลยว่า ตอนนี้อเมริกาแย่ ในขณะที่จีน ยังสบายไปอีกนาน!! "มาเก๊า รุ่ง -- Las Vegas ร่วง" Loveman ดันลงทุนสวนทางจากที่เขาควรจะลง ... (เดินตามตลาด = ฆ่าตัวตาย!!)

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

“ปลายฝนต้นหนาว” เศรษฐกิจไทย ไปยังไงต่อ โดย ภาววิทย์ (16 สิงหา 2010)



ตอนนี้ขบวนนักวิเคราะห์ เริ่มออกมาฟันธงกันอีกครั้งว่า SET เลย 1,000 จุดแน่นอน (เชื่อดีไหม!! เห็นผิดตลอดเลยตั้งแต่ปากกาหัก ..อิ อิ)

เราได้ ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล มาเป็นผู้ว่าแบงค์ชาติคนใหม่ของเรา ซึ่งผมมองว่า “เยื่ยมนะ!!” เพราะจากผลงาน การนำทัพ K-bank ขึ้นมาโดดเด่นที่สุดใน The big three ถือเป็นผลงานที่พิสูจน์ฝีมือว่า เก่งขั้นเทพ!!... เมื่อเช้าหยิบ กรุงเทพธุรกิจมาอ่าน เจอแกให้สัมภาษณ์ “เงินสำรองเราไม่ได้เยอะอย่างที่คิดกัน!!” (อ้า!! หนึ่งโชว์ความเป็น media mover อย่าง Greenspan ที่พูดทีไร ตลาดหมุนตาม (เท่ห์) สอง โชว์ความ Conservative ในมุมมอง “ลุ่มลึกในมาด หัวเรือใหญ่ธนาคารชาติ” ..เชียร์ไปหรือเปล่านี่ ..ฮิ ฮิ ฮิ)

ตอนนี้เงินสำรองระหว่างประเทศประมาณ 1.5 แสนล้านดอลล่าห์ (มากแค่ไหน ก็ประมาณ ว่าถ้าเรานำเข้าอย่างเดียว ไม่ส่งออกเลย จะอยู่ได้ 3 เดือน..จุดนี้หลายคนอาจมองว่า “บ้าหรือ น้อยจริงๆ” แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ เพราะประเทศเราเป็นประเทศพึ่งพาการส่งออก ดังนั้นในสถานการณ์ปกติ -- ส่งออกมากกว่านำเข้าอยู่แล้ว “เงินสำรองจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆดังที่เห็น”)
ดร.ประสาน มองว่า “ในอนาคตเราต้องลดการพึ่งพาการส่งออก และสร้างการบริโภคภายในให้ใหญ่แทน” จุดนี้เป็นการมองที่ฉลาด เพราะถ้ามองให้ดีแล้ว เดิมเอเชียทั้งหมดพึ่งพาการส่งออก หรือ พูดอีกนัยก็คือ “เอเชียผลิตให้ไอ้กันแดก!! แต่ตัวเอง ผอมบาง” ตอนนี้อเมริกากินจนอ้วนเป็นชูชก “พุ่งแตก” หนี้สินมหาศาล ตอนนี้จะเห็นได้ว่าทั้งอเมริกาและยุโรปมีหนี้หัวบาน !!

…เอกชนก็เลยชะลอการบริโภคอย่างที่เห็น ทำให้รัฐบาลอเมริกาและยุโรปต้องเป็นผู้บริโภคแทน ด้วยการก่อหนี้ และก็เอาเงินมา ถมเมือง!!

จากเอกชนกู้เกินตัว ตอนนี้เพิ่มอีกปัญหาคือ รัฐบาลกู้เกินตัว (ถ้าไม่ทำตลาดจะพังทันที) …ดังนั้น ตามที่ ดร.ประสาน มองถือว่า ถูกต้อง “อนาคตเราจะมาหวังแต่ส่งออก ไปไม่รอดแน่นอน” …(แล้วไงต่อ!!) ถูกต้องแล้วครับ เราต้องมองไปข้างหน้า คือ จากการที่เอเชียมุ่งแต่ผลิตๆ ส่งออกๆ แล้วก็เป็นเจ้าหนี้ประเทศตะวันตก …แต่ด้วยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของประเทศตะวันตก ผมมองว่าประเทศเอเชียจะหันมากระตุ้น และสร้างตลาดการบริโภคภายในของประเทศตัวเองให้แข็งแรงขึ้น --ดังนั้นที่ผม ฟันธงการเกิด Asian Miracle 2 ไปใน หนังสือ “แกะรอยหยักรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet” ของผม เชื่อว่าใกล้จะได้เห็นอีกไม่นาน !!

ย้อนกลับมาดูอเมริกา ซึ่งหลายๆคนกังวล ว่าถ้าท้ายสุด “ไปไม่รอด” โลกทั้งโลกก็จะ “ซวยเหมือนปี 2008” ..แต่ผมกลับไม่มองอย่างนั้น --อเมริกาเป็นเจ้าแห่งทุนนิยม ที่เอาตัวรอดทุกยุค ด้วยการผลักภาระไปข้างหน้า “อาศัยการก่อ Bubble ลูกใหม่แทน” ดังนั้น จริงๆถ้าถามว่า หนี้สินที่อเมริกามีนั้น ต้องใช้คืนไหม --จริงๆมันไม่ต้อง!! เพราะตราบใดที่โลกยังคงอยู่ภายใต้ระบบทุนนิยม ตราบนั้น อเมริกายังไม่ตาย!! และก็ยังสามารถผลัก Bull shit โดยการสร้าง Bubble ลูกใหม่กลบวิกฤตเก่าไปเรื่อยๆ (ชิวๆ)

ตอนนี้หนี้สาธารณะของอเมริกาแตะ 90 % ต่อ GDP (ซึ่งคาดกันว่าจะแตะ 100% ต่อ GDP ในไม่ช้า) …จริงๆผมถามหน่อย เขาตื่นเต้นอะไรกันหรือ!! ญี่ปุ่นหนี้สาธาณะต่อ GDP แตะ 200% แล้วยังไม่เห็นเจ๊ง!! …เอาอย่าง SCC หนี้สินก็มากกว่ารายได้เกินเท่าตัว ไม่เห็นผู้บริหาร SCC หรือ ผู้ถือหุ้นออกมา โวยวาย -- “เฮ้ย!! ซวยแล้ว ..เห็นแต่นั่งยิ้มดูราคาหุ้นพุ่งเอา ๆ (งง ไหมล่ะ!!)

