แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ความอ้วนเป็นปัญหาของผม

 “ความอ้วนเป็น ปัญหาของผม” ...ตั้งแต่เด็ก ผมคือ “เด็กอ้วน” มาตลอด 


...เอาตรงๆ นะ ตอนเด็กรู้สึกเฉยๆ ..มารู้สึกว่ามันเป็นปมชีวิต ก็ตอนเริ่มเป็นวัยรุ่น ... “ก็เรามันอ้วน เลยไม่กล้าจีบสาว” ...โคตร ไม่ Self !!


ชีวิตมาเปลี่ยน ตอนมัธยมปลาย ช่วงนั้น เริ่มยืดตัว ...พุงลด ตัวสูงขึ้น ...แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็กลับมาอ้วนอีก 


จนวันนึง ผมเริ่มคิดว่า ...เราแก้ปัญหาอันนี้ยังไง ?


ใช่!! มันก็มีหลายวิธีนะ มีทั้งแบบ เร็วๆ หรือ แบบช้าแต่ยั่งยืน 


ผมเชื่อนะ ว่าคนส่วนใหญ่ เลือกแบบแรก ... “อยากลดน้ำหนักให้เร็วที่สุด” เช่น อดอาหาร , กินยาลดความอ้วน , ออกกำลังกายหนักๆ


ปัญหาของการลดความอ้วนเร็วๆ ก็คือ ส่วนใหญ่จะกลับไปอ้วนเหมือนเดิมหรือ หนักกว่าเดิม 


สุดท้ายผมมาเข้าใจว่า ปัญหาจริงๆ ของความอ้วน ก็คือ “วิถีชีวิตของเรา” ..เช่น ชอบกินของอ้วน แต่ไม่ออกกำลังกาย ...ถ้าเราลดน้ำหนัก แต่ไม่ปรับวิถีชีวิต ...อีกไม่นาน เราก็กลับไปอ้วนเหมือนเดิม 


“ทางแก้ที่ยั่งยืนกว่า คือ เปลี่ยนวิถีชีวิต” 


เดี๋ยวนะ ...วิถีชีวิต พูดแบบเข้าใจง่ายๆ คือ “กิจวัตรประจำวัน” 


ส่วนตัวผมยังชอบกิน ก็แค่ลดของอ้วนลง แต่ยังกินปกติ ไม่อดอาหาร ...จากนั้น ผมสร้างกิจวัตรของการออกกำลังกายวันละ 1 ชั่วโมง ...เริ่มจาก เดิน ...ไปเดินเร็ว ...จากนั้น ก็วิ่ง ...สรุป ทุกวันนี้ ผมวิ่งเกือบทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมง 


ถามว่า เล่าเรื่องนี้ทำไม ...เพราะ มันเหมือนกับ การแก้ปัญหาทางการเงินเลย


“คนที่ยังไม่รวย ไม่ใช่เพราะ หาเงินไม่เก่ง ...แต่เขาแค่ ยังไม่เปลี่ยนวิถีชีวิตให้เป็นคนรวย ก็เท่านั้นเอง” 


เฮ้ย!! “วิถีชีวิตคนรวย” ..คืออะไร ...ใช้ของแพง กินของหรู ไฮโซ ...บลา บลา บลา ...ไม่ใช่เลย!! ....วิถีชีวิตคนรวยจริงๆ คือ 


“ใช้เงิน น้อยกว่าที่หาได้” ....ใครทำได้ ผ่านข้อที่ 1


“ซื้อของเงินสด เต็มจำนวน ไม่กู้” ...ถ้ากู้มันจะเริ่มนิสัยของคนจน คือ ทำงานใช้หนี้ไปวันๆ นั่นแหละ ...ใครทำได้ผ่านข้อที่ 2


“เอาเงินไปลงทุน สร้างรายได้แบบ Passive” ...คนรวย คือ คนที่มีรายได้มาหาเราหลายๆ ทาง ...ง่ายสุดเลย ก็เช่น ซื้อหุ้นปันผล แล้วรับเงินปันผล ถือไปเรื่อยๆ ไม่ขาย ...นั่นก็ Passive Income แล้ว ....ถ้าเราเอาเงินไปลงทุนก่อน แล้วใช้แค่ปันผล นี่แหละ รวยจริง ...เพราะ เงินต้น ยังอยู่ ...เราใช้แค่ ดอกผล เท่านั้นเอง ...ใครทำข้อที่ 3 ได้ แปลว่า คุณเริ่มเป็นนักลงทุนแล้ว !!


“ทำข้อ 1-3 วนไปเรื่อยๆ จนเงินปันผล มากกว่า ค่าใช้จ่าย” ...ใช่!! แค่นี้ ก็โคตรรวยละ ...ถ้ามีปันผล มากกว่า ค่าใช้จ่าย ....คุณเกษียณได้เลย นี่แหละ “คนรวย” 


สรุป ผมอยากจะบอกว่า ปัญหาโลกแตก อย่างเรื่อง “ความอ้วน” หรือ “เงิน” ...มันต้องเริ่มแก้ให้ถูกวิธี ...คือ เริ่มจากเปลี่ยน วิถีชีวิต ของเราในเรื่องนั้นๆ 


ใช่!! พอเราเปลี่ยนได้ ...เราก็ “รอผอม สุขภาพดี”... “รอ รวย” ชีวิตดี 


เอาใจช่วยทุกคนนะ ...รู้นะ ว่า โคตรยาก เพราะ ผมทำมาแล้ว ...การันตี ยากจริง ...แต่ต้องทน ทำไป ...ลุยไป ...พอถึงแล้วเราจะภูมิใจในตัวเอง ....คุณสุดยอด มากครับ !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย

http://bls.tips/pawawitTeam 


หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ” 


วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Growth & Multiple ที่ขับเคลื่อนหุ้นหลายเด้ง ในตลาดหุ้น


 ‘ทำไมราคาหุ้น ถึงแพงกว่ากำไรเสมอ ?’


หลายคนสงสัยว่า หุ้นบางบริษัท กำไรแค่ 100 ล้านบาทต่อปี ...แต่ทำไมราคาหุ้นจึงเป็น 1,000 ล้านบาท


โห!! อธิบายยาวละ ...แต่จะบอกว่า ‘นี่คือ เสน่ห์ของตลาดหุ้น ที่ทำให้เจ้าของ และ นักลงทุน กลายเป็นเศรษฐี’


การรวยจากหุ้นเยอะๆ มันก็คือ เรื่องนี้แหละ ...มันเป็นความสัมพันธ์กัน ระหว่าง Growth & Multiple


‘Growth’ คือ กำไรของหุ้นที่เติบโต ...อันนี้เป็นเสมือนเจ้ามือตัวจริง ที่กำหนดว่า ราคาจะขึ้นหรือลง


‘Multiple’ คือ ‘ตัวคูณของกำไร’ ...ตัวนี้แหละ ที่ทำให้หุ้นขึ้นลง หลายๆ เด้ง ...Multiple จะถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ของนักลงทุน ...แบบว่า แห่ซื้อหุ้นแพงที่วิ่งขึ้น และ ทิ้งหุ้นขายหนีเวลาหุ้นลง 


ผมขอสรุปเป็น ข้อๆ ดังนี้


1. ‘นักลงทุนให้ค่า ตัวคูณ เป็นเท่าๆ ของกำไร’ ...นักลงทุนยอมซื้อหุ้นแพงกว่ากำไร เป็นเท่าๆ ขึ้นกับการเติบโตของธุรกิจ ...เราเรียกค่านี้ว่า P/E ...เช่น P/E 10 ก็คือ นักลงทุนยอมซื้อหุ้น 10 เท่าของกำไร (ถ้าหุ้นตัวนี้ไม่ได้เข้าตลาด ต้องทำกำไรอีก 10 ปี ถึงจะมีมูลค่าเท่า P/E 10 นั่นเอง)


2. ‘ค่า P/E จะสูง หรือ ต่ำ ขึ้นกับการเติบโตของกำไรบริษัท’ ...เช่น กำไรโตปีละ 10% ค่า P/E ก็ควรจะประมาณ 10 เท่า ...กำไรโต 20% ค่า P/E ก็น่าจะประมาณ 20 เท่า


3. ‘นักลงทุนสามารถรวยจาก ค่า P/E ที่สูงขึ้น และ ก็สามารถเจ๊ง จากค่า P/E ที่ถูกปรับลง’ ....ถ้าเราซื้อหุ้นที่ P/E 10 จากนั้น กำไรเติบโตเยอะ ...นักลงทุนคนอื่น อาจยอมซื้อที่ P/E ที่สูงขึ้น เช่น 20 เท่า ...คนที่ซื้อไว้ก่อนหน้าย่อมกำไรมหาศาล 


ในทางกลับกัน หากเราซื้อหุ้นที่ P/E สูง แล้วกำไรเกิดแย่ลง ...นักลงทุนคนอื่นอาจไม่ยอมซื้อหุ้นนี้ที่ P/E สูงอีกต่อไป ...ดังนั้น คนที่ถือก่อนหน้า ย่อมขาดทุนมหาศาล 


4. ‘หุ้น P/E สูง ระวัง การเติบโตลดลง’ ...เพราะ แค่การเติบโตลดลง เราก็สามารถติดดอย ทั้งที่บริษัทก็ไม่ได้เจ๊ง ...แต่เราเจ๊งเรียบร้อย !!


