แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

"สมบัติพลัดกันชม" การเมืองสอนนักธุรกิจ


ถ้ามองตามอดีตจะเห็นได้ว่า ไมใครที่เก่งหรือ ขึ้นเหนือ ธรรมชาติได้ ผมเชื่อว่ากฏแห่งแรงดึงดูด ไม่ได้มีผลเฉพาะทางกายภาพเท่านั้น แต่หุ้นและธุรกิจก็อยู่ภายใต้กฎเช่นเดียวกัน

เริ่มจากตระกูล ร่ำรวยในอดีต เช่น ล่ำซำ โสภณพนิช ต่างเคยรุ่งสุดๆในยุค 90 แต่พอผ่าน 1997 ตระกูลเหล่านี้เสียเงินอย่างมหาศาล --- หลายคนกล่าวว่า ไม่ว่าธุรกิจใด ไม่สามารถที่จะรุ่งได้เกิน 3 Generation อย่าง Toyota พอเปลี่ยนมือ ให้รุ่น 3 ก็เริ่มเน่าทันที --- ธนาคารกสิกร ธนาคารกรุงเทพ

มาสู่ยุคนี้คนที่รวยในอัตราเร่ง ก็เช่น PS คุณ ทองมา หรือ อย่าง CPALL 7-11 แต่ตัวดึงของ CP ก็คือ TRUE หักลบเลยไม่ไปไหน --- ดังนั้น ใครรวยต้องรีบหลบ ไม่งั้นพอผ่านไปก็จะตกม้าตาย

--อย่างในกรณีของ โรงหนัง เมเจอร์ 5 ปี ก่อน รุ่งสุดๆ คุณ วิชา ลงใน Magazine ทุกฉบับว่า เก่งสุดขั่ว จับอะไรก็เป็นทอง ลองดูตอนนี้ซิครับ หุ้นร่วงอย่างแย่ จับอะไรก็เน่า เช่น California WOW เน่ามากๆ คุณวิชาต้องยอมขายหุ้นทิ้งขาดทุน

จากที่กล่าวมา ผมสรุปง่ายๆเลย อะไรที่ดีในปัจจุบัน ในอนาคตมันก็จะไม่ดี แต่อะไรที่มันไม่ดี (ถ้าไม่เจ๊ง) มันก็จะดีขึ้นในอนาคต " ดี จะ เน่า -- ส่วนเน่า จะ ดี /เป็นอย่างนี้เรื่อยไปคร๊าบ...."

การเติบโตของ SET เทียบกับ Real Growth


การเติบโตที่แท้จริงของ SET กับ SET index มันต่างกันอย่างไร --- ก่อนอื่นต้องเข้าใจพฤติกรรมของตลาดหุ้นคือ ถ้าขึ้นก็จะขึ้นเกิน ถ้าลงก็จะลงมากเกิน นี่เป็นสาเหตุทีทำให้คนเล่นหุ้น มีความเสียง (และหาเงินได้ นั่นเอง)

ตัว SET จะมีการเติบโตใน Cycle แบบ U-shape แต่ราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นลงแบบ V-shape (งง.....ไหมครับ ลองไปคิดเอาเอง เพราะ ถ้ามองให้ดี คือ สมมุติธุรกิจขึ้น 50% แต่หุ้นอาจวิ่งขึ้นไป 150% ก็ได้ ในขณะที่ถ้าธุรกิจแย่ลงไป 10% หุ้นอาจวิ่งลงไป 50% ก็เป็นได้)

ประเด็นที่ผมจะพูดถึงคือ การมองหา U-shape ของ SET Index ถ้าเราสมมุติการเติบโตของตลาดคือ 7% ต่อปีตั้งแต่ก่อตั้งตลาดขึ้นมา จะได้
year1 : 100 11 : 197 21 : 387
2 : 107 12 : 210 22 : 414
3 : 114 13 : 225 ( นี่เป็นตัวอย่าง ดังนั้นในปีนี้ถ้าเทียบตาม Real Growth ที่ 7% ต่อปี
4 : 131 14 : 241 ตอนนี้เข้าปีที่ 36 Index เทียบ อยู่ที่ 1,068 จุด ซึ่ง ณ SET 680
5 : 131 15 : 258 ในปัจจุบันถือว่า ไม่สูง --- ดังนั้น ถ้าเราเทียบต้องการลงทุนยาวคือ
6 :140 16 : 276 ตอนนี้ไปจนถึง 10 ปี ข้างหน้า Index จะวิ่งอยู่ระหว่าง
7 : 150 17 : 295 1,068 - 2,100 ซึ่งกรอบนี้ถือเป็นตัวกำหนดความสูงต่ำของตลาด
8 : 161 18 : 316 เป็นกรอบแห่งเหตุผลนั่นเอง )
9 : 172 19 : 338
10 : 184 20 : 362

หมายเหตุ --- ในช่วง ปี 1987 -2003 จะเห็นได้ว่า SET index วิ่งไปเลยกรอบของ Index แท้จริงมาก ทำให้พอถึงปี 1997 -1998 ตลาดตกอย่างรุนแรงมาก

--- จากสถิติตั้งแต่เปิดตลาดจนถึงปัจจุบัน ช่วงเวลาที่ขาดทุนก็คือ ระหว่างปี 1989 -1997 คือ ใครก็ตามที่ซื้อหุ้นในช่วงเวลาดังกล่าวคือ พัง..เสีย.. และ โดดตึกตาย ดังนั้น ถ้ามองตาม History เรากำลังเข้าสู่ ยุคขึ้นต่อ เพื่อไปเก็บกวาดอีกครั้งในอีก 10 ปี ข้างหน้า

หัวใจของการทำกำไรในตลาดหลักทรัพย์คือ "Timing ใครสามารถรู้ ผู้นั้นย่อมสามารถรวยอย่างไร้ขีดจำกัด" รวย...รวย...รวย...

Bancassurance-ใครได้ใครเสีย


วันนี้ถ้าใครเดินผ่านธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นธนาคารใดก็ตาม คำทักทายแรก ก็คือ "คุณมีเงินออมเพิ่มค่าหรือยังคะ" ก้าก..เงินออมเพิ่มค่า มันก็คือ ประกันชีวิตดีๆนี่เอง ที่ขายผ่านธนาคาร --คำถามที่ว่าธนาคารได้อะไร แน่นอนได้ค่านายหน้ามหาศาล ลูกค้าได้ประโยชน์เช่นกัน เพราะได้ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก --อ้าวอย่างนี้ก็ win-win ซิครับ

สรุปว่าถ้าคุณมีเงินก้อนเอามาซื้อประกัน ผลตอบแทนที่คุณได้คือ ต่ำกว่า 3% ในเวลา 15 ปี -- ซึ่งถ้าท่านเอามาให้ผมบริหารผมสามารถให้ผลตอบแทนท่านเหนือกว่า ประกัน --- วิธีง่ายสุด คือ ผมเอาเงินก้อนท่านมา ซื้อพันธบัตรรัฐบาล ผลตอบแทนประมาณ 5 -6 % ผมคืนท่าน 3% แสดงว่าผม กำไรเนาะๆโดยไม่เสี่ยง 2 -3% นี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดโดยผมไม่เสี่ยง และนอกจากนี้ถ้าในตลาดมีโอกาสดีกว่านี้ผม ก็สามารถไปลงทุนใน Bond ของบริษัท หรือ ถ้าหุ้นตกลงมามากๆผมก็สามารถเอาเงินมาซื้อหุ้น

(อย่างเช่น ปีนี้หุ้นคนส่วนใหญ่บอกว่าแพง แต่ถ้ามองให้ดี คือถ้าซื้อแล้วได้ผลตอบแทนคือ เงินปันผล มากกว่า 5% และถือรอจนสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลาย (ยังไงก็ไม่ถึง 15 ปี ดังนั้นเงินที่ท่านเอามาฝากไว้ 15ปี ผมสามารถทำให้เกิดผลตอบแทนที่มหาศาลกว่า ที่ผมให้ท่านมากนัก)

คำถามที่เกิดขึ้น คือ แล้วธุรกิจประกันชีวิต ดีอย่างนั้นเชียวหรือ --- อันนี้ต้องดูสถานการณ์ ถ้าอย่างในปัจจุบัน Alternative choice ที่ให้ผลตอบแทนในตลาดที่สูงกว่า 3% มีน้อยทำให้ Bancassurance ดูน่าสนใจขึ้นมาทันที แต่ถ้าสมมุติว่าเงินฝากขึ้นมาเกิน 3% ก็ทำให้ความน่าสนใจลดลงทันที

--- ดังนั้น เวลานี้น่าจะเป็นยุคทองของ Bancassrance ซื้อเก็งกำไรกันได้ แต่อย่างไรก็ตามทุกธุรกิจมี Cycle ยกตัวอย่าง Toyota ตอนนี้เข้าสู่ Cycle ถดถอย ทุกอย่างสุมเข้ามา จากปีที่แล้วยังเป็นบริษัทรถที่รุ่งสุดๆ สรุปแล้วทุกอย่างมี Cycle ไม่มีธุรกิจใดที่ขึ้นตลอดกาล และก็ไม่มีธุรกิจใดที่ร่วงตลอดกาล --Apple จาก ipod มาถึง ipad เมื่อสี่ปีที่แล้ว Apple เกือบเจ๊งไปแล้ว อนิจจัง จังขัง สาธุ

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่า Bancassrance ไม่ดี ..เพราะใน 100,000 บาทแรกที่คุณ จ่าย ก็สามารถมาหักภาษีได้ ดังนั้น ถ้าจะเจียดเงินทำสักแสน ก็น่าสนใจไม่น้อย --ในกรณีของเศรษฐีที่เงินเหลือเยอะ แต่ปัญหาแยะตาม เช่น กรณีคุณทักษิณ การซื้อ Bancassrance เป็นส่วนที่ดี เช่น ถ้าคุณ ทักษิณเจียดเงินสัก ร้อยล้าน ซื้อ Bancassrance ให้ลูกๆ ป่านนี้ ลูกคงสบาย เพราะ ในส่วนของ Bancassrance ไม่สามารถจะมา อาญัติอะไรได้ ---ประเด็นนี้ผมว่า นักธุรกิจใหญ่ๆ หรือ นักการเมือง ไม่น่ามองข้าม (ซื้อไว้บ้าง ก่อนที่คุณจะโดน อาญัติ ลูกสยายหายห่วงครับ... หุ หุ หุ!!)กระซิบหน่อย!! เจ้าสัวใหญ่อย่าง คุณ พรเสก กาญจนจารี (เจ้าของ ซิว เนชั่นแนล)ซื้อให้ลูกแต่ละคน ชนิดที่ว่าสบายหายห่วง ..นี่แหละครับ ผู้ฉลาดรอบด้านจริงๆ!!

