แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ทำไมคนรุ่นใหม่ คิดต่างจากเรา



‘ทำไมคนรุ่นใหม่ คิดต่างจากเรา ?’


ผมไปดูคลิปของ Dan Ariely ศาสตราจารย์และนักเขียนชื่อดังในเรื่องของ Behavioral Economics หรือ เศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรม ...เขาอธิบายไว้อย่างน่าสนใจมากว่า


‘การตัดสินใจในการใช้เงินของแต่ละ Generation ..ที่คนแต่ละช่วงอายุ หาเงิน เก็บเงิน ใช้เงินไม่เหมือนกัน ..ไม่ได้เกิดจากสมอง หรือ ที่เรามักพูดกันว่า คนรุ่นใหม่ใช้เงินไม่เป็น ..มันไม่ใช่ในแบบที่เราคิด แต่หลักๆ มันเกิดจาก สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน’


พ่อแม่มักจะพูดว่า เด็กยุคนี้ ใช้เงินไม่เป็น ...มองแต่ระยะสั้น ไม่สนใจระยะยาว ...เรื่องนี้เขาอธิบายไว้ดังนี้


1. คนที่เกิดในยุคก่อน อสังหาริมทรัพย์ หรือ บ้าน ราคาไม่สูง เมื่อเทียบกับเงินเดือน ...ดังนั้น ไม่แปลกที่คนสมัยก่อนจะ กู้ซื้อบ้าน แล้วได้กำไร สามารถร่ำรวยและชีวิตมั่นคง จากการมีบ้าน ...แต่ถ้าเรามองไปรอบๆ จะพบว่า ยุคนี้ ราคาบ้าน เทียบกับเงินเดือนเริ่มต้นจะพบว่า ‘ราคาบ้านแพงเกินไป’ ...ถ้ากู้ซื้อบ้านในวันนี้แล้วหวังว่า จะรวยแบบคนยุคก่อน แทบเป็นไปไม่ได้ ทำให้คนยุคนี้ไม่อยากกู้ซื้อบ้าน 


ก็เพราะเขาคิดคำนวณแล้วว่า มันไม่คุ้ม ...ไม่ใช่เขาไม่ฉลาด แต่เขาคำนวณว่าไม่คุ้ม ...สู้เอาเงินไปลงทุนทำธุรกิจ หรือ ซื้อหุ้น อาจจะคุ้มกว่า


พอพ่อแม่ เห็นลูกคิดแบบนี้ ก็ตีความว่า ‘คนรุ่นใหม่ ชอบความเสี่ยง ชีวิตเสี่ยง’ ...ลองสมมุติว่า ถ้าเอาคนรุ่นนี้ ไปเจอราคาบ้านเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เราก็พอจะเดาได้เลยว่า คนรุ่นใหม่ ก็คงจะซื้อบ้านเหมือนกัน เพราะ ราคาบ้านเมื่อ 20 ปีที่แล้ว มันคุ้มที่จะลงทุน


ใช่!! ...สาเหตุหลักๆ คือ ‘สภาพแวดล้อม’ ณ จุดที่เราอยู่นั่นเอง


2. ‘คนรุ่นใหม่ ใช้เงินเปลือง’ ...ก็เพราะ ชีวิตประจำวันเราตั้งแต่ออกจากบ้าน มันอยู่ท่ามกลางการซื้อขาย ...ทุกธุรกิจรอบๆ ตัวเรา ทำทุกวิถีทางให้เราจ่ายเงินซื้อสินค้าวันนี้เลย ทั้งลด แลก แจก แถม และ การโฆษณา ...ก็ไม่แปลกที่ คนยุคนี้จะไม่เก็บเงิน ..ก็เพราะ ณ เวลานี้ มันคุ้มที่จะซื้อมากกว่าเก็บ 


ดังนั้น คนในยุคนี้ นอกจากไม่เก็บเงิน ยังมีแนวโน้มที่จะ ‘กู้เพื่อซื้อ ยอมเป็นหนี้เพื่อซื้อของ’


ที่เล่าเรื่องนี้ เพื่อที่จะอธิบายว่า ‘ทำไมคนรุ่นใหม่ ไม่ลงทุน และ ก็ไม่เก็บเงิน’ ...เพราะ สิ่งแวดล้อมมันจูงใจให้เขาทำแบบนั้น นั่นเอง 


‘ถ้าถามว่า มันดีไหม ถ้าเราจะทำตามสิ่งแวดล้อม ?’


- คำตอบ คือ ‘มันไม่ผิด แต่มันไม่ดี’ เพราะ ผลลัพธ์ถ้าคนรุ่นใหม่ ไม่เก็บเงิน แล้วไม่ลงทุน ...เราก็พอจะคาดคะเนได้ว่า คนรุ่นนี้ จะไม่รวย และไม่มีเงินเก็บในอนาคต


คนสมัยก่อน ทำงาน ซื้อบ้านลงทุน สุดท้ายเราเลยเห็นว่า คนสมัยก่อนจำนวนมาก มีทรัพย์สิน มีความร่ำรวย คือ ‘แก่แล้วสบาย’ เพราะ คนยุคก่อน ...ทำงานเยอะ ใช้เงินน้อย แถมลงทุนซื้อทรัพย์สิน 


แต่คนสมัยนี้ ทำงานสบาย ใช้เงินเยอะ แถมไม่ลงทุน ..สิ่งที่เราจะเห็นในอนาคตก็คือ 


- คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ จะเป็นหนี้ ยากจน ไม่มีทรัพย์สิน ...แถมสุดท้ายพบว่า หลายๆ อย่างที่ยอมเป็นหนี้ซื้อมา มันไม่ได้มีค่านอกจากเป็นขยะ 


ครับ!! ...เราไม่ต้องไปถามหมอดูหรอกว่า อนาคตลูกเราจะรวยไหม ...แค่ดู พฤติกรรมการใช้เงิน และ การลงทุน เราก็พอจะเดาได้แล้วว่า อนาคตของเขาจะเป็นยังไง กับการใช้เงินนั่นเอง


