แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559

7 สิ่งรู้ไว้ไม่ตกเทรนด์ ปี 2017 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง


7 สิ่งดีๆ ในปี 2017 จับตาไว้ไม่ตกเทรนด์

1. "โอกาสในตลาดหุ้นจะเพิ่มมากขึ้น" ..ดอกเบี้ยขึ้นแต่ช้าโดยเฉพาะบ้านเรา ดังนั้น ตลาดอสังหายังไม่พัง รวมถึงตลาดหุ้น ทำให้ทั้ง 2 ตลาด "บ้านและหุ้น" ไปได้ต่อ ลงมาก็ถือเป็นโอกาส ...ที่สำคัญคนรวย ที่คุมเงินส่วนใหญ่ของประเทศยังจัดเต็มในตลาดหุ้น ..นี่รวมถึงการ เก็งกำไร และ ลงทุน

2. "งานจะเพิ่มขึ้น" ..โอกาสหารายได้เสริมจะเพิ่มขึ้น หากรู้จักนำออนไลน์เข้ามาใช้ในการคิดหาโอกาส ...การคิดหาโอกาสไม่ใช่การคิดว่าจะไปทำอาชีพอะไร หรือ ไปทำงานที่ไหน แต่เป็นการคิดว่า ด้วย "ทักษะและความสามารถ" ที่ฉันมี สามารถไปช่วย "แก้ปัญหาและสร้างประโยชน์ให้ผู้คนได้มากที่สุดแค่ไหน อย่างไร" (นี่คือ โจทย์การปั้นธุรกิจ Start-Up เลยนะ ..รวยจากคิดช่วยแก้ปัญหาให้คนอื่น)

3. "ปี 2017 เป็นปีที่เราสามารถเปลี่ยนชีวิตได้ง่ายมาก" ...เพราะ การเปลี่ยนแปลงนำมาซึ่งโอกาส ..ปี 2017 อาจมีงานหลายๆ ตำแหน่งที่หายไป ..ธุรกิจบางอย่างที่ปิดตัว ..ตกยุคหายไป ...หลายๆ คนอาจตกงาน เปลี่ยนแปลงงาน ถ้ามองเป็นวิกฤตคุณจะเสียเปล่า ...ให้มองเป็นโอกาสในการเลิกทำสิ่งที่ไม่ได้เรื่อง ...ให้เป็นโอกาสให้เราเรียนรู้และทำสิ่งที่ได้เรื่อง ...ทุกการสิ้นสุด คือ การเริ่มต้นสิ่งใหม่ที่ดีกว่า หากเราเปิดใจ และเปิดรับที่จะเรียนรู้และเปลี่ยนแปลง

4. "โลกยุคใหม่ คนตัวเล็กจะเสียงดังมากขึ้น ..มีสิทธิมีเสียงเพิ่มขึ้น" ...วันนี้เราเห็นคนตัวเล็กๆ มากมาย ใช้ Social Media และ ออนไลน์ ในการสร้างจุดยืน แชร์แนวคิด ..แชร์ความรู้ ..และแชร์แรงบันดาลใจ ...คนดังในยุคต่อไป ต้องเป็นคนที่หมั่นสร้างคุณค่าให้ผู้อื่น แล้วสุดท้ายคุณค่านั้นจะสะท้อนกลับมาสร้างประโยชน์และให้คุณค่ากับเราเอง ...ไม่มียุคไหนในโลกที่คนตัวเล็กจะ เสียงดัง และ สร้างตัวทั้งเงินและชื่อเสียงด้วยตัวเอง ได้ง่ายเท่ากับวันนี้

5. "ผมทำทุกอย่างที่พี่แพ้ท พูดเลย แต่ทำไม ผมยังไม่ประสบความสำเร็จ" ...ชื่อเสียงและเงินทอง ก็เหมือนการวิ่งมาราธอน ..ถ้าคุณแน่ใจแล้วว่ากำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง "วิธีคิดถูก & วิธีทำผ่าน" ให้วิ่งต่อไปเรื่อยๆ ..ไม่ต้องหันมาถามว่า "ผมวิ่งมาตั้งนานแล้ว ทำไมยังไม่ถึงอีก!!" ...ให้เชื่อมั่น แล้วก้มหน้าวิ่งต่อไป ...บางทีเส้นชัยอาจใกล้กว่าที่คุณคิด อีกนิดเดียว

6. "การตามเทรนด์ที่ดีที่สุด ฮอตที่สุด ก็คือ การไม่ตามเทรนด์" ...คนที่เก่งที่สุดในจุดที่เขายืน ในทุกอาชีพ ในทุกๆ ที่ ก็คือ คนที่ไม่ตามเทรนด์ แต่เป็นคนที่วิ่งตามหัวใจของตัวเอง ...เราไม่จำเป็นต้องวิ่งตามใคร เพียงแต่ให้ค้นหาและเข้าใจจุดเด่นของตัวเอง พัฒนาและขยายจุดนั้นให้มีประโยชน์ต่อคนอื่น ..ผมเรียกสิ่งนี้ว่า "การนำเทรนด์" ...นำด้วย ตัวตน และ หัวใจที่แท้จริง

7. "ปี 2017 ขอให้เป็นปีที่ดีที่สุดของชีวิตคุณ" ...ก็เพราะ คนเราเริ่มต้นใหม่ได้ทุกวัน ..อย่ายืดติดกับ ตัวตนเดิมๆ ความสำเร็จเก่าๆ ..ชีวิตคือ การเดินไปข้างหน้า ...ค้นค้า ..กล้าลองสิ่งใหม่ ...สร้างงานของคุณ ที่มาจากตัวตนของคุณ ...แล้วสร้างงานของคุณให้เป็นแรงบันดาลใจต่อคนอื่น ...แล้วผมเชื่อว่า ปี 2017 นี้จะเป็น

ปีที่เริ่มสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตคุณ

สวัสดีปีใหม่ครับ !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2559

การสอนคนจับปลา มันดีกว่าเอาปลาป้อนใส่ปากผู้คน

 

การสอนให้คนจับปลา มันดีและยั่งยืนกว่า การเอาปลาป้อนใส่ปากผู้คน!!


-- 'หลายคนสงสัยว่า ทำไมผมต้องสอนการเล่นหุ้น ..มันต่างกับบอกหุ้นตรงไหน ?' ...ทำไมไม่บอกหุ้นไปเลย ไม่ง่ายกว่าเหรอ ไม่เห็นต้องสอน (ใช่ไหม)


10 ข้อควรรู้ ก่อนจะลงทุนครั้งสำคัญในชีวิต


1. เพราะหุ้นมันมีจำนวนจำกัดเหมือนทอง เหมือนที่ดิน ถ้ามีใครบอกว่า 'ที่ดินแถวนี้กำลังจะขึ้น คนก็จะแห่มาเก็งกำไร ...ปัญหาคือ แล้วใครจะยอมขายให้คุณราคาถูกๆ ล่ะ' ...หุ้นก็เหมือนกัน สมมุติมีคนที่มีชื่อเสียง 'เซียนหุ้น' ประกาศบอกว่า 'หุ้นนี้กำลังจะขึ้นแรง รีบซื้อเลย' ...หุ้นตัวนั้น ก็จะถูกเอามาเล่นเก็งกำไรทันที - ทำให้โอกาสซื้อราคาถูก มันแทบไม่มี


2. ถ้าคุณดูกราฟหุ้นก่อนซื้อ จะรู้เลยว่า 'หุ้นที่คนแห่เข้าไปเล่นกัน ..มันดีดขึ้นมาอย่างน้อย เป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ก่อนที่คนส่วนใหญ่จะเข้ามาซื้อ - แปลว่า อย่างน้อยคนบอกหุ้น น่าจะกำไรไปแล้วเกิน 100% ก่อนที่คนอื่นจะแห่ตาม'


3. ถ้าเจ้ามืออยากกำไรจากหุ้นเน่าทันที 'ง่ายมาก' ...ก็บอกให้คนมาซื้อ พอราคาขึ้นมาสัก 100% ก็ทยอยขายไปเรื่อยๆ ...ยิ่งข่าวดีมาก คนแห่ตามมาก ยิ่งน่าขายทิ้ง


