แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2566

6 ข้อ ควรรู้ วิธีตีราคา แบบนักลงทุน

 6 ข้อ ควรรู้ วิธีตีราคา แบบนักลงทุน


1. ‘ซื้อของมือสอง ไม่ซื้อของมือหนึ่ง’ …ราคามือหนึ่งคือราคาที่ผู้ผลิตจะตั้งเท่าไหร่ก็ได้ แต่ราคาที่แท้จริงคือ ราคาที่ขายได้ในตลาดมือสอง


2. ‘ศึกษาสินค้าให้ลึกซึ้ง’ …สินค้ามีทั้งเป็นสินทรัพย์และก็เป็นขยะ …ต้องแยกให้ออกว่าของที่เราซื้อมันเป็นอะไร 


3. ‘ศึกษา Demand/Supply ของสินค้านั้นๆ’ …ของมีจำนวนเท่าไหร่ เทียบกับ จำนวนคนที่ต้องการซื้อ 


4. ‘ต้องมีพ่อค้ามือสองเป็นเพื่อน’ …พ่อค้าของมือสองก็คือมืออาชีพในสินค้านั้นๆ รู้จักสินค้านั้นๆ รู้จักตลาดเป็นอย่างดี 


5. ‘อย่าลืมคำนวณค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสินค้า’ …ถ้าลืมคำนวณ บางทีมันมีค่าใช้จ่ายสูง จนแทบไม่คุ้มที่จะซื้อตั้งแต่แรก


6. ‘เราต้องชอบ ไม่งั้นไปซื้ออย่างอื่นเถิด’ …ถ้าจะซื้อลงทุน แปลว่า เราต้องอยู่กับมัน …เอาตรงๆ ถ้าเราไม่ได้ชอบ ไม่ได้ Passion ไปซื้ออย่างอื่นดีกว่า


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 ข้อควรรู้ ซื้อหุ้นแบบไหนไม่ต้อง Stop Loss

 5 ข้อควรรู้ ซื้อหุ้นแบบไหนไม่ต้อง Stop Loss


1. ซื้อหุ้นปันผลเวลาเกิดวิกฤต …เวลาเกิดวิกฤต หุ้นปันผลจะยิ่งให้ Yield สูงขึ้น เพราะ ราคามันลง …นั้นแหละ จุดซื้อหุ้นปันผล


2. ซื้อหุ้นราคาซาก …อันนี้ต้องประเมินมูลค่า ว่าการซื้อจุดนี้ ถูกเหมือนได้เปล่า


3. ซื้อหุ้นเป็นพอร์ตแบบกระจายเท่าๆ กัน …เช่น ซื้อหุ้นถูก 5 ตัวขึ้นไป ในจำนวนเงินพอๆ กัน (แต่ไม่ควรซื้อพร้อมกัน …ค่อยๆ ซื้อเวลาที่แต่ละตัวอยู่ต้นรอบ)


4. ซื้อหุ้นแบบ DCA …อันนี้คือซื้อเท่าๆ กันทุกเดือนแบบออมเงิน …ไม่ต้อง Stop Loss แถมควรซื้อเพิ่มเวลาเกิดวิกฤต เพื่อเพิ่มจำนวนหุ้น เร่งพอร์ต


5. ซื้อหุ้นต้นรอบ …อันนี้ก็คือดูรอบให้เป็น แล้วซื้อต้นรอบ (ข่าวร้าย ราคาถูก งบไม่สวย)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2566

10 เรื่องเศรษฐกิจ ที่จะส่งผลต่อตลาดหุ้นอย่างรุนแรง

 10 เรื่องเศรษฐกิจ ที่จะส่งผลต่อตลาดหุ้นอย่างรุนแรง


1. ‘ดอกเบี้ยขาขึ้นของอเมริกา’ …FED ขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสู้เงินเฟ้อ …จะส่งผลให้ เงินไหลไปอเมริกา และ ค่าเงินของประเทศอื่นๆ ลดลง


2. ‘วิกฤตในสินทรัพย์สลับกันไป’ …การลดสภาพคล่อง ทำให้จะเกิดวิกฤตในสินทรัพย์ต่างๆ วนๆ กันไป …แปลว่า ถ้าสินทรัพย์อะไรขึ้น ก็ควรขายล็อคเงินสดออกมาบ้าง 


3. ‘เงินสดสำคัญ เพื่อรอซื้อสินทรัพย์ราคาถูก’ …การบริหารสภาพคล่องสำคัญที่สุดในวิกฤตครั้งนี้ (ถ้าไม่มีเงินสดเวลาเกิดวิกฤต ก็เท่ากับเราเสียโอกาสที่จะได้ซื้อสินทรัพย์ในราคาถูก)


4. ‘หลีกเลี่ยงธุรกิจที่ไม่ทำเงิน’ …นี่ไม่ใช่ยุคทองของ Startup ที่ Burn Cash เพราะ เงินทุนไม่ใช่ของถูกและของฟรีเหมือนก่อนหน้านี้


5. ‘ค่าครองชีพพื้นฐานจะแพงขึ้นเรื่อยๆ’ …อาหารแพง , พลังงานแพง , ยารักษาโรคแพง …ของจำเป็น จะแพงขึ้นเรื่อยๆ 


6. ‘P/E รวมของตลาดจะลดลง ต้อง Select Play’ …ตลาดหุ้นจะไม่ง่าย แบบแต่ก่อน ที่มาพร้อมกัน ไปพร้อมกัน แต่จะต้องเลือกให้ถูกตัว


7. ‘ธุรกิจที่หนี้เยอะ และ Capital Intensive จะเหนื่อย’ …หมดยุคลงทุนหนัก สร้างหนี้เยอะ เพราะ ต้นทุนการเงินแพง …ธุรกิจที่ดีคือ ธุรกิจตัวเบา หนี้น้อย และ ขยายได้โดยไม่ต้องลงทุนหนัก


8. ‘ธุรกิจที่จับตลาดคนรวย เป็นจุดปลอดภัย’ …คนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตนี้น้อยสุดคือ คนรวย …พวกนี้ใช้เงินหนัก กับ สุขภาพ , ความงาม และ ของเล่น


9. ‘ประเทศ Emerging Market ต้องระวังวิกฤตค่าเงิน’ …คล้ายๆ ที่ประเทศไทยเคยเจอตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง …ประเทศที่จะรอด คือประเทศที่มีหนี้ต่างประเทศไม่สูง และ คนมีเงินเก็บ


10. ‘เมื่อวิกฤตผ่านไป จะพบว่า สินทรัพย์จะราคาเพิ่มขึ้นไปอีก’ …เหมือนทุกวิกฤตที่ผ่านมา …ท่ามกลางวิกฤตราคาสินทรัพย์จะผันผวนขึ้นๆ ลงๆ แต่สุดท้าย ราคาสินทรัพย์ก็จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2566

6 คำทำนาย ตลาดหุ้นไทย ที่ผมรวบรวมมาจากเหล่าเซียนหุ้น

 6 คำทำนาย ตลาดหุ้นไทย ที่ผมรวบรวมมาจากเหล่าเซียนหุ้น


1. ‘หุ้นที่ดีในช่วงดอกเบี้ยขาลง จะไม่ดีในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น’ …ใช่!! เมื่อโลกเปลี่ยนเทรนด์จากดอกเบี้ยขาลง เป็นขาขึ้น …หุ้นดี ก็จะเปลี่ยนกลุ่มอย่างสิ้นเชิง


 …แปลว่า หุ้นที่เราดอย อาจจะกลับมา แต่มันก็จะไม่ใช่หุ้นดีในรอบนี้อยู่ดี


2. ‘สินค้าทางการเงินที่ปลอดภัย จะกลายเป็นจุดเสี่ยงและไม่คุ้มที่จะลงทุน’ …อะไรที่การันตีผลตอบแทน กำลังเป็นสิ่งที่เสี่ยง เพราะ เขากำลังสัญญาในสิ่งที่ทำได้ยาก และขัดกับสถานการณ์ปัจจุบัน 


3. ‘หุ้นที่ใหญ่และสภาพคล่องสูง เป็นหุ้นที่โตได้ยากในยุคนี้’ …ในช่วงเวลาที่เงินหายากขึ้นเรื่อยๆ จุดที่มีสภาพคล่องสูง ย่อมเสี่ยงที่จะมีการเทขาย และ เงินไหลออกง่ายที่สุด 


4. ‘อะไรที่ดูดีเกินไป แปลว่า นั่นคือ จุดขาย ไม่ใช่จุดซื้อ’ …เราทุกคนต่างเคยซื้อหุ้นในจุดที่ดอยที่สุด ก็เพราะเราไปซื้อในจุดที่มันดูดีเกินไป


5. ‘การทยอยซื้อ ทยอยขาย ดีกว่าการซื้อไม้เดียว’ …เราแทบไม่เคยซื้อในจุดต่ำสุด และก็แทบไม่เคยขายในจุดสูงสุด …ดังนั้น การทยอยซื้อและทยอยขาย จะทำให้จังหวะเราดีมากขึ้น


6. ‘ถ้าวิกฤตครั้งนี้ผ่านไปโดยที่เราไม่ได้ซื้อหุ้นเลย มันคือการเสียโอกาสครั้งใหญ่อีกครั้งของเรา’ …ทุกครั้งที่ผ่านวิกฤต เรามักจะเสียดายที่เราไม่ได้ซื้อหุ้น 


…และแทบทุกครั้ง วิกฤตก็ผ่านไป โดยที่เราก็ไม่ได้ซื้อหุ้นสักที


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2566

5 สัญญาณอันตราย ที่เตือนว่าควรล้างพอร์ต หรือขายหุ้น

 5 สัญญาณอันตราย ที่เตือนว่าควรล้างพอร์ต หรือขายหุ้น


ความยากของตลาดหุ้น ก็คือ จังหวะนี่แหละ …มือใหม่ มักทำตรงข้ามตลอด 


1. ‘ช่วงที่ SET อยู่ในขาขึ้น’ …พูดง่ายๆ ตลาด Bullish และการซื้อขายคึกคักมากๆ นั่นเอง


