แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2562

งานแรก ...ไม่ใช่งานสุดท้าย

‘งานแรก’

ช่วงนี้ได้เดินสายแลกเปลี่ยนความรู้ เจอน้องๆ นักศึกษา ...เขาสนใจว่า เมื่อเรียนจบแล้วจะไปทำอะไรดี ..ทำอะไรจะรุ่ง ..ที่สำคัญ ต้องรวย 

ผมเลยแนะนำน้องๆ เกี่ยวกับ ‘งานแรก’ ดังนี้

‘1. งานแรก มักเป็นงานที่เราไม่ชอบ’ ...นั่นเพราะ ไม่มีบริษัทไหน จะเอางานสำคัญมาให้คนไม่มีประสบการณ์ ...ให้ทำใจก่อนว่า งานแรก เรามาเพื่อเรียนรู้ ไม่ใช่งานที่เรามาหาเงิน

‘2. งานแรก จะฝึกความอดทน’ ...สิ่งสำคัญที่เป็นองค์ประกอบของความสำเร็จในทุกอาชีพ คือ ‘ทำมันจนเชี่ยวชาญ’ ซึ่งต้องอาศัย ‘ความอดทน’ เป็นแกนสำคัญ

‘3. งานแรก คือ บันไดสู่งานที่สอง’ ..ถ้าไม่เริ่มงานที่ไม่ชอบ จะรู้ได้อย่างไรว่า จริงๆ เราชอบทำอะไรจริงๆ 

‘4. งานแรก ควรเริ่มทำให้เร็วที่สุด’ ..ยุคนี้การเริ่มทำงานเช่น ออนไลน์ สามารถเริ่มได้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ...อย่ารอจนเรียนจบแล้วถึงเริ่มทำงานแรก

‘5. งานแรก ควรทำในบริษัทเล็ก’ ...ถ้าเลือกได้ บริษัทเล็กเราจะอยู่ใกล้เถ้าแก่ แล้วมีโอกาสได้ทำงานหลากหลาย ...นี่คือ การเรียนรู้ที่ดี 

‘6. งานแรก ต้องทำให้หนัก’ ...งานแรก คือ งานหนักเงินน้อย แต่มันเป็นงานที่จะกำหนดทางเดินชีวิตครั้งสำคัญ ...อย่าไปมุ่งที่เงิน แต่มุ่งที่การพัฒนาความรู้ ความเชี่ยวชาญของเราให้มากที่สุด

‘7. งานแรก จะสอนเราเรื่อง Active Income’ ...เพื่อเป็นฐานให้เราเรียนรู้งานต่อๆ ไป ที่เป็น Passive Income ...เมื่อเข้าใจว่า ‘ทำงานเพื่อเงิน ทำอย่างไร’ ..ลำดับต่อไป ก็ต้องเริ่มเรียนรู้วิธี ‘ให้เงินทำงานให้เรา’

‘8. งานแรก ต้องเรียนรู้เรื่องคนให้มากที่สุด’ ...การเข้าใจคน ..จะเป็นส่วนสำคัญให้เราประสบความสำเร็จในทุกธุรกิจที่ทำ 

...เพื่อนร่วมงาน จะสอนเราเรื่องการแข่งขัน

 ...หัวหน้างาน จะสอนเรื่องข้อจำกัด 

...ลูกค้าจะสอนเรื่องตลาดและโอกาสในการหาเงิน

‘9. งานแรก ต้องฝึกสร้างระบบ’ ...เส้นแบ่งระหว่าง ธุรกิจที่เล็ก กับ ธุรกิจร้อยล้าน พันล้าน ก็คือ ‘ระบบ’ ..ให้พยายามศึกษาระบบของงานที่เราทำ 

เช่น ขายรองเท้า 1 ล้านคู่ ต้องวางระบบขายอย่างไร ? ...ปราศจากระบบ ให้เราขายรองเท้า 10 คู่ ก็เหนื่อยแล้ว 

...ผู้เข้าใจระบบ แล้วสร้างระบบได้ จึงเป็นนักธุรกิจใหญ่โตได้ (แม้แต่ ‘ระบบ’ เอง ยังขายได้ ..ก็สร้าง Franchise นั่นแหละ คือ ตัวอย่างของการขาย Idea สร้าง ระบบ)

‘10. งานแรก ต้องมีงานที่สอง’ ...หมดยุคของการทำงานที่เดียวจนเกษียณแล้ว เพราะ มันเติบโตช้า ไม่ทันกับโลกในปัจจุบันที่หมุนเร็ว 

งานแรก : จะสอน ความอดทน และ ข้อจำกัด
งานสอง : จะสอนการต่อรอง
งานในบริษัทเล็ก : จะสอนความเป็นผู้ประกอบการ และ แรงบันดาลใจ 
งานในบริษัทใหญ่ : จะสอนเรื่องระบบ
งานต่อๆ ไป ...จะสอนว่า ยิ่งเราเข้าใจจุดแข็งของตัวเองมากขึ้นเท่าไหร่ งานต่อไปจะยิ่งเบาลง แต่เงินมากขึ้น

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2562

ราคา สูง ต่ำ เกิดจากอะไร


‘ราคา’ สูง ต่ำ เกิดจากอะไร 

หนึ่งในหลักการตลาด ที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจมากที่สุด คือ เรื่องของราคา ...มาดูกันว่า อะไรอยู่หลังราคา ?

‘1. ความพอใจของคนซื้อ’ ...อารมณ์ชนะเหตุผลเสมอ หากพูดเรื่องราคา

‘2. จำนวนจำกัด’ ...อะไรที่มีจำนวนไม่จำกัด ราคาไม่เคยสูง ...Limited Edition ทุกเรื่อน ทุกรุ่น ทุกคู่ ทุกอย่างที่กรูผลิต ...555

‘3. เรื่องราวที่เล่า’ ...ยิ่งดราม่าเท่าไหร่ ราคายิ่งสูง ...น้ำนี้ได้จากเทือกเขาที่สูงและบริสุทธิ์ที่สุด เหมือนคุณได้ลิ้มรสฉี่เทวดา !! 

‘4. ความปราณีต’ ...ความปราณีต ความละเอียด มีราคากว่า ...ของที่ทำชุ่ยๆ ทำหยาบๆ 

‘5. เทคโนโลยีที่ล้ำกว่า’ ...แต่เรื่อง เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่มาเร็วไปเร็ว เพราะ จะมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าเร็วๆ นี้แน่นอน

‘6. ความรู้ที่มากมาย’ ...อะไรที่ถูกสร้างมาจากความรู้ที่มากกว่า มักมีราคาสูงกว่า

‘7. การแปรรูปที่มากกว่า’ ...องุ่น แปรรูปเป็นน้ำก็แพงขึ้น ..เอาไปหมักเป็นไวน์ ยิ่งแพง ...เก็บไว้นานๆ ก็ยิ่งโคตรแพง 

‘8. ออกแบบดีกว่า’ ...การออกแบบ คือ การทำให้ง่ายและเกิดประโยชน์สูงสุด แต่ยังดูดี 

‘9. คนดังใช้’ ...ถ้าคนดัง คนมีชื่อเสียง ใช้ ใครๆ ก็อยากใช้ตาม ...คนเราอยากเป็นอย่างคนดังเป็น เราเลยยอมจ่ายแพง เพื่อให้ได้ใช้บ้าง

‘10. อันนี้ตั้งราคาแพงมันตรงๆ เลย’ ...เราเห็นนาฬิกาอย่าง Richard Mille ที่เพิ่งก่อตั้งไม่นาน เจ้าของก็ยังไม่ตาย จะสู้ Rolex หรือ Patek ที่มีประวัติอันยาวนานนับร้อยปีได้อย่างไร ? 

