แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพุธที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

อาชีพนักคิด หน้าตาเป็นอย่างไร

คนสีแดง วิธีหาเงินชัดอยู่แล้ว คือ ลงมือทำ ก็หาเงินจากมือ เรียนรู้จากหน้างานอันนี้เข้าใจได้ ถ้าปรับตัว หมั่นเรียนรู้ปรับปรุง ก็จะเป็นผู้ประกอบการที่รวยได้ไม่ยาก (จริงๆ ไม่ง่าย แต่เอาว่า เข้าใจง่าย)


แต่คนสีน้ำเงินซิ หาเงินจากความคิด อันนี้ดิ แกะยากว่า 'อะไรที่เรียกว่าหาเงินจากความคิด ?'


- ไม่ ไม่ใช่ขายของ เพราะ ถ้าสนุกหาเงินจากการขาย นั่นคนสีเขียว ..เขาเกิดมาเป็นนักขายอยู่แล้ว 


- ลองคิดเล่นๆ  ซิครับ ถ้าวันนี้ 'โจทย์ของคนสีน้ำเงิน (นักคิด) จะหาเงินเลี้ยงปากท้องจาก ความคิดอย่างไรในยุคนี้ ?'


...


...โอเค เฉลย


- ก็ทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับ การได้นั่งคิด ได้อยู่กับ idea แล้วก็เปลี่ยน ความคิดนั้นให้เป็นผลงาน ..ถ้าอยู่ในทีม คนน้ำเงินก็ต้องออกความคิด หรือ เอาหลายๆ อย่างที่ไม่เกี่ยวข้อง ให้มารวมเป็นโอกาสใหม่ ที่เราเรียกว่า Converge นั่นแหละ


อาชีพของนักคิด เช่น


- อาจารย์ , นักเขียน , ที่ปรึกษา , นักสร้างแบรนด์ , นักอนุรักษ์ , นักวางกลยุทธ์ , ช่างภาพ , นักการทูต ..ลองคิดดู ก็ทุกอย่างที่ทำแล้วเราได้คิด ได้รวมสิ่งต่างๆ ให้เกิดเป็นสิ่งใหม่ ได้ Converge ก็สามารถต่อยอด สร้างอาชีพจากความคิดได้


คนสีน้ำเงิน ทำงานจากความคิด ...ทำงานตรงจริต ชีวิตพุ่ง !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

หาจุดยืนที่เรากล้าจะโดดเด่น

"ทำไมคนเก่ง ยิ่งขยันกว่าคนไม่เก่ง" ... "ทำไมคนรวย ยิ่งทำงานหนักกว่าคนจน"

"ทำไมนักกีฬาที่เป็นแชมป์ ซ้อมหนักกว่านักกีฬาทั่วไป" ..."ทำไมมืออาชีพ ยิ่งฝึกหนักกว่าคนทั่วไป"

ใช่!! มันเหมือน คนได้เปรียบ ยิ่งพยายามสร้างความได้เปรียบของตัวเองให้มากขึ้น ...นี่เป็นเหตุผลที่เราเห็น คนสองคน ที่จริงๆ แล้วความสามารถไม่ได้แตกต่างกันมากตอนเริ่มต้น ..แต่พอคนนึงสามารถแซงอีกคนได้ เขาก็จะพยายามหนักขึ้น เพื่อให้สุดท้ายเขาชนะอีกคนอย่างขาดลอย

เรื่องนี้แปลกมาก แต่มันเป็นความจริง ...ลองสังเกตซิครับ ว่า "มนุษย์ทุกคนไม่มีใครโง่ ..ถ้าเรารู้ว่าเราไม่มีโอกาสชนะ เราจะยิ่งขี้เกียจ ...แต่ถ้าเรารู้ว่าเรามีโอกาสชนะ เราจะยิ่งขยันเข้าไปอีก"

ดังนั้น อยากเก่ง ...ต้องเริ่มจากการ ทดลองแข่งในสนามเล็กๆ ก่อน

ค่อยๆ เริ่มจากชัยชนะเล็กๆ ในสนามเล็กๆ จากนั้นเราจะมีความมั่นใจเพื่อก้าวต่อไปในสนามที่ใหญ่ขึ้น ..ใหญ่ขึ้น และ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

เหมือนเด็กนักเรียนที่เรียนอ่อน เพราะ เขาไม่คิดว่า เขาจะชนะเพื่อนที่เก่งกว่าได้ ..แต่วันใดก็ตามที่เด็กคนนั้นได้มีโอกาสแก้ตัวในสนามใหม่  เช่น เปลี่ยนโรงเรียน หรือ พ่อแม่ส่งไปเรียนนอก .."เปลี่ยนสภาพแวดล้อม" ...วันนั้นคือ วันที่เขาจะกล้าเก่ง (ใช่!! กล้าที่จะเก่ง) -- กล้าปลดศักยภาพที่ตัวเองมีอยู่

ผมว่าโลกนี้มีจุดยืนให้กับทุกคน ...แต่คุณต้องกล้าที่เปลี่ยนสภาพแวดล้อม เพื่อให้กล้าที่จะเริ่ม จริงไหม ? 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ปั้นความสำเร็จให้ยั่งยืน

ทุกวันนี้การทำธุรกิจมันยากขึ้นเรื่อยๆ ...ถ้าสังเกตให้ดี ทุกอย่างมาไว ไปไว มากๆ
หลายสินค้า ดังชั่วข้ามคืน จากนั้น ก็ดับชั่วข้ามคืน

หลายคนอาจจะเห็นร้านอาหาร ร้านขนม ที่สร้างความฮือฮา ในเวลารวดเร็จ แล้วก็หายไป !!

"เจ๊งครับ !!" ...แปลกใจไหมครับว่า ทำไมหลายๆ ธุรกิจ ดังและดับรวดเร็ว ...คุณทราบไหมว่าเพราะอะไร ?

เรื่องที่ผมพูดเป็นทั้ง "โอกาส และ กับดัก" ในเวลาเดียวกัน ...เพราะ การดังชั่วข้ามคืน สำเร็จชั่วข้ามคืน เป็นสิ่งที่คนยุคนี้ต้องการมากที่สุด ...แต่ !!

แต่เขาลืมไปว่า "ดังชั่วข้ามคืน รวยชั่วข้ามคืน สำเร็จชั่วข้ามคืน" มันมีต้นทุน คือ "แล้วคุณจะรักษามันอย่างไร ?" ...ส่วนมากก็รักษา ความสำเร็จไว้ไม่ได้ กลายเป็นตกอับ เจ๊ง และ หายไป

ทางแก้ คือ การเข้าใจความเสี่ยงที่ตามมาพร้อมความสำเร็จ

ยกตัวอย่าง ถ้าโรงงานผลิตสินค้าดังชั่วข้ามคืน จะมีปัญหาเรื่องพยายามเร่งการผลิต สุดท้ายมันวิ่งมาถึงจุดที่ ผลิตเยอะมาก แต่สุดท้าย ความต้องการลูกค้าหายไปทันที ...สินค้าที่สร้างเป็นแค่แฟชั่น -- ในที่สุดโรงงานก็เต็มไปด้วย Stock ที่ขายไม่ได้ และ ล้มละลายในเวลาต่อมา

- ดาราที่ดังชั่วข้ามคืน ไม่สามารถ Manage ความยั่งยืน เพราะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ที่ดังเพราะอะไร ?

- คนที่ได้หุ้นเด็ด แล้วรวยชั่วข้ามคืน สุดท้ายก็กลับมาหาหุ้นเด็ดตัวต่อไป แล้วก็เจ๊งในที่สุด ...แปลกไหม ?

ครับ !! ฝากโจทย์นี้ให้ทุกคนได้คิด ...คำตอบนี้จริงๆ เป็นเรื่องของเส้นผมบังภูเขา ..การรักษาความสำเร็จให้ยั่งยืน มีขั้นตอนดังนี้

1. เข้าใจที่มาของความสำเร็จ ...ต้องตอบให้ได้ว่า เรามายืนในจุดนี้ เพราะอะไร ...ให้ทำต่อไป
2. การเตรียมพบกับ อุปสรรคที่กำลังเข้ามา ...เพราะ ทุกเส้นทางมีบททดสอบ
3. ไม่ยึดติดความสำเร็จเดิม ...ปัญหาของคนส่วนใหญ่ที่สำเร็จเร็ว คือ อยู่กับความกลัว และ นั่นคือกรงขังให้ไม่สามารถไปต่อ
4. ไม่พยายามปรับตัวเองสู่การมุ่งทำในสิ่งที่รัก ...อันนี้คือ การเปลี่ยน นิยามใหม่ ของงานที่ทำ เพื่อให้เรามีความสุข และ ทำสิ่งที่รัก เพื่อสร้างความสำเร็จในระยะยาว

ยากไหม ? ...ถ้าง่าย ก็ไม่ท้าทายซิ

...สู้ต่อไป !! 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ข้ออ้าง - อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตคน

สิ่งที่ทำลายอนาคตมากที่สุดของคนเรา คือ 'ข้ออ้าง'

สิ่งที่ทำให้อนาคตดีที่สุด คือ การลงมือทำโดยปราศจากข้ออ้าง 

ลองสำรวจตัวเอง ว่าวันนี้เรายังเหลือข้ออ้างอยู่กี่ข้อ ?

ถ้าเหลือเยอะ ค่อยๆ กำจัดทีละข้อ เพราะ 'จำนวนข้ออ้างที่เรามีอยู่' ก็คือ ตัวถ่วง ตัวมาร ที่ขวางเราไม่ให้ลุกขึ้นมาทำ เพื่อเปลี่ยนชีวิตเราเอง

เริ่มจากครั้งหน้า เวลาหัวหน้าสั่งอะไร ลองทำโดยปราศจากข้ออ้าง ...เดี๋ยวอนาคตงานตรงหน้า จะเริ่มรุ่งแบบไม่รู้ตัว

ใครลองแล้วชีวิตดีขึ้น ลองแชร์ให้ผมฟังบ้างซิ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

เมื่อถึงยุคที่ Office ไม่ใช่แค่ที่ทำงาน

"บริษัทคนรุ่นใหม่ ทำไม Office ต้องดู ประหลาดๆ ?" 

