แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

คุยกับพี่บอย (วิสูตร)

 คุยกับพี่บอย (วิสูตร) ..


พี่บอยเป็นคนที่อ่านและสรุปหนังสือเยอะมาก …เล่มล่าสุดที่แกชอบคือ ‘ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์’ เขียนโดย Oliver Burkeman …’เหมือนจะเป็นหนังสือเรื่องการบริหารเวลา แต่ไม่ใช่เลย …มันแทบจะตรงข้าม และ จับเราตีลังกาคิดกันเลยทีเดียว’ 


พี่บอยเล่าว่า แกเป็นคนรุ่น GenX จะรู้สึกผิดมากๆ หากใช้เวลาไม่คุ้มค่า จะรู้สึกว่าตัวเองไร้สาระ …ทำให้ต้องขยันตลอดเวลา หรือ อย่างน้อยต้องทำตัวยุ่ง เพื่อให้ไม่รู้สึกผิด 


‘แพ้ท เป็นเหมือนกันป่ะ?’ 


‘อ๋อ !! เคยพี่ เคยเป็น ตอนที่ไปเรียนโทอยู่ออสเตรเลีย ตอนนั้นเรียนด้วย ทำงานด้วย’ …มองหาลู่ทางตลอด อยากเปิดธุรกิจให้ได้ก่อนเรียนจบ …สุดท้าย!! เปิดร้านอาหารได้จริงๆ แต่เรียนไม่จบ …555


ไอ้เรียนโท ไม่จบนี่ มันทำให้โคตรกดดัน …ว่าธุรกิจต้องสำเร็จ …เอาตรงๆ ชีวิตแบบนั้น ทำงานโคตรหนักเลยนะ แต่โคตรไม่มีความสุข ชีวิตเหมือนแรงงานเถื่อนอ่ะ …วันๆ มองเงิน ว่า ขายอาหารได้เท่าไหร่ …อยากเก็บเงินสร้างตัว และ ขยายร้านอาหาร


โอเค !! สรุปคือ 


ที่ผ่านมาจุดนั้น สอนให้ผมรู้ว่า 


1. ‘การ Work Hard กับ Work Smart ต่างกันมาก’ …เราจะ Work Hard เมื่อเรายังไม่เจอทาง …แต่ถ้าเจอทางแล้ว ต้อง Work Smart ทันที 


2. ‘เราจะเจอทาง เมื่อเราทำงานน้อยลง แต่ผลลัพธ์มากขึ้น’ …มันคือวิธีการค้นหาความถนัดของเราเองนั่นแหละ ….สุดท้ายให้ทำเฉพาะที่เราถนัดเท่านั้น


พี่บอย ‘นี่มันก็คือ เน้น Productivity เป็นหลัก ?’ 


‘ใช่’


พี่บอย ‘แล้วแพ้ทคิดยังไง กับ คนที่ทำงานหนัก แต่ไม่ใช้เงิน ไม่ใช้ชีวิตเลย ?’ 


นี่ไง !! ผมว่า เรากำลังจะเข้า Topic ของ ‘วิกฤตวัยกลางคน !!’ …เราเห็นคนวัยกลางคน ลุกขึ้นมาซื้อรถสปอร์ต แล้วก็เปลี่ยนการแต่งตัว ทำอะไรใหม่ๆ เปลี่ยนงานอดิเรก …เปลี่ยนตัวเองว่างั้น 


ตอนเด็กๆ เรามองคนเหล่านี้ ก็รู้สึกว่า ‘ลุงคนนี้ อยากเด็กนี่หว่า นึกขำ ..555’ …เฮ้ย!! แต่วันนี้มันเกิดกับตัวเราเองอ่ะ 


พี่บอย ‘ทำไมล่ะ ? …มันเกิดอะไรขึ้น ?’ 


‘ผมว่ามันเกิดกับทุกคนแหละ’ …มันคือจุดเปลี่ยนของแต่ละคน …ตอนทำงานใหม่ๆ เราจะทุ่มเททั้งหมดไปที่เป้าหมาย อยากไปถึงเป้าหมายให้เร็วที่สุด …แต่เอาตรงๆ นะ พอเราทำมาถึงจุดนึง เราจะเริ่มรู้สึกว่า …เฮ้ย!! ทำแบบนี้เมื่อไหร่จะได้ใช้เงินวะ ? 