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

ทองคำขึ้นใครรวย

 ปี 1933 ตลาดแย่ถึงขีดสุด หุ้น Dow ลงไปเหลือ 50 จุด ทองคำราคา 32 เหรียญ
 ปี 1980 ตลาดแย่ถึงขีดสุด หุ้น Dowลงไปเหลือ 873จุด ทองคำราคา 850 เหรียญ(เทียบเงินเฟ้อ เท่ากับ  2,300เหรียญ ในปัจจุบัน)

คำถามคือ ราคาปัจจุบันที่ 1,100 เหรียญ แต่ Dowอยู่ที่10,200 จุด แสดงว่า ทองต้องขึ้นอีก เก้าเท่า ถึงจะเท่ากับราคา Peak  ปี 1980

---อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ได้หมายความว่าทองถูก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแพงมากเช่นกัน
แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ ถ้าทองคำขึ้นไปเรื่อยๆใครจะได้ ประโยชน์

-- ถ้าเทียบประเทศต่างๆ ซึ่งมีธนาคารกลางถือทองเป็นสัดส่วนของเงินสำรองจะเห็นได้ว่า ยุโรป ถือ ทองเป็นสัดส่วนสูงกว่า 50% เช่น อิตาลี 67% , France 70%, โปรตุเกส 91% อเมริกา ถือทองมากที่สุดที่ เกือบ 9,000 ตัน ในขณะที่เอเชีย China 1.9% (1,159 ton.), Japan 2.3% (841.7 ton), Taiwan 3.9%(466 ton.)

  จะเห็นได้ว่า การปันราคาทองขึ้นมาของ Hedge Fund ใครได้ประโยชน์ --- ก็ใช่แล้ว ก็อเมริกา กับ ยุโรปนั่นเอง ดังนั้นไม่ต้องสงสัยว่า ราคาทองต้องพุ่งไปอีก จนมันไปสุดที่ อเมริกา กับ ยุโรป เทขายออกว่า ก็เป็นอันถือว่าสิ้นสุดวงจรของการขึ้นในรอบนี้นั่นเอง

   ดังนั้น ถ้ามองให้ดี จีน ไม่ได้เปรียบ อเมริกา ส่วน อเมริกา ก็ได้ เปรียบจีน จาก การที่ จีนเป็นเจ้าหนี้การค้ารายใหญ่ ตรงนี้ต้องอยู่ที่ใครวางหมากได้เหนือกว่านั่นเองคร๊าบ --- ส่วนพวกเราก็แล้วแต่โชคจะพาไป ยังไงคุณเห็นภาพใหญ่เรื่องทองแล้ว ส่วนภาพการทำกำไร ก็สุดแล้วแต่โชคนะครับ

Cycle ของธุรกิจ เกี่ยวกับหุ้นไหม?


        เกี่ยวอย่างมาก อย่างเช่น ธุรกิจน้ำมันช่วงปี 1993 - 2003 เป็นสิบปีแห่งน้ำมันถูก ราคาหุ้นPTTEP ก็ไม่วิ่งไปไหน แต่พอเข้ายุค 2003 เป็นต้นมา ก็เข้าสู่ยุคน้ำมันแพง หุ้น PTTEP ก็วิ่งไป 177 ถ้าถามว่า Cycle นี้จะไปถึงเมื่อไหร่ ถ้าดูจาก รอบของวงจรพลังงานน่าจะอยู่ประมาณสิบปี ถ้ารอบนี้เริ่มจาก 2003 ก็น่าจะไป peak ที่ 2013 ดังนั้นถ้ามองให้ดี ปีนี้ก็ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งวิกฤตที่ผ่านมาน่าจะเป็นเพียง correction เท่านั้น หลังจากนี้น่าจะไปต่ออีกไกล

   อีก Cycle ที่น่าสนใจก็คือ ถ่านหิน มีหุ้น BANPU, LANNA ช่วงปี 1998 -2008 เป็นยุคที่ถ่านหินยังถูก ดังนั้นถ้าให้มอง วงจรธุรกิจของถ่านหิน น่าจะวิ่งไปอีกสิบปี ดังนั้น ที่สุดของ Cycle น่าจะยาวกว่าน้ำมัน แต่ถ่านหิน มีปัญหาตรงที่ความต้องการหลัก คือ ประเทศจีน ดังนั้น ถ้าจีนเกิดสะดุด ย่อมหมายถึงจุดสะดุดของ ถ่านหินเช่นกัน รอบที่กำลังเริ่มนี้ผู้ที่ได้ประโยชน์เต็มก็คือ สองกิจการที่กล่าวมา และประเทศเพื่อนบ้านอย่าง อินโด ที่เศรษฐีใหม่ล้วนมาจากถ่านหิน

---- อย่างไรก็ตาม PTT ของเราก็มีแผนจะขยายการลงทุนไปถ่านหิน ในมุมมองของผม คิดว่าเป็นความคิดที่ดี เพราะ ถ่านหิน และ จีน น่าจะยังเติบโตต่อเนื่องอีกนาน ถึงแม้มีสะดุด ก็น่าจะพลิกกลับลำมาบูมต่อได้ในที่สุด

  อีก Cycle ของบ้านเราก็คือ ธนาคาร และ อสังหา ซึ่งสิบกว่าปีก่อนนำมาเป็นพระเอก และก็ตกม้าตายทั้งคู่ในปี 1997 ครั้งนั้นไม่ตายธรรมดา แต่ตายสนิท เพราะหุ้นของทั้งสองธุรกิจ ร่วงลงไปแทบไม่เหลือมูลค่า แต่หลังจากนั้นก็เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น คำถามที่เกิดคือ รอบนี้ Subprime crisis มีผลอย่างไรก็ แบงค์เอเชีย

ผมฟันธงเลยว่า จริงๆแล้วเรากลับได้ประโยชน์ เพราะดอกเบี้ยและ Yield Curve (ที่ชัน!!) จะเอื้อต่อการทำกำไรของธนาคาร ซึ่งจุดนี้ การที่ดอกเบี้ยต่ำก็เอื้อต่อ อสังหา เช่นกัน แต่ปัญหาของอสังหา คือ ต้องระวัง Bubble เพราะธุรกิจเกิดง่าย รักษายาก เพราะการก่อสร้างใช้เงินทุนสูง และใช้เวลานาน

ดังนั้น ใครที่สร้างระหว่างเศรษฐกิจแย่ วัสดุถูก จะได้เปรียบ แต่ถ้าใครช้าแล้วคิดจะมาสร้างตอนดี ผมว่าเหนื่อย อย่างพฤกษา หรือ AP ได้ประโยชน์จากสร้างต้นทุนเก่า แต่ถ้ายังสร้างต่อ ต้องระวังอาจเริ่มพลิกเข้าสู่ขาลงของธุรกิจ ซึ่งทั้ง อสังหา และ ธนาคาร เรียกว่า เกี่ยวข้อง อย่างแยกไม่ออก เพราะถ้า อสังหาเริ่มมีปัญหา ก็จะฉุด ธนาคาร ลงด้วยเช่นกัน

--- อย่างไรก็ตาม ผมมอง พลังงาน เป็นตัวที่บวกมากๆ ซึ่งธนาคารอาจได้รับอานิสงค์ดี จากพลังงาน แม้อสังหา จะเริ่มลงก็เป็นได้ ดังนั้น ในมุมมองผมยังให้น้ำหนักการลงทุนใน ธนาคารเล็ก อย่าง TCAP ที่ กำลัง Turn around มากกว่า ธนาคารใหญ่ผู้นำตลาด

     สุดท้ายธุรกิจที่มองข้ามไม่ได้คือ รถยนต์ ซึ่งจากแนวโน้มจะเริ่มเข้าสู่การ Turnaround ที่ดี โดยเฉพาะรถขนาดเล็ก และ บริโภคเชื้อเพลิงน้อย เพราะปีที่ผ่านมา จีน ได้ แซงอเมริกา ในเรื่องของยอดขายรถยนต์ไปแล้ว ดังนั้น แนวโน้มการพึ่งพิงตลาดจีนน่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตรงนี้ผู้ประกอบการอาจตกม้าตายได้ง่ายๆ เพราะความต้องการของตลาดจีนแตกต่างกับอเมริกาอย่างมา ทั้งในเรื่อง การออกแบบ ราคา เครื่องยนต์ คร้าบบบ.........

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553

Price per book สำคัญไฉนกับหุ้นในบ้านเรา(นะ)


จะว่าไปแล้ว P/BV สำคัญมากๆ เพราะ ถ้ามันสูงก็แสดงว่า บริษัทเริ่มแพง และถ้าสูงมากๆ ก็เรียกว่าหุ้นมันแพงมากๆ เช่น ปี 93 ที่ SET 1600 จุด P/BV ของทั้งตลาดขึ้นไปเกิน 4 เท่า จากนั้น ตลาดก็ Crash ในปี 1997 ทำให้ P/BV ถอยกลับมาที่0.58 เท่าในปี 1998

แล้วตอนนี้ ปี 2010 P/BV อยู่ที่ไหน ก็อยู่ประมาณ 1.56 -- ถ้ามองย้อนไปปีที่แล้วตอนตลาด Crash P/BV อยู่ที่ 0.88 ---คำถามที่เกิดขึ้นคือ ตอนนี้หุ้นแพงหรือยัง

---- ขอตอบเป็น สองประเด็น 1. ประเด็นพวกเล่นสั้นเก็งกำไร ถ้าซื้อปีที่แล้ว ตอนนี้ก็แพง แล้วคนกลุ่มนี้ก็คงขายไปแล้ว จบประเด็นแรก ...2. มาประเด็นที่สองคือ พวกที่ลงทุนระยะยาว ถ้ามองกว้างๆก็ยังไม่แพง ประกอบกับ ถ้าเอา Dividend Yield มาประกอบด้วยคือ 3.65 % ในเวลานี้

ก็ถือว่า น่าสนใจถ้าเทียบกับ เงินฝากธนาคาร ส่วน P/E ในเวลานี้อยู่ประมาณ 13 ก็ไม่สูงเท่าไหร่ เพราะแนวโน้มการทำกำไรของบริษัทต่างๆ ก็เริ่มดีขึ้น (ช่วง Peak ก่อน ปี 1997 ตลาดมี P/E เกิน 20 เท่า นั้นน่ากลัวมาก)

สรุปว่า จากการดูที่ P/BV ก็ยังถือว่าตลาดหุ้นยังไม่แพง และโอกาสที่จะตกลงไปก็ไม่มาก ถึงตกก็สามารถที่จะ Correction ได้เร็ว เพราะพื้นฐานการทำรายได้ของบริษัทต่างๆยังดีอยู่ครับ ..การดูเพดานที่หุ้นน่าจะขึ้นได้ ผมมองว่า P/BV เป็นตัวกำหนดที่สำคัญ อย่างเช่น PTT ถ้าช่วงดีๆ P/BV จะประมาณ 3 เท่า ...หาก Book Value ของ PTT เพิ่มขึ้น(ซึ่งมันเพิ่มขึ้นทุกปี ตามตลาดพลังงานที่ขยายตัว) ดังนั้น ถ้า Book Value เป็น 200 "ก็เท่ากับว่า เวลาเข้าช่วงกิจการดีๆ ราคาหุ้น PTT ก็จะเป็น 600 บาทต่อหุ้นสบายๆ"

ข้อคิด ที่อยากฝากก็ คือ ถ้าสังเกตพฤติกรรมของคนเล่นหุ้นทั่วไป จะไม่ค่อยเล่น เวลา P/BV ต่ำ เพราะอย่างในปัจจุบันซึ่งถือว่ายังต่ำ แต่จะเป็นได้ว่า ข่าวต่างๆรอบโลกไม่ได้ดีเลย ก็แน่นอนครับ "ของถูกไม่มีในโลก" แต่เวลา P/BV ขึ้นไปสูงๆแล้ว นั้น หมายความว่าหุ้นขึ้นไปมากแล้ว จะกลายเป็นว่าบรรยากาศดี ทุกคนมองเป็นบวก ซึ่งจริงๆแล้ว ภาพเป็นบวก ผสมกับ P/BV ที่สูงนั้นน่ากลัวมากๆ ต้องเป็นเวลาที่วิ่งหนี แต่กลับเป็นว่า ทุกคนจะเริ่มมาเข้าตอนนั้น -- ตลกไหมล่ะครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ขำมาก (คนเล่นหุ้นส่วนใหญ่ไม่ได้โง่นะ เพียงแต่ไม่เข้าใจตลาดหุ้นต่างหาก )

เมืองจีนเมื่อไหร่ Bubble จะแตก(อาถรรพ์เลข 6 เมืองไทย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่!!)