คือมัน 'แนว' สุดๆ ..ตั้งแต่ วิธีคิด วิธีทำ มันทำตรงข้ามกับ Office บริษัทแบบเดิมๆ 

- เริ่มงานเวลาไหนก็ได้ เพราะ Office เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
- บรรยากาศเหมือนนั่งทำงานในร้านกาแฟ หรือ สวนสนุก สวนสัตว์อะไรสักอย่าง
- เดินทางสะดวก ติดรถไฟฟ้า 
- ทำงานร่วมกับบริษัทคนอื่น 
- บางบริษัทมีโรงอาหาร และบริการหลายๆ อย่างให้พนักงานฟรี 

ผมนั่งคิดตั้งนาน กว่าจะคิดออกว่า "เขามี Office แบบนั้นเพื่ออะไร?"

มันลึกซึ้งกว่านั้น ดังนี้

1. 'Asset คือ คน' ..องค์กรเหล่านี้หาเงินจาก Idea คน ดังนั้น ต้องแสดงจุดยืนของความนอกกรอบ แหกกฏ เพื่อย้ำเตือนพนักงานว่า เราไม่ใช่บริษัทธรรมดา -- คนรุ่นใหม่จึงอยากมาทำงานด้วยมากมาย

2. 'Unique Identity' ..ธุรกิจเหล่านี้เน้นความแนว ความใหม่ เน้นเสนอทางเลือก ดังนั้น ทุกการสื่อสาร และ ภาพลักษณ์ ต้องเน้นย้ำจุดยืน -- และการสร้าง Ofiice แบบนี้ ทำให้องค์กรมี Identity และ ตัวตนชัด (เพราะตัวตน ไม่ใช่แค่ สถานที่)

3. 'Free Advertising' ..ธุรกิจเหล่านี้ใช้เงินโษณาน้อย เพราะทุกอย่างที่เขาทำ มันน่าเอาไปคุยต่อ ...นี่แหละเขาถึงดัง คนรู้จัก โดยแทบไม่ต้องโฆษณา ..Idea Worth Spreading!!

แค่ 3 ข้อ ก็คุ้มแล้ว แถมสร้างตันตนชัด แล้วสามารถยืนอยู่บนจุดแข็งตัวเองอีกนาน

'สิ่งที่ทำไม่ศูนย์เปล่า เหมือนไร้สาระ แต่มีเป้าหมาย และ ฉลาดล้ำลึก'

ลองไปแต่ง Office เราบ้างสิครับ ..แต่คิดดีๆก่อนนะ ว่าองค์กรเราใช่แบบนั้นหรือไม่

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

แล้วหุ่นยนต์จะมาแทนอาชีพใคร ?

"ไม่รู้เรื่องอนาคตของงานเรา อาจเสียเวลาทั้งชีวิต"

วันนี้โลกเต็มไปด้วย นวัตกรรม และ ผลิตภาพ ...ภาษาอังกฤษคือ Innovation & Productivity
แต่ปัญหาคือ คนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดว่า จริงๆ แล้ว ยิ่งโลกพัฒนาไปมากแค่ไหน คนยิ่งตกงานเท่านั้น -- มันคือ เหรียณสองด้าน 'ด้านดีคือชีวิตสบายขึ้น แต่อีกด้านคือไม่มีงานทำไง'

นั่นแปลว่า เมื่อเวลาผ่านไป งานจะถูกทดแทนด้วย Innovation เช่น เครื่องจักร , คอมพิวเตอร์ และ หุ่นยนต์ ...ส่วน Productivity ก็คือ การใช้แรงงานและคนน้อยลง แต่ใช้เครื่องมือและเครื่องจักรสร้างผลผลิตที่มากขึ้น -- ยิ่งโลกพัฒนาไปแค่ไหน ...เครื่องจักร กับ หุ่นยนต์ก็จะแทนคนมากขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้น คนในยุคนี้ ก่อนที่จะเลือกเรียน หรือ ทำงานอะไร ลองคิดก่อนว่า "สิ่งที่เราจะเรียน หรือ งานที่เราจะทำ จะถูกแทนด้วยเครื่องจักรเมื่อไหร่ ...ตอบให้ได้แล้วจะรู้ว่า อนาคตของงานเราจะเป็นอย่างไร -- เพราะมันไม่ดีแน่ หากเราทำหน้าที่หนึ่งจนเราเชี่ยวชาญ แล้วมาพบว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่จะถูกแทนด้วย เครื่องจักร คอมพิวเตอร์ หรือ หุ่นยนต์ จริงไหมครับ ?" 

วิธีมองง่ายๆ ว่าเครื่องจักรจะมาแทนเราหรือไม่ มองได้ดังนี้
1. ถ้างานที่เราทำมันคือการทำสิ่งเดิมซ้ำ เช่น งานในโรงงาน , งานสายพานการผลิต ...งานพวกนี้ เครื่องจักรทำได้ดีกว่า แม่นยำกว่า ดังนั้น ใครทำงานแบบนี้ในอนาคตจะมีเครื่องจักรมาทำแทน

2. งานอันตราย ..งานที่อันตราย เช่น งานก่อสร้าง , งานในเหมือง , งานในที่อันตราย ..จะถูกแทนด้วยหุ่นยนต์มากขึ้นเรื่อยๆ ...แต่วันนี้งานแบบนี้มักได้ค่าแรงสูง เพราะ เราเสี่ยงชีวิตในการทำงานนั้น

3. งานที่เกี่ยวกับข้อมูล ความจำ ..พวกนี้จะถูกแทนด้วย คอมพิวเตอร์ที่ประมวลผลจำนวนมากๆได้ดีกว่าสมองคน และ ความจำดีกว่าคน

งานที่เครื่องจักรแทนมนุษย์ยาก คือ

1. งานที่ต้องคิดนอกกรอบ ...เพราะ หุ่นยนต์ เครื่องจักร และ คอม มีหน้าที่ทำตามคำสั่ง -- ดังนั้น "งานคิดนอกกรอบ คือ งานมนุษย์"

2. งานศิลปะ ..เพราะ งานศิลปะ คือ งานที่แสดงความคิดสะท้อนตัวตน คือ การสร้างอัตลักษณ์ ...งานแบบนี้คือ ขาย Identity ....เครื่องจักรทำไม่ได้ เพราะ มันไม่ได้สร้างมาให้มีตัวตน -- ความ Art ยังเป็นของมนุษย์ต่อไป

3. งานดูแลลูกค้า(งานบริการ) ...คนไม่อยากคุยกับหุ่นยนต์ ...งานที่ดูแลคนสำคัญ หรือ ลูกค้าพิเศษ ...ยังเป็นงานของคนต่อไป

4. งานขาย ..การขายคือศิลปะแห่งการสื่อสาร ...เบื้องหลังสุดยอดการขาย มีมนุษย์อยู่ เช่น มี Steve Jobs อยู่เบื้องหลังสินค้าที่ขายดีอย่าง iPhone

ผมว่า เราต้อง Art และ คิดนอกกรอบ และ ใส่ใจมนุษย์ เราจะมีงานทำชิวๆ ตลอดไปครับ !! 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

หลังเรียนจบว่าโหดแล้ว หลังเกษียณนี่โคตรโหด

 

"ว่าด้วยเรื่อง ความสามารถในการหาเงิน" ..ก่อนเรียนจบหาเงินเก่งยังไง เรียนจบแล้ว ก็แทบไม่ได้ต่างกัน (หางานทำแทบไม่ได้เหมือนเดิมเป๊ะ !!)


สมัยเรียนหนังสือ ก็มองว่า ต่อไปเรียนจบ ฉันจะได้หาเงินเก่งซะที ..พอจบปั๊บก็รู้ทันทีว่า เฮ้ย!! มันไม่ใช่


พอถึงวันเกษียณหลายคนพบว่า ความสามารถในการหาเงิน ก่อนเกษียณกับหลังเกษียณมันต่างกันราวฟ้ากับดิน 


เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 'หลังเรียนจบนี่โหดแล้วนะ แต่หลังเกษียณที่โหดสาดดด !!' 


(ออมหุ้นไว้บ้าง เพราะยิ่งนาน หุ้นดีและปันผลยิ่งโต ..พอเกษียณ พอร์ตออมหุ้นนี่แหละเลี้ยงเราแทน)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทเรียนล้มๆ ที่ผมอยากแชร์

เคล็ดลับ ธุรกิจ ล้ม ที่ผมอยากแชร์

ล้มครั้งที่หนึ่ง จะเริ่มรู้ว่า จริงๆ เราไม่รู้อะไร เพราะก่อนล้มคิดว่ารู้ทุกเรื่อง ..พอล้มจะรู้ว่าเราไม่รู้อะไร

ล้มครั้งที่สอง จะรู้จักตัวเอง จะรู้ว่า ความดื้อด้าน ความทิฏฐิอะไรที่เราต้องปรับ ..ล้มครั้งนี้ เขาเรียกดวงตาเห็นธรรม ..พูดเท่ห์ๆ คือ ตื่นรู้ทางธุรกิจ

ล้มครั้งที่สาม ..เฮ้ย ไม่ต้องล้มแล้วครับ - ดีแล้ว

คนยุคใหม่ เรียนรู้จากความผิดพลาด ล้มแล้วลุก บุกต่อไป 

...แรกๆ เราก็อ่อนทั้งนั้นแหละ อ่อนทั้งอารมณ์ อ่อนทั้งวิธีคิด ...แล้วเราก็จะแกร่งขึ้น เก่งขึ้น !! 

