วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553
เตรียมตัวให้พร้อมกับตลาดหุ้นในยุค Asian Miracle 2 (คนรวยจะจน แต่คนฉลาดจะรวย “New Rich”)
ตลาดหุ้น จะแบ่งออกเป็น ตลาด Bull & Bear Market
Bull Market ก็คือช่วงที่นักลงทุน มองว่าเศรษฐกิจดี และ โอกาสที่หุ้นจะขึ้นมีเยอะ ทำให้ทุกคนกระโดดเข้ามาซื้อหุ้นในตลาด
สิ่งที่น่าสังเกตคือ ตลาดหุ้น ในสภาพ Bull Market จะมีแรงดึงดูดเงินทุนได้อย่างไม่จำกัด (ถ้ามองให้ดี เวลาตลาด Bull มากๆ หุ้นจะวิ่งแรงเหนือกว่า Commodity ใดๆ (รวมถึงทองด้วย…ถ้าใครสังเกตให้ดีเวลาหุ้นขึ้นมากๆ ราคาทองจะขี้เหร่มากๆ) – และนี่ก็คือ พลังของ Bull Market
กลับมามองตลาดในปัจจุบัน ถ้าถามใคร ก็ไม่มีใครรู้หรอกครับว่า ตอนนี้เป็น Bull หรือยัง “สรุปเลยคนส่วนใหญ่ใช้ความรู้สึกในการตอบว่า ตลาดมัน Bull แค่ไหน (ซึ่งไร้สาระ)”
สิ่งที่ผมจะชี้ให้เห็นก็คือ การจะวัดว่า ตลาดเป็น Bull หรือ Bear .. “คุณต้องดูที่พื้นฐาน” (ประเด็นอยู่ที่ว่าคุณจะเอาพื้นฐานอะไรมาวิเคราะห์...และนั่นเป็นส่วนที่สำคัญมากๆ)
สำหรับผม ผมจะเอา ผลตอบแทนที่ “จับต้องได้” ในตลาดหุ้นมาเป็นตัวชี้วัด ..คือ ผมจะเอา Dividend (เงินปันผล) เทียบกับ ผลตอบแทนดอกเบี้ยเงินฝาก ..(ถ้าเงินปันผลชนะเงินฝากมากๆ ผมมองว่า ตลาดยังไม่ Bull มาก..อย่างปัจจุบัน (ปี 2010) เงินปันผล สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากมากๆ --- ซึ่งถ้าเราย้อนกลับไปช่วงที่ตลาดเรา Bull ในช่วงปี 1993 -1994 เงินปันผลในสมัยนั้น ไม่สามารถสู้กับเงินฝากได้เลย)
ดังนั้น ในสภาวะปัจจุบัน (ปี 2010) ตลาดหุ้นแม้จะขึ้นมา อย่างแรงตลอดปีที่ผ่านมา จาก SET 400จุดวิ่งมาจน 900 จุด (หลายคนอาจคิดว่า คุณได้ตกรถไฟไปเสียแล้ว ...จริงหรือ!!) --- (ไม่จริงเลย) เพราะในตลาด ยังมีหุ้นอีกมากมายที่ยังคง ให้ผลตอบแทนเงินปันผลที่สูงมาก (แสดงว่า ตลาดในขณะนี้ ยังแทบไม่ใช่ Bull Market เลย)
กลับมาที่ประเด็นของ “หลักการเพิ่มโอกาส” นั่นก็คือ คุณต้องมองเห็นโอกาส ในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้มอง นั่นเอง การที่คุณจะสามารถซื้อหุ้นในราคาที่ถูก ก็คือ ในช่วงที่ตลาด “ยังอยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอน” อย่างในปัจจุบันนั่นเอง
Bear Market คือ อะไร ..ตอบง่ายๆก็คือช่วงที่ไม่มีใครอยากถือหุ้น ซึ่งเราเพิ่งผ่านช่วงนั้นมาไม่นานนัก ช่วงที่ตลาด Bear มากที่สุด ก็ช่วงปลายปี 2008 ที่ตลาดตกต่ำ และ Volume หดหายอย่างรุนแรง
“จากวันนั้นถึงวันนี้ ตลาดวิ่งขึ้นมากว่า 100% คุณคิดอย่างไร”
จุดนี้ผมกลับมองว่า คนส่วนใหญ่จริงๆ ยังไม่ได้เข้าตลาดหุ้น แต่หากใครดูลึกๆจะรู้เลยว่า ช่วงที่เกิดวิกฤต Sub-prime รัฐบาลประเทศต่างๆ อัดฉีดเงินเข้าระบบ รวมทั้งกระตุ้น การลงทุนใน Mega project และก็แผนกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมหาศาล “ถามว่า เงินมันหายไปไหน” (ผมขอตอบเลยว่า เงินทุนบาททุกสตางค์ที่รัฐบาล “ยอมเป็นหนี้” กู้มาอัดใส่ไปในระบบเศรษฐกิจ ยังคงอยู่ทุกบาททุกสตางค์!!)