2. ‘ช่วงที่หุ้นเรา กำไรดีกว่าปกติมากๆ’ …เพราะหลังจากกำไรดีมากๆ ต้องระวังช่วงหลังจากนั้น ที่ขาลงอาจจะตามมา


3. ‘ช่วงที่หุ้นเรามี Volume การซื้อขายสูงกว่าปกติมากๆ’ ….ทุกครั้งที่มี Volume มากๆ มันบ่งบอกถึงการเปลี่ยนมือ ของรายใหญ่ ซึ่งเราต้องระวัง


4. ‘ช่วงที่หุ้นอยู่ในจุดที่แพง และมีการลงแรง พร้อม Volume หนักๆ’ …จุดนี้คือ จุดที่รายย่อยหลงเข้าไปมากสุด …เพราะเห็นว่าหุ้นลงแรง นึกว่า ได้ซื้อราคาถูก ที่ไหนได้ หุ้นลงต่อ แล้วกลายเป็นขาลงยาว


5. ‘ช่วงที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ ทำ Big Lot ทยอยขาย’ …เจ้าของจะรู้จัก Cycle ของธุรกิจตัวเองมากที่สุด …เขามักจะขายในช่วง Peak Cycle ของธุรกิจ …โดยมักจะขาย Big Lot 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2566

5 วิธีปฏิบัติ กู้พอร์ตกลับมาเวลาตลาดพัง

 5 วิธีปฏิบัติ กู้พอร์ตกลับมาเวลาตลาดพัง 


‘ตลาดพัง’ คือ เละทุกคนแหละ …ประเด็นคือ ใครจะกลับมาได้ นั่นแหละ สำคัญกว่า 


1. ‘เตรียมเงินสด รอวันที่ตลาดพัง’ …ใช่!! เวลาตลาดพัง หุ้นมันถูกทุกตัว …แต่เราต้องมีเงินสดมาซื้อ …อย่างน้อยก็สัก 10% ของพอร์ตเรา


2. ‘รู้ได้ไงว่า นี่คือจุดซื้อ’ …ตลาดลงแรงต่อเนื่อง + Volume เริ่มเบาบาง แต่ตลาดยังลงต่อ + หุ้นรายตัวเละเทะ + ไม่มีข่าวดีเลย 


3. ‘ซื้อหุ้นอะไรดี’ …คิดง่ายๆ ต้องซื้อหุ้นที่กลับมาก่อน นั่นคือ หุ้นใหญ่พื้นฐานแน่น ปันผลดี …พวกนี้ เด้งก่อน …ดังนั้นซื้อก่อน 


4. ‘ทำการบ้าน หาหุ้นเติบโต เพื่อให้พอร์ตโตก้าวกระโดด’ …หลังจากหุ้นข้อ 3 เด้ง หลังตลาดพัง เราก็ขายทำกำไรได้เลย แล้วโยกเงินเปลี่ยนมาเล่นหุ้นเติบโต ขนาดเล็ก เพราะ มันจะวิ่งไกลกว่า


5. ‘ทนให้ได้ 3 ปี’ …ทนในที่นี้คือ ‘ทนรวย’ เพราะ หลังจากตลาดพัง …ก็จะเป็นการฟื้นตัว ขาขึ้นต่อเนื่อง


ก็ประมาณนี้


ทุกวิกฤตมีโอกาส …ทุกครั้งที่คนกลัว มีคนกล้า และนั่นแหละ ‘คนรวย’


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2566

10 เหตุผล ทำไมคนถึงอยากเอาหุ้นเข้าตลาด IPO

 10 เหตุผล ทำไมเจ้าของธุรกิจถึงอยากเอาบริษัทเข้าตลาดหุ้น IPO


1. ‘ราคาหุ้นมีราคา’ ..หุ้นของบริษัทที่ไม่ได้เข้าตลาดมักไม่ได้มีราคา ...เจ้าของก็ถือไว้เฉยๆ ...แต่พอบริษัทเข้าตลาด หุ้นกลายเป็นมีค่ามีราคาทันที ..เขาเลยเรียกการเข้าตลาดหุ้นคือ การปลดล็อคมูลค่ากิจการ (จากที่ไม่เคยจับต้องได้ ให้กลายเป็นเงิน)


2. ‘รวย’ เพราะ ตลาดหุ้นมี Multiple คือ มีตัวคูณความมั่งคั่งให้เจ้าของ หรือ ที่คนในตลาดหุ้นเรียกกันว่า P/E นั่นแหละ ...อย่างเช่น ถ้าธุรกิจมีกำไร 30 ล้านบาท ถ้ามี P/E ที่ 30 เท่า ก็แปลว่า มูลค่ากิจการในตลาดหุ้น คือ 900 ล้านบาท (หรือ อีกนัยนึง ถ้าธุรกิจนี้อยู่นอกตลาด เจ้าของก็ต้องทำธุรกิจอีก 30 ปี กว่าจะได้เงิน 900 ล้าน เพราะได้กำไรปีละ 30 ล้าน ..แต่นี่ได้ทันที)


3. ‘ไม่เสียภาษี’ ..อะไรก็ตามที่ซื้อขายมีกำไรนั้นย่อมเสียภาษี แต่ถ้าหุ้นอยู่ในตลาดหุ้น ซื้อขายกำไร ไม่ต้องเสียภาษี ...เรียกว่า รวยโดยถูกต้องตามกฎหมาย ...นั่นแหละ ที่คุณเห็นเจ้าของขายหุ้นกันร้อยล้าน พันล้าน ...ไม่เสียภาษีครับ


4. ‘หุ้นเปลี่ยนเป็นหลักประกันได้’ ...เดิมทีหุ้นเราก็คือกระดาษใบนึง แต่พอเข้าตลาด สามารถใช้เป็นหลักประกันกับสถาบันการเงินได้ เพราะ หุ้นมีราคาและซื้อขายได้คล้ายๆ ที่ดินนั่นเอง


5. ‘เติบโตเร็ว’ ...การทำธุรกิจปกติคือ รวยด้วยเงินเรา หรือ อย่างมากก็กู้ธนาคาร ซึ่งไม่ง่าย แถมต้องมีทรัพย์สินค้ำประกัน ...แต่เงินจากตลาดหุ้น ก็เราเอาคนอื่นมาร่วมเป็นเจ้าของ แปลว่า ได้เงินจากเขามาเติบโต ...เราถึงเห็นหลายๆ ธุรกิจที่เข้าตลาดแล้วโตเร็วมาก ก็เพราะ ได้เงินคนอื่นมาขยายนั่นเอง


6. ‘ไม่ได้เสียความเป็นเจ้าของ’ ...หลายคนกลัวว่า พอเข้าตลาดแล้วธุรกิจจะตกเป็นของคนอื่น ...จริงๆ ถ้าคุณยังถือหุ้นเกิน 50% คุณก็ยังควบคุมและบริหารธุรกิจได้ตามปกติ ...แค่คุณไม่ขายหุ้นในส่วนนั้นก็พอแล้ว 


7. ‘สภาพคล่อง’ ...หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงที่สุด เพราะ ซื้อขายได้ตลอด ...ทำให้คนรวยในโลก เลือกหุ้นเป็นที่เก็บความมั่งคั่งของเขามากที่สุด


8. ‘แบ่งมรดกง่าย’ ...พวกสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ที่ดินแบ่งให้ลูกยาก อาจไม่แฟร์ แต่หุ้นแบ่งง่าย ชัดเจน ลดปัญหาครอบครัว


9. ‘เปลี่ยนบริษัทกลายเป็นระบบ’ ...หลายคนรวยอยู่แล้ว แต่เอาหุ้นเข้าตลาดเพื่อจะจัดการให้ธุรกิจเป็นระบบ ควบคุมง่าย และ สามารถจ้างผู้บริหารมืออาชีพ ...ก็คือ เจ้าของอยากสบายขึ้น และ ควบคุมการรั่วไหลของธุรกิจนั่นเอง


10. ‘กิจการมีอายุยืนยาว’ ...ธุรกิจทุกวันนี้ ขึ้นเร็ว ลงแรง การเอาธุรกิจเข้าตลาด สร้างระบบ แล้วจ้างมืออาชีพ เป็นการทำให้ธุรกิจมีความยั่งยืนมากขึ้นนั่นเอง


นี่เป็นข้อดีคร่าวๆ ในการเอาบริษัทเข้าตลาด 


ส่วนข้อเสีย คือ ‘มันไม่ง่าย’ ...ก็แน่นอน อะไรที่ดี มันต้องลงทุน ต้องลำบาก ...หลักๆ คือ ต้องทำบัญชีเล่มเดียว ยอมจ่ายภาษีเต็มๆ กับ ค่าใช้จ่ายในการทำบัญชี การวางระบบ ให้บริษัทเป็นไปตามกฏของ กลต.และ ตลาด ซึ่งใช้เวลาเตรียมตัวอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

7 ทักษะ ที่ทำให้เด็กรุ่นใหม่ รุ่งไกลทันโลก

 7 สิ่งที่ต้องสอนให้เด็กรุ่นใหม่ ให้รุ่งทันโลก


ใครๆ ก็พูดกันว่า AI จะมาแทนแรงงานจำนวนมาก ..แต่สิ่งที่ทำให้เราไม่โดนทดแทน แถมมีโอกาสรุ่งพุ่งแรงในอนาคต โดยงานวิจัยของ Dr. Tony Wagner, co-director of Harvard's Change Leadership Group พบว่า เด็กรุ่นใหม่ต้องเก่งใน 7 เรื่องนี้ 


1. Critical thinking and problem-solving ..คือ คิดเป็น และ แก้ปัญหาได้ ...จากเดิมที่เราสอน ท่องจำ แล้วทำตาม ต้องสอนให้ นักเรียน ฝึกตั้งคำถาม ออกข้อสอบเอง และ แก้ปัญหาจริง 