...ก็ตั้งราคาให้มันสูง (มาก) ...ใส่เทคโนโลยีให้มันล้ำ วัสดุมันต้องดีที่สุด ...ออกแบบให้มันประหลาด เห็นเด่นแต่ไกล ...เอาให้คนดังใช้ ..แล้วผลิตให้มันจำกัด (มีเงินอย่างเดียว ซื้อไม่ได้ ..ต้องรอ ...ถ้าไม่อยากรอ ไปซื้อจากในตลาด ...เนื่องจากมันมีน้อย ราคามันเลยไม่ถูก ...ซื้อไปใส่ แล้วขายต่อ อาจยังได้กำไร)

ใช่!! ...ทั้ง 10 ข้อนี้ ไม่ได้ทำขึ้นเพื่อให้ ‘ลูกค้า’ ใช้เหตุผลในการตัดสินใจซื้อ ....แต่ที่ทำทั้ง 10 ข้อนี้ เพื่อให้ลูกค้าใช้อารมณ์ เหนือเหตุผล แล้วตัดสินใจซื้อนั่นเอง

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2562

เมื่อทุกอย่างผิดพลาด จะเดินต่ออย่างไร

‘เมื่อทุกอย่างผิดพลาด จะเดินต่ออย่างไร ?’

ครั้งนี้ผมสร้างเงื่อนไขที่โหดสุดๆ ให้กับชีวิต ...แล้วดูเหมือนว่า มันตกหลุมลึก และผมก็มองไม่เห็นทางออกครั้งนี้เลย

- ที่เรียน ห่างจากร้านอาหาร 6 ชั่วโมง ‘ตัองขับรถทางไกลทุกสัปดาห์มาเรียน 2 วัน แล้วรีบตีรถกลับไปร้านอาหาร’

- ร้านเปิดใหม่ แต่ต้องอาศัยคนช่วยเยอะ ‘เจ้าของไม่มีเวลาทุ่ม 100 % มันทำให้ดียาก ไหนจะต้องไว้ใจคนอื่น’ 

ทำแบบนี้อยู่ครึ่งปี รู้สึกว่า ‘ร่างกายเราเริ่มรับไม่ไหว แต่มันหยุดไม่ได้ เราถอยไม่ได้แล้ว!!’

จุดเปลี่ยนมาถึง ในวันที่ ‘ผมขับรถแล้วเผลอหลับ ...รถพุ่งเข้าชนกับที่กั้นถนนระหว่างทาง ...ผมตกใจตื่น แล้วรีบหักพวงมาลัยกลับ ...รถชนด้านข้างตั้งแต่หน้ารถ ลากมาทั้งคัน แต่ไม่ได้เสียหายมาก’ 

...ผมพูดกับตัวเองเลยว่า ‘ถ้าขืนทำแบบนี้ คงต้องตายจริงๆ สักวันแน่ !!’

สิ่งที่ทำให้ฉุกคิด ในวันนั้นก็คือ 

1. ‘ผมจะยื้อแบบนี้ไม่ได้แล้ว ต้องเลือก’ ...ถ้าไม่เลือกคงพังทั้งหมด ทั้งธุรกิจและการเรียน ...ผมตัดสินใจเลือกร้านอาหาร

2. ‘การเลือกธุรกิจ มันติดปัญหาที่ Visa เราเป็น นักเรียน’ ...เขาไม่อนุญาตให้ทำธุรกิจเกินชั่วโมงที่กำหนด และ ผมมีเวลาในการเปลี่ยน เป็น Visa ธุรกิจไม่เยอะ ...เพราะ เมื่อเราเลิกเรียน Visa นักเรียน ก็อยู่ต่อไม่ได้ 

‘ครั้งนี้กดดันจริงๆ ..ผมรีบไปหา ที่ปรึกษาเรื่องทำ Visa ธุรกิจ’ ....เขาบอกผม อย่างแรกเลยว่า ‘ธุรกิจคุณเล็กเกินไป ...ถ้าอยากได้ Visa ธุรกิจ คุณต้องกำไร และ จ้างคนออสเตรเลียทำงานด้วย’

...งานเข้า!! เพราะ ปกติร้านอาหารส่วนใหญ่ที่อยู่ได้ เพราะ หลบภาษี ส่งรายได้ขาดทุน จะได้ไม่ต้องเสียภาษีโหดๆ แต่ถ้าผมต้องส่งภาษีตามที่กำหนดขั้นต่ำ นั่นหมายถึง ผมต้องส่งกำไรเกินจริง (ส่งเพื่อให้เราจ่ายภาษีได้ตามที่เขากำหนดขั้นต่ำ) 

...ทำแบบนั้น จะไม่เหลือกำไรเลย !!

จากนั้น ต้องยอมจ้างคนออสเตรเลียมาทำงาน 

ผมนั่งคำนวน อยู่นาน ก็พบว่า ...’ไม่มีทางทำได้’ ...ทางที่จะทำได้ก็คือ ต้องเปิดร้านอาหารเพิ่ม รายได้ถึงจะเข้าเกณฑ์ และ สามารถจ้างคนได้เพิ่ม

แต่ไม่มีเงิน !!

(ใช่!! ทุกคนเจอปัญหานี้ตลอดแหละ เพียงแต่เราจะต้องผ่านไปให้ได้ก็เท่านั้นเอง)

ครั้งนี้ผมหาข้อมูลว่า มีวิธีไหนไหมที่ผมจะ สามารถเปิดร้านต่อไป โดยที่แทบไม่ใช้เงินเลย

พบว่า หนึ่ง มีบริษัทที่ยอมปล่อยกู้อุปกรณ์ทำครัว แบบผ่อนจ่าย แต่ดอกเบี้ยโหด ..สอง มี Bartercard ที่ผมสามารถ เอาค่าเซ็ตร้านมาหักกับอาหารหลังจากร้านเปิด ....โอเค !! พอมีทาง 

ในที่สุดผมเจอทำเลที่จะเปิดร้านสาขาที่สอง ...เป็นร้านที่อยู่หน้าโรงหนังเลย ...แต่ปัญหามันอยู่ที่ ‘คนบอกว่า เจ้าของที่ เขี้ยวมาก ...ไม่มีใครอยู่ได้นานเลย ...เคยมีร้านอาหารจีนมาเปิด ก็อยู่ไม่ได้ ...ร้านว่างมานาน ก็เพราะ เจ้าของเขี้ยวนี่แหละ!!’

เอาวะ ...ไม่สน ‘คนอื่นไม่รอด แต่ผมต้องรอด!!’

จากประสบการณ์ที่ผมเดินทางระหว่าง มหาวิทยาลัย กับ ร้าน ไกลๆ มันไม่ work ...ร้านที่สอง ของผม จึงตั้งอยู่ห่างจากร้านแรกแค่ 30 นาที ...ผมเปิดร้านที่สองโดยแทบไม่ใช้เงินเลย แต่ใช้เครดิตมหาศาล ก็คล้ายๆ เป็นหนี้นั่นแหละ

ผมเริ่มจ้างเด็กฝรั่งมาทำงานให้ ...ร้านผมน่าจะเป็นร้านเดียวที่ใช้เด็กฝรั่ง ทำอาหาร ผัดข้าว ...เพราะ อย่างแรก ผมต้องขอ Working Visa ต้องจ้างฝรั่ง ..สอง ผมเริ่มคิดการใหญ่ว่า ผมจะเป็น แมคโดนัลของอาหารไทย ‘ถ้าผมสามารถสอนเด็กฝรั่งทำอาหารได้ ผมก็สามารถขยายสาขาไปที่ไหนก็ได้ !!’