ประเด็นที่ผม concern อย่างมากก็คือ “เมื่อเศรษฐกิจมีความชัดเจนเมื่อไหร่ เงินที่(เรานึกว่ามันฝืด) จะไหลกลับเข้ามาใช้จ่ายอย่างบ้าคลั่ง ส่งผลให้บริษัทต่างๆ อู่ฟู่ ผลกำไรดี จากนั้นปันผลก็จะดีตามมา ..จุดนี้ถ้ามองให้ดี แสดงว่า ปันผลที่ดี ในราคาปัจจุบันของบริษัทต่างๆในตลาดหุ้น มีโอกาสที่จะปันผลดีขึ้นไปอีก ..และยิ่งดีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดึงดูดคนเข้าไปซื้อหุ้นมากขึ้นเท่านั้น ...
ไม่ใช่แต่นักลงทุนที่โดนดูดเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น ยังมีบริษัทต่างๆ (บริษัทดีๆ ที่เคยมองว่า ตลาดไทยไม่น่าระดมทุน) พวกนี้จะเริ่มเปลี่ยนใจ หันกลับมาทำ IPO ซึ่งจะเป็นการเพิ่มน้ำดี เข้าไปในตลาด เกิดการแข่งขันพัฒนาคุณภาพของกิจการ – โอเค ภาพนี้คืออะไร (ใช่ครับ มันคือ Asian Miracle 2 --- การกำเนิดของ Super Bull Market อีกครั้ง)
วันนี้เราอยู่ในช่วง ของการก่อตัวของ Super Bull Market !! ...ผมขอเตือนให้คนที่ยังไม่เคยศึกษาเรื่องการลงทุน ให้เริ่มศึกษาได้แล้ว แล้วก็ค่อยๆเข้ามาเรียนรู้ ไม่ใช่รอให้ตลาดดีขึ้น ดีขึ้นๆ แล้วในที่สุดคุณทนไม่ไหว “สรุปกว่าคุณจะเข้ามาซื้อ ก็ใกล้ยอดดอยแล้ว”
คุณจำต้มยำกุ้งคราวก่อน ได้ไหมครับ “คนส่วนใหญ่ เข้ามาเล่นหุ้นตอนไหน ..พวกนี้ผมบอกแล้ว “คุณอย่าขำ” เพราะคนส่วนใหญ่ที่เจ๊งจากตลาดหุ้นตอนต้มยำกุ้ง เพิ่งเข้ามาเล่นตอนใกล้ยอดดอย !! จากนั้นตลาดก็ Crash (แล้วเขาเหล่านั้นก็ติดดอยจากนั้นมา)
ผ่านไป 16 ปี ตลาดยังไม่เคย คึกคักเหมือนกับเวลานั้นอีกเลย “แต่คุณรู้ไหมว่า History repeat itself!!” ในที่สุด Bull Market ของจริงก็จะกลับมา (อีกไม่เกิน 3 ปี คุณได้เห็น Asian Miracle 2 อย่างแน่นอน ..แล้วมาดูกันว่า เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว คนส่วนใหญ่จะทำอย่างไร)
บทความนี้เขียนในปี 2010 ..จากตลาด Crash ปลายปี 2008 ผมได้เข้าตลาดอย่างต่อเนื่อง ผ่านตลาดในช่วง Sub-prime และจากนั้นผมก็เฝ้าดูตลาดหุ้นเติบโต จนถึงปัจจุบัน .. ณ เวลานี้ คนส่วนใหญ่เริ่มมองอย่าง กล้าๆกลัวๆว่า ตลาดจะเป็นยังไง จะ Double Dip ไหม “และอารมณ์เช่นนี้ มันกลับทำให้ผมสบายใจ เพราะคุณรู้ไหมว่า ยอดดอยมรณะที่แท้จริง มันไม่ใช่จุดที่ทุกคน สงสัยว่าตลาดจะแย่หรือไม่ --- “แต่มันเป็นจุดที่ทุกคนในตลาดมั่นใจสุดขีดต่างหาก”
“คิดเยอะๆแล้วคุณจะโชคดี!!”
