แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2565

เมื่อตลาดหุ้นเปลี่ยน แล้วเราปรับตัวยังไง ?

 ‘เมื่อตลาดหุ้นเปลี่ยนไป’ 


การอยู่ในตลาดหุ้นนานๆ มันทำให้เราเห็นสัจธรรมบางอย่าง …ถ้าจะสรุป สั้นๆ ต้อง บอกว่า ตลาดหุ้นไม่เคยเหมือนเดิม 


ในอดีตหุ้นใหญ่ๆ มันให้ผลตอบแทนดีมาก เรียกได้ว่า แค่ซื้อแล้วถือหุ้นใหญ่ ก็รวยไม่รู้เรื่องแล้ว …นั่นก็เพราะ แต่ก่อนประเทศไทยอยู่ในช่วงที่เริ่มต้น …ดังนั้น ธุรกิจใหญ่แทบทุกตัว ก็อยู่ในช่วงเติบโต …ยกตัวอย่าง 7-11 แค่ขยายสาขาก็ทำไม่ทันแล้ว …แต่มาวันนี้ธุรกิจต่างๆ เริ่มขยายถึงจุดอิ่มตัว นั่นคือ ขยายต่อในประเทศยากแล้ว


มันถึงเกิดหุ้นยุคที่สอง คือ หุ้นขนาดกลางที่เติบโต …ยกตัวอย่าง ธุรกิจเช่าซื้อ หรือ บัตรเครดิต ซึ่งจริงๆ ถ้ามองให้ดีธุรกิจเหล่านี้ ก็คือ ส่วนนึงของธุรกิจใหญ่ แต่แตกแขนงออกมา จับลูกค้าในกลุ่มที่ยังเติบโต …ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ ก็โตมาในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา หลังจากวิกฤต Subprime จนถึงตอนนี้ ก็เรียกได้ว่า ถึงจุดอิ่มตัวเช่นกัน 


ก้าวเข้าสู่ยุคที่สาม …ยุคนี้ถ้าดูให้ดีจะเห็นว่า ทั้งธุรกิจยุคที่หนึ่งและสองก็ขยายมาแทบจะเต็มที่ …แล้วเรามาเจอกับจุดเปลี่ยน ซึ่งก็คือ โควิด …และตามมาด้วยวิกฤตการเงินใหม่ ซึ่งไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว 


…โลกเรากำลังจะเปลี่ยนผ่านจากยุคที่ 


1. ‘ต้นทุนทางการเงินต่ำ’ ไปสู่ ‘ต้นทุนทางการเงินสูง’


2. ‘วัตถุดิบที่เคยมีอย่างล้นเหลือ’ ไปสู่ ‘วัตถุดิบที่จำกัด และแพงขึ้นเรื่อยๆ’ …พลังงานที่ถูกสู่พลังงานแพง …ค่าขนส่งถูก สู่ค่าขนส่งแพง


3. ‘ผู้บริโภคที่มีตัวเลือกน้อย’ ไปสู่ ‘ผู้บริโภคที่มีอำนาจเหนือธุรกิจ’ เพราะ ทุกธุรกิจต่าง ลดแลกแจกแถม แข่งกันแย่งลูกค้า


4. ‘เทคโนโลยี Disrupt ที่ลดต้นทุนธุรกิจ’ ไปสู่ ‘เทคโนโลยีที่ลดต้นทุนต่อไม่ได้ จนต้องหันกลับมาแค่เอาตัวรอดยังเหนื่อยเลย’ …มันจบยุคการ Burn เงิน แจกฟรี ..มาสู่ยุคที่ธุรกิจต้องหากำไรจากลูกค้า เพิ่มราคา หันมาทำกำไร เอาตัวรอดแทน


…การลงทุนจึงต้องเปลี่ยนตาม …คำถาม คือ แล้วเราจะปรับตัวยังไง เพื่อหากำไรในข้อจำกัดที่รุมเร้า ?


มาดูกันว่า ธุรกิจที่จะรอดแล้วรวย สร้างกำไรให้นักลงทุนในยุคนี้ ต้องมีหน้าตาอย่างไร ?