คำถามนี้ตอบยาก ขึ้นกับรัฐบาลจีน.. หากรัฐบาลยังคงฉลาดและมี Power เช่นนี้ จีนอาจวิ่งยาวไปอีกเป็น 10 ปีสบายๆ เพราะด้วยเงินสำรองระหว่างประเทศที่ล้นมือ ผนวกกับ "อำนาจในการใช้เงินนั้น" เพราะรัฐบาลเป็นเผด็จการ จึงไม่ต้องมานั่งถามประชาชนว่า จะใช้เงินส่วนไหนได้หรือไม่ได้ "ได้หรือไม่"--อย่างบ้านเราเงินทุนสำรอง แตะไม่ได้ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยผูกขาดอย่างเดียว)
ดังนั้น จีนในยุคนี้ เรียกได้ว่า ไม่ต้องพึงตะวันตก โดยเฉพาะเงินทุน (แต่ในเรื่องเทคโนโลยีอาจมีบ้าง) ..แต่ที่รู้ๆ กันว่า ไม่ว่า "เทคโน" มันจะก้าวหน้าเพียงใด ..มันก็ยังต้องวิ่งหาแหล่งเงินทุนอยู่ดี ..ซึ่งในเวลานี้ คนที่เงินทุนมากที่สุดในโลก ก็คือ รัฐบาลจีนนั่นเอง ...ในส่วนของนโยบาย--- รัฐบาลจีนที่อำนาจล้นเหลือ สามารถใช้นโยบาย แบบฟันธง เช่น การออกกฏระเบียบ สกัด Bubble ได้ทันที...( คราวนี้ผมจะใช้หลักไสยศาสตร์ ในการวิเคราะห์ล้วนๆ!!)

"เริ่มเลย!!" ---ปี ที่ลงท้ายด้วย 6 จะเป็นเลขมงคลของตลาดหุ้นไทย จะเห็นได้ว่าปี 2536 ตลาดพุ่งขึ้นไป peak ที่ 1600 จุด ...จากนั้น 2546 ตลาดวิ่งขึ้นไป 3 เท่า ดังนั้น ฮ่า ฮ่า ปี 2556 ทุกคนเตรียมน้ำลายไหลได้เลย เพราะต้องไปออกตรงนั้น

---จากการวิเคราะห์ประตูสวรรค์ จะพบว่าทุกๆ10ปี ประตูสวรรค์จะเปิดเพียง 1 ครั้ง ถ้าใครออกตรงนั้น --อุ๊ แม่เจ้า "เขาผู้นั้นจะรวยทันที" -- ประตูป้ายต่อไป ก็ออกให้ทันครับปี 2556

แต่อย่าลืมว่าจะออกได้คุณต้องซื้อก่อน ดังนั้น คุณจะได้กำไรมากน้อย ขึ้นกับว่าคุณเข้าเวลาไหน แต่ต้องไม่ลืมว่า Dividend ก็เป็นส่วนสำคัญที่ต้องดู -- คนส่วนใหญ่ชอบไปวัดกันใกล้ๆตลาด Peak ที่แถวๆปากเหวยมทูต!!

พอพลาดหน่อยก็ไปโดดตึกตาย ถ้าให้ผมแนะนำก็หลับตาเข้าไปตอนนี้เลย Dividend Yield ยังอยู่ที่ประมาณ 5% ไม่ว่าประตูสวรรค์ที่กล่าวจะเป็นจริงหรือไม่ คุณรับเหนาะๆแล้วปีละ 5 % เวลารวม 4 ปี ก็ประมาณ 20% --- ไม่ใช่น้อยนะครับ

--- ขอฝากคาถาเศรษฐีไว้คือ " อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา" ---ก็อย่างที่ทราบกันอยู่ว่าการที่เราจะดวงดีได้เราต้องทำให้ตัวเองมีโอกาสดวงดี หลายคนเอาเงินใส่ไว้ในตุ่ม(ฝากธนาคาร ไม่มีดอกเบี้ย) แล้วจะมาหวังโชคดี ก็คงโชคดีใน ภพหน้ามั้งครับ สวัสดีคร๊าบบบบ...........

ตลาดกำลังแย่ - จริงหรือ ?


สัปดาห์นี้หลังจีนออกมาเบรก สินเชื่อและ US ก็บีบธนาคารทำให้นักลงทุนตื่นตระหนกเทหุ้นออกมามากมาย ทำให้ช่วงนี้หุ้นเริ่มถูก ปรากฏการณ์ดังกล่าวขอให้นิยามว่า " ขายหมู" เพราะอีกไม่นานตลาดก็จะเด้งกลับไปแรง และแรงยิ่งกว่าเดิม

โอกาสที่จะ Break 800 จุด ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการของบริษัทต่างๆที่จะดีขึ้นเรื่อย P/E ขณะนี้ก็ยังไม่เรียกว่าสูงถ้าย้อนดูจาก History จะเห็นว่าไม่สูง ผนวกกับแนวโน้มของรายได้ที่เพิ่มก็จะช่วยให้ กิจการต่างๆดูดี บวกกับการที่จะเริ่มทยอยจ่าย Dividend ซึ่งในภาวะเช่นนี้ ก็ไม่ต้องสงสัยว่าบริษัทที่มี CEO ฉลาดก็จะให้ปันผลดี เพื่อดึงดูดนักลงทุนเป็นธรรมดา

แต่ถ้าใคร Expect ให้ตลาดวิ่งแรงอย่างปีที่แล้วก็ ไม่น่าจะใช่เช่นกัน แต่เท่าที่ดูผลตอบแทนตลาดปีนี้รวมกับ Dividend น่าจะอยู่ที่ประมาณ 30% ซึ่งเทียบแล้วประมาณครึ่งนึงของปีที่ผ่านมา 2009 (แต่ถ้าเทียบกับเงินฝากก็ดีกว่า 30 เท่า ฮ่า ฮ่า เยอะมาก หากคุณนับเลขเป็น) ซึ่งตลาดน่าจะออกมาเป็นรูปแบบแกว่งๆ แล้วขึ้น แล้วค่อยๆขึ้น ไปต่ออีก 3 ปี จนไป peak ที่ปี 2013 หลังจากนั้นตัวใครตัวมัน วิ่งออกไปยิ่งไกลยิ่งดี

หุ้นที่ต้องถือในช่วงอีก 3 ปี ข้างหน้า คือ พลังงาน โดยเฉพาะที่เกียวกับ PTT Group เพราะน้ำมัน Commodity ที่พระเจ้าสาบมีแนวโน้มขึ้นสูงในอีก 2 ปีข้างหน้า -- และใครหวังว่าจีนจะ Bubble แตก ให้รอไปอีก 3 ปี คือ 2014 อาจจะได้เห็นกัน --- เมื่อเพลานั้นมาถึง รอเก็บศพ พวกที่เข้าไปลงทุนในจีนอย่าง BBL / MAJOR ให้ดีมีโอกาสสูง

แต่ตอนนี้หุ้นธนาคารเล็กน่าสนใจ อย่างเช่น KK / TCAP เพราะได้อานิสงค์จาก Yield Curve ที่ Steep (ส่วนต่างดอกเบี้ยระยะยาวกับสั้นต่างกันมาก ทำให้ Bank ได้กำไรเยอะขึ้นโดยที่ไม่ต้องออกแรงมาก โดยเฉพาะ แบงค์เล็กที่ Focus ใน 2 Sector ที่มาแรงในปีนี้ ปีหน้า คือ รถยนต์ และ ก็ Real Estate ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสอง Bank ที่กล่าวมาให้ Dividend Yield ดีมาก (ลองไปดู Dividend Pay History ถ้าไม่เชื่อผม)

อีกข้อสงสัยคือ ตลาด Real Estate มันร้อนจนเข้าขั้นใกล้แตกหรือยัง ขอบอกเลยว่ายัง ยังแรงต่อ ช่วงนี้ประโยชน์ตกแก่ผู้บริโภค เพราะการที่การแข่งขันสูงระหว่างผู้ประกอบการทำให้ ทุกคนไม่มีใครกล้าขึ้นราคา ยกเว้นคนรวยที่ซื้อบ้านราคาโคตรแพง ต้องปล่อยเขา เพราะเขารวยมาก แถมเงินฝากก็ต่ำ แต่ก็นั่นแหละครับเพราะเงินเขาหามายาก ยิ่งยากยิ่งกลัวเสีย ยิ่งกลัวเสียยิ่งไม่กล้าเสี่ยง สรุปเสียอยู่ดี เพราะโดน Inflation กิน ขำจริงๆ ยิ่งกลัวยิ่งเสีย

สุดท้าย Inflation คาดว่าในอีก 5 ปี กระฉูด เลือดสาด คนที่เอาเงินสดถือไว้ ซวยแน่ เพราะตอนนี้ แบงค์ชาติทั่วโลกอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเป็นว่าเล่น เรียกได้ว่าถาแจกได้ มันวิ่งมาแจกแล้ว ผมถามหน่อยว่า เมื่อคุณรู้อย่างนี้แล้วคุณจะนั่งเฉยเอาเงินฝากธนาคารอย่างนั้นหรือ

-- คุณเห็น ทอง ไหม มันไม่ได้วิ่งเล่นๆ มันวิ่งตาม Inflation และมันเป็น Indicator ล่วงหน้าที่บอกเตือนให้คุณรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับค่าของเงิน.......โอเค ผมพร่อมมาเยอะแล้ว โชคดีครับ

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553

ธนาคารต่างชาติเข้ามาซื้อธนาคารเราทำไม



ปีที่ผ่านมา ICBC เข้าซื้อ ACL บริษัทลูกของธนาคารกรุงเทพ และเร็วนี้ก็จะมีการซื้อ SCIB คำถามคือ ทำไมต่างชาติต้องเข้ามาซื้อแบงค์เรา --- คำตอบเห็นๆก็คือ ต่างชาติยังมองเห็นศักยภาพของประเทศไทยในระยะยาวว่าต้องดี แต่ตอนนี้เรื่องยุ่งๆกีฬาสีการเมืองน้ำเน่า ต่างๆทำให้ ในระยะสั้นนักลงทุนต่างชาติยังกลัวๆกล้าๆ เข้าๆออกๆ