- คนรุ่นใหม่ ในอนาคต จะ ‘รวยกระจุก จนกระจาย’ ..คนส่วนใหญ่จะจน เพราะ ไม่เข้าว่า เขาติดกับดักทางความคิด แบบที่เล่ามา โดยใช้ข้ออ้างว่า ใครๆ ก็ทำกัน ...ใช่!! มันไม่ผิด แค่ผลลัพธ์มันไม่ดี มันทำให้ชีวิตยากจน ก็เท่านั้นเอง 


- คนรุ่นใหม่ ส่วนน้อยที่เข้าใจสิ่งที่เล่ามา จะรวยมาก เพราะ เขาใช้ชีวิตที่เอื้อให้เขาร่ำรวย ...ดังนั้น ไม่ใช่โชค หรือ ดวง แต่มันคือ วิถีชีวิตที่แต่ละคนเลือก


- คนรวยส่วนน้อย จะครอบครอง สินทรัพย์ทั้งหมด ซึ่งตรงนี้จะทำให้ เขายิ่งรวย และ ยิ่งมีอำนาจเมื่อเวลาผ่านไป ...เพราะ สินทรัพย์ จะยิ่งสร้างรายได้ และ ผลตอบแทนมากขึ้นเรื่อยๆ ตาม ค่าเช่าที่สูงขึ้น ..ราคาที่แพงขึ้น


‘คำถาม คือ แล้วมีทางแก้ไหม ?’


ผมคุยกับ นักวางแผนการเงินหลายๆ คน ก็เห็นตรงกันว่า 


‘ไม่มีทางแก้สำหรับทุกคน แต่มีทางแก้ เฉพาะแต่ละคน’


- คนที่เลือกที่จะ ลงทุนระยะยาว เช่น ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือ ออมในหุ้น ก็จะชนะในเกมนี้ 


เพียงแต่ การลงทุนในปัจจุบัน จะทำแบบในอดีตไม่ได้ เพราะ เราอยู่ในยุคที่ ไม่มีสินทรัพย์ราคาถูก ดังนั้น ต้องเรียนรู้วิธีที่จะ หาของถูก เช่น เข้าใจจังหวะในการซื้อ (ซื้อเวลาคนกลัว / ซื้อเวลาเกิดวิกฤต) 


สรุปว่า ยุคนี้โลกอยู่ยากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่า เราต้องยอมแพ้ เพราะโอกาสมันมีในทุกยุค ทุกสมัย ที่เปิดไว้ให้ คนที่กล้ามองการไกล กล้าแตกต่าง ...จึงจะสามารถเป็นผู้นำ และ สร้างความสำเร็จในชีวิตได้


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

วิธีคิดที่ไม่ธรรมดา ของคุณ สุระ แห่ง Banana IT



วันนี้มีโอกาสได้คุยกับ คุณ สุระ ผู้ก่อตั้ง Com7 เจ้าของ ร้านในเครือ Banana IT ..เดี๋ยวนะ อันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการมาเชียร์หุ้น แต่จะมาเล่ามุมมองวิธีคิดของเจ้าของให้ได้ศึกษากัน


คุณ สุระ เริ่มต้นชีวิตผู้ประกอบการ จากร้านขายคอมพิวเตอร์ใน พันทิป พลาซ่า (ถ้าใครเกิดทัน สมัยก่อน ถ้าใครจะซื้อคอมพิวเตอร์ ก็ต้องไป พันทิป พลาซ่า เพราะเรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวม อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในยุคนั้น)


จากร้านขายคอมพิวเตอร์เล็กๆ จนก้าวขึ้นมาสร้าง Brand Banana IT ที่วันนี้นับเป็นหนึ่งใน เชนร้านขายคอมพิวเตอร์และมือถือ ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น มูลค่าบริษัทอยู่ประมาณ 20,000 ล้านบาท ณ วันที่คุยกัน นับว่า ‘ไม่ธรรมดา’


พูดถึงร้านขายคอมพิวเตอร์ เราจะเห็นภาพของ ธุรกิจ SME ที่เจ้าของ ทำเอง ประกอบเครื่องเอง ...การขยายสาขาจนวันนี้มีร้าน Banana IT กว่า 400 สาขา ครอบคลุม เกือบทุกห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ ..แล้วยังคง ขยายอย่างต่อเนื่องทุกๆปี 


ล่าสุด Banana IT จับมือกับ KBANK และ ร้าน True Cafe ให้มาร่วมกันขยายสาขา ..ทำให้คนสงสัยว่า มันคืออะไร ทำเพื่ออะไร ...ในยุคนี้ที่ธนาคาร และ ธุรกิจต่างๆ พยายามลดจำนวนหน้าร้านลง แล้วขายออนไลน์ แต่คุณ สุระ กลับเปิดเพิ่ม และ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดขยาย


ผมเลยยิงคำถามตรงๆ ไปเลยว่า ‘ต่อไปออนไลน์ กำลังมากินยอดขายของสาขา แต่ทำไม Banana IT ถึงทำตรงข้าม ?’


คุณ สุระ เล่าให้ฟังว่า ..’อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าผม ไม่ให้ความสำคัญกับออนไลน์ ...ในส่วนของออนไลน์ คุณสุระ ก็ให้ความสำคัญเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของการขยายสาขาเช่นกัน’


‘งง ? ...แล้วออนไลน์ มันมาร่วมกับหน้าร้านยังไง ..ในเมื่อ หน้าร้านมีต้นทุนที่สูงกว่า ในขณะที่ออนไลน์เน้นการตัดราคา ...มันเหมือน ตรงข้ามกันหรือเปล่า ?’