2. Collaboration across networks and leading by influence ...อันนี้คือ การสอนให้เด็กมีทักษะของการทำงานร่วมกัน ...มันคือ การขยายการเรียนรู้ในเรื่องกิจกรรมนอกห้องเรียน เพราะ กิจกรรมจะสอนการทำงานร่วมกัน และ ฝึกทักษะของการเป็นผู้นำ ...จากเดิม พ่อแม่จะคิดว่า ให้ลูกตั้งใจเรียนอย่างเดียว ซึ่งยุคนี้ กิจกรรมนอกห้องเรียน สำคัญต่อการไปทำงานให้รุ่งมากกว่า


3. Agility and adaptability ...อันนี้คือ การสามารถรับมือกับข้อผิดพลาด เรียนรู้แล้วเดินต่อ ...พ่อแม่ยุคก่อนจะเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่ให้โอกาสให้ลูกกล้าทำอะไร เพราะถ้าไม่เชื่อฟัง แล้วพลาดก็จะถูกลงโทษซ้ำเข้าไปอีก ...ทำให้เด็กไทยกลัว ไม่กล้าทำอะไรใหม่ๆ ไม่กล้าลองผิดลองถูก ...ซึ่งการกล้าลองผิดลองถูก ไม่กลัวล้ม แล้วเรียนรู้จากประสบการณ์กลายเป็นสิ่งสำคัญที่สร้างให้เป็นคนเก่งที่โลกยุคใหม่ต้องการ


4. Initiative and entrepreneurialism ...คิดแบบผู้ประกอบการ สำคัญมากในยุคนี้ เพราะ บริษัทหรือนายจ้าง ยังเอาตัวเองไม่รอด ...แต่ปัญหาคือ เรายังติดระบบการศึกษาที่สร้างลูกจ้าง ไม่ได้สร้างนายจ้าง


ลูกจ้าง คือ เด็กที่ทำข้อสอบเก่ง แล้วไม่มีผิดพลาด แล้วก็ต้องทำคนเดียว ต้อง One Man Show


แต่ผู้ประกอบการ ต้อง ตั้งโจทย์เอง ข้อสอบคือชีวิตจริง ..ลอกข้อสอบคนอื่นก็ได้ ร่วมมือกับคู่แข่งก็ได้ เขาเรียก Team Work 


ถ้าโรงเรียนจะสอน ผู้ประกอบการ ต้องเปลี่ยนอาจารย์เป็นแค่โค๊ช ...ไม่สอน แต่คอยประคอง ...นักเรียน เหมือน นักฟุตบอล ...ที่ต้องชนะใจแฟนบอล และ ทำประตูให้ได้ด้วย


พูดง่ายๆ เราควรสอนเด็กให้ฝึกเป็น Star ไม่ใช่สอนเด็กให้เป็น Product เป็นแค่สินค้าเหมือนในปัจจุบัน


 5. Effective oral and written communication ...ต้องสอน พูด และ เขียน ให้เก่ง ...ทักษะนี้คือ ‘การสื่อสาร’ นั่นเอง ...จะมีประโยชน์อะไรถ้าคุณคิดเก่ง แต่สื่อสารไม่เป็น


เด็กต้องจับขึ้นเวที ผลัดกันพูด เป็นวิชาบังคับ ...เรื่องการพูด ไม่มีพรสวรรค์หรอก อันนี้ผมรู้ดี เพราะ เจอกับตัวเอง ...สมัยเด็กผมกลัวเวที ไม่กล้าพูด ...แต่วันนี้มีอาชีพเป็นนักพูด ...ไม่ได้มาจากพรสวรรค์เลย มันมาจากงานผม มันบังคับให้พูด ค่อยๆ ฝึก จากเวทีเล็ก จนใหญ่ขึ้นไป 


เรื่องนี้ ถ้าผมทำได้ บอกตรงๆ มันคือทักษะที่ฝึก ฝึก และ ฝึก ...ใครก็ทำได้ ฝึก ฝึก !!


6. Accessing and analysing information ...ทักษะการเลือกข้อมูลที่จำเป็น ...สมัยก่อน คนเก่งคือ อ่านเยอะ มีข้อมูล แต่ยุคนี้ ทุกคนมีข้อมูลมากเกินไป ...ข้อมูลมันอยู่บนอินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว 


เด็กยุคนี้ต้องฝึกเป็น Curator คือ ความสามารถในการเลือกข้อมูลที่จำเป็น 


You are what you eat เช่นกัน ข้อมูล ถ้าเสพแต่สิ่งเน่า เราก็เน่า ...เลือกเสพข้อมูล ...โลกวันนี้น้ำเน่ามาก เพราะ ทักษะการเลือกเสพข้อมูลเรายังไม่เก่ง ตรงนี้แหละ ที่ต้องพัฒนาคนรุ่นใหม่


7. Curiosity and imagination ...พัฒนาความอยากรู้ และ กล้าฝัน ...อันนี้ตรงข้ามกับเด็กไทยเป็นที่สุด ...เด็กเราไม่กล้าถาม เพราะ สังคมเราบีบว่า ถ้าใครยกมือถาม มันดูเสร่อ ..ถ้าถามอาจดูโง่ ...เลยโง่จริงๆ เพราะ ไม่ได้ถาม


‘อย่าเพ้อฝัน’ ไปทำการบ้าน ....อันนี้ทำให้เด็กเรา เป็นลูกจ้างที่เก่ง แต่ไม่เป็นนายจ้างที่ดี ...อย่าว่าแต่ไปถึงขั้นนายจ้างเลย ขั้นแรก พัฒนาจากแนวคิดลูกจ้าง ให้มาเป็นแนวคิดนายตัวเอง ก็ยังยากเพราะ ทักษะการตั้งโจทย์ ความอยากรู้ และ การกล้าฝัน นี่แหละ ที่ต้องฝึกฝน


ก็ลองไปปรับใช้กับลูก กับ เยาวชน ของเราดูกันครับ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

8 ข้อ สอนลูกให้เป็นนักลงทุน ให้พาเขาไปซื้อของมือสอง

 สอนลูกให้เป็นนักลงทุน ให้พาเขาไปซื้อของมือสอง !!


'ใช้เงินให้รวยขึ้น ต้องซื้อของมือสองให้เป็น' ..พ่อผมสอนว่า ถ้าอยากจะเป็นคนรวยต้องรู้จักวิธีจ่ายเงินให้รวยขึ้น


คนซื้อ ส่วนใหญ่ยิ่งใช้เงินก็ยิ่งจน เพราะซื้อของก็ขาดทุน เก็บสะสมของนั้นก็มูลค่าลดลงจนกลายเป็นขยะ


สิ่งที่ผมเรียนรู้จากพ่อคือ 'วิถีของนักสะสม'  ดังนี้


1. 'ถ้าอยากรู้ว่าของสะสมอันไหนเป็น สินทรัพย์ (Asset) หรือเป็นขยะ (Junk) ให้ซื้อของมือสอง' เพราะเราจะรู้ก็ต่อเมื่อ สิ่งนั้นขายต่อแล้วยังมีราคา


2. 'คนซื้อของมือสองเป็น จะได้ส่วนลดอย่างมาก'


3. 'คนซื้อของมือสอง ต้องมีความรู้ในสิ่งที่จะซื้อมากกว่า' ..เหมือนบังคับให้เราต้องศึกษา ให้มีความรู้ ในสิ่งที่เราจะซื้อ


4. 'ซื้อของมือสอง ได้ฝึกทักษะการต่อรอง' นี่คือทักษะที่สร้างเศรษฐี


5. 'ซื้อของมือสอง ได้เรียนรู้จากพ่อค้า' ..บางครั้งการโดนหลอก ก็เป็นส่วนนึงของการเรียนรู้ ..สุดท้ายเราก็จะเชี่ยวชาญในสิ่งที่เราเก็บสะสม 


6. 'เมื่อเราเชี่ยวชาญ เราจะเริ่มกำไรตั้งแต่วันแรกที่จ่ายเงิน' ..พ่อผมใช้เวลากว่า 20 ปี ในการเข้าใจการซื้อของเก่า ..พ่อเล่าว่าของเหล่านี้เราต้องกำไรตั้งแต่วันแรกที่ซื้อ 


7. 'พ่อค้าคือคนที่นำกำไรมาให้เรา' ..คนส่วนใหญ่มักมองว่า พ่อค้าของมือสอง จะพยายามที่จะหลอกเรา ..จริงๆ ถ้าเราเป็นผู้เชี่ยวชาญในสิ่งที่เราสะสม - พ่อค้าต่างหากที่เสาะแสวงหาของดีมานำเสนอให้เรา


8. 'ความรู้เพิ่มคือกำไรที่เพิ่มขึ้น' ..คุณค่าของนักสะสมอยู่ที่ความรู้ ยิ่งเราหาความรู้ในสิ่งที่สะสมมากเท่าไหร่ เรายิ่งได้กำไรเป็นผลตอบแทน


9. 'สะสมสิ่งที่รัก' ..มันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยหากเราเป็นนักสะสมเพื่อหวังแค่กำไร ..มันจะดีกว่า ถ้าเราได้ซื้อ ได้ใช้ในสิ่งที่เรารัก แถมได้กำไรจากมันเป็นผลพลอยได้ 


10. 'ของสะสมคือมรดก' ..พ่อบอกว่า สิ่งที่พ่อสะสม สุดท้ายมันคือของเอ็ง ..พ่อไม่ได้มีที่ดินหรือมรดกแบบของคนอื่น แต่พ่อจ่ายและสะสมในสิ่งที่พ่อรัก ...ของเหล่านี้เป็นสินทรัพย์ที่ยิ่งมีราคาเพิ่มขึ้น และคุณค่าเพิ่มเมื่อเวลาผ่านไป


...ใช่!! พ่อบอกว่า 'มรดกที่กูจะให้คือ ความรู้ ..ส่วนของสะสมเหล่านี้ถ้าอยากขายก็เปลี่ยนเป็นเงินได้ทุกเมื่อ ก็แล้วแต่เอ็ง'


'พ่อผม โคตรแนว ..ให้ทั้งวิธีคิด วิธีดำเนินชีวิต ที่ไม่ตามใคร!!'