ปัญหาและอุปสรรคในชีวิตไม่เคยเล็กลง เราต่างหากที่แกร่งขึ้น (จริงไหม ?) ..เห็นพ่อแม่ เลี้ยงลูกยุคนี้แล้วอ่อนใจ เลี้ยงยังกับไข่ในหิน เลี้ยงให้อ่อนแอ 

..ให้มันล้ม ให้มันเจ็บ แล้วมันจะเก่ง มันจะแกร่ง เหมือนเรา 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ก้าวแรกเพื่อรู้ อย่าก้าวแรกเพื่อเงิน

ตีความจากข่าว 'ว่างงานพุ่ง สวนทาง GDP' แปลว่า


1. บริษัทต่างๆ รวยขึ้น แต่ไม่จ้างคนเพิ่ม ...ก็น่าจะมาจาก บริษัทต่างลดต้นทุน ลดค่าใช้จ่าย ลดคน หรือ เอาเครื่องจักรมาแทนแรงงานคนเพิ่มขึ้น ..แม้ยอดขายเท่าเดิม แต่ลดต้นทุน ก็กำไรแล้ว ..ใส่เทคโนโลยีเข้าไป กำไรยิ่งพุ่ง !!


2. ความรู้ของคนจบใหม่ อาจไม่ตรงกับที่บริษัทต้องการ ..อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่า ยุคนี้ตลาดให้ค่าของ ทักษะ มากกว่า ใบปริญญา ...แล้วจะยิ่งให้ค่าทักษะ แพงขึ้นเรื่อยๆ ...ทักษะ มาจาก 'ความรู้ ที่เอามาปฏิบัติในตลาดจริง ทำงานจริง ทำเงินจริง จนเชี่ยวชาญ จึงจะเรียกว่าทักษะ' (หมดยุคเพิ่มใบปริญญา เพื่อให้ค่าตัวเพิ่มแล้ว ..ยุคนี้เพิ่มทักษะ !!)


3. คนรุ่นใหม่ ไม่อยากทำงานในบริษัท อยากไป Startup เอง ...จนมีหลายๆ คนแซวแรงๆ ว่า คนตกงานในยุคก่อน มักจะเรียกตัวเองว่า ฟรีแลนด์ ..แต่คนหางานทำไม่ได้ ก็เหมาขอเรียกตัวเองว่า Startup กันหมด จนวันนี้คนในวงการ Startup ถึงกับ งง ว่า ...เฮ้ย!! มันจะบ้า มาตามกระแสอะไรกันขนาดนี้ (คน Startup จริง นี่เซ็งเป็ดกันเลย ..แห่กันมาทำให้คำนี้จากเท่ห์ เป็นโหลไปเลยครับ)


4. โชคดีที่ค่าครองชีพเมืองไทยไม่โหดนัก ..ยุคนี้เด็กจบใหม่เลยไม่รีบหางาน อยู่กับพ่อแม่ไปก่อน 


คำแนะนำ ก็คือ 'คนรุ่นใหม่ อย่าเลือกงาน ..ได้อะไรก็ทำไปก่อน ..เงินเดือนเริ่มต้น ไม่ได้สำคัญ แต่ที่สำคัญ คือ ก้าวแรกที่เราได้เรียนรู้โลกการทำงานจริง ..ทำงานจริง เจอคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมจริง 


..ไม่ใช่เริ่มเพื่อเงิน แต่เริ่มเพื่อความรู้'


ที่คนเจาพูดว่า ก้าวแรกสำคัญที่สุด ..ผมก็เชื่อแบบนั้น ..แม้ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง ..ก็ต้องก้าวเดิน ก้าวออกไป เพราะความสำเร็จ มีไว้ให้คนที่ไม่หยุดก้าวเดิน !!


ก้าวซะ !! ..อย่าเกี่ยงงาน ..อย่าเกี่ยงเงิน !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

2 เรื่องใหญ่ ต้องรู้เพื่อสร้างตัวก่อนอายุ 30

 

2 เรื่องใหญ่ ที่ต้องรู้ ถ้าอยากสร้างตัวก่อนอายุ 30


'อะไรทำให้คนรุ่นใหม่ รวยเร็วตั้งแต่อายุน้อย ?'


สมัยก่อน การที่คนๆนึงจะรวยต้องผ่านบททดสอบ เวลา ความอดทน แต่เดี๋ยวนี้เราเห็นอายุยังไม่ถึง 30 ก็รวยเป็นเศรษฐีกันแล้ว ..วันนี้ Billionaire คือ มีทรัพย์สินเกิน 35,000 ล้านบาท อายุ 20 กว่าๆ แล้ว


สงสัยไหม อะไรทำให้คนยุคนี้รวยเร็ว


1. 'ระบบทุนที่เปลี่ยน' ..สมัยก่อนจะหาทุน ถ้าไม่ไปกู้ธนาคาร ก็ต้องหนี้นอกระบบ ซึ่งการันตีเลยว่า คนปล่อยกู้รวย แต่คนกู้ไม่มีทางรวย ...แต่เดี๋ยวนี้ มีนักลงทุนเต็มไปหมดที่พร้อมลงเงินให้ธุรกิจที่มีอนาคต แถมขอส่วนแบ่งไม่เยอะ คือ ยอมให้ผู้ก่อตั้งยังถือสัดส่วนที่เยอะในบริษัท 


นี่แหละที่ทำให้คนรุ่นใหม่รวยเร็ว เพราะ นายทุนยุคใหม่ ช่วยเงินทุนตั้งต้นซึ่งในอดีตแทบเป็นไปไม่ได้ แถมขอส่วนน้อยของหุ้นส่วน แล้วยังช่วยดันให้บริษัทเข้าไประดมทุนในตลาดหุ้นอีกด้วย 


2. 'ตลาดหุ้น' ..ถ้าคิดจะรวยพันล้านขึ้นไป ไม่มีทางได้จากเงินเดือน และก็แทบจะไม่มีทางได้จากรายได้ของธุรกิจ ถึงได้ก็นานเกิน 


ธุรกิจในตลาดหุ้นมี Multiple คือ ทุกๆ บาทของกำไร นักลงทุนยอมซื้อแพง มีราคา Premium ที่เราเรียกว่า P/E นั่นแหละ ..ขั้นต่ำก็ประมาณ 15 เท่า 


นั่นแปลว่า ธุรกิจที่เข้าตลาดหุ้น นอกจากได้เงินจากนักลงทุนไปขยายธุรกิจด้วยต้นทุนที่ต่ำ แล้วยังประหยัดเวลาชีวิต อย่างน้อย 15 ปี ตาม P/E ที่นักลงทุนให้เลย ...บางบริษัท P/E 50 เท่า แปลว่า ถ้าไม่เข้าตลาด เจ้าของต้องทำธุรกิจไปอีก 50 ปี กว่าบริษัทจะมีมูลค่าตามที่เห็น


เอาแค่เบื้องต้น 2 ข้อนี้ ก็แทบไม่ต้องสงสัยว่า ทำไมคนรุ่นใหม่รวยเร็ว


ใครอยากรวยเร็ว ลองไปศึกษา 2 เรื่องนี้ดู แล้วจะรู้ว่า คนรุ่นใหม่ไม่ได้หาเงิน และสร้างตัวในแบบเดิม 


ส่วนใครไม่รู้ ตามไม่ทัน ก็เสียเปรียบ เพราะ คุณติดอยู่ในโลกที่เงินขาดแคลน มาช้า และ โอกาสปิด


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

5 หุ้นเรื่องหุ้น รู้ไว้ไม่แย่ !!

 

5 ข้อ ที่ "ไม่ควรทำ" ในตลาดหุ้น

'ตลาดหุ้น สร้างคน 2 แบบ คือ แบบที่หนึ่ง รวยมาก ..แบบที่สอง แย่ไปเลย'

ลองดู 5 ข้อนี้ รู้เอาไว้ เพื่อให้ ไม่แย่

1. 'ไม่หูเบา' ...ลองสำรวจตัวเอง คนหูเบา พอร์ตจะเสียหายหนักทุกคน ..เพราะหุ้นมีแค่ 2 ฝั่ง คือ คนซื้อ กับ คนขาย ...ถ้าเขาอยู่ด้านไหน คุณคืออีกด้านเสมอ

2. 'อ่านงบไม่เป็น' ..งบการเงินคือ สมุดพกของบริษัท ถ้าอ่านไม่เป็น คุณจะแยกระหว่าง ทองคำ กับ ขยะได้อย่างไร ...คนอ่านงบไม่เป็น ในพอร์ตจะมีแต่หุ้นขยะ

3. 'อ่านกราฟไม่เป็น' ..กราฟหุ้น คือ การอ่านพฤติกรรมรายใหญ่ ผู้คุมราคา ..อ่านกราฟเป็นจึงจะรู้ว่า หุ้นมันอยู่ในขาขึ้น หรือ อยู่ในขาลง ..คนอ่านกราฟไม่ออก ก็โดนหลอกกระจาย 

4. 'ไม่จำกัดความเสี่ยง' ..ทุกความเสี่ยง ทั้งลงทุนสั้น และ ยาว ทุกหุ้น ทุกครั้ง ไม่ควรเสี่ยงเกิน 10 % ของพอร์ต ..ใครเสี่ยงเกินนั้น มักรวยไว และ จบด้วยตายเร็วแทบทุกคน 

5. 'ไม่เอาจริง' ..ผมไม่เคยเห็นนักเล่นหุ้นคนไหน ที่ลงเล่นๆ ขำขำๆ แล้วรวย ...คนรวยจากหุ้นทุกคน ศึกษาจริง เอาจริง พลาดก็ยังลุกขึ้นมาสู้ ...ไม่เอาจริง ไม่มีทางรวย

สรุป คุณทำให้ได้ "ไม่หูเบา / อ่านงบให้เป็น / อ่านกราฟให้ได้ / จำกัดความเสี่ยงทุกครั้งที่ลง / และ โคตรเอาจริง"

- 'ผมไม่ได้มาเล่นๆ กรูเอาจริง ..เพราะ เราคือของจริง !!'