พอถามไปแบบนี้ คุณ สุระ เริ่มอธิบายอย่างละเอียดเลยว่า สินค้าแต่ละชนิด ไม่เหมือนกัน เราต้องเข้าใจธรรมชาติของแต่ละสินค้าก่อน 


เช่น ถ้าเป็นเสื้อผ้า หรือ Fashion การขายออนไลน์ มันเข้ามาแข่งกับหน้าร้านโดยตรง เพราะ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ ความหลากหลายของสินค้า ...วันนี้เราจะเห็นว่า บางคนเปิดขายหน้าร้าน ต้นทุนสูง ทำให้เอาสินค้ามาวางไม่หลากหลายแถมราคาสูงกว่า 


แบบนี้คนซื้อก็จะเลือกซื้อออนไลน์ เพราะ 

1. ถูกกว่า

2. หลากหลายกว่า 


แต่ถ้าเราพูดถึง คอมพิวเตอร์ หรือ มือถือ ที่ไม่ว่าจะซื้อที่ไหน มันก็เหมือนกัน ...ยกตัวอย่าง ถ้าซื้อ iPhone ไม่ว่าคุณจะซื้อที่ไหน มันก็คือแบบนั้น ทำให้แข่งกัน 2 เรื่อง คือ

1. ราคา

2. การบริการ


สินค้าอย่าง เทคโนโลยี พอมีเรื่องการบริการ คนซื้อก็จะเลือกมากขึ้น นอกจากแค่ราคา เขาต้องเลือกคนขายที่น่าเชื่อถือ และ ดูแลเขาหลังการขายได้ อันนี้หน้าร้านก็มีส่วนช่วยในการตัดสินใจ


คุณสุระ เล่าให้ฟังว่า สินค้าอย่าง มือถือ ยอดขายที่เราเห็นทั้งระบบ เลย ของประเทศไทย ขายมือถือกันปีละ 200,000 ล้านบาท ...คอมพิวเตอร์แต่ละปีอยู่ที่ 200,000 ล้านบาท เหมือนกัน ...รวมกันทั้งหมด 400,000 ล้านบาท มียอดขายออนไลน์ แค่ 5% 


นี่ขนาดเราเห็นว่า ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็น Lazada หรือ เว็บออนไลน์ แข่งขันกัน ลด แลก แจก แถม ก็มียอดขายรวมแค่ 20,000 ล้าน หรือแค่ 5% เท่านั้น


ที่เอาตัวเลขของตลาดมาให้ดู เพื่อให้เห็นภาพว่า 

ก่อนจะวางแผนออนไลน์ ต้องเข้าใจตลาดรวมก่อน ...ดังนั้น สินค้าที่ Banana IT ขาย จะต้องขยายควบคู่กันทั้ง 2 ช่องทาง ...ยกตัวอย่าง สาขาเล็กของ Banana IT บางครั้งก็ไม่ได้วางขายทุกสินค้า แต่ลูกค้าสามารถสั่งสินค้าออนไลน์ แล้วมารับที่สาขา ทำให้สะดวกมากกว่า 


คิดง่าย คุณจ่ายเงินหลักหมื่น ถ้าซื้อออนไลน์ อย่างเดียว คนอาจไม่มั่นใจ แต่ที่ซื้อสินค้าหลักร้อย อันนั้นจ่ายง่ายไม่ต้องคิด


ผมฟัง คุณ สุระ อธิบาย ทำให้รู้เลยว่า ทุกการตัดสินใจในธุรกิจ ต้องรู้จริงในสิ่งที่ทำอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่ทำธุรกิจตามกระแส 


ผมเลยถามว่า ‘อะไรคือ จุดแข่งของ Banana IT ที่ทำให้เติบโตจากร้านขายคอมพิวเตอร์เล็กๆ ในพันทิป จนกลายเป็น ธุรกิจ 2 หมื่นล้านได้ ?’


1. การพร้อมเปลี่ยนแปลง ...อันนี้คือ จุดแข็งของ Banana IT เลย ...จะเห็นว่า จากเดิมขายคอมพิวเตอร์ประกอบตั้งโต๊ะ ...มาเป็นผู้ขาย iPhone ทีใหญ่ที่สุดในประเทศ ...แล้วที่หลายคนอาจไม่รู้ คือ หนึ่งสิ่งที่ทำกำไรให้ Banana IT อย่างมหาศาล คือ การขาย SIM (คิดง่ายๆ Banana IT ขาย SIM ให้บริษัท TRUE ปีละ 200,000 คน) ....ที่เล่าให้ฟัง เพื่อจะชี้ให้เห็นภาพว่า ธุรกิจที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลง แปลว่า ต้องไม่จำกัดตัวเอง จากความสำเร็จเดิม 


อย่างเคยขายคอมเยอะ วันนี้ ขายมือถือมากกว่า ...เดิมที iPhone ขามากที่สุด วันนี้ Android เริ่มแซง ...’ถ้าอนาคต อะไรที่มา อันนั้น Banana IT ต้องขายมากที่สุด โดยไม่ได้จำกัดแค่ คอม หรือ มือถือ’


2. การกล้าทดลองสิ่งใหม่ๆ แล้ว พร้อมหยุดทำ ไม่ดันทุรัง ...สินค้าอย่าง IT เปลี่ยนแปลงเร็ว ดังนั้น Banana IT ต้องพร้อมทดลองสิ่งใหม่ๆ ...ถ้าดีก็รีบขยาย ...ถ้าไม่ดีก็หยุดทำ ...เช่น


- เปิดร้านใหม่ ถ้าไม่ดี ก็พร้อมปิด เพราะ Banana IT ไม่ได้ลงทุนการตกแต่งเยอะ จะเน้นที่เรียบง่าย ...อุปกรณ์ในร้านสามารถปรับเปลี่ยนได้ทันที


- 7/10 ...การทดลองสิ่งใหม่ เราเถื่อไว้เลย 7/10 คือ ขอแค่ถูก 3 ใน 10 ครั้ง ก็คือ สำเร็จแล้ว เพราะ ทุกครั้งที่พลาด เราเตรียมจำกัดความเสียหายไว้เรียบร้อย


3. การกล้า Partner กับธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้อง ให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน


- TRUE Cafe เขาอยากขยายร้าน แต่บางสาขาก็ไม่กำไร ดังนั้น เราเสนอ Model ให้มาใช้พื้นที่ร่วมกัน ก็ลดต้นทุนทั้งคู่แถมแบ่งลูกค้า


- การขาย SIM ก็เหมือน การช่วย คู่ค้า ซึ่งคือ TRUE ในการหาลูกค้าเพิ่ม ...ลูกค้าได้ส่วนลด ..TRUE ได้ลูกค้าใหม่ ...Banana IT ได้ส่วนแบ่งกำไร ...ทุกคนได้ประโยชน์