1. ‘เป็น Niche ไม่ใช่ Mass’


2. ‘อยู่ในธุรกิจที่มี Margin สูง’ …กำไรเป็นตัวบอกว่า ลูกค้าคือใคร 


3. ‘ขยายดีในประเทศ ดีกว่าต้องขยายไปต่างประเทศ’ 


4. ‘ควบคุมต้นทุนได้ดี’ 


5. ‘ทำธุรกิจที่เหมาะกับศักยภาพของประเทศ’ …อย่างคนไทยเหมาะกับธุรกิจชิวๆ สบายๆ เที่ยวๆ มากกว่าไปแข่งดุเดือด ทำเทค ทำอุตสาหกรรม มันก็ไม่ตรงจริต


6. ‘เจ้าของมีวิสัยทัศน์ ในการสร้าง และการเติบโต’ ..ไม่ใช่แนวตีหัวเข้าบ้าน เอากำไรสั้นๆ 


แต่เอาตรงๆ นะ …มันก็ไม่มีหุ้นที่มีคุณสมบัติครบหรอก …ถึงมี ราคาหุ้นมันก็จะไม่เคยถูก 


โจทย์มันจึงกลับมาหาเราในฐานะ นักลงทุน ต้องเลือก ต้องบริหาร และ ปรับพอร์ตของตัวเองอย่างต่อเนื่อง 


ใช่!! ‘ซื้อหุ้นแล้วถือเฉยๆ ก็รวย’ มันได้ผ่านเราไปแล้ว 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 ข้อ คิดได้ไง …สายไปแล้วพี่ !!

 5 ข้อ คิดได้ไง …สายไปไหมพี่ ?


สายพื้นฐาน สายเทคนิค สายซิ่ง …เอาตรงๆ เลย ‘สายไปไหมพี่ ?’ 


1. ‘เขาหงายไพ่หมดแล้ว’ …พื้นฐานก็ออกมาดีแล้ว …ใครๆ ก็ต้องมีกันหมดแล้ว …แล้วมันจะเหลือเรื่องๆ ดีๆ อะไรให้ประหลาดใจอีกล่ะ ?


2. ‘คนอื่นเขากำไร จนโพสโชว์กันเต็มฟีด’ …ก็เขากำไรกันหมดแล้ว ต้องถามว่า แล้วมันจะเหลืออะไรให้เรานอกจาก ดอย!! 


3. ‘สวนมวลชน ต้องเร็ว แล้วซิ่งเลย’ …ช่วงหลังนี่มักจะเห็นคนจำนวนมากชอบไปสวนอะไรที่มันจะเจ๊ง แล้วคิดว่า เข้าแล้วจะได้ถือยาวให้มันกลับไปดี …เอาตรงๆ นะ มวลชน เขาไม่ได้หมูแบบที่เราคิด ถ้ามันแย่ขนาดที่ทุกคนเห็นพร้อมกัน แปลว่า มันพังจริงๆ …เกมนี้ถ้าอยากสวน ต้องเข้าเร็ว เล่นเด้ง แล้วรีบออกให้ไว (เพราะ ถ้าถือต่อ สถิติจะบอกคุณว่า เละ!!) 


4. ‘หุ้นจบรอบใหญ่ เข้าเร็วไป อาจไม่ใช่เรื่องดี’ …ปรับฐาน ต่างกับ จบรอบ ตรงที่ปรับฐาน คือ ลงแล้วขึ้นเลย ทำ New High ต่อ …ส่วนจบรอบคือ พื้นฐานเปลี่ยน ลงแล้วเละ …ถ้าจบรอบใหญ่ ให้ฝุ่นหายตลบ สงบนิ่งๆ แล้วค่อยๆ เข้าก็ยังทัน


5. ‘ของที่ใครๆ ก็ต้องมี …อย่าซื้อเลย อย่ามีดีกว่า’ …เข้าตำรา อะไรที่มันดูดีเกินไป …จริงๆ มันก็ดีเกินไปนั่นแหละ …แปลว่า คุณสายไปแล้ว …ไม่คุ้มที่จะเข้าไปแล้ว …ไม่มีกำไรเหลือแล้ว


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 ข้อสังเกต ระหว่าง หุ้นที่ควรถือยาว กับ หุ้นตีหัวเข้าบ้าน

 6 ข้อสังเกต ระหว่าง หุ้นที่ควรถือยาว กับ หุ้นตีหัวเข้าบ้าน 


มีคำถามที่น่าสนใจว่า ดูยังไงว่าหุ้นตัวไหนยาวๆ กับ ตัวไหนเอากำไรเร็วๆ 


1. ‘ดูว่าเจ้าของถือเยอะไหม’ …ถ้าเจ้าของถือเยอะ ก็มีแนวโน้มที่เราจะอยู่ยาวๆ ได้ เพราะ เมื่อเขาถือเยอะ เขาก็มีแนวโน้มที่จะสร้างประโยชน์ต่อการถือนั่นเอง 


2. ‘ดู Volume การซื้อขาย’ …ถ้า Volume การซื้อขายรุนแรง ก็มีแนวโน้มจะจบเร็ว …ยิ่งการซื้อขายรุนแรงมากก็ยิ่งมีแนวโน้มจะจบเร็วขึ้น 


