แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566

8 สิ่ง ที่ได้เรียนรู้จากการขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงครั้งนึงของโลก

 8 สิ่ง ที่ได้เรียนรู้จากการขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงครั้งนึงของโลก


1. ‘การขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ อเมริกา ได้ประโยชน์กว่าจีน’ …เพราะ อเมริกาประคองเศรษฐกิจได้ ขณะที่หุ้นขึ้นเรื่อยๆ …ส่วนจีนจมดิ่งสู่วิกฤติอสังหาครั้งใหญ่ ลามไปถึงตลาดหุ้นย่ำแย่


2. ‘จีนพยายามสู้ โดยกดให้ค่าเงินตัวเองอ่อนค่า‘ …เพื่อให้การส่งออก และขายสินค้าได้ดี …แต่การลงทุนและเงินจะไหลออก ส่งผลให้การเงินและการลงทุนอ่อนแอ


3. ’การขึ้นดอกเบี้ย ทำให้มูลค่าลดลงหายไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสินทรัพย์เสี่ยง‘ …เริ่มจากตลาดคริปโตลงแรง ตามมาด้วยตลาดหุ้นลงแรง …ถ้าดอกเบี้ยยังสูง สินทรัพย์เสี่ยงก็ยังจะไม่ดี 


4. ’คนในโลกเป็นหนี้เยอะกว่าที่คิด พอดอกเบี้ยขึ้น การใช้จ่ายก็หายไปอย่างรวดเร็ว‘ …เศรษฐกิจการบริโภค จากทึ่ดูเงินเฟ้อกลับไปเงินฟืดได้เร็วมาก โดยเฉพาะ Emerging Markets ที่ตลาดโดน 2 เด้ง …คือ ทั้งค่าเงินอ่อน และ หนี้เพิ่มขึ้น


5. ’ภาพระยะสั้นดอลลาร์น่าจะแข็ง แต่ระยะยาวน่าจะอ่อน‘ …ระยะสั้นเงินไหลไปอเมริกาจากดอกเบี้ยสูง เพื่อเข้าไปลงทุน แต่เมื่อการลงทุนเสร็จพอถึงช่วงการส่งออก ดอลลาร์น่าจะอ่อนตัวลง


6. ‘ตลาดจะผันผวนมากขึ้น แต่ระยะยาวสินทรัพย์ที่ดีจะเป็นขาขึ้นครั้งใหญ่’ …เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา สุดท้ายเงินดอลลาร์และเงินอื่นๆ จะมูลค่าลดลง ในขณะที่สินทรัพย์ที่ดี ราคาจะขึ้นไปเรื่อยๆ 


7. ‘ประเทศพวก Emerging Market พึ่งพิงดอลลาร์มากกว่าที่คิด’ …สังเกตได้จากการขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้ค่าเงินประเทศเหล่านี้อ่อนตัวเร็วมาก …ทำให้เงินไหลกลับอเมริกา


8. ’ให้เตรียมตัวกับสิ่งที่เราไม่คาดคิดเสมอ’ …ถ้าทุกคนว่าดี ให้เตรียมตัวรับวิกฤติที่เราไม่คาดฝัน …การมีเงินสดส่วนนึงเสมอ รอซื้อเวลาวิกฤติ ยังคงใช้ได้เสมอ 




#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2566

7 ข้อ วิเคราะห์โอกาสลงทุนในตลาดหุ้นไทย ปี 2024

 7 ข้อ วิเคราะห์โอกาสลงทุนในตลาดหุ้นไทย ปี 2024


‘ดอกเบี้ยขึ้น ตลาดหุ้นแย่‘ …แล้วทำไมตลาดอเมริกาดี แล้วตลาดไทยแย่ ?


- จริงๆ ช่วงที่ดอกเบี้ยอเมริกาเริ่มขึ้น ปี 2021 นั้น ตลาดหุ้นอเมริกาพังเละ หุ้นอย่าง Facebook ลงแรง จากหุ้นราคาเกือบ 400 เหรียญ ลงมาต่ำกว่า 100 …เละ !! 


- พอปี 2022 หุ้นอเมริกาก็ขึ้นกลับมา ทั้งๆ ที่อัตราดอกเบี้ยยังไม่ลง (แค่ทรงๆ ไม่ขึ้น แต่นักลงทุนคาดกันว่า ดอกเบี้นน่าจะ Peak แถวๆ นี้) ..หุ้นอย่าง Facebook ก็ขึ้นจาก ไม่ถึง 100 วิ่งขึ้นไปเกือบ 400 เหรียญ


บทเรียนนี้ สอนเราว่า …เวลาที่ทุกอย่างดูแย่ ให้ซื้อหุ้นและสินทรัพย์ …พูดง่ายๆ ใครซื้อหุ้นอเมริกาปลายปี 2022 ถึงต้นปี 2023 ก็จะกำไรสบายๆ …ส่วนตลาดไทยดอกเบี้ยขึ้นช้ากว่าอเมริกาเกือบ 1 ปี …ดังนั้น ตลาดเราจึงแย่ในปี 2023 ..และถ้าดูตัวอย่างจากอเมริกา ตลาดหุ้นไทยปี 2024 จึงน่าจะเป็นปีที่ดี


—————————————————-


คำถามต่อไปคือ เวลานี้ ที่ไหนดูแย่ จะได้เป็นโอกาส เข้าซื้อ …ส่วนที่ไหนมันดีแล้ว ก็อาจทยอยขายทำกำไรนั้นเอง


1.  มาดูตอนนี้ ตลาดหุ้นไทยเวลานี้ดูแย่มาก จึงน่าจะเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ เพื่อจะทำกำไรในปีหน้า


2. ตลาดอเมริกา ปีนี้ดี และเหมือนจะดีกว่าความเป็นจริง อาจจะมองได้ว่า มันขึ้นเพราะคนซื้อไปเผื่อว่าอนาคตจะดีเรียบร้อยแล้ว …เวลานี้จึงน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ทยอยขายทำกำไร (อาจจะไม่ต้องขายหมด แต่ควรเอากำไรบางส่วนออกมา เพื่อไม่ให้เราเสียจังหวะ หากตลาดปรับฐานนั่นเอง) 


3. ดอกเบี้ย คนส่วนใหญ่มองว่า มันจะหยุดขึ้นแล้วลงในไม่ช้า …ถ้าเป็นแบบนี้ แปลว่า ตลาดมองบวกมากเกินไป …ดังนั้น เราควรมองลบในเรื่องนี้ มองว่า ดอกเบี้ยอาจจะขึ้นต่อ หรือ ไม่ลงอีกนานกว่าที่คนส่วนใหญ่คาด 


4. ธุรกิจที่หนี้เยอะ ยังต้องระวัง และควรหลีกเลี่ยง …การบริโภคน่าจะยังไม่ดี ..ธุรกิจที่ดี คือ ธุรกิจพวก B2B มากกว่า B2C …หรือธุรกิจที่เกี่ยวเนี่องกับการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยภาครัฐบาล …กับธุรกิจที่มีลูกค้าระดับบน ที่ไม่กระทบในเศรษฐกิจ


5. สิ่งที่หวังคือ นโยบายและเงินกระตุ้นจากภาครัฐต่างๆ …รวมทั้งการออกมาตรการ ช่วยเหลือลูกหนี้ …การกระตุ้นตลาดทุน …รวมถึงการลดภาษีในด้านต่างๆ (พูดง่ายๆ ภาครัฐ ต้องสร้างหนี้เพิ่ม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ)


6. Emerging Market อย่างไทย มีปัญหาเงินฝืด (ทำให้เราไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยแบบอเมริกา ส่งผลให้เงินไหลออก) …ค่าเงินอ่อน ซึ่งตรงข้ามกับ อเมริกาที่มีปัญหาเงินเฟ้อและค่าเงินแข็งเกินไป …โอกาสคือ ธุรกิจส่งออก และ การเข้ามาลงทุนโดยต่างประเทศ เช่น กลุ่มรถยนต์ EV …โอกาสจะอยู่ที่ เงินไหลกลับ เพราะ เงินไหลออกไปก่อนหน้านี้ 


7. การหาโอกาสการลงทุนในช่วงแย่ของตลาดหุ้นไทย …หุ้นใหญ่ หุ้นปันผล น่าทยอยเก็บ เพราะ มั่งคงและโดดเด่นในเรื่องเงินปันผล …หุ้นเล็ก ..เก็งรอบการเก็งกำไร ซึ่งเวลาเงินไหลกลับ หุ้นเล็กจะวิ่งแรงกว่า ไปไกลกว่า แต่ก็ต้องเข้าใจเรื่องของการกระจายความเสี่ยงดีๆ (ลงกระจาย ดีกว่าลงกระจุกในเวลานี้)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2566

8 ข้อ เรื่อง Short Sell ที่รายย่อยควรรู้

 8 ข้อ เรื่อง Short Sell ที่รายย่อยควรรู้


1. ‘การ Short Sell คือ การเก็งกำไรขาลง’ แปลว่า ยิ่งหุ้นลงก็ยิ่งกำไร 


2. ‘รายย่อยต้องเปิดบัญชี Margin กับทางโบรคเกอร์‘ …การจะ Short Sell ได้ต้องเปิดบัญชี Margin กับโบรคเกอร์เพื่อทำการยืมหุ้น


3. ’จากนั้นทำการยืมหุ้นมาขาย โดยเสียดอกเบี้ยในการยืม‘ …การ Short Sell คือ ยืมหุ้นมาขาย จากนั้นก็ลุ้นว่า หุ้นจะราคาลงไปอีก เพื่อที่คนยืมจะได้ไปซื้อหุ้นในราคาที่ถูกลงเพื่อเอามาคืนโบรคเกอร์ 


4. ‘ความเสี่ยง คือ หุ้นไม่ลง‘ …ถ้าคนยืมหุ้นมาขาย แล้วราคาหุ้นไม่ลง ก็คือ ซวย เพราะ นั่นแปลว่าต้องไปไล่ซื้อหุ้นแพงกว่าที่ขายไป …ก็คือ ขาดทุนนั่นเอง


5. ’การ Naked Short รายย่อยไม่สามารถทำได้‘…การ Naked Short คือ ขายหุ้นโดยที่ตัวเองไม่มีหุ้น ส่วนใหญ่จะอาศัยช่องว่างสั้นๆ เช่น ขายเช้า พอได้เงินสดมา ก็เอาเงินสดไป ช้อนซื้อหุ้นตอนบ่าย ในราคาที่ถูกลง (จริงๆ เรื่องนี้ผิดกฏ กลต.)


6. ’ในช่วงที่ตลาดไม่ค่อยมี Volume มักเป็นช่วงที่หุ้นเสี่ยงโดน Short Sell’ …ช่วงที่ไม่ค่อยมี Volume ก็คือ ไม่ค่อยมีคนซื้อ ดังนั้น ถ้ามีการ Short Sell จำนวนมาก ก็จะทำให้หุ้นลงแรง ลงเร็วนั่นเอง (หุ้นเวลาโดน Short มักทำให้ราคาลงแรง จนอาจต่ำกว่าพื้นฐาน)


7. ’หุ้นที่โดน Short Sell มากๆ หลังจากนั้นอาจเด้งขึ้นแรงในเวลาสั้นๆ’ ….นั่นก็เพราะ คนที่ Short เขาขายออก จากนั้นเขาต้องกลับมาซื้อเพื่อเอาหุ้นมาคืนโบรคเกอร์ …ภาวะนี้เรียก Cover Short 


8. ‘การ Short Sell ไม่ควร Let Profit Run’ …ไม่เหมือนการเล่นหุ้นขาขึ้นที่เราสามารถถือยาว …ในขาลงหุ้นจะลงแรง ลงเร็ว จากนั้น พอคนขาย Cover Short มันก็มีโอกาสเด้งแรง ทำให้ขาดทุนหนักและเร็วนั่นเอง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม




วันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2566

‘The Law of Diminishing Returns.. ในตลาดหุ้น ..ทำไมทำงานหนักขึ้น แต่ผลลัพธ์แย่ลง‘

 ‘The Law of Diminishing Returns.. ในตลาดหุ้น ..ทำไมทำงานหนักขึ้น แต่ผลลัพธ์แย่ลง‘ 


1. การเทรด …การเทรดเร็วขึ้น ในช่วงแรกก็มีโอกาสได้เงินมากขึ้น …แต่พอเทรดเร็ว เราจะเข้าไปเทรดใน Time-Frame ที่เล็กลง ทำให้ความผันผวนมากขึ้น สุดท้ายโอกาสเสียหายก็เพิ่ม เลยอาจไม่รวยขึ้น


2. การแกะงบ …การแกะงบลึกขึ้น ทำให้เราเข้าใจธุรกิจมากขึ้น แต่ยิ่งลึกเรายิ่งมั่นใจ และ สุดท้ายอาจตกเป็นเหยื่อของการแต่งงบ …สุดท้าย เจ้าของ ย่อมเห็นงบก่อนรายย่อยเสมอ ต้องจำไว้ให้ดี


3. การทำงาน …การทำงานหนักขึ้นก็มักทำงานได้มากขึ้น แต่ถ้าทำหนักเกินไปเราจะใช้ ’ความยุ่งเป็นข้ออ้าง ไม่คิดนอกกรอบ’ สุดท้าย ผลลัพธ์จะแย่ลง เพราะ เราแค่ทำสิ่งเดิมแค่นั้นเอง


4. ผลลัพธ์ของการลงทุน จะเยอะมากในต้นรอบ ที่มีแต่ข่าวร้าย ดูไม่น่าลงทุน แต่พอเรามั่นใจ ข่าวดีมีเยอะ เราใส่เงินมาก กลับเป็นจุดที่ ’ความเสี่ยงเยอะ แต่ผลตอบแทนน้อย‘ 


5. ผลตอบแทนที่เยอะจะมาในช่วงที่เราทำสิ่งใหม่ สิ่งแตกต่าง หรือ Innovation …พอผ่านช่วงนี้ไปคู่แข่งก็จะเยอะ ผลลัพธ์ก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ 


6. กฎของ 20 ชั่วโมง คือ ถ้าเราทำอะไรจริงจัง หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ใน 20 ชั่วโมงแรก จะทำให้เราเก่งกว่าคนทั่วไปอย่างมหาศาล 


7. ในระบบเศรษฐีและธุรกิจ การหา New S-Curve คือการหา New Diminishing Returns นั่นคือ ช่วงแรกคือช่วงที่หอมหวน และกำไรสูงสุด …สรุป ธุรกิจต้องพยายามหา New S-Curve ตลอดเวลา


8. ในชีวิต เราจะมีจุดสูงสุดแค่หนึ่งครั้ง …เราต้องเตรียมตัว ให้พร้อม เมื่อเราเจอจุดทึ่ดี ต้องพยายามเค้นให้สุด แล้ววางแผนระยะยาวต่อ เช่น สร้าง Passive Income จากรายได้ที่เราหามา


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

8 เรื่องอะไร ที่ AI ยังไม่เหนือเรา

 8 เรื่องอะไร ที่ AI ยังไม่เหนือเรา


‘คุยกับเพื่อนเรื่อง AI มันเก่งจนทำให้คนตกงาน’ …แล้วอนาคตจะเหลืองานอะไรให้คนทำอยู่ ?


เครื่องจักรในอดีตมาทนแทนแรงงานทำให้มนุษย์มีเวลาว่างขึ้น …วันนี้ AI มาทดแทนสมอง จะทำให้คนมีเวลาเอาสมองไปคิดอะไรสนุกๆ ไร้สาระมากขึ้น 


1. ‘งานที่ไม่ทำอะไรซ้ำๆ’ …งานไม่ซ้ำ ส่วนใหญ่เป็นงานแก้ปัญหา


2. ‘งานไร้สาระ จะเริ่มมีราคาและคุณค่า’ …แต่ก่อนการไปทำไร่ไถนา คือ ทำมาหากิน (มีสาระ) …ส่วนการร้องเพลง คือ เต้นกินรำกิน (ไร้สาระ) …ทุกวันนี้อาชีพที่ร่ำรวยส่วนใหญ่ ไร้สาระทั้งนั้น …เป็น Gamer , นักร้อง , นักแสดง , Youtuber


3. ‘งานตั้งโจทย์’ …ทุกวันนี้เราเรียนไปสอบ ไปตอบโจทย์ แต่อนาคต AI ตอบโจทย์ได้ดีกว่าเรา …อนาคตต้องฝึกการตั้งโจทย์


4. ‘งานบริการ และงานแก้ปัญหาลูกค้า’ …การบริการที่แพง ต้องการ Human Touch …รวมทั้งเวลาเรามีปัญหา เราก็อยากคุยกันคน ไม่อยากคุยกับหุ่นยนต์ หรือ AI


5. ‘งานอดิเรก คือ การทำงานรูปแบบใหม่’ …เลี้ยงสัตว์ , แคมปิ้ง , ท่องเที่ยว , ออกกำลังกาย …งานรูปแบบใหม่ ไม่ได้เน้นปากท้อง แต่เน้นกิจกรรมและความสนุก


6. ‘ความหรูหรา คือ ขุมทรัพย์’ …ธุรกิจในอดีตเน้นประสิทธิภาพและความคุ้มค่า …ส่วนอนาคตจะเน้นความหรูหรา ความพิเศษ และ ความพอใจ


7. ‘ความงาม และ สุขภาพ’ …แต่ก่อนสวยหล่อ สุขภาพเป็นความโชคดี แต่ทั้งหมดนี้ ในอนาคต เปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้หมด ด้วยเงิน


8. ‘นักลงทุน’ …นักลงทุน 2.0 ต้องเป็น Creative Finance ไม่ใช่แค่นักเก็งกำไรเฉยๆ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


8 ข้อ ‘ถ้าคนเรามีอายุยืนยาวขึ้น เราจะรวยขึ้นรึเปล่า ?’

 

8 ข้อ ‘ถ้าคนเรามีอายุยืนยาวขึ้น เราจะรวยขึ้นรึเปล่า ?’


ช่วงร้อยปีที่ผ่านมา อายุขัยของมนุษย์เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว เพราะ การแพทย์และสุขอนามัยที่ดีขึ้น …คำตอบคือ คนที่รวยขึ้น ก็จะรวยขึ้นไปอีก …ส่วนคนที่จนลงเมื่ออายุมากขึ้น ก็จะยิ่งจนลงไปอีก …เพราะอะไร ?


…อะไรคือ ความแตกต่าง ระหว่าง ‘อายุเพิ่มแล้วรวยขึ้น’ กับ ‘อายุเพิ่มแล้วจนลง’ 


1. รายได้ ต้องมากกว่า ค่าใช้จ่ายเสมอ


2. เก็บเงินสดและความมั่งคั่ง ในรูปสินทรัพย์ (เพราะในระยะยาว สินทรัพย์จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ)


3. ไม่สร้างหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ 


4. ซื้อสินทรัพย์เพิ่มทุกครั้งที่ตลาดเกิดวิกฤต


5. พยายามหาโอกาสสร้างรายได้ ที่ไม่ใช่ค่าจ้าง


6. ลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ และ นวัตกรรม


7. ลงทุนเน้นการเป็นเจ้าของ ไม่ใช่แค่เก็งกำไร 


8. เป็นนักสะสมบางสิ่งที่เราชอบ (Value & Knowledge = Passion)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

6 สิ่งลวง ในตลาดหุ้นที่นักลงทุนต้องรู้

 6 สิ่งลวง ในตลาดหุ้นที่นักลงทุนต้องรู้


1. ‘การการันตีผลตอบแทน’ …ยิ่งช่วงเศรษฐกิจไม่ดี คนยิ่งมองหาการลงทุนที่การันตีผลตอบแทน …ส่วนมากจะไม่จริง และ การการันตีส่วนใหญ่ทำไม่ได้จริงในการลงทุน …เหตุผลหลักๆ ก็เพราะการลงทุนมันมีวัฏจักรขาขึ้นขาลงนั่นเอง


2. ‘ช่องทางรวยเร็วที่ยั่งยืน’ …ใช่!! ทุกช่วงเวลามีวิธีการรวยเร็ว แต่ไม่มีวิธีการไหนที่ใช้ได้ตลอดเวลา …นั่นทำให้คนที่กำไรเยอะในช่วงนึง มักขาดทุนเยอะในเวลาต่อมา …เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากมากๆ


3. ‘ความกลัวที่มากเกินไป’ …ในตลาดหุ้นจะมีช่วงความกลัวที่มากเกินไป เช่น ขายล้างพอร์ตเพื่อถือเงินสด …จริงๆ ช่วงเวลาที่เรากลัวมากเกินไป คือช่วงที่เราต้องเริ่มเก็บหุ้นรอขาขึ้นรอบใหม่


4. ‘ความมั่นใจที่สุดโต่ง’ …คนในตลาดหุ้นมักจะมั่นใจเกินเหตุในเวลาที่เราคิดว่าเราชนะบ่อยๆ จนคิดว่าเราเป็นเซียน … แต่คนที่เสียหายหนักสุดๆ ที่มักมาจากความมั่นใจเกินไปนั่นแหละ 


5. ‘เจ้ามือก็เจ๊งได้’ …ถ้าเล่นตามรายใหญ่มักจะได้เงิน แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะ บางครั้งรายใหญ่ก็เจ๊งได้เหมือนกัน …อย่าลืมว่ารายใหญ่เวลาเขาเสียหาย แต่เขาก็ยังมีเงินเหลืออีกเยอะ แต่เราไม่ใช่ !!


6. ‘ความจริงในตลาดหุ้นที่ทุกคนเข้าใจตรงกัน’ …ความจริงมันขึ้นกับช่วงเวลา …ในช่วงเวลาหนึ่งความจริงอันนี้ก็อาจจะถูกต้องเสมอ แต่เมื่อช่วงเวลาเปลี่ยนไปความจริงที่ทุกคนเข้าใจตรงกันว่าถูก อาจผิดก็ได้ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

6 ลักษณะ หุ้นเบาหุ้นเด้งสูงสุดหากตลาดกลับตัว

 6 ลักษณะ หุ้นเบาหุ้นเด้งสูงสุดหากตลาดกลับตัว 


พูดถึงหุ้นเวลานี้ ใครๆ ก็มองว่าเสี่ยง …แต่ถ้าจะเสี่ยงกว่านั้น ลองดู หุ้นเบา กันไหม 


1. ‘ต้องเป็นหุ้นที่ Market cap. ไม่สูง’ …คือ มูลค่าธุรกิจต้องไม่เยอะ ..เพราะ มูลค่าเยอะมันก็ยิ่งต้องใช้เงินเยอะใครการเคลื่อนราคา


2. ‘ต้องเป็นหุ้นที่ไม่อยู่ในกระแส’ …ถ้าหุ้นอยู่ในกระแส คนติดเยอะ มันหนัก …พอรายย่อยติดเยอะ หุ้นจะมีแต่ลง เพราะ รายย่อยแย่งกันขาย


3. ‘มี Volume การซื้อขาย เบาบาง’ ….ถ้า Volume การซื้อขายเยอะ ก็แปลว่า หุ้นยังหนักอยู่


4. ‘ธุรกิจไม่ได้มีหนี้เยอะ’ …ถ้าหนี้เยอะ ต้องระวังการลากเพื่อเพิ่มทุน (พูดง่ายๆ ถ้าหนี้เยอะ เวลาตลาดมา เขาก็ลากตามนะ แต่สุดท้ายลากให้รายย่อยไปเติมเงิน เพิ่มทุน)


5. ‘พื้นฐาน Support’ …ทุกวันนี้หุ้นปั่น มันเอ้าท์ เพราะ หลอกรายย่อยยาก แต่ถ้าพื้นฐานดีด้วย อันนี้ยังเล่นกันได้อยู่ …หุ้นจะขึ้น พื้นฐานต้องค่อยๆ ดีขึ้นด้วย


6. ‘หุ้นอยุ่ในมือรายใหญ่ เพราะรายย่อยขายไปแล้ว’ …จุดที่หุ้นจะกลับตัวก็คือ รายย่อยที่ติดหุ้นยอม Stop loss ขายทิ้งแล้ว


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2566

6 ข้อ ทำไมเวลาตลาดถูก เราถึงไม่เคยซื้อหุ้นได้เยอะพอ …ถ้าได้ซื้อหุ้นเยอะเวลาตลาดถูก เราก็รวยไปแล้ว !!