4. เรื่องของ 'รอบหุ้น' หุ้นวิ่งขึ้นลงเป็นรอบ ..เวลาขึ้น ขึ้น 3-5 เด้ง จากจุดต่ำสุด (หุ้นบางตัวขึ้น 10 เด้งก็มี) ..เวลาลง ลงประมาณ 70% ..แล้วเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะมีพื้นฐาน หรือ ไม่มีก็ตาม ...ดังนั้น เดาได้เลยว่า กว่าคนส่วนใหญ่จะซื้อหุ้นตามแห่ (หุ้นเน่าที่เชียร์กัน) ราคาก็น่าจะขึ้นใกล้ๆ จะดอยละ ...คนที่ซื้อหุ้นตามเชียร์จึงขาดทุนประมาณ 50% โดยค่าเฉลี่ย (เหมือนกันทุกคน)


5. ฟังเหมือนง่าย แต่เชื่อไหมว่า คน 80% ที่เข้าตลาด มักจะซื้อหุ้นเน่า โดยคำเชียร์แล้ว ติดอยู่ยอดดอย สุดท้ายก็จะขาดทุนเหมือนๆกัน ที่ 50% ...น่าแปลกไหม ? (ทุกคนผิดคล้ายๆ กัน เพราะ 1.ไม่ยอมหาความรู้ 2.คิดว่าตัวเองเก่ง - มีครบ 2 ข้อ เล่นหุ้นมีแต่หมดตัวครับ)


6. หุ้นพื้นฐาน คนไม่ค่อยสนใจ เพราะมันดูน่าเบื่อ แต่เชื่อเถอะ แค่ปันผลก็คุ้มละ ..ยิ่งถ้าซื้อตอนหุ้นพื้นฐานมีข่าวร้ายยิ่งได้ของถูก


7. 'อยากจะบอกว่า ความรู้ทำให้เราขาดทุนน้อยลง ..ส่วนความผิดพลาดมันฝึกให้เราแข็งแกร่งและรวยในตลาดหุ้น' - ดังนั้น ให้หาความรู้ให้เยอะ รวมทั้งเรียนรู้จากข้อผิดพลาด


8. ใครว่าทำธุรกิจมันยาก ลองเล่นหุ้นจะรู้เลยว่า ยากกว่าตอนเริ่ม ...แต่พอเราเข้าใจแล้ว มันเหมือนแหล่งสมบัติของคนรวย 


9. ที่เล่ามาทำให้ ตลาดหุ้นเป็น 80/20 เสมอ ..คนไม่รู้ 80% เจ๊ง ..คนรู้ 20% รวยมหาศาล - 'ตลาดหุ้นไม่เคยสนว่า คนๆนั้นจะมีเงินมากหรือน้อย ..เพราะตัวชี้วัดความสำเร็จ มีเพียงแค่ ความรู้และประสบการณ์'


10. ถ้าจะสอนคนให้อยู่รอดและรวยจากตลาดหุ้นเหมือน คน 20% ...ต้องสอนวิธีจับปลาเท่านั้น ...อย่าเอาปลาป้อนใส่ปาก เพราะนั่นคือ หนทางสู่หายนะ 


ถ้าเรายังไม่มีความรู้ที่สามารถเลือกหุ้นได้เอง เราต้องระวังให้มากครับ (เพราะคน 80% ก็เป็นแบบนี้แหละ)


'เงินที่ได้มาจากความไม่รู้ สุดท้ายก็จะเสียจากความไม่รู้นั่นแหละ'


ผมไม่เคยเชื่อว่า มีทางลัดในการหาเงินที่ไม่เจ็บตัว ..ทุกทางลัดได้ฝากบาดแผลให้คนมากมาย ..คนที่ผ่านได้คือล้มแต่เรียนรู้แล้วลุกขึ้นเดินต่อ 


..ทางลัดที่ดีที่สุด คือ ความรู้


ความรู้ที่เราสะสม จะค่อยๆ ปิดประตูความเสียหาย และรอยรั่ว จนเราได้พาชนะตักตวงความมั่งคั่งที่สมบูรณ์แบบในที่สุดครับ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

เพราะตรงสี ถึงมีหมื่นล้าน

 

"ผลงานหนังสือ เล่มใหม่ของผม" ..ใกล้คลอดละ !! ...หลังจากที่ไม่ได้ออกหนังสือเล่มใหม่เลยในปีที่ผ่านมา - เจอกันปี 2017 นี้แล้ววว ..

...เอาบทนำมาให้ลองอ่านกันครับ

บทนำ “ตรงสี”
ชื่อก็โหดแล้ว “เพราะตรงสี ถึงมีหมื่นล้าน” ..ซึ่งจริงๆ มันแทบไม่ได้เกี่ยวกับ “หมื่นล้าน” แบบที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ หรือ “สี” ในแบบที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน
ตรงนี้น่าคิดว่า ทุกคนมอง “หมื่นล้าน” ว่าเป็นเงิน ทุกคนอยากได้ ..ไม่ต้องถึงหมื่นหรอก มี 100 ล้านก็สบายทั้งชีวิตแล้ว ..แต่ปัญหาอย่างที่เราทราบกันดีว่า ธรรมชาติของเงิน “มันหายาก ใช้ง่าย เก็บแล้วละลาย ..พูดง่ายๆ เงินมันออกแบบมาให้ใช้ ก็เลยมีน้อยคนที่สามารถเก็บสะสมจนร่ำรวยนั้นแหละ”
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ “การมองเงิน” ...การมองเงิน แทบจะเป็นสิ่งเดียวเลยที่คนมีเงินเขามองเหมือนๆ กัน ..เคยสังเกตไหมว่า ชีวิตเราบ่อยครั้งที่เราอยากได้อะไร แต่พอเอาเข้าจริง เราไม่ได้ในสิ่งนั้น ..หรือ ได้ในสิ่งตรงข้ามเลย

ผมกับ ดร.ต้อง เคยร่วมกันเขียนหนังสือเล่มนึงที่ตอนนนี้กลายเป็น Rare item (หนังสือหายาก) ไปเรียบร้อย คือ “คิดรอบบ้าน” หนังสือเล่มนั้นเราคุยในเรื่องของบ้าน ..ซึ่งก็ไม่ใช่ “บ้าน” อย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ 
เวลาพูดถึงบ้าน ทุกคนก็จะมองเป็นสถานที่ ..ฝันของคนส่วนใหญ่ก็คือ มีบ้านเป็นของตัวเอง ...แล้วเคยสังเกตไหมว่า คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ที่มีบ้านใหญ่โต กลับรู้สึกว่าตัวเองไร้บ้าน เพราะ แทบไม่มีใครอยากจะกลับบ้าน ...แม่ไปทาง ..ลูกไปทาง ..แม้แต่ตัวเอง ก็ไม่ค่อยอยากกลับบ้าน

 ..สาเหตที่แท้จริง เพราะ เราตีความของคำว่าบ้านผิดไป ...ถ้าเรามองว่าบ้านคือ สถานที่ มันจะก็จะเป็นเพียง “สถานที่” เป็น “สถานที่เป็นสัญลักษณ์ของการบูชายันต์อะไรบางอย่าง ที่ไม่มีใครอยู่แล้วรู้สึกสบาย” ..แต่ถ้าเราเข้าใจความหมายที่แท้จริงว่า “บ้าน” จริงๆ แล้วไม่ใช่สถานที่ แต่มันคือ “การเชื่อมต่อ กับคนที่เรารัก” บ้านคือ “คนที่เราเชื่อมต่อ” เราจะเข้าใจว่า สิ่งที่เราต้องเก็บหอมรอบริบ สร้างมันขึ้นมาคือ “ความสัมพันธ์” ไม่ใช่ สถานที่แต่อย่างใด
นี่ก็คือ ตัวอย่างของการอยากได้อย่าง แต่เอาเข้าจริง เราทำอีกอย่าง ...ก็เลยไม่เคยได้ในสิ่งที่อยากได้จริงๆ (ชีวิต!!) ...ทางแก้ก็คือ เรามาทำความเข้าใจนิยามของสิ่งที่เราอยากได้จริงๆ 

