(เนื้อหาต่อมาจากตอนที่ 1)
“นี่ก็ อีกตัวอย่างที่น่าสนใจ” … ป๋าหยง และ ผม จัดการเรียนการสอน Technical Analysis โดย Monkey Trade ขึ้นมา โดยได้รับความร่วมมือในด้านสถานที่ และอุปกรณ์การสอน “จัดมา” โดย ป๋ากิ้ง พี่ใหญ่แห่ง S2M (ศูนย์กลางนักลงทุนรายย่อย ของมนุษย์ที่เป็นคนไทยอย่างใจจริง ฮ้า!!)
คอร์ส Technical ของ Monkey Trade มีนักเรียนที่เข้ามาเรียนประมาณ 50 กว่าคน (รวมเรียนทั้งหมด 4 ครั้ง) ..ผลปรากฏว่า พอเรียนเสร็จ “ป๋าหยง” ก็เสนอให้ กลุ่มผู้เรียน ต่อยอด คือ ตั้งกลุ่มเรียนรู้ขึ้นมา
..และแล้ว ก็มาลงตัวตรงการใช้ Create Group โดยใช้ Facebook ซึ่งง่าย ต่อการคุยแลกเปลี่ยน ความรู้ เอา Graph มาโชว์ แลกเปลี่ยนมุมมอง …แถมสามารถปิดเป็น Close Group คือ อนุญาตเฉพาะคนที่เราให้เข้ามาร่วมเท่านั้น ดังนั้น กลต. จึงไม่สามารถเข้ามา ยุ่งกับเราได้ (แหะ ๆ ๆ สวรรค์ของนักปั่นหุ้น …แต่ เดชะบุญ โชคดีที่เราเป็นคนดี จึงไม่มีการปั่นหุ้น แหะ ๆ ๆ)
จุดที่น่าสนใจมันอยู่ตรงนี้ “ประหยัด” …นั่นเอง ..ก่อนหน้านี้ การตั้ง Forum อาจติดต่อกันด้วย Email และก็ใช้เครื่องมือ สื่อสารแบบฟรีต่างๆ เช่น Skype ในการคุยกัน และ ก็แลกเปลี่ยน …แต่ท้ายสุดแล้ว ผมว่า ยิ่งมาก ยิ่งยุ่งยาก มันก็ยากต่อการใช้ “สุดท้ายสิ่งที่จะเป็น The Winner ในแต่ละเครื่องมือการติดต่อ มันต้องเป็น One-stop ที่ใช้ง่าย ง่ายแบบสุดๆ”
ไอ้ประเด็นความง่าย ผมเห็นสิ่งที่ ป๋า Steve Jobs บิดาแห่ง Apple ทำกับวงการมือถือ และก็ ipod , ipad และ ก็ iphone แล้ว ฟันธงเห็นภาพเลยว่า “นี่แหละ เป็นเครื่องมือที่เชื่อมโยงคนที่ หลุดออกไปจากยุค Internet ก่อนหน้านี้ ให้หันกลับมาใช้ Internet ในทางอ้อม ผ่านเครื่องมือ ที่ใช้ง่ายกว่า “คอมพิวเตอร์”
สิ่งที่ผมมองแล้ว ตกใจเกี่ยวกับ อุปกรณ์ต่อ Net ที่เป็น Handheld หรือ ที่เป็นตระกูลมือถือ แนว Smartphone นี่แหละ ที่จะเข้ามาเปลี่ยนโลกเราให้ Always Online , Always Connection ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใด และเมื่อใดก็ได้ บนโลกนี้!!