ขอย้ำนะว่าเราอยู่ในระบบ “ทุนนิยม” ไม่ว่าจะเป็น Corporate หรือ ประเทศ ก็ไม่ได้ต่างกัน …เพราะตราบใดที่คุณยังสามารถ create Value จอมปลอม เช่น ราคาหุ้น , ราคา Asset ให้มันขึ้นต่อแล้ว และคุณยังสามารถชำระหนี้ได้แล้ว (ซึ่งด้วยเครดิตอย่างอเมริกา ทำได้สบาย) การสร้างหนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด

ประเด็นจึงไม่ใช่การมาดู เรื่องการสร้างหนี้ของอเมริกา แต่ประเด็นของการสร้าง Another Bubble ต่างหากที่ต้องจับตามอง “การสร้าง Bubble ก็เริ่มจากการสร้าง Innovation ซึ่งจุดนี้เป็นรากฐานของอเมริกาอยู่แล้ว”

บทความที่ผม concern ในครั้งที่แล้ว ในเรื่องของ ประเด็นระหว่างจีน ที่เข้ามา challenge ในเรื่องของ Clean Energy ที่ผมมองว่า จะเป็น Key ของ The Next Innovation นั่นเอง (แต่เท่าที่ดู ผมก็ยังเชื่อว่า ท้ายสุดอเมริกาก็ยังคงเป็น หัวหอกของ The Next Innovation เพราะไม่ว่าด้วย ทุน โครงสร้างของอุตสาหกรรม ศักยภาพของคน และ Technology ..อเมริกายังคงกินขาด!!)

ปลายฝนต้นหนาวนี้ ขอแนะนำให้ซื้อหุ้นในกลุ่มที่ ลั้งตลาดอย่างพลังงาน จากนั้นเลิกฟังเสียงนกเสียงกา ถือมันผ่านไปอีกจนถึงช่วง Asian Miracle 2 ที่ผมมองว่าน่าจะ peak ในปี 2556 (ตามดวงเมือง ..อิ อิ แทรกไสยศาสตร์นิดๆ!!) จากนั้น โยกเงินออก แล้วรอการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ อเมริกา!!

(เอ๋อ!! บทความนี้ ลับเฉพาะ นักลงทุน Cycle เท่านั้น พวก Value Investor กับ Trader อย่าเอาไปใส่ใจครับ ---- เล่นมันส์ๆตามตลาดไปก่อน อิ อิ อิ…)

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

“Selling Signal” จะรู้ได้ไงว่าตลาดจะ Crash !! (ผมสังเกตเห็นตั้งแต่อยู่ Australia คืออะไร!!)



ผมทำกำไรจากหุ้นอย่างมหาศาลช่วง Sub prime Crash!! ตอนปลายปี 2008 ..(หลายๆคน คิดว่าผมโชคดี “ใช่แล้วครับ!! ผมโชคดี) ..แต่มันก็ไม่ใช่โชคดีทั้งหมด(คือ ในความโชคดี มันเริ่มจากความซวย …ผมถึงชอบ ขงจื้อ ไง ..เวลาไหนชีวิตมันดีๆหลุดจาก mean ไปมากๆ ผมว่าคุณเตรียมพบกับ “ความโชคร้าย”ที่จะเข้ามาเยือน (อย่าประมาท!!)

ก่อนที่ผมจะกลับเมืองไทย ธุรกิจผมคือ Chain ร้านอาหาร กับ โรงงานกระจกที่ผมทำอยู่ที่ Australia เจอวิกฤตเข้ามากระทบอย่างรุนแรง (ถ้าเทียบว่า ชนชั้นของผม ที่อยู่ใน Australia แม้ผมจะเป็น เจ้าของกิจการ แต่ผมก็เป็นไอ้ Yellow อยู่ดี!! …นั่นหมายถึง ผมอยู่ใน Australia ในฐานะของ คนระดับรากหญ้า ..สิ่งที่ผมเจอ คือ ช่วงปี 2007 คนใช้จ่ายลดลงอย่าง ฮวบฮาบ “กิจการทั้งหมดของผม เจอกระทบอย่างหนัก เพราะร้านอาหารของผม ตั้งอยู่ใน เมืองรอบนอก ..ไม่ใช่ใน Sydney ที่อุตสาหกรรม Finance ในช่วงเวลานั้น “รวย เงินสะพัด กันสุดขีด”

คือ ผมเป็นคนที่ ชอบอ่านหนังสือ และติดตามข่าว (แม้ช่วงเวลานั้น ผมจะเป็น แค่เจ้าของร้านอาหาร “คนผัดข้าว” ..ผมก็ยังไม่ละทิ้งการอ่านหนังสือนะ!!) …ผมพบว่า กระแสในช่วงปี 2007 มันเกิดการ บูมอย่างสุดขีดของ อุตสาหกรรมการเงิน ..ช่วงเวลานั้นมันเกิดมี สภาพคล่องของเงินที่ล้นระบบ --เครื่องมือ gearing ที่เขาใช้ในการ Double profit เข้าไปอีกในเวลานั้น ก็คือ “Private Equity” ถ้าใครติดตามข่าวเวลานั้น ทั้ง Blackstone, KKR, Carlyle และเหล่า Private Equity เวลานั้น “รวยกันสุดขีด!! เพราะมันเงินทุนมันหาง่าย”

ช่วงนั้น เกิดการที่ Private Equity เข้าซื้อกิจการจาก “เจ้าของกิจการ” ..ผมจำได้ว่า อ่านบทความนึง จากนิตยสาร BRW Australia บอกว่า “ช่วงเวลาที่เศรษฐีขายกิจการ มันเป็นสัญญาณหายนะ!!” ..หลังจากนั้นปลายปี 2007 ผมเห็นข่าว ถึงการเริ่ม พังของระบบการเงิน ..แต่ช่วงนั้น ตลาดหุ้นยังไม่ crash (หุ้นยังขึ้นต่อ อย่างเริงร่า!!)

ผมกลับเมืองไทยตอนต้นปี 2008 จากนั้นก็เข้ามาทำงานให้ คุณ โทนี่ ในส่วนของ Office of President ของธนาคารกรุงเทพ… ที่แห่งนี้เปิดโอกาสให้เห็น (Banking War room) ..ว้าว!! วาติกัน แห่งเศรษฐกิจเมืองไทย ( …อิ อิ เวอร์ไป !! แต่ผมได้เห็นข้อมูลและภาพรวมของระบบธนาคาร อย่างมหาศาล เพราะผมเข้ามาในธนาคารกรุงเทพ ในจังหวะที่กำลังเตรียมการปรับปรุงครั้งใหญ่ เพื่อเตรียมรับกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น !!)