เหมือนหนังสือเล่มนี้เลย …ชีวิตคนเราเฉลี่ยมีแค่ 4 พันสัปดาห์ …อย่างพวกเราใช้มาเกินครึ่งละ แถมเหนื่อยตลอด 


มองไปรุ่นปู่ย่า พ่อแม่ …ทำงาน ทำงาน ทำงาน …ไม่ได้ใช้ พอถึงจุดนึง มะเร็งมาละ …ตายละ …สรุป ไม่ได้ใช้เงิน …ที่ใช้มากสุดก็ ตอนนอนอยู่ รพ. ตอนใกล้ตาย …ที่เหลือลูกหลานเอาไปผลาญสบายๆ ….’ผมเห็นแบบนี้ โคตรรู้สึกว่า เป็นปมชีวิตผมเลย คือ เราจะไม่ทำแบบนั้น’ 


หนึ่ง เงินมากเกิน มันทำลายลูกหลาน เพราะ มันจะเริ่มหลุดโลก (คนที่ไม่ต้องทำงาน ก็อยู่ได้ …แม่งจิตตกทุกคน ไปดูดิ สบายกาย แต่ใจจะหนัก แล้วสุดท้ายมันจะฟุ้ง) …สอง งั้นสู้เราเอามาใช้บ้าง เหลือให้มันน้อยลง น่าจะเป็นประโยชน์กว่า


ก็น่าจะประมาณนี้แหละ วิกฤตวัยกลางคน …ทำงานหนักมาถึงจุดนึง สำเร็จระดับนึง ยังมีเป้าหมายต่อนะ แต่พอมองไปก็เห็นว่า ชีวิตมันไม่ได้ยืนยาวขนาดนั้น เลยเริ่มมองหาวิธีใช้ชีวิต 


…แต่!! 


ใช่พี่ …แต่มันรู้สึกผิด เหมือนเราทำตัวไร้สาระ ไม่ Productive !!


‘แพ้ทแก้ยังไง ? ความรู้สึกนี้ ?’ 


…เอาตรงๆ นะครับ …’ช่างมัน!!’ 


1. เปลี่ยนมุมมองใหม่ เราต้อง Work Smart ไม่ใช่ Work Hard …แปลว่า คนนั่งเฉยๆ ยุคนี้ อาจ Productive กว่าคนที่ดูยุ่งตลอดวันก็ได้


2. พยายามให้รางวัลตัวเองแบบสมเหตุสมผล …อันนี้คน GenX หรือ Gen ก่อนหน้า จะเข้าใจดี เพราะ เขามักทำงานเพื่อคนอื่น …ทำเพื่อครอบครัว เพื่อลูก …ใช้กับตัวเองน้อยเกิน ….ก็แค่เพิ่มการใช้กับตัวเองบ้าง แค่นั้นแหละ 



#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

คุยกับทอย …

 ‘คุยกับทอย’ ….


ในโครงการ The Stock Master 11 เราได้เชิญตัวแทนคนรุ่นใหม่ ก็คือ The Toys เพื่อเป็นตัวแทน นักลงทุน Gen Y ….ผมเองในฐานะคนรุ่น Gen X ก็ได้มาคุยหาจุดร่วม จุดต่าง 


คนรุ่น Gen X อย่างผมวันนี้ก็อายุ 40 ขึ้น …เป็นรุ่นฟังเพลงจากเทป เช่าวีดีโอจากร้าน ..พ่อแม่โคตรโหด โคตรเข้มงวด …ไม่ต้องมาคุยอะไรความฝัน เรียนให้จบ เรียนให้เก่ง ถ้าเป็นหมอ หรือ วิศวะ นี่คือ ลูกกตัญญู …ชีวิตของคนยุคผม มุ่งสู่สายอาชีพ การเป็น ผู้บริหารใส่สูท คือ ที่สุดของแจ้ (พ่อแม่ยุคนั้น) 


จุดเปลี่ยนมันมาในยุคทอย Gen Y เข้ามาทำงานในยุค จุดเปลี่ยน …คือ ’เปลี่ยนจากคนอื่นเป็นคนกำหนด มาเป็นตัวเราเป็นผู้กำหนด’ 


เดี๋ยวนี้ ‘ใบปริญญา’ แทบไม่มีผลต่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน …Social Media & Online มันเปิดโอกาสในการสร้างอาชีพใหม่ๆ ที่ในอดีตไม่มีทางทำได้ 


‘คิดง่ายๆ วันนี้ถ้าคุณมี Social แล้วสร้าง Fan Club แบบคนที่รักคุณจริงๆ สัก 1,000 คน …คุณอยู่ได้แล้วนะ มันเป็น Community เป็นชุมชนที่คุณคล้ายๆ ผู้นำชุมชนในเรื่องนั้นๆ แล้วมันก็ต่อยอดไปได้มหาศาล’ …เราถึงเห็น Youtuber หรือ Social Influencer แต่ละคน หาเงินกันง่ายๆ …ยิ่งฐานของกลุ่มใหญ่ Influencer ก็ยิ่งรวยขึ้นไปเรื่อยๆ 


ใช่!! มันไม่มี ‘วิชาอะไรที่เรียนจบมาแล้ว สามารถเป็น Influencer’ (ถ้ามีก็น่าจะดี) …


เล่ามาซะยาว เข้าสู่คำถามทอย เลยว่า 


‘จากความชอบทางดนตรี (เด็กส่วนใหญ่ก็ชอบ) มันสามารถเปลี่ยนเป็นความรวย ความสำเร็จได้ยังไง ?’ 


ทอยบอก ‘ผมชอบจริงๆ แบบโคตรชอบดนตรี’ 


‘เด็กคนอื่นเขาก็ชอบ ??’ (รึเปล่าวะ?)