3. ‘หุ้นอยู่ในธุรกิจที่เป็นแค่กระแส หรือเป็น Megatrend’ ..ถ้าเป็นกระแส ก็ไม่น่าจะยาว มาเร็วไปเร็ว …แต่ถ้าเป็นหุ้น Megatrend เราอาจลุ้นรอบใหญ่ๆ ได้ (แต่ที่สำคัญกว่า ก็คือ ต้นทุนที่เราเข้านั่นแหละ)


4. ‘ดูความสูงชันของการขึ้นและลง’ …ราคาก็เหมือนน้ำ ถ้ามันชันก็มีแนวโน้มที่จะจบเร็วกว่าการค่อยๆ ขึ้น …การลงก็เหมือนกัน ถ้าลงชันมากก็มีแนวโน้มจะจบเร็ว


5. ‘ดูข่าว กองเชียร์ และ ความคึกคัก’ …ปลายยอดใกล้ๆ ดอย ก็จะมีกองเชียร์เยอะ …เพราะรายย่อย ยิ่งย่อย ยิ่งต้องการแรงเชียร์ …ตรงข้ามกับ จุดกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้นรอบใหม่ ต้องไร้กองเชียร์และ ไร้ความคึกคัก 


6. ‘เส้นบางๆ ระหว่าง การพักฐาน กับการลงจบรอบ’ …อันนี้ดูจุดเริ่มต้นของการขึ้น ถ้าขึ้นมาไกลแล้ว ก็เดาง่ายๆ ว่า อาจลงจบรอบ …สิ่งที่เราต้องคิดคือ ทุกรอบการขึ้น มันมีต้นทุนเสมอ 


ใช่!! เมื่อมีต้นทุน ย่อมต้องมีการถอนทุน เป็นเรื่องปกติ


โห!!! …ยาก …ก็นั่นแหละ เราถึงต้องฝึกฝน หัดสังเกตและ ลองผิดลองถูกอยู่ตลอดเวลา


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2565

5 ข้อ รู้ไว้ ใครๆ ก็รวย ใครๆ ก็ประสบความสำเร็จ

 5 ข้อ ‘ทำไมใครๆ ก็รวย …ใครๆ ก็ประสบความสำเร็จ ?’ 


อันนี้เป็นคำถามที่น้องๆ หลายๆ คนถาม เป็นการส่วนตัว …แน่นอน คำถามแบบนี้ ใครอยากให้คนอื่นรู้ …เราต่างพยายามไม่ให้คนอื่นรู้ว่าจริงๆ เราเครียดนะ …ชีวิตเราไม่ได้ดีแบบที่เราโพสลง social นะ 


โอเคเรามาดูกันว่า ใครๆ ก็รวยและประสบความสำเร็จ นั่นคือ ใคร ?


1. ‘งานที่รายได้เยอะในยุคนี้แทบทุกงาน เป็นงานที่ไม่มั่นคง’ …จะพูดว่ายุคนี้อาจจะไม่ถูก เพราะ ทุกยุคก็แบบนี้แหละ เพียงแต่ยุคนี้ชัดเจนมาก …งานเงินเยอะ เป็นงานที่ไม่แน่นอน ต้องเสี่ยง ต้องหาจังหวะ …เช่น งานขาย งานอิสระ …งานพวกนี้ ต้องรอดาวเรียงกัน ดังนั้น พอเงินมา มันจะมาแบบคาดการณ์ไม่ได้ ถ้าบริหารเงินไม่ดี ซวยหนัก เพราะ ตอนมาก็ใช้แหลก ตอนไม่มา ทำยังไงก็ไม่มา


2. ‘เราเลือกจะดูดีวันนี้ มากกว่าความมั่นคงในอนาคตที่มองไม่เห็น’ …ถ้าให้ซื้อของแล้วทำให้เราดูดีวันนี้เลย กับ ลงทุนเพื่ออนาคต …แทบไม่ต้องคิด ก็เลือกวันนี้เลย …นี่ก็อีกเหตุผลที่คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยมีการลงทุนระยะยาวเพื่ออนาคต เพราะวันนี้จับต้องได้มากกว่า


3. ‘การออกจากบ้านเร็ว เพื่อชีวิตที่อิสระ’ …ก็ได้ความอิสระ แต่ภาระหนักจนเดือนชนเดือน เพราะการมีชีวิตของตัวเอง มันมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก …คนรวยหลายๆ คน สร้างตัวได้เพราะเลือกที่จะออกจากบ้านให้ช้าที่สุด


4. ‘การใช้ชีวิตกับ เงินทุนตั้งต้น’ ..ใช่!! มันต้องเลือกว่า เราจะ รีบใช้ชีวิต เที่ยว หาประสบการณ์ กับ การเก็บเงินเพื่อให้มีเงินทุนตั้งต้น …มันไม่ไปด้วยกัน …ชีวิตมันจึงคือ ทางเลือก ว่าเราจะเลือกอะไรก่อน …ส่วนใหญ่จะเลือกใช้ชีวิต เลยไม่มีเงินทุนตั้งต้นสักที


5. ‘ใครๆ ก็เป็นหนี้’ …แต่ใครๆ ที่เป็นหนี้ ส่วนใหญ่ ไม่มีเงินเก็บ แถมชีวิตจะมีแต่ปัญหาเรื่องเงิน …คนที่เป็นหนี้ จะมีแต่ปัญหาเรื่องเงิน เพราะ หนี้มันกดดัน …ใครเป็นหนี้จะเข้าใจเลยว่า การเป็นหนี้ง่าย แต่การออกจากหนี้ แทบเป็นไปไม่ได้เลย !!