 6 ข้อ ทำไมเวลาตลาดถูก เราถึงไม่เคยซื้อหุ้นได้เยอะพอ …ถ้าได้ซื้อหุ้นเยอะเวลาตลาดถูก เราก็รวยไปแล้ว !!


1. ‘เพราะเราพยายามรอจุดต่ำที่สุดของตลาด’ …การรอจุดต่ำสุด เลยทำให้เราไม่ได้ซื้อหุ้นสักที …ทางที่ดีกว่าคือ ทยอยซื้อเมื่อตลาดถูก


2. ‘เราเสพแต่ข่าวร้าย เวลาตลาดถูก’ …พอเราดูแต่ข่าวร้ายก็จะมีแต่ความกลัว …ต้องพยายามค้นหาข่าวดีในช่วงตลาดแย่


3. ‘เรายังมีความรู้พื้นฐานไม่แน่นพอ’ …ถ้าพื้นฐานเราไม่แน่น ถึงรู้ว่าตลาดถูก เราก็ไม่กล้าซื้อเยอะ


4. ‘เรายังไม่ลืมความเจ็บปวดของการติดดอยครั้งล่าสุด’ …ความเจ็บปวดนี่แหละ ทำให้เราตกรถในรอบต่อไป 


5. ‘เรายังกระจายความเสี่ยงไม่มากพอ’ …จริงๆ ตลาดดีต้องซื้อเน้นๆ แต่พอตลาดแย่ต้องซื้อกระจาย …แต่เรายังอยากซื้อเน้นๆ ในจุดต่ำสุด ซึ่งมันไม่มีจุดนั้นในตลาดขาลง


6. ‘เรายังมองไม่ออกว่า เหตุผลอะไรที่ทำให้หุ้นกลับตัวเป็นขาขึ้น’ …จริงๆ จุดที่มองไม่ออกเลยว่าหุ้นจะกลับตัว มันคือ สัญญาณที่ดีในการเก็บหุ้นที่พื้นฐานไม่ได้แย่


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2566

8 ข้อ ถาม-ตอบ อุ่นเครื่องก่อนคอร์สใหญ่ประจำปี The Stock Master 12

 8 ข้อ ถาม-ตอบ อุ่นเครื่องก่อนคอร์สใหญ่ประจำปี The Stock Master 12


1. ทำไมคนส่วนใหญ่จึงซื้อหุ้นตอนแพง แล้วขายหุ้นตอนมันถูก ?


2. เราจะแก้ไขอย่างไร ให้เราสามารถทำตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ ?


3. การเล่นสั้น กับถือหุ้นยาวพร้อมกันอย่างไร ไม่ให้มันตีกันจนมั่ว ?


4. การ Stop Loss ที่ดี ไม่ใช่ขายแล้วหุ้นเด้ง ต้องทำอย่างไร ?


5. การ Let profit Run หรือการทนรวย อย่างไรจึงจะทำได้ดีที่สุด ?


6. เราจะดูยังไงว่า หุ้นมันเริ่มไปต่อไม่ไหวแล้ว ควรขายทิ้งไป ?


7. มีวิธีการดูยังไงว่าหุ้นลงจะสุดแล้ว เราควรเริ่มเข้าซื้อได้แล้ว ?


8. เคล็ดลับในการปั้นพอร์ตให้เติบโตระยะยาว คืออะไร ?


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2566

7 จุด ที่ควรดูว่าหุ้นที่เราติดอยู่ควรถือต่อ หรือ ขายทิ้ง Cut Loss !!

 7 จุด ที่ควรดูว่าหุ้นที่เราติดอยู่ควรถือต่อ หรือ ขายทิ้ง Cut Loss !!


1. เราซื้อหุ้นตัวนี้ในช่วง Overbought …คือดู ในส่วนของเทคนิค ถ้าเราซื้อใน ‘รอบ’ แพง เราก็ควรขายทิ้งถ้าติดหุ้น เพราะเวลาจบรอบมันจะลงไปที่ Oversold อีกลึกสุดใจเลย


2. หุ้นตัวนี้เป็นหุ้นยอดฮิตหรือเปล่า …ถ้าหุ้นตัวนี้เป็นหุ้นยอดฮิต ตามแห่ เราควรขายทิ้ง เพราะ หุ้นยอดฮิตจะลงลึกสุดๆ …กว่าหุ้นจะกลับมามันจะนานกว่าหุ้นที่ไม่ฮิต


3. หุ้นมี Volume เยอะหรือน้อย …ถ้าหุ้นมี volume เยอะราคาลงแรง ควรขายทิ้ง เพราะ แปลว่า รายใหญ่ยังออกของไม่หมด มีโอกาสลงต่ออีกลึก


4. หุ้นตัวนี้มีแนวโน้มค่า P/E ที่ลดลง …ควรขายทิ้ง เพราะ ช่วงที่มีการปรับลดค่า P/E หุ้นจะเทรดคนละราคา และมูลค่าหายไปเลย


5. ความลึกจากจุดยอดดอย …ดูว่าจากยอดดอยหุ้นมันลงมากี่เปอร์เซ็นต์แล้ว …ค่าเฉลี่ยลงจบรอบคือ 70% แปลว่า ถ้าใกล้ๆ 70% ก็ไม่ค่อยน่าขายแล้ว 


6. หุ้นมีแนวโน้มจ่ายปันผลที่สูงขึ้นหรือลดลง …ถ้าแนวโน้มจ่ายปันผลที่ลดลง อาจต้องพิจารณาขายทิ้งก่อน


7. หุ้นตัวนี้เป็นสัดส่วนที่เยอะแค่ไหนในพอร์ตเรา …ถ้าเป็นสัดส่วนที่เยอะยังไงก็ต้องขายบางส่วนออกมา เพื่อลดความเสี่ยง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันศุกร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2566

ความจำเป็น มันสู้ความต้องการไม่ได้ มันคือโอกาสที่กว้างและใหญ่กว่า

 ‘ความพยายามอยู่ที่ไหน …’ …ไม่สำคัญเท่ากับพยายามถูกที่หรือเปล่า ? …บางครั้งความแฟร์ หรือ ไม่แฟร์ อาจจะไม่ได้ขึ้นกับดวง 


…การพาตัวเองไปอยู่ถูกที่ ถูกเวลา มันต้องอาศัยความใฝ่รู้ มองหาโอกาส และ ทบทวนมุมมองของตัวเราเองอยู่เสมอ


…รุ่นน้องมาถามว่า ทำไมความเก่ง ไม่ได้การันตีความสำเร็จในยุคนี้ …ง่ายๆ ก็เพราะ ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคที่ สินค้าและบริการมันมีมากกว่าความจำเป็น (Over Supply) 


…ถ้าให้เลือกระหว่าง ทำสิ่งที่จำเป็น(Need) กับ สิ่งที่ต้องการ(Want) …ผมว่า เลือกอย่างหลังดีกว่า 


…’Want’ มันไปได้เรื่อยๆ ..อยู่ที่จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ …นั่นแหละโอกาสของคนรุ่นใหม่


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2566

เราแค่มองโลก ในมุมที่เราเข้าใจ …แต่ไม่ได้มองโลกตามความเป็นจริง

 มีเรื่องง่ายๆ ที่เข้าใจโคตรยากมาเล่าสู่กันฟัง …..‘หลังจากผมเข้ายิม ยกเวท+Cardio มาเกือบปี …ผมพบอะไรบางอย่าง’ 


..แต่ก่อนคิดว่า ทำไมผมผอม แต่ลงพุง ? (หุ่น Skinny Fat) …จริงๆ คือ ผมไม่ค่อยออกกำลังกาย …พอน้ำหนักขึ้น ก็อดอาหาร ทำจนระบบเผาผลาญพัง …ได้หุ่นผอม แบบมีพุง ลุงๆ ตลอดมา


…แต่ก่อนคิดว่า ทำไมผมรูปร่างแปลกๆ …ไหล่ก็แคบ ..แขนก็เล็ก หลังก็ค่อม ..ทำไมกรรมพันธุ์ผม มันไม่เท่ห์เลยวะ ? (โทษบรรพบุรุษ เข้าไปอีก) …จริงๆ คือ ผมไม่เคยยกเวท หุ่นมันเลยเป็นแบบนั้นไง 


สรุป ‘เราแค่มองโลก ในมุมที่เราเข้าใจ …แต่ไม่ได้มองโลกตามความเป็นจริง’


เวลาอะไรที่มันไม่ดี เราจะพยายามหาเหตุผลภายนอก แล้วโทษไปที่สิ่งนั่น …แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่ดีกว่า คือ มันไม่ได้ต้องหาว่าใครผิด แล้วโทษ แต่เราแค่ต้องหาว่า แล้วตัวเราเองจะทำให้มันดีขึ้นอย่างไร จากนั้นก็ลงมือทำ เพื่อเปลี่ยน แค่นั้นเลย 


“เราจะเป็นไปตามผลลัพธ์จากสิ่งที่เราเลือก!!”

 ..ไม่ได้มีโชคดี ดวงเฮง ดวงซวย …มันแค่มาตามจังหวะเวลาของมัน …เราแค่ควบคุมเหตุปัจจัย จากนั้น เดี๋ยวผลลัพธ์มันก็จะมาเอง


…โคตรยาก ..กว่าจะเข้าใจ เพราะ มันคือ ‘เรื่องง่ายๆ ที่เข้าใจโคตรยาก จริงๆ’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2566

6 หลัก การตั้งเป้าหมายให้ชีวิตพุ่ง รุ่งเกินกว่าที่เราหวัง ได้อย่างไร ?

 6 หลัก การตั้งเป้าหมายให้ชีวิตพุ่ง รุ่งเกินกว่าที่เราหวัง ได้อย่างไร ?


‘ชีวิตนี้อยากมีบ้านหรูสักหลัง นาฬิกาหรูสักเรือน มีรถสปอร์ตสักคัน …บลา บลา ๆ’ 


อันนี้ไม่เรียกการตั้งเป้าหมาย …การตั้งเป้าหมายที่ดี ควรเป็นการ ‘หาเงิน’ …ส่วนเป้า ‘ใช้เงิน’ มันเป็นผลพลอยได้หลังจากที่เราตั้งเป้าหาเงินแล้วทำได้ดี 


1. ‘เราจะเชี่ยวชาญในสิ่งที่เราทำมากกว่าคนอื่นได้ยังไง ?’ 


2. ‘อะไรคือความแตกต่างในสิ่งที่เราทำ’


3. ‘งานที่เราทำ แก้ปัญหาและสร้างประโยชน์ ให้คนจำนวนมากแค่ไหน ?’ 


4. ‘เราจะใช้เวลาทำงานน้อยลง แต่ยังได้ผลลัพธ์เท่าเดิมหรือมากขึ้นได้ยังไง ?’ 


5. ‘อะไรที่จะหาเงินแทนเรา ในวันที่เราหยุดทำงาน ?’


6. ‘เราจะเป็นผู้นำ ในงานที่เราทำได้อย่างไร ?’


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

7 ข้อต้องรู้ ‘ทำไมบางคนหาเงินเก่ง แต่สุดท้ายเงินหายไปไหนหมด !!’

 7 ข้อต้องรู้ ‘ทำไมบางคนหาเงินเก่ง แต่สุดท้ายเงินหายไปไหนหมด !!’ 


หลักๆ คือ ‘มัวแต่หาเงิน แต่ลืมวางเงินให้ทำงาน …สุดท้าย หาได้เยอะเท่าไหร่ มันก็หมดอยู่ดี’ 


นี่คือ สิ่งที่ต้องรู้ 


1. ‘คนเราจะหาเงินได้เยอะ แค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ตลอดไป’ 


2. ‘การวางเงินให้ทำงานคือ การเรียนรู้ว่าจะวางเงินในสินทรัพย์อย่างไร ให้มันเติบโต’ …นี่แหละ ที่เขาเรียกว่า ‘วางเงินทำงาน’


3. ‘การวางเงินทำงาน ต่างกับการเทรดซื้อมาขายไป’ ..ตรงที่ วางเงินทำงานคือ ต้องซื้อในจังหวะที่ดี แล้วเน้นถือไปยาวๆ ไม่ขาย (ตรงข้ามกับการเทรด ที่พยายามหาส่วนต่างทำกำไรเร็วๆ)


4. ‘การวางเงินทำงานต้องหาสินทรัพย์ที่เติบโตเท่านั้น’ …อย่าไปถือ สิ่งที่ไม่เติบโต เช่น forex , Derivative , ..ต้องอยู่ในสิ่งที่โต เช่น หุ้นเติบโต+ปันผล


5. ‘ระยะเวลาจะเป็นตัวบอกว่า สินทรัพย์ที่เราถือ มันถูกต้อง’ …ต้องมองให้ยาว อย่างน้อยก็ต้องถือ 5-10 ปีขึ้นไป 


6. ‘การบริหารสภาพคล่องที่ดี เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถถือสินทรัพย์ที่ดี จนมันเติบโตจนใช้ไม่หมด’ ..ดังนั้น วางเงินทำงาน ไม่ใช่การเร่งพอร์ตให้โต แต่คือ ถือให้นาน


7. ‘สุดท้ายสินทรัพย์แค่ 20% เท่านั้น ที่จะทำให้เรารวยแบบก้าวกระโดด’ …อีก 80% คือ ความผิดพลาดระหว่างทางที่เราทุกคนต้องเรียนรู้


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

7 ข้อ ‘ทำไมความรู้ก็เยอะ แล้วยังไม่รวย ?’

 7 ข้อ ‘ทำไมความรู้ก็เยอะ แล้วยังไม่รวย ?’ 


…ก็เพราะ ‘เราดันรู้แต่เรื่องที่มันไม่ทำเงินไง’ (กวนทีน!! ใช่!! แต่มันจริงไง)


‘เงิน’ ไม่ได้สนหรอกว่า เราคือใคร ขยันและทำงานหนักแค่ไหน 


…แล้วความรู้อะไรที่ทำเงิน ?


1. เงินวิ่งเข้าหาความดัง …คนดังหาเงินง่ายกว่า


2. เงินวิ่งเข้าหาผู้เชี่ยวชาญ …ในทุกอาชีพผู้เชี่ยวชาญจะหาเงินได้มากกว่า ง่ายกว่า


3. เงินจะอยู่ในจุดที่มีความเสี่ยง …ถ้าเราคุมความเสี่ยงได้ในเรื่องอะไรก็ได้ เดี๋ยวเงินมาเอง


4. เงินจะรักษามูลค่าและเติบโตในรูปสินทรัพย์เท่านั้น ….เงินเหมือนน้ำแข็ง ถ้าวางเฉยๆ มูลค่ามันจะละลายหายไป


5. เงินจะมาเมื่อเราแก้ปัญหาให้คนอื่น


6. ระบบคือเครื่องผลิตเงิน …ถ้าสร้างระบบได้ ก็สร้างเครื่องผลิตเงินได้ 


7. เงินวิ่งเข้าหาผู้นำ …ผู้นำทุกที่ รวยกว่าผู้ตามเสมอ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


8 เรื่อง ในตลาดหุ้นเราจะรู้เมื่อเคยเสียหายหนักเท่านั้น

 8 เรื่อง ในตลาดหุ้นเราจะรู้เมื่อเคยเสียหายหนักเท่านั้น


1. หุ้นที่เราไม่ได้เลือกเอง มักทำให้เราเสียหายในที่สุด


2. หุ้นยอดฮิต มักทำให้เราเจ็บตัว …หุ้นที่ใครก็ซื้อ ใครๆ ก็มี เราขายเถอะ !!


3. ข้อมูล inside ยิ่งเชื่อมั่น ยิ่งเสียหายหนัก …เราจะมั่นใจไร้สติ เสี่ยงได้แบบไม่ลืมหูลืมตา ก็เพราะเราคิดว่ามันคือ Inside


4. หุ้นที่เราซื้อน้อยมักขึ้นเยอะ …เพราะ มันคือหุ้นต้นรอบ หุ้นเบา หุ้นรอบใหม่


5. หุ้นที่เราซื้อเยอะมักขึ้นน้อย …เพราะ มันคือ หุ้นปลายรอบ หุ้นที่เจ้าออกของโดยใช้ข่าวดี มีมวลชนแห่รับ


6. หุ้นที่เราไม่ได้ซื้อ จะขึ้นมากที่สุด ….นั่นเพราะเรามักลงทุนในจุดที่เราสบายใจ จนลืมมองหาว่า ตรงไหนที่กำไรเยอะกว่า 


7. เซียนหุ้น เกิดจากหุ้นขนาดเล็ก ไม่ใช่หุ้นขนาดใหญ่ 


8. การเลือกอยู่ฝั่งตรงข้ามกับมวลชน มักให้ผลลัพธ์ที่ดีเสมอในตลาดหุ้น 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2566

6 เรื่อง ความเสี่ยงยุคใหม่ ที่เราควรเข้าใจในโลกตอนนี้ !!

6 เรื่อง ความเสี่ยงยุคใหม่ ที่เราควรเข้าใจในโลกตอนนี้ !!


หลายคนอยากมาเล่นหุ้น แต่อยากได้หุ้นที่ซื้อแล้วรวยชัวร์แบบไม่เสี่ยง มีไหม ?


เอาตรงๆ นะ ‘ไม่มี’ …มาเข้าใจมันดีกว่า


1. ‘จุดที่เราคิดว่า ไม่เสี่ยง จริงๆ เสี่ยงสุด’ …พอเราคิดว่าไม่เสี่ยง เราจะไม่ระวัง บางทีซื้อแบบจัดเต็มแบบไม่ระวัง พอพลาดก็จะเสียหายหนักสุดๆ 


2. ‘จุดที่ความเสี่ยงต่ำ ก็มักจะแทบไม่มีผลตอบแทน’ …เอาตรงๆ ถ้าอยากลงทุนในสิ่งที่เสี่ยงต่ำ เราถือเงินสดดีกว่า เพราะ จุดที่เสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนมันสู้เงินเห้อไม่ได้ สู้ถือเงินสด รอตลาดมีวิกฤตแล้วค่อยลงทุน มันคุ้มกว่า


3. ‘อย่าลงทุนในจุดที่การันตีผลตอบแทน’ …เพราะในโลกการลงทุนจริงๆ ผลตอบแทนมันขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา …การที่เราได้การันตีผลตอบแทน แปลว่า คนอื่นเขารับความเสี่ยงตรงนั้น แล้วแค่แบ่งเศษๆ ผลตอบแทนให้เรา (พูดง่ายๆ ถ้าการลงทุนนั้นมันแย่ สุดท้ายเราก็ซวยอยู่ดี แต่ถ้ามันดี เราก็ได้แต่เศษของกำไรแค่นั้นเอง)


4. ‘พยายามเลือกการลงทุนที่ ผลตอบแทนเกิน 100% เสมอ’ …ทำไมน่ะเหรอ ? …คิดง่ายๆ ว่า ไม่ว่าเราจะลงทุนอะไร เราจะเสียหายสูงสุดคือ 100% ดังนั้น เราต้องหาการลงทุนที่ชนะความเสี่ยงตั้งแต่เริ่มลงทุน ก็ต้องหาอะไรที่ผลตอบแทนมากกว่า 100% แล้วเสี่ยงดู นี่แหละ ถึงจะ Make Sense


5. ‘คนรวยมักเลือกการลงทุนที่เสี่ยงมากๆ แล้วลงแบบกระจาย’ …การทำแบบนี้ คือ ลงทุนแบบเป็น พอร์ต กระจายเงินไปในสิ่งที่เสี่ยงและผลตอบแทนสูง …ผลลัพธ์ก็จะกลายเป็น ได้ผลตอบแทนที่ดี ในความเสี่ยงที่ไม่สูงนั่นเอง


6. ‘ความเสี่ยงไม่ใช่สิ่งที่เราควรวิ่งหนี แต่เราควรกระโดดเข้าไปศึกษา’ …ก็เพราะ ทุกที่ที่มีความเสี่ยง มันจะมีกำไรมหาศาลแอบซ่อนอยู่ 


ใช่!! เศรษฐีใหม่คนนั้น ก็มาจาก การลงทุนในจุดที่คนส่วนใหญ่มองว่าเสี่ยง ไม่กล้าเข้าไป …แต่จริงๆ แล้ว เขารู้จักความเสี่ยงตรงนั้น แล้วป้องกันไว้ก่อนแล้ว


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 ลักษณะหุ้น ที่ทำกำไรสูงสุดในตลาดหุ้นไทย

 5 ลักษณะหุ้น ที่ทำกำไรสูงสุดในตลาดหุ้นไทย 


มีเซียนหุ้นเล่าให้ผมฟังว่า ถ้าอยากกำไรเยอะ ก็ต้องหาหุ้นที่กำไรเยอะ …แต่ต้องวางอยู่บนพื้นฐานที่เราคุมความเสี่ยงเรียบร้อยแล้ว 


มาดูกันมีแบบไหนบ้าง


1. ‘หุ้น Commodity’ …ธุรกิจพวก Commodity จะมีลักษณะของธุรกิจที่เป็นวัฎจักรสูงมาก ..เวลากำไรจะสูงมาก เวลาแย่จะขาดทุนหนักมาก …ถ้าเราเข้าใจรอบ แล้วเข้าช่วงที่แย่มากๆ แล้วทนถือ …ก็มีโอกาสได้กำไรเป็นเด้งๆ กันเลยทีเดียว


2. ‘หุ้นที่มี Market Cap. ต่ำ’ …หุ้นที่มี Market Cap. ต่ำๆ เวลาที่เขาเล่นกัน ก็สามารถลากให้ราคาหุ้นขึ้นเป็นหลายๆ เด้งได้ไม่ยาก


3. ‘หุ้นที่ราคาไม่สูง รายย่อยจะนึกว่าเป็นหุ้นถูก’ …บางทีเป็นหุ้นราคาไม่กี่บาท หรือ เป็นหุ้นต่ำบาท …หุ้นแบบนี้เวลาเขาเล่นกันก็มักวิ่งกันไปหลายๆ เด้ง (แต่ต้องระวังว่าเจ้าโหด เพราะบางครั้งหุ้นอาจไม่ได้ถูกจริงหากเทียบจาก Market Cap.)