---อย่างไรก็ตาม จากภาพที่เห็นคือ ตลาดเพื่อนบ้านที่มีศักยภาพพอๆกับเรา เช่น อินโด มาเล ตลาดวิ่งขึ้นไปมากแล้ว คือ แพงกว่าบ้านเรา ซึ่งถ้าภาพรวมการลงทุนให้น้ำหนักเอเชียเพิ่ม อเมริกาลดลง ก็จะยังจะทำให้ตลาดหุ้นในเอเชียร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้วถ้าเพื่อนบ้านขึ้นไปมากๆ แล้วพอปัญหาต่างๆเราแก้ได้ ผมเชื่อว่าตลาดเราก็จะ ปรับฐานขึ้นไปเท่าๆกับประเทศอื่นๆครับ
ดังนั้น การที่ต่างชาติเข้ามาลงทุนในระยะยาวถือเป็นเรื่องที่ดี

ผมอ่านนักวิเคราะห์ หลายคน วิเคราะห์ว่าตอนนี้ต่างชาติเข้ามากว้านซื้อ "ที่ดิน"บ้านเรา ผมถามหน่อยว่า มันซื้อแล้วมันยกกลับไปได้ไหมเนี่ย เช่น นักลงทุนสิงคโปร์มาซื้อ "ที่ดิน"เรา ถามว่าใครได้ประโยชน์ -- อย่างแรก คือ คนซื้อก็ต้องหวังกำไร ถ้าซื้อแล้วทำไงให้มีมูลค่าเพิ่ม -- ก็ต้องพัฒนา ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้จะเป็นการสร้างการหมุนเวียนของเม็ดเงิน เกิดการจ้างงาน การหมุนเวียนของเศรษฐกิจ --- ผมถามหน่อยว่า มันไม่ดีตรงไหนครับ หรือ ที่ผ่านมาพวกซาอุ มาซื้อที่เพื่อจะทำการเกษตร แล้วมันไม่ดีตรงไหนครับ

----ยิ่งเราเปิดให้มีการลงทุนใน แผ่นดิน หรือ การทำธุรกรรมต่างๆ ก็จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ไม่ได้ทางตรงก็ทางอ้อม เช่น เขามาพัฒนาที่ดินใกล้บ้านป้าของคุณ ก็จะส่งผลให้ที่ดินบ้านป้าคุณสูงขึ้น ป้าคุณก็รวยขึ้น แม้คุณเองไม่ได้รวยขึ้น แต่ยังไงบ้านป้าของคุณก็รวยขึ้นจริงไหมครับ...ฮ่า ฮ่า ตลก บ้านป้า....ไม่ใช่บ้านคุณ......

คือ สรุปว่า การที่ ต่างชาติเข้ามาซื้อ อะไรก็ตามในบ้านเรา ..ผมมองว่า มันเป็นเรื่องที่ดี เพราะมันทำให้ ทั้งเงินและเทคโนโลยี ไหลเข้า --"จึงเป็นเรื่องที่น่าสนับสนุน ไม่ใช่ต่อต้าน!!"

Case study BANPU


บ้านปู เมื่อปีที่ 2552 ต้นๆปี ราคาตกมาต่ำกว่า 200 บาท ช่วงนั้นมีแต่คนรีบขายออกเพราะมองว่า "โอ๊ย..แม่เจ้า แย่แล้ว ตลาดกำลังแย่ หุ้นจะตกจนไม่เหลือมูลค่า -- หลังจากนั้นไม่ถึงปี หุ้นบ้านปูวิ่งมาเกิน 600 กว่าบาท --- ถามว่า ไอ้คนที่ขาย มันจะขายไปหาบ้าอะไร หรือ ว่ากรรมมันบดบังดวงตา ทำให้มานั่งเสียดายจนบัดนี้ "

--ผมเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่โดนกรรมบังตาเช่นกัน ผมขายไปที่ 260 กว่า หลังจากนั้นมันก็วิ่งไป 600 ในอีกไม่กี่เดือนต่อมา (กูแม่งโคตรโง่เลย ใช่เปล่า) จริงๆแล้วไม่ใช่หรอกครับ ประเด็นจริงๆมันอยู่ที่คุณมีวิธีการเล่นหุ้นอย่างไร ซึ่งในปีที่แล้วผมเล่นสั้น ดังนั้นพอหุ้นวิ่งขึ้นไป ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ผมก็ขายแล้ว จากนั้นก็ไปเก็งตัวต่อไป --- แต่แท้จริงแล้วจากที่ได้ศึกษาและทดลองจริง ก็พบว่า คนที่จะได้กำไรอย่างแท้จริงในตลาดต้องมองภาพใหญ่ให้ออกแล้วเล่นยาว

คำถามคือ แล้วตอนนี้ผมเห็นภาพใหญ่อะไรบ้าง --- ครับ ตอนนี้ผมมองเลยว่า พวกกลุ่ม PTT Group ยังคงวิ่งไปได้อีกมาก เช่น PTT เองถ้าไม่เกิน 400 ก็ไม่น่าปล่อย ถือกินปันผลดีกว่า

--กลับมาที่บ้านปู ว่าทำไมมันถึงวิ่งไปถึง 600 บาทต่อหุ้นได้ ง่ายๆครับก็เพราะมีคนต้องการซื้อ ถ้าจะถามต่อว่าใครซื้อ ก็ต่างชาติไงครับ เพราะปกติเขาเล่นเฉพาะ Big Cap แต่พอ PTT เจอมาบตาพุตก็ไม่รู้จะลงอะไร ก็เลยลงบ้านปู ทั้งๆที่จริงๆ..ศักยภาพเติบโตที่แท้จริงของบ้านปู สู้กับ PTT ไม่ได้เลย เอาเป็นว่าระยะยาวเราก็จะค่อยๆเห็นกันว่า ความจริงคืออะไร ฮ่า ฮ่า

จาก Case ของบ้านปู ชี้ให้เห็นว่าต่างชาติอยากเข้ามาลงทุนเต็มแก่ แต่ไม่กล้า (อดีตจะเห็นได้ว่า ปี 2551 ช่วงก่อน Lehman ต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดกว่า 400,000 ล้าน พอเจอ Lehman พังวิ่งออกไปกว่าครึ่ง SET Index วิ่งรูดจาก 800 จุด ไปเหลือ 300 กว่าๆ จากนั้นตลอดปี 2552 ที่ผ่านมาต่างชาติเข้ามาสุทธิ 38,000 ล้าน ซึ่งนับว่าตั้งแต่ออกไปยังแทบไม่กลับมาเลย

---- คำถามที่เกิดขึ้นคือ แล้วตอนนี้ตลาด SET Index 700 กว่าจุดแล้วมันขึ้นได้อย่างไร ทั้งที่ทั้งปีที่แล้ว นักลงทุนในประเทศยังขายสุทธิต่อเนื่องประมาณ 37,000 ล้านตลอดปี ถ้าหักลบกับต่างชาติเข้ามา ก็แสดงว่า ตลาดแท้จริงแล้วตลอดปี 2552 ที่ขึ้นมาเยอะมากยังแทบไม่ได้มีเงินลงทุนรวมเพิ่มขึ้นแต่อย่างไร ดังนั้น การที่ดัชนีขึ้นเป็นการหมุนเวียนเงินระหว่างตัวหุ้นที่สลับกันขึ้นลงใช่หรือไม่
ตอนนี้หลายคนคงสงสัยว่า ยกประเด็นนี้ขึ้นมาทำไม --- ครับ เพราะ การที่หุ้นไม่ได้เพิ่ม แต่ราคาเพิ่มนั่นหมายถึง มีทั้งโอกาส แต่ก็แฝงด้วยความเสี่ยง---ทั้งตลาดสมมุติให้เรามองเป็น สินทรัพย์อย่างหนึ่ง การที่ราคาจะขึ้นก็คือ แสดงว่ามีความต้องการเพิ่มขึ้น แต่ในขณะนี้คือ ทั้งที่ความต้องการจากต่างชาติ(เม็ดเงิน)ไม่ได้เพิ่มนั่นแสดงว่า การขึ้นเป็นผลมาจากการให้ค่าของสินทรัพย์ จากภายในประเทศที่ดันราคาเพื่อสะท้อนมูลค่าจริง

ดังนั้น ณ จุดนี้ราคาหุ้นไม่แพงและไม่ถูก แต่ถ้าให้มองข้าม ซ๊อตไปก็เห็นได้ว่าโอกาสเงินเฟ้อสูงมากซึ่งจะส่งผลให้ราคา Asset รวมทั้งหุ้นมีโอกาสดีดตัวได้สูง หรือ เข้าภาวะ Bubble นั่นเอง ดังนั้นเมื่อวิกฤตเศรษฐกิจผ่านไป จะส่งผลให้ราคาหุ้น Bubble อย่างแรง ซึ่งน่ากลัวมาก เพราะไอ้เงินอีกเกือบ 200,000 ล้าน ที่ออกไปแล้วยังไม่เข้ามา ก็มีแนวโน้มจะเข้ามา ผนวกกับเม็ดเงินใหม่ที่ให้น้ำหนักการลงทุนในเอเชียในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ มีเม็ดเงินเข้ามามหาศาลมาก ลองนึกถึงราคาหุ้น Blue chip ของเราว่าจะวิ่งไปขนาดไหน

มาถึงจุดนี้ผมแนะนำเลยให้ออกจากเงินสด แล้วหาช่วงที่หุ้นตกระหว่างปี เข้าทั้งหมด เข้าหมด Port แล้วรอคอยพร้อมๆกับผมนะครับ --พ่อแม่พี่น้อง.......... (สิบปีรวย สิบปีรวย.. เพราะอีกสิบปี ผมจะเอาหุ้นที่ซื้อ ณ เวลานี้ไปขายให้กับพวกแมงเม่า ที่เข้ามาซื้อตอนเศรษฐกิจดี ที่ราคาสูงกว่านี้มากๆ ขอบใจล่วงหน้าสำหรับทุกชีวิตของแมงเม่าในภายภาคหน้าครับ)

ท่านรู้ไหมว่าพวกแมงเม่าที่ว่านี้คือใคร ก็คือพวกที่มีความรู้ Finance อย่างลึกซื้ง ติดตามสภาวะเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และส่วนใหญ่การศึกษาดี มีหน้าที่การงานในระดับสูง แต่ใจไม่ถึงไงล่ะครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า --- ฮ่า ฮ่า ขำว่ะ

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

Go for BULL Market !