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

8 เรื่องที่ต้องตีลังกาคิด เพื่อเข้าใจชีวิตมากขึ้น

 “8 เรื่อง ที่ต้องตีลังกาคิด เพื่อเข้าใจชีวิตได้ดีขึ้น”


คิดเหมือนเดิม ชีวิตก็เหมือนเดิม ..ตีลังกาคิด ชีวิตอาจเปลี่ยนแปลง !! ...”เราสามารถให้โอกาสชีวิต ด้วยการตีลังกาคิด เปลี่ยนชีวิตด้วยตัวเรา”


1. ‘คำว่า ผู้ผลิต กับ ผู้บริโภค มันไม่มีเส้นแบ่งแล้ว’ ...คนเสพเพลง เสพคอนเทนต์ วันนี้สามารถลุกขึ้นมาสร้างเพลง สร้างวีดีโอ สร้างคอนเทนต์ ได้ทันที - จากคนเสียเงิน เปลี่ยนเป็นคนสร้างเงินได้ทันที


...


2. ‘คำว่า ลูกจ้าง กับ นายจ้าง มันก็แทบไม่เหลือเส้นแบ่ง’ ...เดิมทีนายจ้างคือ คนที่ใช้สมองเยอะ ออกแรงน้อย ..ส่วนลูกจ้าง คือ คนที่ใช้สมองน้อย ออกแรงเยอะ ...แต่วันนี้ลูกจ้างที่หนึ่ง ก็สามารถเป็นนายจ้างอีกที่หนึ่ง ...ออนไลน์เปิดกว้างให้คนธรรมดาเป็นเจ้าของธุรกิจตัวเองได้ ถ้ามีความสามารถ


...


3. ‘คำว่า เกษียณ หมดอายุไปแล้ว’ ...ยุคผมจะฮิต เรื่องเกษียณเร็ว แต่พอผมได้คุยกับคนรุ่นใหม่ยุคนี้ เขาสวนกลับมาว่า


 ‘แทนที่จะทนทำงานที่ตัวเองไม่ชอบ แล้วรีบๆ เกษียณ ...ทำไมไม่สร้างงานที่เราชอบจริงๆ แล้ว ทำมันด้วยความรักและความสนุกชั่วชีวิต’ 


....แม่งโคตรโดน!! (จริง!! คนจน คนไม่สำเร็จ มองงานเป็นความทรมาน ความทุกข์ ...คนรวย คนสำเร็จ เขาสร้างงานที่สนุก แล้วทำตลอดไป)


...


4. ‘คำว่า คนรวย กับ คนจน ไม่ได้วัดจากเงิน’ ..ยุคนี้เงินไม่ได้หายาก เพราะคนที่หาเป็นจะหาได้แทบไร้ขีดจำกัด ..แปลว่า เงินไม่ได้จำกัด ...สิ่งที่ทุกคนมีจำกัดคือ เวลาต่างหาก ...ดังนั้น รวยหรือจน ในยุคนี้ วัดกันที่ ‘ความสามารถในการเลือกใช้เวลาในสิ่งที่ชอบ’ 


(คนจน ต้องใช้เวลาชีวิตทำสิ่งที่ไม่ได้ชอบ อันนี้เรียกว่า จน ...คนรวย เลือกใช้เวลาชีวิตทำสิ่งที่ชอบ ..ไม่ได้เกี่ยวเลยว่า มีเงินล้นฟ้า แต่วัดกันที่ความฉลาดในการเลือกใช้เวลาชีวิตที่มีอยู่จำกัด อย่างมีความสุข 


- คนที่ฉลาดใช้เวลา จะมีของแถมในชีวิต คือ ได้สร้างผลงาน และ ตำนาน ที่ฝากเอาไว้เป็น แรงบันดาลใจ และ สร้างประโยชน์แก่คนรอบๆ ตัว)


...


5. ‘คำว่า เด็ก กับ ผู้ใหญ่ ไม่ได้ใช้อายุวัดอีกต่อไป’ ...สมัยก่อนคนอายุน้อยคือเด็ก อายุเยอะคือผู้ใหญ่ ...ซึ่งยุคนี้ คนเราไม่ได้เติบโตตามอายุที่มากขึ้น ...คนจำนวนมากในยุคนี้ที่อายุเยอะ แต่ความเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย


สิ่งที่ใช้วัดความเป็นผู้ใหญ่ คือ การยอมรับข้อผิดพลาด เรียนรู้ และเติบโตทางความคิด จากมัน ...ใช่!! ความกล้าหาญทางปัญญา คือ สิ่งที่ผู้ใหญ่ต่างจากเด็ก


...


6. ‘คำว่า ผู้นำ และ ผู้ตาม ไม่ได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นตัววัด’ ...อันนั้นเรียกว่า หัวโขน ...พอออกจากตำแหน่งเมื่อไหร่ ทุกคนเลิกให้ความสนใจ โดนเหยียบย่ำ นั่นแปลว่า สิ่งนั้นคือ หัวโขน 


แต่การเป็นผู้นำ คือ การแสดงความกล้าหาญ ในจุดที่ตัวเองอยู่ ...กล้าพูดความจริง ..กล้ายอมรับความจริง ...กล้าที่จะแก้ไขความคิดและความเชื่อที่ล้าสมัย 


จริงอยู่ โลกเรา ไม่มีอะไรที่ถูกหรือผิดอย่างแท้จริง ...มันขึ้นกับความเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา 


ดังนั้น ผู้นำ คือ คนที่กล้าเลือก กล้ายืนหยัด และ กล้ายืดหยุ่นที่จะเรียนรู้และเติบโต 


...


7. ‘คำว่า ผู้ให้ กับ ผู้รับ สามารถสลับกันได้ตลอดเวลา’ ...ไม่มียุคใดในโลก ที่คนเราจะสามารถเปลี่ยนเป็นผู้ให้ได้อย่างง่ายดายเท่าโลกยุคนี้ ...ผู้รับยุคนี้ สามารถลุกขึ้นมาเป็นผู้ให้ได้ทันที


ให้แรง ให้ความรู้ ให้ความคิด ให้โอกาส ให้กำลังใจ ให้ความสนุก 


เคล็ดลับของผู้ให้ ก็คือ คนที่จะก้าวไปเป็นผู้นำ ผู้ได้รับโอกาส ความสำเร็จ และ ได้รับความสุข


...


8. ‘คำว่า สำเร็จเร็ว หรือ ช้า ไม่ได้มีความหมายจริงๆ กับชีวิต’ ...ยุคนี้เราให้ความสำคัญกับความเร็ว ..สำเร็จเร็ว รวยเร็ว ทุกอย่างเร็ว โดยลืมคิดไปว่า ชีวิตเราจริงๆ เป็นวงกลม เป็นวัฏจักร ไม่ได้เป็นเส้นตรง


ไม่ว่าคนรวย คนจน คนมีชื่อเสียง คนไม่มีชื่อเสียง ก็ล้วนมี ปัญหา และ ความสุข ในแบบของตัวเอง


คนที่ไม่มีความสุขเลย คือ คนที่พยายามเอาวัฏจักรชีวิตของตัวเรา ไปเทียบกับคนอื่น เพราะ โอกาสและข้อจำกัด ในแต่ละช่วงชีวิต ของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน


ลองเปิดใจ แล้วทำความเข้าใจ วัฏจักรโอกาส และข้อจำกัด ชีวิตของตัวเราเอง จะพบว่า เราใช้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น เราสนุกและเราสำเร็จ ในแบบของเราเอง


ไม่มีคนเก่งที่สุด - ไม่มีคนรวยที่สุด - ไม่มีคนทุกข์ที่สุด - ไม่มีคนสุขที่สุด - คนที่อำนาจสูงสุด ก็คือ คนไร้อำนาจที่สุดในเวลาเดียวกัน ...หากเข้าใจ เราจะเลือกใช้ชีวิต ด้วยปัญญา ในจุดดีที่สุด ในจุดที่เราเลือกยืน !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 นิสัยพาจน อย่าหลงกลทำตาม

 6 นิสัยพาจน อย่าได้หลงกลทำตาม 


1. ‘ซื้อของชอบผ่อนจ่าย’ ..การผ่อนจ่าย จะสร้างนิสัยการซื้อของที่เกินฐานะตัวเอง ...คนรวยส่วนใหญ่จะซื้อเงินก้อน แล้วต่อรองเอาส่วนลด - จ่ายสดลดเท่าไหร่ ?


2. ‘นิสัยผลัดไปอีกวัน’ ..คำพูดที่ว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยทำ แปลว่า ยังไงก็ไม่ทำ ...เดี๋ยวพรุ่งนี้จะออกกำลังกาย แปลว่า ชาตินี้จะไม่ได้ออกกำลังกาย ...ถ้าจะทำ ต้องทำวันนี้เลย !!