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอังคารที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

คิดให้ห่าง จากแชร์ลูกโซ่

อะไรถึง เรียกว่าการลงทุน ..อะไรถึงเรียกว่า แชร์ลูกโซ่ !!


1. การลงทุน ต้องเริ่มจากการหาความรู้ที่ถูกต้อง คือ ศึกษาให้รู้จริงในสิ่งที่เราลงทุน ...ส่วนแชร์ลูกโซ่ ไม่ต้องศึกษาอะไรเลย แค่ชวนคนมาลงเงินแล้วได้ส่วนแบ่งตามที่เราลงนั่นแหละ


2. การลงทุนไม่สามารถกำหนดผลตอบแทนแน่นอน แต่เราพอคาดเดาได้ว่าระยะยาว จะได้เท่าไหร่ เช่น 12% ต่อปี หากลงทุนระยะยาว (5 ปีขึ้นไป ได้ประมาณนั้น) เพราะ ผลตอบแทนมันขึ้นกับผลการดำเนินงานของ บริษัทที่เราไปลงทุน ...ส่วนแชร์ลูกโซ่ ได้เงินคืนทันที สม่ำเสมอ เพราะเงินคุณได้จากส่วนแบ่งของการหาเหยื่อรายใหม่เข้ามาลงเหมือนๆ กับคุณ


3. การลงทุนยิ่งลง เรายิ่งฉลาดขึ้น เข้าใจตลาด เข้าใจธุรกิจ และ เข้าใจตัวเองมากขึ้น เพราะการลงทุนคือ กระจกสะท้อนความรู้และความเข้าใจในเรื่องของระบบเงินและระบบทุน ...แต่แชร์ลูกโซ่ คุณไม่ได้เรียนรู้อะไรเพิ่ม นอกจากการหาลูกแชร์ เหมือนเราไปชวนคนอื่นให้มาโดนหลอกเหมือนกับเรา


4. การลงทุนยิ่งถือยาวยิ่งรวย เพราะบริษัทที่เราไปถือหุ้นมันโตขึ้นเรื่อยๆ ก็เหมือนเราเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่ในประเทศเรา ไม่ต่างกับพวกเจ้าสัว หรือเศรษฐีที่รวยวันรวยคืน และยิ่งรวยเมื่อเวลาผ่านไป ...ส่วนแชร์ลูกโซ่ สุดท้ายซวยทุกราย เพราะหาคนมาลงเพิ่มไม่ได้ ก็เบื้องหลังมันไม่ได้มีธุรกิจจริงๆ มันแค่หลอกหาเงินคนใหม่ เอามาแบ่งจ่ายให้คนเก่า สุดท้ายมันก็เลยซวย โดยเฉพาะคนใหม่ จะซวยหนักสุด


5. การลงทุนมันดูไม่หอมหวน เหมือนยาขม จะเริ่มนี่ดูยาก ต้องใช้เวลาศึกษา แถมคนรอบข้างก็ไม่สนับสนุน ...ส่วนแชร์ลูกโซ่ มันดูหอมหวน ดูใหม่ ดูได้เงินเร็ว ผลตอบแทนดูดีเกินจริง แถมเพื่อนๆ ที่ลงไปก่อนก็เชียร์กันสุดตัว แต่สุดท้ายก็วงแตก แล้วแชร์ลูกโซ่วงใหม่ ก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ


ทางแก้ คือ ศึกษาหาความรู้จริงจังในสิ่งที่ลงทุน ..เริ่มจากเงินน้อยๆ แล้วค่อยๆ ศึกษา อดทน ไม่คิดรวยชั่วข้ามคืน ..อย่าโลภ แต่ให้เปิดใจเรียนรู้ แล้วผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏในระยะยาว


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ความเสี่ยงไม่ใช่ผี จะหนีทำไม ?

"ทำไมเราถูกสอนว่า เราต้องหลีกหนีความเสี่ยง ..อย่าทำอะไรเสี่ยง ..ต้องปลอดภัยไว้ก่อน ...ต้องทำตามแบบคนที่เขาประสบความสำเร็จ ...ต้องเรียนแบบนี้ถึงจะดี ..ทำงานแบบนี้ถึงจะรุ่ง

ในขณะที่ คนที่ประสบความสำเร็จในยุคนี้ เขาทำตรงข้ามทุกข้อ ..แหกกฏทุกแบบ ...ใช้ชีวิตอยู่บนใบมีด !!

ผมถามคนรุ่นใหม่ว่า ทำไมสร้าง Startup กำไรก็ไม่มี ...คนใช้ก็ฟรี ..คิดว่าจะรอดหรือ ? ...เขาตอบว่า ถ้าไม่ทำแบบนี้ ยังไงก็ไม่รอดอยู่แล้ว การทำ Startup ในมุมมองของเขาคือ ทางรอดทางเดียว ที่เขาจะสามารถลืมตาอ้าปาก ในยุคที่โอกาสถูกจำกัด สำหรับคนรวยเท่านั้น (คุณว่า ธุรกิจมันแฟร์เกมหรือ ?)

ก็แค่ทำตรงข้ามกับ ธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่เขาทำอยู่
- รายใหญ่ ทำให้ดี ..เราทำให้แปลก
- รายใหญ่ขายของดี ราคาถูก ..เราให้ใช้ฟรี ไปหุ้นส่วนกับนักลงทุน
- รายใหญ่ทำให้ใช้ฟรี ..เราผันตัวไปทำ Niche ..ไปทำแพงเลย เปลี่ยนตลาดไปเลย (อย่าไปสู้ตรงๆ สู้ไปตายเปล่าๆ)
- รายใหญ่เน้นความน่าเชื่อถือ ..เราเน้นความไว ให้ประสบการณ์ที่แตกต่างกัน (ไม่เห็นหรือว่า พอยักษ์ใหญ่ลงมาทำออนไลน์ เขาสู้รายเล็กไม่ได้ เพราะ เขาเต็มไปด้วยข้อจำกัด แต่รายเล็ก เต็มไปด้วยความท้าทาย ความไว และ ความสด)

..แล้วสุดท้ายรายเล็ก ก็กลายเป็นรายใหญ่ หมุนเวียน ท้าทายกันไป

ความเสี่ยง คือ "การทำอะไรเหมือนเดิม ทั้งที่มีความรู้ และ ไม่มีความรู้ เสี่ยงหมดแหละ ..โลกเปลี่ยนแต่ดันทำเหมือนเดิม อันนี้ซวยสุด เจ๊งคนแรก"

ความไม่เสี่ยง คือ "การทำอะไรที่ไม่เหมือนเดิม แม้กระทั่งทำสิ่งที่คนอื่นมองว่าเสี่ยง ...โดยที่เราศึกษาและรู้จักความเสี่ยงนั้นๆ อย่างดีแล้ว"

ดังนั้น "ความเสี่ยง" ในยุคนี้ ไม่ต้องเหมือนเห็นผี วิ่งหนีไม่อยากเจอ แต่กลับกัน เราต้องวิ่งเข้าใส่ความเสี่ยง ศึกษาความเสี่ยง แล้วจัดการความเสี่ยงให้อยู่หมัด

ตัวอย่าง "ออมในหุ้น" ก็เป็น หนึ่งในวิธีการจัดการความเสี่ยงในการเล่นหุ้น ที่ Make Sense ที่สุด วิธีหนึ่งในตลาด

"ไม่หนีความเสี่ยง แต่ฝึกจัดการความเสี่ยง จนเราเชี่ยวชาญ"

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทุนมากน้อยไม่สำคัญ ให้เข้าใจจุดที่ยืน

"คนเงินน้อย กับ คนเงินมาก ต้องคิดต่างกันอย่างไร จึงสำเร็จ ในโลกยุคนี้  ..?


- ต้นทุนเงินน้อย ข้อเสีย ก็ต้องขยันมากกว่า ..ข้อดี คือ ล้มได้บ่อยกว่า ...เฮ้ย!! แล้วมันดีตรงไหน ล้มได้บ่อยกว่า ?


- ทุกธุรกิจ มี 2 คนเสมอ คนนึง ลงเงินเป็นหลัก อีกคน ลงแรงเป็นหลัก


- คนลงเงินเป็นหลัก ถ้าพลาด เจ็บหนักกว่า ..ส่วนคนลงแรง ถ้าพลาด เจ็บน้อยกว่า ..เวลาพลาดก็ได้ความรู้ทั้งคู่ แต่คนลงแรงเป็นหลัก ลุกเร็วกว่า 


'ลุกขึ้นมาแล้วเรียนรู้จากข้อผิดพลาด แล้วก็เดินต่อไป!!'


- ทางแก้ ของคนลงเงิน เขาก็เลยแบ่งเงิน กระจายความเสี่ยง ทำให้ลดความเสียหาย แล้วกล้าเสี่ยงได้มากขึ้น เรียนรู้เพิ่ม ลุกเร็วขึ้น ..นี่คือ แนวทางของ Angles Investor ในยุคนี้ 'กระจายเงินลงทุน ถือหุ้นส่วนน้อย แล้วให้โอกาสคนลงแรงที่หลากหลายขึ้น'


- ส่วนคนลงแรง ต้องรับผิดชอบในเงินของคนที่เขาเชื่อมั่นในตัวเรา ..'เงินน้อยก็สำเร็จได้ ถ้ากล้ารับผิดชอบ และเรียนรู้ หาโอกาสใหม่ๆ นี่คือ แนวทางของธุรกิจ Startup ในยุคนี้'


ใช่!! ยืนจุดไหนก็มีโอกาส แค่มองให้ขาด แล้วรับผิดชอบ และพัฒนาความรู้ ในจุดที่ยืน


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

3 จุดอับ กับดักของกระแส

"คนที่ชอบทำธุรกิจตามกระแส ทำไมมักไม่ประสบความสำเร็จ" - 3 จุดอับ กับดักของกระแส !!