ความแตกต่างคือ การเข้าประกวด …ทอยเล่าว่า เขาประกวดครั้งแรกแล้วแพ้ …ทำให้กลับมาทบทวน พบว่า เดิมทีเขาก็เก่ง แต่เก่งแบบไม่แคร์โลก คือ ไม่ได้ดูเลยว่า กระแสของเพลงฮิต มันไปทางไหน 


พอทอย มาจับกระแส คราวนี้ประกวดครั้งต่อมาก็ชนะเลย …จากนั้นมันก็ชนะเรื่อยๆ 


…(ในใจผม ก็คิดว่า เฮ้ย!! ทอย มันตามกระแสอะไรวะ ..มันโคตรจะติสแตก ไม่แคร์โลก แต่คำตอบนี้ทำให้ผมกลับมาประมวลผลใหม่)


 …แปลว่า ?!


แปลว่า จริงๆ ทอย ไม่ใช่ไม่แคร์โลก แต่เขาเข้าใจแนวทางของโลกทางดนตรีได้อีก Step คือ รู้ล่วงหน้าแล้ว ว่า What’s Next (Trend) 


…ครับ!! น่าจะใช้คำว่า ‘จุดร่วมของคนเก่ง’ 


คนเก่ง มันมีทุกอาชีพ ทุกอุตสาหกรรม …แล้วถ้าคนธรรมดามองคนเก่ง ก็จะมองว่า ‘มึงติส’ (มึงเพี้ยน) ไม่แคร์โลก แต่จริงๆ ไม่ใช่ …เขาแค่เข้าใจโลกมากกว่าคนอื่น รู้ก่อนคนอื่น มาอะไรจะมา …แล้วเขาไปเล่นอยู่ข้างหน้าแล้ว 


ผมถามทอยว่า ใครเป็น Idol ในเรื่องธุรกิจ 


ทอยบอก ‘Elon Musk’ 


‘นั่นไง’ …Elon Musk แม่งล้ำ แล้วก็ดูบ้า …แสดงว่าจริงๆ เขาไม่ได้บ้า เขาแค่รู้ล่วงหน้าคนอื่นอีก Step ก็แค่นั้น 


ผมเลยถามทอยต่อว่า ‘แล้วอะไร ที่ทำให้เรารู้ล่วงหน้าว่า อะไรจะมา ?’ 


ทอยไม่ตอบ (ส่ายหัวไปมา) …ผมว่า เขาคิด และ ประมวลผล แบบเด็กรุ่นใหม่อยู่ 


‘ปล่อยไหลพี่’ 


‘อะไรวะ ??!? …กรูเริ่ม งง ละ …555’ 


โอเค!! ผมแปลให้ละกัน …ในฐานะ ที่ผมก็ได้เจอ คนล้ำๆ มาเยอะ ก็พอจะเข้าใจว่า อะไรเป็น เหตุแห่งความล้ำหน้า 


1. ‘หมกมุ่นกับเรื่องนั้นมากพอ นานพอ’ …เมื่อเราทำอะไรนานพอ มันจะเริ่มเก่งพอตัว 


2. ‘มองหา Pattern ที่ชัด ในความไม่ชัด’ …ในสิ่งที่วุ่นวาย จริงๆ ถ้าเราสังเกตดีๆ มันจะเจอ Pattern บางอย่างที่มันเกิดซ้ำๆ …มันมีความชัดเจน ในความไม่ชัดอยู่ (แต่คุณต้องผ่านข้อ 1 ก่อน คือ อยู่ในตลาดนานพอ) 


3. ‘กล้าที่จะทุ่ม All-in ในสิ่งที่เราเชื่อ’ …การที่เราเจอความชัดเจน ในขณะที่คนอื่นเห็นแต่ความยุ่งเหยิง มันไม่พอแค่นั้น ….มาถึงจุดที่คุณกล้าจะเสี่ยง เพื่อพิสูจน์ไหมว่า สิ่งที่เราเห็นคือของจริง (หรือแค่เราแม่งมโน) 


คนระดับโลกอย่าง Elon Musk นั่นคือ เขา All-in ทั้งหมดเลย เพื่อจะพิสูจน์ว่า เขาเห็นชัดเจนไปอีกหนึ่ง Step โดยที่ทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์มองไม่เห็น 


…เอาจริง ข้อ 3 เป็นสิ่งที่ผมว่า ‘โคตรแห่งความยาก’ เพราะ ผมไม่เคยเชื่อการ All-in ….แต่ถ้าไปดูประวัติของคนประสบความสำเร็จ ก็คือ คนที่เคย All-in มาแล้วทั้งนั้น 


การสัมภาษณ์ครั้งนี้ จริงๆ ผมอยากรู้ว่า คนรุ่นใหม่ เขาคิดยังไง …เท่าที่จับประเด็นได้ก็คือ 


1. ‘การอยู่ถูกที่ สำคัญกว่าความเก่ง’ …แต่การจะอยู่ถูกที่ มันหมายถึง เราต้องมองให้ออกว่าอะไรคือ Trend …อะไรคือ What’s Next แล้วไปอยู่ตรงนั้นก่อนคนอื่น (นั่นแหละ แปลว่า อยู่ถูกที่) 