- ธนาคารอย่าง KBANK เขาอยากปิดสาขาที่ไม่คุ้ม เช่น สาขา Stand Alone เราก็เสนอให้เขามาแบ่งที่เช่าในห้าง ...ลูกค้าธนาคารสะดวกขึ้น เพราะ ธนาคารเปิดยาวขึ้น ...ค่าเช่าก็ลดลง ..แถมแบ่งลูกค้ากัน  


- ร้านมือถือ Stand Alone ...เช่น ร้านมือถือตู้ หรือ ร้านที่เปิดตามห้องแถว ...วันนี้เราก็เสนอ Model Franchise ...ทาง Banana IT ได้คนช่วยขาย ...คนช่วยขาย เขาก็ต้นทุนทำธุรกิจต่ำลง ...คราวนี้ จากที่เราไม่สามารถเข้าไปขายในพื้นที่ห่างไกล เพราะ ไม่คุ้ม ...ต่อไปก็จะคุ้ม ...


....


มีมากกว่านี้ เล่าไม่หมด 


คุณ สุระ เล่าไป ผมก็นั่งฟัง เหมือน กำลังเรียน วิชาการตลาด จากผู้ประกอบการที่รู้จริงทำจริง ...แถมเป็นความรู้ ที่มาจากการลองผิดลองถูก ...เรียกว่า เป็นตำราการตลาดที่เดินได้จริงๆ


4. จุดแข็งของ Banana IT คือ ‘ระบบ’ ...คุณ สุระ เล่าให้ฟังว่า สมัยที่ยังเป็นร้านเล็กๆ ในพันทิป ก็เริ่มคิดในเรื่องของการสร้างระบบ คุมสต็อกสินค้า ...ก็ให้หุ้นส่วนคนนึง ที่เป็น IT เขาเขียนโปรแกรม เพื่อให้เห็น สต็อคสินค้า ...คุณ สุระ บอกว่า เขาเป็นร้านแรกๆ ที่คุม สต็อคได้ดีมาก เพราะ เห็นตลอดว่าขายอะไรไป เหลือเท่าไหร่ อะไรขายก่อน หลัง ...ด้วย ‘ระบบ’ นี่แหละ ที่ทำให้คุณสุระ เริ่มจาก 1 ร้าน จนมี 15 ร้าน ในพันทิป ...ใช้ สต็อคเดียวกันหมด ...จากนั้น พอเริ่มขยายไปข้างนอกก็พัฒนาระบบขึ้นเป็นออนไลน์ทั้งหมด


โอวว !! แข็งมาก ...


คุณหยง นั่งฟังแบบเงียบ เก็บข้อมูลตลอด ...ก็ยิงคำถามสำคัญว่า ‘อะไรคือ Tipping Point ในชีวิต ที่ทำให้คุณสุระมีวันนี้ ...ชีวิตเติบโต ร่ำรวยแบบก้าวกระโดด’


คุณ สุระ บอก มี 2 เรื่อง 


1. ‘คือหนี้ !!’ ...ก่อนตัดสินใจเข้าตลาดหุ้น มีหนี้ส่วนตัวจากการขยายธุรกิจอยู่ 2,000 ล้านบาท ...เพราะ อย่างที่รู้กันว่า สินค้า IT ราคาแพง และ กำไรน้อย ...ทำให้การขยายต้องใช้เงินทุนสูงมาก ...พอหนี้โตถึงจุดนึง จึง คิดว่า การเข้าตลาดคือ ‘ทางไปต่อ’ เพราะ ลดหนี้ลง แล้วใช้เงินจากนักลงทุนมาขยายต่อ


การเข้าตลาดทำให้ Banana IT มีเงินมาขยายต่อ แล้วสร้าง Brand จนแข็งแรง อย่างในปัจจุบัน


2. ‘บทเรียนหุ้นลง หลังจาก IPO’ ...อันนี้คุณ สุระ บอกจำจนตาย ....คือ ก่อนเข้าตลาด มีทั้งกองทุนและ นักลงทุนจำนวนมาก อยากได้หุ้น IPO แต่พอเข้าตลาดไป พอหุ้นวิ่งขึ้นเท่านั้นแหละ ทุกคนขายทิ้งหมดเลย ..จนราคาหุ้นลงไปต่ำกว่าราคา IPO


คุณ สุระ พยายาม จะหาคำตอบ ก็เดินสายไปคุยกับทั้งนักลงทุนรายใหญ่ และ กองทุน เพื่อจะถามว่า ทำไม ขายหุ้นทิ้งกันหมด 


พบคำตอบก็คือ ‘เขาแทบไม่เคยเห็นธุรกิจ ขายคอม ขายมือถือ บริษัทไหนที่เข้าตลาดแล้วดีเลย !!’


คำตอบนี่แหละ ที่ทำให้คุณ สุระ ตั้งใจว่า ‘เขาจะไม่ใช่แค่ร้านขายคอม หรือ ขายมือถือ ธรรมดา ...แต่เขาจะทำ Banana IT เป็นธุรกิจขายเทคโนโลยี โดยไม่ยึดติดว่าต้องเป็นอะไร ...แล้วกล้าเปลี่ยนแปลง และ ทดลองสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา’


นี่คือ คือ คุณ สุระ ....ผู้ประกอบการ ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แล้วสามารถสร้างตัวจากร้านคอมเล็กๆ เป็นอาณาจักร 20,000 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน


ย้ำอีกที่ นี่ไม่ใช่บทความที่เขียนมาแนะนำหุ้น แต่เขียนมาแชร์มุมมอง การสร้างตัว สร้างธุรกิจ และ วิธีคิด ของ Self-made แถวหน้าอีกคนของเมืองไทย  ....คุณ สุระ คณิตทวีกุล


คำนับ 2 จอก !!! 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ความสำเร็จกินความล้มเหลวเป็นอาหาร



‘สูตรสำเร็จ แห่งการพัฒนาตัวเอง’


ยุคนี้ประสบการณ์ สำคัญกว่า ความรู้ 


‘การค้นหา (Google) + ท่องจำ’ = ‘ความรู้’ 