3. ‘นิสัยชอบซื้อของเตรียมไว้ใช้ในอนาคต’ ...ขยะส่วนใหญ่ที่กองไว้ในบ้าน คือ สิ่งที่เราซื้อเตรียมไว้ใช้ในอนาคต แต่ไม่เคยได้ใช้ ...ถ้ายังไม่ได้ใช้วันนี้ อย่าซื้อมาเผื่อไว้ เพราะยังไงก็ไม่ได้ใช้ 


4. ‘นิสัยชอบทำงานง่าย’ ...กินอยู่แบบง่ายๆ เป็นเรื่องดี แต่ถ้าทำงานต้องเลือกทำตรงข้าม คือ ทำงานยากๆ ..เพราะงานยากเป็นงานที่ทั้งเงินดี และคู่แข่งน้อย ...อย่างน้อยคนที่เลือกทำงานยาก แม้จะยังไม่สำเร็จทันที แต่ก็จะได้เห็น ได้มีประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร 


5. ‘ชอบผูกความสุขกับการใช้เงิน’ ..นิสัยคนจนคือ ชอปปิงแก้เครียด ..เพราะ ความสุขอยู่ที่การจ่ายเงิน ...แต่นิสัยคนรวย คือ มีความสุขกับการหาเงิน ...คนส่วนใหญ่จะคุยกับเพื่อนว่า วันนี้จะซื้ออะไรดี ...แต่คนที่มีความสุขจากการหาเงิน จะคุยกับเพื่อนว่า เราจะทำธุรกิจอะไรดี - คนนึงคิดแต่จะใช้เงิน อีกคนติดแต่จะหาเงิน 


6. ‘นิสัยหมั่นไส้คนรวย’ ...คนจนจะรวมกลุ่มเพื่อเกลียดชัง และต่อต้านคนรวย ...แต่สิ่งที่ควรทำมากกว่าคือ ศึกษาแล้วค้นหาว่า เขาคิดอย่างไร เขาทำอย่างไร จะได้เอามาปรับใช้ ปรับปรุงตัวเรา


ลองสำรวจ 6 ข้อนี้ แล้วประเมินนิสัยเราเองว่า เราใกล้รวย เท่าใดแล้ว ?


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

10 เรื่อง ที่เศรษฐีสอนลูกเรื่องเงิน

 10 เรื่อง ที่เศรษฐีสอนลูกเรื่องเงิน


ถ้าอยากโดนต่อยหน้า ให้ออกไปต่อยหน้าคนอื่น ..ถ้าอยากได้ความรัก ให้ออกไปให้ความรักคนอื่น ...แล้วถ้าอยากได้เงินล่ะ ? ...ให้เราเอาเงินออกไปแจกคนอื่น ใช่หรือไม่ ?


ไม่ !! ถ้าอยากได้เงิน ให้เรา ‘รับใช้ และ แก้ปัญหา’ ให้คนอื่น 


- หากวันนี้เราได้เงินน้อย แปลว่า ความสามารถในการรับใช้ และ แก้ปัญหาให้คนอื่น ไม่ได้เรื่อง (ความสามารถเราน้อยเกินไป ..รู้น้อย เรียนน้อย ก็เพราะเรามีความพยายามน้อยนั่นแหละ)


- หากอยากได้เงินเยอะ ...ให้เริ่มที่พัฒนา ความสามารถในการรับใช้ และ แก้ปัญหา ให้ผู้คน


1. ‘ชีวิตอิสระในยุคนี้เริ่มจากมีเงิน’ ..คนที่ไม่มีเงินต้องยอมขายเวลาตัวเอง แลกกับเงินน้อยนิด ทำงานที่ตัวเองไม่อยากทำ ...การสร้างอิสรภาพในชีวิต ต้องเรียนรู้วิธีหาเงิน


2. ‘อย่ารอให้จบปริญญาแล้วเพิ่งเริ่มหาเงิน’ ...ทุกคนเริ่มหาเงินได้ทันที เพียงแค่ขายแรงงานและเวลาของตัวเอง แล้วตั้งใจทำงาน ..ขั้นแรกของการหาเงิน ให้เริ่มฝึกจากการขายแรงงาน !!


3. ‘การเพิ่มทักษะ จะทำให้เราขายแรงงานได้ราคาสูงขึ้น’ ...อยากได้เงินเดือนเพิ่ม ให้พัฒนาทักษะที่เรามีให้เหมาะสมกับเงินที่อยากได้ (ทักษะสูง = เงินเดือนสูง)


4. ‘ถ้าอยากรวย อย่าขายแรงงานแลกเงิน’ ...ให้สร้างสินทรัพย์เพื่อหาเงิน ...เมื่อเรารู้วิธีขายแรงงานแลกเงินแล้ว ให้เริ่มเรียนรู้การสร้างสินทรัพย์เพื่อหาเงินแทนเรา (คนรวยไม่ขายเวลาแลกเงิน แต่เขาจะสร้างสินทรัพย์เพื่อทำเงินแทน)


5. ‘อย่าเก็บเงินไว้เฉยๆ เพราะมูลค่ามันลดลงตามกาลเวลา’ ...ให้เปลี่ยนเงินเป็นสินทรัพย์ หรือ สิ่งอื่นมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป (สินทรัพย์ คือ สิ่งที่เราถือไว้แล้ว มูลค่ามีแต่เพิ่มขึ้น / ขยะ คือ สิ่งที่เราถือไว้แล้ว มูลค่ามีแต่ลดลง ...รถยนต์ ทีวี ตู้เย็น ...ของส่วนใหญ่ ที่คนยุคนี้สะสมก็คือขยะ)


6. ‘ต้องเก็บเงินซื้อของด้วยตัวเอง’ ...อย่าซื้อของที่อยากได้ ในเวลาที่อยากได้ เพราะ มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่มีทางพอ ...ถ้าอยากได้อะไร อย่าเพิ่งซื้อ ให้เก็บเงินให้ครบจำนวนก่อน แล้วค่อยตัดสินใจซื้อ ..เวลาจะช่วยบอกเราเองว่า เราอยากได้สิ่งนั้นจริงๆ ...เวลาจะช่วยคัดของที่ควรซื้อจริงๆ 


7. ‘เวลาเริ่มธุรกิจให้คิดแบบคนไม่มีเงิน’ ...คนส่วนใหญ่เริ่มธุรกิจจากจ่ายก่อนรับ แต่ยุคนี้เราสามารถสร้างธุรกิจที่รับก่อนจ่าย ...ฝึกคิดจากข้อจำกัด เพื่อจะได้เข้าใจโอกาสธุรกิจที่แท้จริงของโลกยุคใหม่


8. ‘อย่าให้เงินฟรี แก่ลูก เพราะในโลกจริงๆ ไม่มีเงินฟรี’ ...ต้องสอนให้ลูกรู้ว่า เงินทุกบาท ต้องแลกด้วยการทำงานบางอย่าง ...คนส่วนใหญ่สอนให้ลูกใช้เงิน แต่ไม่เคยสอนว่าหาเงินยังไง 


9. ‘ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ทุกคนต้องบริหารรายรับ และรายจ่ายด้วยตัวเอง’ ...ถ้าคุณสอนลูกว่า อยากได้เงินเท่าไหร่ก็ให้มาบอก แปลว่า คุณกำลังสอนให้เขาเป็นผู้ด้อยโอกาสทางการเงิน


10. ‘ไม่มีโอกาสทางการเงินที่ดี ที่วิ่งมาหาเรา’ ...โอกาสที่วิ่งเข้ามาหาเราเกือบทั้งหมด เป็นสิ่งหลอกลวง แชร์ลูกโซ่ หลอกให้ลงทุนในสิ่งที่ได้เงินง่าย ได้เงินเร็ว ...โอกาสจริงๆ จะวิ่งเข้ามา เมื่อเรามีความสามารถพอ ...ดังนั้น เลิกหวัง แต่ให้ตั้งใจพัฒนาความสามารถและความรู้แทน


‘ทักษะที่เพิ่ม ความรู้ที่สั่งสม’ ก็คือ เครื่องสร้างโอกาส ที่เราค่อยๆ สร้างมันขึ้นมาเอง 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 สิ่งที่ต้องรู้ หากอยากมีรายได้เพิ่ม 10 เท่า

 6 สิ่งควรรู้ ถ้าอยากมีรายได้เพิ่ม 10 เท่า


โดยเฉลี่ยฝรั่งรายได้มากกว่าเรา ..ยกตัวอย่าง ค่าจ้างขั้นต่ำคนไทย 300 บาทต่อวัน ..แต่ฝรั่งเขา 300 บาทต่อชั่วโมง ...ทำไม ? - นี่คือ สิ่งที่ควรรู้


1. ‘รายได้จะเพิ่มตาม Productivity’ ...ถ้าคนนึงเย็บเสื้อ 1 ชั่วโมงได้ 1 ตัว ..เทียบกับอีกคนที่เย็บเสื้อได้ 10 ตัวใน 1 ชั่วโมง ..คนที่เย็บได้มากกว่า ก็จะมีรายได้มากกว่า ...สิ่งนี้เรียก Productivity 


...พนักงานเสริฟฝรั่ง ใช้คนน้อยกว่า ดูแลลูกค้าที่มานั่งกินกาแฟ ดีกว่า พนักงานบ้านเรา ที่ยืนจับกลุ่มคุยกันไม่สนใจลูกค้า หลบมุมไปโทรศัพท์ ...ก็ไม่แปลกที่ขนาดพนักงานเสริฟฝรั่ง ยังทำรายได้มากกว่าเรา 10 เท่า


2. ‘รายได้เพิ่ม จากหนึ่งคน ทำได้หลายหน้าที่’ ...ถ้าเป็นโรงงานจะเน้นหนึ่งคนทำหนึ่งอย่าง ..เพราะไม่ต้องสอนมาก คนทำก็ไม่ต้องมีความรู้ ...งานแบบนี้รายได้จะต่ำ แล้วอนาคตจะไม่มีเพราะเครื่องจักรทำงานแทนได้เลย 


ถ้าเป็นเมืองนอก ขนาดพนักงานขับรถบัส เขาทำหน้าที่พูดเป็นไกด์ด้วย ช่วยลูกค้ายกของด้วย ..แปลว่า ขนาดคนขับรถ ยังต้องมีความรู้ ต้องศึกษาเพิ่มเติม ไม่ใช่รู้แค่ขับรถ แล้วนั่งบ่นว่า ทำไมไม่เห็นรวยซักที 


3. ‘รายได้เพิ่ม จากความตั้งใจในการทำงาน’ ...ดูเชฟญี่ปุ่น เทียบกับคนทำกับข้าวบ้านเรา ..ความพิถีพิถันต่างกัน ...ความภูมิใจในสิ่งที่ทำ แสดงออกมาด้วยการแต่งตัวที่สะอาด ...การตั้งใจทำสุดยอดเมนู ....ความตั้งใจที่มาก ทำให้เชฟเหล่านั้น หมั่นศึกษาพัฒนาความรู้ และทักษะจนเป็นเชฟกระทะเหล็ก , Naked Chef หรือ Hell Kitchen 


ถ้าเราทำงานแค่ให้เสร็จไปวันๆ เฝ้ารอแต่วันหยุด จดจ่อแต่วันท่องเที่ยว ..แล้วจะหวังได้เงินเยอะ มันใช่หรือ ?