เกริ่นหน่อยว่า “คุณแม่ผมจะซื้อหุ้นไว้จำนวนมาก อยู่ตลอดเวลา” ช่วงต้นปี ผมเอาข้อมูลต่างๆให้แม่ดู แล้ว convince ให้ล้าง Port ทิ้ง …ในที่สุดเราก็ขายล้าง port ไปตอนต้นปี 2008 ..จากนั้นแม่ผม ก็มองหุ้นที่ขายไปหลายๆตัว วิ่งขึ้นไปต่อ “เซ็งสุดขีด!! นั่่นคืออารมณ์ของแม่ผม ในเวลานั้น”

หลังจากตลาดเริงร่า ไปจนถึงกลางปี 2008…ในที่สุดสิ่งที่ีผมกลัวมันก็เป็นจริง!! –ตอนนั้น Lehman Brother เจ๊ง ก่อให้เกิดตลาดหุ้น Crash อย่างหนักทั่วโลก!! จากนั้นปลายปี 2008 หุ้นที่ขายออกไป ราคาตกไปเกือบครึ่ง บางตัวตกไปเกินครึ่งของ ราคาที่ผมขาย …ผมตัดสินใจ “ซื้อ” (แต่ก็อย่างที่บอก ไม่มีใครโชคดีตลอด เพราะในเวลานั้น ผมคิดว่า ตลาดจะตกอีกนานมากๆ “ตามข่าวที่ประโคมกัน” ผมจึงแปลงร่างเป็น Trader เข้าซื้อขายอย่างรวดเร็ว..พอกำไรก็รีบออก

ผม Trade ผ่านช่วง “ปิดสนามบิน” และเข้าออก อย่าง Trader ตลอดปี 2009 (สรุปตลาดวิ่งไป 60% แต่ผมกำไรแค่ 30% …โง่!! แต่เผอิญมันเป็นฐานเงินที่ใหญ่ กำไรที่ได้มันจึง ทำให้แม่ผม แฮปปี้!!ไม่น้อย)

และแล้วรางวัล จากแม่ สำหรับการ Trade แบบไม่ค่อยฉลาดนัก ก็คือ “Mercedes Benz (E200) NGT สีดำป้ายแดง!!” ..ผมซวยจากกิจการใน Australia แต่ก็มาโชคดีจากหุ้น Sub prime (แล้วไงต่อล่ะ!!)

ผมเริ่มสับสนระหว่างผลตอบแทนที่ผมทำได้ ว่าตลาดขึ้นถึง 60% แต่ทำไมผมทำกำไรแพ้ตลาด (ผมกำลังทำอะไรอยู่!!) ..และนั้นก็ทำให้ผม จมปักอยู่กับข้อมูลมหาศาล พร้อมกับเขียน Blog (http://pawawit.blogspot.com) และก็ กลั่นออกมาเป็น หนังสือ “แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet” (ขายเฉพาะใน web ( www.stock2morrow.com)น่ะครับ!!)
และหนังสือเล่มนี้แหละที่เป็น คำตอบสำหรับการลงทุนในก้าวต่อไปของผม “ที่กำลังเตรียม ความพร้อม ของการเข้าสู่โลกการลงทุนในยุค Asian Miracle 2” …ที่ผมกล้าฟันธง หลายๆอย่าง ทั้งหุ้น และ เศรษฐกิจ ก็เพราะผมเชื่อว่า ตำแหน่งหน้าที่การงานในอาชีพ รวมทั้งข้อมูลที่ผมศึกษาอย่างจริงจัง “มันทำให้ผมมั่นใจ อีกไม่นานคงได้เห็นกันว่า ผมคิดผิดหรือถูก ..เพราะหลักฐานมัน ได้เขียน ชัดอยู่แล้วในหนังสือ เล่มนี้ของผม…อ่าฮ่า!! รอเพียงเวลาครับ”

(ปล.)ใครยังไม่ได้ซื้อหนังสือผม (อย่ารีรอนะครับ!!) มันเป็นหนังสือ ที่ใช้ต้นทุนถึง 20 ล้านบาท ในการเสียค่าโง่!!.. ก่อนจะออกมาเป็นประสบการณ์ที่ผมกลั่นออกมาเป็นตัวอักษร …โอเคเพื่อนๆ คลิ๊กสั้งเข้าไปเลยที่ www.stock2morrow.com (คุ้มๆ..อิ อิ โฆษณาสุดตัว) “ไปซื้อนะครับ!!”

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

The Money Making Machine!! จะสร้างมันอย่างไรโดยไม่พึ่ง “โดเรมอน”



ผมค้นพบเคล็ดลับของการสร้าง The Money Making Machine!! ที่ Australia (เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง “เดี๋ยวใครจะหาว่าผมโม้!!”)

“ใช่แล้วครับ!!” ไอ้ “เครื่องผลิตเงิน” ที่ผมพูดถึงก็คือ “ร้านอาหารที่ผมไปลงทุนนี่แหละ!!” …แต่ประเด็นมันไม่ใช่เทพนิยาย อย่างที่หลายๆคนเข้าใจ … ผมใช้เงินทางบ้านเกือบ 20 ล้าน + เงินกู้จาก Finance Company ใน Australia ที่ไม่ใช่ธนาคาร(นั่นหมายถึง ดอกเบี้ยมันแพง!!)

สรุปผมทุ่มเงินทั้งหมด 30 กว่าล้านบาท ขยาย Chain ร้านอาหารไทย 5 สาขา (เปิดกระจายไปตามจุดต่างๆ ในรัฐ NSW …แต่ละสาขาทดลอง Business Model ที่ต่างกัน เริ่มจาก Dine in & Take away ในร้านแรก …ไปจนถึง Thai Noodle in a box “Take-away” สุดฮิบ ใน Shopping Center “คือ ผมเปิดมันทุกแบบเท่าที่ผมจะคิด concept ได้ 5 ร้าน 5 concept ใน 5 Location” --- ผลลัพธ์ก็คือหลังจากนั้น 5 ปี ผมเจอวิกฤตเศรษฐกิจ “Hit!!” อย่างรุนแรง…

หลังจากผ่านมรสุมสุดโหด!! ปัจจุบันผมเหลืออยู่ “ร้านเดียว” (และคุณรู้ไหม มันก็คือ ร้านแรกที่ผมเปิดนั้นแหละ …วิ่งไปไกล กลับมาอยู่จุดเดิม) แต่สิ่งที่มันเพิ่มคือ ประสบการณ์ (ปัจจุบันร้านสุดท้ายที่เหลืออยู่ บริหารโดยแฟนผมเอง อยู่ในเมือง Coffs Harbour รัฐ “NSW”) --- ร้านนี้กำลังสร้างเงินให้ผมคือกำไรปีละ 3 ล้านบาท ++ (นี่แหละที่ผมพูดถึง The Money Making Machine!! “หลายคนคงกำลังคิดในใจว่า (ไอ้ควายภาววิทย์เอ้ย!! ใช้เงิน 30 ล้านเพื่อที่จะได้ The Money Making Machine!! ที่ทำเงินได้แค่ปีละ 3 ล้านนี่ อ่ะนะ !!)