แปลว่า ความรู้ตามกันทัน ..ยิ่งขยัน ยิ่งเพิ่มพูน


‘ความล้มเหลว + การเรียนรู้’ = ‘ประสบการณ์’


‘ความล้มเหลว + ไม่เรียนรู้’ = ‘เสียเวลา’


‘ความล้มเหลว + การโทษคนอื่น’ = ‘ไร้ค่า’ 


‘ประสบการณ์’ จึงไม่สามารถ ส่งต่อเหมือน ‘เงินทอง’


การจะได้มาซึ่งประสบการณ์ จึงต้องอาศัย ..การปฏิบัติ ลองถูก ลองผิดด้วยตัวเราเอง


‘ชัยชนะ’ เป็นเรื่องดี ...แต่ชัยชนะ ไม่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ ...ดังนั้น ชัยชนะ จึงเป็นเพียงรางวัลที่ผ่านเข้ามา แล้วก็ผ่านไปในชีวิต


‘ความล้มเหลว’ สร้างความเจ็บปวด ...แต่ความล้มเหลว เป็นครูที่ดี ...เพราะ คนเราจดจำได้ดี เมื่อเจ็บปวด ...คนที่ก้าวหน้า จึงเป็นคนที่ชอบทดลองทำสิ่งใหม่ๆ ...หาความรู้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ...ลองผิด ลองถูก แล้วเรียนรู้ เติบโตจากจ้อผิดพลาด


ดังคำพูดที่ว่า ‘พาหนะสู่ความสำเร็จ’ กินความล้มเหลวเป็นเชื้อเพลิง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

6 เรื่องต้องเข้าใจ เรื่อง ‘งาน และ ผลตอบแทน’



6 เรื่องต้องเข้าใจ ของเรื่อง ‘งาน กับ ผลตอบแทน’ 

1. ‘งานที่ใครๆ ก็ทำได้’ ...งานแบบนี้ จะเป็นงานที่ค่าจ้างต่ำ ...ขยันเท่าไหร่ก็ไม่รวย ...งานของใครเป็นแบบนี้ ต้องเร่งพัฒนาความรู้และทักษะ เพราะ คุณไม่ควรทำงานแบบนี้ตลอดไป ต้องพัฒนา ต้องปรับปรุง

2. ‘งานที่ใครๆ ก็ทำได้ แต่เราทำได้ดีกว่า’ ...งานแบบนี้ รายได้สูงขึ้น แต่งานไม่มั่นคง เพราะ งานจะขึ้นกับตัวเรา ...หยุดทำไม่ได้ 

3. ‘งานที่มีเราเท่านั้นที่ทำได้’ ...งานแบบนี้หายาก แต่รายได้ดี และ มีความมั่นคงสูง ...มักเป็นงานที่ต้องอาศัยประสบการณ์ ใช้ทักษะมาก หรือ ใช้เทคโนโลยีสูง 

4. ‘งานที่ไม่ทำก็ได้เงิน’ ...แปลว่า เราได้สร้างสินทรัพย์ ให้มันทำงานแทนเราแล้ว ...ทักษะและประสบการณ์แบบนี้ ยิ่งเริ่มศึกษาเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้เปรียบ

5. ‘งานที่ทำแล้วได้ใจ’ ...งานแบบนี้ อาจไม่ได้เงิน แต่ทำแล้วได้โอกาส และ สร้างความสุข ...ยิ่งงานที่เราทำ สร้างโอกาสและได้ใจคนจำนวนมากเท่าไหร่ ...งานนั้นก็ยิ่งสร้างโอกาสมหาศาลแก่ผู้ทำ

6. ‘งานที่ทำแล้วได้ความรู้’ ...งานแบบนี้ เหมาะกับคนที่ชอบความก้าวหน้า ...คนที่พัฒนาตัวเองไม่หนุด ก็คือ คนที่มีอนาคตนั่นเอง

นี่คือ 6 ลักษณะงานที่เราควรทำความเข้า เพื่อให้เข้าใจ ‘งาน’ ที่เราทำอย่างถ่องแท้

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

9 เรื่องของงานและธุรกิจยุคใหม่ ที่ควรใส่ใจรับมือ



‘ยุคต่อไป งานเกิดใหม่ จะมีมากกว่า คนทำงาน’


ถ้าใครติดตามข่าว เรื่อง การจ้างงานในอเมริกา จะเจอข่าวว่า ‘ล่าสุดตัวเลข งานที่เกิดขึ้นใหม่ มีมากกว่า คนทำงานแล้ว ...แต่ค่าแรงแทบไม่เพิ่มขึ้น’ 


- ปกติตามหลักเศรษฐศาสตร์ ..ถ้ามีตำแหน่งงานมากกว่า คนงาน ..ค่าจ้างก็ต้องเพิ่มขึ้น เพราะนายจ้าง ก็ต้องขึ้นค่าจ้าง เพื่อดึงดูดคนงานให้มาเติบเต็มตำแหน่งงานที่ว่าง 


- แต่ถ้าค่าจ้างไม่ขึ้น ก็แปลว่า ‘มันอาจจะไม่คุ้มที่ขึ้นค่าแรง’ ในประเทศไทยธุรกิจจำนวนมากเป็นแบบนี้ โดยเฉพาะ SME 


1. ธุรกิจ SME จำนวนมาก เลือกที่เลิกทำ ...เพราะ หาคนงานไม่ได้ , ลูกๆ ไม่ยอมทำต่อ เพราะ งานอาจไม่ท้าทาย ไม่มีอนาคต หรือ ไม่ชอบสิ่งที่พ่อแม่ทำ


2. ธุรกิจ SME จำนวนมาก เริ่มที่จะไม่คุ้มในการทำธุรกิจต่อ ...เดิมทีธุรกิจนี้อาจส่งลูกเรียน และเลี้ยงทั้งครอบครัว แต่เมื่อตลาดเปลี่ยน ยิ่งทำเงินยิ่งลด กำไรยิ่งหายยนถึงจุดที่ไม่คุ้มทุนอีกต่อไป