พักหลังๆ มานี้ เวลาผมเดินทางต่างประเทศ แทบไม่มีใครรู้เลยว่า “ผมอยู่ต่างประเทศ” เพราะผมก็แค่เอา Notebook ของผม ไปต่อเน๊ต และก็เข้ามาเล่น Facebook และ Trade หุ้นไทย ได้ตามปกติ ไม่ว่าผมจะกำลังนั่ง กินโรตี ในอินเดียก็ตาม “และนั้น เป็นที่มาของ การตั้ง Monkey Trade ที่เรานำเสนอ อาชีพใหม่ ที่คุณสามารถทำเงิน แม้อยู่ในชุดนอน …แต่ข้อแม้อันเดียวคือ คุณต้องต่อเน๊ตได้เท่านั้นเอง”
พลัง Impact ของสื่อยุคใหม่อย่าง Facebook เทียบกับสื่อยุคใหม่ที่มาก่อนอย่าง Blog ต่างกันอย่างไร
“ผมว่ามันต่างกันที่วัตถุประสงค์ในการใช้ และจำนวนของการเข้าถึงของสื่อต่างๆ”…อย่าง Blog นี่ การเข้าถึงก็จะน้อยกว่า แต่ได้คนสนใจจริงๆ “เพราะคนอ่านต้องเข้ามาอ่านเอง” (Pull Strategy)
ผมยกตัวอย่าง case ของ ผมเองเลยคือ หน้า Blog ที่ผมใช้ post บทความจะมีคนเข้ามาเดือนละประมาณ หมื่นครั้ง แต่ถ้าเทียบกับ Facebook (ตัวที่ผม set Fan Pages ตอนนี้มี สมาชิก หรือเพื่อนนั่นแหละ ประมาณ 4,000 กว่าคน เข้ามาติดตาม เรื่องการลงทุน ..แต่คุณรู้ไหมว่า Impression หรือ จำนวน Page Views ที่อยู่ใน Facebook ผมต่อเดือน ตกประมาณ 800,000 กว่าครั้ง)
หลายคนอาจมองว่า นี่คือเรื่องของ Spam หรือเปล่า “ผมกลับมองว่า นี่มันเป็น Permission Marketing นั่นก็คือ เจ้าของหรือสมาชิกที่เข้ามาติดตาม Facebook อนุญาตให้เจ้าของเนื้อหา สามารถติดต่อกับเขาได้ ดังนั้น ทุกครั้งที่ผม Post บทความลง Facebook มันก็จะไปขึ้นหรือปรากฏอยู่ใน มือถือ หรือ ipad หรือ อะไรก็ได้ที่คนๆนั้นชอบอ่าน ..จากนั้น เขาจะอ่านหรือไม่ มันก็เป็นการตัดสินใจของเขา ซึ่งตรงนี้มันดีกว่า E-mail ตรงที่ E-mail ไม่ว่าจะอ่านหรือไม่ มันก็จะรกอยู่ใน Inbox ของคุณ จากนั้น เราก็ต้องเสียเวลามาลบอีก อันนี้แหละที่ผมมองว่าคือ Spam”
คุณเห็นไหมล่ะครับว่า Facebook ทำทีเดียว แต่ตอบโจทย์แก้ปัญหาได้ถึงสองเด้ง ทั้งในเรื่องของ การ Spam และก็ในเรื่องของ Exclusivity หรือ Permission Marketing ที่แยกกลุ่มคนที่สนใจ ในหัวข้อนั้นๆ ให้สามารถมารวมกลุ่มกัน แล้วแลกเปลี่ยนมุมมอง กันได้ โดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด และที่สำคัญ มันใช้ง่ายที่สุด “แต่ตรงนี้ ก็ใช่ว่า Facebook เป็นอมตะ เพราะในอนาคตหากมี นักคอมพิวเตอร์คนใดที่เสนอ Platform การเชื่อมโยงของ Social Network ที่ตอบโจทย์ได้ดีกว่า และใช้ง่ายกว่า Facebook ..เมื่อนั้น Facebook ก็คงต้องตกกระป๋องไป โดยปริยาย”
ปัจจุบันคนไทยประมาณ 5 ล้านคน เริ่มมาใช้ Facebook (ช่วงที่คนไทยกระโดดเข้ามาเล่น Facebook มากอย่างก้าวกระโดด ก็ช่วงสงครามกีฬาสีบ้านเราเดือดๆ ตอนต้นปี 2010 นั่นแหละ …ช่วงนั้น สาเหตุหลักที่คนเข้ามาติดตามทั้ง Facebook และ Twitter ของคนดังๆ เพราะมัน บิดเบือนความจริงน้อยกว่าสื่อหลักๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสีย เพราะ Social Network เหล่านี้ ข้อมูลส่วนใหญ่จะเรียกว่า ไร้สาระ หรือ Junk ก็ได้)
ในส่วนของ Twitter ผมไปซื้อหนังสือมาอ่านสองเล่ม เกี่ยวกับการทำการตลาดโดยใช้ Social Media
ก็ถือว่าน่าสนใจ เพราะหากเราหาตำราฝรั่งมาศึกษา เขาจะให้ความสำคัญกับ Twitter มากกว่า Facebook แต่ถ้าเรามาดูในเมืองไทย ณ ปี 2011 คนไทยใช้ Facebook 5 ล้านกว่าคน ในขณะที่ Twitter เพียงประมาณ 300,000 คนเท่านั้น
ข้อแตกต่างระหว่าง Twitter กับ Facebook ก็อยู่ตรงลูกเล่น กับ ปริมาณข้อมูลที่สามารถนำมา Post
…ตัวผมกับทีมงานของ S2M สารภาพตรงๆ ว่าด้วยลูกเล่นที่มีให้ใช้ในปัจจุบัน ผมว่า Facebook กินขาดในเรื่องของประโยชน์ใช้สอย เพราะในส่วนของ Twitter ผมว่ามีข้อจำกัดค่อนข้างมาก เพราะ Twitter อนุญาตให้พิมพ์ได้ไม่เกิน 140 ตัวอักษร แถมภาพต่างๆ ก็ไม่สามารถ post ได้อย่างสะดวก
เอาตัวอย่างชัดๆเลย คือ อย่างทีม S2M เราจะเขียนบทความแนะนำการลงทุน อยู่เป็นหลัก ดังนั้นเนื้อหา ก็จะต้องมี กราฟ หรือ ภาพประกอบเพื่อให้เข้าใจ ดังนั้น แน่นอน 140 ตัวอักษรของ Twitter ไม่พอให้สื่อสารเรื่องหุ้นให้เข้าใจได้ ดังนั้น เราจึงใช้ Facebook สำหรับ Post ข้อความสั้นๆ แต่ในส่วนของ Twitter เราก็แค่เชื่อมฝาก Link ไว้เท่านั้น
โอเค พล่ามมาซะยาว ..ผมจะสรุปว่า จริงๆ ไม่มีเครื่องมือ Social Network อันใดที่เพียบพร้อม เหมาะกับทุกอย่าง ..ดังนั้น การเลือกเอาใช้ให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ของการสื่อสาร ผมมองว่าเป็นเรื่องท่่ีสำคัญที่สุด
(ติดตามตอนต่อไป ฮ่า….)