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา
-
7 จุด ในงบการเงินที่ใช้ในการจับผิด จับโป๊ะหุ้นเด็ด !! 1. ’Net Profit Margin’ …ขาย 100 บาท ได้กำไรกี่บาท ? …ยิ่งเยอะ ก็ยิ่งแสดงว่า การแข่งขั...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
6 หลักการ คัดหุ้นปันผลดีเติบโตแล้วเลี้ยงเราได้ไปยาวๆ หลักการนี้สำหรับ คนชอบซื้อแล้วถือ กินปันผลยาวๆ 1. ‘หุ้นมี Market cap ขนาดใหญ่‘ …หุ้น...
-
7 ข้อ ‘มิตร’(ฉาชีพ) กับ การลงทุน 1. ‘คนที่โกงเราได้คือคนที่เราไว้ใจ’ …ถ้าเราไม่ไว้ใจเราคงไม่เอาเงินให้เขาตั้งแต่แรก 2. ‘ข้อเสนอของเขามัน T...
-
‘หุ้นหนัก หุ้นเบา พอร์ตเราเต็มไปด้วยอะไร’ ...หลายคนน่าจะคุ้นเคยดีกับ ‘หุ้นหนัก’ ก็คือ หุ้นในพอร์ตรายย่อยส่วนใหญ่นี่แหละครับ ลักษณะของมันคือ...
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
'ทฤษฎี กับ การปฏิบัติ ต่างกันอย่างไร ?' ประเด็นนี้ ผมเจอน้องๆ นักศึกษามาถาม ..เค้าคงอยากรู้ว่า สิ่งที่เขาเรียนในทฤษฎี เวลาเขาไป...
-
6 ข้อ เศรษฐกิจและการลงทุนยุค Trump 2.0 1. ‘นโยบาย American First’ …Trump จะทำทุกอย่างให้อเมริกาได้ประโยชน์ เน้นในเรื่องของเศรษฐกิจ 2. ‘Dere...
ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"
- ภาพใหญ่หุ้นไทย ปี 1987 - 2009
- ย้อนรอย SET ปี 1987 - 1990(จาก Black Monday ไปแตะ 1,000 จุด)
- ย้อนรอย SET ปี 1991 - 1993 ( 3 ปีสู่ยอดดอย )
- ย้อนรอย SET ปี 1994 - 1996 ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" )
- ย้อนรอย SET ปี 1997 - 1999 ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น )
- ย้อนรอย SET ปี 2000 - 2008 ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" )
- ย้อนรอย SET ปี 2009 (Do you Remenber?)
"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
10 เรื่องที่ต้อง "รู้งี้" ก่อนจบปริญญา ... 1. "ใบปริญญามีวันหมดอายุ" ..หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจ...
-
ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
'คำทำนาย ที่ว่าโลกหลังปี 2017 จะเกิด ..ธุรกิจเล็กจะใหญ่ ธุรกิจใหญ่จะเล็ก!!' ยุคนี้รายใหญ่ก็ตายได้ ..รายเล็กก็เกิดได้ ..นี่อ่านข...
-
วันนี้มาดอนเมือง ผมได้ชิมกาแฟมวลชน จุดเริ่มของ All Cafe ของ 7-11..วันนี้เกมค่าปลีกแข่งดุ เนื่องจากค่าเช่าแพงขึ้นตามราคา Asset ที่พุ่งกร...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
Luxury คือ เงินเฟ้อ!! เศรษฐกิจไม่ดี ทำไม ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ..คนธรรมดาทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันล่ะ ? ก็เพราะ เราไม่รู้ว่า 'ความห...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น