4. ‘หุ้นขนาดกลางหรือเล็ก ที่งบเติบโต’ …หุ้นแบบนี้พอรอบมา ก็จะสามารถวิ่งได้ไกลหลายๆ เด้ง …บางทีราคาวิ่งขึ้นไปแพงสุดๆ …ข้อสังเกตหุ้นแบบนี้มักจะมี P/E สูงตลาด …หุ้นเลยจะวิ่งจาก P/E สูงไปจนสูงมากๆ เป็นรอบๆ แบบนี้ไปเรื่อย …ล้อกับงบที่เติบโต (เขาจะเลิกเล่นเมื่องบ เริ่มโตน้อยลง …จุดนั้นราคาอาจลงแรงมากๆ ต้องระวังเจ้าออกของ)


5. ‘หุ้นปั่น’ …อันนี้ตรงๆ เลยหุ้นปั่น เพราะ เจ้าไม่สนพื้นฐานอะไรเลย …สนอย่างเดียว เขาเก็บของได้ครบก็ลาก ลากไปไกลๆ จากนั้น พอมีคนตามก็ปล่อยของทิ้งให้คนตามมารับอยู่บนดอย (หุ้นลักษณะนี้ต้องดู Volume ดีๆ …ถ้าเล่นไม่ดู Volume หากเราไปติด ก็ซวยเลย เพราะ พอเขาเลิก มันจะไม่มี Volume ให้เราออกเลย)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2566

8 เรื่องที่ต้องจับตา ของหุ้นขาขึ้นรอบใหม่

 8 เรื่องที่ต้องจับตา ของหุ้นขาขึ้นรอบใหม่ 


1. ‘การเร่งตัวของเงินเฟ้อ’ …เงินเฟ้อหมายถึง ของแพงขึ้น สินทรัพย์ราคาเพิ่มขึ้น …การเลือกซื้อสินทรัพย์ที่ราคาลงจะช่วยเรารักษามูลค่าเงิน (ช่วงนี้ดูไม่น่าลงทุน แต่เราต้องหาโอกาสลงทุนตลอด นี่แหละความยาก)


2. ‘การขึ้นของดอกเบี้ยในระยะยาว’ …หลายคนคิดว่า ดอกเบี้ยขึ้นเดี๋ยวก็ลง …แต่ต้องระวังการลงแล้วขึ้นต่อ …ต้องเตรียมตัวกับการทำธุรกิจในสภาวะดอกเบี้ยสูง (ต้องพยายามลดหนี้ให้มากที่สุด)


3. ‘การเลือกหุ้นต้อง Bottom Up มากขึ้น’ …การเลือกหุ้นแบบ Bottom Up คือ ต้อง Focus ที่พื้นฐานที่แท้จริง ของหุ้นแต่ละตัว


4. ‘หุ้นใหญ่จะมีรอบสั้นลง’ …ใช่!! หุ้นใหญ่จะขึ้นลงเป็นรอบสั้นๆ เหมาะกับการเก๊งกำไรมากกว่าถือยาว …เพราะเศรษฐกิจโลกไม่ได้อยู่ในภาวะขาขึ้น ทำให้มีรอบยาวๆ ได้ยาก


5. ‘หุ้นเล็กจะถือยาวกันมากขึ้น’ …คนเทรดจะหันไปหาหุ้นใหญ่ เพราะ สภาพคล่องสูง และ Leverage ได้สูง ได้เสียเร็ว …แต่หุ้นเล็ก จะกลายเป็นเกมถือยาว ขึ้นลงรอบใหญ่มากกว่า 


6. ‘รายใหญ่และเจ้ามือจะกระจุกตัวในหุ้นเล็ก’ …คนเล่นหุ้นเล็กต้องพยายามอ่านเกมรายใหญ่และเจ้ามือให้ออก เพราะ มีผลมากกว่าพื้นฐานบริษัทเสียอีก


7. ‘ต้องระวังวิกฤต มากระทบเป็นระยะ’ …จากนี้ไป จะมีวิกฤตมาเรื่อยๆ แต่ให้มองทุกๆ ครั้งก็คือโอกาสในการเก็บหุ้นเพิ่ม …ดังนั้น การบริหารเงินให้เราเหลือสภาพคล่องไว้ตลอด เพื่อรอโอกาสจะช่วยให้เราเติบโตมากขึ้น


8. ‘ระวังมิจฉาชีพที่จะมาในรูปแบบชวนลงทุน’ …ส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบการชวนลงทุนที่สัญญาผลตอบแทนสูงเกินจริง ระยะเวลาไม่นาน ปันผลสม่ำเสมอ …แน่นอนการลงทุนจริงๆ ไม่มีใครสามารถการันตีผลตอบแทนแล้วจ่ายคืนสม่ำเสมอ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2566

8 ข้อคิด ‘ต้องมีเงินเท่าไหร่ จึงจะใช้ยังไงก็ไม่หมด’

 8 ข้อคิด ‘ต้องมีเงินเท่าไหร่ จึงจะใช้ยังไงก็ไม่หมด’ 


1. ‘เงินในความหมายคนรวย ไม่ใช่เงินสดแต่เป็นตัวเลข’ …แปลว่า คนรวยจริงๆ ไม่ได้ถือเงินสด แต่วางเงินในสินทรัพย์ซึ่งราคาแกว่งขึ้นลงตลอดเป็นเลข


2. ‘ทำไมต้องเอาเงินไว้ในรูปสินทรัพย์ ในเมื่อราคาแกว่งขึ้นลง ผันผวน …เอาตรงๆ บ้าหรือเปล่า ?’ ….เงินสดในระยะยาวมูลค่ามันลง ส่วนสินทรัพย์ในระยะยาวราคามันขึ้น ง่ายๆ แค่นั้นเอง …เพราะคนรวยเขามองยาว


3. ‘เงินสด ใช้ยังไงก็หมด แต่เงินปันผล มันไหลมาเรื่อยๆ’ …คนรวยถึงชอบสร้างธุรกิจ ชอบลงทุน แล้วสุดท้าย ก็รอรับเงินปันผลจากธุรกิจและการลงทุน แม้จะหยุดทำงานไปแล้ว


4. ‘ถ้าเราวางเงินในที่ไม่เสี่ยง แปลว่า เรายังเรียนรู้การลงทุนไม่มากพอ’ …ในจุดที่เสี่ยง คือ จุดที่เติบโตและมีอนาคตมากที่สุด …หน้าที่เราไม่ใช่หนีความเสี่ยง แต่ให้เพิ่มความรู้


5. ‘อย่าติดกับดักรายได้สูง’ …คนรายได้สูง จะติดกับดักรายได้สูง คือ งานหนักเวลาน้อย …จริงๆ รายได้สูงน่ะดี แต่ต้องเอาเงินที่หาได้ มาลงทุน หาโอกาสสร้างรายได้แบบอื่นๆ


6. ‘ต้องเพิ่มโอกาสให้ชีวิต มีรายได้หลายทางทุกครั้งที่มีโอกาส’ …เป้าหมายให้ชีวิตสบาย ต้องสร้างรายได้ให้หลายทางมากที่สุด …ยิ่งเป็น passive income หลายทางยิ่งดี 


7. ‘อย่าสร้างหนี้เกินตัว ถ้าเป็นไปได้ อย่าสร้างหนี้เลย’ …ไม่ว่าจะรวยแค่ไหนก็ตาม เราสามารถสร้างหนี้ให้เจ๊งได้เพราะหนี้มันไม่เคยจำกัด 


8. ‘เสี่ยงได้ แต่กระจายความเสี่ยงให้ดี’ …คนรวยทุกคนชอบเสี่ยง แต่แทบทุกคนเสี่ยงบนฐานที่เขากระจายความเสี่ยงเรียบร้อยแล้ว


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันเสาร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2566

คนเราจะมีพันล้านได้อย่างไร

 ‘คนเราจะมีพันล้านได้อย่างไร ?’ 


ต้องเก่ง อันนี้มันเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว …นอกจากเก่งแล้ว ต้องกล้า …ปกติคนเก่งจะไม่ค่อยกล้าเสี่ยง ถ้ากล้า คือกล้าเสีย ก็อาจมีโอกาส …ส่วนที่สำคัญอันสุดท้าย คือ ‘อดทน’ …แล้วมันนานแค่ไหนล่ะ ?


โอเค!! จากที่ผมเห็น แบบรวยพันล้าน เร็วสุดเลยนะ …ก็ต้องมี 10 ปี (เดี๋ยวนะ ..ที่ว่า 10 ปี ก็คือ ไม่ได้เริ่มจาก 0 นะ …เริ่มยังไง เรามาเริ่มคุยกัน)


1. ‘มีพื้นฐานที่ดีพอสมควร’ …การศึกษาดี หรือ มีหน้าที่การงานที่ดี …ถ้าไม่งั้นก็ต้องมีธุรกิจตัวเอง ที่เริ่มดี (อย่างน้อยธุรกิจต้องกำไรปีละ 10 ล้านขึ้น แล้วมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ)


2. ‘มีสินค้าและบริการที่ดี ขายดี และ ขยายได้’ …ตรงนี้สำคัญมาก …สินค้าดี ส่วนใหญ่ ต้องมี Brand มีฐานลูกค้าอยู่พอสมควร …พูดง่ายๆ สินค้าต้องไม่ใช่สินค้าพื้นๆ ที่ใครๆ ก็เลียนแบบได้


3. ‘วางแผนเข้าตลาดหุ้นตั้งแต่เริ่มเลย’ …คนส่วนใหญ่ทำธุรกิจจนใหญ่แล้ว ค่อยวางแผน …ถ้าแบบนี้จะเข้ายาก เพราะ พอธุรกิจใหญ่แล้ว มันเริ่มซับซ้อน บางอย่างจ่ายภาษีถูกบ้างผิดบ้าง ระบบก็ไม่ได้วางไว้ …คือ ถ้าวางแผนตั้งแต่เริ่มว่าจะเข้าตลาดหุ้น ทุกอย่างจะง่ายขึ้น เร็วขึ้น


4. ‘มีที่ปรึกษาในการเข้าตลาดที่ดี’ …ที่ปรึกษาที่ดี จะให้คำปรึกษาที่จำเป็น ตั้งแต่เรื่องบัญชี ภาษี และ การควบคุมภายในที่จำเป็น …เรื่องต่างๆ พวกนี้ ถ้าไม่มีคนชี้แนะ มันเสียเวลามาก หรือ อาจทำให้เราท้อจนล้มเลิกการเข้าตลาดไปเลย


5. ‘วางแผน เอาเงิน IPO มาขยายธุรกิจ ให้เติบโตก้าวกระโดด’ …หลายคนคิดว่าเอาธุรกิจเข้าตลาดก็รวยแล้ว แต่จริงๆ ถ้าวางแผนใช้เงินที่ระดมทุนมาดีๆ มันจะทำให้ธุรกิจโตก้าวกระโด และสุดท้ายเจ้าของจะรวยที่สุด


6. ‘มีนักลงทุน ที่พร้อมก้าวไปกับธุรกิจเรา’ …ปกตินักธุรกิจจะคุ้นกับเงินกู้ แต่ไม่คุ้นกับการมีนักลงทุน …ซึ่งการเข้าตลาดก็คือ การไปใช้เงิน ‘นักลงทุน’ …การมีนักลงทุนเข้ามาตั้งแต่การเตรียมตัวเข้าตลาด จะทำให้เราเข้าใจนักลงทุนและตลาดหุ้นดีขึ้น 


7. ‘ความอดทนและ การอดเปรี้ยวไว้กินหวาน’ …ที่เล่ามาขั้นตอนต่างๆ ในการเตรียมตัวเข้าตลาด ใช้เวลาประมาณ 5 ปี …นั่นหมายถึง เงินที่ต้องใช้ เพิ่มขึ้น ทั้งในเรื่องบัญชี ภาษี และ การควบคุมภายใน ก็ปีละ 3-4 ล้านบาท 


สรุปว่า กว่าจะมีพันล้าน …ไม่ง่าย แต่ทำได้ ถ้าวางแผนดี และ มีความอดทน 😁


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

7 ข้อคิด รวยเปลี่ยนหลัก เปลี่ยนชีวิตจริง

 7 ข้อคิด รวยเปลี่ยนหลัก เปลี่ยนชีวิตจริง


1. ‘รวยเพิ่มต้องขยัน รวยเปลี่ยนหลักต้องเปลี่ยนวิธีหาเงิน’ …ใช่!! คนขยันย่อมทำเงินได้มากขึ้น แต่ถ้าจะรวยเปลี่ยนหลักต้องเปลี่ยนวิธีในการหาเงิน


2. ‘คนรวยต้องคิดสร้าง พาหนะในการทำเงิน’ …พาหนะในการทำเงิน เช่น การสร้างธุรกิจ , การลงทุน 


3. ‘เข้าใจระดับความเสี่ยงและผลตอบแทน’ …อะไรที่ไม่เสี่ยงย่อมไม่มีผลตอบแทน …การเพิ่มผลตอบแทนจึงต้องศึกษาความเสี่ยงในสิ่งที่จะลงทุนให้ลึกกว่าคนอื่น


4. ‘เงินเย็นที่เราทนรวยได้ จะสร้างโอกาสรวยเปลี่ยนหลัก’ …ถ้าเงินร้อน เงินกู้เขามา มันทนรวยได้ยาก ถือได้ไม่นาน …ดังนั้น เงินเย็น สำคัญมาก ต้องเริ่มตั้งแต่เรายังมีเงินไม่เยอะยิ่งดี


5. ‘ต้องสร้างกลุ่มเพื่อนที่คิดรวยเปลี่ยนหลักคล้ายๆ กัน’ …โอกาสของการรวยเปลี่ยนหลัก มันจะไม่ลอยมาตามลม พวกนั้นมักจะเป็นแชร์ลูกโซ่ …โอกาสจะมาจากกลุ่มคนที่ลึกซึ้ง เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ 


6. ‘โอกาสรวยเปลี่ยนหลัก มักมาในช่วงที่ทุกอย่างดูแย่จริงๆ’ …ใช่!! โอกาสรวยเปลี่ยนหลัก ไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน แต่มันจะเกิดในช่วงวิกฤต ช่วงแย่ๆ …ให้เราเปิดใจดีๆ เวลาไม่มีอะไรดีเลย


7. ‘อย่าไปปรึกษาคนที่ไม่เคยรวยเปลี่ยนหลัก’ …เพราะเขาจะบอกคุณว่า มันเป็นไปไม่ได้ …มันอาจทำให้เราถอดใจ ล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

7 ข้อสังเกต หุ้นวิ่งไกลรอบใหม่ แบบไหนมาจริง

 7 ข้อสังเกต หุ้นวิ่งไกลรอบใหม่ แบบไหนมาจริง


1. ‘หุ้นช้ำ กับหุ้นสดใหม่’ …หุ้นช้ำคือหุ้นที่ลงหนัก ลงแรง ทำนักลงทุนเจ็บตัว แบบนี้พักยาว …ส่วนใหญ่หุ้นรอบใหม่มา ตัวนี้จะไม่มา …พักยาว ติดยาว ว่างั้น


2. ‘เจ้าจริง กับ เจ้าชั่วคราว’ …เจ้าจริงคือ ทำธุรกิจด้วย ลากหุ้นด้วย อันนี้เกมยาว …ส่วนเจ้าชั่วคราว ไม่ได้สนทำพื้นฐาน ลากอย่างเดียว แล้วตีหัวเข้าบ้าน …จบเร็ว


3. ‘Fundflow เข้า …กับ Fundflow ไม่เข้า’ …เรื่องของ Fundflow จะมาตามรอบตลาด พอตลาดขึ้น Fundflow ก็จะเข้า …ถ้าFundflow เข้าเราจะเห็นการขึ้นได้ไกล ไปได้จริง


4. ‘หุ้นเติบโต กับหุ้นถูก’ …หุ้นเติบโตคือหุ้นที่ยอดขายกำไรอย่างในช่วงเติบโต หรือ อยู่ในธุรกิจที่เป็น Megatrend …หุ้นเติบโตมักไม่ค่อยลงมาถูก …ส่วนหุ้นถูก เป็นหุ้นที่พื้นฐานไม่โต แต่ธุรกิจมั่นคง มีปันผลดี พวกนี้เล่นเป็นรอบ


5. ‘เจ้าของเอาเงิน กับ เจ้าของเอา Wealth’ …เอาเงิน เจ้าของก็จะทยอยขายลดสัดส่วนไปเรื่อยๆ …ส่วนเจ้าของเอา Wealth จะขายน้อย แล้วดันให้ธุรกิจเติบโต แบบนี้หุ้นจะวิ่งไปไกลกว่า


6. ‘ธุรกิจที่มี Margin สูง กับธุรกิจที่มี Margin ต่ำ’ …ธุรกิจที่ Margin สูงมักเป็นหุ้นเล็ก ที่เน้นการเติบโต …ส่วนธุรกิจ Margin ต่ำ มักเน้นความใหญ่ …ในสถานการณ์ที่ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ธุรกิจ Margin สูงได้เปรียบกว่า


7. ‘หุ้นรอบใหญ่ มักเกิดจาก หุ้นลงจนรายย่อยขายทิ้ง แต่ธุรกิจจริงๆ ยังไปได้ต่อ’ …ใช่!! หุ้นรอบใหญ่ แปลว่า รายย่อยขายทิ้ง แต่เจ้าของเก็บหุ้นกลับจนสภาพคล่องต่ำมากๆ …พอพื้นฐานเริ่มกลับมาดี นั่นแหละ รอบใหญ่ครั้งใหม่


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

6 ข้อ ทำไมเจ้ามือขาดทุนตลอดในพอร์ตที่เราเห็น (แต่กำไรตลอดในพอร์ตที่เราไม่เห็น)

 6 ข้อ ทำไมเจ้ามือขาดทุนตลอดในพอร์ตที่เราเห็น (แต่กำไรตลอดในพอร์ตที่เราไม่เห็น)


1. ‘ก็พอร์ตที่เราเห็น เขาอยากโชว์ให้เราเห็น’ …พูดง่ายๆ เขาจงใจหลอกเรา


2. ‘เวลาที่เจ้ามือเก็บของ คือ ช่วงที่ Volume น้อย และ ไม่มีอะไรดูดี’ …ถามว่าทำไม ? ก็เพราะ ภาวะแบบนี้เท่านั้นที่เก็บหุ้นได้ในราคาถูก


3. ‘เวลาทึ่เจ้ามือซื้อเยอะๆ Volume มากๆ ให้เราเห็น ก็คือจุดที่ราคาหุ้นเริ่มแพง’ …จุดนี้เก็งกำไรตามได้ เล่น เทคนิคตามได้ แต่ไม่ใช่จุดที่เราควรซื้อถือยาว 


4. ‘ช่วงที่เจ้ามือ ขายทำกำไรมากที่สุด คือ ช่วงที่หุ้นตัวนั้นๆ มี Volume การซื้อขายสูงที่สุด’ …ใช่!! volume หนา + ข่าวดี ใครๆ ก็เชียร์ คือ จุดที่แย่ที่สุดในการซื้อหุ้น


5. ‘พอร์ตที่เจ้ามือกำไรตลอด คือพอร์ตที่เราไม่เห็น แต่เดาได้ด้วย Volume’ …อย่าโดน Volume หลอก 


6. ‘อย่าถูกหลอก ด้วยข้อมูลที่เจ้ามือเขาอยากให้เราเห็น’ …มันจะมาหลอกเราทำไม …แต่เชื่อเถอะ เขาทำทุกอย่างเพื่อเอาเงินจากกระเป๋าเราเข้ากระเป๋าเขาก็แค่นั่นเอง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

7 ข้อ หุ้นใหญ่แบบไหนที่ปันผลดี แถมอาจวิ่งได้ไกลเกิน 3 เด้ง

 7 ข้อ หุ้นใหญ่แบบไหนที่ปันผลดี แถมอาจวิ่งได้ไกลเกิน 3 เด้ง 


1. ‘หุ้นที่เข้าลักษณะ Commodity’ …หุ้น Commodity เป็นหุ้นที่มีรอบชัดเจน เวลาดี จะดีมาก เวลาแย่จะแย่มาก 


2. ‘เป็นหุ้นที่อยู่ในตลาดมายาวนาน’ …หลีกเลี่ยงหุ้น Backdoor พวกนี้อันตราย มั่วเยอะ ไม่ค่อยคุ้มเสี่ยง


3. ‘ธุรกิจอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น’ …หลักๆ คือ ธุรกิจต้องผ่านวิกฤตรุนแรงมา …ยิ่งเพิ่งผ่านวิกฤตก็ยิ่งน่าสนใจ


4. ‘หนี้ไม่เยอะเกิน ไม่เสี่ยงโดนเพิ่มทุน’ …พูดง่ายๆ ถ้าหนี้เยอะ เราอาจโดนเพิ่มทุน ควรหลีกเลี่ยง


5. ‘มีประวัติการจ่ายปันผลที่ดี’ …หุ้นประเภทนี้มักให้ปันผลที่ดี ในเวลาปกติ และ ต่อเนื่อง


6. ‘เป็นหุ้นที่มีกองทุนหนุ่นหลัง’ …เวลามีกองทุนสนใจ หุ้นก็สามารถไปได้ไกลขึ้นอีกหน่อยในขาขึ้นนั่นเอง


7. ‘กราฟหุ้นทรงอย่างแบด’ …ดูง่ายๆ คือ กราฟ RSI อยู่ทรงล่างๆ ใกล้ๆ 30 นั่นเอง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

7 ข้อ คัดหุ้นซื้อรอรวย ทรงไม่สวยไม่เอา

 7 ข้อ คัดหุ้นซื้อรอรวย ทรงไม่สวยไม่เอา


1. หุ้นเริ่มเบา …คือ หุ้นดีที่ Volume น้อย …แปลว่า สงครามความโหด มันผ่านไปแล้ว


2. หุ้น Market Cap. ไม่แพง …คือ พื้นฐานเริ่มราคาถูก ถ้าตลาด MAI นี่ต่ำพันล้าน …SET นี่ต่ำหมื่นล้าน …เพราะหุ้นแบบนี้เวลาเล่นมันไปหล่ยเด้ง


3. หุ้นที่ Freefloat ไม่สูง …แปลว่า เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ ยังไม่ทิ้งบริษัท เขายังเก็บตัวเพื่อรอวันนั้น …ใช่ วันนั้นแหละ !!


4. หุ้นที่ไม่ช้ำ …หุ้นยังไม่โดนย่ำยี หรืออยู่ในดราม่า …หรือ ก็ต้องผ่านดราม่าจนคนลืมไม่พูดถึงกันแล้ว …คนลืม คนไม่สนใจ ไม่มีใครพูดถึง รอบใหม่ถึงจะมีโอกาส


5. หุ้นกราฟอยู่ด้านล่าง …รอบหุ้นมันก็มีอยู่ด้านบน กับด้านล่าง …เอาด้านล่าง ด้านที่ต้นทุนเราอยู่กับจุดเริ่มต้นของรอบใหม่ ทุนเดียวกับรายใหญ่ ถึงจะสบาย


6. หุ้นที่หนี้น้อย …หุ้นที่เบาแล้วดี คือ หนี้น้อย …เพราะถ้าหนี้เยอะ มันหนักหนี้ อาจมี เพิ่มทุนให้เราหนักใจ


7. ใช้เงินเย็นกระจายความเสี่ยง …การซื้อรอรวย ต้องซื้อกระจาย ไม่กระจุก แล้วใช้เงินเย็นรอได้ (ไม่ควรมีหุ้นตัวไหนซื้อเกิน 10% ของพอร์ต)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2566

7 ข้อควรรู้ เมื่อโชคสำคัญกว่าฝีมือในตลาดหุ้นปัจจุบัน

 7 ข้อควรรู้ เมื่อโชคสำคัญกว่าฝีมือในตลาดหุ้นปัจจุบัน


1. ‘The Alchemist หนังสือขายดีระดับโลกตลอดกาล กล่าวไว้ว่า …การเดินทางสำคัญกว่าเป้าหมาย แต่เป้าหมายคือ จุดเริ่มต้นทั้งหมดของการเดินทาง’ 


2. ‘หนังสือ Fool by Randomness… พูดถึงเรื่องของโชคชะตา ว่า มีส่วนสำคัญมากในความสำเร็จของแต่ละคน’ …ไม่มีใครกำหนดโชคชะตาได้ แต่เราเลือกได้ว่า จะถูกหลอกด้วยโชคชะตา หรือ ใช้ประโยชน์จากมัน


3. ‘คนเก่งที่อยู่ผิดที่ ก็เหมือนเอาปลามาปีนต้นไม้’ …เมื่อไหร่รู้ตัวว่ามันไม่ใช่ ให้เริ่มตั้งเป้าใหม่ทันที 


4. ‘เมื่ออายุถึง 40 ปี คุณต้องเลือกทำแต่สิ่งที่คุณถนัด’ …ก่อนหน้านี้เราทำทุกอย่าง ลองทุกอย่าง ก็เพื่อเลือกตัดสิ่งที่ไม่ใช่ออกจากชีวิต …’ยิ่งแก่ ต้องยิ่งชัด และ ตัวยิ่งเบา’ 


5. ‘เมื่ออายุถึง 50 ปี ให้ไปทำงานกับคนรุ่นใหม่’ …สนับสนุนคนรุ่นใหม่ …คนรุ่นใหม่จะเพิ่มความกล้าให้กับชายชราที่เริ่มหมดไฟ ไม่กล้าออกจากจุดที่ปลอดภัย


6. ‘คนที่มีความชำนาญในเรื่องใดเป็นพิเศษ …มักจะเป็นคนที่โชคดีในเรื่องนั้น’ …ไม่ใช่เพราะเขาโชคดี แต่เพราะ เขาพร้อมที่สุดเมื่อโอกาสมาถึง


‘ถ้าผมมีเวลา 6 ชั่วโมงในการตัดต้นไม้ …ผมจะใช้เวลา 4 ชั่วโมงไปกับการลับขวานให้คม’ ..ลินคอล์น


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2566

6x2 วิธีปั้นพอร์ต ที่ต้องเลือกเดิน …’ช้า ทน โตเรื่อยๆ’ … ‘ได้เร็ว สะใจ ทำไมพอร์ตกรูไม่โต’ …เราเป็นแนวไหน ?