เปิดสาขาที่สองไม่นาน ก็มีข่าวว่า ห้างสรรพสินค้าจะมาเปิดใหม่ที่เมืองใกล้ๆ ซึ่งเป็นย่านที่พักของคนรวยแถบนั้น ....เอาแล้ว !! ผมเริ่มสนใจอยากจะเปิดร้านต่อไปที่นั่น แต่ปัญหาก็คือ !!

ปัญหา ?!? ...ชีวิตเราต้องสนุกกับปัญหา ไม่งั้น อย่ามาเป็น ผู้ประกอบการ - ‘ทุกวันของเรา คือ การแก้ปัญหา’

ปัญหาคือ ถ้าเปิดร้านครั้งนี้ ในห้าง มันมีกฏระเบียบเยอะมาก ....การสร้างร้านขึ้นมาใหม่ ผมต้องมีคนคุมก่อสร้างที่มี ใบอนุญาตก่อสร้าง ....ผมตัดสินใจค้นข้อมูล พบว่า ผมเองสามารถไปเรียนเพื่อเอาใบอนุญาตก่อสร้างได้ ...ผมตัดสินใจลุยทันที 

การสร้างสาขาที่สาม มาด้วยข้อจำกัดหลายอย่าง ...เนื่องจากที่แพงมาก ผมจึงตัดสินใจเปิดเป็น Food Takeaway แทน ‘คือให้ซื้อกลับบ้าน ไม่มีที่นั่ง’

ครั้งนี้ผมออกแบบร้านใหม่หมด เริ่มจากครัวเปิด (ทุกครั้งครัวปิด ไม่มีใครเห็นในครัว) 

การสร้างร้านใช้แบบเดิม กู้มา เช่าซื้อมา ใช้เครดิต ร้านเดิม สำหรับ วัตถุดิบ ....ครั้งนี้ผมวาง Concept ของร้าน คือ Fit Food in the box

- อาหาร ผัดสด ทุกจาน แบบ Cooking Theatre ‘ไฟลุกต่อหน้าคุณ !!’ ...ลูกค้าเลือก ผัก / เนื้อ / เส้น หรือ ข้าว 

- พอผัดเสร็จสดๆ ก็ใส่ลงในกล่อง (กล่องกระดาษแบบก๋วยเตี๋ยวจีน ที่เราเห็นในหนังฝรั่งน่ะ ...ผมไปสั่ง กล่องพิเศษ แล้วติดชื่อร้าน เพื่อที่จะทำให้ทั้ง 3 สาขา มาที่ Concept เดียวกัน)

ในที่สุดผมก็เปิดสาขาที่ 3 สำเร็จ เป็น Modern Thai Takeaway ที่ผัดสด โชว์ แต่ปัญหาก็เกิดขึ้น ตรงที่ผมใช้เด็กฝรั่งผัด ...เดิมทีลูกค้าไม่รู้ แต่คราวนี้พอเห็นเด็กฝรั่งผัด เขาไม่อยากกิน (ฝรั่งชอบอาหารที่ คนประเทศนั้นๆ ทำ)

งานเข้าอีกละ !! เพราะเมืองแบบนี้ แทบไม่มีคนไทย ทำไงดีล่ะ 

....

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2562

มีความรู้ มีประสบการณ์ แต่ขาดเงิน จะเริ่มธุรกิจยังไง

‘มีความรู้ มีประสบการณ์ แต่ไม่มีเงิน จะเริ่มธุรกิจยังไง’

ยุคผมไม่มีหรอกครับ VC หรือ Angel แบบว่า ‘นักลงทุนมาลงเงินให้ก่อน’ ..ไม่มีครับ !!

มีเงินหรือ 2 อย่างเท่านั้น สำหรับ ผู้กล้าที่อยากมีธุรกิจตัวเอง

1. เงินกรู ..ซึ่งมันเสี่ยงสุด เพราะ กว่าจะเก็บเงินได้สักก้อนมันยากเย็น 

2. เงินกู้ ...ไม่มีธนาคารปล่อยเงินให้ Start-Up หรอกนะ เพราะ ธนาคารมีไว้ปล่อยกู้คนรวย คนมีทรัพย์สิน หรือ ลูกคนรวย ...ดังนั้น กู้ได้จาก พ่อแม่ และ เพื่อนๆ เท่านั้น 

‘ใครจะยอมให้เรากู้ ถึงจะเป็นเพื่อน หรือ พ่อแม่ ก็เถอะ ...ยกเว้นว่าเราโคตรเก่ง แล้ว เรามีประสบการณ์จริงๆ ในธุรกิจที่เราจะทำ’

..แต่มันก็พอจะมีหนทางนะ !!

ใช่!! ‘เข้าไปสมัครเป็นลูกจ้าง หรือ ลูกน้อง ของคนที่ทำธุรกิจที่เราอยากจะทำ’ เพราะ หนึ่ง ได้เงิน สอง ได้เรียนรู้ 

จริงๆ คนที่จะเปิด Start-Up ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะไรก็ตาม แล้วมีโอกาสสำเร็จมากที่สุด ก็คือ ‘ผู้บริหารระดับสูง ในทุกธุรกิจ’

ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่า ‘ผู้บริหารระดับสูงในทุกธุรกิจ ส่วนใหญ่ไม่กล้ามาเปิดธุรกิจหรอก ถึงแม้ว่า เขาจะมีโอกาสสำเร็จมากที่สุด’ นั่นก็เพราะ 

1. ‘ไม่คุ้มเสี่ยง’ ...ในยุคนี้ รายได้ผู้บริหารกับพนักงานทั่วไป มันจะแตกต่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะ เจ้าของบริษัท ต้องจ่ายให้มากพอ ที่จะไม่คุ้มให้ลูกน้องไปเปิดธุรกิจแข่ง

ไหนจะต้องแข่งกับ หัวหน้าอีกต่างๆ นานา ...

2. ‘ช่องว่างทางธุรกิจ’ ...ถ้าจะไปเปิดธุรกิจแข่งตรงๆ คือ ไปทำเหมือนธุรกิจเดิม อย่าทำเลย เสียเพื่อน เสียแรง และ เสียเวลา ...มีทางเดียวคือ คุณต้องเห็นช่องว่างที่บริษัทเดิมไม่อยากทำ ...เพราะ มันอาจจะไม่คุ้มที่บริษัทใหญ่จะไปจับโอกาสนั้น หรือ อาจจะเป็นว่า ผู้บริหารเดิมมองว่า ตลาดที่เรามอง ไม่น่าสนใจ 

3. ‘ความบ้า’ ...ถ้าเดิมเราเป็นผู้บริหารอยู่แล้ว ก็แปลว่า ชีวิตดี มีเงิน มีความมั่นคง ในระดับนึงอยู่แล้ว ...การที่จะกล้า ทุบหม้อข้าวตัวเอง แล้วไปเริ่มธุรกิจใหม่ ในช่องว่างที่เราเห็นต่างจากคนอื่น ต้องอาศัยความบ้า ที่มากพอ

สรุป ‘เราเลยไม่ค่อยเห็น ผู้บริหารออกมาเปิดธุรกิจ Start-Up ทั้งที่เขาเป็นกลุ่มคนที่น่าจะมีโอกาสสำเร็จมากที่สุด’

....ถูกต้อง !! โอกาสนี้ มีไว้คนบ้าอย่างเราเท่านั้น ...เราไม่อะไรจะเสีย ...จริงๆ เราไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำ ...เราจึงกล้าพอที่จะทำ

ณ วันที่ผม ตัดสินใจ ขับรถขึ้นไปดูร้านอาหาร ที่ประกาศขายในราคาไม่แพง ที่เมืองริมทะเล ที่ต้องขับรถ ห่างจากมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนก็ประมาณ 6 ชั่วโมงเห็นจะได้ 

‘รู้ทั้งรู้ ว่า ถ้าร้านมันดี คงไม่มีใครอยากขายถูก’ 

‘รู้ทั้งรู้ว่า มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่เราจะเรียนไปพร้อมกับเปิดร้านอาหาร ที่อยู่ห่างไป 6 ชั่วโมง ..มันแทบจะเป็นไปไม่ได้’

แต่ผมก็ยังดันทุรัง !!