5. ‘หุ้น P/E ต่ำ ระวังมันไม่โต’ ...หุ้น P/E ต่ำ โดยมากปลอดภัย แต่กับดักของมันคือ ไม่โต ดังนั้น คนถือ อาจได้แค่ เงินปันผล เป็นหลัก (แต่ถือแล้วราคาหุ้นก็ไม่ไปไหน)


6. ‘คนที่รวยหุ้นหลายเด้ง เกิดจาก ซื้อหุ้น P/E สูง ตั้งแต่ตอนที่มันต่ำ แล้วทนถือได้’ ...เราต้องรู้ว่า กำไรบริษัทนี้จะโต 


ถ้าเราสามารถเลือกหุ้นที่กำไรโต 3 เท่า ในเวลา 3-5 ปี เราก็จะเจอหุ้น 5 เด้งนั่นเองครับ


นี่แหละเสน่ห์ของตลาดหุ้น Growth & Multiple ที่ถูกขับเคลื่อนด้วย Greed & Fear ของนักลงทุน ...ใครอ่านขาด คนนั้นคือผู้ชนะครับ !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2563

6 ทัศนคติ ที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้น รุ่งขึ้น

 6 ทัศนคติ ที่จะทำให้ชีวิตเราดีขึ้น รุ่งขึ้น


..คนเราคิดแบบไหน ผลลัพธ์ชีวิตก็จะเป็นแบบนั้น ...เลยมีคำถามเกิดขึ้นว่า ‘แล้วคิดยังไง จึงจะ ผลลัพธ์ ให้รวย รุ่ง ดี อ่ะ’ ...โอเคมาดูกัน


1. ‘ความผิดพลาดครั้งนี้ มันเกิดขึ้นจากเรา’ ...ทุกคนย่อมเคยเจอ ความผิดพลาดในชีวิต และบ่อยครั้งที่เราชอบโทษคนอื่น ..โทษพ่อ โทษแม่ โทษเพื่อน โทษคนอื่น อาจจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น แต่มันไม่ทำให้ชีวิตดีขึ้น ...เพราะ การโทษคนอื่น ไม่ทำให้เราเรียนรู้ และ สุดท้ายเราก็อาจจะผิดพลาดเรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก 


ยอมรับความผิด เรียนรู้ แล้วแก้ไข ...เราจะโตขึ้น เก่งขึ้น ทุกครั้งที่ผิดพลาด


2. ‘ความสำเร็จครั้งนี้ เพราะทุกคนช่วยกัน’ ...คนส่วนใหญ่เวลาผิดพลาดจะ โทษว่า ดวงไม่ดี ..แต่ถ้าสำเร็จจะบอกว่า เพราะ ฝีมือของฉันเอง ...’ฉันผิดพลาดเพราะดวงไม่ดี แต่ฉันสำเร็จเพราะฝีมือ!!’ ...เอาตรงๆ นะ ความสำเร็จที่ยกตัวเอง จะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความสำเร็จที่มากขึ้นในครั้งต่อไป 


ไหนๆ ครั้งนี้ ก็สำเร็จอยู่แล้ว ...การยกเครคิตความสำเร็จ ให้คนที่เราแคร์ ย่อมมีประโยชน์มากกว่ายกตัวเอง ....’ทีมผมเก่ง’ , ‘ลูกน้องผมเก่ง’ , ...แล้วคนที่คุณแคร์จะช่วยให้เราสำเร็จต่อไป 


3. ‘งานที่ฉันทำ แก้ปัญหาและสร้างประโยชน์ให้คนอื่น’ ...ลึกๆ แล้วเราทุกคนอยากมีเหตุผลดีๆ ที่เรามีชีวิตอยู่ ทุ่มเท ทำงานหนักเพื่อสิ่งที่ดี ...ใช่!! ลึกๆ แล้ว เราทุกคนอยากที่จะเป็นคนดี 


การตั้งเป้าหมาย ด้วยสิ่งที่ดี จะทำให้เรา ภูมิใจในสิ่งที่เราทำ สนุกกับมัน อย่างมีพลัง ...นี่แหละ คือ การให้ความหมายกับชีวิตที่ขับเคลื่อนด้วย Passion และ Power !!


4. ‘การสร้างความสำเร็จอย่างยั่งยืน เริ่มที่กิจวัตรประจำวัน’ ...คนเราพูดขยายความสำเร็จจน over ...จริงๆ แล้ว ความสำเร็จแทบทุกเรื่อง มันเริ่มที่การเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันเล็กๆ นี่แหละ ....เช่น คนที่อยากลดน้ำหนัก เราเริ่มที่สร้างนิสัยการตื่นมาวิ่งทุกเช้า มันจะลดน้ำหนักยั่งยืนกว่า การลดน้ำหนักเร็วๆ แล้ว สุดท้ายกลับไปโยโย่ หนักกว่าเดิม , หรือ การลงทุนให้รวย มันเริ่มง่ายๆ ที่การแบ่งเงินมาลงทุน ก่อนจ่ายเงิน อย่างสม่ำเสมอ 


5. ‘ถูกของเรา อาจไม่ใช่ถูกสำหรับคนอื่น’ ...สมัยเด็กผมมักใช้ความคิดของผม ในการตัดสินคนอื่น และตัดสินสิ่งต่างๆ ...คนนี้ ทำถูก , คนนี้ทำผิด ....แต่พอเราโตขึ้น เราก็เข้าใจมากขึ้นว่า ‘สิ่งที่ถูกยิ่งกว่า คือ เราไม่ไปตัดสินคนอื่น ดีที่สุด’ 


ผมชอบคำพูด ที่ว่า ‘โลกเราเจริญเพราะ ความรัก’ ...ใช่!! เราทั้งสร้าง พัฒนา ทำสิ่งที่ดีเพราะเรามีความรัก ....แต่ถ้าวันใดที่ความเกลียดเกิดขึ้น เราอยากที่จะทำลาย ...ทำลายทั้งคนรอบข้าง และ ทำลายตัวเอง ...ให้มันพังกันทุกคน !! (ไม่น่าจะดีนะ)


6. ‘เลือกสิ่งที่เสี่ยงกว่า ที่เราคุมความเสี่ยงได้’ ...มีน้องมาปรึกษาผมว่า เขาอยากรุ่ง อยากประสบความสำเร็จ ....ผมก็บอกไปว่า ‘ชีวิตคือ ทางเลือกเสมอ’ ...เรามีทางเลือกให้เราได้เลือกตลอดเวลา ...ถ้าอยากก้าวหน้า ก็ให้เลือกทางเลือกที่เสี่ยงกว่า แต่ให้แน่ใจว่า ความเสี่ยงนั้นไม่ทำให้ชีวิตพัง 


เส้นบางๆ ระหว่าง การพนัน กับ การลงทุนอย่างชาญฉลาด ก็คือ การควบคุมความเสี่ยง บนทางที่เราเลือกเองนั่นแหละ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม




7 ข้อควรรู้กับการ อดทนรวย

 7 ข้อควรรู้ กับการ ‘อดทนรวย’