2. ‘จุดร่วมในการเป็นนักลงทุน’ …คนรุ่นใหม่สนใจในเรื่องการลงทุนเพราะ มันทำให้เขามีอิสระมากขึ้น …เขามองการทำงานว่า มันได้เงิน แต่มันจำกัดอิสระ ยิ่งหาเงินได้เยอะก็ยิ่งเหนื่อย …ดังนั้น การลงทุนจึงเป็นคำตอบ ที่จะค่อยๆ ให้ สิ่งที่ลงทุน ให้ Passive Income และนั่น คือ ความอิสระจริงๆ 


เอาล่ะ …มาถึง คำถามสำคัญมาก 


‘ช่วยบอกผมหน่อยว่า อะไรคือ What’s Next ? ในตลาดหุ้น’ …ผมจะได้ไปรออยู่ตรงนั้น …555


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #TheStockMaster11 #หลักทรัพย์บัวหลวง


5 ปัจจัย ที่จะทำให้เรารวยเปลี่ยนชีวิตในหุ้น

 5 ปัจจัย ที่จะทำให้เรารวยเปลี่ยนชีวิตในหุ้น


ใช่!! ให้มองหา ปัจจัย เหล่านี้ให้เจอในหุ้นที่เราซื้อ


1. ‘ยอดขายและกำไร เติบโต’ …อย่างน้อยสัก 3 ปีขึ้นไป ถึงจะสามารถเป็นหุ้น Growth ที่ราคาโตก้าวกระโดดได้ 


2. ‘มีโอกาสในการปรับ P/E’ ..ในมุมของนักลงทุน P/E คือ การยอมที่นักลงทุนจะซื้อแพงขึ้นเป็นกี่เท่าของกำไร …ถ้าหุ้นกำลังโต ก็มีโอกาสทีี P/E จะสูงขึ้น เช่น จาก 10 เป็น 20 …เป็น 30 …40 …(ถ้าหุ้นที่เราซื้อแล้ว ได้ปรับ P/E …บอกเลย โคตรรวย!!)


3. ‘หุ้นมีเจ้าของชัดเจน’ …หุ้นถ้าใหญ่ไป มันกลายเป็น มหาชนเป็นเจ้าของ หรือ กองทุนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ …ก็มั่นคงดี แต่ความ Sexy และการเติบโตแบบก้าวกระโดดของหุ้นแต่ละตัว มันอยู่ตอนช่วง ‘วัยเด็ก’ 


4. ‘เจ้าของคือ Empire Builder’ …นักสร้างอาณาจักร ..หุ้นก็เหมือนอาณาจักรของเขาที่ขยายต่อ ยอดไม่หยุด ทั้ง Organic และ Inorganic …พูดภาษาบ้านๆ คือ งบโต และ ก็ต้องซื้อธุรกิจอื่นเข้ามาด้วย (ยุคนี้รอแค่งบโตอย่างเดียว ช้าไปแล้ว)


5. ‘เราทนรวยได้’ …ใช่!! หุ้นจะไปกี่เด้ง ก็ไม่สำคัญ ถ้าเราทนถือไม่ได้ …แปลว่า เราต้องทนรวยได้ …หนึ่ง เงินต้องเย็น และ สอง ต้องทนเห็นมันย่อได้ 30-50 % ก่อนมันจะขึ้นถึงเป้าหมาย


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

6 เคล็ดลับของราคาหุ้นที่หลายคนไม่รู้

 6 เคล็ดลับของ ราคาหุ้นที่หลายคนไม่รู้


ราคา ก็คือ ราคาไง …ใช่!! …แต่มันลึกล้ำกว่านั้น มาดูกันว่า ในราคามีอะไรที่หลายๆ คนอาจไม่รู้


1. ‘ราคาหุ้นที่เราเห็น อาจไม่ใช่ราคาจริงๆ ที่เจ้าของยอมขาย’ …จะเห็นว่าหลายๆ ครั้งที่มีการ ซื้อขายบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ มีการเสนอราคาซื้อที่สูงกว่าราคาซื้อขายกันในตลาดหุ้น 


2. ‘ราคาเป็นสิ่งที่เราจ่าย แต่มูลค่าคือ สิ่งที่เราได้รับ’ …คำพูด คลาสลิกของ Warren Buffet ที่กระตุกต่อมคิดเราว่า ไม่ว่าเราจะยอมซื้อหุ้นแพงแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่เราได้จะไม่เกินมูลค่าพื้นฐานจริงๆ ของหุ้นนั้นๆ


3. ‘ราคาอาจถูกบิดเบือน หรือปั่นได้ง่ายๆ ในช่วงสั้นๆ’ …ในตลาดหุ้นมีการปั่นราคาขึ้นจนรายย่อยหลงเข้าไปซื้ออยู่บ่อยๆ แล้วก็ติดดอย เพราะ การปั่นราคาในช่วงสั้นๆ ทำได้ง่ายมาก โดยเฉพาะหุ้นที่มีการซื้อขาย Volume ไม่เยอะ