4. ‘รายได้เพิ่ม จากการลงทุนในเครื่องมือทำมาหากิน’ ...มีดของเชฟญี่ปุ่น อันเป็นหมื่น ใช้เหล็กซามูไร ...ส่วนบ้านเรา ไปเอามีดมาจาก Big C ...หรือ ช่างไฟบ้านเรา ไขควงยังบิดเบี้ยวๆ เทียบกับ ช่างไฟต่างประเทศที่เขาต้องมี License มีรถ มีอุปกรณ์ที่ต้องลงทุนศึกษา ลงทุนในเครื่องมือ 


นี่คือ ความมืออาชีพในเครื่องมือทำมาหากินที่ทำให้เขามีรายได้มากกว่าเรา 10 เท่าไง


5. ‘รับผิดชอบ ในสิ่งที่ขาย’ ...คุณไปซื้อนาฬิกาสวิส เขาการันตีกันชั่วชีวิต รับประกันคุณภาพให้ตายกันไปข้างนึงเลย ปู่ซื้อ ส่งเป็นมรดกถึงพ่อ ต่อด้วยหลาน ...ไม่แปลกที่เขาสามารถขายได้แพงมหาศาล เพราะ เขารับผิดชอบในสินค้าที่เขาขาย


แต่ลองไปซื้อนาฬิกาจีน ...ถ้าคุณแค่ก้าวออกจากร้าน อย่าหวังจะสามารถเปลี่ยนได้ 


อันนึงซื้อแล้วสบายใจ แพงหน่อยก็ยอมจ่าย อีกคนซื้อขาย เหมือนแลกเปลี่ยนยาบ้า ..ขายแล้วห้ามเปลี่ยนคืน (อะไรของมรึง ?)


6. ‘สิ่งแวดล้อมในการขาย’ ...เปิดร้านอาหารในเมืองนอก ต้องขอใบอนุญาต ต้องสร้างร้านได้สะอาด ถูกหลักอนามัย ต้องให้หน่วยงานมาตรวจตลอดเวลา ...ร้านอาหารเขาขายจานละ พันบาท ก็เรื่องปกติ เพราะ คุณภาพ ความสะอาด และ สภาพแวดล้อม


แต่บ้านเรา เอาเตาไป ผัดริมถนน ..ขยะทิ้งลงท่อ ..แมลงสาบ และ หนู เยอะ เรื่องปกติ ...แล้วเราจะขายจานละพันบ้าง อันนี้น่าคิด เพราะลูกค้าไม่ได้โง่


สภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจ ต้องลงทุน ...ถ้ากล้าลงทุน แปลว่า คุณจะทำจริง ทำยาว ไม่ใช่แค่ตีหัวเข้าบ้าน


จะเห็นได้ว่า ถ้าอยากรายได้เพิ่ม ไม่ใช่คิดเอาแต่ได้ ...อยากได้แต่ทำเหมือนเดิม ก็คงไม่มีทางได้ 


...อยากรายได้เพิ่ม 10 เท่า เราต้องลงทุน ใส่ใจ เพิ่มผลผลิต ใส่คุณภาพ เพิ่มความรู้ เปลี่ยนสภาพแวดล้อม ...แล้วเราจะได้เพิ่มเกิน 10 เท่าในที่สุด


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

กฎ 5 ข้อของ เงิน ที่เราควรรู้

 'กฏ 5 ข้อ ของเงินที่เราควรรู้' 


1. 'เงินจะชอบวิ่งเข้าไปหาคนที่เล่นตัวกับมัน' เล่นตัวไง ทำเป็นไม่สนใจไง ...มีเชิงหน่อย !! ..ยิ่งเล่นตัว เรายิ่งมีเสน่ห์ดึงดูดเงิน


2. 'เงินจะวิ่งเข้ามา ในเวลาที่เราไม่จำเป็นต้องใช้' ถ้าไม่จำเป็นอย่าเพิ่งใช้ ถ้าใช้เพราะแค่อยากใช้ มีเท่าไหร่ก็หมดตูดครับ


3. 'เงินไม่ชอบเป็นนายใคร แต่เงินเป็นลูกน้องที่ดี' ..ใครใช้เงินทำงานเป็น เงินจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จะไปอาศัยใบบุญของผู้นั้น


4. 'เงินรวมตัวกันเมื่อไหร่ หายนะเกิด' ..คนฉลาดจะแบ่งเงินให้ทำงานหลายๆที่ ไม่ให้มันมารวมตัวกัน ..เอ๊ง!! ไปทำงานตรงนุ๊น ส่วนก้อนนี้มาทำงานตรงนี้


5. 'เงินที่วางไกลตัว มักทำงานหนักที่สุด' ..ถ้าเราหลงๆ ลืมๆ วางเงินให้มันทำงานในสินทรัพย์เช่น ที่ดิน หรือ หุ้น ..ยิ่งวางลืมๆ มันยิ่งทำงานหนัก โตเร็วอย่างน่าตกใจ


ทำได้ 5 ข้อนี้ ก็รวยแล้วล่ะ ..555


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

8 มุมมองของ ‘เงิน’ ที่เราควรเข้าใจ

 8 มุมมอง ของ ‘เงิน’ ที่เราควรเข้าใจ


เงินคือ สิ่งที่ทุกคนอยากได้ แต่มีคนน้อยมากที่เข้าใจว่า แท้จริงแล้วเงินคืออะไร ?


ถ้าไม่เข้าใจ ‘เงินจะกลายเป็นนายเรา’ แล้วเราก็จะเป็นทาสของเงิน ...แปลกไหมล่ะ ?


‘เงิน สิ่งใกล้ตัว ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก’ 


1. ‘ถ้ามองเงิน เป็นนาย’ ...เราจะอยู่ภายใต้อำนาจการสั่งการของเงิน ..คนมองเงินเป็นนาย จะทำงานหนัก แล้วเก็บเงินไม่ค่อยได้ 


2. ‘ถ้ามองเงิน เป็นอำนาจต่อรอง’ ...คนที่มองแบบนี้ ส่วนใหญ่ เป็นคนรวย ...เขาจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อสะสมเงินให้มากที่สุด เพราะ เขารู้ดีว่า ยิ่งเขามีเงินเท่าไหร่ เขายิ่งได้สิทธิพิเศษต่างๆ เหนือคนอื่น ...คนรวย จ่ายถูกกว่า ได้ส่วนลดมากกว่า ได้ของแถมเยอะกว่า 


3. ‘ถ้ามองเงินเป็น ลูกน้อง’ ..เราจะศึกษาวิธีการ ที่จะวางเงินทำงานแทนเรา ...เช่น เรียนรู้เรื่องการลงทุน , ลงทุนในอสังหา และ ลงทุนในหุ้นปันผลระยะยาว ...คนที่มองเงินเป็นลูกน้อง ส่วนใหญ่ในระยะยาว มักจะรวย เพราะ เขาพัฒนาทักษะ ที่สำคัญที่สุดของคนรวย - ทักษะ วางเงินทำงาน !!


4. ‘ถ้ามองเงิน สิ่งที่แลกเปลี่ยนความสุข’ ...คนเหล่านี้จะ พยายามหาเงิน มาเพื่อซื้อของ ...หาเท่าไหร่มักใช้เก่งกว่า อันนี้คือ คนส่วนใหญ่ของโลก 


5. ‘ถ้ามองเงินเป็น ถ้วยรางวัล’ ...คนเหล่านี้จะหาเงิน แต่ไม่ยอมใช้เงินเลย เพราะ อาจจะเคยลำบากในวัยเด็ก ทำให้เขาไม่ว่าจะหาเงินได้มากเท่าไหร่ ก็ไม่กล้าใช้เงินอยู่ดี 


6. ‘ถ้ามองเงิน เป็นความสะดวกสบาย’ ...คนแบบนี้ จะใช้เงินในการแก้ปัญหา ซึ่งการใช้เงินแก้ปัญหา มักดี ในมุมธุรกิจ แต่มักล้มเหลว ในเรื่องของความสัมพันธ์และครอบครัว


7. ‘ถ้ามองเงินเป็น สิ่งชั่วร้าย’ ...ก็จะเกลียดคนมีเงิน แล้วหาทาง ที่จะไม่มีเงิน 


8. ‘ถ้ามองเงิน เป็นเครื่องมือ’ ...เงิน ในมุมของเครื่องมือ ก็คือ สิ่งที่ช่วยให้คนๆ นึง สามารถแก้ปัญหา ที่ใหญ่ขึ้น และ ท้าทายขึ้น ...นักธุรกิจใหญ่ มักใช้เงินเป็นเครื่องมือ ในการเอาชนะปัญหาใหญ่ๆ เช่น Elon Musk อยากแก้โจทย์ การไปอยู่บนดาวอังคารของมนุษย์ 


...โจทย์ที่เล็กที่สุดของคนเรา ก็คือ แก้ปัญหาให้เราไม่หิว ไม่อดตาย ...เมื่อใดที่ใครชนะโจทย์นี้แล้ว เขาก็มักจะอยากแก้ปัญหาที่ใหญ่ ..โจทย์ที่ใหญ่ขึ้น


- แก้ปัญหา แค่ตัวเอง มักได้ เงินน้อย

- แก้ปัญหา เพื่อคนอื่น มักได้เงินมากกว่า

- แก้ปัญหาสังคม มักเป็นเศรษฐี

- แก้ปัญหาประเทศ มักเป็นผู้นำ 

- แก้ปัญหาโลก มักเป็น Billionaire!!