ผมหยิบเงินค่าเทอม จ่ายให้กับเจ้าของร้าน แล้วบอกเขาว่า ‘นี่คือ มัดจำครับ ...เดี๋ยวผมจะหาเงินส่วนที่เหลือมาจ่ายพี่ครับ!!’

...ผมตัดสินใจ ตีตั๋วเครื่องบิน กลับเมืองไทยทันที เพื่อที่จะไปคุยกับพ่อ

ทันทีที่เจอพ่อ ผมพูดว่า ...

‘พ่อครับ ..ผมเอาเงินค่าเรียนไปจ่ายค่ามัดจำซื้อร้านอาหาร !! ....(นั่งคุยกับพ่ออยู่ 2 ชั่วโมง) ...พ่อตัดสินใจให้ผมยืมเงิน’ ...แล้วบอกผมว่า ‘เรียนให้จบนะ !!’

(อันนี้ไม่แนะนำให้ใครทำตาม เพราะ เมื่อมองย้อนไป มันงี่เง่าโคตรๆ ...ถ้าผมเป็นพ่อ คงบอกว่า มึงไปแก้ปัญหาเอง) 

ผมรีบบินกลับไปเจอเจ้าของร้าน แล้วจ่ายเงินที่เหลือ จากนั้น ก็ขอให้เขาอยู่ช่วยสักเดือน พร้อมกับขอให้เขาช่วยหาคนมาเป็นลูกมือ 

ระหว่างนั้น ผมก็กลับไปจัดการเรื่องตารางเรียน ให้สามารถเรียนใน 2 วัน ผมจะได้มีเวลา 5 วันไปดูร้าน

ช่วงที่ผมมาเรียน ก็เริ่มฝึกลูกน้อง ให้ทำอาหาร โดยมีเจ้าของร้านเดิมคอยช่วย 

ลองเดาซิครับว่า ‘ชีวิตของผมหลังจากนั้น มันเกิดอะไรขึ้น ?’

- ต้องขับรถ 6 ชั่วโมงมาเรียนหนังสือ 2 วัน แล้วรีบขับกลับไปดูร้านอาหาร

- ต้องอดนอน เพราะ ร้านอาหารเป็นธุรกิจที่หนัก ...แล้วต้องแบ่งเวลาอ่านหนังสือเรียน ...คำสัญญากับพ่อ ที่ว่า ‘แพ้ทต้องเรียนให้จบนะ!!’ 

....

ผมเริ่มเหนื่อยล้า แล้วก็คิดว่า ‘ทำไมชีวิตกรู ถึงแย่ขนาดนี้ !!’

เฮ้ย !! กรูทำอะไรอยู่วะเนี่ย ...เรียนก็จะไม่ไหวแล้ว ...งานก็โคตรหนัก ...แล้วถ้าเรียนไม่ผ่าน Visa นักเรียนก็จะอยู่ต่อไม่ได้ ...เงินก็ลงไปแล้ว จะเอาเงินมาคืนที่บ้านยังไง 

ทำไง ดีวะ ....ทำไมชีวิตเราถึงได้แย่ขนาดนี้ ?

...ฮ่า ฮ่า มองย้อนกลับ นี่มันคือ เรื่องของเด็กโง่ คนนึง มีฝัน อยากสำเร็จ แล้วก็มีลูกบ้า ..แต่มันทำตัวเอง ผูกชีวิตตัวเอง ให้ไปถึงทางตัน ...ตลกจริงๆ ..555


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2562

กลับไปหาคำตอบที่ออสเตรเลีย ว่าฝรั่งไม่ได้เก่งกว่าเรา ทำไมรายได้มากกว่าเรา 10 เท่า

‘กลับไปหาคำตอบที่ออสเตรเลีย ว่าฝรั่งไม่เก่งกว่าเรา ทำไมรายได้มากกว่าเรา 10 เท่า’

เด็กรุ่นผม ใครจบนอก มันดูดี ..หางานง่าย ...แต่เอาตรงๆ ทุกวันนี้ไม่ใช่ละ ...เรื่องนี้ไม่ใช่แต้มต่ออีกต่อไป ...ยุคนี้ แต้มต่อ คือ ‘นิสัยแตกต่าง จากคนส่วนใหญ่’ นั่นแหละ แต้มต่อของคนทุกยุคทุกสมัย

ผมกลับไปออสเตรเลียอีกครั้ง เพื่อจะหาคำตอบ ครั้งนี้ผมไปในฐานะนักศึกษาปริญญาโท 

...ผมยังคงใช้หลักการเดิม คือ 

- เลือกมหาวิทยาลัยที่เข้าง่ายที่สุด จบเร็วที่สุด
- มีความยืดหยุ่นในการเรียน เพราะ เป้าหมายผมไม่ใช่การเรียน แต่ผมจะหางานทำ

ตอนที่เคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่นี่ ผมไม่ได้ทำงาน Part-time ก็เลยไม่รู้จักที่นี่จริงๆ 

ใช่!! จะบอกว่า ‘ใครอยากรู้จักประเทศไหนแบบลึกซึ้ง ต้องลอง หาเงินจริงๆ ในประเทศนั้น ...คุณจะเข้าใจจริงๆ’

ท่ามกลางความสวยงามของออสเตรเลีย พอทำงานจริง ผมพบว่า เป็นประเทศที่โหดมาก

- กฏระเบียบในการเริ่มธุรกิจยากมาก ...มันไม่เหมือนบ้านเรา ที่ทุกคนสามารถเอาโต๊ะไปตั้งหน้าบ้านแล้วเริ่มขายก๋วยเตี๋ยว 

- ผมเรียนรู้อันนี้แบบตรงๆ คือ ผมไปเช่าบ้าน ในแถวที่มีบ้านคนอยู่ แล้วเริ่มลองทำอาหาร Delivery ...ผลคือ มีคนไปแจ้งว่า คนเอเชีย มาทำสกปรก ต้องเลืกทำไปตามระเบียบ ...ครั้งนั้นเสียค่าเช่าบ้านฟรี , ซื้อรถเก่าๆ มาก็สอนให้ผมรู้ว่า รถมือสอง ค่าซ่อมแพงกว่าค่ารถ , อุปกรณ์ทำครัว ทำอาหาร หมดไปหลายหมื่น ขายไม่ได้เลย ...เฮ้ย!! ผมรู้เลยว่า ธุรกิจจริง กับ การมโน ของเด็ก มันห่างไกลกันมาก

- ถ้าจะเทียบ ผมก็คือ Start-Up ยุคนั้น แล้วมั่วชิบหาย อยู่คนเดียว ...โชคดีของ Start-Up ยุคนี้ คือ มีผู้ใหญ่ คอยสนับสนุน ให้เงิน ให้ประสบการณ์ ...แต่มันก็ไม่ง่ายอยู่ดี

- ผมไม่เข็ด ...คราวนี้ ผมไปหาว่า มีร้านอาหารไทยที่ไหนประกาศขายบ้าง ...ไปเจอร้านนึงขายถูกมาก ...แต่ผมไม่มีเงินพออยู่ดี ก็เลยไปคุยกับเจ้าของร้านว่า ผมขอเช่าร้านบางส่วนได้ไหม ? ...ตอนแรกก็คิดว่า คงไม่ได้ ...สรุปว่า ได้ครับ ...ผมเริ่มทำร้าน แบบที่แทบจะไม่ต้องลงทุนเลย เพราะ ของและอุปกรณ์ทำกับข้าว ผมมีแล้ว ....ลุย!! 