คำว่า ‘อดทนถึงที่ได้ดีทุกคน’ สามารถใช้กับหุ้นได้ ..แต่!! คุณต้องเข้าใจ 7 ข้อนี้


1. ‘อดทนรวย ใช้ได้กับสินทรัพย์เท่านั้น’ ...การจะถือแล้วรอให้สิ่งนั้นราคาขึ้นจนเรารวย ต้องแน่ใจว่า สิ่งนั้น เป็น สินทรัพย์ (ถ้าไม่ใช่สินทรัพย์ ทนถือไป ก็ไม่ขึ้น เสียเวลาเปล่า)


2. ‘มันต้องไม่ใช่เงินทั้งหมดของคุณ’ ...คนส่วนใหญ่มักมีแนวคิดกับการลงทุนคล้ายๆ การพนัน คือ จัดเต็ม มีเท่าไหร่ใส่หมด!! ...เออ!! มันเหมาะกับธุรกิจนะ แต่มันไม่เหมาะกับการลงทุน ...การลงทุนต้องลงเป็นพอร์ต ไม่ใช่ใส่เป็นตัว ต้องระวังจุดนี้ให้ดีครับ


3. ‘เราต้องตีมูลค่าของสินทรัพย์เป็น’ ...ในเรื่องหุ้น การตีราคาสินทรัพย์ คือ เราต้องอ่านงบการเงินได้ ...พูดง่ายๆ คือ อ่านงบ ต้องบอกได้ว่า หุ้นตอนนี้ ถูกหรือแพง (แต่แค่นี้ไม่ใช่ทั้งหมดนะ การรู้ว่าถูกหรือแพง มันแค่เริ่มต้น ก้าวแรกของการเป็นนักลงทุนจริงจัง)


4. ‘เข้าใจวัฏจักรของราคา’ ...ทุกอย่างที่มีราคา ย่อมมี ‘รอบ’ เสมอ ...คือ เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป แล้วเกิดขึ้นใหม่ วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ ....มืออาชีพจะซื้อสินทรัพย์ตอน ดับไป เพื่อรอการเกิดขึ้นใหม่ของรอบต่อไป ...แต่มือสมัครเล่น มักซื้อในช่วงที่ดี มีคนเชียร์ กำลังคึกคัก ซึ่งมักอยู่ในจังหวะที่แพงเสมอ


5. ‘กล้าซื้อในวิกฤต’ ...การกล้าซื้อในวิกฤตเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่จริงๆ มันเริ่มมาจาก เราวางแผนเพื่อเตรียมเงินที่จะซื้อหุ้นในวิกฤต ....เพราะปกติถ้าไม่เตรียม เราจะไม่มีเงินตอนที่ตลาดเกิดวิกฤต (ก็ซื้อไปข้างบนหมดแล้ว พอตลาดเกิดวิกฤต ก็ติดดอย ไม่มีเงินมาช้อนซื้อเพิ่ม) ...ดังนั้น จุดสำคัญ คือ เตรียมเงินก้อนนึงไว้เสมอเพื่อวิกฤต แล้วพอมันเกิดวิกฤต เราต้องกล้าเอาเงินนั้นออกมาซื้อ (ใช่!! โคตรยาก ..คนที่ทำได้เลยโคตรรวยไง)


6. ‘ถืออย่างน้อยผ่าน 2 วิกฤต’ ...ในตลาดหุ้น วิกฤตใหญ่มาทุกๆ 10 ปี ...คนที่เริ่มต้นดี คือ ได้ซื้อตอนวิกฤต ...แต่การจะรวยสุด จนมีอิสรภาพทางการเงิน ต้องกล้าที่จะ ถือผ่าน 2 วิกฤต ...สิ่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่ถือได้แค่รอบเดียวเพราะ ไม่สามารถทนให้ราคาหุ้นย่อลงมาเยอะๆ (พอราคาลงมา ก็ขายไป จากนั้น พอรอบใหม่ ก็ต้องมาเริ่มทุกอย่างใหม่นั่นเอง)


7. ‘สร้างทัศนคติของการคิดต่างอย่างสม่ำเสมอ จนเป็นนิสัย’ ...ข้อนี้สำคัญสุด เพราะ คนที่สำเร็จไม่เหมือนใคร ก็ต้องเป็นคนที่คิดต่างจากคนอื่น ..คำว่า คิดต่างนี่เข้าใจยาก เพราะ ทุกคนก็คิดว่าตัวเองคิดต่าง แต่เอาเข้าจริง มันเหมือนๆ กัน


การจะวัดว่า ‘เราเป็นคนคิดต่าง’ ต้องฝึกดูว่า เราเห็นโอกาสทุกครั้งไหมในเวลาที่เกิดวิกฤต ...เห็นแล้วเรากล้า Take Chance อันนั้นไหม ? ...ก็ถ้า เห็น แต่ไม่ทำอะไร มันก็เหมือนไม่เห็นนั่นแหละ 


‘ก็รู้แบบนี้ ฉันรวยไปนานแล้ว’ ..ครับ!! งั้น รอบนี้ อย่าพลาด ขึ้นครั้งนี้ต้องมีเรานะ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย

http://bls.tips/pawawitTeam 


หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ” 

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2563

7 ข้อ Selfmade ยังไงให้รวยกว่าคนได้มรดก

 7 ข้อ Selfmade อย่างไร ให้รวยกว่า คนได้มรดก


เราปฏิเสธไม่ได้ว่า โลกยุคนี้ คนที่ Selfmade สามารถรวยได้มากกว่าคนได้มรดก ...ไม่ว่าจะเป็น Jeff Bazos , Elon Musk , Mark Zuckerberg ..ถ้าลองไป list รายชื่อจะพบว่า คนที่รวยแบบสุดขีดจำนวนมาก สร้างตัว ด้วยตัวเอง 


ใช่!! บ้านเราอาจจะมีน้อยมาก แต่เราก็เห็น ‘อายุน้อยร้อยล้าน’ เกิดขึ้นจำนวนมาก จากธุรกิจที่หลากหลาย 


ผมขอรวบรวม แนวทางการสร้างตัวของคนเหล่านี้มาให้ 7 แบบ ลองดูซิว่า แบบไหนที่เอาไปปรับใช้กับเราได้บ้าง


1. ‘อย่าคิดใหญ่ ให้ทำอะไรบ้านๆ’ ...หลายคนอาจคิดอยากทำโรงไฟฟ้า ธุรกิจสัมปทาน หรือ ผูกขาด ...นั่นคือ เจ้าสัวยุคเก่าครับ ...เจ้าสัวยุคนี้ เริ่มจากธุรกิจบ้านๆ เช่น ขายสุกี้ , เปิดร้านขนมหวาน , ขายขนมขบเคี้ยว , ขายน้ำดื่ม , ขายคอม , ขายเครื่องสำอางค์ , ขายอาหารเสริม ...ข้อแรก สอนเราว่า อย่าเริ่มแข่งกับคนตัวใหญ่ ให้เริ่มแข่งกับคนตัวเล็ก แล้ววางแผนโตจากจุดนั้นแหละ


2. ‘อย่าแค่ขายดี แต่ให้สร้างระบบ’ ...การขายดีไม่ทำให้เรารวย เพราะ วันนึงขายดี อาจมีวันนึงขายไม่ดี ..สิ่งที่ต้องสร้างคือ ‘ระบบ’ ...ต้องคิดตั้งแต่ยังเล็กๆ ว่า ธุรกิจจะสามารถขยายได้อย่างไรโดยไม่มีเรา ...ท่องไว้ ‘ระบบ’ คือ หัวใจของการขยาย


3. ‘ลูกค้าต้องคลั่งไคล้ในสินค้าเรา’ ...ถ้าธุรกิจเราคือการขายสินค้าธรรมดาเพื่อตัดราคาคนอื่น ต้องปรับตัวด่วน เพราะ มันไปต่อยาก ...ยุคนี้ต้องเริ่มจาก ลูกค้าที่คลั่งไคล้ ...ยอมจ่ายแพง ...ใช้แล้วแนะนำเพื่อนต่อ ...ภาษาคนรุ่นใหม่ เขาบอกว่า ‘มันเริ่มจาก Passion’ ...ก็ถูกของเขานะ ...สินค้าที่ไปต่อได้ นอกจากแค่ คุณภาพดี มันต้องมี ‘อารมณ์’ ร่วม 