4. ‘ราคากับพื้นฐานสามารถไม่ไปด้วยกัน เป็นเวลานานจนเราหลงเชื่อ’ …เจ้ามือที่ใจเย็น เป็นเจ้ามือที่น่ากลัวที่สุดในตลาดหุ้น …ก็เพราะ เขาสามารถยอมลงทุนซื้อหุ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ขายเป็นเวลานานจนรายย่อยเชื่อว่า หุ้นตัวนี้มันดีจริงๆ


5. ‘ราคาหุ้นสามารถขึ้น จนทุกคนเชื่อสนิทใจว่ามันดีจริง’ …โดยมากการขึ้นเยอะๆ นานๆ จนคนเชื่อสนิทใจต้องมี Story ที่คนเชื่อ เช่น หุ้นเทคโนโลยีก่อนหน้านี้


6. ‘ราคาหุ้นสามารถลงต่ำกว่าพื้นฐาน นานจนเราคิดว่าไม่มีทางขึ้น’ …จากนั้นหุ้นก็ขึ้นทะยานเป็น สิบๆ เท่าในเวลาสั้นๆ …เราเห็นได้บ่อยในหุ้นกลุ่ม Commodity ที่แย่ตลอดชาติ แต่เวลามันมา จะมาเร็วและแรงจนเราต้องร้องขอชีวิต (พอมันขึ้นจบ ก็เน่าต่ออีกชาตินึง ..555)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

6 ข้อควรรู้ ในการเก็บหุ้นถูก ของถูก

 6 ข้อ ควรรู้ในการเก็บหุ้นถูก ของถูก


มีวิกฤตก็ย่อมต้องมีของถูก …และนี่คือ 6 ข้อที่ควรรู้


1. ‘ของถูกพอซื้อแล้ว เผื่อใจว่ามันจะลงต่อ’ …ไม่มีหลอกครับ ซื้อปั๊บได้จุดต่ำสุดเลย …ส่วนใหญ่เราซื้อแล้วมันจะลงต่อเป็นปกติ ก็แบ่งไม้ทยอยซื้อดีๆ ..อย่าซัดทีเดียว เพราะจะจุกได้ 


2. ‘ระวังเรื่อง Volume’ …หุ้นที่มีสภาพคล่องเยอะๆ ซื้อขายเยอะๆ แม้ว่า หุ้นจะลงมาถูกแล้ว แต่ถ้าคนกลัวเขาก็จะแห่ขายเป็นปกติ …คนหนีตาย เราจะซื้อก็ต้องใจแข็ง ทำการบ้านให้ดี เพราะ เวลาหุ้นลงพร้อม Volume หนาๆ ก็ทำเราใจเสียได้ …หรือ ระวังรายใหญ่ Short หุ้นใส่เรา ในหุ้นที่ทำ Short ได้ (พวกนี้ส่วนใหญ่คือ หุ้นใหญ่ๆ ที่คนชอบเล่นกัน)


3. ‘ระวังหุ้นไม่มี Volume’ …ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นเล็ก ที่ลงมาเยอะแล้ว คนที่อยากจะขายมักจะขายหมดแล้ว …จังหวะแบบนี้ ระวัง ‘เจ้า’ หลอกขายผสมโรง …ดูง่ายๆ Volume ไม่เยอะ แต่พยายามกดราคาลง เพราะ จะได้กดราคาหุ้นลง ไปช้อนต่ำ หลอกคนที่ตกใจ (ลักษณะนี้ถ้าเห็น ก็เป็นจุดที่น่าสนใจ)


4. ‘เราอาจต้องถือหุ้นนั้นๆ เป็นเวลานาน’ …ถ้าอยากเล่นเกม ช้อนซื้อหุ้นถูก เราควรใช้เงินเย็น อย่าใช้ Margin เพราะ เราไม่รู้ว่า ราคาจะนอนอยู่ข้างล่างนานแค่ไหน 


5. ‘ในช่วงวิกฤต ข่าวร้าวคือ เพื่อนเรา’ …ข่าวร้ายมีข้อดี ตรงที่ มันจะทำให้คนที่อยากขาย ขายทิ้งจดหมด …ยิ่งมีข่าวร้าย เราก็จะเห็นราคาที่แท้จริงของหุ้นแต่ละตัว …ราคานี้ส่วนใหญ่คือ ต้นทุนของรายใหญ่ในแต่ละรอบนั่นเอง 


6. ‘ไม่ควรเล่นสั้น ในการซื้อต้นรอบ’ …ก็การซื้อในช่วงวิกฤตส่วนใหญ่ก็คือ การซื้อต้นรอบ ในแต่ละรอบ ซึ่งนานๆ เกิดที …ให้มองภาพใหญ่ อดทนถือกินคำใหญ่ มันจะคุ้มกว่าครับ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

5 ข้อควรรู้ กับภาวะตลาดหุ้น ‘ขึ้นไม่จริง แต่ลงจริง’

 5 ข้อควรรู้ กับภาวะตลาดหุ้น ‘ขึ้นไม่จริง แต่ลงจริง’ 