“หมื่นล้าน” คือ ตัวแทนของเงินมหาศาล ที่ใช้ไม่หมด ทั้งชาตินี้และชาติหน้า ..คำถามแรก จะหาไปทำไมหมื่นล้าน ..เอาไว้ฝังกับตัวเองหรือ ? - แต่สิ่งที่ต้องถามมากกว่าคือ “ทำไมเราถึงอยากได้เงินมาก จนใช้ไม่หมด” เหตุผลมีดังนี้

1. “เรากลัวว่าวันนึงจะหาเงินไม่ได้อีก” ..ก็เลยต้องหามาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่นคือ การทำงานหนัก ทำงานที่อึดอัด หรือ บางครั้งก็ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ (เช่น อาจจะทำอะไรบางอย่างเพื่อเงิน ที่ทำให้เรารู้สึกไม่ชอบตัวเอง) ..นั่นแปลว่า เส้นทางการหาเงินอย่างหนักเส้นนี้ มันเต็มไปด้วยความเครียดและความกดดัน (คนที่เดินเส้นทางนี้ มักจะใช้เงินเพื่อระบายความเครียด “ซื้อของเพื่อให้รางวัลตัวเอง เพราะ งานมันไม่เคยทำให้เขารู้สึกดี” ทำให้สุดท้ายถึงหาเงินได้มาก ก็ใช้แบบบ้าคลั่งจนไม่เหลือเก็บ) ..มันช่างตรงข้ามกับ คนที่ประสบความสำเร็จในแต่ละสาขาอาชีพ ที่เขาล้วนสนุกกับสิ่งที่ทำ (อายุมากแล้วก็ยังคงทำงานอยู่ ไม่เคยคิดที่จะเกษียณ)

2. “เราอยากได้เงินมากพอ จนแน่ใจว่า เราจะไม่ต้องทำงานที่เราไม่ชอบอีก” ..คนส่วนใหญ่ทำงานที่ไม่ชอบ แต่ก็ไม่เคยคิดว่า จะเปลี่ยนงาน เพราะ คิดว่า ทนๆ ทำไป เดี๋ยววันนึงคงมีเงินมากพอ ให้เลิกจากงานนี้ชีวิตจะได้สบายสักที แต่เอาเข้าจริง เขาอาจต้องทนทำงานที่ไม่ชอบชั่วชีวิต ..จนถึงวัยเกษียณก็พบว่า “เฮ้ย!! ยังหาเงินไม่พอที่จะเกษียณเลย ..อะไรฟระ อุตส่าห์ทน!!” ...ก็มันพลาดตั้งแต่ตั้งโจทย์แล้ว ..ต่อให้คุณเกิดมามีพรสวรรค์ในสิ่งนี้แค่ไหน แต่ถ้าคุณไม่ชอบ ..ลึกๆ คุณก็ไม่อยากทำ ..พอไม่อยากทำ ถึงจะทนทำเพื่อเงิน แต่สุดท้าย ผลงานมันก็ออกมาไม่ดี ... “ผลงานไม่ดี เงินก็เลยไม่มา แล้วก็ไม่ชอบตัวเองด้วยที่ต้องทนทำงานนี้” แล้วจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร ? 

สรุปก็คือ คนส่วนใหญ่ไม่ได้ถามตัวเองด้วยซ้ำว่า “จริงๆ แล้วเขาอยากที่จะทำอะไร เป็นอะไร ..แล้วทำไปเพื่ออะไร” ..ส่วนใหญ่ก็ใช้ชีวิตแบบ ก็มันเป็นหน้าที่ !!

..ใครบอกคุณ ? ..เราเองไม่ใช่หรือ ที่ควรบอกว่า “เราควรทำอะไร ..แล้วทำไปเพื่ออะไร” 

• สิ่งที่เราควรทำ คือ “สิ่งที่เราทำแล้วดี ..คนอื่นเห็นค่าในสิ่งที่เราทำ ..เพราะ สิ่งที่เราทำ มันแก้ปัญหา และ สร้างประโยชน์อะไรบางอย่างให้แก่ผู้คน ...สิ่งนี้เรายิ่งทำ เรายิ่งชอบตัวเอง ...ตรงนี้มีความหมายมากนะ กับ การทำสิ่งที่ชอบตัวเอง ...เพราะ นี่คือ นิยามของความสำเร็จเลยแหละ”

• ทำไปเพื่ออะไร คือ “เพื่ออธิบายตัวเองไง” ...คนเรารู้สึกมีค่ามีความหมาย ก็เพราะ เราได้อธิบายตัวเอง ผ่านสิ่งที่เราทำ (จะเรียกว่า งาน ก็ได้ ...แต่สังเกตไหมว่า คนที่ประสบความสำเร็จ ยิ่งใหญ่ในงานที่เขาทำ ..เขาแทบไม่เรียกสิ่งนั้นว่างานเลย .. “คนเหล่านี้มักจะพูดว่า ผมแค่ทำในสิ่งที่ผมรัก ..แล้วสิ่งที่ผมรักจะดูแลทุกอย่างให้ผมเอง” 

o ..หนึ่ง ได้อธิบายตัวเอง
o  สอง ได้รู้สึกดีกับตัวเอง
o  สาม เงิน (มันตามมาเอง)

ใช่!! คนที่ประสบความสำเร็จในเรื่องเงิน เขาล้วนไม่ได้มีโจทย์ว่า “ต้องเอาเงิน” แต่คนเหล่านั้น ล้วนมุ่งมั่น ทำสิ่งที่รักให้ดีต่างหาก ...แต่สิ่งที่ยากที่สุดในโลก

 ...ยากกกก มากกก ที่สุด ก็คือ “การที่จะรู้ว่า อะไรคือ สิ่งที่เรารัก” 

ยากไหม?

ลองไปถามคนอายุน้อยๆ ซิว่า “อะไรคือ สิ่งที่น้องๆ รัก” ...เขาจะตอบว่า “เงินครับพี่” - เออ!! มันยังไม่รู้จักตัวเองเลย 

ผมเรียกสิ่งนี้ว่า “การตั้งธง” ..การตั้งธงคือ การตั้งเป้าหมายในชีวิต ...การนิยามชีวิต เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะ มันแทบจะกำหนดความสำเร็จตั้งแต่วันแรกที่เริ่มเดินเลยว่า คุณไปถูกทาง หรือ ไปผิดทาง

“การรู้จักตัวเอง” ทำอย่างไร ?

ให้มองการค้นหาตัวเอง เป็นการ “เดินทาง ผจญภัยอย่างนึง” 

...เชื่อเถอะว่า เมื่อคุณพบตัวเองแล้ว ทุกอย่างในชีวิตจะค่อยๆ เปลี่ยน 

..จากไม่เคยสร้างผลงาน เราจะเริ่มมีผลงาน 

..จากที่มีแค่เงินเดือน เราจะเริ่มมีค่าตัว 

..จากที่ไม่มีคนสนใจเรา เราจะค่อยๆ เป็นที่สนใจของผู้คน 

..จากคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า จะเริ่มรู้สึกเห็นคุณค่าของผู้อื่น และ ก็เห็นคุณค่าของตัวเอง

 ..และจากที่เคยหาเงินยาก คุณจะกลายเป็นคนที่หาเงินง่าย

นี่แหละ ความยิ่งใหญ่ในการ “รู้จักตัวเอง” ซึ่งเราสามารถทำได้ ดังนี้ 

1. “ทำให้เยอะ” ..ไม่มีใคร เกิดมาปั๊บ รู้จักตัวเอง โดยที่นั่งเฉยๆ ...ต้องลองทำอะไรเยอะๆ (ยิ่งอายุน้อย ยิ่งต้องลองทำหลายๆ อย่าง ..อย่าเอาแต่เรียนหนังสือ ให้การเรียนหนังสือเป็นส่วนนึงของชีวิต แต่อย่าให้มันเป็นทั้งหมดของชีวิต)

2. “รู้จักกับเงินผ่านคนที่ไม่ใช่พ่อแม่เรา” ..งาน กับ เงิน สัมพันธ์กัน ..งานบางอย่างถึงทำได้ดี แต่ถ้ามันไม่ทำเงินเลย มันแปลได้สองแบบ คือ หนึ่ง เราอาจจะเป็นคนแรกที่ทำให้สิ่งนั้นมีความหมายต่อผู้คน หรือ สอง งานนั้น ไม่มีประโยชน์และก็ไม่ได้แก้ปัญหาให้ใครเลย ..อย่างนั้นไม่สามารถที่จะทำได้ยาว เพราะ มันไม่สร้างคุณค่าให้ตัวเรา ...ดังนั้น งาน ต้อง สัมพันธ์กับเงิน ...เราต้องเริ่มจากการลองทำงานที่ได้เงินจริงๆ เพื่อให้รู้ว่าเราชอบ หรือ ไม่ชอบอะไร