4. ‘เข้าตลาดหุ้นได้’ ...เศรษฐีรุ่นใหม่ที่รวยแล้วสบาย คือ คนที่สามารถพาธุรกิจของตัวเอง เข้าไปในตลาดหุ้นได้ ...หัวใจคือ การสร้างระบบ การควบคุมภายใน และ การวางแผนเติบโตอย่างเป็นระบบ ....เงินตัวเอง หรือ เงินกู้ธนาคาร ไม่พอให้คุณโตก้าวกระโดด ...ต้องเงินจากตลาดหุ้น นี่แหละ โตก้าวกระโดดของจริง 


5. ‘อดเปรี้ยวไว้กินหวานได้’ ...โดยปกติคนที่สำเร็จเร็ว ก็อยากโชว์ อยากใช้เงิน ...แต่ถ้าใครใช้เร็วไป มันไปไม่ไกล ...ยกตัวอย่าง คนที่สามารถเข้าตลาดหุ้นได้ จะได้เงินก้อนใหญ่ ...ถ้าเอาเงินก้อนนั้นมาขยายอย่างจริงจัง ก็จะทำให้ธุรกิจโตได้อีกมหาศาล 


6. ‘เลือกทางเดิน ที่เสี่ยงกว่าเสมอ’ ...อันนี้เป็นความแตกต่าง ระหว่าง Selfmade กับ คนที่ได้มรดก ...คนที่ Selfmade มักเลือกทางเลือกที่เสี่ยงกว่า สุดโต่งกว่า ...ส่วนคนที่ได้มรดก จะเลือกทางเลือกที่ปลอดภัย เพราะ เขาเสียไม่ได้ และไม่ควรเสีย ...จุดนี้เอง ทำให้พวก Selfmade เจอโอกาสที่คนอื่นไม่เจอ ...นั่นคือ น่านน้ำใหม่ , ธุรกิจใหม่ ....มันก็เริ่มจาก เลือกทาง ที่ไม่ค่อยมีใครกล้าทำนั่นแหละ


7. ‘กล้าที่จะให้รางวัลลูกน้อง’ ...คนที่ Selfmade เขาหาเงินมาเอง ก็ย่อมกล้าที่จะจ่าย จะให้รางวัลลูกน้องที่เก่ง ...ทำให้เขาได้ใจลูกน้องมากกว่า ...เมื่อทีมแข็ง และ เก่ง มันก็ไปต่อได้ไม่ยาก 


เอาตรงๆ นะ คนที่มีฐาน เขาก็ย่อมมีแต้มต่อ เริ่มง่ายกว่า แต่หลังจากนั้น มันขึ้นกับ ฝีมือ และ การต่อยอด ที่จะกำหนดว่า ด้วยตัวเรา เราไปได้ไกลแค่ไหน 


เอาใจช่วยนักสู้ชีวิตทุกคน ...จัดไปครับ !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2563

จุดเริ่มต้นในตลาดหุ้นของผม

 


‘จุดเริ่มต้นในตลาดหุ้นของผม’ 
 
..ไม่ได้แบบอยู่ดีๆ ก็ค้นพบพรสวรรค์ ...เอาว่า จุดเริ่มต้นของผมในตลาดหุ้น คือ ช่วงที่ผมอายุ 20 กว่าๆ ไปเรียน ป.โท ที่ออสเตรเลีย แล้วก็ทำธุรกิจร้านอาหารไปด้วย ...คือ แบบเปรี้ยว ฟิตจัด ...เจ๊งครับ!! ...เรียนก็ไม่จบโท ...อ้าว ซวยดิ!! 
 
เคว้งเลย.. แบบเป๋เลยกรู !! ...เอาตรงๆ วันนั้น มันไปต่อไม่ได้ แต่ไม่อยากกลับประเทศ ...อยากกลับบ้านเก่ามากกว่า (วันนี้ย้อนนึกแล้วขำ แต่เอาตรงๆ วันนั้น ไม่ขำ)
 
เวลาผมทำอะไร ทุ่มสุดๆ ...ก่อนเจ๊ง นี่เกือบรวยเลยนะ เพราะ เปิดร้านอาหารไปตั้ง 5 สาขา แล้วกำลังวางแผนจะทำ แฟรนไชส์ แต่ดันมาเจอวิกฤตเศรษฐกิจ ....สายป่านไม่พอ ก็จบ ...รู้เลยว่า ‘คนต่างชาติ มันเป็นชนชั้นที่ไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะเอเชียอย่างเรา’ ..เลยเข้าใจคนเลยว่า การเริ่มอะไรเองมันยากแค่ไหน 
 
‘เอาเถอะ ผ่านมาแล้ว’ ...แต่คุ้มนะ ...ผมว่า การล้มเหลวในวันนั้น มันสอนอะไรเยอะมาก
ที่สำคัญมันลด ego ลง และเพิ่มความฉลาดมากขึ้นว่างั้น
 
...จริงๆ กลับประเทศไทยมาในเวลานั้น ...โคตรเข็ดขยาด ไม่กล้าทำอะไรแล้ว กลัวล้มอีก ...ก็เลยไปสมัครเป็นลูกจ้าง ...หางานทำ ...ผมจะมาเอาดีกับการเป็นลูกจ้าง แล้วไต่เต้าเป็นผู้บริหารมืออาชีพให้ได้ !!!
 
....จุดเริ่มต้นในตลาดหุ้นของผมคือ พ่อเรียกไปคุย บอกว่า ไม่ต้องไปคิดมาก ที่เอาเงินที่บ้านไปเจ๊งที่ออสเตรเลีย
 
“เอ่อ!! พ่อครับ ...พูดแบบนี้ ผมคิดมาก หนักเข้าไปอีก”
 
พ่อบอกว่า เงินที่เจ๊งไปแล้วช่างมัน แต่พ่อแม่เหลือเงินเก็บอยู่นี่ก้อนสุดท้ายแล้ว ...เอาไปช่วยดูซิ ว่า จะลงทุนยังไง ให้มันดี 
 
....ผมนอนไม่หลับเลย ....เอาตรงๆ ที่กลับมาเป็นลูกจ้าง เพราะ ไม่อยากเป็นภาระให้ครอบครัวอีก ...ไม่อยากจะแตะเงินที่บ้านอีกแล้ว ...เจ๊งไปเยอะแล้ว พอแล้ว 
 
...แต่ก็ พ่อให้โจทย์มาแล้ว ผมก็ต้องทำ 
 
‘โจทย์ผมก็คือ เสียไม่ได้ เพราะ นี่เป็นเงินเกษียณก้อนสุดท้าย ...’
 
...เข้าตลาดปั๊บ ...ต้นปี 2008 ...ปลายปี Hamburger Crisis ...’รับน้องใหญ่เลย !!’ ...อวกดิครับ เข้าตลาดปั๊บ ก็เจอ วิกฤตตลาดหุ้น 2008 อีก !!
 
ผมได้เรียนรู้ ก็คือ 
 
1. ‘โลกนี้ช่างโหดร้าย โดยเฉพาะโลกการเงิน’ ...ไม่มีอะไรง่ายๆ ...ดังนั้น ผมจะซื้อหุ้นเวลาที่ผมรู้สึก ไม่สบายใจ กังวล (ถ้าซื้อหุ้นตอนที่เราสบายใจ แปลว่า ซื้อแพง ...เดี๋ยวมีหนาว ...ถ้าซื้อหุ้นถูก ต้องตอนที่ไม่สบายใจ งงๆ แบบตลาดหุ้นไทยปีนี้เลย)
 
2. ‘อะไรที่คนอื่นว่าดี แปลว่า มันไม่มีกำไรเหลือแล้ว’ ...ถ้าใครชวนผมลงทุนในอะไรก็ตามที่มันกำลังฮิต ...ใครๆ ก็กำไร ....ผมจะถอย ...หรือ ถ้าผมมี ผมจะทยอยขายทิ้ง เพราะ หลังจากนั้นไม่นาน นรกรอ เราอยู่แน่นอน
 