อยากจะสรุป ว่า ‘ใครๆ ก็สำเร็จ?’ …ไอ้ใครที่ว่านั้น คือใคร …เราแค่มองคนอื่นดีกว่าตัวเอง ซึ่งในความเป็นจริงกับสิ่งที่เห็นในยุคนี้ โคตรจะแตกต่าง 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2565

5 เรื่องของการทนรวย ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง

 5 เรื่อง ของการ ทนรวย ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง


‘การทนรวย’ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เรา รวยเปลี่ยนหลัก ..พอร์ตโตอย่างก้าวกระโดด …แต่ ไม่ง่ายไง 


มาดูกันว่า …อะไรที่มันอยู่เบื้องหลัง การทนรวย


1. ‘การทนรวย ไม่ใช่แค่ซื้อแล้วทนๆ ถือไป’ …ถ้าแค่ซื้อแล้วไม่ขาย คนจำนวนมากคงรวยกันไปหมดแล้ว


2. ‘การซื้อหุ้นต้นรอบ สำคัญมากที่จะทำให้เราทนรวยสำเร็จ’ …ใช่!! คนส่วนใหญ่คิดจะทนรวย แต่ดันซื้อหุ้นที่ขึ้นมาเยอะแล้ว (ไม่ใช่ต้นรอบ) …เมื่อไม่ใช่ต้นรอบ มันก็ไม่คุ้มที่จะถือเฉยๆ เพราะ สุดท้ายราคามันอาจลงมาต่ำกว่าจุดที่เราซื้อนั่นเอง


3. ‘เราต้องมีเงินสำรองที่อื่น หรือ มีหุ้นที่เราไม่ทนรวยด้วย’ …เพราะถ้าเราซื้อแล้วไม่ขายทุกตัว เวลาตลาดปรับฐานแรงๆ เราจะรู้สึกเซ็งมากๆ หรือ ขาดสภาพคล่องจนต้องขายออกมาในที่สุด


4. ‘การขายออกบางส่วน ช่วยในเรื่องจิตวิทยา ของการถือยาว’ …หลักๆ การขายบางส่วน มันช่วยในเรื่องจิตวิทยา ที่ทำให้เราสามารถทนถือส่วนที่เหลือซึ่งเป็นส่วนใหญ่ ได้ดีกว่าไม่ขายเลย (เพราะการแกว่งของหุ้นบางครั้งลง 30-50% ..การปรับฐานขนาดนั้น อาจทำให้เราผิดหวัง จนอาจทำให้เราเลิกคิดที่จะทนรวยไปเลยก็ได้) 


5. ‘หุ้นที่ควรจะทนรวย ควรเป็นหุ้นที่เป็น Megatrend’ …เราต้องพยายามหาให้ได้ว่า Megatrend รอบต่อไป คืออะไร ? …ซึ่งไม่ง่าย เพราะ เราจะชอบหุ้นที่เคยดีมาแล้ว ..หุ้นที่ดีมาแล้ว ส่วนใหญ่ไม่ใช่หุ้นที่น่าจะทนรวยในรอบต่อไป 


Megatrend คือ ธุรกิจที่กำลังจะเข้าสู่ขาขึ้นในรอบใหญ่ ..ใช่!! ผมก็อยากรู้ เพราะ ถ้าผมรู้ ผมก็จะพยายามที่จะไม่ขายหุ้นนั้น จะทนรวยให้นานที่สุด


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2565

5 ข้อควรรู้ ในวันที่พอร์ตระเบิด

 5 ข้อ ควรรู้ในวันที่ พอร์ตระเบิด 


1. ‘วันที่เราพอร์ตระเบิด ก็คือ วันที่ตลาดหุ้นอยู่ในโซนที่เริ่มน่าซื้อรอบใหม่’ …โหดร้ายนะ เราพัง แต่นั่นคือโอกาสสร้างตัวของอีกคนนึง