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา
-
7 จุด ในงบการเงินที่ใช้ในการจับผิด จับโป๊ะหุ้นเด็ด !! 1. ’Net Profit Margin’ …ขาย 100 บาท ได้กำไรกี่บาท ? …ยิ่งเยอะ ก็ยิ่งแสดงว่า การแข่งขั...
-
7 ข้อ ‘มิตร’(ฉาชีพ) กับ การลงทุน 1. ‘คนที่โกงเราได้คือคนที่เราไว้ใจ’ …ถ้าเราไม่ไว้ใจเราคงไม่เอาเงินให้เขาตั้งแต่แรก 2. ‘ข้อเสนอของเขามัน T...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
6 หลักการ คัดหุ้นปันผลดีเติบโตแล้วเลี้ยงเราได้ไปยาวๆ หลักการนี้สำหรับ คนชอบซื้อแล้วถือ กินปันผลยาวๆ 1. ‘หุ้นมี Market cap ขนาดใหญ่‘ …หุ้น...
-
‘หุ้นหนัก หุ้นเบา พอร์ตเราเต็มไปด้วยอะไร’ ...หลายคนน่าจะคุ้นเคยดีกับ ‘หุ้นหนัก’ ก็คือ หุ้นในพอร์ตรายย่อยส่วนใหญ่นี่แหละครับ ลักษณะของมันคือ...
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
6 ข้อ มาคุยกันเรื่อง Why Nations Fail ? สิงค์โปร์ไม่ทีทรัพยการเลย ทำไมรวย …เวเนซุเอลา มีน้ำมันมากที่สุดในโลก ทำไมจน ..แล้วสวิส ประเทศเล็กๆ...
-
'ทฤษฎี กับ การปฏิบัติ ต่างกันอย่างไร ?' ประเด็นนี้ ผมเจอน้องๆ นักศึกษามาถาม ..เค้าคงอยากรู้ว่า สิ่งที่เขาเรียนในทฤษฎี เวลาเขาไป...
-
6 ข้อ เศรษฐกิจและการลงทุนยุค Trump 2.0 1. ‘นโยบาย American First’ …Trump จะทำทุกอย่างให้อเมริกาได้ประโยชน์ เน้นในเรื่องของเศรษฐกิจ 2. ‘Dere...
ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"
- ภาพใหญ่หุ้นไทย ปี 1987 - 2009
- ย้อนรอย SET ปี 1987 - 1990(จาก Black Monday ไปแตะ 1,000 จุด)
- ย้อนรอย SET ปี 1991 - 1993 ( 3 ปีสู่ยอดดอย )
- ย้อนรอย SET ปี 1994 - 1996 ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" )
- ย้อนรอย SET ปี 1997 - 1999 ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น )
- ย้อนรอย SET ปี 2000 - 2008 ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" )
- ย้อนรอย SET ปี 2009 (Do you Remenber?)
"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
10 เรื่องที่ต้อง "รู้งี้" ก่อนจบปริญญา ... 1. "ใบปริญญามีวันหมดอายุ" ..หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจ...
-
ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
'คำทำนาย ที่ว่าโลกหลังปี 2017 จะเกิด ..ธุรกิจเล็กจะใหญ่ ธุรกิจใหญ่จะเล็ก!!' ยุคนี้รายใหญ่ก็ตายได้ ..รายเล็กก็เกิดได้ ..นี่อ่านข...
-
วันนี้มาดอนเมือง ผมได้ชิมกาแฟมวลชน จุดเริ่มของ All Cafe ของ 7-11..วันนี้เกมค่าปลีกแข่งดุ เนื่องจากค่าเช่าแพงขึ้นตามราคา Asset ที่พุ่งกร...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
Luxury คือ เงินเฟ้อ!! เศรษฐกิจไม่ดี ทำไม ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ..คนธรรมดาทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันล่ะ ? ก็เพราะ เราไม่รู้ว่า 'ความห...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น