‘เงิน’ เป็นเครื่องมือ ที่ทรงพลังที่สุด ที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมา ....เพราะเงิน เป็นตัวแทนของหลายสิ่งหลายอย่าง หรือ อาจจะพูดได้ว่า เงิน ในยุคปัจจุบันเป็นตัวแทนของทุกสิ่ง ทุกอย่าง ที่มนุษย์อยากได้และครอบครอง


แต่ข้อจำกัด ของเงิน ก็คือ ‘ความสามารถในการทำลายล้าง’ 


ดังคำพูดที่ว่า ‘สิ่งใดที่มีคุณอนันต์ สิ่งนั้นก็ย่อมมีโทษมหันต์ ...เงินก็เช่นกัน’


- เงิน สามารถทำให้พี่น้อง เพื่อนรัก ฆ่ากันตายได้ ...อยากให้ครอบครัว แตกแยก โยนมรดกลงไป งงๆ วงแตกเสมอ


- เงิน ทำให้คน และ สังคมแตกแยกได้ ...ประเทศพัฒนา สามารถทำลายประเทศด้อยพัฒนา แค่โยนเงินเข้ามาแล้วดึงกลับอย่างรวดเร็ว ...ผลคือ เศรษฐกิจพัง , สังคมวุ่นวาย ความแตกแยก 


- เงิน ใช้แก้ปัญหา และ ใช้ทำลายล้างได้มหาศาล 


ข้อแนะนำ คือ ‘เราต้องศึกษา ให้รู้เท่าทันของเงิน ..เข้าใจเงินในบทบาทต่างๆ ...แล้วหมั่นตรวจสอบว่า มุมมองของเราที่มีต่อเงิน มันคืออะไร’


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

6 ตัวเลข ทางการเงินสำคัญที่ใช้ทำนายราคาหุ้น

 6 ตัวเลข ทางการเงินสำคัญที่ใช้ทำนายราคาหุ้น


1. ‘EPS เติบโต กำหนดค่า P/E’ …EPS ยิ่งโต ก็จะส่งให้ P/E แพงขึ้นได้ เรียกได้ว่า คนซื้ออาจจะได้กำไรแบบก้าวกระโดด


2. ‘D/E น้อย ลดความเสี่ยงการเพิ่มทุน’ …การช้อนซื้อหุ้นถูก ต้องระวังบริษัทที่ D/E สูง เพราะ อาจโดนล็อคเพิ่มทุนได้ ..ซวยไป 


3. ‘Net Profit Margin สูง เป็นดาบสองคม’ …คมแรกคือดี แปลว่า ขายของกำไรดี มี Competitve Advantage …อีกคมไม่ดี เพราะ แต่งงบง่าย (ใช่!! ยอดขาย แต่งยาก / กำไร แต่งไม่ยาก)


4. ‘Investment Cashflow ติดลบ’ …ดีเพราะ แปลว่า บริษัทลงทุนเพิ่มเพื่ออนาคต 


5. ‘% Free float’ …ถ้าน้อยแปลว่า หุ้นเบา หุ้นอยู่ในมือรายใหญ่เยอะ หรือ หุ้นยังไม่ช้ำ …ดูประกอบกับ ‘ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ว่า ถือเยอะแค่ไหน’ 


6. ‘Market Cap.’ …มูลค่าของหุ้นทั้งบริษัท มาจาก ราคาหุ้น คูณ ด้วย จำนวนหุ้นทั้งหมด …ดูความหนักเบาของหุ้น …ยิ่งเยอะ หุ้น ก็ยิ่งหนัก 

(ดูร่วมกับข้อ 5 เพื่อให้ภาพที่ครบมากขึ้น)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

6 ข้อ ประสบการณ์จากการเล่นหุ้น inside

 6 ข้อประสบการณ์อยากบอก จากการเล่นหุ้น inside


ใครๆ ก็อยากเป็น inside อยากได้ข้อมูลวงใน …อันนี้ผมอยากเอาประสบการณ์ตรงจากการเล่นหุ้นวงในมาเล่าให้ฟัง 


1. ‘คุณไม่ใช่ inside จริง’ …ส่วนใหญ่ทุกข่าวลือก็มาในรูปของข้อมูล inside ทั้งนั้นแหละ …เอาตรงๆ ให้ระวังไว้ก่อนเลยว่า ข้อมูลนั้นโคตร Outside ไปแล้ว 


2. ‘เวลาซื้อด้วยข้อมูล inside เราจะซื้อเยอะ แล้วเสียหนัก’ …ปกติคนเล่นหุ้นก็ไม่มั่นใจในตัวเอง แต่จะเชื่อคนอื่นมากกว่า ยิ่งเราคิดว่านี่คือ inside เราจะจัดหนัก ..สุดท้ายเลยจบด้วยเสียหนักๆ


3. ‘หุ้นที่มีข้อมูล inside ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่ไม่มีพื้นฐาน’ …พูดง่ายๆ หุ้นไม่ได้มีพื้นฐาน หรือ พื้นฐานแย่ ขาดทุนเละเทะ แล้วมีข่าวว่าจะกลับมา นี่แหละ น่ากลัวสุดๆ 


4. ‘หุ้น inside มักมี Volume ไม่สม่ำเสมอ ถ้าติดก็ยาว’ …หุ้นพวกนี้ไม่ได้เหมือนหุ้นใหญ่พื้นฐานที่มี Volume ตลอดเวลา จะซื้อขายได้ตลอด ..แต่หุ้น inside จะเล่นเป็นรอบๆ ถ้าหมดรอบ ก็ไม่มี Volume เหลือ ใครดอย ก็ยาววววว !!!


5. ‘เจ้ามือ inside ก็พลาดเองได้’ …เจ้าติดหุ้นตัวเอง นี่ก็เห็นบ่อยๆ โดยเฉพาะในยุคนี้ ที่รายย่อยเก่งขึ้น ดังนั้น 

ถึงแม้เราได้ inside จริง แต่ก็อาจซวยอยู่ดี เพราะ เจ้ามือก็พลาดได้ 


6. ‘เอากราฟ และ เอาเรื่องรอบมาช่วย จะลดความเสี่ยงได้เยอะมาก’ ..สุดท้ายเขาจะเล่นหุ้นยังไง มันก็ต้อง ‘มีรอบ’ ให้เราเห็น …เอากราฟมาประกอบ จะช่วยเราได้เยอะเลย


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

6 ข้อ แตกต่างระหว่าง พอร์ตหุ้นไม่โต กับ พอร์ตหุ้นเติบโต

 6 ข้อ ความแตกต่างระหว่าง ‘พอร์ตหุ้นที่ไม่โต’ กับ ‘พอร์ตหุ้นที่เติบโต’ 


ดูง่ายๆ ในตลาดหุ้น …คนส่วนใหญ่พอร์ตไม่ค่อยโต กับ มีคนพอร์ตโตเอา โตเอา …ก็นั่นแหละ …พอร์ตแบบโตเอา ๆ มันต้องแตกต่าง ยังไง ?


 …มาแคะแกะเกาดูกัน


1. ‘พอร์ตที่ไม่โต คือ ซื้อหุ้นยอดนิยม’ …’พอร์ตที่โต คือ ซื้อหุ้นที่คนอื่นเขาไม่ซื้อกัน’ 


2. ‘พอร์ตหุ้นที่ไม่โต เพราะ อยากได้เงินเร็วๆ’ …‘พอร์ตหุ้นที่โต เพราะถือหุ้นเป็นเจ้าของ’ 


3. ‘พอร์ตหุ้นที่ไม่โต เพราะ เวลาวิกฤตไม่เคยได้ซื้อหุ้นเลย’ …‘พอร์ตหุ้นที่โต คือ เขาได้ซื้อเพิ่มเวลาวิกฤต’ 


4. ‘พอร์ตหุ้นที่ไม่โต คือ หุ้นที่ซื้อเยอะขึ้นน้อย หุ้นที่ซื้อน้อยขึ้นเยอะ มันก็เลยไม่โตไง’ …’พอร์ตหุ้นที่โต หุ้นที่ซื้อเยอะ ขึ้นเยอะ’ (เคล็ดลับคือ การเพิ่มน้ำหนัก ซื้อเพิ่มในหุ้นที่ซื้อน้อย และ ลดจำนวนหุ้นที่มั่นใจลง)


5. ‘พอร์ตหุ้นที่ไม่โต คือ พอร์ตที่ไม่กล้าเสี่ยง’ …’พอร์ตหุ้นที่โต คือ พอร์ตที่ดูเสี่ยงในสายตาคนอื่น’ (ผลตอบแทนในยุคนี้ อยู่ในจุดที่เสี่ยงเสมอ)


6. ‘พอร์ตที่ไม่โต คือ รวยแล้วเลิก’(ส่วนใหญ่ เจ๊งแล้วเลิก) …’พอร์ตหุ้นที่โต คือ ยังไงก็ไม่เลิก’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

7 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับหุ้นสีเทา

 7 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับหุ้นสีเทา


ก็ว่าช่วงนี้มีแต่ข่าวเทาๆ …เทานุ่น เทานี่ …แล้วหุ้นสีเทามันมีหน้าตาเป็นอย่างไร ?


จากประสบการณ์มองโลกแบบจริงๆ ไม่เอาโลกสวย เราก็ต้องมาทำความเข้าใจกัน 


1. ‘หุ้นที่พื้นฐานกับราคาหุ้นไม่สัมพันธ์กัน มีแนวโน้มจะเทาละ’ …ทำไม? เพราะ บางครั้ง ถ้า P/E สูงเกินจริงมาก มันก็ล่อตาล่อใจ ให้รายใหญ่มาหาผลประโยชน์ได้ 


2. ‘หุ้นที่ธุรกิจ ไม่มีอนาคต ไม่เติบโต ก็อาจจะมีแนวโน้มเทาได้’ …ธุรกิจที่ดีมีการเติบโต เจ้าของเขาแค่ถือเฉยๆ ก็รวยแล้ว …แต่ถ้าธุรกิจไม่เติบโต อันนี้น่าคิดตั้งแต่เขาเอาเข้าตลาดแล้ว …ว่าเข้ามาเพื่อ ?