ประเด็นที่ผม กำลังจะบอกท่านก็คือ “นี่แหละชีวิตจริง การทำธุรกิจมันไม่ได้ง่าย อย่างที่เรียนกันในตำรา” สมมุติว่าวันนี้ ผมเลิกทำ “ปิดร้าน” แสดงว่า “ขาดทุน(เทียบกับเงินลงทุนที่เริ่มต้น)” … ในทางกลับกัน ถ้าผมทำต่อไปอีก 20 ปี ก็จะได้เงิน 60 ล้านบาท

หรือในอีกประเด็น ผมก็อาจจัดสัมมนา แล้วเปลี่ยนเป็นขาย Franchise แทน ผมก็อาจทำเงินได้จากการขาย Franchise มากมาย (เพราะปัจจุบัน ความรู้และประสบการณ์ของ “ร้านอาหาร” ที่ผมมี มันเยอะพอที่จะ ช่วยให้คนที่อยากเปิดร้านอาหารในต่างประเทศ ไม่ต้องมาล้มลุกคลุกคลานอย่างผม “และนี่ก็คือ ระบบของ Franchise ---คนที่มีประสบการณ์ ก็ขายประสบการณ์ให้คนที่อยากทำ”

แต่ถึงวันนี้ ผมกลับพบว่า แท้จริงแล้ว “เงินก็ไม่ใช่ประเด็นทั้งหมดของชีวิต” … (เพราะแน่นอน ถ้าถามว่า ผมจะเปิดร้านอาหารต่อไปอีก 20 ปี แล้วเก็บเงินให้ได้ 60 ล้านบาท … “มันอาจจะเป็นช่วงที่ทรมานแสนสาหัสก็ได้ …ถ้าให้เลือกทำในสิ่งที่เราไม่ชอบสัก 20 ปี --สมมุติคุณได้เงินก้อนนั้นมาจริงๆ แต่คุณไปพบว่า “คุณเป็นมะเร็ง!!” มันคงไม่ตลก..จริงไหมครับ

ผมเห็นหลายๆคนที่ทำงานอย่างหนักเก็บเงินอย่างมากมาย เพียงเพื่อพบว่า ตัวเองเป็น “มะเร็ง” และก็ตายจากโลกนี้ไป!!

ปล. ใครสนใจจะเปิดร้านอาหารใน Australia ผมแนะนำให้มาคุยกับผม “ผมเซ็งที่จะเห็น คนมากมาย เอาเงินไปละลายแบบโง่ๆ อย่างผม”…เอาเป็นว่า ตรงนี้ผมมีความรู้และประสบการณ์จริง!! ..ไอ้โครงการ “ครัวไทยไปสู่โลก” มั่ว!! -- ก็สรุปว่า ถ้าคุณรู้จักใครที่อยากเปิดร้านอาหาร ให้มาคุยกับผม (แล้วจะไปยังไงต่อ ก็ไม่สำคัญ ผมไม่ได้จะขาย Franchise “เพียงแต่ประสบการณ์จริง!!ของผม อาจช่วยใครอีกหลายๆคนก็ได้ครับ”)

“เป็นที่สองไม่ใช่แย่เสมอไป” คุณคิดว่าไง!!



หลายคนคงเคยอ่าน “Rich Dad , Poor Dad” คือเอาประเด็นของพ่อสองคน ที่มุมมองต่างกัน จึงมีชิวิตและความสำเร็จที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง …วันนี้ผมจะนำเสนอ “Two Rich Grandfather” ไง!! หน้าสนใจไหม (ไม่เลย!! …อิ อิ) …ไม่รู้ล่ะ เอาเป็นว่าผมจะเล่าละกัน

“Two Rich Grandfather” ก็คือ “ตา” และ “ปู่” ผม

…(คุณตา) คุณวิระ รมยะรูป ผู้บริหารที่เป็นตำนาน..มือบุกเบิกธนาคารกรุงเทพมาตั้งแต่ สมัยคุณ ชิน โสภณพนิช --ผู้จัดการสาขาแรก ของธนาคารกรุงเทพก็คือคุณตาผม เรื่องมันมีอยู่ว่า ดาวรุ่งหนุ่มไฟแรง นามวีระ ได้ตัดสินใจลาออก จากแบงค์ชาติ มาช่วยคุณชิน บุกเบิกธนาคารเล็ก(ในสมัยนั้น)ที่ชื่อว่า “ธนาคารกรุงเทพ” …ทุกวันนี้ขึ้นห้องประชุมใหญ่ชั้น 30 ของธนาคารกรุงเทพเมื่อใด รูปถ่ายของ คุณ วิระ ก็แปะอยู่ที่ฝาหนัง “เป็นความภูมิใจของหลาน ….วันนึงอาจไปถึงบ้าง แต่มันไกลเหลือเกิน…กั๊ก กั๊ก”

…(คุณปู่) คุณ ทวิช กลิ่นประทุม นักธุรกิจรุ่นลายครามที่ขับเคี่ยวมากับ คุณอุเทน เตชะไพบูลย์ …ตอนสมัยคุณพ่อ คุณอา ๆ ทั้งหลายไปเรียนเมืองนอก (สมัยนั้น 40 ปีมาแล้ว คนที่ได้ขึ้นเครื่องบิน คุณต้องไม่ธรรมดา) คือ ตอนเหล่าคุณพ่อ คุณอาๆ เรียนหนังสือ ก็ขับ Porche, Jaguar , Ferrari สปอร์ตกันคนละคัน (แต่รุ่นผม ..เดินเอา…หุ หุ หุ) คือจะชี้ถึงความ “รวยอย่างบ้าคลั้ง” ในยุคนั้นของคุณปู่ผม …จนในที่สุดคุณปู่ก็เบื่อวงการธุรกิจ จึงเข้าสู่การเป็นนักการเมือง (เอาเงินไปละลาย…ผมเสียดายโคตรๆๆๆ…ไม่งั้นผมคงได้ขับ Ferrari บ้าง…หุ หุ)

ปู่ผมพูดถึงการ “เป็นที่หนึ่งเสมอ” ส่วนตาผมยึดในหลักการที่จะ “Support ที่หนึ่ง” …ผมได้เห็นและสัมผัสของผลลัพธ์ทั้งสองจาก (Two Rich Grandfather) --สิ่งที่เงินแลกไม่ได้คือ “ความสุข” ..คนที่มุ่งเป็นที่หนึ่ง ต้องเหนื่อยตลอด ขณะที่ การมุ่งเป็นที่สองกลับเป็นทางเดินที่ ค่อนข้างสบาย

ถึงจุดนี้ ผมได้เรียนรู้ว่า ทางเดินแต่ละคน “เราเลือกเอง” ซึ่งคนที่กำหนดระดับความสุข และ ความทุกข์ ที่จะเข้ามาในชีวิตมันก็ไม่พ้นตัวเราเอง “ไว้ว่างๆ ผมจะเขียนหนังสือ Two Rich Grandfather ออกมาบ้าง ..เผื่อจะดังเหมือน Rich dad , poor dad …หุ หุ”

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

“พ่อสอนลูก ภาค 2” ตอนการสืบทอดกิจการ มันไม่ Logic!!



พ่อผมไม่เคยอ่านขงจื้อ แต่พูดเหมือน ขงจื้อเรื่องหนึ่ง คือ “ถ้าทุกคนรวยเท่ากันหมด โลกมันก็ไม่เดิน ทุกวันนี้ที่โลกมันดำเนินต่อไปก็เพราะ คนมันไม่เท่ากัน” เหมือนต่อต้านคอมมิวนิสต์ ..หุ หุ แต่ก็เห็นภาพ …พ่อผมแทบไม่เคยให้เงินขอทานเลย ตอนแรกก็นึกว่าพ่อขี้เหนียว “แต่ไม่ใช่เลย” พ่อบอกว่า การเอาอาหารใส่ปากเขา มันอาจทำให้เขาอิ่มมื้อนี้-- “แล้วมื้อหน้าล่ะ!!”