3. “วัดงานกับสีของตัวเอง” ..ในหนังสือ เล่มนี้ เราคุยกันเรื่องสีค่อนข้างเยอะ ..ผมและ ดร.ต้อง แปลความหมายของสี จากทฤษฎีของ Birkman ให้สามารถเข้าใจง่าย และ เอามาช่วยในการหาอารมณ์ของเราที่มีความรู้สึกต่องาน (สามารถวิเคราะห์สีได้ด้วยตัวเอง) ..สิ่งนี้สำคัญมาก เพราะ อารมณ์นี้แหละที่กำหนดว่า เรารู้สึกสนุกกับงานนั้นๆ ไหม ...โดยที่คนเรา จะแบ่งออกเป็น 4 สี ..นั่นแปลว่า มนุษย์เราแบ่งตาม “ความชอบ และ อารมณ์ในการทำงาน” มีอยู่ 4 แบบ ซึ่งเราจะมาลงรายละเอียดกันต่อไป ...บอกเลยว่า มันสนุกมากที่ได้ศึกษาเรื่องสี เพราะ มันไขข้อข้องใจของผมได้เยอะมากว่าทำไม ..ผมถึงชอบทำงานอะไรบางอย่าง และ ไม่ชอบทำอะไรบางอย่าง - “สี” จะช่วยบอกคุณ

4. “พัฒนาทักษะ ให้ตรงกับสีของเรา” ..นี่คือ การเสริมจุดแข็ง ...หลักความสำเร็จในงานที่ทำ ไม่ใช่การกำจัดจุดอ่อน ...แต่เป็นการเสริมจุดแข็ง แล้วค่อยหา Partner ที่เก่งในเรื่องที่เราไม่เก่ง มาทำงานร่วมกัน ...เรื่องนี้อาจต่างจากเวลาที่เราเรียนหนังสือ ที่พ่อแม่ส่วนมาก มักจะพยายามเสริมจุดอ่อน ..อ่อนเลข ก็ให้เราไปติววิชาเลข ..อ่อนภาษาก็ให้เราไปติวภาษา ...สรุป ลูกเลยไม่รู้เลยว่า จริงๆ แล้วฉันมีจุดเด่นอะไร .. เราได้เป็ดมาอีกคน .. “มนุษย์อีกคนที่ทำได้อย่างทุกอย่าง แต่ไม่มีอะไรโดดเด่นเลย” ...คนที่เป็นแบบนี้ (ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่) เขารู้สึกว่า ทำได้ทุกอย่าง แต่ไม่รู้ว่าทำอะไรได้ดี เพราะ มันดีทุกอย่าง ...จริงๆ แล้วสิ่งที่เขาขาดก็คือ “การพัฒนาจุดแข็งของตัวให้โดดเด่น” (การเก่งทุกอย่าง เหมือนคนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องผิด มันดีอยู่แล้ว ...แต่สิ่งที่ต้องทำเพิ่ม ให้เราโดดเด่น ก็คือ การเสริมจุดแข็ง ...ซึ่งก็เริ่มจากการหาจุดแข็งตามสีนี่แหละ แล้วพัฒนาทักษะที่เราชอบนั้น ให้โดดเด่น)

5. “เมื่อคุณเจอตัวคุณแล้ว ให้คุณวิ่งไปข้างหน้าอย่างเต็มที่ด้วยความมั่นใจ” ...ใช่!! นี่คือ หลักความสำเร็จ ...คนส่วนใหญ่อาจจะก้มหน้าวิ่งโดยไม่รู้ว่า “งานที่ทำมันใช่หรือเปล่า ...ก็จะมีบางคนนะ ที่โชคดี เพราะ ได้งานที่มันใช่จริงๆ ...แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้โชคดีแบบนั้น ...ซึ่งเขามักพบว่า ทำงานหนัก แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ” 

เกริ่นมาขนาดนี้แล้ว ...ผมว่า เราไปเริ่ม ค้นหา “สี” ของตัวเรากันเลยดีกว่า ...ยิ่งคุณพบตัวเองเร็วเท่าไหร่ ...เป้าหมายจริงๆ ในชีวิตคุณมันจะยิ่งปรากฏขึ้นเร็วเท่านั้น 

“เป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตเรา ไม่ได้เกิดจากเราตั้งเป้าชีวิตอะไรขึ้นมามั่วๆ ตามกระแสสังคม ..ไม่ใช่เลย ...นั่นเป็นเป้าหมายลวงเสียด้วยซ้ำ - อยากรวยเร็ว , อยากเกษียณ , อยากมีธุรกิจส่วนตัว , อยากมีร้านกาแฟเล็กๆ , อยากทำร้านขนมชิ๊กๆ ...

เป้าหมายที่แท้จริง มันเกิดหลังจากที่เราค้นหาตัวเองเจอต่างหาก ...ค้นหาเป้าหมายของตัวเราให้เจอ ...แล้วสิ่งนั้น จะเปลี่ยนทั้งชีวิตของเรา” 

ผมและ ดร.ต้อง เชื่อว่า “การใช้เครื่องมือดูสี” อันนี้จะช่วยให้คุณค้นหาตัวเองได้เร็วขึ้น สนุกขึ้น

ลองดูครับ ..จัดไป 

“เพราะตรงสี ถึงมีหมื่นล้าน”

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2559

มองไกล ไม่กลัวล้ม

 

"What's very Dangerous is not to evolve"

- JEFT BEZOS


นี่คือแนวคิดของ ผู้ก่อตั้ง Amazon ..บริษัทที่ใช้เวลาเกือบทศวรรษในการพิสูจน์ให้โลกและนักลงทุนเห็นว่า 'ไม่ว่าคุณจะพลาดสักกี่ครั้งก็ตาม ..หากคุณไม่หยุดที่จะลองสิ่งใหม่ๆ ..สุดท้ายคุณก็จะสำเร็จในที่สุด ...Amazon ลองธุรกิจใหม่ๆ ตลอด ล้มบ้าง ล้มอีก ล้มเยอะ ..แต่ที่เปรี้ยงที่สุดคือ Cloud Computing นี่แหละ ที่เปลี่ยนให้ Amazon กลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดที่แข่งกับ Microsoft และ Google ในธุรกิจ IT น่ะ 


ใครจะคิด ว่าร้านหนังสือออนไลน์ ที่ก่อตั้งโดยชายวัยกลางคนที่ลาออกจากงาน มาทำเว็บไซต์ขายหนังสือ เริ่มในโรงรถของตัวเองคนเดียว ในวันที่ยังแทบไม่มีใครรู้จักอินเตอร์เน็ต จะกลายเป็น บริษัทยักษ์ใหญ่ Amazon ที่แซงค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Wal-mart ไปเรียบร้อย ...และ วันนี้เขามาท้าทาย Microsoft และ Google


ผมว่า บทเรียนสำคัญที่เราเรียนได้จาก Jeff Bezos ก็คือ


1. ปฏิวัติตัวเองตลอดเวลา (ทำเรื่องที่ตัวเองอึดอัดตลอดเวลา)


2. ไม่หยุดเดิน แม้จะผิดพลาดกี่ครั้งก็ตาม


3. เขาไม่แคร์เป้าหมายทางกำไรระยะสั้น เหมือนนักการเงินใน Wall-Street เลย ..มันทำให้เขากล้าลองอะไรบ้าๆ พลาดแล้วพลาดอีก จนเกิดความสำเร็จอย่างในปัจจุบัน 


และนี่คือบทเรียนสำคัญ ที่ผู้ประกอบการควรศึกษา


'มองไกล ไม่กลัวล้ม ..แต่ถ้าล้ม ลุกให้เร็ว และรีบเดินต่อ'


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


ให้รางวัลตัวเอง ด้วยการพัฒนาจุดแข็ง

 