ผ่านเข้ามาครึ่งเดือน เริ่มขึ้นๆ แต่ช่วงนี้วิเคราะห์ได้ไม่ยาก ก็คือทุกคนที่อยากลงทุนยังคงนั่งรอไม่ลง รอจนกว่าสถานการณ์ชัดเจนก่อน ผมขอแนะนะเลยว่า ถ้าคิดว่าจะลงให้ลงเลย แต่ถ้าคิดว่าไม่ลง อย่ามาเข้าตอนที่สถานการณ์คลี่คลาย เพราะเมื่อทุกอย่าง(การเมือง)สงบ ราคาคงวิ่งไปอีกไกล คือยิ่งแพงมากขึ้นเรื่อยๆ

ช่วงนี้ผมย้อนนึกถึงช่วงปิดสนามบินสุวรรณภูมิปลายปี 2551 ทุกคนวิ่งออกหนีหมด และคาดว่าหลังจากปิดแล้วหุ้นจะแย่ลงไปเรื่อย ดังนั้นเข้าสมการคือ เมื่อสถานการณ์จริงเป็นลบ บวกกับ ทุกกคนคิดลบ หุ้นเลยออกมา บวก คือ หลังจากนั้นหุ้นก็ขึ้นไปเรื่อยๆ (กว่า 99.99% ของนักลงทุน ตกรถไฟครับ) - ตอนนี้คนที่กลัวก็ยังรออยู่ ให้ผมทำนายไหมครับว่า พวกนี้จะไปลงเมื่อไร

--- โอเค ก็น่าจะประมาณว่าทุกอย่างสงบแล้วการเมืองชัดเจน เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวชัด ครับแน่นอนราคาก็ขึ้นไปชัดด้วย เพราะตลาดหุ้นมันเป็นราคาอนาคต ดังนั้น ถ้าเริ่มดี ตลาดหุ้นมันวิ่งไปก่อนแล้ว (น่าจะเกิน 900 จุด ที่ทุกอย่างเริ่มบวก แล้วรอบนี้จากการภาพรวมที่เงินต่างๆ หนีออกมาจากตลาด ถ้าทุกอย่างดี เงินพวกนี้จะกลับเข้ามา รวมกับเงินกระตุ้นล้นระบบจากรัฐบาลทุกประเทศ แน่นอนครับเงินเฝ้อรุนแรงจะตามมา รอบนี้ผมว่าแรงกว่าปี 1994 ก่อนต้มยำกุ้ง)

จากสถิติผมว่า ในทุกๆ 20 ปีต้องมีตลาดขึ้นแบบ Peakๆ เลยอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ถ้ามองย้อน ไป 40 ปี ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าช่วง 20 ปีแรก ปี 1994 ตลาด Peak สุดๆที่ 1600 จุด หลังจากนั้นผ่านมาถึงปัจจุบัน เกือบ 25 ปีแล้ว ตลาดยังไม่กลับไปที่เดิม ดังนั้น ถ้ามองรอบใหญ่ผมเชื่อว่าในอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า ตลาดจะกลับไปผ่านจุดสูงสุดเดิม -- ใช่แล้วครับเกิน 1000 กว่าจุดแน่นอน ดังนั้น การเข้าตลาดในปัจจุบันถือว่าถูกมาก จนทำให้การขึ้น 60% ในปี 2552 ที่ผ่านมากลายเป็นการขึ้นที่ขี้ปะตื๋วไปเลย

สมมุติฐานที่กล่าวมาคือ ยึดหลักว่า ยี่สิบปีก่อน ในกรุงเทพยังมีตึกไม่กี่ตึก รถน้อยมาก รถไฟฟ้าไม่ โทรศัพท์มือถือไม่รู้จัก เคเบิลทีวีคืออะไร ผ่านมาปัจจุบันทุกอย่างเปลี่ยนชนิดคนแก่ๆ งง กันตาแตก --ลองนึกอีก 20 ปี ข้างหน้าซิครับ ไม่ว่าจะเป็น 5G ใช้ Internet ได้ทุกที่ โทรศัพท์ทุกเครื่องต่อ Internet - Chat กันทั่วโลก โทรศัพท์ทุกเครื่องทำได้มากกว่า Notebook ในปัจจุบัน รถใช้พลังงานสะอาดขึ้น เช่น NGV , Solar Energy , กังหันลม หรือ แม้แต่ระบบรถที่ใช้พลังงานไฮโดรเจน อีกส่วนใช้พลังไฟฟ้า ที่มาจากโรงงาน nuclear หรือ Clean Coal คือเอาเป็นว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆที่กล่าวมา ทำได้หมดแล้ว รอแค่การผลิตให้เป็น Mass เหมือนมือถือแต่ก่อนเครื่องละแสนน่ะครับ เอาเป็นว่าอีก 20 ปี ข้างหน้า โลกที่ท่านเห็นจะพัฒนาไปอย่างต่อเนื่องอย่างที่ไม่มีใครสามารถจินตนาการได้ -- สมัยคุณปู่ของทุกท่าน ยังใช้ส้วมหลุมอยู่เลย ตลกไหมครับ เวลานี้ไปชนบทใช้ชักโครกกันหมดแล้ว

ใครก็ตามที่คิดว่าโลกเราจะไม่มีอะไรเพิ่มเติม ก็อย่ามาซื้อหุ้นเลย เอาใส่ตุ่มเอาไว้ (ใส่ธนาคารในปัจจุบันก็เหมือนใส่ตุ่มเพราะดอกเบี้ยต่ำมากๆๆๆ) อีก 20 ปี ข้างหน้าพอเปิดตุ่มออกมา เงินล้านที่คุณมีในวันข้างหน้าอาจซื้อได้แค่รถมอเตอร์ไซค์เท่านั้น ตลกไหมครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า)

ทิ้งท้ายนี้มีคาถากำไรหุ้นตลอดกาลแนะนำให้คือ "จงกล้าในขณะที่คนส่วนใหญ่กลัว และจงกลัวในขณะที่คนส่วนใหญ่กล้า --- แปลว่าถ้าทุกคนกลัวคุณรีบเข้าไปซื้อหุ้น ตอนนี้เองใช่เลย และจงกลัวในขณะที่คนอื่นกล้า คือ ในอีก 10 กว่าปีข้างหน้า จะต้องมี Bull Market แรงๆ เมื่อเวลานั้นมาถึงให้คุณรีบหอบเงินหนีออกจากตลาด เพราะเมื่อทุกคนรู้สึกดี นั้นแหละตลาดกำลังจะ Clash" -- โชคดีครับ

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

หุ้นพื้นฐาน Infrastructure เป็นไง


พวกนี้สภาพคล่องต่ำ แต่ถ้าจะ Hedging Inflation ก็ถือว่า โอเค หุ้นพวกไฟฟ้าผมชอบ GLOW เพราะปีที่ผ่านมา Subprime ไม่กระทบเลย เพิ่งมาสะดุดปีนี้ ตรงมาตราพุต เพราะ GLOW ขายไฟฟ้าเน้นให้กับโรงงาน ซึ่งรับผลไปเต็มๆ แต่อย่าง Style ผม ผมชอบหุ้นที่มันแย่ด้วยข่าวร้าย แต่พื้นฐานจริงๆ ไม่ได้แย่ตาม ซึ่งเมื่อข่าวร้ายผ่าน โอกาสที่จะได้ Capital Gain สูง จึงมีมาก

โรงไฟฟ้า จะโตตามเศรษฐกิจ รวมทั้งปันผลก็ไม่ขี้เหร่ ดังนั้น พวกใจเย็นเล่นยาว ผมแนะให้เก็บเข้ามาใน Port บ้าง --- อีกตัวก็เช่น BECL ก็ยังถือว่าไม่แพง แต่จะหวังให้ โตพรวดพราดคงจะไม่มีให้เห็น --- ถือไว้นิ่งๆ เก็บปันผลไปเรื่อยๆ

ผมเชื่อว่าสัก 10 ปี ต้องเห็นอะไรดีๆแน่ --- จากการ ที่ Supply ของเงิน อัดเข้ามามาก ย่อมส่งผลให้ค่าเงินลดลง

ดังนั้น หากเศรษฐกิจเร็วกลับมา ต้องระวัง Inflation ให้ดี โอกาสที่ จะเป็น Double Digit อาจเห็นในไม่ช้า

ใครก็ตามที่ไม่กลัว Inflation ระวังให้ดีครับ ทุก 7 ปี มันหักค่าเงินเป็นครึ่งๆ เงินฝากที่ ต่ำกว่า 1 มีแต่ตายกับตาย

หากใครกอดเงินสด อีก 10 คุณ จะเห็นว่า ทำไมคนที่กล้าเขาแซงคุณไปมากมาย เพราะยุค interest ต่ำ เราต้องโยกเงินเข้า Asset เสี่ยง พอ Interest สูงก็ค่ิยโยกกลับมา คิดให้มัน Simple ก็จะเห็นว่า จริงๆแล้ว การเสี่ยงในตอนนี้ มันก็คือ การ Save อนาคตข้างหน้าของคุณเอง นั่นเองคร๊าบ....

บริษัท Leasing ดีไหมครับ


ช่วงปี 1997 จะเห็นได้ว่า Finance ที่ยังไม่ตายเช่น ธนชาต หรือ KK จะเน้น Leasing รถยนต์ หรือ มอเตอร์ไชต์ ที่ไม่เจ๊ง --- แล้วทำไม มันไม่ เจ๊ง เหมือน Finance อื่นๆ -- ครับก็เพราะ รถยนต์มันมีทะเบียน มันมีสภาพคล่องสูง

ไม่เหมือน Real estate หรือ ธุรกิจ ที่พอพังระนาว ก็ไม่สามารถต้านทานได้ เพราะ Bank ไม่ได้มี Infrastructure ที่จะมารองรับธุรกิจที่ล้ม โดยเฉพาะล้มพร้อมๆกัน เพราะเหตุนี้เองเหล่า Finance ที่ Focus ในธุรกิจต้องปิดตัว ในขณะที่ Finance รถยนต์ ยังคงลอยนวลอยู่ได้

ปลายปี 2552 ยอดขายรถเริ่มกระฉูด ลองมองดูซิครับว่า ใครยิ้มบ้าง เช่น PL ของล่ำซำ / KK ก็ยิ้มเช่นกัน แต่ปัญหาของหุ้นสองตัวนี้แม้จะถูก ปันผลดี แต่Liquidity ต่ำ

คือ ถ้าใครเป็นคอพันธบัตร ผมว่าโยกเงินมาซื้อสองตัวนี้ได้เลย เพราะราคาต่ำกว่า Book Value เรียกว่า ถูกมาก แต่ถ้าใครหวังจะซื้อมาขายไป เลิกคิด เพราะซื้อแล้ว คุณต้องกอดรับปันผลไปอีกนาน

--- เห็นหุ้นสองตัวนี้ผมว่า คล้่าย TF มาม่า คือ ซื้อแล้วไม่ต้องขาย ถือไป 20 ปี แต่เจ้าของ รอยเป็นร้อยเท่า ... โห น่าสนใจ แต่หุ้น PL นี่สงวนแด่คน ในนิ่ง หรือ Value Investor เท่านั้น นะครับ