 6x2 วิธีปั้นพอร์ต ที่ต้องเลือกเดิน …’ช้า ทน โตเรื่อยๆ’ …

‘ได้เร็ว สะใจ ทำไมพอร์ตกรูไม่โต’ …เราเป็นแนวไหน ?


1. ‘ช้า แปลว่า กระจายความเสี่ยง’ …พูดง่ายๆ ถ้ากระจายความเสี่ยงดี ก็จะไม่มีหุ้นไหน หรือ ความผิดพลาดครั้งไหนที่ทำเราเจ๊งได้ 


2. ‘ทน คือ อดทน’ …อด ไม่เอาใจสิ่งที่อยากได้ …ทน อยู่กับสิ่งที่เราไม่อยากได้ …นี่คือ ชีวิตส่วนใหญ่ของนักลงทุนนะ


3. ‘โตเรื่อยๆ’ ในมุมของนักลงทุน ก็คือ ไม่ควรมีความเสียหายที่เราลุกไม่ขึ้น …นี่คือ เคล็ดลับของการ พลาดได้เรื่อยๆ แต่พอร์ตก็โตไปเรื่อยๆ 


4. ‘ได้เร็ว เป็น กับดักของตลาดหุ้น’ …คนมือใหม่ มักจะได้กำไรแบบ งง ๆ ก็จะเสียหนักแบบ งง ชิบหาย !! …อะไรได้เงินเร็วๆ ในตลาดหุ้น ให้ระวังดีๆ หายนะ มันใกล้เข้ามาแล้ว


5. ‘สะใจ ก็เป็น กับดัก’ …เรามักจะชอบแบบ กำไรหนักๆ จนสะใจ …มันเกิดได้กับทุกคน แต่อย่าเสพติด เพราะ ถ้าเราติดใจ อยาก สะใจบ่อยๆ เราจะเริ่มเสียหายหนัก


6. ‘พอร์ตไม่โต เพราะ เสพติดการได้เร็ว และ ความสะใจ’ …ใช่!! ตลาดหุ้น อย่ามาหาความมันส์และความตื่นเต้น …ให้เข้ามาสะสมความมั่งคั่ง แบบค่อยเป็นค่อยไป แล้วทุกอย่างจะดีในที่สุด


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

6 การตีความเรื่อง ‘Volume และราคา’ ที่ผมแกะมาจากประสบการณ์จริง !!

 6 การตีความเรื่อง ‘Volume และราคา’ ที่ผมแกะมาจากประสบการณ์จริง !!


1. ‘ราคาขึ้น แต่ไม่มี Volume’ …ตีความว่าหุ้นเบา …รายย่อยแทบไม่มีหุ้น …หลังจากนี้หุ้นมีแนวโน้มขึ้นมากกว่าลง


2. ‘ราคาลง แต่ไม่มี Volume’ …ตีความว่าหุ้นเบา เช่นกัน แต่ !! ….เป็นภาวะที่รายย่อยขายหนีไปแล้ว แต่เจ้าของยังไม่ได้อยากให้หุ้นขึ้น …หลังจากนี้ หุ้นมีโอกาสซึมลง 


3. ‘ราคาขึ้น พร้อม Volume เยอะ’ …รายใหญ่ซื้อ …การตีความต้องดูต่อเนื่อง ถ้าซื้อไม่ต่อเนื่อง ก็แปลว่ายังทยอยเก็บของ …แต่ถ้า Volume เข้าต่อเนื่อง แปลว่า เจ้าเก็บของครบแล้ว มาลุยกัน 


4. ‘ราคาลง พร้อม Volume เยอะ’ …รายใหญ่ขาย …ทุกครั้งที่รายใหญ่ขาย เราต้องระวังให้มาก …ยิ่งถ้าขายให้กองทุน ยิ่งต้องดู ว่าเขาจะปล่อยของหรือเปล่า 


5. ‘หุ้นเล็ก อ่าน Volume ได้ง่ายกว่าหุ้นใหญ่’ …หุ้นเล็ก Volume จะเข้า ออก เป็นช่วงๆ ทำให้เรารู้ว่าช่วงนี้ ‘หุ้นเบา’ หรือ ‘หุ้นหนัก’ ได้แม่นยำกว่า


6. ‘การเข้าหุ้นที่ดี ต้องซื้อตอนหุ้นเบา และขายตอนหุ้นหนัก’ …แปลว่า หุ้นต้องซื้อตอนที่ Volume น้อยๆ ซื้อยากๆ …ส่วนเวลาขายให้ขายตอนที่ Volume เยอะๆ ขายง่ายๆ ….ถึงจะได้กำไร !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

6 เรื่องหุ้น ‘ทนรวย’ และ ‘ทนขาดทุน’ ต้องรู้

 6 เรื่องหุ้น ‘ทนรวย’ และ ‘ทนขาดทุน’ ต้องรู้


1. ‘ทนรวย กับ ทนขาดทุน ก็คือ พอร์ตลดลง เหมือนกัน’ …พูดง่ายๆ สมมุติ พอร์ตคุณ 10 ล้าน ถ้ามันลดลงไป มันก็คือ เงินที่ลดลง กระทบจิตใจไม่ต่างกัน !!


2. ‘ทนรวย คือ เราซื้อหุ้นต้นรอบ’ …แปลว่า เราซื้อหุ้นตั้งแต่ตลาดขาลง คราวที่แล้ว …ซื้อตอนตลาดลง ตลาดปรับฐาน


3. ‘ทนขาดทุน คือ ซื้อหุ้นปลายรอบ’ …คนส่วนใหญ่ซื้อหุ้นตอนตลาดดี ตลาดกำลังขึ้น …พูดง่ายๆ คือ ไปซื้อตอนตลาดแพง (ซึ่งเวลาหุ้นลงมันจะลึกมาก)


4. ‘ทนรวย ไม่สามารถใช้ได้กับหุ้นทุกตัว’ …หุ้นที่ไม่ควรทนรวย คือ หนึ่ง หุ้นไม่ปันผล …สอง หุ้นไม่เติบโต เช่น พวกหุ้น Commodity (ควรเล่นรอบมากกว่า)


5. ‘หุ้นทุกตัว ทั้งหุ้นดี และ หุ้นไม่ดี มันมีรอบทุกตัว’ …อย่าคิดว่า หุ้นดี ซื้อได้ตลอด เพราะ หุ้นดี เวลามันถึงรอบขาลง ราคามันก็ลงหนักเหมือนกัน (แปลว่า ซื้อหุ้นไม่ดี ในรอบดี บางทีอาจกำไรกว่าซื้อหุ้นดี ผิดรอบ) …ใช่!! ‘รอบ’ สำคัญที่สุด


6. ‘หัวใจของการ ทนรวย อยู่ที่เราบริหารสภาพคล่อง เงินไม่ขาดมือ ในเวลาที่เราติดหุ้น’ …การปั้นพอร์ตให้เติบโตในระยะยาว อยู่ที่เราต้องไม่ชอร์ตเงินสด (ถ้าเราชอร์ต ยังไงก็ซวย!!)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

6 ข้อ คิดแบบไหนถึงจะเป็นรายใหญ่ได้ในวันนึง (วันของกรู)

 6 ข้อ คิดแบบไหนถึงจะเป็นรายใหญ่ได้ในวันนึง (วันของกรู) 


ขึ้นซื่อว่า รายใหญ่แปลว่า พอร์ตต้องเติบโต …เอาว่า มาเจาะความคิดกันดีกว่า ว่า กว่าจะเป็นรายใหญ่เขาเคยคิดแบบไหน 


1. ‘กล้าเสีย แบบมีเหตุผล’ …ต่างกับการพนันตรงที่ กล้าเสียแบบนี้ คือ การคิดคำรวณความเสี่ยงมาดีแล้ว ไม่ใช่การวัดดวง


2. ‘ทนรวยเป็น’ …ทนรวยจริงๆ คือ ทนย่อ ..ซึ่งขาขึ้นอาจมีการย่อถึง 50% ระหว่างทางขึ้น แปลว่า เราต้องทนได้ 


3. ‘กล้าซื้อหุ้นที่คนอื่นไม่ซื้อ’ ..หุ้นที่คนอื่นซื้อก็คือหุ้นตลาด ใครๆ ก็มี ใครๆก็พูดถึง


4. ‘ต้องมีเงินเวลาที่ตลาดเกิดวิกฤต’ …ตลกร้ายของตลาดหุ้นคือ ทุกครั้งที่ตลาดเกิดวิกฤต มักจะเป็นช่วงที่นักลงทุนส่วนใหญ่ซื้อหุ้นเต็มพอร์ต ไม่มีเงินสด ….พูดง่ายๆ เวลาที่คนอื่นแห่ซื้อ คุณต้องขายแล้วตุนเงินสด


5. ‘กล้าซื้อเต็มทุกครั้งที่ตลาดเกิดวิกฤต’ …วิกฤตใหญ่เกิดทุกๆ 10 ปี ส่วนวิกฤตย่อย เกิดทุกๆ 3 ปี …เอาว่า คุณต้องจัดเต็ม สวนคนอื่น ทุกวิกฤต 


6. ‘ขึ้นชื่อว่ารายใหญ่แปลว่า เงินส่วนใหญ่ของคุณต้องอยู่ในหุ้นตลอดเวลา’ …ส่วนใหญ่คือ 80% ของ wealth คุณทั้งหมด ต้องอยู่ในตลาดหุ้นตลอดเวลา …ช่วงที่มีเงินสด อย่างมากก็ไม่เกิน 20% (แค่นั้นก็พอ เอาไว้ซื้อหุ้นทุกๆ วิกฤตแล้ว) 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2566

7 ข้อ ที่เศรษฐีพันล้านมีคล้ายๆ กัน

 7 ข้อ ที่เศรษฐีพันล้านมีคล้ายๆ กัน 


…มีเงิน น่ะใช่ …แต่ที่สำคัญกว่า คือ 7 ข้อนี้


1. ‘มีสินทรัพย์ที่ทำงานแทนเขา’ …เศรษฐีที่สร้างตัวด้วยตัวเอง ต้องมีสินทรัพย์ที่ทำให้เขารวย


2. ‘มีเพื่อนที่เป็นเศรษฐีพันล้านเหมือนๆ กัน’ …สภาพแวดล้อมสำคัญมากในการพัฒนาตัวเอง …เราอยากเป็นแบบไหน เราต้องรายล้อมตัวเองด้วยคนแบบนั้น …ง่ายๆ ถ้าเราอยากเป็นนักกีฬา เราก็ต้องอยู่ท่ามกลางคนที่ชอบเล่นกีฬา


3. ‘คิดหาโอกาสลงทุนตลอดเวลา’ …คนส่วนใหญ่คิดหาโอกาสใช้เงิน แต่คนเหล่านี้หาโอกาสลงทุน …หมกมุ่นกับการอยากลงทุนตลอด


4. ‘มี Passion ในเรื่ิองใดเรื่องนึงอย่างจริงจัง’ …ที่ว่า Passion นี่คือ ชอบในสิ่งนั้นมากๆ มีความรู้ลึก รู้จริงในเรื่องนั้น


5. ‘มีความสามารถในการถ่ายทอด’ (Leadership Skill) …การถ่ายทอด การสื่อสาร เป็นทักษะสำคัญมากๆ ในการเป็นผุ้นำ …มันจะทำให้เขาโดดเด่น และ แตกต่างจากคนทั่วไป


6. ‘เรียนรู้จากความผิดพลาดได้ดี’ …คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนต้องผิดพลาดเยอะ …การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดแล้วไปค่อ คือ สิ่งที่จำเป็นมาก ถึงมากที่สุด 


7. ‘ไม่เคยคิดว่าตัวเองรวย’ …คิดว่ายังไม่รวย ก็เลยต้องพัฒนาตัวเอง หาโอกาสต่อไปเรื่อยๆ ไม่หยุดนั่นแหละ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2566

6 ความจริง ที่ยอมรับได้เมื่อเราโตขึ้น เข้าใจโลกการเงินมากขึ้น

 6 ความจริง ที่ยอมรับได้เมื่อเราโตขึ้น เข้าใจโลกการเงินมากขึ้น 


1. ‘เงินไม่ได้วิ่งเข้าหาคนเก่ง แต่เงินวิ่งเข้าหาเงิน’ …ขยันแทบตาย จนมารู้ว่า ต้องเริ่มหาเงินแบบคนมีเงินจึงจะหาเงินได้ง่ายกว่า


2. ‘คนที่เหนือเงิน จะหาเงินง่ายกว่า’ …คนเหนือเงินคือคนที่ วางเงินทำงาน …เข้าใจความเสี่ยง และ กล้าที่จะเสียเงินเวลาลงทุน (กล้าเสีย)


3. ‘ผู้ให้เงิน จะอยู่เหนือผู้รับเงินเสมอ’ …ต้องพยายามไปอยู่ในจุดของผู้ให้เงิน เพราะ นั่นคือ จุดที่ได้เปรียบ 


4. ‘อย่าเสี่ยงในจุดที่คนอื่นเขาเสี่ยงเหมือนกัน’ …จุดที่เราเสี่ยงเหมือนๆ คนอื่น มักจะซวย …เพราะ คนส่วนใหญ่ในโลกการเงินซวยเสมอ


5. ‘ความได้เปรียบทางการเงิน เกิดทุกครั้งในวิกฤต’ …พูดง่ายๆ ทุกๆ วิกฤต คนที่มีเงินจะสามารถคว้าโอกาสที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้นั่นเอง 


6. ‘จุดที่ปลอดภัยที่สุดในโลกการเงิน คือ จุดที่แย่ที่สุด’ …จุดปลอดภัย จะให้ผลตอบแทนแย่ที่สุดในโลกการเงิน 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2566

5 ข้อควรรู้ เมื่อเศรษฐกิจและการเงินเปลี่ยนผู้นำ (The Changing World Order)

 5 ข้อควรรู้ เมื่อเศรษฐกิจและการเงินเปลี่ยนผู้นำ (The Changing World Order)


1. ‘เงินดอลลาร์ เป็นเงินสำรองของโลกที่กำลังถูกท้าทาย’ …ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ถือเงินดอลลาร์เพื่อรักษาความมั่งคั่ง (ตลาดหุ้นอเมริกา มีมูลค่า 55% ของทั้งโลก และมี Volume 64%)


2. ‘ก่อนหน้าอเมริกา เงินอังกฤษเคยเป็นเงินหลัก และก่อนอังกฤษ(Pound) ก็คือ เนเธอร์แลนด์ (Gulider)’ …แปลว่า ไม่มีเงินตราสกุลไหนที่อยู่ได้ตลอดกาล …ซึ่งการเข้าใจตรงนี้ช่วยให้เราเข้าใจโลกการเงินมากขึ้น


3. ‘ประเทศที่มีเงินสกุลหลัก สามารถพิมพ์เงินได้ไม่จำกัด’ …แต่ปัญหาคือ ยิ่งพิมพ์เงินก็ยิ่งเฟ้อ (มูลค่าลดลง) สุดท้ายเลยต้องขึ้นดอกเบี้ย เพื่อให้เงินไม่กลายเป็นแบงค์กงเต๊ก


4. ‘ทุกครั้งที่ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น และมีการพิมพ์เงิน ให้เราวิ่งหาสินทรัพย์’ …พูดง่ายๆ คือ จากนี้มูลค่าเงินจะลดลง ให้หาจังหวะซื้อสินทรัพย์ ทั้งหุ้น ที่ดิน ทองคำ ในเวลาที่ตลาดปรับฐาน และถือเอาไว้ให้นาน


5. ‘ให้มองหาโอกาสจากสงครามการค้า และ วิกฤตใหม่ ที่จะทำให้เราเห็นโอกาสในการลงทุนระยะยาว’ …การเปลี่ยนผู้นำ (อเมริกา - จีน) ต้องเจอวิกฤต ระหว่างทาง …ให้มองหาโอกาสการลงทุน


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2566

6 ข้อ มอง Hunger ในแบบนักลงทุน ‘เก่ง กล้า อดทน’

 6 ข้อ มอง Hunger ในแบบนักลงทุน ‘เก่ง กล้า อดทน’


‘เก่ง’ อย่างเดียวไม่พอ ความรู้มันแค่ทำให้เรารู้ว่าตรงไหนโอกาส 


…มันต้อง ‘กล้า’ คือ เมื่อเห็นโอกาส ต้องใส่เต็ม (เพราะในโอกาสมัน โคตรน่ากลัว เลยต้องอาศัยความกล้า ที่จะใส่)


 …และจากนั้น ‘อดทน’ คือ เมื่อเห็นโอกาส กล้าใส่แล้ว ต้อง อดทน ..ทน ..ทน ผ่านความกดดัน เวลา จึงจะไปถึงความสำเร็จ


1. ‘ของถูกคนเลือกซื้อจากคุณภาพ ของแพงคนเลือกซื้อจากความพิเศษ’ …ถ้าจะขายของถูก ต้อง Mass Production ทำต้นทุนต่ำ คุณภาพดี ราคาไม่สูง ขายเยอะๆ …ถ้าจะขายของแพง ต้องพิเศษ แตกต่าง และกระตุ้นแรงปรารถนาของคนซื้อ


2. ‘คนเก่งต้องอยู่ถูกที่ด้วยจึงจะสำเร็จ’ …คนเก่งต้องเลือกสนามที่ตัวเองพิเศษ ถึงจะไปได้เร็ว ไปได้ไกล 


3. ‘ความพิเศษต้องเริ่มตั้งแต่วัตถุดิบ’ …อย่างหุ้น ก็ต้องลงรายละเอียดไปตั้งแต่ต้น ก็คือ สินค้าที่ขาย จุดแตกต่างและ ฐานลูกค้าที่ชัดเจนแข็งแกร่ง


4. ‘ค้นหาและสร้างทีมแห่งความสำเร็จ’ …เก่งคนเดียวมันไปไหนได้ไม่ไกล ต้องมี คู่หู ต้องมีทีม มันจึงจะไปได้ไกล


5. ‘เปลี่ยนต้นแบบให้เป็นคู่แข่ง’ …ถ้าคุณเจ๋งพอ วันนึง IDOL ของคุณ ก็จะกลายเป็นคู่แข่งของเรา …แปลว่า เรายกระดับตัวเองไปได้โคตรไกล


6. ‘ค้นหาจุดที่ใช่ ไม่ใช่จุดสูงสุด’(Optimal) …การเป็นสุดยอด หรือ จุดสูงสุด มันอยู่ได้ไม่นาน และ มันเหนื่อย …เราต้องไปสู่ ‘จุดที่ใช่’ (จุดที่เราอยู่อย่างได้เปรียบ ไม่เหนื่อยแต่ได้ผลลัพธ์คุ้มค่า และ ยืนระยะได้ยาวๆ) 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2566

10 ข้อ เมื่อพ่อสอนลูกเรื่องเงิน

 10 ข้อ เมื่อพ่อสอนลูกเรื่องเงิน 

‘เมื่อเงินเปลี่ยนเรา’ ..หรือเราเปลี่ยนเงิน


…เงินซื้อผมไม่ได้ ฮึม!! ถ้ามันไม่มากพอ …เดี๋ยวนะ ใช่เหรอ ?


1. ‘เงินเหมือนอากาศ ตราบใดที่คุณมีเงิน คุณก็บอกว่ามันไม่สำคัญ แต่เมื่อไหร่ไม่มี มันจะสำคัญทันทีเลย’ …อ้ากกก!! หายใจไม่ออก (ไหนเมื่อกี้มรึงว่าไม่สำคัญฟระ !!) 


2. ‘น้ำไหลลงที่ต่ำ แต่เงินจะวิ่งหาที่สูงเสมอ’ …อะไรสูงๆ เสียวๆ เงินจะไหลเข้าไปที่นั่น จนมันรับไม่ไหวนั่นแหละ (ดอย)


3. ‘เงินเหมือนน้ำ ตัวเราเหมือนภาชนะ’ …ถ้าเราไม่เตรียมภาชนะ ไม่ว่าเงินจะไหลมาหาเราเท่าไหร่ก็ตาม สุดท้ายเราจะเหลือเงินเท่าภาชนะของเราเท่านั้นแหละ …ถ้าอยากได้เงิน ต้องเตรียมภาชนะ และ ขยายมันให้ใหญ่ที่สุด


4. ‘คนเราจะมีเงินประมาณ 10 เท่า ของความสูญเสียเงินที่เราแต่ละคนรับได้’ …แต่คุณจะต้องเสียก่อน ที่จะได้รับมันนะ (โหดสลัด!!)


5. ‘คนส่วนใหญ่ไม่อยากจัดการเงิน เพราะ มันคือการจัดการกับจิตใจของตัวเอง ซึ่งยากที่สุดแล้ว’ …ที่เขาพูดว่า เงิน คือ Mindset นั่นแหละ 


6. ‘คนที่ได้เงินมากเกินกว่าที่ตัวเองจะจัดการ ส่วนที่เกินจะเริ่มทำลายเรา’ …มีสองทางเลือก คือ เอาน้อยลง กับ อีกทาง คือ เพิ่มความสามารถในการจัดการ (อันหลังยากกว่า เพราะ มันต้องเริ่มฝึกฝน ตั้งแต่ยังไม่มีเงิน เหมือนคนที่เรียนรู้การลงทุนตั้งแต่เขายังไม่มีเงินนั่นแหละ)


7. ‘อย่ามองเงินเป็นอำนาจการใช้สอย เพราะ คุณจะไม่มีเงิน …ให้มองเงินเป็นอำนาจในการจัดการ เราจะมีเงินมากขึ้น’ …เราจะมีเงินมากเท่าความสามารถในการจัดการเงินเท่านั้นเลย


8. ‘เงินเป็นนายเรา หรือเราเป็นนายเงิน ดูกันที่ เราทำงานเพื่อเงิน หรือ เงินทำงานเพื่อเรา’ …ถ้าเราทำงานหนักเพื่อรอรับเงิน แปลว่า เงินเป็นนายเรา ชัดๆ เลย …คนที่เป็นนายเงิน เขาเป็นนายของเวลาด้วย 


9. ‘ให้ใช้เงินซื้อสิ่งที่เงินซื้อได้ แล้วใช้เวลาเราให้กับสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้’ …แต่คนส่วนใหญ่ในโลกทำตรงข้ามนะ (เงินเป็นเครื่องทุ่นแรง ช่วยประหยัดเวลา)


10. ‘อย่าใช้เงินซื้อความสุข ให้ใช้เงินซื้อความสะดวกสบายเท่านั้น’ …เพราะ นั่นคือหน้าที่ของเงิน 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2566

10 ข้อคิด นักเล่นหุ้นวัยลุง ที่เอาปรับใช้ในหุ้น

 10 ข้อคิด นักเล่นหุ้นวัยลุง ที่เอาปรับใช้ในหุ้น


1. ‘เวลาต้องเลือกหุ้น ให้เลือกตัวที่ดูเสี่ยงกว่าเสมอ’


2. ‘มือใหม่มักจะเริ่มจากหุ้นพื้นฐาน จากนั้นคุณจะต้องไปในแนวทางของตัวเอง’ 


3. ‘เวลาเลือกหุ้นผิดอย่าไปโทษคนอื่น ให้โทษตัวเอง แล้วเราจะเติบโตขึ้น’


4. ‘หุ้นทุกตัวมีขาขึ้น แล้วก็มีขาลง ท่องเอาไว้เลย’


5. ‘หุ้นมีหลายแนว ใหญ่ เล็ก ปันผล เติบโต ซิ่ง ..เราต้องเลือกตัวที่ตรงกับช่วงชีวิตเวลานี้ของเรา’ 


6. ‘หุ้นช่วงขาขึ้น ใช้เวลา …เราไม่สามารถเร่งให้หุ้นขึ้นตามใจเรา’ 


7. ‘ไม่ว่าจะเล่นหุ้นแนวไหน สุดท้ายเราต้องถือหุ้นที่ทำให้เรามีอิสรภาพทางการเงิน’ …อย่ามัวแต่เทรดตลอด เพราะมันเหนื่อย 


8. ‘ช่วงที่หุ้นขึ้นเยอะๆ ให้แบ่งตัดมาบางส่วน ให้รางวัลตัวเอง ให้รางวัลคนที่เรารักบ้าง’ 


9. ‘ถ้าจะปั้นพอร์ตให้โตในตลาดหุ้น ต้องรู้จักปล่อยวาง เพราะ อยู่ในตลาด มันย่อมพลาดอยู่เรื่อยๆ’ 


10. ‘ถ้าท้อแท้ ตลาดแย่ พอร์ตพัง …ให้มองหาโอกาส เพราะขาขึ้นรอบต่อไป มันกำลังจะมา’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2566

7 หลักการ คัดหุ้นเด็ดปีกระต่าย ปลายปี 2023

 7 หลักการ คัดหุ้นเด็ดปีกระต่าย ปลายปี 2023


ว่าด้วยหุ้นเด็ด ไม่ใช่ซื้อแล้วแค่กำไร แต่ต้องถือแล้ว ‘เปลี่ยนชีวิต’ ..เจสสส !!