3. ธุรกิจ SME จำนวนมาก ถูกทดแทนด้วย ธุรกิจออนไลน์รุ่นใหม่ ที่ขายของถูกกว่า ส่งของเร็วกว่า เพราะต้นทุนการดำเนินงานต่ำกว่า ...แถมตอบสนองลูกค้าได้ดีกว่า เพราะ ธุรกิจออนไลน์ที่รอดแล้วรุ่งส่วนใหญ่ จะทำธุรกิจที่เฉพาะเจาะจง เลือกตลาดชัด เลือกลูกค้ากลุ่ม Niche ทำให้นำเสนอสินค้าที่โดนใจกว่า


ที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อจะชี้ให้เห็นว่า 


“9 เรื่อง ของงานและธุรกิจยุคใหม่ ที่ควรใส่ใจรับมือ”


1. การเอาแต่เรียน เพื่อที่หวังว่า วันนึงจะมีนายจ้างที่ดี จะมาจ้างงานเงินเดือนสูง และ มั่นคง อาจจะไม่มีอีกต่อไป ...ยุคนี้ต้องเรียนไป แล้วมองหาโอกาสไปด้วย 


2. ใครๆ ก็เริ่มต้น ธุรกิจได้ ...ไม่มีอายุจำกัด ถ้าเห็นโอกาสก็เริ่มธุรกิจ หาเงินได้เลย


3. คนยุคนี้ทำหลายได้พร้อมกัน ...เรียนด้วย ทำงานด้วย รับงานเสริมด้วย ตั้งธุรกิจด้วย ทำได้ทุกอย่าง ...จริงๆ ไม่ใช่แค่ทำได้ แต่คนยุคนี้ต้องฝึกทำหลายอย่างได้พร้อมกัน 


4. ยุคนี้ไม่มีใครอยากจ้างคนที่ไม่มีประสบการณ์ ...แปลว่า เราเข้าสู่โลกที่ ประสบการณ์ สำคัญกว่า ความรู้และใบปริญญาเรียบร้อยแล้ว 


5. ไม่มีงานที่มั่นคง เพราะ ความมั่นคงไม่ได้อยู่ที่นายจ้าง แต่อยู่ที่ตัวเรา ...ฝึกทักษะการหาเงิน ที่เริ่มจากตัวเรา อยู่ที่ไหนก็หาเงินได้ 


6. ‘เลิกหางาน เพื่อได้เงิน’ เพราะมันล้าสมัย ...ให้เริ่มจาก มองหาวิธีหาเงิน แล้วสร้างสิ่งนั้นแหละ ให้เป็นงานของเรา


7. โอกาสไม่ได้อยู่ที่งาน แต่โอกาสอยู่ที่ลูกค้า ...ที่ใดมีปัญหารอการแก้ไข แปลว่า ที่ตรงนั้น มีโอกาสทำเงิน


8. ถ้าอยากรวย ให้คิดวิธีมีความสุขจากการหาเงิน ...จำไว้ว่า ใครก็ตามที่มีความสุขจากการใช้เงิน คนนั้นไม่มีทางรวย !!


9. ‘งานที่ไม่สนุก จะถูกทดแทนด้วยเครื่องจักร และ หุ่นยนต์’ ...งานที่ดี ต้อง หนึ่ง สนุก ท้าทาย ..สอง ทำแล้วฉลาดขึ้น ...สาม เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ...เช่น นักบอล จะไม่ถูกแทนด้วยเครื่องจักร หรือ หุ่นยนต์ , เชฟ ขั้นเทพ , นักการเงิน มือทอง , นัก Take Over กิจการ , ที่ปรึกษาภาพลักษณ์ , นักการเมือง , นักการทูต , นักดนตรี , ศิลปะ , วัฒนธรรม , งานบริการระดับสูง , นักพูด , นักเขียน , อาจารย์ที่สอนสนุก , หมอเฉพาะทาง , ...งานที่น่าเบื่อ เท่านั้น จะค่อยๆ หมดไป ถูกแทนด้วย AI และ หุ่นยนต์ ที่ทำอะไร ซ้ำๆ ..ใช้ความแม่นยำ ..ทำไปเรื่อยๆ ...ไม่มีการเรียนรู้เพิ่ม ...งานตามสั่ง และ Yes Man !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

เลี้ยงลูกอย่างไร ให้เป็นมังกร



เลี้ยงลูกอย่างไร ให้เป็นมังกร ? (ไม่ใช่ไส้เดือน)

‘เมื่อพ่อแม่ พยายามจะทำนายอนาคตของลูก’

พ่อแม่ทุกคนย่อมต้องการให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกเสมอ 

..สมัยเด็กถ้าเราอดอยากเราก็อยากให้ลูกเรากินดีๆ 

..สมัยเด็กเราไม่มีเสื้อผ้าสวยๆ เราก็อยากซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ให้ลูก

...สมัยเด็กเราเรียนไม่สูง ประสบความสำเร็จมาด้วยความขยัน ..เราก็อยากให้ลูกได้เรียนโรงเรียนดีๆ เรียนแพงๆ เรียนสูงๆ 

..สมัยก่อนเราไม่มีรถยนต์ดีๆขับ ..เราก็อยากให้ลูกมีรถส่วนตัว ยังเรียนไม่จบเราก็ออกรถให้แล้ว

..สมัยเราทำงานหนัก เงินน้อย ...เราก็อยากให้ลูกทำงานสบาย เงินเยอะ ..แต่มันไม่มี ..งั้นไม่เป็นไร ไปเปิดร้านกาแฟ Slow Life เดี๋ยวพ่อแม่เลี้ยงเอง

นี่คือส่วนนึงของ ‘ปมชีวิต’ ถ้าเราขาดอะไร เราจะเอาสิ่งนั้นไป ยัดเยียดให้ลูกของเรา 

ผลก็คือ ‘ลูกก็จะขาดสิ่งที่เรามี ...แล้วลูกก็จะมีสิ่งที่เราขาด’ (ทะเลาะกันไปเรื่อยๆ เพราะ ความขาด และ คุณค่า มันมองตรงข้ามกัน ...นี่คือตลกร้าย ของพ่อแม่ลูก ในชีวิตจริง !!)