- 6 เดือนแรก ใช้ไปกับการฝึกงานร้านอาหาร ..อีก 3 เดือน ใช้ไปการมโน สร้างร้าน Delivery ...จากนั้น ก็ถึงเวลาเริ่มขายอาหารจริงๆ 

- ทำไป 3 เดือน ปัญหาเกิด ...คือ มีปัญหากับ เจ้าของร้านเดิม ...ตอนนั้นผมรู้สึกเครียดมากเลย คิดว่า ทำไมเราต้องมาเจอเรื่อง เจอปัญหา แถมยังต้องเรียนหนักด้วย รถก็เสียประจำ บางครั้งเปิดร้านช้า (เปิดๆ ปิดๆ) กรูทำอะไรวะเนี่ย ? ...ร้านก็ขายไม่ดี (ถ้าดี เจ้าของเดิมจะประกาศขายถูกๆ ทำไมล่ะ?)

- ช่วงนั้นพยายามหาทางออก ไปเจอว่า มีร้านอีกแห่ง ประกาศขาย อยู่เมืองชายทะเล ที่ห่างจากที่ผมอยู่ประมาณ 6 ชั่วโมง ...เยี่ยม!! ผมว่า นั่นแหละ ต้องเป็นทางออกของชีวิต

- ผมตัดสินใจ ขับรถ ไปวันนั้นเลย 6 ชั่วโมง ไปถึงร้านนั้น ...เจ้าของร้านนี้ บอกว่า ถ้าอยากได้ ขอให้มัดจำก่อน เพราะ มีคนต่างชาติอีกคนมาดูแล้วสนใจมาก แต่เขาอยากขายผม ดูเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่มีไฟ ...เอา!! ผมตัดสินใจ เอาเงินค่าเทอม มามัดจำร้านใหม่ทันที

เรื่องบ้าๆ นี่เกิดขึ้นรวดเร็วมาก ตั้งแต่เหยียบขามาถึง ออสเตรเลีย ผมก็ทำเรื่องต่างๆ ไว้มากมาย อยู่ไม่ถึงปี แกว่งเท้าหาเสี้ยนได้ขนาดนี้เลยหรือ ?

ผมจดประสบการณ์ที่ได้ออกมาเป็นข้อๆ ก็พบว่า ‘ฝรั่งไม่ได้เก่งกว่าเรา แต่เขาได้เงินมากกว่าเรา 10 เท่า’ 

มันมี 2 ส่วน คือ หนึ่ง ปัจจัยภายนอก อันนี้คือ ส่วนที่เราควบคุมไม่ได้ ก็ระบบของประเทศเขาเอื้อให้หาเงินได้เยอะกว่า เราทำอะไรไม่ได้ (เราเลยเห็นบางคนบินไปทำงานเก็บเงินต่างประเทศ แล้วมาเกษียณเมืองไทย ก็เพราะต้องการได้ประโยชน์ตรงนี้แหละ)

สอง ‘ปัจจัยภายใน’ (อันนี้ตัวเราล้วนๆ เราปรับปรุงได้) มีดังนี้ 

1. ‘คนที่ทำงานหาเงินเร็วกว่า จะเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต ได้เร็วกว่า’ 

2. ‘ใส่ใจกับการเพิ่มความรู้และประสบการณ์ จะทำให้โอกาสหาเงินเรากว้างขึ้น’

3. ‘ไม่ดูถูกงาน’ ...งานที่ต่ำต้อย ส่วนใหญ่ คือ จุดเริ่มต้น หรือ ประตูไปสู่งานดีๆ โอกาสที่ยอดเยี่ยม ...ถ้าเราลดตัวต่ำไม่ได้ เราก็กระโดดสูงไม่ได้

4. ‘เก็บเงินในรูปสินทรัพย์’ ...คนออสเตรเลียจะมีพอร์ตเกษียณ ที่สามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ ทำให้คนของเขาพอเกษียณแล้วมักจะมีเงิน เพราะ สินทรัพย์เหล่านี้ มันโตขึ้นเรื่อยๆ ...บ้านเราจริงๆ ก็เริ่มมี RMF/LTF แต่น้อยคนที่ลงทุน เพราะ ไม่เข้าใจว่า มันคือ เคล็ดลับที่ทำให้รวยได้

5. ‘การย้ายที่อยู่เป็นเรื่องปกติ’ ...บางครั้ง การออกจากทางตันของชีวิต อาจจะเป็นการเปลี่ยนสภาพแวดล้อม การย้ายบ้าน ...ที่นั่น เป็นเรื่องปกติ และ ทำได้ง่าย

6. ‘ผู้ใหญ่ไม่อายที่จะกลับไปเรียนใหม่’ ...หลายๆ คนเปลี่ยนอาชีพ เปลี่ยนงาน ก็กลับไปเรียนใหม่ 

7. ‘สังคมเขาเป็น DIY’ คือ ทำอะไรต่างๆ ด้วยตัวเองเยอะมาก ...ทำให้คนเขามีความรอบรู้ ...คนที่นั้นหลายๆ คนสร้างบ้านเอง ...ต่อเติมเอง ...สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินทรัพย์อย่างบ้าน ด้วยตัวเอง 

8. ‘เรียนรู้การใช้เครื่องทุ่นแรง และ เทคโนโลยี’ ...ชัดๆ คือ ฝรั่งจะเรียนรู้การใช้เครื่องทุ่นแรงทุกรูปแบบ ...ตรงนี้มันเพิ่ม ประสิทธิภาพในการทำงาน ...ดังนั้น การทำงานให้ผลลัพธ์ที่เท่ากัน ฝรั่งจะใช้ทั้งคน และ เวลาต่ำกว่าเรา

9. ‘มีการเปลี่ยนมือในอสังหาเยอะมาก’ ...ในออสเตรเลียจะมี Realestate Agent หรือ นายหน้าซื้อขายอสังหา เยอะกว่า 7-11 แปลว่า เขาเรียนรู้ที่จะซื้อขาย แล้วสร้างมูลค่าเพิ่มในอสังหา ซึ่งปกติเป็นสิ่งที่คนรวยเท่านั้นที่รู้ ....แต่ที่นั้น ใครๆ ก็รู้ 

10. ‘สังคมที่เรียนรู้เร็วจากข้อผิดพลาด’ ...คนเก่ง คือ คนที่ผิดพลาดเยอะๆ ...พ่อแม่ฝรั่งเขาให้ลูกออกไปสู้ชีวิตเองให้เร็ว ก็เพื่อการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดแล้วยืนได้ด้วยตัวเอง ให้เร็วที่สุด

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



‘พ่อตาย ลูกชายโต’ ..แต่พ่ออยู่ ลูกชายก็โตได้

‘พ่อตายลูกชายโต’ ...แต่พ่อผมยังอยู่ แล้วทำให้ผมโตขึ้นทันทีที่พ่อพูด

วันหนึ่งพ่อเดินมาหาผมแล้วพูดว่า ‘พ่อเลิกทำงานแล้วนะ ..ปิดบริษัท !!’