‘ขึ้นไม่จริง แต่ลงจริง’ คือ ภาวะที่ตลาด มีทั้งหุ้นที่ขึ้นและลง …แต่ตัวที่ขึ้น มักขึ้นไม่จริง …ส่วนตัวที่ลง ลงจริง หนักด้วย 


1. ‘ให้ดูว่า ตลาดขึ้น แต่พอร์ตรายย่อย ไม่ขึ้นเลย’ …แปลว่า หุ้นที่ขึ้น คือ หุ้นที่รายย่อยไม่มี …สังเกตง่ายๆ ตลาด บวกตั้งเยอะ แต่หุ้นในพอร์ตเราไม่ขึ้นเลย ซึม แถมจะลงเอาด้วย


2. ‘เป็นภาวะที่ ราคาหุ้น กับ พื้นฐาน ไม่ค่อยไปด้วยกัน’ …ปกติถ้าประกาศงบสวย หุ้นต้องวิ่งยาวๆ Volume เข้า ขึ้นสวยๆ …แต่กลายเป็นว่า ถึงประกาศงบดี ก็ไม่ค่อยขึ้น …หรือขึ้นแป๊บเดียว แล้วไม่ไปต่อ ขึ้นแล้วก็ค่อยๆ ย่อ


3. ‘ตลาดเข้าภาวะนี้ ให้เริ่ม DCA ดัชนี’ …ใช่ !! ถ้าภาวะแบบนี้ ควร DCA ดัชนี เช่น พวก ETF , DR 


4. ‘เตรียมกระสุน เท่าที่จะเตรียมได้’ …ผมจะใช้ภาวะตลาดแบบนี้ ปรับและกระชับพอร์ต คือ ถ้าตัวไหนขึ้นมาเร็วๆ อาจขายทำกำไร …ตัวไหนขึ้นมาเยอะแล้ว ก็อาจขายทำกำไรเยอะหน่อย …แล้วก็พยายามเตรียมเงินสดมากขึ้น (ส่วนคนที่มีเงินสดอยู่แล้ว ก็เตรียมเงินไว้ เพื่อซื้อนั่นเอง) 


5. ‘ทำการบ้าน หาหุ้นที่เราจะซื้อเพิ่ม เมื่อเกิดการปรับฐานใหญ่’ …ใช่!! สัญญาณต่างๆ ที่กล่าวมา มันพอจะเดาได้ว่า ข้างหน้าจะมีการปรับฐานใหญ่ อะไรสักอย่าง ที่จะทำให้หุ้นดีๆ สามารถราคาลงมาในจุดที่ควรซื้อถือยาว นั่นเอง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

6 ข้อต้องรู้ในการปั้นพอร์ตให้โตเร็ว

 6 ข้อ ต้องรู้ในการปั้นพอร์ตให้โตเร็ว 


1. ‘ช่วงที่พอร์ตโต มักมาหลังช่วงวิกฤต’ …ใช่!! เวลาเกิดวิกฤต เสียหายหนัก คนส่วนใหญ่จะขายทิ้ง ล้างพอร์ต …พอตลาดกลับมาเลยไม่โตด้วย


2. ‘ต้องถือหุ้นเกือบตลอดเวลา’ ..พูดง่ายๆ คนส่วนใหญ่มักจะ ถือหุ้นเฉพาะเวลาติดหุ้น แต่พอกำไรก็รับขาย …แต่คนที่ต้องการปั้นพอร์ตให้โตต้องทำสวนทาง คือ ส่วนใหญ่ต้องถือหุ้น


3. ‘พยายามขายให้น้อยที่สุด’ …การขายคือกำไรจริงๆ แต่พอเราขาย เราก็ได้แค่นั้นจริงๆ เช่นกัน …หุ้นขึ้นได้ไม่จำกัด นั่รแหละ เหตุผลสำคัญที่เราควรถือหุ้นให้นานที่สุด


4. ‘หาหุ้นที่ยอดขายและกำไรสามารถโตไปอีกเยอะ’ …หลักการนี้ คือ เราจะหาหุ้นที่โตเยอะๆ …ไม่ใช่แค่หาหุ้นถูก แต่ต้องหาหุ้นที่โตด้วย 


5. ‘พยายามหลีกเลี่ยงหุ้นยอดฮิต หุ้นมหาชน’ …ง่ายๆ เพราะ หุ้นเหล่านี้คนที่อยากจะซื้อ ซื้อไปหมดแล้ว …โอกาสไปต่อไกลๆ ก็จะยาก


6. ‘ซื้อหุ้นเบา ด้วยเงินเย็น แล้วอดทนรอ’ …หุ้นเบาคือหุ้นที่ไม่มีรายย่อย …แปลว่าหุ้นส่วนใหญ่อยู่ในมือเจ้าของและรายใหญ่ …หุ้นแบบนี้มีโอกาสขึ้นแรง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 สิ่งที่ต้องเตรียม ก่อนจะลาออกมาเล่นหุ้น

 5 สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนจะ ลาออกมาเล่นหุ้น


ยุคนี้เริ่มฮิต การลาออกครั้งสุดท้าย …ฮึม!! ฟังดูเท่ห์นะ แต่เอาตรงๆ มันไม่ได้ง่าย และ มันก็ไม่ได้เท่ห์อะไรขนาดนั้น 