แล้วยังไง ? ...คิดดีๆ ทุกอย่าง เป็นเหตุและผล ของมันเสมอ

คนสมัยก่อน จึง ‘หนักกาย แต่สบายใจ’ เพราะ

1. ‘งานส่วนใหญ่ใช้แรงงาน’ ..พอเลิกงาน ก็เหนื่อยกายจนไม่มีเวลามาเครียดในชีวิต ...ทั้งชีวิตทำงาน เพื่อเก็บเงินสร้างตัว ...สุดท้าย คนสมัยก่อนจึงให้คุณค่ากับความขยัน เก็บออม ไม่ค่อยใช้ ทำให้ร่ำรวย และ มีเงินเหลือเก็บมาก 

2. ‘มีความสุขง่าย’ ...ชีวิตสมัยก่อนไม่ค่อยสะดวกสบาย การมีความสุขจึงง่าย เช่น แค่มีวันหยุด ก็ความสุขแล้ว , นานๆได้กิน ภัตตาคาร ก็มีความสุขแล้ว , ..

คนสมัยนี้ ‘สบายกาย หนักใจ’

1. ‘งานส่วนใหญ่ใช้ความคิด’ ...งานนั่งแต่เก้าอี้ ใช้แต่ความคิด ไม่ได้ออกกำลังกาย ...งานแบบนี้ สะสมแต่ความเครียด และ โรคภัยไข้เจ็บ 

2. ‘มีความสุขยาก’ ...เมื่อทุกอย่างสะดวก งานสบาย คนยุคนี้จึงมีความสุขยาก ...ต้องซื้อของแพงมากๆ ถึงจะแก้ ความทุกข์และความกดดัน ...ชีวิตแข่งขัน ต้องเป็นที่หนึ่ง ต้องสะใจ ...บินไปเที่ยวอีกครึ่งโลก ยังไม่มีความสุขเลย ...คนยุคนี้จึง หาเงินได้น้อย ใช้เงินเยอะ แล้วกู้ส่วนต่าง สร้าง ‘ชีวิตมีแต่หนี้’ 

ทั้งหมดที่เล่ามา เพื่อชี้ให้เห็นว่า ‘ทุกคนมีโจทย์ชีวิตที่แตกต่างกัน ..ปัญหามันเกิดในครอบครัว เพราะพ่อแม่พยายามจะให้สิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก แต่เขาลืมไปว่า ...สิ่งที่ดีที่สุดในความคิดของพ่อแม่ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ลูกต้องการเลย’ 

เรื่องตลก คือ สิ่งที่พ่อแม่พยายามยัดเยียด มักเป็นสิ่งที่ลูกไม่ต้องการ 

สรุปเป็น ข้อคิด สั้นๆ ดังนี้

1. ‘อย่าไปคิดแทนลูก เพราะ ลูกไม่เคยคิดเหมือนเรา’ ...เราแต่ช่วยประคอง ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง แต่ไม่ใช่ไปคิดแทนเขา ....การช่วยประคอง คือ การเลี้ยงลูกด้วย การอธิบาย เหตุ และ ผล ในทุกสิ่งที่เขาสงสัย (การอธิบาย เหตุผลเป็นสิ่งที่เหนื่อย ...การขู่ ง่ายกว่า ...แต่เชื่อเถอะว่า เด็กที่ถูกอธิบาย เหตุผล จะโตขึ้นเป็นคนที่มีเหตุผล เป็นคน Make Sense)

2. ‘อย่ายัดเยียด ถ้าเขาไม่ได้ขอ’ ...หลายๆ ครั้งที่เราพยายามให้สิ่งที่เราคิดว่าดี แต่สุดท้ายสร้างแต่ความรำคาญ ...แปลว่า แทนที่เราจะเลี้ยงลูกโดยใช้แต่ปาก ให้เราใช้หู (ฟังดูบ้าง ว่าจริงๆ เขาต้องการอะไร)

3. ‘ล้มบ้างก็ได้’ ...พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกแบบลูกแหง่ คือ ระวังทุกอย่าง ไม่ปล่อยให้เขาได้ทดลองใช้ชีวิตในแบบที่เขาเลือกเลย ...สุดท้ายลูกที่ถูกเลี้ยงแบบนี้ ไม่เคยโต ...ลองปล่อยให้เขาไปล้มบ้าง แต่บอกให้รู้ว่า วันที่ผิดพลาด ลูกก็ยังมีพ่อแม่อยู่ตรงนี้ (ไม่มีความผิดพลาดใด ที่แก้ไขไม่ได้) 

....สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของ คนที่เลี้ยงลูกแบบไม่ยอมให้ผิดพลาดเล็กๆ ก็คือ สุดท้ายเขาจะผิดพลาดครั้งใหญ่จนไม่สามารถแก้ไขได้ 

4. ‘อย่าเอาความสำเร็จในอดีต ตัดสินอนาคต’ ...เมื่อโลกเปลี่ยน ความสำเร็จในอดีต มักจะเป็นตัวฉุด และ ทำให้อนาคตพังก็ได้ ...การรู้จักเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และ ยอมรับความเปลี่ยนแปลง ทำให้เราเป็นมนุษย์ที่พัฒนาแล้วนั้นเอง

5. ‘อย่าเลี้ยงลูกด้วยเงิน เพราะเงินนั้นจะทำลายลูกเรา’ ...เงินใครๆ ก็อยากได้ เพราะ มันช่วยให้ชีวิตสะดวกสบาย แต่การให้เงินกับเด็กที่ยังไม่พร้อม จะทำให้เด็กเสียคน 

เพราะ เงิน ทำให้เด็ก คิดว่า หนึ่ง ..เขาเก่งกว่าตัวจริงที่เขาเป็น ..สอง เงินจะดึงดูดสิ่งชั่วร้าย เพื่อนไม่ดี คนไม่ดี เข้ามา

‘การจะให้เงินลูก ต้องให้ในวันที่เขาพร้อม’ ...เราจะรู้ว่าลูกพร้อมเรื่องเงิน ก็คือ วันที่เขาจัดการเรื่องเงิน ได้ด้วยตัวของเขาเอง ...วันนั้นแหละ ที่เราให้เงินลูกเพิ่มได้