2. ‘อย่าพยายามเอาคืน จากสิ่งที่ทำให้เราพัง’ …ไม่เช่นนั้น เราจะพังเพิ่ม …เช่น เรา bet ขาขึ้น แต่หุ้นมันลงเอา ลงเอา …คราวนี้เราก็เปลี่ยนมา Short สวนทันที ส่วนใหญ่ มักจะซวยซ้ำ โดนหนักเข้าไปอีก …หรือเรามั่นใจซื้อหุ้นตัวนึง ว่าถูกแล้ว มันยังลงไปถูกสุดๆ คราวนี้เราเลยทุ่มสุดตัว ซื้อเยอะเข้าไปอีก ผลลัพธ์มักจะซวยเพิ่มครับ


3. ‘เสียใจได้ แต่อย่าเลิกเล่น’ …ทุกคนเคยพอร์ตระเบิดครับ แค่เขาไม่ได้เล่าให้เราฟัง …อย่าเลิก สู้ต่อไป แค่วันนี้ไม่ใช่วันของคุณ …ทำต่อ ทนต่อ ให้มันถึงวันที่เป็นของคุณ 


4. ‘เริ่มใหม่ จากเงินที่เหลืออยู่’ …เงินที่เหลืออยู่คือของจริง …ไม่ต้องไปคิดว่าเคยมีเท่าไหร่ เพราะ มันหมดไปแล้ว …เริ่มใหม่จากเงินที่มี กับประสบการณ์ที่มากขึ้น


5. ‘บทเรียนที่มีค่า ที่เราได้รู้ในวันที่เสียหายคืออะไร’ …สิ่งนี้แหละ ที่จะทำให้เราชนะในครั้งต่อไป 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

7 หลักการ ‘หลอกล่อ’ ในตลาดหุ้น ที่หลอกมือใหม่ได้เสมอ

 7 หลักการ ‘หลอกล่อ’ ในตลาดหุ้น ที่หลอกมือใหม่ได้เสมอ


1. ‘หุ้นที่ทุกคนคิดว่ามันจะดี มันจะไม่ดี’ …ดอกแรกจัดไป ‘ดอย’ 


2. ‘หุ้นที่ทุกคนคิดว่าแย่ มันมักจะมีการเด้ง’ …มีคนกำไรจากหุ้นห่วยแตกเสมอ 


3. ‘หุ้นที่ขึ้นจนเป็น Super Stock แล้ว จะตามมาด้วย Lost Decade’ …เอาภาษาง่ายๆ คือ รอบต่อไป มันจะห่วย 


4. ‘หุ้นเก็งกำไรที่ขึ้นแรง ก่อนลงจริงจัง มันมักจะมีเด้งให้ออกของ แต่คนส่วนใหญ่กลับซื้อหนัก แล้วติดดอยนาน….น…น’ …ผิดจังหวะอย่างแรง


5. ’หุ้นที่นะขึ้นรอบใหญ่ พอมันย่อแรง คนจะออกไปหมดก่อนที่มันจะขึ้นแรงจริง’ …รอบใหม่ รอบใหญ่ คนส่วนใหญ่ทนรวยไม่ได้เสมอ


6. ‘หุ้นดีที่ลงเยอะ ถูกแสนถูก ยังไงก็ไม่ขึ้น ถ้ารายย่อยไม่ยอม Cut Loss’ …ถ้ารายย่อยที่ติดหุ้นไม่ขาย ยังไงหุ้นนั้นก็ไม่ขึ้น


7. ‘จุดสูงสุด และต่ำสุดของหุ้น ไม่เคยมีอยู่จริง’ …อย่าเป็นคนที่มั่นใจสุดโต่ง เพราะ จะซวยในที่สุด


ใช่!! เจ็บจนมึน …เมื่อไหร่หายมึน เมื่อนั้นก็ รวย !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 ประสบการณ์การกำไรหุ้น ที่ผมอยากเล่าให้ฟัง

 6 ประสบการณ์กำไร ในหุ้นที่ผม เอามาเล่าให้ฟัง 


1. ‘ซื้อหุ้นหลังจากที่เขาเพิ่มทุนไปแล้ว’ …พอหุ้นได้เงินเพิ่มทุน ก็ทำให้มีโอกาสสูงที่จะมีรอบต่อไป จากเงินที่ได้รับมานั่นแหละ 


2. ‘ซื้อหุ้นที่เพิ่ง IPO เข้ามาแล้วลงเละ’ …ปกติหุ้น IPO เข้ามาควรจะขึ้น เพราะเขาวางแผนมาหลายปีแล้ว ยิ่งได้เงิน IPO มาอีก ยิ่งเสมือนติดปีก …ซึ่งลักษณะแบบนี้มักเกิดจากเข้ามา IPO ในช่วงตลาดแย่พอดี …พอตลาดรวมมันแย่ ก็ต้องปล่อยให้หุ้นลงไปก่อน จึงเกิดโอกาสขึ้นนั่นเอง