3. ‘เตรียมพอร์ต สำหรับ Worst Case ที่สุดเสมอ’ ...มีคนถามผม ทำไมผมเล่นหุ้นชิวมาก ...ผมบอกเลย หุ้นระยะยาวทุกตัวที่ผมเลือก ผมวางเลย ว่า ถ้าไม่ศูนย์ไปเลย ก็ 5 เด้ง ...สมมุติพอร์ตผม 1 ล้าน ผมเลือกหุ้นเลย 10 ตัว ลงตัวละ แสน ...ทุกตัวต้องซื้อ ‘ต้นรอบ’ ...ก่อนซื้อ มันต้องมีศพข้างบนเยอะๆ แล้วอ่านงบ ต้องรอดได้แบบไม่ต้องเพิ่มทุน ...หุ้นพวกนี้ ถ้าไม่เจ๊งไปเลย ก็หลายเด้ง (ด้วยวิธีการนี้ ผมแค่เลือกหุ้นถูกสัก 2 ใน 10 ตัว พอร์ตก็โตกระฉูดละ ...แล้วหุ้นที่เจ๊งไปเลย เอาตรงๆ นะ อย่างมาก มี 1-2 ตัว พอร์ต ก็แทบไม่กระทบ) ...ถ้าทำนานพอ พอร์ตโตขึ้น ทีนี้ปันผลเริ่มเลี้ยงเราละ 
 
4. ‘ออมในหุ้นไปเลย’ ...พูดง่ายๆ ถือหุ้นแทนเงินฝากเลย ...ซื้อหุ้นดี ในจุด ต้นรอบ จากนั้นไม่ขายเลย ...ถือรับปันผล ...ให้ปันผลนั่นแหละเลี้ยงเรา ...ผมคำนวณแล้วว่า ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ วันนึง ต้องรวยก่อนเกษียณแน่ๆ
เอาเข้าจริง ทำมาแค่สิบกว่าปี ...ปันผลผมมากกว่า ค่าใช้จ่ายรายเดือนแล้ว ...เฮ้ย!! นี่มันคือ Passive Income มากกว่า expense ก็คือ อิสรภาพทางการเงินแล้ว 
 
ไม่ได้รวยมากมาย ...แค่เริ่มสบายทางการเงิน ...พอเรามี passive แบบนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเลิกทำงานนี่ ? ...เพียงแต่เราทำงาน แบบไม่กดดัน 
 
สรุปว่า สิ่งที่ผมเรียนรู้ มันทำแล้วดี ...มันดีกว่า แนวคิดตอนเด็กๆ ที่ทำสุด ถ้าไม่สำเร็จ กรูยอมตาย ...นั่นมันละครน้ำเน่า ...จะพันล้านอะไรบ้าบอ 
 
ชีวิตจริงน่ะ ...มันต้องวางแผนชัด ไม่เพ้อฝัน แล้วอดทนทำตามแผน ...ผมฟันธงเลย คนที่สำเร็จในชีวิตจริง มันต้อง ‘วิธีการชัด แล้วอดทน’ 
 
อดทนรวย !! ....ใช่ ‘อดทนรวย’ ครับ
 
เขียนมาซะยืดยาว จะบอกว่า ‘แนวทางการลงทุนของผม ...ผมได้เขียน แชร์ ทั้งวิธีคิด วิธีทำ ไว้ในหนังสือเล่มใหม่’ ...หนังสือ มือใหม่หุ้น ลงทุนเก่ง 
 
ก็ฝากไว้ครับ สำหรับคนที่สนใจลงทุนในหุ้น หรือ จะซื้อฝาก พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน แฟน ...ส่งความรู้และแรงบันดาลใจ ในการเปลี่ยนชีวิต ผ่านหนังสือ ที่อ่านง่ายๆ ตรงๆ กันได้ครับ
จัดไป !! ‘อดทนรวย’ 
 

หนังสือ มือใหม่หุ้น ลงทุนเก่ง วางแผงแล้วครับ

 

‘ทยอยวางแผงแล้วครับ ที่ร้าน SE-ED น่าจะทุกสาขานะครับ’ ...หรือ สั่งซื้อที่ร้าน SE-ED ออนไลน์ ได้ที่ลิงค์นี้ครับ
....หนังสือเล่มในรอบ 5 ปีของผมเลย ..’ห่างหายจากการออกหนังสือเล่มใหม่ไปนานมากเลย!!’ 😅
 
...’เล่มนี้เขียนเพื่อให้ คนที่เป็นมือใหม่สนใจเล่นหุ้น หรือ คนที่กลับมาเล่นหุ้น ให้เข้าใจตลาดหุ้นยุคนี้ที่เปลี่ยนแปลงแบบง่ายๆ สไตล์ผม 
 
คือ เล่นหุ้นให้ถูก มันต้องไม่ซับซ้อน และ ผลลัพธ์แบบเหนื่อยครั้งเดียวแต่ให้ผลลัพธ์ตลอดไป’

‘อยากเข้าใจหุ้นยุคนี้ แบบง่ายสุด ถูกสุด ..หนังสือเล่มนี้เลย ..ส่งต่อความรู้ และ แรงบันดาลใจ ของตัวเรา หรือ ให้เพื่อน พี่ น้อง ก็ใช้หนังสือนี่แหละครับ!!’

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2563

หนังสือ มือใหม่หุ้น ลงทุนเก่ง


‘ทำไมผมยังเขียนหนังสือ ที่เป็นเล่มอยู่ ...ยุคนี้ไม่มีใครอ่านหนังสือกันแล้ว!!’ 

  ...ต้องบอกตรงๆ ว่า ผมเริ่มจากการเป็น ‘นักเขียน’ ...เขียนหนังสือหุ้น ก็เป็นสิบปีละ ...เขียนมาเป็นสิบเล่ม สิ่งที่ผมสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลง ก็คือ ‘คนซื้อหนังสือน้อยลงเรื่อยๆ ...เอาจากตัวผมเอง ก็ยังซื้อหนังสือน้อยลงเลย’ ...แต่คนอ่านไม่ได้ลดลง ...ทุกคนวันนี้คนกลับอ่านเพิ่ม ศึกษาเพิ่ม ‘คนรุ่นใหม่ใฝ่รู้กันมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่รูปแบบการอ่านมันเปลี่ยนไปก็เท่านั้นเอง’ 

  แต่ส่วนตัว ผมก็ยังคิดว่า ‘หนังสือที่เป็นเล่มมันยังมีเสน่ห์’ ...แม้จะทำแล้ว แทบไม่ได้เงินก็ตาม ฮ่า ฮ่า ฮ่า (หัวเราะแบบแห้งๆ ..555) 

1. มันราคาไม่แพง ใครๆ ก็ซื้อได้ 

2. มันรวบรวมความคิด แบบไม่กระจัดกระจาย 

3. มันส่งต่อแรงบันดาลใจ (อยากให้ของขวัญเปลี่ยนชีวิตดีๆ ก็ซื้อหนังสือดีๆ ให้ ...ใช้เงินน้อยสุด ในการเปลี่ยนชีวิตแล้ว) 

4. ‘Classic’ มันขลังดี ...บทความออนไลน์เขียนแล้วมันหายไป แต่หนังสือ มันจารึกตลอดไป ...ขลังโคตรๆ ละ เลยต้องทำต่อไป ‘หนังสือ เล่มใหม่นี้ มีดีอะไร ?’ 

 พอผมอายุมากขึ้น ..ประสบการณ์มันก็เพิ่ม ...ความเกรียนมันก็ลด ...เวลากลับไปเปิดอ่านหนังสือเล่มเก่าๆ บางทียังรู้สึกว่า ‘ช่างกล้านะ’ ...วันนี้พอเราผ่านเรื่องราวต่างๆ ...เราก็รู้จักตัวเองมากขึ้น ...ชัดเจนขึ้น และ เลือกสิ่งที่ใช่กับตัวเรา

 หนังสือ ‘มือใหม่หุ้น ลงทุนเก่ง’ เล่มนี้ก็เช่นกัน ผมเขียนขึ้น ให้คนรุ่นใหม่ที่สนใจหุ้น สามารถเข้าใจตลาดหุ้นที่เปลี่ยนไป ได้แบบง่ายๆ ...พร้อมทั้งเสนอแนะวิธีการที่ผมทำแล้วได้ผลดี ... ‘ทำยังไงให้รวยจากหุ้น ...ต้องรวยแล้วสบายด้วย ไม่ใช่แค่รวยเฉยๆ’ 

ใครกำลังศึกษาเรื่องหุ้น หรือ อยากส่งต่อ ความรู้และแรงบันดาลใจให้เพื่อน พี่น้อง หรือใครก็ตาม ก็ลองใช้หนังสือเล่มนี้ได้ครับ จัดไป 

 #มือใหม่หุ้นลงทุนเก่ง #ภาววิทย์กลิ่นประทุม

7 หลักคิด ผ่านทุกวิกฤตสบายสบาย

 7 ข้อคิด ปรับตัวอย่างไรในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี


วันนี้คนบ่นกันเยอะว่า เศรษฐกิจไม่ดี ขายของไม่ได้ คู่แข่งก็เพิ่ม แต่รายจ่ายก็ไม่มีลด ...แต่ก็มีหลายๆ คนที่แทบไม่กระทบเลย ..บางคนดีขึ้นอีก ...เอาตรงๆ พวกนี้เขามีของดีอะไร จะไปเช่ามาบูชาบ้าง !!