1. ‘หุ้นเด็ด เวลาซื้อมันต้องไม่เด็ด’ …คิดง่ายๆ วันที่เราซื้อ มันต้องดูแย่ …ถ้ามันดูดีแล้ว แปลว่า เราซื้อช้าไปแล้วนั่นเอง


2. ‘หุ้นเด็ด เจ้าของต้องถือเยอะ’ …อันนี้ Common Sense เลย …ถ้าหุ้นมันเด็ด เจ้าของต้องพยายามเก็บรวยรวมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 


3. ‘หุ้นเด็ด ต้องทำธุรกิจที่ยอดขายและกำไรกำลังจะเป็นขาขึ้น’ …กำลังจะเป็นขาขึ้น แปลว่า มันกำลังจะไปอีกไกล …ต้องมองให้ขาดว่า จากจุดที่เราซื้อ ยอดจายและกำไร ต้องไปได้อีกไกล


4. ‘หุ้นเด็ด จะเริ่มจากจุดที่หุ้นเบาที่สุด’ …จุดเริ่มต้นของความเด็ด ต้องเริ่มในจุดที่หุ้นเบา …Volume บาง ราคาต่ำ …หลังจากนั้น มันถึงจะเด็ด !!


5. ‘หุ้นเด็ด ต้องไม่ใช่หุ้นที่ใครๆ ก็เชียร์’ …จุดที่ใครๆ ก็เชียร์ แปลว่า มันปลายรอบแล้ว ไม่ทันแล้ว 


6. ‘หุ้นเด็ด ไม่ใช่หุ้นที่ปันผลสูง’ …อันนี้ขัดความรู้สึกเพราะ ใครๆ ก็อยากซื้อหุ้นแล้วได้ปันผลสูง …แต่หุ้นเด็ด เราต้องซื้อเวลาที่เขากำลังจะเติบโตสูงสุด แปลว่า ช่วงนั้น เขาต้องเอาเงินมาลงทุนต่อ ไม่ใช่เอามาปันผล


7. ‘เจอหุ้นเด็ด เราต้องใช้เงินเย็นแล้วอดทนรวยให้ได้’ …ระหว่างทางขึ้นของหุ้นเด็ด อาจเจอหุ้นย่อถึง 50% ดังนั้น ต้องแน่ใจว่า เงินเราเย็น แล้วเราอดทนรวยได้ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


5 ข้อ ทำไมการถือหุ้นถึงดีกว่าแค่ทำงานให้บริษัท

 5 ข้อ ทำไมการถือหุ้นถึงดีกว่าแค่ทำงานให้บริษัท


จากที่ผมเคยทำงานให้บริษัท และ ก็ถือหุ้นบริษัท เลยอยากจะมาแชร์เรื่องนี้ให้ฟังกัน


1. ‘การถือหุ้นคุณคือเจ้าของ’ …การถือหุ้นคุณได้สิทธิ์ใน ความเป็น ‘เจ้าของ’ …ส่วนทำงาน เราเป็น ‘ลูกจ้าง’ 


2. ‘เจ้าของ เสียภาษีน้อยกว่าลูกจ้าง’ ..ใช่!! คนที่โดนภาษีสูงที่สุด ก็คือ ลูกจ้าง โดนเต็มๆ …ส่วนเจ้าของ เสียภาษี ในส่วนปันผล ก็ประมาณ 10% …แต่เวลาขายหุ้น ไม่เสียภาษีเลย 


3. ‘ถือหุ้นเราใช้เงินทำงาน แต่ทำงานเราใช้เวลาเข้าแลก’ …ใช้เงินทำงาน ก็ย่อมสบายกว่า เอาตัวเราและเวลาเข้าแลก


4. ‘ทำงานมีวันเกษียณ แต่ถือหุ้นไม่ต้องเกษียณ’ …ผมคิดมาตลอดว่า มันไม่คุ้มเลย ถ้าเราทำงานให้บริษัทเจริญเติบโต ใหญ่ขึ้น รวยขึ้น แต่สุดท้ายวันนึงเราต้องเกษียณ อดได้รับผลตอบแทนของสิ่งที่้เราทุ่มเทสร้างมา ตอนเราแก่พอดี


5. ‘ทำงานเราต้องเลือกทุ่มเท เหมือนเอาไข่ใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียว’ …แต่การถือหุ้นเรากระจายความเสี่ยง สามารถมีตะกร้าหลายใบได้


6. ‘เจ้าของบริษัทรุ่นใหม่ อยากให้ลูกถือหุ้น แต่ไม่อยากให้ลูกบริหาร’ …สมัยก่อนถ้าลูกไม่เก่ง บริษัทก็จะเจ๊งคามือ แต่ทุกวันนี้ เราสามารถหาผู้บริหารเก่งๆ มา บริหารได้ ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องหนักใจ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 หลักใหญ่ใจความ ‘การลงทุน’ ในยุคปัจจุบัน

 5 หลักใหญ่ใจความ ‘การลงทุน’ ในยุคปัจจุบัน


1. ‘การลงทุนต้องให้เงินทำงานแทนเรา’ ..หลักๆ ที่เราลงทุนก็เพื่อให้เงินทำงานแทนเรา ในวันที่เราไม่มีแรงทำงาน


2. ‘การลงทุนต้องเข้าใจมูลค่าไม่ใช่มองแต่ราคา’ ..เราเข้าใจเรื่องราคาเพราะมันเห็นอยู่ตรงหน้า …แต่การเข้าใจมูลค่าเราต้องไปศึกษาธุรกิจ และต้องมองอนาคตธุรกิจให้ออก


3. ‘การลงทุน ต้องทนขาดทุน และทนกำไร’ …การทนขาดทุน 50% ถือว่าปกติมากในการลงทุนถือหุ้นระยะยาว …ส่วนที่ยากกว่านั้นคือ ทนถือหุ้นกำไรเป็นหลายๆ เท่าตัว


4. ‘การลงทุน ต้องฝึกคิดต่าง’ …การคิดต่างพูดง่าย แต่ปฏิบัติจริงยากมาก …เพราะแปลว่า เราต้องคิดและทำ ตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ …เช่น หุ้นขึ้น มีแต่ข่าวดี คนอื่นแย่งกันซื้อ ..คุณต้องขาย ยากไหมล่ะ ?


5. ‘การลงทุนต้องมองไกล’ …การมองไกล หรือ Start with the End in mind …คือ มองให้ออกก่อนจะลงทุน ว่าสิ่งนี้จะจบยังไง 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันศุกร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2566

7 เรื่องต้องรู้ เมื่อเศรษฐกิจโลกถึงจุดเปลี่ยน

 7 เรื่องต้องรู้ เมื่อเศรษฐกิจโลกถึงจุดเปลี่ยน


1. ‘ดอกเบี้ยขาลงเปลี่ยนเป็นดอกเบี้ยขาขึ้น’ …ก่อนหน้านี้คนกู้เยอะๆ ได้เปรียบ แต่วันนี้ คนไม่มีหนี้ได้เปรียบกว่า


2. ‘ยุคเงินดอลลาร์อ่อน สู่ดอลลาร์แข็ง’ …ก่อนหน้านี้ดอลลาร์มีแต่อ่อน แต่หลังจากนี้ดอลลาร์จัแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ


3. ‘ยุคของ Startup กลับสู่ SME’ …ก่อนหน้านี้ใครๆ ก็พูดถึง Startup แต่หลังจากนี้ ธุรกิจต้องกลับมาสู่ SME ..เน้นธุรกิจที่ทำกำไรตั้งแต่วันแรก


4. ‘โลกตะวันตกสู่โลกตะวันออก’ …ประเทศที่อยู่แล้วรวยจะเปลี่ยนจากซีกโลกตะวันตก สู่ซีกโลกตะวันออก 


5. ‘โลกของ Mass สู่โลกของ Niche’ …ธุรกิจก่อนหน้านี้เน้นใหญ่และผูกขาด แต่หลังจากนี้ ธุรกิจที่ Niche จัด ชัดเจนคือผู้ชนะ


6 ‘เก็บเงินในที่ปลอดภัย สู่การวางเงินในที่เสี่ยง’ …ก่อนหน้านี้การวางเงินในที่ปลอดภัยเป็นเรื่องปกติ แต่วันนี้ที่ปลอดภัย คือ จุดที่น่ากลัว …อะไรที่การันตีผลตอบแทนกลายเป็นสิ่งที่เสี่ยง


7. ‘ผู้ชนะคนใหม่ จะไม่ใช่คนเดิม’ …ก่อนหน้านี้ผู้นำก็คือคนเดิม แต่วันนี้ผู้ชนะ ผู้นำ จะกลายเป็นคนใหม่ ..คนที่ใครๆ ไม่คาดคิด


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 กระบวนท่า ที่ VI สายปั้นพอร์ตต้องมี

 6 กระบวนท่า ที่ VI สายปั้นพอร์ตต้องมี 


1. ‘ท่า กล้าแม้กลัว’ …ความกลัวเป็นการบ่งบองว่า ตลาดช่วงนั้นถูก …ดังนั้น การฝึกควาทกล้าเมื่อกลัวเป็นสิ่งที่จำเป็นในการซื้อของถูก


2. ‘ท่า พร่องเมื่อมั่นใจ’ …ความมั่นใจ และ ความคึกคะนอง ของตลาดจะมาพร้อมๆ กันช่วงปลายรอบ …การพร่องจะช่วยให้เราเก็บเงินสดออกมา เพื่อเตรียมซื้อของถูกเมื่อตลาดปรับฐาน


3. ‘ท่า การหาของนอกกระแส’ …หุ้นในกระแส เป็นหุ้นที่รายใหญ่เขารวย ไม่ใช่รายย่อยรวย …การหาหุ้นนอกกระแส ก็คือ การหาคุ้นที่ทำให้รายย่อยรวยได้นั่นเอง


4. ‘ท่า อดทนรวยในภาพใหญ่’ …การอดทนรวย มันรวมถึงการทนย่อ ซึ่งบางครั้งหุ้นดีอาจย่อได้ถึง 50% ระหว่างทางขึ้น …การทนถือหุ้นดีจึงเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ใครทำได้ ก็จะได้รางวัลอย่างคุ้มค่า


5. ‘ท่า การเข้าใจรอบในสินทรัพย์ต่างๆ’ …ทุกสินทรัพย์มีรอบทั้งหมด …การฝึกมอง รอบ ของสินทรัพย์ต่างๆ จะช่วยให้เราเอาภาพมาประกอบเพื่อความเข้าใจตลาดที่มากขึ้น 


6. ‘ท่า การมีเงินสดตลอดเวลา’ …เงินสดคือสภาพคล่องที่เราต้องกันเอาไว้ แทบจะตลอดเวลาเพื่อรอโอกาส …โอกาสเดียวที่เราจะใส่เงิน 100% เมื่อตลาดเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่เท่านั้น (เพราะวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ จะทำให้สามารถซื้อหุ้นดีในราคาถูกสุดๆ แค่ถือแล้วรับปันผล ก็คุ้มอย่างเหลือเชื่อแล้ว)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2566

10 ข้อคิด เป็นประสบการณ์แบบใจๆ ในวัยลุง

 10 ข้อคิด เป็นประสบการณ์แบบใจๆ ในวัยลุง


1. ‘ชีวิตคือทางเลือก เมื่อเจอทางเลือก ให้เลือกทางที่เสี่ยงกว่าเสมอ’ …เพราะทางที่เสี่ยง ถ้าเราถูก มักให้รางวัลที่ใหญ่กว่า ..แต่ถ้าผิด ก็จะให้บทเรียน(สาสม)ที่ทำให้เราเติบโตได้มากกว่า 


(ทางที่เสี่ยงอย่างเหมะสม ให้ทางเดินชีวิตที่คุ้มค่า)


2. ‘สิ่งที่เราเรียนรู้จะเปลี่ยนไปเมื่อเราโตขึ้นเสมอ’ …ความรู้ที่มี ทำให้เราได้ผลลัพธ์ที่เรามีในวันนี้ …สิ่งที่จะทำให้เราสำเร็จและเติบโตในวันพรุ่งนี้คือ ความรู้ที่แตกต่างจากวันนี้ 


(สิ่งที่เคยเข้าใจในอดีต มันแทบจะตรงข้ามเมื่อเราโตขึ้น)


3. ‘ผู้ใหญ่กับเด็ก ต่างกันตรงความรับผิดชอบ’ …ผู้ใหญ่คือคนที่รับผิดชอบตัวเอง และ รับผิดชอบคนที่เรารักให้ดีที่สุด


(เด็กไม่อยากผิด ไม่อยากรับผิด แต่การเป็นผู้ใหญ่คือการรับผิดชอบ)


4. ’ไม่มีชัยชนะ และ ความพ่ายแพ้ที่ถาวร’ …แพ้ชนะเป็นแค่วัฏจักรที่วนเวียนให้เราเรียนรู้ และเตือนสติเราเสมอ


(เวลาขาขึ้น ต้องเตรียมขาลง ..เวลาขาลง ต้องมองหาขาขึ้นครั้งต่อไป)


5. ‘โจทย์ชีวิตแต่ละคน แต่ละช่วงอายุ ไม่เหมือนกัน อย่าตัดสินคนอื่นแค่มุมของเรา’ …เข้าใจโจทย์ชีวิตในแต่ละช่วงเวลา สำคัญมากกว่าก้มหน้าก้มตาต่อสู้ 


(สิ่งที่สำคัญกว่าขยัน คือ เข้าใจโจทย์ชีวิตในแต่ละช่วงเวลา)


6. ‘ทุกความสำเร็จต้องการเวลา’ …การเร่งความสำเร็จไม่ได้ช่วยให้สำเร็จเร็วขึ้น มันแค่ทำให้เราเหนื่อยมากขึ้น


(ธรรมชาติไม่มีต้นไม้ใหญ่ ที่โตแบบถั่วงอก)


7. ‘เมื่ออายุมากขึ้นต้องทำงานให้น้อยลง แต่ต้องออกแบบให้รายได้ไม่ลดลง’ …การทำเรื่องนี้ให้ได้ ต้องศึกษาและเข้าใจการเป็นนักลงทุน


(เมื่อแรงเราลดลง ต้องออกแบบให้สินทรัพย์หาเงินแทนเรา)


8. ‘ให้รางวัลตัวเองและคนรอบข้างอย่างสมเหตุสมผล’ …ผมเคยคิดว่า ถ้าวันนึงรวยและสำเร็จ จะทำนั่น ซื้อนี่ ให้พ่อแม่ ตอบแทนนั่นนี่ …แต่เอาดีๆ ผมว่า ทำเลย ค่อยๆ ทำ มากน้อยไม่สำคัญ แต่มันคือส่วนนึงของการเดินทางที่มีพลัง


(รางวัลชีวิตแบบสมเหตุสมผล จะส่งให้เรามีแรง มีพลังทำงาน)


9. ‘เราหนีความแก่ไม่ได้ แต่ให้แก่แบบมีคุณภาพ’ …สุขภาพกายดี สุขภาพจิตดี …กายดี คือ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ …จิตดี คือ ปล่อยวาง และอภัยได้เก่ง …ทั้งสองอย่าง ต้องฝึกฝน อดทน และมีวินัย


(ยิ่งแก่ยิ่งต้องเท่ห์ ..นอกจากร่างกายดี ต้องปล่อยวางให้เก่ง)


10. ‘วิกฤตของคนนึง เป็นโอกาสของอีกคนนึงเสมอ’ ..ถ้าเรากำลังเจอวิกฤตให้รู้เลยว่า เราจะเจอโอกาสในเวลาเดียวกัน แค่เราเปลี่ยนวิธีมองและใช้ความกล้าหาญ 


(แค่เปลี่ยนมุมมอง ก็เห็นโอกาสแล้ว)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2566

6 ข้อ ควรรู้ วิธีตีราคา แบบนักลงทุน

 6 ข้อ ควรรู้ วิธีตีราคา แบบนักลงทุน


1. ‘ซื้อของมือสอง ไม่ซื้อของมือหนึ่ง’ …ราคามือหนึ่งคือราคาที่ผู้ผลิตจะตั้งเท่าไหร่ก็ได้ แต่ราคาที่แท้จริงคือ ราคาที่ขายได้ในตลาดมือสอง


2. ‘ศึกษาสินค้าให้ลึกซึ้ง’ …สินค้ามีทั้งเป็นสินทรัพย์และก็เป็นขยะ …ต้องแยกให้ออกว่าของที่เราซื้อมันเป็นอะไร 


3. ‘ศึกษา Demand/Supply ของสินค้านั้นๆ’ …ของมีจำนวนเท่าไหร่ เทียบกับ จำนวนคนที่ต้องการซื้อ 


4. ‘ต้องมีพ่อค้ามือสองเป็นเพื่อน’ …พ่อค้าของมือสองก็คือมืออาชีพในสินค้านั้นๆ รู้จักสินค้านั้นๆ รู้จักตลาดเป็นอย่างดี 


5. ‘อย่าลืมคำนวณค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสินค้า’ …ถ้าลืมคำนวณ บางทีมันมีค่าใช้จ่ายสูง จนแทบไม่คุ้มที่จะซื้อตั้งแต่แรก


6. ‘เราต้องชอบ ไม่งั้นไปซื้ออย่างอื่นเถิด’ …ถ้าจะซื้อลงทุน แปลว่า เราต้องอยู่กับมัน …เอาตรงๆ ถ้าเราไม่ได้ชอบ ไม่ได้ Passion ไปซื้ออย่างอื่นดีกว่า


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 ข้อควรรู้ ซื้อหุ้นแบบไหนไม่ต้อง Stop Loss

 5 ข้อควรรู้ ซื้อหุ้นแบบไหนไม่ต้อง Stop Loss


1. ซื้อหุ้นปันผลเวลาเกิดวิกฤต …เวลาเกิดวิกฤต หุ้นปันผลจะยิ่งให้ Yield สูงขึ้น เพราะ ราคามันลง …นั้นแหละ จุดซื้อหุ้นปันผล


2. ซื้อหุ้นราคาซาก …อันนี้ต้องประเมินมูลค่า ว่าการซื้อจุดนี้ ถูกเหมือนได้เปล่า


3. ซื้อหุ้นเป็นพอร์ตแบบกระจายเท่าๆ กัน …เช่น ซื้อหุ้นถูก 5 ตัวขึ้นไป ในจำนวนเงินพอๆ กัน (แต่ไม่ควรซื้อพร้อมกัน …ค่อยๆ ซื้อเวลาที่แต่ละตัวอยู่ต้นรอบ)


4. ซื้อหุ้นแบบ DCA …อันนี้คือซื้อเท่าๆ กันทุกเดือนแบบออมเงิน …ไม่ต้อง Stop Loss แถมควรซื้อเพิ่มเวลาเกิดวิกฤต เพื่อเพิ่มจำนวนหุ้น เร่งพอร์ต


5. ซื้อหุ้นต้นรอบ …อันนี้ก็คือดูรอบให้เป็น แล้วซื้อต้นรอบ (ข่าวร้าย ราคาถูก งบไม่สวย)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2566

10 เรื่องเศรษฐกิจ ที่จะส่งผลต่อตลาดหุ้นอย่างรุนแรง

 10 เรื่องเศรษฐกิจ ที่จะส่งผลต่อตลาดหุ้นอย่างรุนแรง


1. ‘ดอกเบี้ยขาขึ้นของอเมริกา’ …FED ขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสู้เงินเฟ้อ …จะส่งผลให้ เงินไหลไปอเมริกา และ ค่าเงินของประเทศอื่นๆ ลดลง


2. ‘วิกฤตในสินทรัพย์สลับกันไป’ …การลดสภาพคล่อง ทำให้จะเกิดวิกฤตในสินทรัพย์ต่างๆ วนๆ กันไป …แปลว่า ถ้าสินทรัพย์อะไรขึ้น ก็ควรขายล็อคเงินสดออกมาบ้าง 


3. ‘เงินสดสำคัญ เพื่อรอซื้อสินทรัพย์ราคาถูก’ …การบริหารสภาพคล่องสำคัญที่สุดในวิกฤตครั้งนี้ (ถ้าไม่มีเงินสดเวลาเกิดวิกฤต ก็เท่ากับเราเสียโอกาสที่จะได้ซื้อสินทรัพย์ในราคาถูก)


4. ‘หลีกเลี่ยงธุรกิจที่ไม่ทำเงิน’ …นี่ไม่ใช่ยุคทองของ Startup ที่ Burn Cash เพราะ เงินทุนไม่ใช่ของถูกและของฟรีเหมือนก่อนหน้านี้


5. ‘ค่าครองชีพพื้นฐานจะแพงขึ้นเรื่อยๆ’ …อาหารแพง , พลังงานแพง , ยารักษาโรคแพง …ของจำเป็น จะแพงขึ้นเรื่อยๆ 


6. ‘P/E รวมของตลาดจะลดลง ต้อง Select Play’ …ตลาดหุ้นจะไม่ง่าย แบบแต่ก่อน ที่มาพร้อมกัน ไปพร้อมกัน แต่จะต้องเลือกให้ถูกตัว


7. ‘ธุรกิจที่หนี้เยอะ และ Capital Intensive จะเหนื่อย’ …หมดยุคลงทุนหนัก สร้างหนี้เยอะ เพราะ ต้นทุนการเงินแพง …ธุรกิจที่ดีคือ ธุรกิจตัวเบา หนี้น้อย และ ขยายได้โดยไม่ต้องลงทุนหนัก


8. ‘ธุรกิจที่จับตลาดคนรวย เป็นจุดปลอดภัย’ …คนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตนี้น้อยสุดคือ คนรวย …พวกนี้ใช้เงินหนัก กับ สุขภาพ , ความงาม และ ของเล่น


9. ‘ประเทศ Emerging Market ต้องระวังวิกฤตค่าเงิน’ …คล้ายๆ ที่ประเทศไทยเคยเจอตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง …ประเทศที่จะรอด คือประเทศที่มีหนี้ต่างประเทศไม่สูง และ คนมีเงินเก็บ


10. ‘เมื่อวิกฤตผ่านไป จะพบว่า สินทรัพย์จะราคาเพิ่มขึ้นไปอีก’ …เหมือนทุกวิกฤตที่ผ่านมา …ท่ามกลางวิกฤตราคาสินทรัพย์จะผันผวนขึ้นๆ ลงๆ แต่สุดท้าย ราคาสินทรัพย์ก็จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2566