3. ‘ซื้อหุ้นที่ลงจนจบรอบ’ …ลงเฉลี่ยก็แถวๆ 70% จากยอดดอย และ RSI Month Oversold …มันก็ไม่ใช่ทุกตัวที่จบรอบแล้วจะขึ้นแรง แต่มันก็มีลุ้นเยอะกว่าไปไล่ซื้อแถวยอดดอย


4. ‘ซื้อหุ้นเล็กที่ Market Cap. ไม่สูง แล้วเราสามารถประเมินว่ามันควรจะไปได้เท่าไหร่’ …อันนี้ก็มีลุ้นว่า จะมีรายใหญ่มาเล่น ลาก กระชาก ถู อะไรก็ว่าไป …อันนี้เป็นแนวเก็งกำไร ต้องใช้เงินที่พร้อมเสียได้ 100% …ซึ่งเราก็ย่อมต้องคาดหวังว่า ถ้ามีใครมาเล่น เราต้องได้หลายร้อยเปอร์เซ็นต์นั่นเอง


5. ‘ถือยาวหุ้นที่อยู่ใน Megatrend’ …หุ้นแบบนี้คือซื้อแล้ว ทนถืออย่างเดียว เอาให้นานที่สุด …เพราะ ถ้าธุรกิจอยู่ใน Megatrend เอาตรงๆ ยังไงมันก็โต …เขาเรียกว่า อยู่ถูกที่ถูกเวลา …คนไม่ต้องเก่งมาก แต่อยู่ถูกที่ถูกเวลา นี่รวยมากกว่าคนเก่งอีกนะ 


6. ‘ซื้อหุ้นปันผลสูง ในวิกฤต แล้วถือยาวเลย’ …อันนี้คือ ซื้อหุ้นปันผล ในเวลาวิกฤต เราจะได้ กระแสเงินสดต่อเนื่องเลย …แม้ว่าหุ้นแนวนี้จะไม่ได้วิ่งหลายๆ เด้ง เหมือนแนวอื่น แต่มันให้ เงินสดเราเรื่อยๆ สบายๆ เลย


ก็ลองดูครับ เผื่อเป็นแนวทาง ให้คุณหากำไรกันบ้าง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 ลักษณะของหุ้นที่น่าซื้อในโลกเงินเฟ้อสูง

 5 ลักษณะของหุ้นที่ควรซื้อในโลกเงินเฟ้อสูง


ตอนนี้ใครๆ ก็รู้ว่า โลกกำลังเข้าสู่เงินเฟ้อ …พูดง่ายๆ คือ ข้าวของ ค่าครองชีพ และ ราคาสินทรัพย์ พุ่งกระฉูด ซึ่งเกิดจาก 2 ปัจจัย หลักคือ 1. Cost Push คือ ต้นทุนดัน และจะตามมาด้วย 2. Demand Pull คือ ความต้องการคน อยากได้ของก็ยอมจ่ายแพงขึ้น


…หลายคนก็สงสัยว่า เศรษฐกิจแย่ๆ แบบนี้ ทำไมของขึ้น …เอาตรงๆ แค่เรามองไปรอบๆ ตัวก็พอจะเดาได้แล้วว่า ทุกอย่างแพงขึ้น …น้ำมันขึ้น ไฟฟ้าขึ้น ค่าขนส่งขึ้น อาหารกำลังขึ้นตาม เดี๋ยวก็ค่าแรงขึ้น …ที่ขึ้นหนักเลยก็คือ ของที่จับกลุ่มคนรวย (เพราะโควิดแทบไม่กระทบคนรวย) ของกลุ่มนั้นก็ยิ่งขึ้นหนักเลย 


มาดูกันว่า หุ้นแบบไหนน่าซื้อในภาวะแบบนี้


1. ‘หุ้นที่จับกลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อย’ …จะพูดชัดๆ ก็ คือ กลุ่มคนมีเงิน ว่างั้นเถอะ 


2. ‘หุ้นที่ทำธุรกิจ ที่ราคาสินค้าไม่อยู่ในการควบคุม’ …หลักๆ ก็ไม่ใช่ของจำเป็นพื้นฐาน เพราะ พวกนั้นรัฐบาลไม่อยากให้ขึ้น ต้องมีการเตะสกัดขากัน เหนื่อยหน่อยละ 


3. ‘หุ้นที่เป็นเจ้าของแบรนด์’ …หลักๆ สินค้ามันก็มี 2 แบบ คือ หนึ่ง สินค้าไม่มีแบรนด์ ก็ Commodity พวกนี้แข่งด้วยราคา พอเงินเฟ้อก็เหนื่อย ..สอง สินค้ามีแบรนด์ อย่างน้อยก็พอมี มาร์จิ้น ให้พอเอาตัวรอด เพราะ ไม่ได้แข่งที่ราคาอย่างเดียว 