การทำทานที่ยิ่งใหญ่คือ “การให้ความรู้ ..ยกเว้นคุณเป็น เสี่ยเจริญแจกเงินได้ เยอะจัด!! …(หุ หุ ขำขำ)” การให้ความรู้มันก็คือ การให้เครื่องมือทำกิน “แล้วมันคืออะไรล่ะ!!” ---“ถูกต้องครับ!! มันก็คือการสร้างกิจการนั่นเอง”

การสร้างธุรกิจมันเป็นสิ่งที่ใช้ควบคู่ ระหว่าง “เงิน + ความรู้และประสบการณ์” ซึ่งถ้าเอาหลักธรรมชาติผมพูด การสร้างกิจการก็เหมือนการปลูกต้นไม้ ..เริ่มต้นคุณเลือกได้ว่าจะปลูกแบบไหน คือ ถ้าต้องการเร็วๆ ก็ตัดปัก(มันขึ้นเร็วจริงแต่มันไม่แน่น พอถึงจุดหนึ่ง ไอ้ที่ปลูกจากเมล็ดมันอาจโตแซงก็ได้)

..ดังนั้น การปลูกพืชจากเมล็ด จะเห็นได้ว่า มันแน่น มันแข็งแรง เพราะมันมีรากแก้ว --ยิ่งต้นไม้ที่ขุดมาปลูก ยิ่งแย่ใหญ่ (ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพลง.. “มันไม่แน่น มันไม่มีรากแก้ว”) ประเด็นนี้ใช้อธิบายการ สืบทอดของกิจการ หลายๆคนบอกกิจการอยู่ไม่เกิน 3 Generation (ส่วนใหญ่เจ๊งก่อน..แต่ก็มีบางส่วนรอด)

ถามว่าไอ้ที่เจ๊งนั่นคืออะไร --คุณนึกถึงต้นไม้ กิจการที่ใหญ่ก็เหมือนไม้ใหญ่ การส่งไม้ กิจการจากพ่อถึงลูก ก็เหมือนย้ายต้นไม้ใหญ่ ส่งมาให้ลูก “ผลลัพธ์ก็คือ มันไม่มีรากแก้ว” --- จากนั้นจาก Generation 2 ไป 3 ต้นไม้ก็ยิ่งใหญ่มากขึ้นไปอีก …การเคลื่อนย้ายยิ่งยาก และเสี่ยงต่อต้นไม้ตาย ---“นี่แหละที่บอกว่า ทำไมกิจการมันส่งไม้ต่อแล้วไปไม่รอด ..ก็เพราะประสบการณ์ของพ่อ มันถ่ายทอดไม่ได้ (คุณคิดว่ามันเรียนกันได้ เหมือนตัวอย่างที่ผม เคยยกให้ดูว่า คุณคิดจะเรียนรู้วิธีการขี่จักรยานจากตำรา แล้วคุณคิดว่าคุณขี่ได้ “นี่แหละปัญหา” มันถ่ายทอดไม่ได้!!)

อ้าว!! แล้วไอ้พวกกิจการที่รอดเกิน 3 Generation ล่ะจะอธิบายอย่างไร … ประเด็นผมว่าคุณต้องดูลึกๆ เพราะแท้จริงแล้วกิจการที่มันรอด มันเป็นการบ่มเพาะจากฐานเดิม เอามาใช้ปลูกต้นใหม่หรือเปล่า ยิ่งบางคนแตกไลน์ธุรกิจ สร้างจากเมล็ดออกจาก ธุรกิจตัวแม่ “มันเป็นการสร้าง กิจการด้วย องค์ความรู้ใหม่”

ตรงนี้ก็อย่างกรณีของ CPALL(7-11) ที่แตกไลน์ออกมาจาก CP ซึ่งเป็นคนละธุรกิจกันเลย มันจึงเป็นการปลูก 7-11 ใหม่จากเมล็ด ที่เป็นองค์ความรู้และประสบการณ์ของคุณก่อศักดิ์เอง (แต่เผอิญ คุณก่อศักดิ์ ไม่ใช่ทายาท CP) ..ผมถึงบอกไง ว่า การเรียนประสบการณ์จากคนอื่นมันไม่มี คุณต้องเรียนด้วยตัวเอง

ดังนั้น มันเป็นการยากมากเลยที่จะให้ ทายาทเศรษฐีมาเข้าใจและยอมรับ!! (ไม้ต่อในด้าน telecom ยังคลุมเครือ แต่ก็ไม่ใช่ ไม่น่าสนใจ เพราะจริงๆแล้ว Case study เด็ดที่ออกมาจาก ประสบการณ์ของ คุณศุภชัย ก็ไม่ธรรมดา ..ถึงแท้วันนี้งบการเงิน TRUE จะยังไม่สวยนัก แต่เกมนี้ผมว่ามันแค่เริ่มต้นเท่านั้นเอง…โอเค!!ผมเชียร์เล็กๆ เสี่ยศุภชัย!!)

“พ่อสอนลูก” แท้จริงแล้ว ชีวิตมันสอนกันไม่ได้ (งั้นถูกันไป ลากกันไป!!)



ผมทำงานเกี่ยวกับความคิด มันทำให้ผม “ว่างมาก” และนี่เป็นสาเหตุที่ ประเด็น “พ่อสอนลูก” มันมักจะโผล่ขึ้นมาในหัวของผมเสมอ

พ่อผมเป็นคนที่มีความคิดลึกซึ้ง มากๆ คนนึงในสังคมเลยทีเดียว …พ่อมักพูดให้ผมคิดเสมอว่า “จงทำดีอย่าทำเด่น จะเป็นภัย ไม่มีใครเขาอยากเห็น เราเด่นเกิน” คำสอนนี้ของพ่อมันฟังลึกอยู่ในตัวผมเสมอ มันทำให้เราเข้าใจถึง ความอิจฉา และ ความ Greedy ที่ทุกคนมี

อาชีพผมเนื่องจาก ต้องมีการเจอคนหลายระดับ และทำงานในส่วนที่บางครั้งก็กระทบต่อ คนอื่นในวงกว้าง ..จุดที่น่าสนใจ คือ ยิ่งคุณมี power หรือความรับผิดชอบสูงขึ้น การที่คุณจะไปกระทบต่อ คนอื่น มันมีโอกาสสูง ดังนั้น “ยิ่งสูงมันยิ่งหนาว” คือ เพื่อนมันก็น้อยลง คนอิจฉา คนนินทา มันก็มากตาม …บางครั้งผมก็สงสัยนะครับว่า ท้ายสุดทุกคนดิ้นรน เพื่อขึ้นที่สูง แต่พอคุณได้ไปยืนในจุดนั้นแล้ว “คุณกลับไม่มีความสุข” จากนั้น คุณก็เลยตั้งคำถามกับตัวเองว่า “จุดหมายที่ทุกคนไขว่คว้า ..มันกลับไม่ใช่จุดที่มันมีความสุข!!”