รายได้ค่าโฆษณาออนไลน์ของ Google ปีนี้ 76,000 ล้านเหรียญ (เหรียญ US นะ คูณไป 35 ถ้าคิดเงินบาท) ...โตขึ้นเรื่อยๆ 


มาจาก ค่าโฆษณาที่หายไป หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ทีวี ค่อยๆ ปิดตัวจากทั่วโลกนั่นเอง ...รวมถึงบ้านเราด้วย ...ค่าโฆษณาเหล่านี้เดิมทีก็เป็นเงินที่จ้างงาน คนในอาชีพและที่เกี่ยวข้องเป็นล้านคน 


'ไม่เคยมีความเปลี่ยนแปลงครั้งใดในโลก เกี่ยวกับงานและอาชีพที่รุนแรงเท่าครั้งนี้ ...จากเดิมทีคู่แข่งเราก็คือบริษัทในประเทศ แต่วันนี้ไม่ใช่ คู่แข่งคือใครก็ได้ จากทั่วโลก' ...สมัยเด็กเวลาเรียนหนังสือ ผมก็เทียบว่า หากอยู่ต้นๆ ของห้อง ก็สุดยอดแล้ว 


แต่เด็กเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ คุณสอบ TOFEL หรือ IELTS มันเทียบทั้งโลก ..แม่เจ้า!! จะเครียดไปไหน ..เราจะต้องสู้กับโลกด้วยเกมนี้เท่านั้นหรือ ?


 - เกมนี้เหมือนยังไม่ทันเริ่มแข่งก็รู้ว่าน่าจะแพ้ว่ะ !!


'เหมือนเอาเด็กผอมแว่นหนา ไปแข่งเตะบอล ก็เละดิครับ ....ผมว่าเราต้องมานั่งคิดใหม่ว่า จริงๆ แล้ว เด็กผอมแว่นหนา เขามีอะไรดี ..ซึ่งเด็กผอมแว่นหนา อาจจะตีปิงปองขั้นเทพก็ได้ ถ้าหาจุดแข็งแล้วดึงศักยภาพที่แฝงตัวอยู่ให้โดดเด่นออกมา'


ใช่!! ยุคจากนี้ไป มันคือ การหาจุดแข็งของตัวเอง ..แล้วดึงพลังตรงนั้นออกมา ...เสริมจุดแข็ง ฝึกให้สุด ...นี่คือ หลักการ 'ดีที่สุดในจุดที่ยืน' (ซึ่งผมใช้มาตลอด)


จะปีใหม่แล้ว หันมาให้โอกาสตัวเองดีกว่า


6 ข้อคิด พัฒนาจุดแข็ง ให้รางวัลตัวเอง


1. ค้นหาตัวเอง หาจุดแข็ง

2. พัฒนาจุดแข็ง ให้โดดเด่น

3. สร้างสนามให้เราได้ใช้จุดแข็ง

4. เมื่อจุดแข็งเริ่มเด่นชัด ลองหารายได้จากจุดแข็ง

5. ขยายจุดแข็ง ให้กว้างและมีประโยชน์ต่อคนอื่นมากขึ้น (นี่คือจุดที่คุณจะเริ่มมีค่าตัว และมีโอกาสใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต)

6. เลือกสิ่งที่ดีที่สุด เลือกงานที่คุณทำแล้ว รู้สึกชอบตัวเอง ...มันจะทำได้ยาว สนุก และ เงินจะตามมาเอง


นี่คือ 6 ข้อ 'การเสริมจุดแข็ง เพื่อสร้างโอกาสใหม่ในชีวิต'


บางครั้งคนเราก็ล้มเหลว เพื่อให้เราเริ่มสิ่งใหม่ที่ดีกว่า 


...ใครที่เครียดกับงาน งานดูไม่มั่นคง หรือ งานไม่สนุก ลองหันมาดูที่ตัวเอง พัฒนาจุดแข็ง พัฒนาทักษะที่เราเก่ง ให้โดดเด่น - ผมเชื่อว่า นั่นคือรางวัลที่ดีที่สุดในปีใหม่นี้เลยครับ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2559

7 ข้อควรรู้ จากคนเล่นทอง ไปเล่นหุ้น

 

7 ข้อควรรู้ จากคนเล่นทอง ไปเล่นหุ้น


คนที่เคยเล่นทอง อยากลองไปเล่นหุ้น ควรรู้ดังนี้


1. ทอง กับ หุ้น เหมือนกัน ตรงที่เป็นสินทรัพย์เหมือนกัน ..คือ ซื้อแล้วถือยาวๆ ก็รวยได้ เพราะยิ่งถือยาว ยิ่งรวย


2. เล่นสั้นเสียวเหมือนกัน ..ทั้งหุ้นและทอง หากเล่นสั้นราคาผันผวนทั้งคู่ เสียวได้ไม่แพ้กัน 


3. ถ้ารู้กราฟเทคนิค สามารถเทรดและจำกัดความเสี่ยง ..มองเป้าราคา / Let Profit Run และ Stop Loss ได้เหมือนกัน


4. หุ้น กับ ทอง หากลงทุนระยะยาว ต้องแยกของปลอมให้ออก ...ทอง ต้องดูเป็น เลือกร้านทองที่ไว้ใจ ไม่งั้นอาจเจอทองปลอม ..ส่วนหุ้นถ้าเล่นไม่ศึกษา ก็มักเจอหุ้นปั่น หลอกเราให้ไปซื้อหุ้นเน่า ไม่มีปันผล ในราคาสูง ติดดอย !! ...แต่ถ้าทองจริง กับ หุ้นดีปันผลดี อันนี้ยิ่งถือนาน ยิ่งรวย


5. หุ้นดีกว่าทอง ตรงที่มีปันผล ...ทองงอกเพิ่มไม่ได้ อยากกำไรต้องขายออกไป ..แต่หุ้นดีมีปันผล และเพิ่มทุกปีที่ธุรกิจกำไรเพิ่ม ...ดังนั้น แค่ปันผลที่โตขึ้นทุกปีของหุ้น ทำให้ซื้อหุ้นแล้วไม่ต้องขายก็รวยได้แล้ว


6. ทองเก็บรักษามีภาระ หุ้นไม่มี ...ทองเวลาเก็บไว้เยอะๆ มันเสียว จะเก็บไว้ที่บ้านเยอะๆ ก็น่ากลัว จะใส่โชว์ถ้ามันเยอะๆ ก็ไม่ดี ...แต่หุ้น เก็บไปเถอะ ไม่ต้องห่วงมันอยู่ในชื่อเรา เก็บฟรี ..เก็บเพิ่มก็ไม่ได้ล่อโจร ...หุ้นเลยสามารถสะสมความมั่งคั่งได้สะดวก ไม่มีค่าเก็บ แล้วมีปันผลให้อีก ...คนรวยจึงเลือกออมเงินในหุ้นมากที่สุดนั่นเอง 


7. หุ้นซื้อแล้วไม่ขาย ก็เก็บเป็นมรดกให้ลูกหลานได้อีก ..หุ้นนี่แหละ ที่เศรษฐีใช้ทั้งสะสมความมั่งคั่ง ..มีเงินใช้ระหว่างเก็บ เป็นปันผลทุกปี ...แถมยิ่งเก็บยาวไม่ขาย เป็นมรดก มูลค่ายิ่งเพิ่ม 


ดังนั้น ถ้าลองตั้งใจศึกษาหุ้นสักนิด มันเพิ่มทางเลือกให้ชีวิต สะสมความมั่นคงและมั่งคั่งได้ง่ายขึ้นเยอะ ...ใช่ !! หลายๆ คนมองข้ามโอกาส ไปอย่างน่าเสียดาย 


'ปรับวิธีคิด เพิ่มความรู้อีกนิด โอกาสชีวิตก็จะเพิ่มขึ้น'


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2559

7 ข้อควรรู้เกี่ยวกับหุ้น IPO

 

7 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับหุ้น IPO


วันนี้ After You เข้าตลาดวันแรก ..ขึ้น Ceiling ชน 200% - แจกเงินกันทั่วหน้า ...หลายคนสงสัยว่า ?


- เขาขาย IPO ถูกเกินไปหรือ ? (ไม่มีอ่ะ)


- แจกเงินนักลงทุนทำไม ? (มีคนได้ ย่อมมีคนเสีย ทำอย่างไร ไม่ให้เป็นฉัน !!)