6 คำทำนาย ตลาดหุ้นไทย ที่ผมรวบรวมมาจากเหล่าเซียนหุ้น

 6 คำทำนาย ตลาดหุ้นไทย ที่ผมรวบรวมมาจากเหล่าเซียนหุ้น


1. ‘หุ้นที่ดีในช่วงดอกเบี้ยขาลง จะไม่ดีในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น’ …ใช่!! เมื่อโลกเปลี่ยนเทรนด์จากดอกเบี้ยขาลง เป็นขาขึ้น …หุ้นดี ก็จะเปลี่ยนกลุ่มอย่างสิ้นเชิง


 …แปลว่า หุ้นที่เราดอย อาจจะกลับมา แต่มันก็จะไม่ใช่หุ้นดีในรอบนี้อยู่ดี


2. ‘สินค้าทางการเงินที่ปลอดภัย จะกลายเป็นจุดเสี่ยงและไม่คุ้มที่จะลงทุน’ …อะไรที่การันตีผลตอบแทน กำลังเป็นสิ่งที่เสี่ยง เพราะ เขากำลังสัญญาในสิ่งที่ทำได้ยาก และขัดกับสถานการณ์ปัจจุบัน 


3. ‘หุ้นที่ใหญ่และสภาพคล่องสูง เป็นหุ้นที่โตได้ยากในยุคนี้’ …ในช่วงเวลาที่เงินหายากขึ้นเรื่อยๆ จุดที่มีสภาพคล่องสูง ย่อมเสี่ยงที่จะมีการเทขาย และ เงินไหลออกง่ายที่สุด 


4. ‘อะไรที่ดูดีเกินไป แปลว่า นั่นคือ จุดขาย ไม่ใช่จุดซื้อ’ …เราทุกคนต่างเคยซื้อหุ้นในจุดที่ดอยที่สุด ก็เพราะเราไปซื้อในจุดที่มันดูดีเกินไป


5. ‘การทยอยซื้อ ทยอยขาย ดีกว่าการซื้อไม้เดียว’ …เราแทบไม่เคยซื้อในจุดต่ำสุด และก็แทบไม่เคยขายในจุดสูงสุด …ดังนั้น การทยอยซื้อและทยอยขาย จะทำให้จังหวะเราดีมากขึ้น


6. ‘ถ้าวิกฤตครั้งนี้ผ่านไปโดยที่เราไม่ได้ซื้อหุ้นเลย มันคือการเสียโอกาสครั้งใหญ่อีกครั้งของเรา’ …ทุกครั้งที่ผ่านวิกฤต เรามักจะเสียดายที่เราไม่ได้ซื้อหุ้น 


…และแทบทุกครั้ง วิกฤตก็ผ่านไป โดยที่เราก็ไม่ได้ซื้อหุ้นสักที


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2566

5 สัญญาณอันตราย ที่เตือนว่าควรล้างพอร์ต หรือขายหุ้น

 5 สัญญาณอันตราย ที่เตือนว่าควรล้างพอร์ต หรือขายหุ้น


ความยากของตลาดหุ้น ก็คือ จังหวะนี่แหละ …มือใหม่ มักทำตรงข้ามตลอด 


1. ‘ช่วงที่ SET อยู่ในขาขึ้น’ …พูดง่ายๆ ตลาด Bullish และการซื้อขายคึกคักมากๆ นั่นเอง


2. ‘ช่วงที่หุ้นเรา กำไรดีกว่าปกติมากๆ’ …เพราะหลังจากกำไรดีมากๆ ต้องระวังช่วงหลังจากนั้น ที่ขาลงอาจจะตามมา


3. ‘ช่วงที่หุ้นเรามี Volume การซื้อขายสูงกว่าปกติมากๆ’ ….ทุกครั้งที่มี Volume มากๆ มันบ่งบอกถึงการเปลี่ยนมือ ของรายใหญ่ ซึ่งเราต้องระวัง


4. ‘ช่วงที่หุ้นอยู่ในจุดที่แพง และมีการลงแรง พร้อม Volume หนักๆ’ …จุดนี้คือ จุดที่รายย่อยหลงเข้าไปมากสุด …เพราะเห็นว่าหุ้นลงแรง นึกว่า ได้ซื้อราคาถูก ที่ไหนได้ หุ้นลงต่อ แล้วกลายเป็นขาลงยาว


5. ‘ช่วงที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ ทำ Big Lot ทยอยขาย’ …เจ้าของจะรู้จัก Cycle ของธุรกิจตัวเองมากที่สุด …เขามักจะขายในช่วง Peak Cycle ของธุรกิจ …โดยมักจะขาย Big Lot 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2566

5 วิธีปฏิบัติ กู้พอร์ตกลับมาเวลาตลาดพัง

 5 วิธีปฏิบัติ กู้พอร์ตกลับมาเวลาตลาดพัง 


‘ตลาดพัง’ คือ เละทุกคนแหละ …ประเด็นคือ ใครจะกลับมาได้ นั่นแหละ สำคัญกว่า 


1. ‘เตรียมเงินสด รอวันที่ตลาดพัง’ …ใช่!! เวลาตลาดพัง หุ้นมันถูกทุกตัว …แต่เราต้องมีเงินสดมาซื้อ …อย่างน้อยก็สัก 10% ของพอร์ตเรา


2. ‘รู้ได้ไงว่า นี่คือจุดซื้อ’ …ตลาดลงแรงต่อเนื่อง + Volume เริ่มเบาบาง แต่ตลาดยังลงต่อ + หุ้นรายตัวเละเทะ + ไม่มีข่าวดีเลย 


3. ‘ซื้อหุ้นอะไรดี’ …คิดง่ายๆ ต้องซื้อหุ้นที่กลับมาก่อน นั่นคือ หุ้นใหญ่พื้นฐานแน่น ปันผลดี …พวกนี้ เด้งก่อน …ดังนั้นซื้อก่อน 


4. ‘ทำการบ้าน หาหุ้นเติบโต เพื่อให้พอร์ตโตก้าวกระโดด’ …หลังจากหุ้นข้อ 3 เด้ง หลังตลาดพัง เราก็ขายทำกำไรได้เลย แล้วโยกเงินเปลี่ยนมาเล่นหุ้นเติบโต ขนาดเล็ก เพราะ มันจะวิ่งไกลกว่า


5. ‘ทนให้ได้ 3 ปี’ …ทนในที่นี้คือ ‘ทนรวย’ เพราะ หลังจากตลาดพัง …ก็จะเป็นการฟื้นตัว ขาขึ้นต่อเนื่อง


ก็ประมาณนี้


ทุกวิกฤตมีโอกาส …ทุกครั้งที่คนกลัว มีคนกล้า และนั่นแหละ ‘คนรวย’


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2566

10 เหตุผล ทำไมคนถึงอยากเอาหุ้นเข้าตลาด IPO

 10 เหตุผล ทำไมเจ้าของธุรกิจถึงอยากเอาบริษัทเข้าตลาดหุ้น IPO


1. ‘ราคาหุ้นมีราคา’ ..หุ้นของบริษัทที่ไม่ได้เข้าตลาดมักไม่ได้มีราคา ...เจ้าของก็ถือไว้เฉยๆ ...แต่พอบริษัทเข้าตลาด หุ้นกลายเป็นมีค่ามีราคาทันที ..เขาเลยเรียกการเข้าตลาดหุ้นคือ การปลดล็อคมูลค่ากิจการ (จากที่ไม่เคยจับต้องได้ ให้กลายเป็นเงิน)


2. ‘รวย’ เพราะ ตลาดหุ้นมี Multiple คือ มีตัวคูณความมั่งคั่งให้เจ้าของ หรือ ที่คนในตลาดหุ้นเรียกกันว่า P/E นั่นแหละ ...อย่างเช่น ถ้าธุรกิจมีกำไร 30 ล้านบาท ถ้ามี P/E ที่ 30 เท่า ก็แปลว่า มูลค่ากิจการในตลาดหุ้น คือ 900 ล้านบาท (หรือ อีกนัยนึง ถ้าธุรกิจนี้อยู่นอกตลาด เจ้าของก็ต้องทำธุรกิจอีก 30 ปี กว่าจะได้เงิน 900 ล้าน เพราะได้กำไรปีละ 30 ล้าน ..แต่นี่ได้ทันที)


3. ‘ไม่เสียภาษี’ ..อะไรก็ตามที่ซื้อขายมีกำไรนั้นย่อมเสียภาษี แต่ถ้าหุ้นอยู่ในตลาดหุ้น ซื้อขายกำไร ไม่ต้องเสียภาษี ...เรียกว่า รวยโดยถูกต้องตามกฎหมาย ...นั่นแหละ ที่คุณเห็นเจ้าของขายหุ้นกันร้อยล้าน พันล้าน ...ไม่เสียภาษีครับ


4. ‘หุ้นเปลี่ยนเป็นหลักประกันได้’ ...เดิมทีหุ้นเราก็คือกระดาษใบนึง แต่พอเข้าตลาด สามารถใช้เป็นหลักประกันกับสถาบันการเงินได้ เพราะ หุ้นมีราคาและซื้อขายได้คล้ายๆ ที่ดินนั่นเอง


5. ‘เติบโตเร็ว’ ...การทำธุรกิจปกติคือ รวยด้วยเงินเรา หรือ อย่างมากก็กู้ธนาคาร ซึ่งไม่ง่าย แถมต้องมีทรัพย์สินค้ำประกัน ...แต่เงินจากตลาดหุ้น ก็เราเอาคนอื่นมาร่วมเป็นเจ้าของ แปลว่า ได้เงินจากเขามาเติบโต ...เราถึงเห็นหลายๆ ธุรกิจที่เข้าตลาดแล้วโตเร็วมาก ก็เพราะ ได้เงินคนอื่นมาขยายนั่นเอง


6. ‘ไม่ได้เสียความเป็นเจ้าของ’ ...หลายคนกลัวว่า พอเข้าตลาดแล้วธุรกิจจะตกเป็นของคนอื่น ...จริงๆ ถ้าคุณยังถือหุ้นเกิน 50% คุณก็ยังควบคุมและบริหารธุรกิจได้ตามปกติ ...แค่คุณไม่ขายหุ้นในส่วนนั้นก็พอแล้ว 


7. ‘สภาพคล่อง’ ...หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงที่สุด เพราะ ซื้อขายได้ตลอด ...ทำให้คนรวยในโลก เลือกหุ้นเป็นที่เก็บความมั่งคั่งของเขามากที่สุด


8. ‘แบ่งมรดกง่าย’ ...พวกสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ที่ดินแบ่งให้ลูกยาก อาจไม่แฟร์ แต่หุ้นแบ่งง่าย ชัดเจน ลดปัญหาครอบครัว


9. ‘เปลี่ยนบริษัทกลายเป็นระบบ’ ...หลายคนรวยอยู่แล้ว แต่เอาหุ้นเข้าตลาดเพื่อจะจัดการให้ธุรกิจเป็นระบบ ควบคุมง่าย และ สามารถจ้างผู้บริหารมืออาชีพ ...ก็คือ เจ้าของอยากสบายขึ้น และ ควบคุมการรั่วไหลของธุรกิจนั่นเอง


10. ‘กิจการมีอายุยืนยาว’ ...ธุรกิจทุกวันนี้ ขึ้นเร็ว ลงแรง การเอาธุรกิจเข้าตลาด สร้างระบบ แล้วจ้างมืออาชีพ เป็นการทำให้ธุรกิจมีความยั่งยืนมากขึ้นนั่นเอง


นี่เป็นข้อดีคร่าวๆ ในการเอาบริษัทเข้าตลาด 


ส่วนข้อเสีย คือ ‘มันไม่ง่าย’ ...ก็แน่นอน อะไรที่ดี มันต้องลงทุน ต้องลำบาก ...หลักๆ คือ ต้องทำบัญชีเล่มเดียว ยอมจ่ายภาษีเต็มๆ กับ ค่าใช้จ่ายในการทำบัญชี การวางระบบ ให้บริษัทเป็นไปตามกฏของ กลต.และ ตลาด ซึ่งใช้เวลาเตรียมตัวอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

7 ทักษะ ที่ทำให้เด็กรุ่นใหม่ รุ่งไกลทันโลก

 7 สิ่งที่ต้องสอนให้เด็กรุ่นใหม่ ให้รุ่งทันโลก


ใครๆ ก็พูดกันว่า AI จะมาแทนแรงงานจำนวนมาก ..แต่สิ่งที่ทำให้เราไม่โดนทดแทน แถมมีโอกาสรุ่งพุ่งแรงในอนาคต โดยงานวิจัยของ Dr. Tony Wagner, co-director of Harvard's Change Leadership Group พบว่า เด็กรุ่นใหม่ต้องเก่งใน 7 เรื่องนี้ 


1. Critical thinking and problem-solving ..คือ คิดเป็น และ แก้ปัญหาได้ ...จากเดิมที่เราสอน ท่องจำ แล้วทำตาม ต้องสอนให้ นักเรียน ฝึกตั้งคำถาม ออกข้อสอบเอง และ แก้ปัญหาจริง 


2. Collaboration across networks and leading by influence ...อันนี้คือ การสอนให้เด็กมีทักษะของการทำงานร่วมกัน ...มันคือ การขยายการเรียนรู้ในเรื่องกิจกรรมนอกห้องเรียน เพราะ กิจกรรมจะสอนการทำงานร่วมกัน และ ฝึกทักษะของการเป็นผู้นำ ...จากเดิม พ่อแม่จะคิดว่า ให้ลูกตั้งใจเรียนอย่างเดียว ซึ่งยุคนี้ กิจกรรมนอกห้องเรียน สำคัญต่อการไปทำงานให้รุ่งมากกว่า


3. Agility and adaptability ...อันนี้คือ การสามารถรับมือกับข้อผิดพลาด เรียนรู้แล้วเดินต่อ ...พ่อแม่ยุคก่อนจะเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่ให้โอกาสให้ลูกกล้าทำอะไร เพราะถ้าไม่เชื่อฟัง แล้วพลาดก็จะถูกลงโทษซ้ำเข้าไปอีก ...ทำให้เด็กไทยกลัว ไม่กล้าทำอะไรใหม่ๆ ไม่กล้าลองผิดลองถูก ...ซึ่งการกล้าลองผิดลองถูก ไม่กลัวล้ม แล้วเรียนรู้จากประสบการณ์กลายเป็นสิ่งสำคัญที่สร้างให้เป็นคนเก่งที่โลกยุคใหม่ต้องการ


4. Initiative and entrepreneurialism ...คิดแบบผู้ประกอบการ สำคัญมากในยุคนี้ เพราะ บริษัทหรือนายจ้าง ยังเอาตัวเองไม่รอด ...แต่ปัญหาคือ เรายังติดระบบการศึกษาที่สร้างลูกจ้าง ไม่ได้สร้างนายจ้าง


ลูกจ้าง คือ เด็กที่ทำข้อสอบเก่ง แล้วไม่มีผิดพลาด แล้วก็ต้องทำคนเดียว ต้อง One Man Show


แต่ผู้ประกอบการ ต้อง ตั้งโจทย์เอง ข้อสอบคือชีวิตจริง ..ลอกข้อสอบคนอื่นก็ได้ ร่วมมือกับคู่แข่งก็ได้ เขาเรียก Team Work 


ถ้าโรงเรียนจะสอน ผู้ประกอบการ ต้องเปลี่ยนอาจารย์เป็นแค่โค๊ช ...ไม่สอน แต่คอยประคอง ...นักเรียน เหมือน นักฟุตบอล ...ที่ต้องชนะใจแฟนบอล และ ทำประตูให้ได้ด้วย


พูดง่ายๆ เราควรสอนเด็กให้ฝึกเป็น Star ไม่ใช่สอนเด็กให้เป็น Product เป็นแค่สินค้าเหมือนในปัจจุบัน


 5. Effective oral and written communication ...ต้องสอน พูด และ เขียน ให้เก่ง ...ทักษะนี้คือ ‘การสื่อสาร’ นั่นเอง ...จะมีประโยชน์อะไรถ้าคุณคิดเก่ง แต่สื่อสารไม่เป็น


เด็กต้องจับขึ้นเวที ผลัดกันพูด เป็นวิชาบังคับ ...เรื่องการพูด ไม่มีพรสวรรค์หรอก อันนี้ผมรู้ดี เพราะ เจอกับตัวเอง ...สมัยเด็กผมกลัวเวที ไม่กล้าพูด ...แต่วันนี้มีอาชีพเป็นนักพูด ...ไม่ได้มาจากพรสวรรค์เลย มันมาจากงานผม มันบังคับให้พูด ค่อยๆ ฝึก จากเวทีเล็ก จนใหญ่ขึ้นไป 


เรื่องนี้ ถ้าผมทำได้ บอกตรงๆ มันคือทักษะที่ฝึก ฝึก และ ฝึก ...ใครก็ทำได้ ฝึก ฝึก !!


6. Accessing and analysing information ...ทักษะการเลือกข้อมูลที่จำเป็น ...สมัยก่อน คนเก่งคือ อ่านเยอะ มีข้อมูล แต่ยุคนี้ ทุกคนมีข้อมูลมากเกินไป ...ข้อมูลมันอยู่บนอินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว 


เด็กยุคนี้ต้องฝึกเป็น Curator คือ ความสามารถในการเลือกข้อมูลที่จำเป็น 


You are what you eat เช่นกัน ข้อมูล ถ้าเสพแต่สิ่งเน่า เราก็เน่า ...เลือกเสพข้อมูล ...โลกวันนี้น้ำเน่ามาก เพราะ ทักษะการเลือกเสพข้อมูลเรายังไม่เก่ง ตรงนี้แหละ ที่ต้องพัฒนาคนรุ่นใหม่


7. Curiosity and imagination ...พัฒนาความอยากรู้ และ กล้าฝัน ...อันนี้ตรงข้ามกับเด็กไทยเป็นที่สุด ...เด็กเราไม่กล้าถาม เพราะ สังคมเราบีบว่า ถ้าใครยกมือถาม มันดูเสร่อ ..ถ้าถามอาจดูโง่ ...เลยโง่จริงๆ เพราะ ไม่ได้ถาม


‘อย่าเพ้อฝัน’ ไปทำการบ้าน ....อันนี้ทำให้เด็กเรา เป็นลูกจ้างที่เก่ง แต่ไม่เป็นนายจ้างที่ดี ...อย่าว่าแต่ไปถึงขั้นนายจ้างเลย ขั้นแรก พัฒนาจากแนวคิดลูกจ้าง ให้มาเป็นแนวคิดนายตัวเอง ก็ยังยากเพราะ ทักษะการตั้งโจทย์ ความอยากรู้ และ การกล้าฝัน นี่แหละ ที่ต้องฝึกฝน


ก็ลองไปปรับใช้กับลูก กับ เยาวชน ของเราดูกันครับ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

8 ข้อ สอนลูกให้เป็นนักลงทุน ให้พาเขาไปซื้อของมือสอง

 สอนลูกให้เป็นนักลงทุน ให้พาเขาไปซื้อของมือสอง !!


'ใช้เงินให้รวยขึ้น ต้องซื้อของมือสองให้เป็น' ..พ่อผมสอนว่า ถ้าอยากจะเป็นคนรวยต้องรู้จักวิธีจ่ายเงินให้รวยขึ้น


คนซื้อ ส่วนใหญ่ยิ่งใช้เงินก็ยิ่งจน เพราะซื้อของก็ขาดทุน เก็บสะสมของนั้นก็มูลค่าลดลงจนกลายเป็นขยะ


สิ่งที่ผมเรียนรู้จากพ่อคือ 'วิถีของนักสะสม'  ดังนี้


1. 'ถ้าอยากรู้ว่าของสะสมอันไหนเป็น สินทรัพย์ (Asset) หรือเป็นขยะ (Junk) ให้ซื้อของมือสอง' เพราะเราจะรู้ก็ต่อเมื่อ สิ่งนั้นขายต่อแล้วยังมีราคา


2. 'คนซื้อของมือสองเป็น จะได้ส่วนลดอย่างมาก'


3. 'คนซื้อของมือสอง ต้องมีความรู้ในสิ่งที่จะซื้อมากกว่า' ..เหมือนบังคับให้เราต้องศึกษา ให้มีความรู้ ในสิ่งที่เราจะซื้อ


4. 'ซื้อของมือสอง ได้ฝึกทักษะการต่อรอง' นี่คือทักษะที่สร้างเศรษฐี


5. 'ซื้อของมือสอง ได้เรียนรู้จากพ่อค้า' ..บางครั้งการโดนหลอก ก็เป็นส่วนนึงของการเรียนรู้ ..สุดท้ายเราก็จะเชี่ยวชาญในสิ่งที่เราเก็บสะสม 


6. 'เมื่อเราเชี่ยวชาญ เราจะเริ่มกำไรตั้งแต่วันแรกที่จ่ายเงิน' ..พ่อผมใช้เวลากว่า 20 ปี ในการเข้าใจการซื้อของเก่า ..พ่อเล่าว่าของเหล่านี้เราต้องกำไรตั้งแต่วันแรกที่ซื้อ 


7. 'พ่อค้าคือคนที่นำกำไรมาให้เรา' ..คนส่วนใหญ่มักมองว่า พ่อค้าของมือสอง จะพยายามที่จะหลอกเรา ..จริงๆ ถ้าเราเป็นผู้เชี่ยวชาญในสิ่งที่เราสะสม - พ่อค้าต่างหากที่เสาะแสวงหาของดีมานำเสนอให้เรา


8. 'ความรู้เพิ่มคือกำไรที่เพิ่มขึ้น' ..คุณค่าของนักสะสมอยู่ที่ความรู้ ยิ่งเราหาความรู้ในสิ่งที่สะสมมากเท่าไหร่ เรายิ่งได้กำไรเป็นผลตอบแทน


9. 'สะสมสิ่งที่รัก' ..มันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยหากเราเป็นนักสะสมเพื่อหวังแค่กำไร ..มันจะดีกว่า ถ้าเราได้ซื้อ ได้ใช้ในสิ่งที่เรารัก แถมได้กำไรจากมันเป็นผลพลอยได้ 


10. 'ของสะสมคือมรดก' ..พ่อบอกว่า สิ่งที่พ่อสะสม สุดท้ายมันคือของเอ็ง ..พ่อไม่ได้มีที่ดินหรือมรดกแบบของคนอื่น แต่พ่อจ่ายและสะสมในสิ่งที่พ่อรัก ...ของเหล่านี้เป็นสินทรัพย์ที่ยิ่งมีราคาเพิ่มขึ้น และคุณค่าเพิ่มเมื่อเวลาผ่านไป


...ใช่!! พ่อบอกว่า 'มรดกที่กูจะให้คือ ความรู้ ..ส่วนของสะสมเหล่านี้ถ้าอยากขายก็เปลี่ยนเป็นเงินได้ทุกเมื่อ ก็แล้วแต่เอ็ง'


'พ่อผม โคตรแนว ..ให้ทั้งวิธีคิด วิธีดำเนินชีวิต ที่ไม่ตามใคร!!'


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

8 เรื่องที่ต้องตีลังกาคิด เพื่อเข้าใจชีวิตมากขึ้น

 “8 เรื่อง ที่ต้องตีลังกาคิด เพื่อเข้าใจชีวิตได้ดีขึ้น”


คิดเหมือนเดิม ชีวิตก็เหมือนเดิม ..ตีลังกาคิด ชีวิตอาจเปลี่ยนแปลง !! ...”เราสามารถให้โอกาสชีวิต ด้วยการตีลังกาคิด เปลี่ยนชีวิตด้วยตัวเรา”


1. ‘คำว่า ผู้ผลิต กับ ผู้บริโภค มันไม่มีเส้นแบ่งแล้ว’ ...คนเสพเพลง เสพคอนเทนต์ วันนี้สามารถลุกขึ้นมาสร้างเพลง สร้างวีดีโอ สร้างคอนเทนต์ ได้ทันที - จากคนเสียเงิน เปลี่ยนเป็นคนสร้างเงินได้ทันที


...