หลังจากนั้น เขาก็เดินลง มาเปลี่ยนเป็น “ผู้ให้” อย่างเช่น Bill Gates… หลายคนก็ไปคิดต่อว่า “โห!! แม่งสร้างภาพ ทำเป็นบริจาคเงินช่วยคนมากมาย พ่อมึงเป็นเทวดาหรือ” ..คุณเข้าใจความอิจฉาของมนุษย์ที่ผมกำลังอธิบายไหม

ผมกลับไปถามพ่อถึงประเด็นนี้ “พ่อผมบอกว่า คนที่มันอิจฉาเรา มันก็เหมือนขี้ ..ไม่ว่าคุณจะเอาไม้ไปเขี่ย ยังไงมันก็เหม็น!! ..เหมือนกัน การที่คุณอยู่สูงกว่า แต่มีคนไม่ชอบ ถ้าคุณไปโต้เถียง --ไม่ว่าคุณจะแพ้หรือชนะ “มันก็เหม็น ..เพราะคุณไปเล่นขี้”

“ขอบคุณครับพ่อ ฟังแล้ว Get สุดโคตร ..คือ ทำอะไรที่คุณมีความสุขไง คุณไม่สามารถทำให้ทุกคนมาชอบคุณ เพราะจริงๆแล้วเขาอาจจะไม่ได้รู้จักตัวตนของคุณจริงๆก็ได้”

อย่างผมนี่ หลายๆคนบอก “โห..แม่งใส่สูท ทำเป็นจบนอก ตระกูลดี ..มึงเท่ห์ตายล่ะ!!” ..สมัยผมอยู่เมืองนอกผมทำร้านอาหาร ผมก็หั่นผัก หั่นเนื้อ ใส่เนื้อยึด ตัวเหม็น ๆ..ตอนนี้หน้าที่การมันเปลี่ยนไป มันต้องเจอผู้ใหญ่ ต้องเข้าสถานที่นุ่นที่นี่ “จะให้ผม เส้ือยืด ลากแตะ ..ยามมันคงไม่ให้ผมเข้าตั้งแต่หน้าประตูแล้ว…หุ หุ”

ผมไปถามประเด็นนี้กับพ่อ รู้ไหมพ่อผมว่ายัง “พ่อผมบอกว่า การแต่งตัวดี มันคือ การให้เกียรติตัวเอง …ถ้าคุณให้เกียรติตัวเอง คนอื่นก็จะให้เกียรติคุณ” ---จากคำสอนนี้ของพ่อ “ทำให้ผมแต่งตัวดี แต่นั้นมา” เอ..ชา เอชา ๆ หน่อย แม่เอย!! (จบแหล่ภาคแรก)

คุณว่า “Trader” กับ “Value Investor” มันคุยกันรู้เรื่องอะเปล่า!!



ถ้าเทียบว่า Trader เป็น “ขั้วโลกเหนือ” .. Value Investor ก็ต้องเป็น “แก่นกลางโลก” เพราะมันยิ่งกว่าขั่วโลกใต้ ..มันถึงขั้นเดินทางไปไม่ถึง!!

ผมเคยคุยกับทั้ง Value Investor และก็ Trader ตัวเป็นๆ ชนิดเผาขน หลายต่อหลายครั้ง…เอ้า!! ผมจะแถลงไขให้ท่านฟัง!!

Value Investor คือ คนประเภทนึง ที่ไม่ได้มีความสุขจากการใช้เงิน แต่ความสุขอยู่ตรงที่นึกว่าเงินเป็นต้นไม้ “จึงชอบดูมันเติบโต” การเล่นหุ้นของ Value Investor เขาแทบไม่รู้จักคำว่าขาย (เพราะการเข้าซื้อหุ้นของเขา เหมือนการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกิจการ…ดังนั้น การที่เขาแทบไม่เคยมอง Capital Gain เลย มันทำให้ ไม่ว่าราคาหุ้นจะขึ้นเท่าใด เขาก็แทบไม่เคยขาย (งั้น Buffet ก็อาจจะไม่ใช่ Value Investor ของจริง เพราะดันไปขาย Petro China ทิ้ง…อิ อิ)

…(อย่างเจ้าสัวธนินท์ กับ เจ้าสัวเจริญ ตอนนี้ หุ้นขึ้นกระจาย “รวยเพิ่มสุดขีด”แต่เขาไม่ขาย …คำถามคือเขาเป็น Value Investor หรือเปล่า ) สังเกตไหมครับ ว่าเจ้าสัวทั้งสองเลย limit ของการทำเงินไปแล้ว ดังนั้น การขึ้นลงของหุ้น ไม่ได้ทำให้เขา จิตใจหวั่นไหว แต่อย่างใด เพราะ “มันเลย limit ของการใช้เงิน ..เงินในมุมมองของ เจ้าสัวทั้งสองจึงเป็นเพียงตัวเลข) ..ดังนั้น คนที่จะรวยได้มากจริงๆ ไม่ใช่การเป็นนักลงทุนที่ Focus ใน Capital Gain ..โอเค ปล่อยเจ้าสัวทั้งสองไปเถอะครับ เขาอยู่คนละ level กับเรา..อิ อิ

ความ ประหลาดของพวก Value Investor คือ “ความมั่นใจอย่างสุดโต่ง ในการตัดสินใจของคนเอง” ซึ่งโดยธรรมชาติของตลาดหุ้น ที่ภายในระยะ 5 ปี ไม่แปลกที่หุ้นตัวหนึ่งๆ จะตกวูบกลับมาเจอ ราคาเดิมเมื่อตลาดตกมากๆ

พูด อีกนัยคือ Value Investor ในช่วงต้นๆของอาชีพ จะเห็น Port ของตัวเอง “ขาดทุน” หรือ “จมน้ำอย่างหน้าตาเฉย” ---“มึงบ้าไปแล้ว…ทำได้ไง --- มันมีน้อยคนนักที่ทำได้” ผมเห็นหลายคนแล้ว บอกว่าตัวเองเป็น Value แต่เอาเข้าจริง พอหุ้นขึ้นลงแรงๆหน่อย “นุ่น..สติแตก!!”

(เอาเป็นว่า คนกลุ่มนี้เรายกให้แล้วปล่อยให้เขาเดินไป ..ตามวิถีของเขา “จริงๆผมก็พยายามจะเป็น Value Investor แต่พยายามทีไร -- ออกมาเป็นหมัดเมาทุกที!!..อิ อิ)

มาถึง วิธีของ Trader (จริงๆผมมองว่า คนไทยส่วนใหญ่ เล่นแนวทางนี้นะ) คือ หลักการมันก็ Make Sense คือ “คุณจะทำกำไรไปกับขาขึ้น let profit run และคุณก็จะต้องไม่อยู่ในหุ้น ในช่วงขาลง…ถูกไหม!!” ฟังดูง่ายแต่พอทำจริงมันไม่ได้เป็นอย่างที่พูด อะดิ!!