ผมพอจะสังเกตแล้ว รวบรวมวิธีคิดของคนที่ปรับตัวได้ แถมดีขึ้น ทุกวิกฤต มาลองดูกัน


1. ‘คนเหล่านี้ไม่เคยคุยเรื่องปรับตัวเลย ...เพราะ เขามีวิถีการทำงานที่ต้องปรับตัวตลอดเวลาอยู่แล้ว’ ...งานแบบใหม่ มันจะต้องปรับปรุงให้ดีขึ้นทุกวัน อย่างพวกงานไอที เราจะเห็นเขาเขียนโปรแกรมพัฒนา version ไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ...ถ้าเราฝึก ปรับปรุงงานที่เราทำทุกวัน เราจะแทบไม่ต้องสนคำว่า ปรับตัว เพราะ เราทำอยู่แล้วเป็นวิถีชีวิตของเราเลย


2. ‘คนที่มุ่งสร้างรายได้หลายทาง’ ...สมัยก่อนจะพูดกันว่า ต้องมีเงินเก็บ แต่เอาตรงๆ นะ ยุคนี้ ต้องมีรายได้หลายทาง ...อย่างผม สายหุ้น ก็ต้องมี ‘ออมหุ้น’ บ้าง เพื่อรับปันผลชิวๆ ไม่ใช่มัวแต่เทรด ...สายธุรกิจก็ต้องมีสร้างระบบ สร้างเชน ขายแฟรนไชส์อะไรก็ว่าไป


3. ‘คนที่ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ’ ...วันนี้เราเห็นธุรกิจโตเร็ว ออนไลน์อะไรพวกนี้ เพิ่งมาบูม ไม่กี่ปีเอง ...แปลว่า คนที่เป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ ก็คือคนที่เรียนรู้และทำสิ่งใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ ...อย่าหยุดเรียนสิ่งใหม่ๆ ครับ แล้วโอกาสใหม่ๆ จะโผล่มาเรื่อยๆ


4. ‘อย่าดูถูกเงินน้อย’ ...บางคนไม่ริเริ่มทำอะไรใหม่ๆ เพราะ มองว่า เงินมันน้อย ไม่คุ้ม ...แต่ธุรกิจรุ่นใหม่ๆ ก็เริ่มยากจุดที่เงินน้อยทั้งนั้นแหละ ...เราเห็นไอเดียที่สมัยก่อนไม่ได้เรื่อง กลายเป็นธุรกิจรุ่งเรือง เพราะ เทคโนโลยีมันเปลี่ยน เช่น ธุรกิจเล็กแต่กล้าสร้างแบรนด์เอง (ถ้ายุคก่อน ต้องรับจ้างผลิต) แต่ยุคนี้มีออนไลน์ ธุรกิจเล็กก็สร้างแบรนด์ได้ แล้วใหญ่ได้ ...ต้องกล้าเปิดใจมองครับ


5. ‘โอกาสไม่อยู่ที่คิด แต่อยู่ที่ทำ’ ...หมดยุคนักคิดแล้วครับ ...ยุคนี้เป็นยุคของนักทำ ...เอาตรงๆ ถ้าคุณไปศึกษา Model ของ Start up จะเห็นเลยว่า ธุรกิจรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ ไอเดียตอนเริ่ม กับ วันที่สำเร็จ มันแทบจะเป็นคนละเรื่องกันเลย ...ใช่ !! ทำเลย แล้วค่อยๆ คิดตามไป 


6. ‘เงินใครล่ะ’ ...เรื่องเงินเป็นปัญหาของธุรกิจสมัยก่อน แต่ทุกวันนี้ ถ้าคุณมีธุรกิจที่ดี ...มีคนพร้อมลงทุนให้คุณ ...แต่เงินก้อนแรก ต้องเป็นเงินเรา ...’เงินยุคนี้ สามารถวิ่งเข้ามาอย่างไม่จำกัด สำหรับธุรกิจที่ดีเท่านั้น ....ส่วนธุรกิจธรรมดา แค่หาเงินมาหมุนยังแทบไม่รอด!!’


7. ‘คุมรายจ่าย ให้เหมือนเศรษฐกิจย่ำแย่ตลอดไป’ ...คนที่ผ่านได้ทุกวิกฤต คือ คนที่คุมรายจ่ายได้ดี ...คิดง่ายๆ แบบนี้ ‘สิ่งที่เราได้ ควรมากกว่าที่เราจ่ายเยอะๆ’ เช่น ซื้อของ ลองดูซิว่า สิ่งที่เราได้รับคุ้มเงินที่จ่ายไหม ...ใช่!! ส่วนใหญ่ไม่คุ้ม (ต้องพยายามลด) ....เวลาลงทุนผม แหย่ เสมอ คือ เริ่มน้อย แต่ถ้าอันไหนดี ค่อยอัดเพิ่มหนักๆ 


หรือ อย่างใช้เงิน ผมสร้างกฏเหล็กกับตัวเองว่า ของที่ไม่จำเป็น ผมต้องใช้เงินปันผล มาซื้อเท่านั้น


 (ไม่ใช่แค่เอากำไรมาซื้อนะ ...นี่เอาปันผลมาซื้อ ...แปลว่า เงินต้นยังอยู่ตลอด) 


ผมว่า 7 ข้อคิดนี้ น่าจะสร้าง ‘วิถีของคนที่สามารถผ่านได้ทุกวิกฤตครับ’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2563

6 ข้อ เจ้าของรู้อะไรที่รายย่อยไม่รู้

 6 ข้อ เจ้าของรู้อะไรที่รายย่อยไม่รู้


บางครั้งรายย่อยคิดว่าเจ้าของรู้ แต่จริงๆมันไม่ใช่ ...มาดูกัน


1. ‘พื้นฐาน คือ เจ้ามือตัวจริงในระยะยาว’ ...ถ้าผลประกอบการดี ยังไงหุ้นก็ขึ้น ...แต่งงบ ยังง่ายกว่า พยายามลากหุ้นขึ้น 


2. ‘หุ้นที่รายย่อยถือเยอะ มันจะหนัก แล้วก็ขึ้นน้อย’ ...หุ้นที่จะขึ้นเยอะๆ เจ้าของต้องเก็บหุ้น ในช่วงที่รายย่อยขายหุ้น ...ถ้ารายย่อยถือน้อย หุ้นจะเบา วิ่งง่าย ว่างั้น


3. ‘การลากแล้วเทขาย มันรวยน้อย ...ที่รวยมากคือ ลากทั้งพื้นฐานและราคา’ ...ยุคก่อนจะเห็นเจ้ามือ ลากหุ้นแล้วขายทิ้ง ...แต่ยุคนี้มันกลายเป็น ลากให้ทะลุฟ้าไปเลย ...รวยสุด ยุคนี้ การเทขายเอาเงินสด เป็นเรื่องรอง


4. ‘นักลงทุนที่กำไร จะช่วยให้หุ้นน่าสนใจขึ้นไปอีก’ ...หุ้นช้ำ กับ ไม่ช้ำ คือ อยู่ที่คนเสียหายในหุ้นนั้นๆ ...ยิ่งหุ้นตัวไหน ทำคนเสียหายเยอะๆ ...อนาคตของหุ้นก็จะมืดมนตาม !!