เรามาดู 7 ข้อควรรู้กับหุ้น IPO กัน


1. หุ้น IPO ไม่ใช่หุ้นถูก ..เพราะไม่มีเจ้าของคนไหนจะยอมขายธุรกิจที่รักของตัวเองออกมาถูกๆ ..ดังนั้น หุ้น IPO ไม่ใช่หุ้นถูก


2. หุ้นไม่ถูกแล้วขึ้นได้ไง ? ...ก็เพราะคนเล่นหุ้นที่เข้ามาซื้อเขาไม่ได้มาซื้อของถูก แต่เขาเข้ามาเก็งกำไร (นักเก็งกำไร) ..คนเล่นตามจึงต้องเล่นแบบหุ้นเก็งกำไร


3. การเล่นหุ้นแบบเก็งกำไร ไม่ใช่การเล่นตามพื้นฐาน แต่เป็นการถือหุ้นตามรอบ ตามกราฟหุ้น (ถือเฉพาะขาขึ้น / ขาลงตัวใครตัวมัน) ..แล้วจำกัดความเสี่ยงอย่างมีวินัยด้วย Stop Loss ..'หลุดเป็นหนี ไม่มีต่อรอง'


4. เล่นหุ้นแบบเก็งกำไร ไม่จำเป็นต้องรีบขาย ..สามารถทนรวยได้ตราบเท่าที่หุ้นยังเป็นขาขึ้นก็ถือได้ ...แต่จำไว้อย่างเดียวว่า ต้องมี Stop Loss 


5. ศึกษาเรื่อง Risk to Reward และ Stop Loss ให้ดีก่อนเล่นหุ้นเก็งกำไร ...'ทุกครั้งที่เข้าซื้อควรมองผลตอบแทนอย่างน้อย 2 เท่าของความเสี่ยง' - หนึ่ง วัดเป้า / สอง ล็อคความเสี่ยง ....การ Stop Loss คือ การจำกัดความเสียหายที่ไม่ควรเกิน 10% ..ถ้าเกินกว่านั้น เรียกว่าติดหุ้นมากกว่า 


6. อยากทนรวยจากหุ้นเก็งกำไร ก็ให้เอาทุนออก ถือแต่ส่วนกำไร นี่คือเคล็ดลับของคนที่สามารถทนรวยจากหุ้นเก็งกำไร ...ก็เขาเอาทุนออกไปแล้วไง !! 


7. อย่าเอาเหตุผลมาพยายามอธิบายหุ้นเก็งกำไร ..ให้ใช้หลักการเทรดและ Stop Loss เป็นตัวกำหนดกำไร และจำกัดขาดทุน 'จบ!!'


ปี 2017 น่าจะ โหด มันส์ ฮา กว่านี้ 


...ศึกษาให้ดี เล่นให้ดีมีหลักการ ...อย่าเล่นแบบเม่า !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


ปี 2017 เป็นต้นไป จะเหลืองานอะไรให้มนุษย์ทำ


 
 'ปี 2017 เป็นต้นไป จะเหลืองานอะไรให้มนุษย์ทำ'

ฮึม ..มีคนแชร์มา !! ...หลายคนเริ่มเกิดคำถามว่า แล้วเมื่อไหร่เทคโนโลยีจะมาแทน งานของฉัน ?


...น่าคิด 


ถ้าคิดเร็ว ...เราต้องเกาะอยู่กับ งานที่หุ่นยนต์ทำได้ไม่ดีเท่ามนุษย์ 


เช่น งานบริการ , งานขาย , หมอผ่าตัด , ..


...รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง ...ร้าน Amazon Go ที่ไม่ต้องการคน แต่คงต้องการยาม ..555


โจร ...(ไม่ดีมั้ง) 


...นักปลุกระดม 


...อ๋อ!! นักการเมือง (จริงๆ อาชีพนี้อยากให้หุ่นยนต์ทำแทนมาก แต่เค้าคงไม่ยอม)


...นักปฏิวัติ (ทางความคิด)


...'คิดสวนทาง' (พอไหว หุ่นยนต์ได้แต่ทำตาม ..เทรดเดอร์ หุ่นยนต์พอได้ ..แต่ออมในหุ้น คนยังเหนือกว่า) 


...งาน Art


...ผู้นำในทุกสาขาอาชีพ ยังน่าจะใช้มนุษย์ 


...เชฟกระทะเหล็ก (ชนะหุ่นยนต์) 


..หมอนวด (อึม!! แผนไทย อย่าคิดลึก ไม่ดี ไม่ดี)


สรุป ...ติส เข้าไว้ !! ...คิดนอกกรอบ ...ทำงานที่ต้องการมนุษย์ 


โจทย์ใหญ่เลย ปี 2017 ...ปีแห่งการ Disrupt เทคโนโลยีแย่งงานคน !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


 


วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ขนมใหม่ใช้เจาะตลาดจีน



ขนมนี้แต่ก่อนเขาเรียก 'ขนมครกสิงคโปร์' เพราะมันสีเขียว ...แต่อย่าหาที่สิงคโปร์นะ เพราะมันไม่มี

น่าจะแนวเดียวกับ ขนมโตเกียว ที่ไม่มีขายในโตเกียว ..ฮ่า ฮ่า

คือวันนี้ ผมผ่านร้าน ขนมครกสิงคโปร์ (รถเข็นอยู่หน้า รร.คอนแวนต์เลย ..อ๋า!! สงสัยล่ะซิ แล้วผมไปทำอะไรหน้า รร.คอนแวนต์ ?)

เดี๋ยวนี้เขาเรียก ขนมครกใบเตย (เปลี่ยนชื่อให้สะท้อนความจริงล่ะ) ....ผมเดินผ่านเห็น มีกลุ่มคนจีน ยืนมุงรอบร้านรอขนมครกใบเตย (ไม่!! เขาไม่ได้ยืนต่อแถว เขามุงรอบร้าน)

ทันใดนั้น 'เอาวะ ผมต้องลอง เพราะยุคนี้ขายอะไรที่คนจีนซื้อ มีโอกาสรวยพันล้านง่ายๆ อย่างสาหร่ายเถ้าแก่น้อยที่รวยวันรวยคืน เพราะคนจีนแย่งกันซื้อ เริ่มจากซื้อเป็นของฝาก ..วันนี้คุณต๊อบ เอาเข้าขายที่เมืองจีนเลย ..รวยระเบิด!!'

ก็นี่แหละ ทำให้ผมต้องลองชิม ว่า ขนมรสชาติถูกปากคนจีนมันรสชาติยังไง ...สารภาพเลยว่า ขนมครกสิงคโปร์นี่เคยกินตั้งแต่ผมเด็กๆ ก็ประมาณ 30 กว่าปีละ ...ลืมไปละ ต้องลองอีกรอบ 

(เออ!! อร่อยดีนะ)

ไม่รู้เผื่อมีใครหัวใส จะสร้างอาณาจักรขนมครกใบเตย ...ขนมที่คนจีนต้องซื้อฝากเพื่อน !!

- ลองไปขายที่คนจีนเยอะๆ ลองตลาด 

- แค่นั้นละ คิดอะไรเยอะ ...เวลาทำ Start-Up เมืองไทยนี่ ลองตลาดเลย อย่าทำแบบฝรั่ง ลงทุนก่อนให้กินฟรี เดี๋ยวพอเขาติดใจคงกลับมาซื้อ ...ไม่ไหวอ่ะ !! ...ลุยเลย

อันนี้ผมได้ไอเดียมาจาก คุณต๊อบนะ ...แกบอกจะทำอะไร อย่ามโนเยอะ แผนการตลาดเปลี่ยนโลก เสียเวลา ...ไม่เท่าลองทำจริงเลย

เริ่มเล็ก ลองสินค้าทันดี ศึกษาลูกค้า ...จีบลูกค้าเลย

เอ้ย!! ไม่ใช่จีบแบบนั้น ...ทำธุรกิจมันต้องศึกษาลูกค้าเหมือนเราทำการบ้านจีบสาว (อันนี้ต๊อบบอกมานะ ไม่ได้คิดเอง)

ผมถึงเข้าใจเลยว่า แปลว่า มนุษย์ทุกคนสามารถทำธุรกิจได้ แค่คิดเหมือนทำการบ้านจีบสาว 