2. ‘คำว่า ลูกจ้าง กับ นายจ้าง มันก็แทบไม่เหลือเส้นแบ่ง’ ...เดิมทีนายจ้างคือ คนที่ใช้สมองเยอะ ออกแรงน้อย ..ส่วนลูกจ้าง คือ คนที่ใช้สมองน้อย ออกแรงเยอะ ...แต่วันนี้ลูกจ้างที่หนึ่ง ก็สามารถเป็นนายจ้างอีกที่หนึ่ง ...ออนไลน์เปิดกว้างให้คนธรรมดาเป็นเจ้าของธุรกิจตัวเองได้ ถ้ามีความสามารถ


...


3. ‘คำว่า เกษียณ หมดอายุไปแล้ว’ ...ยุคผมจะฮิต เรื่องเกษียณเร็ว แต่พอผมได้คุยกับคนรุ่นใหม่ยุคนี้ เขาสวนกลับมาว่า


 ‘แทนที่จะทนทำงานที่ตัวเองไม่ชอบ แล้วรีบๆ เกษียณ ...ทำไมไม่สร้างงานที่เราชอบจริงๆ แล้ว ทำมันด้วยความรักและความสนุกชั่วชีวิต’ 


....แม่งโคตรโดน!! (จริง!! คนจน คนไม่สำเร็จ มองงานเป็นความทรมาน ความทุกข์ ...คนรวย คนสำเร็จ เขาสร้างงานที่สนุก แล้วทำตลอดไป)


...


4. ‘คำว่า คนรวย กับ คนจน ไม่ได้วัดจากเงิน’ ..ยุคนี้เงินไม่ได้หายาก เพราะคนที่หาเป็นจะหาได้แทบไร้ขีดจำกัด ..แปลว่า เงินไม่ได้จำกัด ...สิ่งที่ทุกคนมีจำกัดคือ เวลาต่างหาก ...ดังนั้น รวยหรือจน ในยุคนี้ วัดกันที่ ‘ความสามารถในการเลือกใช้เวลาในสิ่งที่ชอบ’ 


(คนจน ต้องใช้เวลาชีวิตทำสิ่งที่ไม่ได้ชอบ อันนี้เรียกว่า จน ...คนรวย เลือกใช้เวลาชีวิตทำสิ่งที่ชอบ ..ไม่ได้เกี่ยวเลยว่า มีเงินล้นฟ้า แต่วัดกันที่ความฉลาดในการเลือกใช้เวลาชีวิตที่มีอยู่จำกัด อย่างมีความสุข 


- คนที่ฉลาดใช้เวลา จะมีของแถมในชีวิต คือ ได้สร้างผลงาน และ ตำนาน ที่ฝากเอาไว้เป็น แรงบันดาลใจ และ สร้างประโยชน์แก่คนรอบๆ ตัว)


...


5. ‘คำว่า เด็ก กับ ผู้ใหญ่ ไม่ได้ใช้อายุวัดอีกต่อไป’ ...สมัยก่อนคนอายุน้อยคือเด็ก อายุเยอะคือผู้ใหญ่ ...ซึ่งยุคนี้ คนเราไม่ได้เติบโตตามอายุที่มากขึ้น ...คนจำนวนมากในยุคนี้ที่อายุเยอะ แต่ความเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย


สิ่งที่ใช้วัดความเป็นผู้ใหญ่ คือ การยอมรับข้อผิดพลาด เรียนรู้ และเติบโตทางความคิด จากมัน ...ใช่!! ความกล้าหาญทางปัญญา คือ สิ่งที่ผู้ใหญ่ต่างจากเด็ก


...


6. ‘คำว่า ผู้นำ และ ผู้ตาม ไม่ได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นตัววัด’ ...อันนั้นเรียกว่า หัวโขน ...พอออกจากตำแหน่งเมื่อไหร่ ทุกคนเลิกให้ความสนใจ โดนเหยียบย่ำ นั่นแปลว่า สิ่งนั้นคือ หัวโขน 


แต่การเป็นผู้นำ คือ การแสดงความกล้าหาญ ในจุดที่ตัวเองอยู่ ...กล้าพูดความจริง ..กล้ายอมรับความจริง ...กล้าที่จะแก้ไขความคิดและความเชื่อที่ล้าสมัย 


จริงอยู่ โลกเรา ไม่มีอะไรที่ถูกหรือผิดอย่างแท้จริง ...มันขึ้นกับความเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา 


ดังนั้น ผู้นำ คือ คนที่กล้าเลือก กล้ายืนหยัด และ กล้ายืดหยุ่นที่จะเรียนรู้และเติบโต 


...


7. ‘คำว่า ผู้ให้ กับ ผู้รับ สามารถสลับกันได้ตลอดเวลา’ ...ไม่มียุคใดในโลก ที่คนเราจะสามารถเปลี่ยนเป็นผู้ให้ได้อย่างง่ายดายเท่าโลกยุคนี้ ...ผู้รับยุคนี้ สามารถลุกขึ้นมาเป็นผู้ให้ได้ทันที


ให้แรง ให้ความรู้ ให้ความคิด ให้โอกาส ให้กำลังใจ ให้ความสนุก 


เคล็ดลับของผู้ให้ ก็คือ คนที่จะก้าวไปเป็นผู้นำ ผู้ได้รับโอกาส ความสำเร็จ และ ได้รับความสุข


...


8. ‘คำว่า สำเร็จเร็ว หรือ ช้า ไม่ได้มีความหมายจริงๆ กับชีวิต’ ...ยุคนี้เราให้ความสำคัญกับความเร็ว ..สำเร็จเร็ว รวยเร็ว ทุกอย่างเร็ว โดยลืมคิดไปว่า ชีวิตเราจริงๆ เป็นวงกลม เป็นวัฏจักร ไม่ได้เป็นเส้นตรง


ไม่ว่าคนรวย คนจน คนมีชื่อเสียง คนไม่มีชื่อเสียง ก็ล้วนมี ปัญหา และ ความสุข ในแบบของตัวเอง


คนที่ไม่มีความสุขเลย คือ คนที่พยายามเอาวัฏจักรชีวิตของตัวเรา ไปเทียบกับคนอื่น เพราะ โอกาสและข้อจำกัด ในแต่ละช่วงชีวิต ของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน


ลองเปิดใจ แล้วทำความเข้าใจ วัฏจักรโอกาส และข้อจำกัด ชีวิตของตัวเราเอง จะพบว่า เราใช้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น เราสนุกและเราสำเร็จ ในแบบของเราเอง


ไม่มีคนเก่งที่สุด - ไม่มีคนรวยที่สุด - ไม่มีคนทุกข์ที่สุด - ไม่มีคนสุขที่สุด - คนที่อำนาจสูงสุด ก็คือ คนไร้อำนาจที่สุดในเวลาเดียวกัน ...หากเข้าใจ เราจะเลือกใช้ชีวิต ด้วยปัญญา ในจุดดีที่สุด ในจุดที่เราเลือกยืน !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 นิสัยพาจน อย่าหลงกลทำตาม

 6 นิสัยพาจน อย่าได้หลงกลทำตาม 


1. ‘ซื้อของชอบผ่อนจ่าย’ ..การผ่อนจ่าย จะสร้างนิสัยการซื้อของที่เกินฐานะตัวเอง ...คนรวยส่วนใหญ่จะซื้อเงินก้อน แล้วต่อรองเอาส่วนลด - จ่ายสดลดเท่าไหร่ ?


2. ‘นิสัยผลัดไปอีกวัน’ ..คำพูดที่ว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยทำ แปลว่า ยังไงก็ไม่ทำ ...เดี๋ยวพรุ่งนี้จะออกกำลังกาย แปลว่า ชาตินี้จะไม่ได้ออกกำลังกาย ...ถ้าจะทำ ต้องทำวันนี้เลย !!


3. ‘นิสัยชอบซื้อของเตรียมไว้ใช้ในอนาคต’ ...ขยะส่วนใหญ่ที่กองไว้ในบ้าน คือ สิ่งที่เราซื้อเตรียมไว้ใช้ในอนาคต แต่ไม่เคยได้ใช้ ...ถ้ายังไม่ได้ใช้วันนี้ อย่าซื้อมาเผื่อไว้ เพราะยังไงก็ไม่ได้ใช้ 


4. ‘นิสัยชอบทำงานง่าย’ ...กินอยู่แบบง่ายๆ เป็นเรื่องดี แต่ถ้าทำงานต้องเลือกทำตรงข้าม คือ ทำงานยากๆ ..เพราะงานยากเป็นงานที่ทั้งเงินดี และคู่แข่งน้อย ...อย่างน้อยคนที่เลือกทำงานยาก แม้จะยังไม่สำเร็จทันที แต่ก็จะได้เห็น ได้มีประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร 


5. ‘ชอบผูกความสุขกับการใช้เงิน’ ..นิสัยคนจนคือ ชอปปิงแก้เครียด ..เพราะ ความสุขอยู่ที่การจ่ายเงิน ...แต่นิสัยคนรวย คือ มีความสุขกับการหาเงิน ...คนส่วนใหญ่จะคุยกับเพื่อนว่า วันนี้จะซื้ออะไรดี ...แต่คนที่มีความสุขจากการหาเงิน จะคุยกับเพื่อนว่า เราจะทำธุรกิจอะไรดี - คนนึงคิดแต่จะใช้เงิน อีกคนติดแต่จะหาเงิน 


6. ‘นิสัยหมั่นไส้คนรวย’ ...คนจนจะรวมกลุ่มเพื่อเกลียดชัง และต่อต้านคนรวย ...แต่สิ่งที่ควรทำมากกว่าคือ ศึกษาแล้วค้นหาว่า เขาคิดอย่างไร เขาทำอย่างไร จะได้เอามาปรับใช้ ปรับปรุงตัวเรา


ลองสำรวจ 6 ข้อนี้ แล้วประเมินนิสัยเราเองว่า เราใกล้รวย เท่าใดแล้ว ?


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

10 เรื่อง ที่เศรษฐีสอนลูกเรื่องเงิน

 10 เรื่อง ที่เศรษฐีสอนลูกเรื่องเงิน


ถ้าอยากโดนต่อยหน้า ให้ออกไปต่อยหน้าคนอื่น ..ถ้าอยากได้ความรัก ให้ออกไปให้ความรักคนอื่น ...แล้วถ้าอยากได้เงินล่ะ ? ...ให้เราเอาเงินออกไปแจกคนอื่น ใช่หรือไม่ ?


ไม่ !! ถ้าอยากได้เงิน ให้เรา ‘รับใช้ และ แก้ปัญหา’ ให้คนอื่น 


- หากวันนี้เราได้เงินน้อย แปลว่า ความสามารถในการรับใช้ และ แก้ปัญหาให้คนอื่น ไม่ได้เรื่อง (ความสามารถเราน้อยเกินไป ..รู้น้อย เรียนน้อย ก็เพราะเรามีความพยายามน้อยนั่นแหละ)


- หากอยากได้เงินเยอะ ...ให้เริ่มที่พัฒนา ความสามารถในการรับใช้ และ แก้ปัญหา ให้ผู้คน


1. ‘ชีวิตอิสระในยุคนี้เริ่มจากมีเงิน’ ..คนที่ไม่มีเงินต้องยอมขายเวลาตัวเอง แลกกับเงินน้อยนิด ทำงานที่ตัวเองไม่อยากทำ ...การสร้างอิสรภาพในชีวิต ต้องเรียนรู้วิธีหาเงิน


2. ‘อย่ารอให้จบปริญญาแล้วเพิ่งเริ่มหาเงิน’ ...ทุกคนเริ่มหาเงินได้ทันที เพียงแค่ขายแรงงานและเวลาของตัวเอง แล้วตั้งใจทำงาน ..ขั้นแรกของการหาเงิน ให้เริ่มฝึกจากการขายแรงงาน !!


3. ‘การเพิ่มทักษะ จะทำให้เราขายแรงงานได้ราคาสูงขึ้น’ ...อยากได้เงินเดือนเพิ่ม ให้พัฒนาทักษะที่เรามีให้เหมาะสมกับเงินที่อยากได้ (ทักษะสูง = เงินเดือนสูง)


4. ‘ถ้าอยากรวย อย่าขายแรงงานแลกเงิน’ ...ให้สร้างสินทรัพย์เพื่อหาเงิน ...เมื่อเรารู้วิธีขายแรงงานแลกเงินแล้ว ให้เริ่มเรียนรู้การสร้างสินทรัพย์เพื่อหาเงินแทนเรา (คนรวยไม่ขายเวลาแลกเงิน แต่เขาจะสร้างสินทรัพย์เพื่อทำเงินแทน)


5. ‘อย่าเก็บเงินไว้เฉยๆ เพราะมูลค่ามันลดลงตามกาลเวลา’ ...ให้เปลี่ยนเงินเป็นสินทรัพย์ หรือ สิ่งอื่นมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป (สินทรัพย์ คือ สิ่งที่เราถือไว้แล้ว มูลค่ามีแต่เพิ่มขึ้น / ขยะ คือ สิ่งที่เราถือไว้แล้ว มูลค่ามีแต่ลดลง ...รถยนต์ ทีวี ตู้เย็น ...ของส่วนใหญ่ ที่คนยุคนี้สะสมก็คือขยะ)


6. ‘ต้องเก็บเงินซื้อของด้วยตัวเอง’ ...อย่าซื้อของที่อยากได้ ในเวลาที่อยากได้ เพราะ มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่มีทางพอ ...ถ้าอยากได้อะไร อย่าเพิ่งซื้อ ให้เก็บเงินให้ครบจำนวนก่อน แล้วค่อยตัดสินใจซื้อ ..เวลาจะช่วยบอกเราเองว่า เราอยากได้สิ่งนั้นจริงๆ ...เวลาจะช่วยคัดของที่ควรซื้อจริงๆ 


7. ‘เวลาเริ่มธุรกิจให้คิดแบบคนไม่มีเงิน’ ...คนส่วนใหญ่เริ่มธุรกิจจากจ่ายก่อนรับ แต่ยุคนี้เราสามารถสร้างธุรกิจที่รับก่อนจ่าย ...ฝึกคิดจากข้อจำกัด เพื่อจะได้เข้าใจโอกาสธุรกิจที่แท้จริงของโลกยุคใหม่


8. ‘อย่าให้เงินฟรี แก่ลูก เพราะในโลกจริงๆ ไม่มีเงินฟรี’ ...ต้องสอนให้ลูกรู้ว่า เงินทุกบาท ต้องแลกด้วยการทำงานบางอย่าง ...คนส่วนใหญ่สอนให้ลูกใช้เงิน แต่ไม่เคยสอนว่าหาเงินยังไง 


9. ‘ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ทุกคนต้องบริหารรายรับ และรายจ่ายด้วยตัวเอง’ ...ถ้าคุณสอนลูกว่า อยากได้เงินเท่าไหร่ก็ให้มาบอก แปลว่า คุณกำลังสอนให้เขาเป็นผู้ด้อยโอกาสทางการเงิน


10. ‘ไม่มีโอกาสทางการเงินที่ดี ที่วิ่งมาหาเรา’ ...โอกาสที่วิ่งเข้ามาหาเราเกือบทั้งหมด เป็นสิ่งหลอกลวง แชร์ลูกโซ่ หลอกให้ลงทุนในสิ่งที่ได้เงินง่าย ได้เงินเร็ว ...โอกาสจริงๆ จะวิ่งเข้ามา เมื่อเรามีความสามารถพอ ...ดังนั้น เลิกหวัง แต่ให้ตั้งใจพัฒนาความสามารถและความรู้แทน


‘ทักษะที่เพิ่ม ความรู้ที่สั่งสม’ ก็คือ เครื่องสร้างโอกาส ที่เราค่อยๆ สร้างมันขึ้นมาเอง 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 สิ่งที่ต้องรู้ หากอยากมีรายได้เพิ่ม 10 เท่า

 6 สิ่งควรรู้ ถ้าอยากมีรายได้เพิ่ม 10 เท่า


โดยเฉลี่ยฝรั่งรายได้มากกว่าเรา ..ยกตัวอย่าง ค่าจ้างขั้นต่ำคนไทย 300 บาทต่อวัน ..แต่ฝรั่งเขา 300 บาทต่อชั่วโมง ...ทำไม ? - นี่คือ สิ่งที่ควรรู้


1. ‘รายได้จะเพิ่มตาม Productivity’ ...ถ้าคนนึงเย็บเสื้อ 1 ชั่วโมงได้ 1 ตัว ..เทียบกับอีกคนที่เย็บเสื้อได้ 10 ตัวใน 1 ชั่วโมง ..คนที่เย็บได้มากกว่า ก็จะมีรายได้มากกว่า ...สิ่งนี้เรียก Productivity 


...พนักงานเสริฟฝรั่ง ใช้คนน้อยกว่า ดูแลลูกค้าที่มานั่งกินกาแฟ ดีกว่า พนักงานบ้านเรา ที่ยืนจับกลุ่มคุยกันไม่สนใจลูกค้า หลบมุมไปโทรศัพท์ ...ก็ไม่แปลกที่ขนาดพนักงานเสริฟฝรั่ง ยังทำรายได้มากกว่าเรา 10 เท่า


2. ‘รายได้เพิ่ม จากหนึ่งคน ทำได้หลายหน้าที่’ ...ถ้าเป็นโรงงานจะเน้นหนึ่งคนทำหนึ่งอย่าง ..เพราะไม่ต้องสอนมาก คนทำก็ไม่ต้องมีความรู้ ...งานแบบนี้รายได้จะต่ำ แล้วอนาคตจะไม่มีเพราะเครื่องจักรทำงานแทนได้เลย 


ถ้าเป็นเมืองนอก ขนาดพนักงานขับรถบัส เขาทำหน้าที่พูดเป็นไกด์ด้วย ช่วยลูกค้ายกของด้วย ..แปลว่า ขนาดคนขับรถ ยังต้องมีความรู้ ต้องศึกษาเพิ่มเติม ไม่ใช่รู้แค่ขับรถ แล้วนั่งบ่นว่า ทำไมไม่เห็นรวยซักที 


3. ‘รายได้เพิ่ม จากความตั้งใจในการทำงาน’ ...ดูเชฟญี่ปุ่น เทียบกับคนทำกับข้าวบ้านเรา ..ความพิถีพิถันต่างกัน ...ความภูมิใจในสิ่งที่ทำ แสดงออกมาด้วยการแต่งตัวที่สะอาด ...การตั้งใจทำสุดยอดเมนู ....ความตั้งใจที่มาก ทำให้เชฟเหล่านั้น หมั่นศึกษาพัฒนาความรู้ และทักษะจนเป็นเชฟกระทะเหล็ก , Naked Chef หรือ Hell Kitchen 


ถ้าเราทำงานแค่ให้เสร็จไปวันๆ เฝ้ารอแต่วันหยุด จดจ่อแต่วันท่องเที่ยว ..แล้วจะหวังได้เงินเยอะ มันใช่หรือ ?


4. ‘รายได้เพิ่ม จากการลงทุนในเครื่องมือทำมาหากิน’ ...มีดของเชฟญี่ปุ่น อันเป็นหมื่น ใช้เหล็กซามูไร ...ส่วนบ้านเรา ไปเอามีดมาจาก Big C ...หรือ ช่างไฟบ้านเรา ไขควงยังบิดเบี้ยวๆ เทียบกับ ช่างไฟต่างประเทศที่เขาต้องมี License มีรถ มีอุปกรณ์ที่ต้องลงทุนศึกษา ลงทุนในเครื่องมือ 


นี่คือ ความมืออาชีพในเครื่องมือทำมาหากินที่ทำให้เขามีรายได้มากกว่าเรา 10 เท่าไง


5. ‘รับผิดชอบ ในสิ่งที่ขาย’ ...คุณไปซื้อนาฬิกาสวิส เขาการันตีกันชั่วชีวิต รับประกันคุณภาพให้ตายกันไปข้างนึงเลย ปู่ซื้อ ส่งเป็นมรดกถึงพ่อ ต่อด้วยหลาน ...ไม่แปลกที่เขาสามารถขายได้แพงมหาศาล เพราะ เขารับผิดชอบในสินค้าที่เขาขาย


แต่ลองไปซื้อนาฬิกาจีน ...ถ้าคุณแค่ก้าวออกจากร้าน อย่าหวังจะสามารถเปลี่ยนได้ 


อันนึงซื้อแล้วสบายใจ แพงหน่อยก็ยอมจ่าย อีกคนซื้อขาย เหมือนแลกเปลี่ยนยาบ้า ..ขายแล้วห้ามเปลี่ยนคืน (อะไรของมรึง ?)


6. ‘สิ่งแวดล้อมในการขาย’ ...เปิดร้านอาหารในเมืองนอก ต้องขอใบอนุญาต ต้องสร้างร้านได้สะอาด ถูกหลักอนามัย ต้องให้หน่วยงานมาตรวจตลอดเวลา ...ร้านอาหารเขาขายจานละ พันบาท ก็เรื่องปกติ เพราะ คุณภาพ ความสะอาด และ สภาพแวดล้อม


แต่บ้านเรา เอาเตาไป ผัดริมถนน ..ขยะทิ้งลงท่อ ..แมลงสาบ และ หนู เยอะ เรื่องปกติ ...แล้วเราจะขายจานละพันบ้าง อันนี้น่าคิด เพราะลูกค้าไม่ได้โง่


สภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจ ต้องลงทุน ...ถ้ากล้าลงทุน แปลว่า คุณจะทำจริง ทำยาว ไม่ใช่แค่ตีหัวเข้าบ้าน


จะเห็นได้ว่า ถ้าอยากรายได้เพิ่ม ไม่ใช่คิดเอาแต่ได้ ...อยากได้แต่ทำเหมือนเดิม ก็คงไม่มีทางได้ 


...อยากรายได้เพิ่ม 10 เท่า เราต้องลงทุน ใส่ใจ เพิ่มผลผลิต ใส่คุณภาพ เพิ่มความรู้ เปลี่ยนสภาพแวดล้อม ...แล้วเราจะได้เพิ่มเกิน 10 เท่าในที่สุด


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

กฎ 5 ข้อของ เงิน ที่เราควรรู้

 'กฏ 5 ข้อ ของเงินที่เราควรรู้' 


1. 'เงินจะชอบวิ่งเข้าไปหาคนที่เล่นตัวกับมัน' เล่นตัวไง ทำเป็นไม่สนใจไง ...มีเชิงหน่อย !! ..ยิ่งเล่นตัว เรายิ่งมีเสน่ห์ดึงดูดเงิน


2. 'เงินจะวิ่งเข้ามา ในเวลาที่เราไม่จำเป็นต้องใช้' ถ้าไม่จำเป็นอย่าเพิ่งใช้ ถ้าใช้เพราะแค่อยากใช้ มีเท่าไหร่ก็หมดตูดครับ


3. 'เงินไม่ชอบเป็นนายใคร แต่เงินเป็นลูกน้องที่ดี' ..ใครใช้เงินทำงานเป็น เงินจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จะไปอาศัยใบบุญของผู้นั้น


4. 'เงินรวมตัวกันเมื่อไหร่ หายนะเกิด' ..คนฉลาดจะแบ่งเงินให้ทำงานหลายๆที่ ไม่ให้มันมารวมตัวกัน ..เอ๊ง!! ไปทำงานตรงนุ๊น ส่วนก้อนนี้มาทำงานตรงนี้


5. 'เงินที่วางไกลตัว มักทำงานหนักที่สุด' ..ถ้าเราหลงๆ ลืมๆ วางเงินให้มันทำงานในสินทรัพย์เช่น ที่ดิน หรือ หุ้น ..ยิ่งวางลืมๆ มันยิ่งทำงานหนัก โตเร็วอย่างน่าตกใจ


ทำได้ 5 ข้อนี้ ก็รวยแล้วล่ะ ..555


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

8 มุมมองของ ‘เงิน’ ที่เราควรเข้าใจ

 8 มุมมอง ของ ‘เงิน’ ที่เราควรเข้าใจ


เงินคือ สิ่งที่ทุกคนอยากได้ แต่มีคนน้อยมากที่เข้าใจว่า แท้จริงแล้วเงินคืออะไร ?