โรงกลั่นเคลือ ปตท. PTTAR/ IRPC / TOP /PTTCH


โรงกลั่นปี ที่แล้ว หักเข้าขาลงเต็มๆ เนื่องจาก Supply ของน้ำมันมีมากเกินความต้องการของตลาด แต่ราคาน้ำมันที่ดีดกลับขึ้นมาเนื่องจากการ Hedging ค่าเงินยูเอส ที่เอาแต่จะลดค่าลง.. ภาพรวมชี้ให้เห็นถึงค่าการกลั่นที่ปรับตัวลดลง เข้าขั้นขาลงอย่างแรง --- แต่ไม่ต้องตกใจ ให้คุณไปยืนที่แม่น้ำแล้วดูสายน้ำ เวลาน้ำลง เดี๋ยวมันก็ขึ้น หรือ ถ้าน้ำมันขึ้นเดี๋ยวมันก็ลง (หุ หุ).. Cycle ขาลงรอบก่อนของ ธุรกิจพลังงานในบ้านเราคือ ปี 2000 และมา Peak ของ Cycle ที่ปี 2008 ..ปีนี้จึงน่าจะเป็น ช่วงเริ่มขึ้นของ Cycle ใหม่นั่นเอง

-- "ใช่แล้วครับ "ใครก็ตามที่มีเงินเย็น อยากได้ ผลตอบแทนที่แจ๋วกว่าเงินฝากสัก 100% ..ก็เข้ามาซื้อ หุ้นโรงกลั่นแล้วเก็บไว้ยาวๆ ประเด็นสำคัญคือ โรงกลั่นในบ้านเรามีต้นทุนต่ำ สามารถแข่งขันระดับโลก แม้ในช่วงขาลงเราก็ยังไม่ตาย แต่ถ้าขาขึ้นจะได้กำไรเต็มๆ ---จากที่เข้าCycle ขาลงเที่ยวนี้ ทำให้ PTT เตรียม Synergy ลดต้นทุน

โรงกลั่นในบ้านเรา ถ้าดูให้ดี จะเห็นได้ว่า มีประสิทธิภาพ "แข่งขันได้" เนื่องจาก โรงกลั่นในบ้านเรา ผ่านวิกฤตพลังงานในรอบก่อนมาแล้ว ..จนเกือบจะเจ๊งทั้งหมด --รอบนั้น PTT ตัดสินใจเข้าอุ้มโรงกลั่นต่างๆให้พ้นวิกฤต ..ดังนั้น เราอาจพูดได้ว่า โรงกลั่นในประเทศปัจจุบันนี้ มีภูมิคุ้มกัน ต่อความผันผวนเศรษฐกิจ ได้ในระดับที่ดีทีเดียว ทำให้วิกฤตรอบนี้ ไม่ได้กระทบต่อโรงกลั่นมาก ..ยิ่งจังหวะนี้ โรงกลั่นต่างก็มองโอก่าสการควบรวมเพื่อสร้างให้ตัวเอง แข็งแกร่งขึ้นไปอีก (นับเป็นการใช้วิกฤตเป็นโอกาสที่ดีทีเดียว)

...จุดนี้เองจะเป็น Competitive Edge อย่างมาก ที่จะทำให้ โรงกลั่นสามารถเตรียมความพร้อมของตัวเองในการกอบโกย ในขาขึ้น Cycle ต่อไปอย่างดี

ใครเป็นคอหุ้น Turnaround ให้ถือ โรงกลั่นยาวๆรับรองไม่ผิดหวัง เพราะขณะนี้ราคาแต่ละตัวต่ำกว่า peak เกือบครึ่ง แสดงว่า ยังมี Upside Gain อีกมาก ประกอบกับ demand ในประเทศจีนกับอินเดีย ยังคงร้อนแรง หากไม่มีการพังของเศรษฐกิจรอบสอง(ซึ่งดูแล้ว ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะอย่างยุโรปก็มีการออกมาตรการต่างๆ ป้องกัน ซึ่งน่าจะครอบคลุมอยู่แล้ว) ดังนั้น ผู้ลงทุนในโรงกลั่นเวลานี้ ...จะเห็นอะไรดีๆ แน่นอนครับ

หุ้นกลุ่ม PTT รุ่งหรือร่วง


หุ้น PTT เริ่ม IPO ที่ 30 บาท เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ขึ้นไปสูงที่สุด 440 เมื่อปี 2552 ปันผลต่อปี ประมาณเกิน 5 % คือพูดง่ายๆว่า ถ้าซื้อตอน IPO ที่ 30 ล้านบาท พอเวลาผ่านไป 7 ปี มูลค่ารวมเงินปันผลก็เฉียดๆ 500 ล้านบาท --- อุ๊ แม่เจ้า * ทำไมมันถึงเวอร์ขนาดนั้น

แต่มันเป็นความจริง It's a FACT!!!!! --- หลายคนคงตั้งคำถามว่าแล้วทำยังไงจึงจะได้ผลตอบแทนดังกล่าว --ขอตอบเลยว่า ง่ายๆก็นั่ง Time Machine ย้อนเวลาแล้วกลับไปซื้อ หุ้น PTT ตอน IPO แล้วก็ถือไว้ไง---ฮ่า ฮ่า

เอาเป็นว่ามองไปในอนาคตดีกว่า ว่าหุ้นตัวไหนของ SET ในอีก 8 ปีข้างหน้า จะให้ผลตอบแทนดังเช่น PTT ที่ผ่านมา --- ขอตอบอีก ครับก็คือ หุ้น PTT นี่แหละที่จะแจ๋วเหมือนเดิม ใครไม่เชื่อก็รออีก 8 ปีข้างหน้า พอผมรวยแล้ว ผมก็จะมาแนะนำเหมือนเดิมคือ ให้นั่ง Time Machine ย้อนกลับมาไงครับ

หลัง Subprime + มาบตาพุต สุดเน่า โขกหุ้น PTT กลับไปที่ 200 ต้นๆ (ฮ่า ฮ่า ราคาที่ผมซื้อไงครับท่าน) แต่ไม่เป็นไรตอนนี้ 245 ก็ยังคงไม่แพง เพราะเมื่อปัญหา มาบตาพุต ลุล่วง ผนวกกับราคาน้ำมัน กระฉูดขึ้นไปใหม่ หุ้นตัวนี้ก็จะกลับมา เฮฮา ดังเดิม

--- วิธีคิดเริ่มจาก เงินอัดฉีดของรัฐบาลที่ล้นระบบ สิ่งผลให้ เงินลดค่าลง ซึ่งจะส่งผลให้ กองทุนต่างๆ hold commodity อย่างเช่น น้ำมัน และ ทอง เป็น Hedgeing แทน และเมื่อน้ำมันควรกลับมาสูงอีก จะส่งผลกดดัน Inflation บีบให้ แบงค์ชาติไม่กล้าขึ้นดอกเบี้ย

--- การกดอกเบี้ยต่ำ ทำให้ตลาดหุ้นดูน่าสนใจ จุดนี้เองไม่ต้องสงสัยเลยว่า Bull Market จะมาเยือน ตลาดหุ้นไทยที่ น้ำมันมีน้ำหนักสูง --อย่างในปี 2552 หุ้นทั่งโลกย่าแย่ แต่เรากลับดี เพราะน้ำมันขึ้น PTT ก็ขึ้นเอาขึ้นเอา --- เอาเป็นว่าที่กล่าวมา จะผิดหรือ ถูก ก็ต้องคอยดูกัน

ตอนนี้ลองดูให้ดี ว่า Fund Manager เขากำลังทำอะไร เพราะเวลาเขาทำอะไร กับที่เขาพูดมักจะตรงข้ามกัน -- ทำไมล่ะ --ก็เพราะเขาหลอกพวกแมงเม่าไง พอเขาจะซื้อเขาก็แนะนำให้แมงเม่าขาย ฮ่า ฮ่า โชคดีครับ

(ปล.ผมไปอ่านเจอนักวิเคราะห์ เกี่ยวกับเรื่องน้ำมันรั่วของ BP ว่ามันจะสะท้อนความเปลี่ยนแปลงที่จะกดดันในฝั่งของ cost ของธุรกิจน้ำมัน ตรงนี้เหมือนที่ผมเคยพูดถึง BP กับการขุดเจาะน้ำมัน​"น้ำลึก" --ท้ายสุดหนีไม่ฟ้น ต้องกระทบราคาน้ำมันแน่นอนครับ!!)

หุ้นน่าสนใจปี 2553 - BLA


BLA คือ กรุงเทพประกันชีวิต น่าสนใจยังไง - อย่างแรกเลย ผูกขาด Channel ของ Bancassurance ที่ใหญ่ 1 ใน 3 ของประเทศ คือ ผูกขาดช่องทางธนาคารกรุงเทพ เพราะ BLA เป็นบริษัทลูกรักของ กลุ่มโสภณพนิช

-- จะว่าไปแล้ว BLA นับเป็น หนึ่งในบริษัท ยุทธศาสตร์ที่จะทำให้ตระกูลนี้กลับเข้ามายิ่งใหญ่อีกครั้งหากเดินหมากถูก เห็นได้จากที่เพิ่งถูกเข็นเข้าตลาดหลักทรัพย์ไปหมาดๆเมื่อปลายปี 2552 จาก 13.5 บาท ตอนนี้วิ่งมาจะเกือบ 20 บาทแล้ว คนวิ่งเข้าเก็บปั่นราคาขึ้นไม่ใช่ใครอื่น ก็เงิน RMF/LTF ที่ผ่านกองทุนของธนาคารกรุงเทพนั่นแหละ "อัดยายปั่นขนมยาย"

แต่จุดที่น่าสนใจคือ เงิน RMF/LTF เป็นเงินนอน..ระยะยาว ดังนั้น พอปั่นขึ้นแล้วไม่ต้องรีบถอนออก ถ้ามองเกมให้ออกคือ ---ยิ่งใส่ราคายิ่งขึ้น ขณะนี้หลัง IPO หุ้นอยู่ในมือรายย่อยแค่ 20% ที่เหลืออยู่ใน Control ของ Family และที่แน่จากการสั่งให้เก็บของกองทุนจะทำให้หุ้นเกือบทั้งหมดกลับมาอยู่ใน Control จากนั้น หุ้นตัวนี้จะปั่นราคาให้ขึ้นแสนง่าย คล้ายๆกับตัว SCNYL ของ SCB ที่ปั่นหุ้นตัวเองเกิน 5 เท่าของ Price per Book สบายๆ

สรุปถ้าเอา SCNYL เป็นต้นแบบการ ปั่นวิธี อัดยายาซื้อขนมยาย ก็มองได้ว่าหุ้น BLA จะวิ่งไปเรื่อยๆ เข้าไปใกล้ 5 เท่าของ Book Value ในไม่ช้า (ตอนนี้ BLA - Book Value อยู่ 5 บาทกว่า ถ้า5 เท่า ก็ผ่าน 30 บาท สบายๆ) แต่อย่างไรก็ตาม การปั่น..แบบฮั่วๆ คงใช้เวลาหลายปี และจะขึ้นเรื่อยๆทุกปลายปี ตามที่เงิน RMF/LTF เข้า

ดังนั้น ใครเห็นอย่างที่กล่าวมา รีบเข้าแล้วทิ้งยาว แล้วก็นั่งยิ้มไปเรื่อยๆ ตัวนี้คาดว่าปันผลต้องดีแน่นอน เพราะบริษัท โต ปีละเป็นเท่าๆ ตราบใดที่ดอกเบี้ยยังต่ำ ยังได้รับ อานิสงค์อย่างแรง ยิ่งประเทศพัฒนา เบี้ยประกันต่อ GDP ก็จะยิ่งดีเป็นทวี เท่า ... เอ้า ..เร่ เข้ามา ใครกล้ามีสิทธิรวย ผมคนหนึ่งล่ะ กอดหุ้นตั้งแต่ IPO ไม่ปล่อยให้โง่หรอกครับ..........

วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2553

คนเก่งทำไมไม่รวย แต่คนรวยทำไมไม่โง่ ส่วนคนโง่นั่นไม่รวย


การหาเงินเป็นเรื่องที่ตลกที่สุด --- เพราะยิ่งเราไม่ต้องการใช้ โอกาสการสร้างให้รวยเป็นกี่เท่าทวีคูณ ยิ่งง่ายเข้าไปอีก ปีที่แล้ว 2552 ตลาด SET ของเราพุ่งกว่า 60 % แต่ลองดูจริงๆซิว่า คนที่ได้รับCapital Gain จริงๆ ก็คือ คนที่ไม่สนใจที่จะขาย เพราะตอนแรกใครๆก็บอกว่ามัน เป็น Bear Market Rally แต่ที่ไหนได้ Bull เต็มๆ และแรงมากๆด้วย

กองทุนส่วนใหญ่ออกมายืดอกแล้วประกาศ!! -- ปีนี้กำไร 60 - 80% แต่คุณกางไส้ในออกมาซิจะเห็นว่าไอ้ที่ปีนี้กำไร 60 แต่ปีที่แล้วกลับขาดทุน 100 หักลบกันยังติดลบอยู่--ขี้ตู่มาก.. ถ้าเจ๋งจริงต้องนำตั้งแต่ เริ่มต้นปี 2551 ถึงตอนนี้ซิ เอามาดูว่า มีสักกี่กองทุนที่สามารถทำกำไรได้ ชนะตลาดบ้าง --- ถ้ามองโดยรวมทั้งประเทศไทยขอบอกเลยว่า ขี้เหร่มาก เพราะกองทุน ส่วนใหญ่ในประเทศไทยไม่ได้บริหารโดย Investor จริงๆ แต่จะอาศัย คณะกรรมการร่วมกันบริหาร ซึ่งแน่นอนผลตอบแทนที่คัดสรรจากคณะกรรมการย่อมไม่สามารถที่จะโดดเด่น หรือ เยี่ยมยอด

ปีที่ผ่านมา ตลอดปี 2552 ผมพยายามเล่นเร็วเข้าออกเร็ว เล่นแบบ Trader เลยก็ว่าได้ ซื้อถูกขายแพงทำกำไร ตอดตลอดปี ถ้ามั่นใจมากผมใส่เยอะแต่ถ้ามั่นใจน้อยผมก็ใส่น้อย สรุปทั้งปี ผมทำได้ 35% จากเงินเริ่มต้น นับว่า ไม่ขี้เหร่ แต่ถ้าเทียบกับตลาดโดยรวมที่ขึ้น กว่า 60% ถือว่า ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ถ้าจะให้สรุปว่า หลังจากเหตกาณ์ที่ผ่านมา ผมคิดว่า การลงทุนถ้าลงยาวจะได้เงินเยอะกว่า แต่สิ่งที่สำคัญคือ จะเข้าเมื่อไหร่ นี่จะเป็นตัวปัจจัยชี้วัดถึงกำไรโดยรวม ในขณะนี้ ถ้ามองภายนอกตลาด ที่เงินฝาก ต่ำกว่า 1 % และเงินเฟ้อที่ก่อตัวระดับ 3 -4% นับว่า คุณไม่มีทางเลือกนอกจากเข้าตลาดหุ้น แต่คำถามคือ คุณ จะเข้าก่อนหรือเข้าทีหลัง (การเข้าทีหลังย่อมหมายความว่า เข้าแพงขึ้น) ผมตัดสินใจ กระโดดเข้าไปก่อนเลย แล้วรอดูว่าปีนี้จะให้ผลตอบแทนที่เท่าไหร่

ช่วง Peak ของ ปีนี้น่าจะมี 2 ช่วง คือ ช่วง เมษา และ กันยา เพราะเป็นช่วงที่บริษัทให้ปันผล ซึ่งช่วงดังกล่าว คนที่มีเงินฝากก็จะเทียบว่า ถ้าเอามาวางในตลาดจะให้ผลตอบแทน จึงโยกเงินมาใส่ พอกำไรก็รีบดึงออก แต่เนื่องจากบริษัทส่วนใหญ่มีการจ่ายปันผล 2 ช่วง ทำให้ช่วงเมษาจะเป็นจุดเริ่มต้นของ Bull Market ในปีนี้ แล้วขึ้นไปเรื่อยๆ จนไป Peak ที่ ตุลา ซึ่งพฤติกรรมของตลาดในปี 2553 คงไม่ต่างจากปี 2552 แต่อย่างใด แต่ผลแตบแทนโดยรวมอาจไม่สูงเท่า

ตอนนี้หลายคนคงคิดว่า Behavior ของตลาดดังที่กล่าวมาจะ Last Long เท่าใด ก็ขอ Predict เลยว่า Behavior ขึ้นเมษา Peak ตุลา จะไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ผลตอบแทนDividend Yieldในตลาดหุ้น ยังคงสูงกว่า Interest และ ดอกเบี้ย นั่นเอง --- ฟังดูง่ายๆนะครับ แต่จริงๆแล้วเวลานี้มีเงินจำนวนมหาศาลที่ลอยอยู่นอกตลาดโดยที่ไม่ได้รับผลตอบแทนแต่อย่างใด -- ใครกันจะถูก --ใครกันจะผิด -- มีแต่หมอดูเท่านั่นที่จะมั่วแล้วมีคนเชื่อ --- แต่สำหรับ ผมไม่เชื่อ ผมเชื่อว่า Only you --- It's you ตัวกูทำกู ตัวมึงก็ทำมึงเอง ฮ่า ฮ่า.. ขำ ก๊าก... ก๊าก ครับ

ปี 2553 จะเล่นหุ้นอย่างไรให้ได้กำไร



ประเด็นแรกและสำคัญสุดๆ ของตลาดผันผวนน่ากลัวอย่างนี้ คือ เงินที่คุณเอามาเล่นต้องเป็นเงินเย็น ถ้าเป็นเงินร้อนเตรียมตัวเจ๊งได้เลย ไม่ต้องฝัง คือ เน่าแน่นอน ..... โอเค....หลังจากเอาเงินเย็นมาเตรียมแล้ว
เรามีหลายวิธีที่จะทำเงิน
1. ถ้าคุณเป็น Trader ซื้อเร็วขายเร็ว ให้รอซื้อเมื่อหุ้นตก (ถ้าจะให้ Save รอให้ตกแรงๆหน่อย) แล้วก็ขายเมื่อคุณได้กำไร คือ เมื่อหุ้นขึ้น
2. ถือยาว ใครซื้อมาแล้วถือเอาไว้ให้เลย ตุลา แล้วค่อยไปหาจังหวะขาย ส่วนคนที่ยังไม่ได้ซื้อก็ให้รอจังหวะซื้อเมื่อหุ้นตก

--หลายคนถามว่าเมื่อไหร่ที่หุ้นจะตก -- ตอบเลยว่าเมื่อมีข่าวร้าย เช่น มาบตาพุต หรือ เสื้อแดง ยิ่งข้าว ร้ายเท่าไหร่หุ้นยิ่งตกเท่านั้น และ ยิ่งข่าวร้ายยิ่งต้องวิ่งเข้าไปซื้อไม่ใช่วิ่งหนี คิดง่ายๆว่า หุ้นไม่ขึ้นก็ตก ถูกไหม คือ ถ้ามีข่าวร้ายหุ้นก็ตก พอมีข่าวดีหุ้นก็ขึ้น

และหุ้นก็ตั้งอยู่บนความจริงคือ ไม่มีตกตลอดมันมีแต่ขึ้นแล้วก็ตก ดังนั้น ถ้าซื้อตอนหุ้นตก(ตอนที่มีข่าวร้าย) เดี๋ยวพอมีข่าวดีม่ หุ้นก็ขึ้น ก็ขายไป แต่ความตลกคือ คนส่วนใหญ่ทำตรงกันข้าม พอมีข่าวร้ายรีบขายหุ้นทิ้ง พอมีข่าวดีกลับวิ่งเข้ามาซื้อ พอซื้อหุ้นก็ซื้อแพง เพราะเวลามีข่าวดีหุ้นมันขึ้นอยู่แล้ว พอคุณ ไปซื้อคุณก็ต้องซื้อแพง ---- ขำกลิ้ง เลย แต่ๆจริงๆ ทุกคนก็โง่เหมือนกันนี่แหละ รวมทั้ง ผมเองด้วยบางครั้ง ฮ่า ฮ่า

---- สรุปเลยใครอยากรวยก็ให้ซื้อเมื่อมีข่าวร้าย ขายเมื่อมีข่าวดี ส่วนถ้าอยากจะรวยมากๆ ต้องรอข่าวร้ายมากๆ เช่น ที่ผ่านมา เครื่องบินชน World Trade ล่าสุดก็ Subprime ส่วนจะขายก็รอข่าวดี แต่ถ้าต้องการขายให้รวยมากๆ ก็ต้องรอข่าวดีมากๆ เช่น Dot com Boom หรือ เช่น Asian Miracle ก่อนปี 1997 แต่ต้องไม่ลืมว่าถ้า Boom เท่าไหร่ นรกก็เข้ามาใกล้เท่านั้น เหมือน Final Destination-- You can't Cheat Dead คือ ถ้าไปถาม Warren Buffet เขาจะบอกว่า เขาไม่เก่งพอที่จะซื้อๆขายๆ เขา เลยซื้ออย่างเดียวแม่เคยขาย คือ ซื้อบริษัทที่ปันผลเท่านั้น คือสิ่งที่เขาได้คือ เงินปันผลที่สม่ำเสมอของบริษัท ส่วน Capital Gain เป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น

ในเมืองไทยมี Value Investor ที่เก่งๆ ก็เช่น ดร.นิเวศน์ แกเริ่มเล่นปี 2540 ด้วยเงิน 10 กว่าล้าน ตอนนี้ 2553 port แกโตไป 800 กว่าล้าน แต่อย่างไรก็ตาม แกไม่เคยคิดจะขาย วันนึงมันอาจร่วงไปที่ 10 ล้านเท่าเดิมก็ได้ ไม่มีใครรู้อนาคต จริงไหม ตรงนี้มันต้องทั้งเก่งและเฮง บวกใจกล้า กล้าในที่นี้คือ กล้าที่จะไม่เอาเงินก้อนที่ลงทุนในหุ้นมาใช้อีก แล้วปล่อยให้มันเกิด Compound Capital Gain ไปเรื่อยๆ พอได้ปันผลก็ใส่คืนไปใน Port ห้ามใช้ ใครกล้าทำและโชคดี 10 ล้านของคุณ ในวันนี้ อาจเป็น 800 ล้านในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเหมือน ดร.นิเวศน์ ก็ได้ ......โชคดีครับ

ภาพใหญ่ตลาดหลักทรัพย์ไทย SET


Market Cap. รวม 180 billion dollar (เทียบค่าเงินเป็น US Dollar จะได้เห็นภาพเมื่อเทียบกับบริษัทต่างประเทศ)บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในตลาดคือ PTT Group : PTT 22 billions / PTTEP 14.6 B. /SCB 9.2 B./ ADVANC 8.4 B. / SCC 8.4 B./BBL 7.6 B.