มิน่า เด็กสมัยนี้ จีบสาวไป ทำงานไป ...มันสำเร็จเร็วเลย

...มันเข้าใจชีวิตนี่เอง (ฮ่า ฮ่า)

"พวกจีบสาวเก่ง มิน่ามันรวยเร็ว แล้วมันได้สาวอีก ...โอววว ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ตรงไปสายนั้นแน่นอน"

สุดยอด

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2559

7 ข้อรู้ไว้ เล่นหุ้นอย่างไร ไม่เสียเปรียบรายใหญ่

 

7 ข้อเล่นหุ้นอย่างไร ไม่เสียเปรียบรายใหญ่


รายเล็ก เล่นหุ้นต้องรู้วิธีหลบ ..ให้เอาตัวรอด และ ก็รวยได้เหมือนกัน


1. ซื้อหุ้นต่ำกว่าทุนเจ้าของ ..ก็ซื้อหุ้นในช่วงราคาต่ำกว่า Book Value 'ราคาหุ้นต่ำกว่า มูลค่าหุ้นทางบัญชี = ซื้อหุ้นได้ถูกกว่าเจ้าของ' 


2. เรากระจายความเสี่ยงได้มากกว่าเจ้าของ ...เราสามารถเป็น เจ้าของได้หลายบริษัท ไม่ต้องลุ้นว่า 'ตระกูลไหนจะรวยกว่า' ...เกาะเขารวยได้หมด


3. เราดูกราฟหุ้นก่อนซื้อ รายใหญ่ก็หลอกเราไม่ได้ ...เพราะถ้าหุ้นขึ้น เราก็รู้ว่า รายใหญ่แอบซื้อ ..แล้วถ้าหุ้นลง แม้เขาจะโม้ว่าหุ้นดีขนาดไหน จะไปต่ออีกไกล แต่ถ้าราคาลง กราฟลง เราก็รู้ว่าเขาแอบขาย ..ทำตรงข้ามกับสิ่งที่เขาพูด


4. เงินเราเย็นกว่ารายใหญ่ เงินส่วนใหญ่ของรายใหญ่คือเงินหมุน ไม่ใช่เงินเย็น ...ทำให้เราสามารถถือหุ้นทนรวยได้นานเท่ารายใหญ่ 


5. ถ้าหุ้นไม่ดีตามที่เราคิด เราหนีได้ ในขณะที่รายใหญ่หรือเจ้าของเขาหนีไม่ได้ (ถึงหนีเราก็รู้ เพราะราคาหุ้นจะลงจากยอดอย่างน้อย 70%)


6. พอร์ตเราเล็กกว่า เวลาเข้าออกหุ้น ยังไงเราก็เร็วกว่ารายใหญ่ ...สิ่งเดียวที่ต้องดูคือ ดูว่าเขาทำอะไร ซื้อหรือขาย อย่าไปเชื่อที่เขาพูด (ข่าวดี คือ ช่วงขายของรายใหญ่ ..ข่าวร้าย หุ้นลงเยอะ คือ เวลาเก็บของ ของรายใหญ่)


7. รายใหญ่ส่วนมากเสียหายหนัก เพราะเล่นหุ้นตาม Inside ...ให้เราจำไว้ว่า ไม่มี Inside ที่ถาวร เราเชื่อที่การอ่านราคา อ่านกราฟ ก็จะทำให้เราอยู่รอดและรวยได้ตลอดไป 


- กราฟหุ้น มันคือ ราคาหุ้น มันไม่เคยหลอกคุณ ...อ่านกราฟให้เข้าใจ เราก็อ่านเกมการเงินออก


- พื้นฐานที่จริงที่สุดในตลาดหุ้น คือ การเติบโตของปันผล


- รายใหญ่มักพูดตรงข้ามกับที่เขาทำเสมอ ..จงอย่าฟังคำพูดเขา แต่ให้ดูสิ่งที่เขาทำ (อ่านเกมให้ขาด)


- คนรวย รวยขึ้นทุกครั้งในวิกฤต ..เพราะวิกฤต คือเวลาซื้อหุ้นดีของนักลงทุนระยะยาว 


ผมและหยง เปิดคอร์ส The Stock Blueprint 2017

เรียนสั้น และยาว แบบครบเครื่อง ..ใครสนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ลิงค์ข้างล่างครับ


-------------------------------


ดูรายละเอียดคอร์สแบบเต็ม ได้ที่ http://bit.ly/2gDk2Qx

สอบถาม 063-191- 0816 

LINE: @thestockblueprint (ต้องมี '@' อยู่ข้างหน้าด้วย)  


ในแพ็คเก็จประกอบด้วย


1. คอร์สเรียนสด 30 ชั่วโมง

เรียนกับวิทยากร 5 วันเต็ม 9:30-16:30 .

11-12/18-19/25 มีนาคม 2017 โรงแรม S31


2. ฟรี! ทบทวนความรู้ย้อนหลังผ่านคอร์สออนไลน์

บันทึกวิดีโอจากคอร์สสอนสด 30 ชั่วโมงให้คุณทวนซ้ำได้จากที่บ้าน

*พร้อมโบนัสพิเศษที่ไม่มีในคอร์สสอนสด* คือ ebook & audiobook

รวมมูลค่า 14,500 บาท


3. ฟรี! สิทธิ์ที่นั่ง VIP ในสัมมนาใหญ่ "แพ้ทยาว หยงสั้น"

พร้อมอาหารบุฟเฟต์และคอฟฟี่เบรค (ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเติม)

วันที่ 6 สิงหาคม 2017 (สถานที่จะแจ้งอีกที แต่เป็นโรงแรมใกล้ BTS)

มูลค่า 4,000 บาท 


และพิเศษสุด!!!

4. ฟรี! เรียนคอร์สออนไลน์ "มือใหม่มาก อยากเล่นหุ้น รุ่น #3" 

มูลค่า 3,500 บาท ฟรี! (เริ่มเรียนวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2017)


**หากท่านเคยเรียนคอร์ส "มือใหม่มาก อยากเล่นหุ้น" แล้ว

สามารถใช้ค่าเรียนที่ชำระไปแล้วเป็นส่วนลด The Stock Blueprint 

ได้เต็มจำนวนคือ 3,500 บาท คุ้มมาก!


ย้ำอีกที The Stock Blueprint ปี 2017 รอบสอนสด เปิดรุ่นเดียวเท่านั้น

พลาดรุ่นนี้รอเรียนปี 2018 เลยครับ

ดูรายละเอียดคอร์สแบบเต็ม ได้ที่ http://bit.ly/2gDk2Qx

สอบถาม 063-191- 0816 

LINE: @thestockblueprint (ต้องมี '@' อยู่ข้างหน้าด้วย)



วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2559

หมดยุคของคำว่า อุตสาหกรรม ..คู่แข่งที่คาดไม่ถึง !!

 

โลกยุคใหม่ ไม่มีเส้นแบ่งธุรกิจ ...คำว่าอุตสาหกรรมมันกำลังจะกลายเป็นอดีต ...คนที่จะมาแย่งเงินจากธุรกิจคุณ แย่งลูกค้าคุณ อาจมาจากจุดที่คุณคาดไม่ถึง !!


...เหมือนต่อยมวย แต่ไม่จำกัดน้ำหนัก !! ...'เราจะปรับตัวอย่างไร?'


ไม่ใช่แค่บริษัทใหญ่ กินบริษัทเล็ก ..ฝรั่งก็มาช่วยกินบริษัทไทยอีกต่อ


...ฝรั่งยักษ์ใหญ่ในโลกโซเชียลมาแย่งค่าโฆษณา จากยักษ์ใหญ่เมืองไทย อย่าง ช่อง 3 ..หนังสือพิมพ์โฆษณาหด ...นิตยสารแห่ปิดตัว ..คนก็แห่ตกงาน


- เมืองจีน ไล่ Google กลับประเทศ ..ดัน Baidu ขึ้นแทน ...กัน Amazon แต่ดัน Alibaba ...ในฝั่งสื่อสารมี WeChat ของตัวเอง 


...ก็เพราะจีนใหญ่ แล้วไทยทำไงล่ะ !! ...ไทยก็บอกนักธุรกิจว่า 'คุณช่วยตัวเองนะ' (เฮ้ย!!! จริงดิ) 


'ก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว คนไทยคุณต้องเก่งด้วยตัวเอง' 


(อึ้ง ?!?)