ดังนั้น ถ้าเรามาวิเคราะห์กับนิสัยของคนไทยแล้ว จะเห็นได้ว่า “น้อยคนนักที่จะมีความมั่นใจในตัวเองอย่างสุดโต่ง + สามารถเห็น Port ของตัวเองจมน้ำได้” … “ไม่แปลก ที่คนไทยควรจะต้องมาศึกษา Technical อย่างจริงจัง (เพราะมันเป็นอะไรที่สอดคล้องกับ นิสัยของคนไทยมาก!!)

เอาละ ครับ เราก็พอจะเห็น ภาพคร่าวๆของ “มนุษย์ทั้งสองที่อยู่กันคนละ Specie นั่นเอง” ท้ายสุด ผมก็ยังคงยืนยันว่า “แต่ละคน” ในที่สุด ก็จะ develop “หมัดเมา” ในรูปแบบของตัวเองขึ้นมา (ดังนั้น การเดินตามคนอื่น มันไม่ไช่ทางสำเร็จแน่นอน!! เดินเอง เลือกเองครับ!!)

…. “หมัดเมา..แต่อย่า เมาหมัด (เดี๋ยวซวย…หุ หุ)”

ความฉลาดของ Brazil (น้ำตาลแพงขายน้ำตาล ถ้าน้ำตาลถูกเอาไปทำเป็น Ethanol ขายเป็นเชื้อเพลิงแทน) ..ฉลาดไหม!!



ความฉลาดของ Brazil คือ การเข้าใจจุดแข็งของตัวเอง แล้วหาโอกาสจากจุดนั้น ..Brazil มีเนื้อที่เยอะมาก จึงเป็นการง่ายๆที่สามารถขยาย กำลังการผลิต หรือ Supply ได้อย่างไม่จำกัด

ย้อนกลับไปปี 1994 ประเทศ Brazil ส่งออกน้ำตาลพอๆกับไทย (ประมาณ 4 ล้านตัน) …มาปัจจุบันไทยก็ยังส่งออกอยู่ประมาณ 4 ล้านตัน เท่าเดิม (ลดลงด้วยซ้ำ) แต่ Brazil ปี 2009 ส่งออกน้ำตาล 20 ล้านตัน “มากกว่าเมืองไทยกว่า 5 เท่า”

“ความ เจ๋ง” ที่ผมกำลังจะพูดถึง Brazil ก็คือ “เขาขยายอย่างมีเป้าหมาย” คือ แทนที่จะปลูก Sugar Cane เพื่อเป็นน้ำตาลอย่างเดียว “ไม่ใช่!!” (Brazil เอา Sugar Cane แบ่งเป็นครึ่งๆ ครึ่งนึงผลิตน้ำตาล อีกครึ่งผลิตเป็น Ethanol “ถ้าใครศึกษาประเทศ Brazil จะเห็นได้ว่า รัฐบาลเขา สนับสนุนรถ “Flex Fuel” คือสามารถใช้ Ethanol (รถบางรุ่นใช้ถึง Ethanol 100 ด้วยซ้า) …เวลานี้รถส่วนใหญ่เป็น Flex Fuel “จุดนี้ถ้ามองให้ดี เป็นความฉลาดของรัฐบาล ที่สนับสนุน เอาจุดแข็งของตัวเองซึ่งก็คือ อ้อย เอามาเป็น กลจักรในการสร้างอุตสาหกรรมพลังงาน Ethanol ที่แข็งแกร่งของประเทศ)

ดังนั้น ถ้าราคาน้ำตาลแพง Brazil ก็จะเอาอ้อยมาผลิตเป็นน้ำตาลมากหน่อย …แต่ถ้าน้ำมันแพงก็จะมาผลิต Ethanol แทน (จุดนี้ผมมองว่ามันฉลาดจริงๆ ไม่ใช่อย่างเมืองไทย พอน้ำตาลแพง ก็นั่งร้องไห้ …เพราะอุตสาหกรรม Ethanol ของเรายังไม่แข็งแกร่ง ซึ่งจริงๆ เรามีความสามารถจะทำอย่าง Brazil ได้--อันนี้อยู่กับความฉลาดของรัฐบาล!!..งั้นรอไปก่อน)

“ผลผลิตต่อ ไร่” ประเทศอย่างกัวเตมาลา , Brazil หรือ Australia ใช้เทคโนขั้นสูง ส่งผลให้ผลผลิตต่อไร่ 80 -90 ตัน/ไร่ .. แต่พี่ไทยครับขอโทษอยู่ที่ ได้ประมาณแค่ 60 ตัน/ไร่ (จะสู้เขายังไงเนี่ย!!)

นอกจากนี้ “ปัญหาที่ทำกิน” แย่สุดในโลกก็ India ผมเคยอ่าน “Glidlock Economy(เศรษฐกิจติดขัด!!)” ประเด็นนี้แหละใช่เลย คือ ที่ดินถูกซอยกรรมสิทธิ์ เนื่องจากความจน ผลที่ออกมาก็คือ ชาวนา ชาวสวน แต่ละคน มีที่ทำกินน้อย เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนา …ยกตัวอย่าง อินเดียมีเกษตรกร 45 ล้านคน แต่ละคนมีที่ทำกิน 0.1 เฮกเตอร์ …(คุณคิดดูที่เล็ก แบบแมวดิ้น จะให้ใช้เครื่องทุนแรงสมัยใหม่ หรือ ใช้ระบบชลประทานแจ๋วๆ อาจไม่คุ้ม (ไม่แปลกที่ประเทศเหล่านี้ มีผลผลิตต่อไร่ต่ำ)
อย่างเมืองไทยเฉลี่ย 5 เฮกเตอร์ต่อคน ….. ในขณะที่ Brazil 23 เฮกเตอร์/คน…Australia 77 เฮกเตอร์/คน …กัวเตมาลา 50 เฮกเตอร์ต่อคน

เอา เป็นว่า ผมพูดให้เห็นภาพคร่าวๆ ซึ่งตอนนี้ เกษตรกรเรารอ “คนมีความรู้ไปช่วยเหลือ” …ตอนนี้เห็น “วังขนาย” ก็ออกมาบอกว่า ต่อไปจะทำให้ผลผลิตต่อไร่ ของเราทัดเทียมประเทศพัฒนา …ทุกคนก็ภาวนาให้จริงเถิด (เพราะการทำในตลาด Mass มันไม่ง่าย ..จริงไหมครับ…สู้ สู้ “ผู้มีความรู้ + ชาวนาไทย”)

(ปล.) ใครมี Facebook (และสนใจเรื่อง Commodity Trade เป็นพิเศษ)--อย่าลืมคลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกับ Monkey Trade นะครับที่
http://www.facebook.com/pages/Monkey...?v=wall&ref=ts
(ชุนนุมหนุ่มนัก Trade Commodity แบบแรงๆ เบาๆ ...อิ อิ อิ)
หรือ เจอกันที่ blog อ่าฮ้า ++ ที่ http://monkeytrade.blogspot.com