เฮ้ย!! ฝันผมสลายทันที ...ความฝันตลอดวัยเด็กของผมก็คือ การรับช่วงเป็นผู้จัดการต่อจากพ่อ ...ผมอยากใส่สูทเท่ห์ไปทำงานเหมือนต่อ ...แต่วันนี้พ่อเดินมาบอกว่า ‘เลิกทำ’ 

คืนนั้นผมนอนไม่หลับ คิดวนเวียนในหัวว่า ‘แล้วเราจะทำอะไรดี จะอยู่ยังไง ...ไปสมัครบริษัทอื่น มันก็ต้องเริ่มจากลูกจ้างทั่วไป ...ไม่มีหรอก ใครจะให้เด็กเป็นผู้จัดการ’

ช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง น่าจะมีธุรกิจในประเทศไทย ที่ต้องล้มหายตายจาก ปิดกิจการ ...ผมเข้าใจคนในครอบครัวเหล่านั้นเลยว่า ‘มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก’

บางคนถูกเรียกตัวกลับจากต่างประเทศ เพราะ ที่บ้านไม่มีเงินส่งต่อแล้ว ...หนึ่งในนั้นคือ คุณหยง (Freedom Trader) ...ทางบ้านคุณหยงเรียกตัวกลับ แต่คุณหยง บอกทางบ้านว่า ‘ผมไม่กลับ !! ...เดี๋ยวผมจะหาเงินอยู่เอง เรียนเอง’ ...หลังจากนั้น ทั้งทำงานที่ร้าน แมคโดนัล เพราะได้เงินแถมกินฟรี ...ทำงานทุกอย่างที่มีใครจ้าง รับจ้างเขียนรายงานให้เพื่อน รับติดตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน 

....เออ!! แล้วผมมาเล่าเรื่องคุณหยง ทำไมเนื่ย 

...อันนี้มันเรื่องผม กลับมา ..555

สิ่งที่นึงที่วิกฤต และ ความล้มเหลว มันสอนผมคือ ‘ถ้าไม่ยอมแพ้ เราจะเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้ในที่สุด!!’ (เป็นไงล่ะ มองโลกโคตรบวก ...แต่เชื่อเถอะว่า ถ้าใครเคยเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสแล้ว เขาก็จะทำได้อีก ครั้งที่สอง สาม สี่ ต่อๆ ไป)

...ส่วนผม ตั้งแต่ พ่อบอกว่า ไม่มีธุรกิจให้บริหารแล้ว ผมเริ่มหาโอกาสทันที ...ตอนนั้น อยู่ปีสอง ...เริ่มหาข้อมูลว่า มีโอกาสอะไรบ้างที่ผมจะหาเงินได้ทันที ...สรุปว่า ได้ 2 งาน 

...อันแรกคือ ขายตรง ที่สุดท้ายพอทำๆ ไปก็มาพบว่า มันคือ แชร์ลูกโซ่ ...แต่อย่างน้อยมันสอนเรื่อง ทักษะ ‘การขาย’ ...การยอมรับการปฏิเสธ ...และ การรับมือกับความพ่ายแพ้ ...ผมว่า ทักษะ ที่สำคัญในทุกอาชีพ คือ ‘การขาย’ (คนหน้าบาง จะขายของไม่ได้เลย ...มันต้องฝึกความหนา จากการรับมือกับ การปฏิเสธ และ ความคิดต่าง)

..งานที่สอง คือ ทำ Part-time ...หลายคน สงสัยว่า ทำไมผมหา Part-time ได้ ทั้งที่มันหายาก ...ตอบตรงๆ เลยนะ ...ที่ผมได้งาน Part-time เพราะ งานขายตรง มันทำให้ผมต้องไปศึกษาเรื่อง Internet และ จุดนี้เอง ทำให้ผมได้ความรู้ที่เอาไปต่อยอด ทำงานต่อไป

สรุป คือ ‘ในโลกนี้ ไม่มีความล้มเหลว ที่สูญเปล่า’ ...เพราะ ความล้มเหลว จะทำให้เราเกิดองค์ความรู้ใหม่ ที่ต่อยอดไปอีกงาน อีกอาชีพ ไปเรื่อยๆ 

‘ถ้าเด็กรุ่นใหม่ ถามผมว่า จะหาโอกาสทำยังไง ?’

ผมจะบอกว่า ให้ทำดังนี้

1. ทำอะไรก็ได้ ทำเลย
2. ใช้ทุนให้ต่ำ ลงมือทำให้เยอะ
3. เลือกสิ่งที่เป็นเทคโนโลยี หรือ สิ่งใหม่ เพราะ ตรงนี้จะทำให้เราได้เปรียบคนที่อายุมากกว่า ...ก็ไม่มีใครรู้เรื่อง อย่างน้อยคนรุ่นใหม่ก็เรียนรู้ได้เร็วกว่า
4. ล้มได้ แต่อย่านั่งนาน ...ลุกขึ้นมา แล้วต่อยอดจากจุดที่ล้มให้เร็วที่สุด
5. หาที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์มาร่วมทีม ...ทีมที่ดี ต้องมีทั้งคนรุ่นเก่า และ รุ่นใหม่ ผสมกัน

....วันนั้น ผมทำพัง ทั้งขายตรง และ งานแรก แต่ผมก็ยังจะเดินต่อ ....ผมบอกพ่อว่า ‘ผมจะไปเรียนต่อ ที่ออสเตรเลีย’

...ระหว่างที่บินไป ออสเตรเลีย ผมคิดตลอดว่า ‘ผมต้องเริ่มธุรกิจให้ได้ ...ผมต้องสร้างธุรกิจก่อนจบ’

วันแรกที่ผมถึง ออสเตรเลีย ผมไปเดินหางานทันที ...ความเชื่อนี้ก็คือ 

- ถ้าผมจะทำอะไร ผมต้องลองไปเป็นลูกจ้าง หรือ ลงมือทำจริงๆ 

‘คุณรู้ไหมว่า คนที่สำเร็จเร็ว ..ไม่เกี่ยวกับ โชคดี หรือ ความฉลาดเลย’ 

หลักๆ ก็คือ 

1. ‘คนที่เข้าไปเป็นลูกจ้าง ลงมือทำทันที’ ...มันได้รู้จักธุรกิจเรียนจากหน้างาน ซึ่งเป็นประสบการณ์ตรงที่หาค่าไม่ได้ 

2. ‘ถ้าตั้งใจมอง จะเห็นลูกค้า หาโอกาสได้’ ...การทำแผนธุรกิจ ที่เคยเรียนในมหาวิทยาลัย มันคือ ‘คนนอก กับ เด็ก นั่งมโน’ ...การเข้าไปทำ มันคือ เราสัมผัสตลาด เข้าใจคนที่จ่ายเงิน 