ถ้าไม่เข้าใจ ‘เงินจะกลายเป็นนายเรา’ แล้วเราก็จะเป็นทาสของเงิน ...แปลกไหมล่ะ ?


‘เงิน สิ่งใกล้ตัว ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก’ 


1. ‘ถ้ามองเงิน เป็นนาย’ ...เราจะอยู่ภายใต้อำนาจการสั่งการของเงิน ..คนมองเงินเป็นนาย จะทำงานหนัก แล้วเก็บเงินไม่ค่อยได้ 


2. ‘ถ้ามองเงิน เป็นอำนาจต่อรอง’ ...คนที่มองแบบนี้ ส่วนใหญ่ เป็นคนรวย ...เขาจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อสะสมเงินให้มากที่สุด เพราะ เขารู้ดีว่า ยิ่งเขามีเงินเท่าไหร่ เขายิ่งได้สิทธิพิเศษต่างๆ เหนือคนอื่น ...คนรวย จ่ายถูกกว่า ได้ส่วนลดมากกว่า ได้ของแถมเยอะกว่า 


3. ‘ถ้ามองเงินเป็น ลูกน้อง’ ..เราจะศึกษาวิธีการ ที่จะวางเงินทำงานแทนเรา ...เช่น เรียนรู้เรื่องการลงทุน , ลงทุนในอสังหา และ ลงทุนในหุ้นปันผลระยะยาว ...คนที่มองเงินเป็นลูกน้อง ส่วนใหญ่ในระยะยาว มักจะรวย เพราะ เขาพัฒนาทักษะ ที่สำคัญที่สุดของคนรวย - ทักษะ วางเงินทำงาน !!


4. ‘ถ้ามองเงิน สิ่งที่แลกเปลี่ยนความสุข’ ...คนเหล่านี้จะ พยายามหาเงิน มาเพื่อซื้อของ ...หาเท่าไหร่มักใช้เก่งกว่า อันนี้คือ คนส่วนใหญ่ของโลก 


5. ‘ถ้ามองเงินเป็น ถ้วยรางวัล’ ...คนเหล่านี้จะหาเงิน แต่ไม่ยอมใช้เงินเลย เพราะ อาจจะเคยลำบากในวัยเด็ก ทำให้เขาไม่ว่าจะหาเงินได้มากเท่าไหร่ ก็ไม่กล้าใช้เงินอยู่ดี 


6. ‘ถ้ามองเงิน เป็นความสะดวกสบาย’ ...คนแบบนี้ จะใช้เงินในการแก้ปัญหา ซึ่งการใช้เงินแก้ปัญหา มักดี ในมุมธุรกิจ แต่มักล้มเหลว ในเรื่องของความสัมพันธ์และครอบครัว


7. ‘ถ้ามองเงินเป็น สิ่งชั่วร้าย’ ...ก็จะเกลียดคนมีเงิน แล้วหาทาง ที่จะไม่มีเงิน 


8. ‘ถ้ามองเงิน เป็นเครื่องมือ’ ...เงิน ในมุมของเครื่องมือ ก็คือ สิ่งที่ช่วยให้คนๆ นึง สามารถแก้ปัญหา ที่ใหญ่ขึ้น และ ท้าทายขึ้น ...นักธุรกิจใหญ่ มักใช้เงินเป็นเครื่องมือ ในการเอาชนะปัญหาใหญ่ๆ เช่น Elon Musk อยากแก้โจทย์ การไปอยู่บนดาวอังคารของมนุษย์ 


...โจทย์ที่เล็กที่สุดของคนเรา ก็คือ แก้ปัญหาให้เราไม่หิว ไม่อดตาย ...เมื่อใดที่ใครชนะโจทย์นี้แล้ว เขาก็มักจะอยากแก้ปัญหาที่ใหญ่ ..โจทย์ที่ใหญ่ขึ้น


- แก้ปัญหา แค่ตัวเอง มักได้ เงินน้อย

- แก้ปัญหา เพื่อคนอื่น มักได้เงินมากกว่า

- แก้ปัญหาสังคม มักเป็นเศรษฐี

- แก้ปัญหาประเทศ มักเป็นผู้นำ 

- แก้ปัญหาโลก มักเป็น Billionaire!!


‘เงิน’ เป็นเครื่องมือ ที่ทรงพลังที่สุด ที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมา ....เพราะเงิน เป็นตัวแทนของหลายสิ่งหลายอย่าง หรือ อาจจะพูดได้ว่า เงิน ในยุคปัจจุบันเป็นตัวแทนของทุกสิ่ง ทุกอย่าง ที่มนุษย์อยากได้และครอบครอง


แต่ข้อจำกัด ของเงิน ก็คือ ‘ความสามารถในการทำลายล้าง’ 


ดังคำพูดที่ว่า ‘สิ่งใดที่มีคุณอนันต์ สิ่งนั้นก็ย่อมมีโทษมหันต์ ...เงินก็เช่นกัน’


- เงิน สามารถทำให้พี่น้อง เพื่อนรัก ฆ่ากันตายได้ ...อยากให้ครอบครัว แตกแยก โยนมรดกลงไป งงๆ วงแตกเสมอ


- เงิน ทำให้คน และ สังคมแตกแยกได้ ...ประเทศพัฒนา สามารถทำลายประเทศด้อยพัฒนา แค่โยนเงินเข้ามาแล้วดึงกลับอย่างรวดเร็ว ...ผลคือ เศรษฐกิจพัง , สังคมวุ่นวาย ความแตกแยก 


- เงิน ใช้แก้ปัญหา และ ใช้ทำลายล้างได้มหาศาล 


ข้อแนะนำ คือ ‘เราต้องศึกษา ให้รู้เท่าทันของเงิน ..เข้าใจเงินในบทบาทต่างๆ ...แล้วหมั่นตรวจสอบว่า มุมมองของเราที่มีต่อเงิน มันคืออะไร’


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

6 ตัวเลข ทางการเงินสำคัญที่ใช้ทำนายราคาหุ้น

 6 ตัวเลข ทางการเงินสำคัญที่ใช้ทำนายราคาหุ้น


1. ‘EPS เติบโต กำหนดค่า P/E’ …EPS ยิ่งโต ก็จะส่งให้ P/E แพงขึ้นได้ เรียกได้ว่า คนซื้ออาจจะได้กำไรแบบก้าวกระโดด


2. ‘D/E น้อย ลดความเสี่ยงการเพิ่มทุน’ …การช้อนซื้อหุ้นถูก ต้องระวังบริษัทที่ D/E สูง เพราะ อาจโดนล็อคเพิ่มทุนได้ ..ซวยไป 


3. ‘Net Profit Margin สูง เป็นดาบสองคม’ …คมแรกคือดี แปลว่า ขายของกำไรดี มี Competitve Advantage …อีกคมไม่ดี เพราะ แต่งงบง่าย (ใช่!! ยอดขาย แต่งยาก / กำไร แต่งไม่ยาก)


4. ‘Investment Cashflow ติดลบ’ …ดีเพราะ แปลว่า บริษัทลงทุนเพิ่มเพื่ออนาคต 


5. ‘% Free float’ …ถ้าน้อยแปลว่า หุ้นเบา หุ้นอยู่ในมือรายใหญ่เยอะ หรือ หุ้นยังไม่ช้ำ …ดูประกอบกับ ‘ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ว่า ถือเยอะแค่ไหน’ 


6. ‘Market Cap.’ …มูลค่าของหุ้นทั้งบริษัท มาจาก ราคาหุ้น คูณ ด้วย จำนวนหุ้นทั้งหมด …ดูความหนักเบาของหุ้น …ยิ่งเยอะ หุ้น ก็ยิ่งหนัก 

(ดูร่วมกับข้อ 5 เพื่อให้ภาพที่ครบมากขึ้น)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

6 ข้อ ประสบการณ์จากการเล่นหุ้น inside

 6 ข้อประสบการณ์อยากบอก จากการเล่นหุ้น inside


ใครๆ ก็อยากเป็น inside อยากได้ข้อมูลวงใน …อันนี้ผมอยากเอาประสบการณ์ตรงจากการเล่นหุ้นวงในมาเล่าให้ฟัง 


1. ‘คุณไม่ใช่ inside จริง’ …ส่วนใหญ่ทุกข่าวลือก็มาในรูปของข้อมูล inside ทั้งนั้นแหละ …เอาตรงๆ ให้ระวังไว้ก่อนเลยว่า ข้อมูลนั้นโคตร Outside ไปแล้ว 


2. ‘เวลาซื้อด้วยข้อมูล inside เราจะซื้อเยอะ แล้วเสียหนัก’ …ปกติคนเล่นหุ้นก็ไม่มั่นใจในตัวเอง แต่จะเชื่อคนอื่นมากกว่า ยิ่งเราคิดว่านี่คือ inside เราจะจัดหนัก ..สุดท้ายเลยจบด้วยเสียหนักๆ


3. ‘หุ้นที่มีข้อมูล inside ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่ไม่มีพื้นฐาน’ …พูดง่ายๆ หุ้นไม่ได้มีพื้นฐาน หรือ พื้นฐานแย่ ขาดทุนเละเทะ แล้วมีข่าวว่าจะกลับมา นี่แหละ น่ากลัวสุดๆ 


4. ‘หุ้น inside มักมี Volume ไม่สม่ำเสมอ ถ้าติดก็ยาว’ …หุ้นพวกนี้ไม่ได้เหมือนหุ้นใหญ่พื้นฐานที่มี Volume ตลอดเวลา จะซื้อขายได้ตลอด ..แต่หุ้น inside จะเล่นเป็นรอบๆ ถ้าหมดรอบ ก็ไม่มี Volume เหลือ ใครดอย ก็ยาววววว !!!


5. ‘เจ้ามือ inside ก็พลาดเองได้’ …เจ้าติดหุ้นตัวเอง นี่ก็เห็นบ่อยๆ โดยเฉพาะในยุคนี้ ที่รายย่อยเก่งขึ้น ดังนั้น 

ถึงแม้เราได้ inside จริง แต่ก็อาจซวยอยู่ดี เพราะ เจ้ามือก็พลาดได้ 


6. ‘เอากราฟ และ เอาเรื่องรอบมาช่วย จะลดความเสี่ยงได้เยอะมาก’ ..สุดท้ายเขาจะเล่นหุ้นยังไง มันก็ต้อง ‘มีรอบ’ ให้เราเห็น …เอากราฟมาประกอบ จะช่วยเราได้เยอะเลย


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

6 ข้อ แตกต่างระหว่าง พอร์ตหุ้นไม่โต กับ พอร์ตหุ้นเติบโต

 6 ข้อ ความแตกต่างระหว่าง ‘พอร์ตหุ้นที่ไม่โต’ กับ ‘พอร์ตหุ้นที่เติบโต’ 


ดูง่ายๆ ในตลาดหุ้น …คนส่วนใหญ่พอร์ตไม่ค่อยโต กับ มีคนพอร์ตโตเอา โตเอา …ก็นั่นแหละ …พอร์ตแบบโตเอา ๆ มันต้องแตกต่าง ยังไง ?


 …มาแคะแกะเกาดูกัน


1. ‘พอร์ตที่ไม่โต คือ ซื้อหุ้นยอดนิยม’ …’พอร์ตที่โต คือ ซื้อหุ้นที่คนอื่นเขาไม่ซื้อกัน’ 


2. ‘พอร์ตหุ้นที่ไม่โต เพราะ อยากได้เงินเร็วๆ’ …‘พอร์ตหุ้นที่โต เพราะถือหุ้นเป็นเจ้าของ’ 


3. ‘พอร์ตหุ้นที่ไม่โต เพราะ เวลาวิกฤตไม่เคยได้ซื้อหุ้นเลย’ …‘พอร์ตหุ้นที่โต คือ เขาได้ซื้อเพิ่มเวลาวิกฤต’ 


4. ‘พอร์ตหุ้นที่ไม่โต คือ หุ้นที่ซื้อเยอะขึ้นน้อย หุ้นที่ซื้อน้อยขึ้นเยอะ มันก็เลยไม่โตไง’ …’พอร์ตหุ้นที่โต หุ้นที่ซื้อเยอะ ขึ้นเยอะ’ (เคล็ดลับคือ การเพิ่มน้ำหนัก ซื้อเพิ่มในหุ้นที่ซื้อน้อย และ ลดจำนวนหุ้นที่มั่นใจลง)


5. ‘พอร์ตหุ้นที่ไม่โต คือ พอร์ตที่ไม่กล้าเสี่ยง’ …’พอร์ตหุ้นที่โต คือ พอร์ตที่ดูเสี่ยงในสายตาคนอื่น’ (ผลตอบแทนในยุคนี้ อยู่ในจุดที่เสี่ยงเสมอ)


6. ‘พอร์ตที่ไม่โต คือ รวยแล้วเลิก’(ส่วนใหญ่ เจ๊งแล้วเลิก) …’พอร์ตหุ้นที่โต คือ ยังไงก็ไม่เลิก’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

7 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับหุ้นสีเทา

 7 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับหุ้นสีเทา


ก็ว่าช่วงนี้มีแต่ข่าวเทาๆ …เทานุ่น เทานี่ …แล้วหุ้นสีเทามันมีหน้าตาเป็นอย่างไร ?


จากประสบการณ์มองโลกแบบจริงๆ ไม่เอาโลกสวย เราก็ต้องมาทำความเข้าใจกัน 


1. ‘หุ้นที่พื้นฐานกับราคาหุ้นไม่สัมพันธ์กัน มีแนวโน้มจะเทาละ’ …ทำไม? เพราะ บางครั้ง ถ้า P/E สูงเกินจริงมาก มันก็ล่อตาล่อใจ ให้รายใหญ่มาหาผลประโยชน์ได้ 


2. ‘หุ้นที่ธุรกิจ ไม่มีอนาคต ไม่เติบโต ก็อาจจะมีแนวโน้มเทาได้’ …ธุรกิจที่ดีมีการเติบโต เจ้าของเขาแค่ถือเฉยๆ ก็รวยแล้ว …แต่ถ้าธุรกิจไม่เติบโต อันนี้น่าคิดตั้งแต่เขาเอาเข้าตลาดแล้ว …ว่าเข้ามาเพื่อ ?


3. ‘หุ้นที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ถือหุ้นน้อย ทยอยขายไปเรื่อย’ ….การขายหุ้นออกไป ก็เท่ากับว่า ไม่อยู่ในชื่อตัวเองแล้ว …จะทำอะไรก็ไม่ต้องรายงาน


4. ‘หุ้นสีเทา มักขึ้นแรงกว่า ส่วนเวลาลงก็ลงแรงกว่า’ …คิดง่ายๆ รายใหญ่ ที่เขาคุมเกม เขาสนใจแต่เรื่องราคา ทำให้การขึ้นก็ขึ้นแรงกว่า เพื่อเรียกแขก ..ส่วนลงก็ต้องแรง ไม่งั้นก็ออกของไม่หมดซิ


5. ‘หุ้นสีเทา ต้องระวังการเพิ่มทุน’ …ก็แน่ละ ธุรกิจมันไม่ดี หรือ แทบไม่มีอยู่แล้ว …การเพิ่มทุน ก็มักเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ให้รายย่อยช่วยกันเติมเงินแบบฟรีๆ 


6. ‘หุ้นแนวนี้ ไม่ได้มี Volume ตลอด …มีเฉพาะช่วงที่เขาเล่นเท่านั้น’ ….แปลว่า ถ้าซื้อช่วงที่เขาเล่น ต้องระวังว่า ช่วงที่เขาไม่เล่น อาจไม่มี Volume ให้ขายเลย ต้องระวังให้ดี 


7. ‘อย่าพยายามเล่นตามข่าวกับหุ้นสีเทา เพราะ มันสร้างมาหลอกรายย่อยเสมอ’ …ช่วงที่ซื้อหุ้นเหล่านี้ได้ คือ ช่วงที่ไม่มีข่าว …ส่วนช่วงที่ขายหุ้นแบบนี้แล้วกำไรดี คือ ช่วงข่าวดี งบสวย แค่นั้นแหละ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2566

6 ข้อควรรู้ ความขยันเกินไป อาจไม่ทำให้เรารวยขึ้น

 6 ข้อควรรู้ ‘ความขยันเกินไป อาจไม่ได้ทำให้รวยขึ้น’ 


แต่ถ้าขี้เกียจนั่นซวยกว่า เพราะ คนขี้เกียจจะแทบไม่ได้รับโอกาสใดๆ ในชีวิตเลย


1. ‘การขยันเป็นเรื่องดี แต่ต้องมีเวลาหยุดคิดด้วย’ …แน่นอน คนขยัน ไม่อดตาย ..และถ้าเป็นคนดีด้วย ย่อมได้โอกาสในชีวิตที่ดีกว่า …แต่ต้องมีเวลาพักและหยุดคิดทบทวนด้วย


2. ‘การหยุดคิด เพื่อประเมินผลงานเราเอง’ (หยุด 10% เพื่อผลลัพธ์ 100%) …ทุกปีควรลดงานที่ขยันแล้วให้ผลลัพธ์น้อยลง 10% ทุกปี เพื่อเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่ให้ผลลัพธ์ดีกว่า 


3. ‘คนขยันมักลืมมองภาพใหญ่’ …ภาพใหญ่นั่นแหละ ที่เป็นช่วงก้าวกระโดดของชีวิต


4. ‘ต้องแบ่งเวลาไปกล้าเสี่ยงขึ้น’ …ยุคนี้โอกาสผูกอยู่กับสิ่งที่เสี่ยงเท่านั้น …การที่เราวิ่งเข้าหาความเสี่ยงบ้าง ก็ทำให้ชีวิตมีโอกาสขึ้น


5. ‘ลองลงทุนในสิ่งที่ไม่เห็นผลลัพธ์บ้าง’ …การลงทุนที่เห็นผลลัพธ์คือ ลงทุนในระยะสั้น หรือ ลงทุนในตราสารรหนี้ที่การันตีผล …ข้อเสียคือ พอเห็นผล มันได้เงิน แต่มันไม่ทำให้เรารวย


6. ‘การมีเวลาว่างบ้างก็เป็นเรื่องดี’ …ช่วงที่ว่างเป็นช่วงที่เราสามารถหาโอกาสใหม่ๆ นั่นก็คือ เวลาที่เราจะเติบโตได้แบบไม่คาดฝันเช่นกัน 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 ข้อควรรู้ ทำไมเวลาเงินเฟ้อ คนรวยจึงรวยขึ้น …แล้วเราล่ะ ?

 5 ข้อ ควรรู้ ‘ทำไมเวลาเงินเฟ้อ คนรวยจึงรวยขึ้น’ …แล้วเราอยู่ตรงไหน ?


ใช่!! ถ้ารู้เราก็แค่พยายามทำแบบคนรวยให้ได้มากที่สุด ก็เท่านั้นแหละ …จะได้รวยบ้าง !!


1. ‘คนรวยถือสินทรัพย์เป็นส่วนใหญ่’ …เวลาเงินเฟ้อ เงินสดมันลดมูลค่าแต่ สินทรัพย์มันเพิ่มมูลค่า …คนรวยเลยรวยขึ้น


2. ‘หนี้ที่จ่ายได้ กับหนี้เสีย’ …ทุกคนเป็นหนี้ เวลาเงินเฟ้อ คนเป็นหนี้ได้เปรียบ เพราะ หนี้ก็ลดมูลค่า …แต่ความแตกต่างคือ คนรวยไม่เป็นหนี้เสีย เพราะ วางแผนเตรียมเงินไว้ก่อน 


3. ‘รายได้ทุกอย่างเพิ่มขึ้น ยกเว้นเงินเดือน’ …เงินเฟ้อคือทุกอย่างขึ้น แต่สิ่งที่ขึ้นน้อยสุดเลยก็คือเงินเดือน …ซึ่งเราก็รู้ว่าคนรวยพึ่งพารายได้จากเงินเดือนน้อยสุด


4. ‘คนรวยมักใช้โอกาสซื้อสินทรัพย์เพิ่ม เวลาที่เขาเห็นโอกาส’ …การมองหาโอกาสซื้อสินทรัพย์เพิ่มตลอดเวลา ทำให้คนรวยได้โอกาสมากกว่าในระยะยาว


5. ‘คนรวยมีเงินสำรอง และยืนระยะในช่วงวิกฤตได้ดีกว่า’ …การมีเงินสำรอง ก็ช่วยให้ผ่านพ้นวิกฤต หรือ ไม่ขายสินทรัพย์ที่ตัวเองมีในราคาถูกนั่นเอง 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2566

5 แนวทาง การลงทุนที่ให้กำไรงามอย่างไม่คาดคิด

 5 แนวทาง การลงทุนที่ทำให้เราได้กำไรงาม อย่างไม่คาดคิด


1. ‘ซื้อหุ้นขนาดใหญ่พื้นฐานดี ปันผลสูง ในเวลาที่ตลาดลงแรง และมีแต่ข่าวร้าย’ 


2. ’ซื้อหุ้นวัฏจักร ในช่วงที่บริษัทขาดทุนหนัก’


3. ‘ซื้อหุ้นขนาดเล็ก ที่มี Market Cap. ต่ำ และ สภาพคล่องน้อย’ 


4. ’ซื้อหุ้นขนาดกลาง ที่อยู่ในธุรกิจ Megatrend ในช่วงที่ยอดขายและกำไรเติบโตสูง’ 


5. ‘ซื้อหุ้นที่เจ้าของใช้ Money Game ในการขยาย และเจ้าของไม่ขายหุ้น’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

10 สิ่ง ที่ผมได้เรียนรู้จาก ทฤษฎีผลประโยชน์ ในการเอามาใช้ในหุ้น

 10 สิ่ง ที่ผมได้เรียนรู้จาก ทฤษฎี ผลประโยชน์ …แล้วเอามาปรับใช้ในการหาหุ้น


1. ‘ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของโลก จะวิ่งเข้าไปหาคนส่วนน้อยเท่านั้น’ 


2. ‘คนส่วนใหญ่มักคิดว่าตัวเองเป็นคนคิดต่าง แต่ไม่ใช่เลย’  …เพราะความจริงก็คิดเหมือนๆ คนอื่นนั่นแหละ 


3. ‘บางช่วงเวลาคนส่วนใหญ่อาจผิดพลาด แต่ในระยะยาวคนส่วนน้อยจะชนะในที่สุด’ 


4. ‘เมื่อคนส่วนใหญ่ที่อยากจะซื้อหุ้น ได้ซื้อแล้ว แปลว่าหุ้นตัวนั้นกำลังจะเข้าสู่ขาลง’ 


5. ‘เมื่อคนส่วนใหญ่ที่อยากจะขายหุ้น ได้ขายแล้ว แปลว่า หุ้นตัวนั้นกำลังจะเข้าสู่ขาขึ้น’ 


6. ‘เมื่อทุกเหตุผล บ่งชี้ว่า หุ้นจะลง …มันแปลว่า มันกำลังจะเกิดจุดเปลี่ยนสำคัญที่เราไม่รู้ แล้วเป็นจุดกลับตัวของหุ้นนั่นเอง’ 


7. ‘เมื่อทุกเหตุผล บ่งชี้ว่า หุ้นจะขึ้น ไม่มีวันลง …มันแปลว่า มันกำลังจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่จะทำให้หุ้นเปลี่ยนเป็นขาลง’ 


8. ‘การเลือกจุดที่คนส่วนใหญ่ไม่อยู่ มักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในที่สุด’ 


9. ‘การฝึกคิดแบบคนส่วนน้อยในหุ้น ต้องเริ่มจากการซื้อหุ้นที่เราไม่คิดจะซื้อ ในเวลาที่เราไม่อยากซื้อ’ 


10. ‘ยิ่งเรามองหุ้นภาพยาวเท่าไหร่ ความแม่นยำก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