4. ‘หุ้นที่ธุรกิจแข็งแกร่ง และยังไม่หยุดขยาย’ …ถ้าธุรกิจแข็งแกร่งแต่ไม่ขยายก็กลายเป็นธุรกิจ Cash Cow ปันผลสูง แต่ธุรกิจไม่โต …ถ้าเราอยากได้หุ้นที่ขึ้นต่ออีกหลายๆ เด้ง ก็ต้องเลือกหุ้นที่เขายังขยายอยู่นั่นเอง (อย่างหุ้นในตลาดไทย ขยายในประเทศ น่าสนใจกว่าธุรกิจที่ต้องขยายไปต่างประเทศ เพราะ ในเวลานี้ขยายไปต่างประเทศมันยากกว่า) 


5. ‘หุ้นที่เจ้าของ ยังถือในสัดส่วนที่เยอะ’ …หุ้นทุกตัวมันก็เริ่มจากเล็กไปใหญ่ …ตอนเล็กๆ เจ้าของก็ยังถือเยอะ แต่พอธุรกิจใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เจ้าของก็ขายออกไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายกลายเป็นหุ้นมหาชนไปในที่สุด …ช่วงที่โตหลายเด้งมากที่สุดของหุ้น ก็ช่วงที่เจ้าของผู้ก่อตั้งยังถือเยอะนั่นเอง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2565

ผลงานหนังสือ 2 เล่ม ล่าสุด


 ผลงานหนังสือ 2 เล่มล่าสุดของผม …เขียนเอาใจ ทั้ง ‘มือใหม่’ และ ‘มือเก๋า’ ที่อยากเปลี่ยนแปลงการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ที่มันเปลี่ยนแปลง (โคตรๆ) 


…ถ้าใครมองข้ามตลาดหุ้นไทยในเวลานี้ แล้วคิดว่า ประเทศไทยไม่มีอนาคต หุ้นไทยไปต่อไม่ได้ …คุณอาจจะพลาดรอบการขึ้นครั้งใหญ่ แบบเปลี่ยนชีวิตกันเลยทีเดียว …บร๊ะเจ้า !!


- 20 ปีก่อน โอกาสรวยหุ้นไทย อยู่ในหุ้นตัวใหญ่


- 10 ปีที่ผ่านมา โอกาสรวยหุ้นไทย อยู่ในหุ้นขนาดกลาง


- 10 ปีนี้ โอกาสรวยหุ้นไทย จะอยู่ในหุ้นขนาดเล็ก (Small Stock, Great Profit)


- โลกธุรกิจวันนี้เปลี่ยนจากโลกที่ ‘ดอกเบี้ยต่ำ’ เข้าสู่โลก ‘ดอกเบี้ยสูง’ …ธุรกิจที่กู้หนัก ไม่ปรับตัว ไปไม่รอด


- โลกที่เงินเฟ้อต่ำ …เข้าสู่โลกที่เงินเฟ้อสูง …ต้นทุนการทำธุรกิจเพิ่มขึ้นมหาศาล ใครต้นทุนแพง ไม่รอด


- ต้นทุนทางการเงินเพิ่มมหาศาล …เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจในตลาดหุ้น ที่เข้าใจการใช้เครื่องมือทางการเงิน


- รายใหญ่ที่ปรับตัวช้า สู้รายเล็กที่วิ่งเร็วไม่ได้ …การแตกเพื่อโต กลายเป็นเทรนด์ใหม่ของหุ้นที่อยากเติบโต


- เส้นแบ่งอุตสาหกรรมหายไป ธุรกิจสามารถขยายตัวได้ไม่จำกัด ตราบเท่าที่บริหารการเงินได้มีประสิทธิภาพ


- การ M&A ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ..เพราะแค่ทำธุรกิจให้ดีมันไม่เพียงพอในปัจจุบัน


- หุ้นมีเจ้าของ ดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่ที่ไม่มีเจ้าของ 


- ทุกธุรกิจมีคู่แข่ง ที่สำคัญคือการเลือกคู่แข่งที่อ่อนแอ หรือ เลือกตลาดที่รายใหญ่ไม่คุ้มจะทำ


- หุ้นเบา ถือแล้วกำไรกว่าหุ้นดี ในสภาวะตลาดแบบนี้


- การกระจายความเสี่ยง แล้วเลือกหุ้นที่เสี่ยง ..ดีกว่า การกระจุกตัวในหุ้นที่ดูปลอดภัย 


- หุ้นมหาชน ไม่เคยทำให้เรารวย …ถ้าจะรวยต้องเข้าก่อนที่คนอื่นจะสนใจ


- หุ้น Super Stock ที่จะวิ่งหลายๆ เด้ง จะไม่ใช่หุ้นตัวเดิม (อย่างน้อยก็จะไม่ใช่หุ้นที่วิ่งดีในรอบที่แล้ว)