เคยเห็นคนที่ชอบทำอะไรตามเทรนด์ยอดฮิต ..ไม่ใช่แค่ชาวบ้าน คนทั่วไปนะ บริษัทในตลาดหุ้น ยังมีพวกเกาะกระแส แล้วฟันธงไปไม่รอดเกือบทุกรายอ่ะ

มาดูกันว่า ทำไมคนทำอะไรตามกระแส มักจะไม่ค่อยสำเร็จ

1. "คนทำตามกระแสมักไม่เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นจริง" ...อันนี้ก็สอบตกละ เพราะ คนที่ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ส่วนใหญ่มักเป็นคนรู้จริง เป็นคนเชี่ยวชาญ ...แต่พวกตามกระแส มันเชี่ยวชาญไม่ทัน เลยมั่วซะเยอะ โอกาสสำเร็จเลยน้อย

2. "คู่แข่งมันเยอะ" ...ธุรกิจในกระแส มันมีคนลงสนามมาแข่งเราเยอะ ถ้าเราไม่ได้ขั้นเทพ ก็เราจะไปสู้ได้อย่างไร ...ถ้าให้ผมเลือก ผมชอบธุรกิจแนวๆ ที่ไม่มีใครทำ ..กำหนดอาชีพขึ้นมาเอง ..ทำมันอยู่คนเดียว ขอแก้ปัญหาและสร้างประโยชน์ให้ผู้คนในแนวทางของตัวเอง น่าจะแนวกว่า

3. "คุณไม่ได้ชอบ ไม่มี Passion จริง" ..ยุคนี้ถ้าเจ้าของไม่ได้มี Passion ในธุรกิจที่ทำ มันสำเร็จยาก ...ยุคนี้คนขาย มากกว่า คนซื้อ จะทำแบบธุรกิจแต่ก่อน ทำๆไปก่อน เดี๋ยวก็รอด ผมว่าไม่ใช่ละ
ก่อนจะแห่ทำอะไร ให้ลองสำรวจ 3 ข้อก่อน ..อาจช่วยเราได้

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

งานที่ถนัดมือ ฝึกปรือให้สุดสุด

 

นอนไม่หลับ!! - นักคิด (คนสีน้ำเงิน) คิดเยอะ ..ก็เลยลุกขึ้นมา เขียนหนังสือต่อ ..ก็กำลังเขียน วิธีพัฒนาตัวเองตามสี เป็น Workbook ต่อยอดจาก เล่มนี้


- หลายคนเริ่มรู้สีตัวเองละ ..เริ่มรู้ว่า อารมณ์ตั้งต้นในการทำงานของตัวเอง มันแนวไหน ...พวกที่ทำงานแล้วไม่มีไฟ คือ อารมณ์ตั้งต้นมันไม่ตรง


..อย่างคนสีน้ำเงิน ให้ผมลุกขึ้นมาตีสาม นั่งคิด นั่งเขียน ..ไม่ต้องนอนครับ สนุกและหาเงินจากความคิด


คนสีอื่นคง มองว่า เฮ้ย!! บ้าไปแล้ว 


ก็นี่ไง แต่ละคนมัน มีวิธีการทำงานที่ถนัดต่างกัน


ข้อสังเกตอ่ะ ดูไง ?


1. ถ้างานไหนที่คุณอยากจะทำมันอย่างแรกเลย


2. คุณทำงานนั้นแล้ว คุณทำได้ดี ได้ไว มีผลงานว่างั้น (ลองเอาคนสีแดง อย่างคุณหยง ให้มานั่งเขียนหนังสือแบบผมซิ ..เดี๋ยวก็เดินไปกินขนม กว่าจะเขียนหนังสือสักเล่มเสร็จ ผมเขียนเสร็จไป 3 เล่มละ)


3. คุณเกิด idea ต่อยอดจากการทำงานประเภทนี้


ลองดูซิ ..งานที่คุณทำ มันตรง 3 ข้อนี้ไหม


- อยากทำงานนี้ก่อน 

- เราทำได้ดี ได้ไว ได้งาน

- และ ทำแล้วได้อารมณ์ต่อยอด


งานตรงสี แบบนี้ มันจะพัฒนาเราให้เก่งโดดเด่น ..เหมือนที่เขาบอกว่า ยุคนี้ เก่งอย่างเดียวพอ แต่ไปให้สุด


โลกยุคนี้ต้องการคน Focus แล้วรวมตัวกันเป็นกลุ่ม Avengers ซุปเปอร์ฮีโร่ ...โลกไม่ต้องการคนจับฉ่าย เราไม่ได้มีเวลามากมายที่ให้คนเก่งได้ทุกเรื่อง 


เรื่องเดียว ตรงสี เอาให้สุด !!


ว่าแล้ว ชักง่วงละ ..ผมไปนอนดีกว่า ..555


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพุธที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

งานที่ใช่ ยุคนี้ไม่มีให้สมัคร ...ต้องสร้างขึ้นมาเอง

ทำไมคนส่วนใหญ่ เกลียดเช้าวันจันทร์ .."ก็เพราะเขาไม่มีความสุขกับงานที่ทำไง"

ทำไมคนส่วนใหญ่ อยากรวยเร็วๆ ..."ก็เพราะเขาไม่อยากทำงานที่ไม่ชอบ ที่ทำอยู่นั่นไง"

ทำไมคนส่วนใหญ่ ชอบไปเที่ยว ชอบพักผ่อน ..."ก็เพราะเขาอยากจะหยุดพัก จากงานของตัวเองที่ไม่ชอบไง"

คุณเคย แปลกใจไหมว่า ทำไม คนที่เป็นเศรษฐี หรือ คนที่ประสบความสำเร็จมากๆ ...อย่าง ศิลปินดัง , นักเขียนดัง , นักสร้างภาพยนต์ชื่อดัง . นักธุรกิจชื่อดัง , ดาราชื่อดัง , นักวาดรูปชื่อดัง , นักถ่ายภาพชื่อดัง ...คนเหล่านี้เขาไม่เคยอยากหยุดจากงานที่ทำ ไม่เคยอยากเกษียณ ..แถมเขาอยากทำงานที่เขาทำชั่วชีวิตของเขา -- ใช่!! ก็เพราะ "งาน" คือ ชีวิตของเขาไง  ...มันคือ สิ่งที่เขาทำแล้วเขามีความสุข ...มันคือ สิ่งที่เขาทำแล้วได้อธิบายตัวตนของเขา ..."Your Identity"

"คนเหล่านี้ เขาสนุกกับงานที่เขาทำ มากกว่า การไปเที่ยวหรือการพักผ่อน ที่แสนจะวุ่นวาย แย่งกันเดินทาง (รถติดหลายๆ ชั่วโมง) แย่งโรงแรม (ราคาแพงพิเศษในช่วงวันหยุด)  แย่งร้านอาหาร (รอคิวเป็นชั่วโมงเหมือนแจกฟรี) ...เพราะ ผู้คน ชื่นชมในผลงานของเขา -- เขาจึงมีความสุขจากงานที่ทำ มีความภูมิใจในผลงานที่สร้าง และ เขาได้สัมผัสถึงคุณค่าในตัวเองจากงานของเขา"

นี่แหละ ความแตกต่างระหว่าง "งานในฝัน กับ งานจริงๆ ของคุณ" ....มันต่างกันตรง คนที่ประสบความสำเร็จ เขาสร้างงานในฝัน ให้กับตัวเองเขา ...เฮ้ย!! จริงๆ มันไม่มีใครเอางานในฝันมาประเคนให้คนที่ไม่พยายามหรอก ...คนเหล่านี้ใช้เวลา มุ่งมั่น และ มีเป้าหมายที่ชัดเจน ...นั่นแหละ เขาถึง สามารถสร้าง งานที่เขารัก ให้เป็นดั่งงานในฝัน

ผมเข้าใจว่า คุณกำลังมีคำถาม มากมายว่า วิธีการ "How-to" ในการสร้าง "งานในฝัน" มันทำอย่างไร

"งานในฝัน" เราเองเท่านั้น ที่จะสร้างเอง ...ไม่มีฟลุ๊ค ไม่เกี่ยวกับโชค แต่มันคือ "ความรู้" และ การวางแผนแบบเป็นขั้นตอน สู่การสร้างงานในฝัน ที่ประสบความสำเร็จ ดีที่สุดในจุดที่ยืน ในแบบของเราเอง

วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ตรงสี ดียังไง

 

ทายซิครับ ว่า แต่ละคนในภาพนี้ 'สี' อะไร ?

.
.
.
.
.
.
.
.
.

โอเค ไม่ต้องทายก็ได้ ..งั้นเฉลยเลย

ภาววิทย์ - สีน้ำเงิน 'ชอบทำเงินจาก การนั่งคิด' ..เป็นนักคิด นักเขียน นักลงทุน'

พี่ป้อม - สีแดง กับ สีเขียว ..'ทำงานเน้นการปฏิบัติ' ชอบลุย เน้นงานที่เห็นผลเร็ว ..สร้างสังคมนักลงทุน พาทุกคนมาเจอกัน

ดร.ต้อง - สีน้ำเงิน กับ แดง ..'ทำงานแบบผู้เชี่ยวชาญ และ เน้นการปฏิบัติ' ...เป็นผู้เชี่ยวชาญ การพัฒนาศักยภาพคน ..ทำงาน Focus เป็นเรื่องๆ และ ลึกๆ 

พี่ปุย - สีเหลือง ..เป็นนักวางแผน ...เป็นนักลงทุนและนักธุรกิจที่วิธีคิดและปฏิบัติ เป็นขั้นตอน 

พี่ใหญ่ - สีเขียว ..เป็น Deal Maker จับคน กับ ธุรกิจ กับ โอกาส มาเจอกัน และทำงานได้หลายอย่างพร้อมๆ กัน แบบสนุก ไม่หมดพลัง

คุณแสบ - สีเขียว ..ทำงานสื่อ และพา พวกเรามาสัมภาษณ์นี่ไง ..555

แล้วคุณล่ะสีไหน ?