เบื้องหลังมันมีอะไรที่ต้องคิดต้องเตรียมเยอะพอควรเลย


1. ‘ต้องมีพอร์ตแยกออกมาเลย เพื่อเทรดและลงทุนอย่างเดียว’ …คำว่า แยกออกมาเลย แปลว่า เงินในพอร์ตนี้ ไม่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันเราเลย 


2. ‘ควรมีกระแสเงินสด ที่มากกว่ารายจ่ายรายเดือนอยู่แล้ว ก่อนลาออก’ …จริงๆ คือ แปลว่า เราควรมีอิสรภาพทางการเงินเบื้องต้นแล้ว ก่อนที่จะคิดลาออกมาเล่นหุ้นจริงจัง


3. ‘ควรมีงานอื่น ที่ทำรายได้ให้เรา ที่ไม่ใช่งานประจำอยู่แล้ว’ …เอาตรงๆ ตลาดหุ้น มันมีช่วงที่ควรขยัน กับช่วงที่คุณควรอยู่เฉยๆ …แต่ถ้าเราอยากจะได้เงินตลอดเวลา เราจะโดนหนักเจ็บหนัก เพราะ ดันไปขยันผิดเวลาในตลาดหุ้น …ใช่!! ช่วงที่ตลาดขาลง เล่นยาก เราต้องอยู่เฉยๆ ก็ควรมีงานอื่นทำระหว่างนั้น แก้ความฟุ้งซ่าน !!


4. ‘อย่าสร้างหนี้ระยะยาวเด็ดขาด’ …การที่เราจะมาหาเงินจากตลาดหุ้น ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูง เราไม่ควรสร้างรายจ่ายประจำ เพราะ มันจะกดดัน และ ทำให้เราไม่นิ่ง ในการตัดสินใจ …ถูกต้อง!! ถ้าจะซื้ออะไร ให้ซื้อเงินสดเท่านั้นครับ


5. ‘เอาตรงๆ คุณอาจจะแค่ไม่ได้ชอบงานที่ทำอยู่ …จริงๆ มันมีงานที่ดี ลองหาก่อนดีไหม’ …ยุคนี้มีงานเยอะแยะ ที่เราสามารถทำไป ลงทุนไปได้ด้วย …แค่พยายามหาให้เจอ …เพราะ การมีรายได้หลายทาง มันลดความกดดัน …จริงๆ นะ เล่นหุ้นนี่ก็โคตรกดดันอยู่แล้ว อย่าเอาเรืีองกดดันอื่นมาเพิ่ม สุดท้ายเราจะเอาไม่อยู่นะ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 ความลับ ที่เซียนหุ้น ไม่เคยบอกเรา

 6 ความลับ ที่เซียนหุ้น ไม่เคยบอกเรา


ไม่ใช่เลย !!! ….หุ้นนี่เขาบอกตลอด …แต่เรื่องที่เขาไม่บอก เราต้องไปหามาด้วย เพื่อเราจะได้ไม่ซวยติดดอย


1. ‘ต้นทุน’ ไม่มีเซียนหุ้นคนไหน กางต้นทุนให้คุณดู แต่ถ้าให้ผมเดา เขาซื้อ ‘ต้นรอบ’ ครับ …ต้นรอบก็แถวๆ RSI 30 นั่นแหละ ..เวลามีข่าวร้ายเยอะๆ คนกลัว นั่นแหละ เวลาสะสมหุ้นของเซียนหุ้นเลย


2. ‘วิธีบริหารความเสี่ยง’ …ขึ้นชื่อว่าเซียนหุ้น แสดงว่า ต้องเก๋าพอตัว …แปลว่า คนพวกนี้ต้องบริหารความเสี่ยงเก่ง …การบริหารความเสี่ยงเก่ง ต้องตอบได้ว่า หนึ่ง ถ้าตลาดพังเละ คุณต้องมีเงินมาซื้อหุ้น …สอง ถ้าตลาดหุ้นขึ้นแรง คุณต้องมีหุ้น ..สาม คุณต้องไม่มีความผิดพลาดใดที่ทำให้พอร์ตระเบิด


3. ‘วิธีการเก็บหุ้น’ …ที่เขาไม่บอกเพราะ มันไม่มีหลักตายตัว แต่ที่แน่ๆ ทุกคน ‘ทยอยเก็บ’ ต่างกับรายย่อยปกติ เวลาซื้อนี่ทีเดียวจบ หลังจากนั้นก็ลงดิ …หลักการคือ แบ่งไม้ซื้อ (แบ่งเท่าไหร่ ยังไง อันนี้แล้วแต่เทคนิคแต่ละคน) 