3. ‘อย่าเปิดเอง จนกว่าเราจะเป็นคนสำคัญของธุรกิจ’  ...ลูกจ้างที่มีฝันอยากมีธุรกิจตัวเอง จะขยัน และ พยายามเรียนรู้ให้มากที่สุด ...พวกนี้เลื่อนตำแหน่งเร็ว เจ้าของชอบ เพราะ เขามองเห็นตัวเองในอดีต ....แต่จำไว้ว่า ‘อย่าเปิดเผยเป้าหมาย อยากมีธุรกิจ จนกว่าคุณจะพร้อม’ 

(สุภาษิตเขาพูดว่า เสือที่ตายไว เพราะ มันเผยเขี้ยวเล็บให้เห็นก่อนเวลาอันควร)

ผมใช้เวลา 6 เดือน สมัครตั้งแต่เริ่มล้างจาน จนเป็นผู้ช่วยกุ๊ก ...ผมเลือกทำร้านอาหารเล็กๆ เพราะ เราจะได้ทำทุกอย่าง เรียนรู้เร็วมาก

...พร้อมแล้ว ที่จะเปิดร้าน แต่ไม่มีเงิน ...ปัญหาใหญ่เกิดละ ...มีฝัน มีความสามารถ แต่ขาดเงิน !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ต่างชาติ แล้วมันต่างยังไง

‘ต่างชาติ แล้วมันต่างยังไง’

ยุคผม จะมองว่าฝรั่งเก่งกว่า เขาคือ หัวหน้า ..เราจะเรียนรู้อะไรจากเขา ?

วันนี้เด็กรุ่นใหม่เดินทาง ท่องเที่ยวต่างประเทศกันเยอะ แต่มันมีความแตกต่างของความเข้าใจ และ ประสบการณ์ที่ต่างกันสุดๆ ระหว่าง ‘ไปในฐานะท่องเที่ยว’ (ส่วนใหญ่ได้แค่ถ่ายรูป แต่ไม่ค่อยได้อะไร) กับ ‘ไปอยู่’ (ไปอยู่ในประเทศนั้น แบบคนท้องถิ่น)

ประสบการณ์แรกในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนออสเตรเลีย ในยุค ‘80 ...คือ 

- จากเด็กที่เรียนเลขห่วยในไทย ...ผมได้คะแนนเลขเกือบ Top ห้องที่ออสเตรเลีย ..ฝรั่งมันพูดว่า ‘คนเอเชียเก่งเลขทุกคน’ ...แต่ที่ผมสงสัยคือ การคำนวณเราเหนือกว่า แล้วทำไม ประเทศตรูยากจนกว่าวะ ? (วันนั้นโคตร หาคำตอบไม่ได้)

- ภาษาอังกฤษผมพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ...เรียนภาษาอังกฤษในไทยมาเป็นสิบปี ก็ยังพูดไม่ได้ ...แต่พอไปอยู่ 6 เดือน ในโรงเรียนไฮสคูล พูดได้เลย ...จะให้สรุปว่าไง ‘ตกลงภาษามันเรียนจากสภาพแวดล้อม ไม่ได้เรียนจากตำรา ...พูดง่ายๆ อ่านตำราอีก 20 ปี อาจจะยังพูดไม่ได้เลย แต่ถ้าจะพูดได้ทันที ไปอยู่เลย’ 

(เด็กที่พูดได้หลายภาษา มี 2 แบบ หนึ่ง เป็นลูกทูต ย้ายตามพ่อแม่ไปเรื่อยๆ พูดได้ 5 ภาษา , สอง อยู่ในประเทศที่พูดกันหลายภาษา เช่น สวิส ...สรุปง่ายๆ คือ ภาษามันไม่ใช้การเรียน มันใช้การออสโมซิส ซึมซับเอา)

กฏเหล็กของนักเรียนแลกเปลี่ยน คือ ‘ห้ามทำงาน’ ..ซึ่งตามนิสัยเด็ก ‘ยิ่งห้าม ยิ่งอยากทำ’ ...ห้ามทำไม อยากรู้ ?!?

ค่านิยมอย่างนึงที่ฝรั่งต่างกับเราคือ ค่านิยมเรื่องงาน

1. ไม่ว่าบ้านมีฐานะอย่างไร เขาจะให้ลูกทำงาน Part-time ...มารู้ภายหลังว่า ‘เขาสอนเด็กให้รู้ค่าของเงิน’ , ‘ตีราคาตัวเองได้’ และ ‘พึ่งพาตัวเอง’

2. ถ้าลูกเริ่มมีงานทำ ให้ย้ายบ้านออกไป ...คือ เขาจะสอนว่า ‘ทุกอย่างมีค่าใช้จ่าย’ ...เราจะไม่ค่อยเห็นเด็กฝรั่งซื้อของหรู เพราะ ค่านิยมของเขาไม่ได้อยู่ที่การโชว์ความร่ำรวย แต่ค่านิยมคือ การสร้างคุณค่าของตัวเองจากงานที่เขาทำ 

3. ไม่มีงานกระจอก ...บ้านเราแบ่งงานเป็นชนชั้นเลย งานเริ่มต้นส่วนใหญ่ถูกมองเป็นงานกระจอก เด็กไทยจึงเริ่มต้นได้ยากมากๆ บางคนอายุ 30 ยังไม่เริ่มทำงานเลย ...แต่ฝรั่ง เขาทำได้หมด งานเด็กเสริฟ งานใช้แรงงาน ทำความสะอาด งานร้านขายของ ...ทุกงานที่ค่าแรงสูง ...การทำแบบนี้ มันลดช่องว่างทางฐานะของคน 

4. สายอาชีพ สำคัญมาก ...บ้านเขามี TAFE สอนทักษะอาชีพตรงๆ เลย พวกนี้ เรียนสั้น ใช้ได้เลย และ ส่วนใหญ่ TAFE จะร่วมมือกับธุรกิจเอกชน ให้นักเรียน ฝึกงานจริง ระหว่างเรียน ...ได้เงิน แล้ว ได้ประสบการณ์ที่ทำงานได้ทันที 

ทั้งหมดนี้ ทำให้ ออสเตรเลีย เป็นหนึ่งในประเทศที่ค่าแรงสูงที่สุดในโลก 

ก็บ้านเราวันละ 300 ของเขาชั่วโมงละ 400 บาท ...ต่างกันเกือบ 10 เท่า 

เอาตรงๆ ในวันนั้น ผมมีคำถาม แต่ตอบไม่ได้ก็คือ 

‘ฝรั่งเอาจริงๆ ก็ไม่ได้เก่งกว่าเรา ..ดูดิวิชาเลขผมอ่อนจากบ้านเรา ไปนุ่นผมคือเก่งอ่ะ ...แต่พอทำงาน ทำไมรายได้เขาสูงกว่าเรา 10 เท่า ในทุกอาชีพ’ 

....คำถามนี้คาใจผมมาเกือบ 10 ปี ...มาเข้าใจจริงๆ ในวันที่ผมตัดสินใจกลับมาเหยียบประเทศออสเตรเลียอีกครั้ง ในฐานะ นักศึกษาปริญญาโท

ครั้งนี้ ผมสามารถจะทำงานจริงได้แล้ว

ผมเรียนจบมีปริญญาตรี หนึ่งใบในกระเป๋าแล้ว

ผมผ่านการขายตรง และ ฝึกงานระหว่างเรียน ที่เชื่อว่าไม่น้อยหน้าใคร

...ผมจะกลับไปอีกครั้ง เพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่างในใจ !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

คำสารภาพและจุดเปลี่ยนครั้งแรกของเด็ก ‘80

คำสารภาพของคนยุค ‘80 

‘โห!! พี่โบราณ โคตรๆ ...ผมดูจากการคิด และ วิธีพูดของพี่ ผมนี่เซ็งเลยครับ !!’