1. คนรู้สี จะรู้ว่าตัวเอง ชอบทำงานแนวไหน (รู้จักตัวเอง)

2. อ่านสีคนอื่นออก จะรู้ว่า ควรร่วมงานกับใคร ต่อยอดกับใคร 

3. อ่านสีลูกค้าออก จะรู้ว่า คนต้องการอะไรจากเรา ..ตอบได้ เราจะทำอะไรกับคนก็ไม่ยากละ

#เพราะตรงสีถึงมีหมื่นล้าน

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

 

ยุคนี้ต้องแชร์กันทุกอย่าง



'เห็นโอกาสอะไรในธุรกิจแชร์ออฟฟิศ ..หรือที่เรียกว่า co-working Space'

วันนี้ถ้าเราไปตามแถวๆ สถานีรถไฟฟ้า แล้วกวาดตาไปรอบๆ คุณจะเห็น 'รถไฟฟ้า' ..เฮ้ย ไม่ใช่ ...มองไปข้างนอกซิ คุณจะเห็น มีการปรับห้องแถว ให้กลายเป็น co-working space 

สงสัยไหมใครจะมาใช้ ? ...นั่นแหละ ผมเดินขึ้นไปดูเลย 

ภาพที่เห็นทำให้ผมค่อนข้างประหลาดใจ เพราะเต็มไปด้วยฝรั่ง ที่มาเช่าแชร์ใช้ออฟฟิศ ซึ่งราคาก็ไม่แพง ที่เห็นก็เริ่มจากเดือนละไม่ถึงหมื่น ก็มี ออฟฟิศเล็กๆ ของตัวเองแล้ว 

นั่นแปลว่า ต่อไป คนเริ่มทำธุรกิจเล็ก อาจเลือก co-working space แทนการมี ออฟฟิศของตัวเอง 

ที่เด็ดกว่านั้นคือ ส่วนใหญ่ เปิด 24 ชั่วโมง 

คนรุ่นผม Gen X ขึ้นไป อาจจะ งงๆ ว่า ใครจะไปทำงานหลัง 5 โมง เพราะเราคุ้นชินกับ 9-5 คือ เริ่มงาน 9 โมง เลิก 5 โมง แล้วก็รถติด 2 ชั่วโมง เวลามาพร้อมกัน และกลับบ้านพร้อมกัน

เบื่อไหม ? ...เรายังเบื่อเลยใช่ไหม ?

ฟันธงเลย เด็ก Gen Y 'คนเพิ่งเริ่มทำงาน และ ทำ Startup' และ Gen Z 'พวกนักศึกษา' ...ต่อไป เขาจะไม่ทำงานแบบเรา

ทางเลือกของ co-working space คือ

1. ค่าเช่าที่ต่ำกว่า เพราะ แชร์สถานที่

2. เวลาทำงานที่ยืดหยุ่นกว่า เพราะ ส่วนใหญ่เปิด 24 ชั่วโมง เหมาะกับธุรกิจยุคปัจจุบัน ที่แต่ละคนไม่ต้องเริ่มและเลิกพร้อมกัน

3. เริ่มจะเลิกง่าย ขยาย ปรับเปลี่ยน - ธุรกิจแบบใหม่มันเร็ว จะมาลง Fix cost เยอะๆ ก็ไม่ควรละ

4. เดินทางสะดวก ..พวก co-working space ส่วนใหญ่เดินทางสะดวก แนวรถไฟฟ้า ..บางที่เอาห้องแถวง่ายๆ มาปรับเลย

5. ต่อยอดธุรกิจ ..อันนี้ในอนาคตจะสำคัญมากขึ้น เพราะ Know-how และ Connection ของธุรกิจรุ่นใหม่ ก็ต้องอาศัยการบริหารเครือข่ายความสัมพันธ์ ..ซึ่งตรงนี้ก็เป็นอีกหนึ่งจุดขายของ การแชร์ออฟฟิศ (แต่ก็ขึ้นกับฝีมือ และ Connection ของ แต่ละ co-working space)

ต่างประเทศ ก็มีตัวอย่าง ธุรกิจแนวนี้ที่โตเร็ว แล้วมา Disrupt ออฟฟิศแบบเดิม เช่น wework เริ่มจากเล็กจนเป็น Billlions Company เพราะ จับถูกกระแส

บ้านเราน่าจะเริ่มเข้าสู่การเปลี่ยนแปลง ครั้งใหญ่ของ การทำงาน และเปลี่ยนวิธีการทำงานทั้งหมด 
...ก็น่าสนุกครับ ลองดูกันไป

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

นักคิดยุคใหม่ ต้องเข้าใจ Gen ต่างๆ

 

"นักคิดยุคใหม่ ต้องเข้าใจ Gen"


- ถ้าใครเป็น Baby Boomer จะพูดว่า 'สิ่งเดิมดีอยู่แล้ว อย่าไร้สาระ' ..ยุคนี้สีแดง ฉวยโอกาสไว ตั้งตัวได้เร็ว กลายเป็น เถ้าแก่ 


- ถ้าเป็น Gen X จะพูดว่า 'เราต้องเป็นมืออาชีพ' ..ยุคนี้คนสีเหลือง ใช้หลักการและการวางระบบ จัดการธุรกิจเป็นมืออาชีพ ก้าวสู่ผู้บริหารชั้นแนวหน้า


- ถ้าเป็น Gen Y จะพูดว่า 'ฉันต้องรวยวันนี้!!' ...ยุคนี้คนสีเขียว ใช้ Social สร้างตัวเองเป็น IDOL จองเวที จับโอกาส นำหน้าคนที่มองไม่ออก


- ถ้าเป็น Gen Z จะพูดว่า 'เลิกดัดจริตกันได้แล้ว ..ไม่ต้องมาให้ความสำคัญที่ตัวผม แต่ให้ดูสิ่งที่ผมทำ' ..ยุคนี้คนสีน้ำเงิน ใช้ Innovation สร้างทางเลือกกระแสใหม่ ให้เป็นทางเลือก 


ทุก Gen มีคนสำเร็จ ทุกสีมีคนล้ำหน้า ..'การเข้าใจคน จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากทั้งการปั้นงาน และสร้างเงิน'


#หนังสือเพราะตรงสีถึงมีหมื่นล้าน


การเข้าใจ "สี และ Gen" จะเปลี่ยนมุมมอง การทำงาน และทำเงิน ..ให้เราเข้าใจโลกที่เปลี่ยนแปลง เพื่อก้าวนำ สู่ความสำเร็จ ในแบบของเราเอง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม




วันพุธที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทำงานตามอารมณ์ รวยนานกว่าเหตุผล (บ้าน่า ? - ไม่บ้าครับ)

 
'คำคม สะกิตความคิดวันนี้ !!' ..ตัดเอามาเลย

'ดร.ต้อง กล่าวว่า จริงๆ แล้วคนที่ทำงานด้วยอารมณ์ สามารถรวยได้นานกว่า คนที่ทำงานด้วยเหตุผล !!' ...(จริงเหรอ?)

...."(นึกภาพ) คนที่ทำงานแบบได้อารมณ์" 

เหตุผล คือ สิ่งที่เราไปฟังมา แล้วเราเชื่อในมุมของเรา ซึ่งทุกคนมีเหตุผลในแบบของตัวเอง ..หลายคนยึดแต่เหตุผลของตัวเอง กลายเป็นคนประสานงา แทนประสานงาน (ซะงั้น) ..งานไม่เดิน ทำไม่สุด ไม่ใส่ใจ ไร้พลังในการทำงาน

คนที่ทำงานได้ตรงกับอารมณ์ของงาน 'หรือ ทำงานตรงสี' (เข้าใจอารมณ์งานของตัวเอง) - จึงทำงานได้ สนุกกว่า ทำได้นานกว่า และ สุดท้ายรวยได้นานกว่า

"รวยได้นาน ดีกว่ารวยเร็ว เพราะ เพราะเราควบคุมได้ ..เงินมาแรง ก็หายไปเร็ว (คนที่ได้เงินเร็ว มักรักษาไม่อยู่) ..แต่เงินค่อยๆ มา รวยนาน เหมาะกับยุคนี้มากกว่า'

#เพราะตรงสีถึงมีหมื่นล้าน

"หนังสือช่วยค้นหา สี เพื่อเข้าใจ Passion ของตัวเอง ผ่านการทำงาน การทำเงิน เข้ากับโลกยุคใหม่"

ผู้เขียน

ดร.ต้อง และ ภาววิทย์ 
หนังสือ เพราะตรงสีถึงมีหมื่นล้าน

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ลงทุนธุรกิจไอที อ่านที่เจ้าของเลย

'เรื่องที่ยากมากที่สุดในโลกอันนึง คือ การคาดเดาอนาคตของธุรกิจไอที'


ใครจะไปคิดว่า ร้านขายหนังสือออนไลน์อย่าง Amazon จะมาเป็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจ Cloud Computing ซึ่งเป็นอนาคตของการใช้ IT ของบริษัทต่างๆ ทั่วโลก 


'ธุรกิจยุคนี้ ถ้าเช่าได้ แถมราคาสมเหตุสมผล จะลงทุนซื้อเทคโนโลยีทำไม ..เช่าดีกว่า ..Cloud Computing ก็เลยเกิด'


แต่ประเด็นที่มัน คาดเดาไม่ออกเลยคือ ใครจะคิดว่า Amazon จะสำเร็จในสิ่งที่บริษัทไม่ได้วางแผนเอาไว้เลย เหมือน ร้านก๋วยเตี๋ยวที่สุดท้ายมาสำเร็จเพราะขายแฟชั่น