- ถ้าคิดจะขายในจุดสูงสุด จะไม่มีทางได้กำไรเยอะ เพราะ จะขายก่อนเสมอ (ทนรวยไม่ได้)


- การซื้อหุ้นในเวลาที่เรารู้สึกว่า กำไรชัวร์ นั่นแหละ เสี่ยงที่สุด (ใกล้ดอยมากที่สุด)


- จุดต่ำสุด หรือ หุ้นต้นรอบ ต้องซื้อหุ้นที่เราไม่คิดจะซื้อ ในเวลาที่เราไม่อยากจะซื้อ


…ที่เหลือ ก็ฝากไปอ่านกันต่อ จากหนังสือ 2 เล่มนี้กันนะครับ …มีวางจำหน่ายที่ร้านหนังสือ SE-ED และ ร้านหนังสือชั้นนำ ทั่วประเทศ 


‘ลงทุนยังไง ไม่ให้เจ๊ง’ กับ ‘หุ้นเล็ก กำไรไม่ธรรมดา’ 


จัดไป!! …กระแทกสมอง …เปลี่ยนแปลงมุมมอง และ วิธีการลงทุน


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ชีวิตและความหมาย ที่ยังไม่มีข้อสรุป

 ‘ชีวิตและความหมาย ตลอดเส้นทางที่เดิน’ …ที่ยังไม่มีข้อสรุป (และก็ไม่น่าจะพบข้อสรุป) …เออ !! ก็แค่จดไว้เฉยๆ แค่นั้นแหละ 


มีคนพูดว่า ‘คนเราเกิดมาเพื่อค้นหาความหมายของชีวิต’ …งง แพล๊บ …เออ!! แล้วถ้าไม่มีความหมาย แล้วมันไม่ใช่ชีวิตหรืออย่างไร ?


‘ก็ไม่ใช่นะ’ …เอาตรงๆ ผมว่า บางครั้งเราก็มีบางช่วงเวลาที่เรา ‘เดินไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดอะไร ..บางทีมันก็สงบจิตสงบใจเหมือนกัน’ 


1. ‘วัยเด็ก ที่เป้าหมายและความหมายถูกคนอื่นกำหนด’ …เป็นช่วงที่เรายังไม่รู้จักตัวเราเองเท่าไหร่ ก็เลยพยายามวิ่งตามสิ่งที่คนอื่นกำหนด โดยเฉพาะ พ่อแม่ และ ผู้ใหญ่


2. ‘วัยรุ่น ที่เราเริ่มเรียนรู้จากสังคม’ ..เราเริ่มรู้ว่า จริงๆ เราทำอะไรได้ อะไรคือข้อจำกัด …มันก็มาถึงทางแยก หรือ ทางเลือกที่เราจะต้องเลือกความหมายในแบบของเรา ซึ่งผลลัพธ์มักจะคือ ความเจ็บปวดจากการได้รู้ว่า โลกมันไม่ได้หมุนรอบตัวเรา


3. ‘วัยทำงานเริ่มต้น’ ..เราเริ่มรู้จักโลกและสังคมมากขึ้น เรารู้ว่าเราเป็นแค่กลไกเล็กๆ ที่หมุนรอบคนที่สำคัญกว่า เช่น รุ่นพี่ หัวหน้า ลูกค้า คู่แข่ง


4. ‘วัยวิกฤตกลางคน’ …หลังจากสำเร็จและผิดพลาดมาพอสมควร เราจะเริ่มตกผลึก …เราจะเริ่มทำเพื่อตัวเองจริงๆ มากขึ้น แคร์คนอื่นน้อยลง 


5. ‘วัยสะท้อน และค้นหาความหมาย’ …ถ้าก่อนหน้านี้ เราค้นหาวัตถุ ..พอถึงวัยนี้เราจะเริ่มค้นหาความหมาย และพบความจริงที่ว่า …ความหมายมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในทุกช่วงเวลา ไม่หยุดนิ่ง


6. ‘วัยตกผลึก และการส่งต่อ’ …เมื่อค้นหาความหมายมากพอ ก็จะพบว่า ทุกอย่างมันไม่ได้มีความหมาย …การปล่อยวางความหมายเป็นเรื่องยาก เพราะ เราใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อค้นหามัน’ 


อ้าว!! แล้วคนยิ่งใหญ่ที่มีความหมายต่อโลกมนุษย์และคนอื่น …เขาก็จะพบว่า ยิ่งเขามีความหมายต่อคนอื่นมากแค่ไหน มันก็ยิ่งไร้ความหมายต่อตัวเขาเองมากขึ้นเรื่อยๆ 


แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น …เราก็ยังคงสนุกกับการหาความหมายในชีวิตของเราต่อไป 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