5. ‘หุ้นก็เหมือนสินค้า จะฮิต จะแพง มันต้องมีศิลปะ’ ...เริ่มจากของมันดีจริงไหม ...คนซื้อแล้ว เขาได้กำไรไหม ..โฆษณาเกินจริงไหม ...มีพ่อยก แม่ยกไหม ...ทำให้หุ้นน่าสนใจ เหมือน สินค้ายอดนิยม


6. ‘หุ้นใหญ่ไปโตยาก แตกแล้วโตรวยกว่า’ ...บริษัทแม่ มันใหญ่ โตยาก ...ยุคที่โลกผันผวนแบบนี้ แตกธุรกิจแล้วขยายให้เร็ว รวยกว่า 


ก็พยายาม รู้ให้ทันเจ้า เราก็พอจะหาที่ยืนได้ครับ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 ข้อ เร่งพอร์ตอย่างไร ให้ไม่เสี่ยง ไม่เจ๊ง

 6 ข้อควรรู้ ‘เร่งพอร์ตอย่างไร’ ให้ไม่เสี่ยง ไม่เจ๊ง


การเร่งพอร์ต ก็คือ การใช้ Leverage เข้ามาช่วย ซึ่งมีอยู่หลายวิธี ...ก็เอาที่เรารับความเสี่ยงได้น่ะดีที่สุด


1. ‘ซื้อเพิ่มเมื่อถูกทาง’ ...รายย่อยมักคิดว่า ‘รู้งี้ซื้อมากกว่านี้ !!’ แต่จริงๆ เราสามารถซื้อหุ้นเพิ่มเมื่อมันขึ้น ...บางคนอาจมองว่าซื้อแพง แต่จริงๆ มันคือ ซื้อถูก ตราบเท่าที่หุ้นยังอยู่ใน Trend ขาขึ้น


2. ‘หุ้นไม่ขึ้น หรือ ลง ให้ขายทิ้งไป’ ...อันนี้ก็เป็นการคัดหุ้นที่ยังไม่ใช่ขาขึ้นออกจากพอร์ต ...บางทีหุ้นนั้นๆ อาจจะพื้นฐานดีนะ แต่มันยังไม่ใช่ขาขึ้น ...การขายทิ้งไปก่อน ก็ทำให้เรามีเงินไปซื้อหุ้นที่ขึ้นได้มากขึ้น


3. ‘การเข้าครั้งแรก ต้องเตรียมพลาดเสมอ’ ..การเตรียมพลาด คือ ไม่ทุ่มเต็มหน้าตักในครั้งแรก เพราะ เราไม่มีทางรู้ว่า หุ้นที่เราเลือกจะขึ้นจริงอย่างที่เราคิด


4. ‘การซื้อสวนเทรนด์ ต้อง Limit เป้าซื้อชัดเจน’ ...ปัญหาของการช้อนซื้อหุ้นถูก คือ มันลงต่อไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นขาดทุนหนักได้ ..ดังนั้น เราต้องกำหนดก่อนเลยว่า หุ้นตัวนั้น จะซื้อมากที่สุดแค่ไหน ...แล้วก็ทยอยซื้อแค่นั้นพอ


5. ‘ต้องแบ่งเงินมาซื้อหุ้นเติบโตด้วย’ ...อาจจะแบ่งสัก 10-20 % ของพอร์ต มาเลือกหุ้นเติบโต ...ซึ่งบางครั้ง หุ้นที่เติบโต อาจดูไม่ถูก และ ปันผลไม่สูง ณ จุดที่ซื้อ แต่ถ้ามันโต ก็ยอมรับได้


6. ‘การใส่ Leverage และ Margin ต้องมีจุด Stop Loss ที่ชัดเจน’ ...ถ้าเราใช้ Leverage หรือ Margin อย่าพนันกับมัน ...ถ้าผิดทาง ต้องหนีให้เร็ว ...จะได้มีโอกาสมาสู้ครั้งใหม่เสมอ


ใช่!! เราเร่งพอร์ตให้โตเร็วๆ ได้ ...แต่อย่าลืมประเมินความเสี่ยงครับ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

8 ข้อต้องดู นักลงทุนสาย growth

 8 ข้อต้องดู นักเล่นหุ้นสาย growth


เดิมทีเล้นหุ้น value ก็ปันผลดีอยู่แล้ว ...แต่ยุคนี้ ควรคัดหุ้น growth เข้าพอร์ตด้วย เพื่อเร่งให้พอร์ตเราโตเร็วขึ้น


มาดูกันว่า ต้องมองอะไรบ้าง


1. ‘หุ้นตัวไม่ใหญ่’ ...เอา Market Cap. ต่ำกว่าหมื่น ...หุ้นเล็ก เบากว่า มันจะขึ้นได้เร็วและแรงกว่า


2. ‘ธุรกิจอยู่ในตลาดที่ขายง่าย’ ...ยกตัวอย่าง สินค้าอุตสาหกรรม ย่อมขายยากกว่า สินค้าอุปโภคบริโภค (ยุคนี้คนเก่ง ไม่สำคัญเท่าคนที่อยู่ถูกที่ ถูกเวลา)


3. ‘มี Net Profit Margin สูง’ ...สินค้าที่มีความสามารถในการแข่งขัน ย่อมทำให้ธุรกิจ ได้กำไรสูง 


4. ‘อยู่ในธุรกิจที่คู่แข่งอ่อนแอ’ ...คิดง่ายๆ ถ้าคู่แข่งเป็นรายใหญ่ ...ก็มักจะขยายยาก ไปต่อยาก


5. ‘ธุรกิจขยายได้ โดยไม่ต้องลงทุนสูง’ ...ธุรกิจโบราณเน้นความใหญ่ ทุนสูง แล้วผูกขาด ...แต่ยุคนี้เน้นธุรกิจตัวเบา วิ่งไว ปรับตัวเก่ง


6. ‘มองเห็นว่า กำไรโต 3 เท่า ใน 5 ปี ทำได้ไหม’ ...นี้คือ โจทย์คัดหุ้น 5 เด้ง ของผม ...ถ้าคุณทำกำไรบริษัทโตได้ 3 เท่า ใน 5 ปี ...คุณคือ หุ้น 5 เด้งครับ


7. ‘ต้องเป็นหุ้นที่ไม่ค่อยมีคนขาย’ ...ดูง่ายๆ ว่า ไม่มีคนขาย คือ เวลาตลาดลง หุ้นตัวนี้จะลงน้อยกว่าตลาด ...เวลาตลาดขึ้น หุ้นตัวนี้จะขึ้นมากกว่าตลาด (ใช้กราฟช่วยดูประกอบ)


8. ‘เจ้าของต้องเข้าใจเกมการเงิน’ ...Money Game ต้องใช้ให้ครบเครื่อง ...M&A เป็น , เข้าใจ Warrant , ...เอาง่ายๆ เจ้าของ รู้จักใช้เครื่องมือทางการเงินเข้ามาช่วย (หุ้นที่เจ้าของเข้าใจเครื่องมือทางการเงิน มักเทรด P/E ค่อนข้างสูง)


ก็คร่าวๆ เอาไว้ดูหุ้น growth ครับ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

7 ข้อ หุ้นต้องห้าม อย่าเข้าไปยุ่ง

 7 ข้อ หุ้นต้องห้าม อย่าเข้าไปยุ่ง


 มีหุ้นบางตัวที่อยากจะเตือนรายย่อยว่า เราไม่ควรเข้าไปยุ่ง เพราะ เสียหายหนักกันมาเยอะแล้ว


1. ‘หุ้นที่ไม่มีผู้ถือหุ้นใหญ่’ ..พวกหุ้นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่มี หรือ ถือน้อย เช่น ผู้ถือหุ้นใหญ่สุด ถือ 5% อะไรพวกนี้ ระวังให้มาก ...คิดง่ายๆ ถ้าหุ้นดี มันต้องมีเจ้าของ 


2. ‘หุ้นที่ Volume เข้า แบบผีเข้า ผีออก’ ...หุ้นที่ Volume การซื้อขายแบบแปลกๆ ...ต้องระวังว่า เวลา Volume หาย อาจขายไม่ได้ ติดนานเลย


3. ‘หุ้นที่ธุรกิจไม่มีกำไร’ ...หุ้นที่ไม่มีกำไร มันต้องระวังเป็นพิเศษ คิดง่ายๆ ธุรกิจขาดทุน มันจะดีได้อย่างไร 


4. ‘หุ้นที่ ไม่มี สินค้าขายดี’ ...หุ้นบางตัว เปลี่ยนธุรกิจไปเรื่อยๆ มั่วไปตามกระแส ย่อมไม่ใช่ธุรกิจที่ดี ...หุ้นดี สินค้าต้องดี ลูกค้าต้องชัดเจน และ ค้าขายแบบยั่งยืน


5. ‘หุ้นที่ P/E สูง แต่กำไรดันไม่โต’ ...หุ้น P/E สูงได้ ถ้า E หรือกำไร มันโตจริงๆ ...แต่ก็ต้องระวังว่า การเติบโต มันคงไม่มีตลอดไป ...สุดท้ายถ้า P/E สูงเกินไป หรือ นานเกิน ก็ต้องระวังให้ดี


6. ‘หุ้นที่มีข่าวดีเยอะๆ’ ...ข่าวยิ่งดี ยิ่งเป็นปลายรอบ ...คิดไว้เลยว่า ใกล้ดอย แล้ว !! 