3. ‘หุ้นที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ถือหุ้นน้อย ทยอยขายไปเรื่อย’ ….การขายหุ้นออกไป ก็เท่ากับว่า ไม่อยู่ในชื่อตัวเองแล้ว …จะทำอะไรก็ไม่ต้องรายงาน


4. ‘หุ้นสีเทา มักขึ้นแรงกว่า ส่วนเวลาลงก็ลงแรงกว่า’ …คิดง่ายๆ รายใหญ่ ที่เขาคุมเกม เขาสนใจแต่เรื่องราคา ทำให้การขึ้นก็ขึ้นแรงกว่า เพื่อเรียกแขก ..ส่วนลงก็ต้องแรง ไม่งั้นก็ออกของไม่หมดซิ


5. ‘หุ้นสีเทา ต้องระวังการเพิ่มทุน’ …ก็แน่ละ ธุรกิจมันไม่ดี หรือ แทบไม่มีอยู่แล้ว …การเพิ่มทุน ก็มักเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ให้รายย่อยช่วยกันเติมเงินแบบฟรีๆ 


6. ‘หุ้นแนวนี้ ไม่ได้มี Volume ตลอด …มีเฉพาะช่วงที่เขาเล่นเท่านั้น’ ….แปลว่า ถ้าซื้อช่วงที่เขาเล่น ต้องระวังว่า ช่วงที่เขาไม่เล่น อาจไม่มี Volume ให้ขายเลย ต้องระวังให้ดี 


7. ‘อย่าพยายามเล่นตามข่าวกับหุ้นสีเทา เพราะ มันสร้างมาหลอกรายย่อยเสมอ’ …ช่วงที่ซื้อหุ้นเหล่านี้ได้ คือ ช่วงที่ไม่มีข่าว …ส่วนช่วงที่ขายหุ้นแบบนี้แล้วกำไรดี คือ ช่วงข่าวดี งบสวย แค่นั้นแหละ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2566

6 ข้อควรรู้ ความขยันเกินไป อาจไม่ทำให้เรารวยขึ้น

 6 ข้อควรรู้ ‘ความขยันเกินไป อาจไม่ได้ทำให้รวยขึ้น’ 


แต่ถ้าขี้เกียจนั่นซวยกว่า เพราะ คนขี้เกียจจะแทบไม่ได้รับโอกาสใดๆ ในชีวิตเลย


1. ‘การขยันเป็นเรื่องดี แต่ต้องมีเวลาหยุดคิดด้วย’ …แน่นอน คนขยัน ไม่อดตาย ..และถ้าเป็นคนดีด้วย ย่อมได้โอกาสในชีวิตที่ดีกว่า …แต่ต้องมีเวลาพักและหยุดคิดทบทวนด้วย


2. ‘การหยุดคิด เพื่อประเมินผลงานเราเอง’ (หยุด 10% เพื่อผลลัพธ์ 100%) …ทุกปีควรลดงานที่ขยันแล้วให้ผลลัพธ์น้อยลง 10% ทุกปี เพื่อเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่ให้ผลลัพธ์ดีกว่า 


3. ‘คนขยันมักลืมมองภาพใหญ่’ …ภาพใหญ่นั่นแหละ ที่เป็นช่วงก้าวกระโดดของชีวิต


4. ‘ต้องแบ่งเวลาไปกล้าเสี่ยงขึ้น’ …ยุคนี้โอกาสผูกอยู่กับสิ่งที่เสี่ยงเท่านั้น …การที่เราวิ่งเข้าหาความเสี่ยงบ้าง ก็ทำให้ชีวิตมีโอกาสขึ้น


5. ‘ลองลงทุนในสิ่งที่ไม่เห็นผลลัพธ์บ้าง’ …การลงทุนที่เห็นผลลัพธ์คือ ลงทุนในระยะสั้น หรือ ลงทุนในตราสารรหนี้ที่การันตีผล …ข้อเสียคือ พอเห็นผล มันได้เงิน แต่มันไม่ทำให้เรารวย


6. ‘การมีเวลาว่างบ้างก็เป็นเรื่องดี’ …ช่วงที่ว่างเป็นช่วงที่เราสามารถหาโอกาสใหม่ๆ นั่นก็คือ เวลาที่เราจะเติบโตได้แบบไม่คาดฝันเช่นกัน 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 ข้อควรรู้ ทำไมเวลาเงินเฟ้อ คนรวยจึงรวยขึ้น …แล้วเราล่ะ ?

 5 ข้อ ควรรู้ ‘ทำไมเวลาเงินเฟ้อ คนรวยจึงรวยขึ้น’ …แล้วเราอยู่ตรงไหน ?


ใช่!! ถ้ารู้เราก็แค่พยายามทำแบบคนรวยให้ได้มากที่สุด ก็เท่านั้นแหละ …จะได้รวยบ้าง !!


1. ‘คนรวยถือสินทรัพย์เป็นส่วนใหญ่’ …เวลาเงินเฟ้อ เงินสดมันลดมูลค่าแต่ สินทรัพย์มันเพิ่มมูลค่า …คนรวยเลยรวยขึ้น


2. ‘หนี้ที่จ่ายได้ กับหนี้เสีย’ …ทุกคนเป็นหนี้ เวลาเงินเฟ้อ คนเป็นหนี้ได้เปรียบ เพราะ หนี้ก็ลดมูลค่า …แต่ความแตกต่างคือ คนรวยไม่เป็นหนี้เสีย เพราะ วางแผนเตรียมเงินไว้ก่อน 


3. ‘รายได้ทุกอย่างเพิ่มขึ้น ยกเว้นเงินเดือน’ …เงินเฟ้อคือทุกอย่างขึ้น แต่สิ่งที่ขึ้นน้อยสุดเลยก็คือเงินเดือน …ซึ่งเราก็รู้ว่าคนรวยพึ่งพารายได้จากเงินเดือนน้อยสุด


4. ‘คนรวยมักใช้โอกาสซื้อสินทรัพย์เพิ่ม เวลาที่เขาเห็นโอกาส’ …การมองหาโอกาสซื้อสินทรัพย์เพิ่มตลอดเวลา ทำให้คนรวยได้โอกาสมากกว่าในระยะยาว


5. ‘คนรวยมีเงินสำรอง และยืนระยะในช่วงวิกฤตได้ดีกว่า’ …การมีเงินสำรอง ก็ช่วยให้ผ่านพ้นวิกฤต หรือ ไม่ขายสินทรัพย์ที่ตัวเองมีในราคาถูกนั่นเอง 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2566

5 แนวทาง การลงทุนที่ให้กำไรงามอย่างไม่คาดคิด

 5 แนวทาง การลงทุนที่ทำให้เราได้กำไรงาม อย่างไม่คาดคิด


1. ‘ซื้อหุ้นขนาดใหญ่พื้นฐานดี ปันผลสูง ในเวลาที่ตลาดลงแรง และมีแต่ข่าวร้าย’ 


2. ’ซื้อหุ้นวัฏจักร ในช่วงที่บริษัทขาดทุนหนัก’


3. ‘ซื้อหุ้นขนาดเล็ก ที่มี Market Cap. ต่ำ และ สภาพคล่องน้อย’ 


4. ’ซื้อหุ้นขนาดกลาง ที่อยู่ในธุรกิจ Megatrend ในช่วงที่ยอดขายและกำไรเติบโตสูง’ 


5. ‘ซื้อหุ้นที่เจ้าของใช้ Money Game ในการขยาย และเจ้าของไม่ขายหุ้น’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

10 สิ่ง ที่ผมได้เรียนรู้จาก ทฤษฎีผลประโยชน์ ในการเอามาใช้ในหุ้น

 10 สิ่ง ที่ผมได้เรียนรู้จาก ทฤษฎี ผลประโยชน์ …แล้วเอามาปรับใช้ในการหาหุ้น


1. ‘ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของโลก จะวิ่งเข้าไปหาคนส่วนน้อยเท่านั้น’ 


2. ‘คนส่วนใหญ่มักคิดว่าตัวเองเป็นคนคิดต่าง แต่ไม่ใช่เลย’  …เพราะความจริงก็คิดเหมือนๆ คนอื่นนั่นแหละ 


3. ‘บางช่วงเวลาคนส่วนใหญ่อาจผิดพลาด แต่ในระยะยาวคนส่วนน้อยจะชนะในที่สุด’ 


4. ‘เมื่อคนส่วนใหญ่ที่อยากจะซื้อหุ้น ได้ซื้อแล้ว แปลว่าหุ้นตัวนั้นกำลังจะเข้าสู่ขาลง’ 


5. ‘เมื่อคนส่วนใหญ่ที่อยากจะขายหุ้น ได้ขายแล้ว แปลว่า หุ้นตัวนั้นกำลังจะเข้าสู่ขาขึ้น’ 


6. ‘เมื่อทุกเหตุผล บ่งชี้ว่า หุ้นจะลง …มันแปลว่า มันกำลังจะเกิดจุดเปลี่ยนสำคัญที่เราไม่รู้ แล้วเป็นจุดกลับตัวของหุ้นนั่นเอง’ 


7. ‘เมื่อทุกเหตุผล บ่งชี้ว่า หุ้นจะขึ้น ไม่มีวันลง …มันแปลว่า มันกำลังจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่จะทำให้หุ้นเปลี่ยนเป็นขาลง’ 


8. ‘การเลือกจุดที่คนส่วนใหญ่ไม่อยู่ มักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในที่สุด’ 


9. ‘การฝึกคิดแบบคนส่วนน้อยในหุ้น ต้องเริ่มจากการซื้อหุ้นที่เราไม่คิดจะซื้อ ในเวลาที่เราไม่อยากซื้อ’ 


10. ‘ยิ่งเรามองหุ้นภาพยาวเท่าไหร่ ความแม่นยำก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