ผมเกิดในยุคที่ แทบไม่มีเด็กคนไหนใช้มือถือ เพราะ มันแพงมากๆ เครื่องละแสน ของเงินสมัยนั้น ถ้าคุณไม่ใช่นักธุรกิจระดับใหญ่ หรือ ผู้ตรวจราชการลับ ..ไม่มีทางได้สัมผัสมือถือ 

โทรศัพท์บ้าน เป็นของหรูหราในยุคผม ...บ้านใครมีแปลว่า คุณมีเส้น

เทป ครับ กับ นักร้อง RS ..ทุกเพลง เราจะร้องกันได้ทั้งบ้านทั้งเมือง

..ค่านิยมในยุคนั้น ...คือ นิยมฝรั่ง ...เออ ทุกวันนี้ ก็น่าจะนิยมอยู่นะ เพราะเราใช้แต่ของฝรั่ง แต่มันเพิ่มมาคือ เกาหลี 

ความใฝ่ฝันของผมตั้งแต่เด็กคือ โตขึ้นจะเป็นนักธุรกิจ ...บอกตรงๆ ไม่เข้าใจหรอกว่า ธุรกิจคืออะไร ...รู้แต่ว่า ผมเห็นพ่อใส่สูทไปทำงานทุกวัน แล้วมันเท่ห์มาก ...ก็อยากเป็นแบบนั้นแหละ 

ผมไปถามพ่อว่า ‘ทำไงผมถึงจะเป็นผู้จัดการได้ครับ?’

พ่อก็ถาม แล้วเอ็ง จะไม่เป็นตำแหน่งอื่นเลยใช่ไหม คือ จะเป็นผู้จัดการเลย ?

‘ใช่ครับ!!’ (ตอบแบบชัดเจน)

พ่อ (ส่ายหัว) แล้วบอกว่า ‘ถ้าอยากเป็นผู้จัดการเลย ก็มีทางเดียว พ่อต้องซื้อบริษัทนี้’

‘อะไรวะ ? ...ไม่เข้าใจ’ ...ก็มารู้ตอนหลังว่า ...ผู้จัดการที่เก่ง ต้องเคยเป็นลูกน้องมาก่อน ...ถ้าเราทำงานได้เก่งกว่า ทำงานหนักกว่าคนอื่น สุดท้ายเราจะได้ความรับผิดชอบที่มากขึ้นตามลำดับ

พ่อถามว่า ‘วางแผนชีวิตยังไง ?’

ผมก็ตอบว่า ‘ไม่รู้ครับ’

ถ้ารู้ดิแปลก เด็กยุค ‘80 ต้องไม่รู้ว่าจะทำอะไร ..เอาตรงๆ ไม่รู้อะไรเลย ...ยุคผมไม่มี Google ครับ ไม่ค่อยรู้อะไรหรอก ...คิดดู อยากรู้อะไร ต้องไปห้องสมุด มันลำบาก งั้นก็ไม่ต้องรู้ดีกว่าไหม ...แล้วก็ไม่ทะเยอทะยานมาก เพราะ ไม่มี Facebook , instagram ให้เห็นชีวิตคนอื่น ก็เลยไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ 

วันนึงแม่ เดินมาหาผม แล้วบอกว่า ‘ไปสอบ AFS ซิ’

สมัยนั้น AFS น่าจะเป็นโครงการแลกเปลี่ยนไปต่างประเทศไม่กี่อันในโลกที่มี ...แม่มานั่งเล่าให้ฟังว่า นักเรียนแลกเปลี่ยนดียังไง ...ก็เล่าอยู่ 3 วัน จนผมตัดสินใจว่า ‘ไปลองสอบ ก็ได้’

อัตราการสอบติด น่าจะยากพอๆ กับ สอบเข้ามหาวิทยาลัย ..คัดคนที่เก่งภาษา ซึ่งภาษาเป็นวิชา ที่ผมเรียนห่วยสุดแล้ว (ห่วยพอๆ กับ วิชาเลข และ ภาษาไทย) ...เอาตรงๆ ทุกอย่างที่เป็น ตรรกะ ผมอ่อนหมด ...จุดแข็งผมคือ จินตนาการ ...ไงล่ะ !!! 

ที่สำคัญ คือ ผมไม่ได้เตรียมตัวอ่านหนังสืออะไรเลย เพราะ เอาจริงๆ ก็คิดว่า ‘ไม่มีทางสอบติด’

ประกาศผล ‘ผมผ่านข้อเขียน’ ต่อไปคือ สอบสัมภาษณ์ ...คุณคิดดูซิ ผ่านข้อเขียน ไปเจอสอบสัมภาษณ์อีก ....คราวนี้ผมเริ่มอยากได้จริงๆ ละ ...คนเราจะมีพลังจะสู้ เมื่อมันเห็นโอกาสชนะ จริงไหม ?

พอผ่านข้อเขียน ผมเห็นแล้วว่า ผมมีโอกาสชนะ ...คราวนี้ผมเตรียมตัวอย่างดีเลย ...แล้วการสอบสัมภาษณ์เขาให้เราเลือกประเทศก่อน ...ที่จริงผมอยากไปอเมริกา แต่รู้ว่า คนเลือกอเมริกามันเยอะ ถ้าไปเลือกอาจไม่ติด ...ผมเลยเลือกประเทศที่พูดภาษาอังกฤษแต่คนเลือกน้อยกว่า คือ ‘ออสเตรเลีย’

‘ผมใช้หลักการ ลดเป้าให้ต่ำลง แล้วทุ่มเททรัพยากรไปเพื่อชนะเป้าหมาย’ ...ติดครับ (ติดแบบนักกลยุทธ์ ใช้ทรัพยากรน้อยนิดที่มี พุ่งไปที่จุดๆ เดียว)

ก่อนไปผมตื่นเต้นมาก รีบไปแจ้งทางโรงเรียน ว่า ผมขอดรอปเรียน 1 ปี ไปแลกเปลี่ยน ...อาจารย์บอกว่า ตอนนี้โรงเรียนเปลี่ยนนโยบาย คือ สมัยก่อนใครไปแลกเปลี่ยน ก็เอาวิชาในต่างประเทศมาเทียบแล้วเรียนต่อเลย ..แต่ตอนนี้นโยบายใหม่ กลับมาเธอ ต้องเรียนซ้ำชั้น ...คือ ‘เธอต้องกลับมาเรียนซ้ำชั้น เรียนกับรุ่นน้องอีกปีนึง’

‘อะไรวะ ตกลงนี่คือ รางวัล หรือ การทำโทษ’ ..โคตรคิดหนัก เพราะ การซ้ำชั้นมันเหมือนตราบาป 

...คิดอยู่หลายวัน ...’เอาวะ !! ซ้ำชั้นก็ได้ กูจะไป’

...นี่คือ จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่สุด ในชีวิตเด็กธรรมดาๆ คนนึง ในยุค ‘80 ที่เรียนกลางๆ อ่อนเลขและภาษา ...ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ...ไม่มีความฝันอะไรที่เป็นของตัวเอง ... 

(ชีวิตและความคิด ทั้งหมดเปลี่ยนแปลง เมื่อผมกลายเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ออสเตรเลีย)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