วันนี้ Amazon มาทำ ค่ายหนัง และขาย Content ..แข่งกับ Netflix 


เออ ..Netflix ก็อีกตัว ที่นักลงทุน ไม่มีทางเดาออก ..เริ่มจากธุรกิจให้เช่า DVD วันนี้เป็น ธุรกิจ Content Streaming รายใหญ่ที่สุดในโลก 


ผมว่า ธุรกิจแบบนี้น่ะ อ่านอย่างเดียว คือ 'อ่านเจ้าของ' 


1. วิสัยทัศน์ ปรับได้ตลอด

2. ความยืดหยุ่น ในการเปลี่ยนแปลง

3. เรียนรู้ไม่หยุด

4. ทำสิ่งใหม่ตลอดเวลา

5. สร้างสินค้าใหม่ ฆ่าสินค้าเดิม

6. เป็นผู้นำจิตวิญญาณ ในสายงานที่ทำ (ข้อนี้สำคัญ เพราะ ผู้นำจิตวิญญาณ จะดึงดูด Talent และคนสุดยอด ให้มาทำงานด้วย ..มีเงิน แล้วมีคนเก่ง สับเปลี่ยนมาช่วยทำงาน ได้เปรียบแน่นอน)


ยุคต่อไป ลงทุนหุ้น ต้องอ่านคนละ ไม่ใช่อ่านแค่ธุรกิจ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

เจ้าของคิดแบบนี้ แล้วลูกจ้าง คิดยังไง

  

'ลองออกแบบ ขบวนการทำไม้ขีดไฟซิครับ ว่าจะทำอย่างไร ให้ออกมาเป็น ไม้ขีดไฟตราพญานาค?' ...ดูคลิ๊ปนี้แล้ว รู้สึกว่า https://www.facebook.com/thairobot.automation/posts/1790308994546013


...ฮึม !! คิดไม่ออกว่า สมัยก่อนที่ยังไม่มีเครื่องจักร การทำไม้ขีดไฟต้องใช้คนกี่คน ? - 'คงมีคนจำนวนไม่น้อย ที่ตกงาน เพราะเครื่องจักรมาทำงานแทน'


แล้วธุรกิจอื่นๆ ก็คงไม่ต่างกัน


เจ้าของธุรกิจ เลือก 'เครื่องจักร' แทน 'คน' แน่นอน ถ้าเขาจ่ายได้


- ไม่เคยบ่น


- ไม่โกง (อาจเจ๊งบ้าง แต่ไม่ขี้โกง)


- ไม่อู้


- ไม่ขอขึ้นค่าแรง (ยิ่งชำนาญ ยิ่งผลิตมากขึ้น ประหยัดเงินเพิ่มขึ้น)


- ไม่หยุดงานประท้วง 


- พัฒนาความสามารถต่อเนื่อง 


เค้านับ ข้อดีได้ 5 ข้อ ..ก็พอจะเดาได้เลยว่า วันใดก็ตามที่เจ้าของสามารถจ่ายเงินซื้อเครื่องจักรมาแทนแรงงานคน เขาน่าจะทำทันที 


...'เจ้าของคิดแบบนี้ แล้วลูกจ้าง ควรคิดยังไง ?'


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


ทำต่อ หรือ เลิก อยู่ที่เรามอง

"ทำงานหนัก เหนื่อย แต่ไม่เห็นทางออก" ..หลายคนกำลังอยู่ในภาวะแบบนี้ จะทำอย่างไร ?

ใช่!! บางคน ทำงานทำธุรกิจมาถึงจุดที่เริ่มเหนื่อย เริ่มท้อ เพราะ มองไม่เห็นทางออก ..ครั้นจะเลิก ก็เดินมาไกลจากจุดเริ่มต้นพอสมควร เสียดายที่ลงแรง ลงเวลา ลงเงินมา ..ครั้นจะสู้ต่อ ก็ท้อ แทบไม่ไหว เพราะ มองไม่เห็นปลายทางของสิ่งที่ทำ

ผมมีข้อสังเกตให้ ดังนี้

1. ให้ดูว่า คนเห็นคุณค่าในงานที่เราทำหรือไม่ ...ถ้าเราเลิกทำ จะมีใครคิดถึงหรือไม่ ..ถ้าไม่มีเลย ..มันก็น่าคิดว่า งานที่เราทำ มันไม่น่าจะรุ่ง

2. ให้ดูว่า เราทำสิ่งนี้ แล้วเราชอบตัวเองไหม ..คนเราลึกๆ เป็นคนดี หากเราทำสิ่งที่ผิด แม้จะได้เงิน แต่ลึกๆ เราจะเกลียดตัวเอง ...ตรงข้ามกัน ถ้าสิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่ดี มีคุณค่า มีประโยชน์ แม้เงินไม่มาก แต่เราจะรู้สึกดี นี่แหละ งานที่ทำแล้วชอบตัวเอง (งานใช้เงินวัดทั้งหมดไม่ได้ บางส่วนต้องใช้ใจวัด ..และส่วนนี้ ชี้ขาดความสำเร็จในระยะยาว)

ถ้าสองข้อนี้ผ่าน แปลว่า ปัญหาของธุรกิจคุณ ไม่ใช่ความก้าวหน้า เพราะ 2 ข้อนี้ ข้อ 1 มันบอกอนาคตของธุรกิจ ..ส่วนข้อ 2 มันบอกความยั่งยืนของสิ่งที่เราทำ

ปัญหาถ้าผ่าน 2 ข้อนี้ ก็คือ "เรื่องเงิน"

1. ลดรายจ่าย ..แล้วเพิ่มรายได้ ...อย่าแค่พูด เราต้องทำอย่างจริงจัง

2. ใช้หลัก 20/80 ..หา คน 20% นั้นให้เจอ แล้วตัด 80% ออก เพราะ คน 20% ของทุกธุรกิจ ทำเงินให้ 80% (หากล้ามเนื้อ ตัดไขมัน)

3. ให้คน 20% นั่นแหละไปหาคนมาเพิ่ม ...นั่นแหละ คือ กฏแรงดึงดูด ที่จะขยายคนเก่ง

4. ใช้เจ้าของให้เปลืองที่สุด

5. ตั้งเป้าที่เหลือเชื่อ แล้วพาทีมของคุณเดินไปให้ถึง (ไม่มีเป้าหมายอะไรที่เป็นไปไม่ได้ในโลกนี้)

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ขยายความสามารถในการดูแลเงิน

'คุณใช้เงินเป็นรึเปล่า ? ..เจอถามแบบนี้ก็ งง ว่าถามทำไม เพราะ ตั้งแต่เด็กจนโต ฝึกใช้เงินจนเกิดความชำนาญ


 - 'ทุกคนมีความสามารถพิเศษ ในระดับปรมาจารย์ด้านนี้เลย คือ มีเงินปั๊บ สามารถใช้ได้หมดทันที' 


คำว่า 'ใช้เงินเป็น จริงๆ คือ ใช้แล้วเงินไม่ลดลง แต่กลับเพิ่มขึ้น' ...ใช้ยังไงให้เงินเพิ่ม ?


เงินถ้าอยู่ในมือคนฉลาด เขาจะสร้างให้มันมีประโยชน์และเพิ่มพูนขึ้น ..แต่ถ้าเงินอยู่ในมือคนไม่ฉลาด มันกลับเป็นโทษ เพราะ เขาจะใช้เงินนั้นทำลายตัวเอง


มีคนเคยสอนผมว่า คนเราจะมีเงินเท่ากับความสามารถที่คนๆ นั้นดูแลได้ ..ครั้งแรกที่ฟัง ผมไม่เข้าใจเลย


'ก็ทำไมล่ะ ..ฉันก็ดูแลเท่าไหร่ก็ได้ ..ไม่ใช่เลย ..การดูแลก็เหมือน เรามีลูกนั่นแหละ ..ถ้าวางเงินไม่เป็น วางแต่ในธนาคาร มันไม่โต ดูแลแบบนี้ คือดูแลไม่เป็น เหมือนพูดว่า มีลูก ให้เรียนที่ไหนก็ได้ สอนยังไงก็ได้ ตามมีตามเกิด ..ลูกก็ไม่โต ไม่มีปัญญา แถมสร้างปัญหา


การสร้างปัญญา คือ การอยู่ในที่เอื้อต่อการเติบโต ..มีการไหลเวียน มีการหมุน ..เป็นปลาที่อยู่ในกระแสน้ำไหล ไม่ใช่ในน้ำนิ่ง 


ทุกที่ในการวางเงิน มีความเสี่ยง ..คนมีความสามารถ คือ วางเงินในที่เสี่ยง แต่จัดการความเสี่ยงเป็น 


คนที่คุมความเสี่ยงเป็น แม้อยู่ในสถานที่เสี่ยง ก็คือ คนมีความสามารถในการดูแลเงิน'


เริ่มจากดูแลเงินร้อยได้ ..ไปดูเงินพัน ..ดูแลเงินหมื่น ..แสน ..ล้าน - เมื่อเพิ่มความสามารถในการดูแลได้ เงินก็จะขยายเอง !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

10 แนวคิด พิชิตโลกหมุนไว

 

10 ข้อคิดยุคใหม่ สอนลูกยังไงให้เก่งกว่าเรา

1. 'สอนให้รับผิด' คนที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ก็คือคนที่รู้ว่าตัวเองผิดแล้วคิดแก้ไข ..คนที่ไม่ยอมรับผิด คือ คนไร้ความรับผิดชอบในชีวิต และไม่เคยคิดแก้ไข

2. 'สอนให้สร้างงาน' คนส่วนใหญ่ส่งลูกเรียนเพื่อให้เขาโตขึ้นมาจะได้หางานทำได้ ..แต่ถ้าอยากให้ลูกมีชีวิตดีในโลกยุคใหม่ต้องให้เขาสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ขึ้นมาเอง อย่าสอนแค่หางาน สอนให้รู้วิธีสร้างงาน