- ในวันที่โลกแข่งดุ เราจึงต้องหันมามองจุดแข็งของตัวเรา แทนการตามเกมของรายใหญ่


ต่อไปสิ่งเหล่านี้ ทำให้เราต้องปรับตัว


1. บริษัทใหญ่จะขยายไปทำทุกอย่าง ที่ได้กำไร โดยไม่สนว่า อุตสาหกรรมอะไร ...ไปทุกที่ ที่มีโอกาสทำกำไร


2. รายใหญ่จะพยายาม ทำสิ่งนั้นให้คุณภาพดีกว่า สะดวกกว่า ..ราคาถูกกว่า โดยเฉพาะช่วงเริ่มต้น ...พอคู่แข่งตายแล้ว ก็ค่อยเพิ่มราคา (สายป่านยาว มองการณ์ไกล ยอมเสียตอนแรก เพื่อกำไรมหาศาลในระยะยาว) ...คุ้ม!! ลงทุนขาดทุนตอนแรก แต่ระยะยาวกินรวบ


3. ถูกกว่า ดีกว่า ...คุณว่า ลูกค้าเลือกใคร ?


-- 'แทบไม่ต้องเลือก ...ก็ต้องเลือกของที่ดี และ ถูกกว่าจริงไหม (สรุป รายย่อย ก็ตายเรียบ)'


คำถามคือ 'รายย่อยจะปรับตัวอย่างไร ?'


1. ส่งลูกหลานไปทำงานกับรายใหญ่ ดีไหม ?


2. ส่งลูกหลาน ไปทำธุรกิจ Start-Up พยายาม Disrupt รายใหญ่ (แต่เกมนี้ Alibaba , UBER , .. 'ยักษ์ใหญ่ระดับโลก' ยังลงมาเล่น) จะชนะเขาด้วยวิธีใด ...?


3. ให้ลูกหลาน กลับมาพอเพียง ใช้ชีวิตที่ไม่ฟุ้งเฟ้อ หาจุดแข็ง ในสิ่งที่ตัวเองทำ แล้วค่อยๆ เติบโตจากตรงนั้น (คนรุ่นใหม่ หลายคน หลังจากเรียนจบ ก็เอาความรู้ไปพัฒนาธุรกิจตัวเอง) 


ทั้ง 3 แนวทางนี้ คุณเห็นแบบไหนมากที่สุด ....นั่นคือ โอกาส และ ข้อจำกัด ของคนรุ่นใหม่


ถ้าให้ผมมอง


แบบที่ 1 : เหมือนจะดีในระยะสั้น แต่ระยะยาวจะลำบาก เหมือน 'คนเช่าที่นาทำนา ได้เงินนะ แต่สุดท้ายกำไรจริงๆ มันอยู่ตรงมูลค่าอยู่ที่ ที่ดิน ซึ่งคุณไม่ได้เป็นเจ้าของ' 


แบบที่ 2 : ดู Intrend ตามกระแสดี แต่ไม่ง่าย เพราะคู่แข่งระดับโลกลงมาในสนามเดียวกัน ...ก็ลุ้นให้เราสู้ฝรั่งได้ละกัน (เหนื่อยหน่อย เอาใจช่วย) ...อันนี้เหมือนคุณแลกหมัดกับคู่แข่ง วัดกันไปเลย ตาต่อตา ฟันต่อฟัน


แบบที่ 3 : แบบนี้น่าจะยั่งยืนนะ แต่มันดูใช้เวลานาน ดูเหมือนตอนเริ่มมันไม่เท่ห์ ..'คุณทำอะไร ..ผมช่วยที่บ้านขายลำใย ..พัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูป ...หาตลาดใหม่ สร้างตลาด สร้างตราสินค้า แล้วก็ช่วยพ่อแม่เก็บลำใย' 


แล้วคุณล่ะ คนรอบตัว คุณเลือกแนวทางไหนกันครับ ?


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม





เกมการเงินตลาดหุ้นปี 2017 'ปีแห่งเจ้ามือทำงาน'



ปีละครั้ง แพ้ทยาว กับ หยงสั้น (เอาทั้ง Wealth & เอาทั้ง Cashflow) จะมารีวิว แผนการลงทุนหลักในปีต่อไป 2017 !! - 'ปีแห่งการอ่านเกมเจ้ามือ' (ตัวเล็กก็ไม่เสียเปรียบ เมื่อเข้าใจเกมการเงิน)

..เราจะมาทบทวน แผนการลงทุน / เครื่องมือที่เหมาะสำหรับใช้ลุยตลาดในแต่ละปี โดย 'หยงสั้น' จะดูวิธีทำเงินสั้น 'จะเอาเงินยังไงในปี 2017' (แบ่งเงินเท่าไหร่มาเทรด แบ่งเงินเท่าไหร่ลงทุนยาว ..เข้าออก เร็วหรือช้าแค่ไหน ..การวางเป้า และการกำหนดความเสี่ยงทุกไม้ที่ลงทุน)

ส่วน 'แพ้ทยาว' จะดูวิธี วางเงินยาว ท่ามกลางความผันผวนปี 2017 จะวางเงินยาว อย่างไร ที่ไหน แบ่งเงินยังไง 

ทั้งหมดนี้ เราจะรวมเป็นหลักสูตร The Stock Blueprint 2017 ..เปิดสอนสด 5 วันเต็ม ..ปูพื้นด้วยออนไลน์สำหรับคนมือใหม่อยากปรับฐานก่อนเรียน (ออนไลน์นี่แถมไปเลยฟรี)

ใครสนใจ ดูรายละเอียด หลักสูตรจัดเต็มของ The Stock Blueprint 2017 ดูรายละเอียดข้างล่างนี้

----------------------------------

ดูรายละเอียดคอร์สแบบเต็ม ๆ ได้ที่ http://bit.ly/2gDk2Qx
สอบถาม 063-191- 0816 
LINE: @thestockblueprint (ต้องมี '@' อยู่ข้างหน้าด้วย)  

ในแพ็คเก็จประกอบด้วย

1. คอร์สเรียนสด 30 ชั่วโมง
เรียนกับวิทยากร 5 วันเต็ม 9:30-16:30 น.
11-12/18-19/25 มีนาคม 2017 โรงแรม S31

2. ฟรี! ทบทวนความรู้ย้อนหลังผ่านคอร์สออนไลน์
บันทึกวิดีโอจากคอร์สสอนสด 30 ชั่วโมงให้คุณทวนซ้ำได้จากที่บ้าน
*พร้อมโบนัสพิเศษที่ไม่มีในคอร์สสอนสด* คือ ebook & audiobook
รวมมูลค่า 14,500 บาท

3. ฟรี! สิทธิ์ที่นั่ง VIP ในสัมมนาใหญ่ "แพ้ทยาว หยงสั้น"
พร้อมอาหารบุฟเฟต์และคอฟฟี่เบรค (ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเติม)
วันที่ 6 สิงหาคม 2017 (สถานที่จะแจ้งอีกที แต่เป็นโรงแรมใกล้ BTS)
มูลค่า 4,000 บาท 

และพิเศษสุด!!!
4. ฟรี! เรียนคอร์สออนไลน์ "มือใหม่มาก อยากเล่นหุ้น รุ่น #3" 
มูลค่า 3,500 บาท ฟรี! (เริ่มเรียนวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2017)

**หากท่านเคยเรียนคอร์ส "มือใหม่มาก อยากเล่นหุ้น" แล้ว
สามารถใช้ค่าเรียนที่ชำระไปแล้วเป็นส่วนลด The Stock Blueprint 
ได้เต็มจำนวนคือ 3,500 บาท คุ้มมาก!

ย้ำอีกที The Stock Blueprint ปี 2017 รอบสอนสด เปิดรุ่นเดียวเท่านั้น
พลาดรุ่นนี้รอเรียนปี 2018 เลยครับ
ดูรายละเอียดคอร์สแบบเต็ม ๆ ได้ที่ http://bit.ly/2gDk2Qx
สอบถาม 063-191- 0816 
LINE: @thestockblueprint (ต้องมี '@' อยู่ข้างหน้าด้วย)

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