ใช่!! ทั้ง 5 ข้อนี้ อึดอัด ทั้งพ่อแม่ ...อึดอัดทั้งลูก ...มันจึงเป็น การเลี้ยงลูกให้เป็นมังกร อย่างถูกต้องนั่นเอง

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


ปากท้องวันนี้เริ่มที่ตัวเรา




‘เรื่องปากท้อง ต้องเริ่มที่ตัวเรา’ 


มีการถกเถียงกันเยอะ ระหว่างตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ดูดีวันดีคืน ...กับความรู้สึกจริงๆ ของพ่อค่าแม่ค้า ชาวบ้าน ..ที่รู้สึกว่า เศรษฐกิจมันไม่เห็นดีจริงเหมือนตัวเลข GDP อะไรที่เขาประกาศเลย


อะไรมันเกิดขึ้น ? ...มาดูกัน


1. ‘ผู้บริโภคเปลี่ยน’ จากเดิมมีทางเลือกน้อย ก็ซื้อเท่าที่มีโอกาสเลือก คือ ร้านใกล้บ้าน ..แต่เดี๋ยวนี้ ผู้บริโภคสามารถซื้อออนไลน์ ซึ่งมีทางเลือกมากกว่า ราคาถูกกว่า ...คำถามใหม่คือ ทำอย่างไรให้ธุรกิจเราได้โอกาสจากตลาดออนไลน์ที่เปิดขึ้น ?


- เราต้องลงทุนอะไรเพิ่ม เพื่อเข้าจับโอกาสออนไลน์ ?


- เราต้องเรียนรู้อะไรเพิ่ม เพื่อจับโอกาสออนไลน์ ?


2. ‘คู่แข่งเปลี่ยน’ ..แต่ก่อนทุกธุรกิจก็ทำเหมือนๆ กัน ขายเหมือนๆ กัน ...แต่ยุคนี้ ธุรกิจรุ่นใหม่ 


..หนึ่ง ต้นทุนต่ำกว่า เพราะ วางบนออนไลน์ และ ระบบ 


..สอง โฟกัสกว่า เพราะ ธุรกิจรุ่นใหม่ จะเริ่มจากลูกค้า ต่างกับธุรกิจรุ่นเก่าที่เริ่มจากสินค้า 


(หาสินค้ามาขาย มันหมดยุคแล้ว ..เพราะ นั่นคือ ธุรกิจที่เราคิดนโมเอง ...ยุคนี้ต้องรู้จักลูกค้าอย่างดี แล้ว สนองตอบความต้องการ หรือ แก้ปัญหาให้ลูกค้าอย่างชัดเจน )


สาม ธุรกิจรุ่นใหม่ จะมีของเสียน้อยกว่า ..เนื่องจากลูกค้าชัดเจน จึงคาดคะเน สต็อกสินค้าได้ชัด ไม่ค่อยมีของเสียทิ้ง 


สี่ ธุรกิจรุ่นใหม่ จะโฆษณาถึงกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน ..ยกตัวอย่าง ธุรกิจรุ่นเก่า อาจต้องเสียเงินมหาศาลโฆษณาทีวี แต่ธุรกิจรุ่นใหม่ อาจใช้ สื่อ Social ยิง ถึงกลุ่มลูกค้าชัดเจนเลย ...จ่ายน้อยกว่า สื่อตรงกว่า


3. ‘ตลาดทุนเปลี่ยน’ ..ธุรกิจเล็ก ต้นทุนการเงินจะสูง เช่น กู้ระยะสั้น , กู้นอกระบบ , กู้ธนาคาร ..พวกนี้จ่ายดอกแพงสุดๆ 


ธุรกิจใหญ่ พวกที่อยู่ในตลาดหุ้น จะออกหุ้นกู้ดอกเบี้ยต่ำก็ทำได้ ...จะกู้ธนาคารก็ถูกกว่า แถมเจ้าของไม่ต้องเซ็นต์ค้ำประกัน ...หรือ จะเพิ่มทุน ขอเงินผู้ถือหุ้นเพิ่ม ยังทำได้เลย 


4. ‘ภาษีต่าง’ ...ธุรกิจใหญ่ ยิ่งจ่ายภาษียิ่งรวย เพราะเจ้าของเขาไม่ได้รวยจากรายได้ แต่เขารวยจากการโชว์กำไร จ่ายภาษี แล้วพอหุ้นขึ้น ก็ไปรวยจากการขายหุ้น (ขายหุ้น ดีกว่า ขายที่ดิน เพราะ ไม่เสียภาษี ...ถ้าจะกำไรพันล้าน ไม่เสียภาษี มีแต่หุ้นเท่านั้นแหละ ที่ทำได้)


ธุรกิจเล็ก พยายามทุกอย่างเพื่อหลบภาษี เพราะ เจ้าของธุรกิจเล็กไม่สามารถรวยจากการขายหุ้น จึงมีรายได้เท่านั้น ที่เขาได้ 


5. ‘เทคโนโลยีเปลี่ยน’ ...ทุกวันนี้เกือบทุกธุรกิจ กำลังเจอ Disrupt ...ธุรกิจสื่อ รายใหญ่ เจอว่า วันนี้ใครๆ ก็เป็นสื่อได้ ...ธุรกิจค้าปลีก เจอว่า ทุกวันนี้ใครๆ ก็เปิดร้านขายของได้ ...ธุรกิจโรงแรม เจอว่า ทุกวันนี้ใครๆ ก็ปล่อยห้องเช่าแข่งกับโรงแรมได้ 


...ใช่!! วันนี้ ถ้าเรายังทำธุรกิจเหมือนเดิม ..เราจะค่อยๆ เล็กลง กำไรลดลง 


ต้องคิด Disrupt ตัวเอง วันนี้เลยครับ


สรุปว่า ‘ตัวเลขเศรษฐกิจ มันใช้ไม่ได้แล้ว เพราะ เรากำลังอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในธุรกิจ หรือ สงครามการค้านั่นเอง’ ...สิ่งที่เราต้องทำ คือ หันกลับมาปรับปรุงที่ตัวเอง 


ปากท้องวันนี้ เริ่มที่ตัวเราครับ !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