7. ‘หุ้นที่เจ้าของและรายใหญ่ แห่ขาย’ ...ยิ่งหุ้นแพง ทั้งเจ้าและนักลงทุนรายใหญ่ ยิ่งอยากขาย เพราะ เขาต้นทุนต่ำ ...คนเหล่านี้ขาย รายย่อย ต้องระวัง


ก็เป็นข้อสังเกตคร่าวๆ สำหรับหุ้นที่รายย่อยควรระวัง 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

8 ข้อ ที่เรามักคิดผิดในตลาดหุ้น

 8 ข้อ ที่เรามักคิดผิดในตลาดหุ้น


1. ‘ราคาหุ้นกับพื้นฐาน ต้องไปด้วยกัน’ ...อันนี้ต้องระวัง เพราะ หุ้น กับ พื้นฐาน สามารถวิ่งไม่เหมือนกัน หรือ บางครั้ง วิ่งตรงข้ามกัน เป็นเวลานานเลยทีเดียว


2. ‘ตลาดหุ้นเสี่ยงมากกว่าทำธุรกิจ’ ...ใช่ หุ้นมันเสี่ยง แต่จริงๆ เราจำกัดความเสี่ยงได้ ด้วยการ Stop Loss และ กระจายความเสี่ยง ...จุดนี้ทำให้การเล่นหุ้นเสี่ยงน้อยกว่าการทำธุรกิจ


3. ‘หุ้นทุกวันนี้ผันผวน จนไม่น่าถือยาว’ ...แต่ในระยะยาว ความผันผวนจะลดลง และ ผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้น ...ยิ่งวางแผนจะถือหุ้นนานแค่ไหน ความผันผวนยิ่งลดลง


4. ‘ตราสารหนี้ปลอดภัยกว่าหุ้น’ ...นั่นคือทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติจริง ...เวลาธุรกิจมีปัญหา เขาก็ไม่จ่ายหนี้เช่นกัน ...ดังนั้น เวลาวิกฤตมันก็เสี่ยงเหมือนกัน แต่ตอนดี หุ้นขึ้นได้มากกว่าเยอะ


5. ‘การ DCA ต้องเลือกทำในหุ้นที่มั่นคง’ ...จริงๆ การ DCA ควรทำใน กองทุนดัชนี พวก ETF ...ดีกว่า ทำกับหุ้นรายตัว (เพราะ ETF กระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า และ ใช้เงินเริ่มต้นน้อยกว่า)


6. ‘หุ้นที่ยอดฮิต ต้องรีบซื้อ’ ...ส่วนใหญ่หุ้นยอดฮิต มักทำให้รายย่อยเสียหาย ...เพราะเข้าแพง แล้วติดดอย ขาดทุนหนัก


7. ‘ตลาดมีแต่ข่าวร้าย อย่าเล่นหุ้น’ ...ในตลาดจริงๆ เราจะสามารถซื้อหุ้นดี ในราคาถูก ก็เฉพาะเวลาที่มีตลาดมีข่าวร้ายเยอะๆ นี่แหละ 


8. ‘คนที่รวยจากหุ้น คือ คนที่ซื้อขายเร็วๆ’ ...คนที่ซื้อขายบ่อยๆ มักผิดพลาดสูง ...แต่คนที่ถือหุ้นนานที่สุด มักรวยที่สุด เพราะ หุ้นยิ่งถือนาน ยิ่งขึ้นแบบทบต้น


ลองทบทวน วิธีคิดของเรา แล้วปรับเปลี่ยนให้เราคิดแบบผู้ชนะในตลาดหุ้นนะครับ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

10 ข้อใช้ดู ว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้น

 10 ข้อต้องดู ‘จะรู้ได้อย่างไร ว่าหุ้นตัวนี้จะขึ้น ?’


มีนักลงทุนมือใหม่ มาถามผมตรงๆ เลยว่า ...พี่แพ้ท จะรู้ได้ไงว่าหุ้นจะขึ้น ?


ผมว่า เขาคงอยากฟังว่า ‘ผมรู้ข้อมูลวงใน แบบ insider อะไรแบบนั้น ..แต่ไม่ใช่เลยครับ’ 


เอาเป็นว่า ผมขอรวบรวมจุดสังเกต อะไรที่บอกว่าหุ้นอาจจะขึ้น มาให้ลองไปดูกัน


1. ‘มี Volume เข้า’ ...ถ้า Volume เข้า ก็แปลว่า มีคนเริ่มให้ความสนใจหุ้นตัวนี้


2. ‘Free Float ลดลง’ ...การดู Free Float จะบอกว่า รายย่อยถือกี่เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด ...ถ้ามันลดลง ก็บอกเป็นนัยๆ ว่า มีรายใหญ่มาเก็บหุ้น


3. ‘ขาดทุนลดลง’ ..โดยมากหุ้นจะลง ในตอนที่ธุรกิจขาดทุน ...การขาดทุนที่ลดลง ก็อาจเป็นสัญญาณที่ดี ในการหยุดลง และ อาจเป็นจุดกลับตัวของหุ้นได้


4. ‘Free Cashflow เริ่มเป็นบวก’ ...อันนี้ก็เป็นสัญญาณที่ดี ...ที่บอกว่า การเงินเริ่มเข้าที่เข้าทาง (เวลาหุ้นขึ้นรอบใหญ่ๆมักเป็นช่วงที่ Free Cashflow เป็นบวก)


5. ‘มีข่าวมากขึ้น’ ...แต่ข้อเสียของข่าว คือ บางครั้งกว่าจะมีข่าวดี หุ้นก็ไปไกลแล้ว ...เราเลยใช้เป็นเพียงส่วนประกอบ


6. ‘มีข่าวร้าย แต่หุ้นไม่ลง หรือเริ่มขึ้น’ ...อันนี้โชว์ ความต้องการซื้อที่ไม่ใช่รายย่อย (เพราะ รายย่อยชอบซื้อข่าวดี ...คนซื้อในข่าวร้าย มักเป็นรายใหญ่)


7. ‘ระดมได้เงินเพิ่ม’ ..อาจจะเป็นการ เพิ่มทุนสำเร็จ ...แน่นอน คนถือเดิมอาจไม่ชอบ แต่ส่วนใหญ่หลังเพิ่มทุน มักทำให้ธุรกิจผ่านวิกฤตไปได้ (อันนี้รวมถึง Biglot / การควบรวมกิจการ ต่างๆ ด้วย)


8. ‘มีสัญญาณ Divergence ทางเทคนิค’ ...ถ้าราคาลงต่อ แต่ indicator ไม่ลงต่อ หรือขึ้น อาจเป็นจุดที่น่าลุ้นในการกลับตัวของหุ้น


9. ‘ราคาเริ่มขึ้น’ ...อันนี้ดูกราฟตรงๆ เลย ...ก็พอราคาเริ่มขึ้น ก็อาจเป็นจุดเริ่มของการกลับตัวได้ 


10. ‘เข้ากับกระแสของกองทุน’ ...ต้องยอมรับว่า เงินของกองทุน มีผลต่อหุ้นมากในปัจจุบัน ...ซึ่งกองทุนมักเล่นหุ้นเป็นรอบ มี Theme ที่ค่อนข้างชัดเจนว่า ช่วงนี้จะเล่นหุ้นกลุ่มไหน ...ส่วนใหญ่ หุ้นกลุ่มนั้นก็จะได้รับผลพลอยได้ไปด้วย


ก็ลองใช้เป็นข้อสังเกต ทำการบ้านหาหุ้นขึ้นกันนะครับ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย

http://bls.tips/pawawitTeam 


หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ” 

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