ลองมาดู บริษัท Google บริษัท Search engine ที่ตั้งมายังไม่ถึงสิบขวบดี มี มูลค่าตลาด 163 Billion คือ แค่ Google บริษัทเดียวมีมูลค่าเท่ากับมากกว่า PTT บริษัทผูกขาดพลังงานของทั้งประเทศไทยมากกว่า 8 เท่า

สิ่งที่อยากจะชี้คือ การให้ค่าของบริษัทในสายตาของนักลงทุน คือ เงินทั้งโลกกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ที่อยู่ในมือของรายใหญ่ ให้ค่าตลาดทุน อเมริกาว่าน่าสนใจ แต่ให้ค่าตลาดทุนในเอเชีย เล็กจิ๊ดเดียว

แต่ภายหลัง Subprime มุมมองในส่วนนี้เริ่มมีการกังขาสงสัยขึ้น เนื่องจาก ประเทศ อย่างจีนและอินเดีย เริ่มผงาดเป็นมังกรและเสือทางเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนเหล่านั้นเริ่มชำเลียงตามามอง ประเทศในเอเชียบ้าง อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงหรือการโยกเงินลงทุนไม่ได้ทำได้ง่ายๆ แต่ถ้ามันเกิดขึ้น นั่นหมายความถึงการให้ค่า Asset ที่เพิ่มขึ้น อย่างมหาศาล เพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่า มูลค่าหรือ Market Cap. ของบริษัทต่างๆจะมากน้อยขึ้นกับการที่มีนักลงทุนสนใจมาซื้อเท่าไหร่

คือ ที่อธิบายมายืดยาว เพื่อจะสรุปว่า หากมีการเปลี่ยนมุมมองเรื่องการลงทุน ระหว่างการให้ค่า ของบริษัทใน อเมริกา กับ asia เปลี่ยนไป อาจมีการโยกเงินลงทุนมาสู่ เอเชียอย่างมหาศาล ยิ่งตอนนี้ เงินใน Middle East เองที่เคยลงใน Dubai ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ซึ่งแน่นอน จีน กับ อินเดีย ได้เต็มๆ อย่างไรก็ตาม ไทยอาจได้อานิสงค์บ้าง เพราะเราก็เป็นหนึ่งในประเทศที่จีนให้ความสนใจจะมาลงทุน

อ่านมาถึงจุดนี้คงมีหลายคนตั้งคำถามในใจแล้วว่า - แล้วถ้าสิ่งต่างๆมันเป็นอย่างที่เขียนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ.... งง ....งง ... ฮ่า ฮ่า ใช่แล้วครับ ถ้าคุณเป็นคนนึงที่เอาเงินทั้งหมดอยู่ในเงินฝากหรือ Bond เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ แต่ถ้าคุณ เป็นคนนึงที่ ถือ Asset อยู่ในครอบครอง ไม่ว่าจะเป็น ที่ดิน หรือ หุ้น ตรงนี้อาจทำให้คุณรวยขึ้นมหาศาล น่าน้ำลายหก จริงๆ คำถามคือ แล้วคุณกล้าพอหรือไม่.........

วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2553

หุ้นถูกหรือแพงในตอนนี้ ม.ค.2553


ตอนนี้คือ ถูกที่สุดที่คุณ ซื้อลงทุนระยะยาวแล้วยังสามารถให้ผลตอบแทนได้ดีกว่า Inflation เพราะช่องทางอื่นมันแย่หมด ที่พอจะสู้ Inflation ได้ก็มีแต่ หุ้นกู้ของบริษัทเน่าๆ อย่าง TRUE - หุ้นที่ดีต้องมีกำไร มีกำไรสะสม มีปันผล และมีอนาคต แต่ TRUE ไม่มีสักอย่างน่าคิด ดังนั้นถ้าจะลงทุน ให้ดูเทียบกับ

1. Dividnd Yield บ่งบอกความห่วยของผู้บริหาร ไอ้ที่ไม่ค่อยจ่าย ใน ตลาดไทย เน่าทั้งนั้น
2. Price Per book ต้องดูย้อนหลัง บ่งบอกความนิยม ถ้าเยอะๆ แปลว่าหุ้นแพง แอกนัยก็คือ นักลงทุน ชอบเล่น เช่น Advanc เป็นหุ้นแพงแต่คนชอบเล่น ถ้าปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยน เช่น 3G ตรงนี้ คุณว่า ขึ้นหรือลง เดิมคนใช้มือถือเฉลี่ย 200 บาทต่อ คน ถ้า 3G คนใช้เฉลี่ยเพิ่ม 2 เท่า คุณ ฐานลูกค้า 10 ล้านคน เข้าไป ลงทุนเพิ่มเล็กน้อย ลองคิดดูว่า มันดีหรือไม่ดี
3. ดูอนาคต อย่างที่กล่าวมา เช่น Advanc กับ 3G / PTT กับ การบริโภคน้ำมันก่อนที่มันจะหมด / ประกันชีวิต เทียบกับ GDP ของประเทศที่เจริญแล้วกับเรา / โรงกลั่นกับ ค่าการกลั่นขาลง ว่ามันลงตลอดชาติ หรือมันขึ้นลงเป็น Cycle คือถ้าใช้สมองเล็กน้อยก็จะรู้ว่า เราควรซื้อหุ้นพวกนี้ใน Cycle ขาลงเพื่อขายในขาขึ้น หรือจะซื้อตามที่นักวิเคราะห์แนะ(ซึ่งสวนทาง)
4. ดูดวง ว่าคุณ โชคดี หรือไม่ หลายคนสงสัยว่าทำไมเมืองไทยไม่มี Warren Buffet คือตอบง่ายๆคือ 15 ปีที่ผ่านมาก เทียบกับปีก่อน 2540 ตลาดไทยยังอยู่ในช่วงขาลงอยู่เลย ถ้าดูอเมริกา ช่วงที่ตลาดผ่านจุดต่ำสุด หลังจากที่เปิดตลาดไม่นานมาก

จากนั้นใช้เวลา 30 ปี จึงขึ้นมายืนที่จุด peak เดิม ซึ่งถ้าบ้านเราโชคดี นั้นหมายถึง เราอาจกลับมายืนที่ SET 1600 จุด ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ถ้าคน Shift การลงทุนออก จากอเมริกา และ Middle East มาลงใน เอเชีย เราคงได้ประโยชน์บ้าง การที่เราอยู่ในตลาดตั้งแต่วันนี้ แน่นอนภายใน ยี่สิบปีข้างหน้า เราอาจมี Thailand Warren Buffet ได้ เช่นกัน

-- คนนั้นอาจเป็นผมหรือ คุณ ฮ่า ฮ่า ฝัน -- อย่างไรก็ตาม หากเงินคุณเป็นเงินฝาก คงไม่ได้ประโยชน์ อะไร แต่ถ้าเงินคุณ อยู่ใน Stock อันนี้มาลุ้นกันว่า ตัวไหนจะยังคงอยู่ในอีก 20 ปี ข้างหน้า การลงทุนก็เหมือนการซื้อ หวย แต่โอกาสถูกสูงกว่ามาก มาลุ้นกันดูนะครับ ( ผมคนนึงละที่จะลองวัดดู)

เปิด Port กันดู

ผมถือ Advance / PTT /PTTAR / IRPC /TOP / BLA ซื้อมาช่วงปี 2552 ซึ่งก็กำไรอยู่เล็กน้อย แต่ถ้าเทียบกับตลาดโดยรวม ถ้าผมขายทั้ง Port ตอนนี้ แล้วเอาเงินออกมา คำถามที่เกิดขึ้นคือ - คุณจะเอาเงินไปวางที่ไหนที่สามารถชนะ Inflation ได้ คำตอบ ก็คือ หุ้นนั่งเอง นอกจากนั้นไม่ได้เรื่อง ในที่สุดผมก็เอากำไรที่ได้เต็มๆจากปี 2552 กลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง และครั้งนี้ตั้งใจว่า ถ้าเงินฝาก/หุ้นกู้หรือพันธบัตรให้ผลตอบแทนมากกว่า Inflation เมื่อไหร่จะขายหุ้นทิ้งทั้งหมดแล้วเอาเงืนไปซื้อ
คิดง่ายๆปีนี้คาดว่า Inflation อยู่ประมาณ 3 - 4 % ถ้าใช้สมองอันน้อยนิดของผมคิด ก็มองไม่ออกว่าจะเอาเงินไปลงที่ไหนที่จะชนะ Inflation คิดง่าย คนรวย 90% ของประเทศ ที่Retire ด้วยเงินก้อน ไม่มีใครสามารถชนะ Inflation ได้เลย ( คนที่สามารถรักษาความรวยได้มีแต่ คนที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น ไม่เชื่อลองหาข้อมูลดู)ถ้าคุณแน่เราจะตามไปดู ครับท่าน

หุ้นปี 2553

ปีนี้ตลาดเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จะว่าไปแล้วตลาดหุ้นมีช่วงหลักๆอยู่แค่ 4 ช่วง เท่านั้น เริ่มจาก ช่วง1 Introduction of Bull เริ่มในช่วงที่ตลาดห่วยสุดๆ ทุกคนวิ่งหนีออกจากตลาด ดังนั้นใครก็ตามที่เป็นชาว สวนในปีที่ผ่านมา 2552 ก็ยิ้มกันถ้วนหน้า ที่ตลาดโดยรวมขึ้นเกือบ 60 %
ช่วง 2 Growth คือ ช่วงที่ตลาดอยู่ในภาวะสงสัย หุ้นก็จะไต่ไปเรื่อยๆ ปี 2553 นี่เอง
ช่วง 3 Maturity คือ ช่วงตลาดเริ่มอิ่มตัวจะไม่ค่อยขึ้นมากแล้ว เพราะคนส่วนใหญ่เริ่มรู้สึกดี อยากเสี่ยงทำให้คนมาซื้อหุ้นจำนวนมาก ตอนนี้ต้องหาจัวหวะขาย
ช่วง 4 Decline คือ ช่วงหุ้นพัง คือ อยู่ในภาวะที่ทุกคนรู้สึกว่า เศรษฐกิจดี ใครๆ ก็อยากเล่นหุ้น คนที่ไม่เคยเล่นก็กระโดด เข้า ตอนนี้มีหุ้นเท่าไหร่ขายทิ้งให้หมด เหมือนปี 2540 ตอนนี้ใครอยู่มีแต่ตายกับตาย
แน่นอนมองดูง่ายแต่ เวลาของ ช่วงต่างๆต่างหากที่ใครทายถูก จะรวย รวยขั้นเทพเลยก็ว่าได้
ปีนี้ผม รู้สึก Bull มาก กับหุ้น Energy และ Telecom พูดได้ว่าลงหมดหน้าตัก เอาเป็นว่าหลังจากนี้ต้องรอดูว่าผลจะเป็นอย่างไร โชคดีล่ะ

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