3. 'ฝึกให้ทำงานตั้งแต่ยังเด็ก' คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงส่วนใหญ่ต้องเริ่มทำงานตั้งแต่อายุยังน้อย ..ไม่ใช่เพราะเขาแค่เก่งงาน แต่เพราะคนที่ทำงานตั้งแต่เด็ก จะรู้ค่าของเงินก่อนใครๆ 

4. 'สอนให้ลงทุนตั้งแต่อายุน้อย' ถ้ายุคก่อนพ่อแม่มักสอนลูกออมเงิน ..ในยุคนี้ผมแนะนำให้พ่อแม่สอนลูกออมหุ้นตั้งแต่อยู่ประถม เพราะเมื่อเขาจบปริญญา เขาจะรวยกว่าเด็กที่ออมเงินปกติอย่างน้อย 10 เท่า

5. 'ให้ลูกจัดการเงินของตัวเอง' ..คนที่ชีวิตสบายคือคนที่รู้จักจัดการเงินของตัวเอง ..ไม่ควรมีเงินที่ได้มาโดยที่เขาไม่ต้องทำอะไร ..เหมือนจะโหด แต่ชีวิตจริงเราก็เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ 

6. 'ชมลูกให้เป็น' ..อย่าเอาแต่เปรียบเทียบลูกเรากับลูกคนอื่น มันไม่มีอะไรดี นอกจากฝากปมชีวิต ..ลดการบ่น ลดการล้อ ลดการขู่ แต่ให้สอนด้วยเหตุและผล 

7. 'ลงโทษเมื่อทำผิด' ถ้าพ่อแม่ไม่เคยลงโทษเมื่อลูกทำผิด สุดท้ายสังคมจะลงโทษเขาอย่างสาสม ..รักลูกต้องสอนเรื่องผิดถูก อย่าเอาแต่ให้ท้าย 

8. 'สอนให้เขารักตัวเองเป็น' ปัญหาหลักของเด็กยุคนี้คือ ไม่รักและมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง เพราะโลกยุคนี้เราใช้วัตถุและเงินในการตีค่าของคน ..รักตัวเองคือ การรู้จักตัวเอง และรู้จักเลือกสิ่งที่เราเองต้องการจริงๆ ..ไม่ใช้ชีวิตเพียงเพื่อให้คนอื่นมองว่าเราดี 

9. 'สอนการให้' โลกยุคนี้โอกาสอยู่ที่ผู้ให้ ต้องสอนเรื่องการทำอะไรเพื่อคนอื่นแบบไม่ได้สิ่งตอบแทนด้วย ..ให้เขาลองทำกิจกรรมอาสา พัฒนา ฝึกช่วยเหลือคนอื่น และ การบริจาค

10. 'สอนให้มองไกล' เรื่องมองไกลเป็นเรื่องต้องฝึกต้องเรียนรู้ เพราะโลกทุกวันนี้สอนให้มองสั้นทั้งหมด ..คนที่สำเร็จกว่าคนอื่นในโลกยุคต่อไปคือคนที่ฝึกการมองการณ์ไกล

โลกยุคใหม่ ต้องการนักคิด นักปฏิบัติ ที่มองไกล ทำงานเพื่อความยั่งยืน ..ใช้ชีวิตสร้างงานที่เป็นประโยชน์กับคนรอบข้าง เป็นงานที่ทำแล้วสนุกแถมได้เงิน ..รู้จักเรียนรู้จากข้อผิดพลาด และไม่เคยหยุดเดิน !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทำไมเราถึงยังอยู่ที่เดิม

'ไม่มีอะไรที่เราไม่รู้ แต่ทำไมเรายังอยู่ที่เดิม ?'


- อยากรวยหุ้น ซื้อหุ้นดี ถือให้นาน (จบ รวยแน่นอน)


- อายุน้อย อยากได้โอกาส ต้องเลือกงานยากที่คนอื่นไม่อยากทำ (เด็กเหมาะกับการล้มลุก ล้มแล้วลุก ..คนเก่งผ่านเส้นทางนี้ทุกคน)


- อายุมาก ต้องรู้จุดแข็งตัวเอง แล้วเลือกทำสิ่งที่ถนัดเท่านั้น (เพราะการล้มตอนแก่ ไม่ใช่สิ่งที่น่าพิศวงนัก)

 

- ถ้าอยากก้าวหน้าในที่ทำงาน ต้องทำให้ลูกค้าขาดคุณไม่ได้


- ถ้าอยากมั่นคงในที่ทำงาน ต้องทำให้นายขาดคุณไม่ได้


- อยากได้เวที อยากได้โอกาส แชร์ความรู้เยอะๆ


- เปลี่ยนคนที่เราคบ 5 คน (ใช้เวลาด้วยมากที่สุด 5 คน) ชีวิตจะค่อยๆ เปลี่ยน ตามคนกลุ่มนี้


อีกเยอะ !! ที่เรารู้ แต่ทำไมเราถึงอยู่ที่เดิม ?


ใช่ !! 'ก็เพราะเราไม่ได้ทำ'


ชีวิตเราน่ะ ออกแบบได้ - 'เราคือคนออกแบบชีวิตในแบบของเรา'


คนที่แก้โจทย์นี้ 'ทำไมเราอยู่ที่เดิม' ได้ดีที่สุด ก็คือ ตัวเราเอง !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม






วันพุธที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ธุรกิจยุคใหม่ ไม่ใช่มีแต่ออนไลน์

ธุรกิจยุคใหม่ ไม่ใช่มีแต่ออนไลน์ !!


'เทรนด์ที่น่าจับตามอง สำหรับคนค้าขายในยุคนี้ คือ การรวม Online กับ Offline เข้าด้วยกัน'


เราจะเห็นข่าวว่า วันนี้ร้านค้าเริ่มปิดตัวเพราะ ไม่คุ้ม ..ลูกค้าลดลง แต่ค่าเช่าไม่ลด กำไรเลยหดหาย ..จนหลายๆ คนมองว่า ต่อไป ร้านค้าปกติจะแย่ แล้วถูกแทนด้วย Online แทน


จริงๆ แล้ว ถ้าเรามองให้ยาว มันเป็นไปไม่ได้ ที่ทุกคนจะวิ่งมาซื้อ Online ทั้งหมด เพราะ 'ประสบการณ์ในการซื้อของ มันแตกต่างกัน'


Online : คนจะเน้นซื้อของถูก ของที่จำเป็น ของที่เคยซื้อเป็นประจำ ของที่ไม่ต้องใช้ความรู้สึกและการตัดสินใจมากมาย ก็แน่นอน ของจากโรงงาน หรือ ของพวกเน้นผลิตแบบ Mass Production ..สินค้าแนวๆ นี้ เหมาะกับซื้อ Online 


Offline (หน้าร้าน) : คนจะซื้อของที่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจซื้อ ของราคาแพง ..ลองนึกภาพว่า กระเป๋า Hermes ไม่มีหน้าร้านเลย ให้คุณซื้อ Online อย่างเดียว ..หรือ รถหรู ไม่มี Showroom ให้คุณเห็นสินค้า ..หรือ นึกภาพ Tesla รถไฟฟ้าสุด intrend แล้วไม่มีสินค้าให้ดู ต้องสั่งอย่างเดียว คงตัดสินใจยากน่าดู


สิ่งที่ผมจะชี้ก็คือ ทั้ง Online และ Offline มันเป็นสิ่งที่เสริมกัน ในบางช่วงในภาวะเศรษฐกิจไม่ดี คนอาจจะมาเน้น Online เพราะราคาถูกกว่า แต่ในระยะยาว มันจะต้องเสริมกัน


เราจะเห็นวันนี้ อย่าง Amazon ก็กำลังลงมาเป็น Offline คือ เปิดหน้าร้าน


หรือ อย่าง Alibaba ก็เตรียมลงมาเล่น Offline เช่นกัน


สรุป คือ ในอนาคต เรื่องหน้าร้านก็ยังคงมีแน่นอน อยู่ที่การปรับตัวแล้วเห็นโอกาส ใช้จุดเด่นของ Online และ Offline มาเสริม แล้วสร้าง 'ค้าปลีกสายพันธุ์ใหม่'


ลองนึกซิครับว่า ธุรกิจเราจะใช้ประโยชน์ จาก Online ตรงไหน แล้วใช้ประโยชน์จากหน้าร้านตรงไหน ...ใครคิดก่อน แล้วลุย คุณจะเป็นผู้นำ ในธุรกิจยุคต่อไป


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

เปลี่ยนโลก ด้วยความคิดแบบคนสีน้ำเงิน

 

'นี่แหละ คนสีน้ำเงิน ตามแบบในหนังสือ เพราะตรงสีถึงมีหมื่นล้าน ..Elon Musk คนสีน้ำเงินเข้มที่ทำเงินจากการขาย Idea'


จุดเด่นคนสีน้ำเงิน 'คนเชื่อกันทั้งโลกแล้ว ตั้งแต่ยังเป็น Idea ..คือ ยังไม่ทันทำเลย คนเชื่อแล้ว !!'


ต่างกันคน 'สีแดง' ที่คนจะเชื่อ ต่อเมื่อโชว์ผลงาน โชว์ผลลัพธ์


ใช่!! เพียงแค่เรารู้สี เราก็จะรู้วิธีการพัฒนาสร้างจุดขายให้ธุรกิจ ได้ตรงกับลูกค้า


...ลองดูสิ่งที่ Elon Musk นำเสนอ


- การเปลี่ยนโลก จากการที่คุณแค่ซื้อสินค้าของ Tesla

- โครงการเปลี่ยนชีวิต จากการสนับสนุน สิ่งที่เขานำเสนอ


เราใช้คนสีน้ำเงิน ให้เอาไอเดียเขามาเขย่าโลก 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


 

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