Trading Company อาวุธทางปัญญาของ “สิงค์โปร์ และ ญี่ปุ่น”


พูดถึง Trading Company หลายๆคนอาจไม่คุ้นเคย แต่ถ้าผมจะบอกว่า Trading Company เหล่านี้เป็นกลไก การเชื่อมโยงระหว่างโลกของวัตถุดิบ กับ โลกของการผลิต ..คุณคงพอจะเป็นภาพว่า “ทุกสิ่งที่อยู่รอบๆตัวท่าน รวมทั้งสิ่งที่ท่านบริโภคอยู่ ล้วนผ่านมือของ Trading Company เหล่านี้มาแล้ว

เป็นเวลาหลายสิบปี ที่สิงค์โปร์และฮ่องกง พัฒนาฝีมือในการ Trade ซึ่งเดิมเริ่มโดยชาว “ซามูไร” ..อะจ๊าก!! ไฮ!!...หัวใจของประเทศไร้ทรัพยากร ก็คือ “การค้า” ซึ่งขับเคลื่อนโดย Trader เป็นหลัก --- “ความรวยของประเทศจึงไม่ได้อยู่ที่การมีทรัพยากรมาก (อย่างแอฟริกา) แต่ความมั่งคั่ง มันขึ้นกับว่า คุณเข้าใจวิธีการค้ามากแค่ไหนต่างหาก ที่นำคุณประเทศสู่ความมั่งคั่ง”

อธิบายซะยืดยาว “ตกลง Trading Company” มันทำอะไรล่ะ …. ฮึ ฮึ
ใน ประเทศไทย การ Trading เริ่มจากการที่ Trading Company ต่างชาติเข้ามาตั้งตัวแทนการซื้อ (เช่น ซื้อน้ำตาล , ซื้อยาง ซื้อวัตถุดิบต่างๆไปยังประเทศของตัวเองที่ไม่มีทรัพยากร จากนั้นก็ผลิตของแพงมาขายเมืองไทย..อ้าว!! อย่างนี้เราก็ขาดทุนอะดิ “ใช่”!!)

กลไกของ Trading Company แบ่งเป็น 2 ส่วนหลักๆ ก็คือ 1. Physical (คือ คนที่ทำหน้าที่ handle ตัว Commodity จริงๆ เช่น ซื้อน้ำตาลจากนั้นก็ ทำการใส่ลงเรือ ส่งไปให้ลูกค้าที่สั่ง) 2. ในส่วนของ Future (คือ ทำหน้าที่ป้องกันความเสี่ยงให้กับ Trading Company ) อย่างที่เรารู้ๆกันว่า Trading Company จะกำไร “ตลอดกาล” นั่นก็คือ การกินกำไรจากส่วนต่างหรือ Premium ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย --กำไร “เด้งที่สอง” ก็คือ ความสามารถในการใช้เครื่องมือ ป้องกันความเสี่ยงอย่าง Future (เอามาใช้เพื่อ Hedge physical นั่นเอง)..ถ้า Future เก่งก็รวย -- แต่ถ้าเก่งและรวย แต่ซ่า “ก็เป็น Lehman Brother ไงครับ…อิ อิ”

ใน ส่วนของ Future มักจะทำโดยฝรั่ง โดยที่ เมื่อโรงงานน้ำตาลสั่งขายสินค้า Trading Company ก็จะซื้อ Future เพื่อ Hedge ป้องกันความเสี่ยงของราคาขึ้นลง …ในเมืองไทยคนที่ทำในส่วนของ Future เป็นมีแบบชนิด “นับคนได้”(น้อยมาก)

“แล้วหนุ่มหยง มันอยู่ตรงไหนของภาพล่ะ!!” มันเท่ห์มาก ..เอาล่ะผมจะเล่าให้ฟัง ---คุณคงเคยได้ยินชื่อ Goldman Sachs เทพแห่ง Investment Banker (พวก IB เหล่านี้ บ้ากว่า Trading Company ไปอีก “ขุมของความบ้า” เพราะอย่าง Goldman เข้าไป Trade Future โดยที่ตัวเอง ไม่มี Physical ด้วยซ้ำ (พูดง่ายๆคือ มัน Trade กระดาษ ที่เราเรียกว่า “Pure Paper” นี่แหละ) …Goldman เข้าไป Trade Commodity ทุกประเภท ตั้งแต่ น้ำมัน ยัน กากน้ำตาล ---- และหนุ่มหยง นี่แหละก็คือ “คู่แข่งกับ Goldman” ไง..เท่ห์ไหม ----- ความแตกต่างคือ “หนุ่มหยง” port เล็กกว่า IB เหล่านั้นมาก (แต่ยังก็เท่ห์อยู่ดี จริงไหม!!)

อย่างในประเทศไทย บริษัทที่ handle ในส่วนของ Future มีไม่กี่บริษัท หนึ่งในนั้นก็คือ Plantheon (กลจักรขับเคลื่อน Raw Material ของกลุ่ม TCC ของเสี่ยเจริญนี่เอง!!) …ว่างๆผมจะเชิญ คุณ กัลย์ (ผู้อำนวยการหนุ่มไฟแรงแห่งค่าย Plantheon มานั่งคุยกัน) รับรองต้องได้ความรู้กันอย่างเมามันส์แน่นอน!!

กลับมา ที่หนุ่มหยง “เราจะมา วัดรอยเท้าของ Trader เซียนๆ อย่างสิงค์โปร์ ดูว่า Trader Commodity อิสระ(แบบ Pure Paper อย่างหยง) ที่อาศัยเครื่องมือ Technical และความรู้ จากประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดา (ไม่ธรรมดา เพราะล้มจนเละ!! จนรู้..ว่างั้นเถอะ!!)

สิ่งที่ “Monkey Trade” กำลังจะสร้าง คือ Port จำลองที่ ทำการซื้อขาย …วัดกันไปเลย ว่าในอีก 3 – 6 เดือนข้างหน้า ..ผลงานของเราจะเป็นอย่างไร ---“ให้รอติดตามกันครับ!!”
(ตอน นี้ “แพ้ท” กับ “หยง” กำลังเลือก Commodity ที่น่าสนใจมาเป็น Model ให้ศึกษา สลับกับเกร็ดความรู้ในด้านการ Trade ที่จะแทรกให้กับผู้อ่านเรื่อยๆ ครับ…อ๋อ! แล้วเราก็มี คุณ กัลย์ เป็นที่ปรึกษาและนักเขียนรับเชิญ ซึ่งอาจสละเวลาเป็นระยะๆเข้ามา Comment “ขอบคุณมากครับ คุณกัลย์”)

(ปล.) ใครมี Facebook (และสนใจเรื่อง Commodity Trade เป็นพิเศษ)อย่าลืมคลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกับ Monkey Trade นะครับที่(ชุนนุมหนุ่มนัก Trade Commodity แบบแรงๆ เบาๆ ...อิ อิ อิ)
หรือ เจอกันที่ blog อ่าฮ้า ++ ที่ http://monkeytrade.blogspot.com

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