4. ‘จุดขายหุ้น’ …อันนี้ยิ่งไม่มีเซียนหุ้นคนไหนพูดเลย …ส่วนใหญ่บอกหุ้น แต่เวลาออก ก็ตัวใครตัวมัน ..ฮึม!! ก็เข้าใจได้ เซียนเขาซื้อเยอะ ถ้าประกาศว่าจะออก ก็คงออกไม่ได้ คนอื่นขายตัดหน้าหมด …เอาว่า เราพอจะเดาได้ว่า เวลาเซียนหุ้น ขายทิ้ง ก็คือ ช่วงที่ข่าวดีเยอะ , Volume เยอะๆ นั่นแหละ


5. ‘จิตใจต้องแข็งแกร่ง’ …ที่เซียนหุ้นสามารถอยู่รอดในตลาดได้ ส่วนนึงมาจาก จิตใจ ที่แข็งแกร่ง …เพราะ การได้กำไรจากตลาด ต้องทำสวนทางกับมวลชน รวมทั้งสวนทางกับความรู้สึกตัวเองตลอดเวลา …แปลว่า เวลาที่เขาซื้อหุ้นเขามักจะกลัว …การที่จะสามารถชนะความรู้สึก กลัว โลภ พวกนี้คือสิ่งที่สอนกันยาก 


6. ‘ชั่วโมงบินที่สอนกันไม่ได้’ …มันคือ การสะสมความผิดพลาด แล้วค่อยๆ พัฒนาความเข้าใจ …ผมว่าเหมือน กีฬาทุกประเภท ต้องค่อยๆ พัฒนาทักษะ …จุดเริ่มมันมาจากการที่เราตั้งใจที่จะรับผิดชอบการเงินของตัวเอง …ต้องเริ่มจากโจทย์ที่ว่า คุณเชื่อไหมว่า ..‘ไม่มีใครดูแล การเงินของเราได้ดีกว่าเรา’ 


ไม่เชื่อ ?


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


5 ข้อ เก็บตก The Stock Master 11 สัปดาห์ที่ 1

 5 ข้อ เก็บตก The Stock Master 11 สัปดาห์ที่ 1


สอนมาถึงปีที่ 11 …ก็ต้องตกผลึกในการสอนกันบ้างละ


มาดูกันว่า ในสัปดาห์แรกมีอะไรน่าสนใจ


1. ‘ทุกคนมี 100 ล้านได้ ถ้าวางแผนดี’ …และต้องมีเงินที่จะลงทุนขั้นต่ำเดือนละ 1 พันบาท (ลงแบบไม่ถอนคืนนะ) …ใช่ !! ผลตอบแทนคิดจาก 1,000 บาท ต่อเดือน ที่ผลตอบแทน 12% ต่อปี ในเวลา 60 ปี …จะได้ 100 ล้านบาท 


2. ‘จะหาการลงทุน ผลตอบแทน 12% ต่อปีได้ที่ไหน’ …ในอดีตเป็นเรื่องยาก แต่ปัจจุบันมี ETF เช่น BMSCITH , BSET100 และ BMSCG..พวกนี้คือกองทุนดัชนีที่เป็น Passive Fund เหมาะกับซื้อออมรายเดือนแทนการฝากเงิน …ด้วยวิธีนี้ จะได้ผลตอบแทนเท่ากับตลาดหุ้น ซึ่งคือ 12% ต่อปี 


3. ‘อย่างนี้ก็ไม่ได้ใช้เงิน’ …มันคล้ายๆ กับการซื้อที่ดินแล้วทิ้งให้ลูกหลาน …ในส่วนของตัวเรา เราไม่ได้ใช้หรอก มันคือ ความมั่นคงความอุ่นใจในชีวิต มันคือ Wealth ของเราที่เราสร้าง ….ลูกหลานก็ได้ประโยชน์ต่อ


4. ‘การเร่งผลตอบแทน ทำอย่างไร’ …โอเค !! ระยะยาวถ้า DCA ก็รู้แน่ว่าไม่จนละ …อันนั้นเรียก Core Port …แต่ส่วนที่เราอยากลงทุนเอามาเพื่อใช้เงินบ้าง อันนั้นเรียก Satellite Port …พอร์ตที่เราทำเพิ่มเพื่อลงทุนสั้นลง (อันนี้ยังไม่ได้สอนในสัปดาห์แรก ไปรอเรียนสัปดาห์ที่สอง ..การเลือกหุ้น การปั้นพอร์ตแบบเร่งด่วน)


5. ‘DR ทางเลือก Passive Fund ในต่างประเทศที่น่าสนใจ’ …วันนี้ตลาดที่หุ้นลงเยอะกว่าบ้านเรา คือ อเมริกา , เวียดนาม และ จีน …ซึ่งวิธีที่ง่ายสุดในการซื้อหุ้นเวลาลง ที่ตลาดปรับฐานลงมาพอสมควรแล้วคือ เริ่ม DCA ได้เลย …กองทุนที่เราเลือกมาให้คือ E1VFVN3001 (เวียดนาม), FUEVFVND01 (เวียดนาม), NDX01 (อเมริกา), STAR5001 (จีน) , CN01(จีน) , CNTECH01 (จีน) ….พวกนี้เหมาะกับการทำ DCA และเวลาเริ่มที่ดี ก็ตอนที่ตลาดปรับฐานแบบช่วงนี้นั่นเอง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