(เนื้อหาต่อมาจากตอนที่ 3)
ถึงจุดนี้ ทั้งผมและป๋ากิ้งที่ งงๆ ว่าตกลงเอาไงต่อดี มันมาครึ่งๆกลางๆ ก็ตัดสินใจ ลุยหนังสือต่อ ..โดยจะออกงานเขียนของ Wizard kid และ Monkey Trade ออกมาตีตลาดให้สนั่นวงการลงทุนเลยว่างั้น
จริงๆ ถ้าถามว่า ทำหนังสือ มันได้อะไร “ผมว่าความมันส์ กับ Impact ที่มันเกิดต่อสังคม มันเป็นอะไรที่ สุดยอดนะ… ไอ้เรื่องจะรวยจากเขียนหนังสือ ผมว่าเลิกคิดไปเลย ร้านหนังสือก็เอาไปครึ่งนึงแล้ว ไหนจะค่าพิมพ์ โอ๊ย!! ไม่ต้องไปหวัง” …แต่ในส่วนของสัมมนา นี่ถ้าทำดีๆก็เงินค่อนข้างมากนะ แต่นอกนั้น ผมว่ามันเป็น Long term Investment ทั้งนั้น
แต่จุดมุ่งหมายแท้จริงของเราชาว S2M แล้ว ผมว่ามันคือ การสร้าง Profile และการสร้างเวที และจุดยืนที่มีความหมายในสังคมต่างหากที่ ดึงดูดให้พวกเรามารวมตัวกัน
ตอนนี้บอกได้เลยว่า “ตลาดหุ้น Bullish อย่างนี้” เราแต่ละคน แค่ในส่วนของลงทุน ก็ไม่ต้องไปสนอย่างอื่นแล้ว แต่สิ่งที่เราเห็นตรงกันก็คือ แล้วในระยะยาว อะไรล่ะที่มันยั่งยืน … “นี่เลยเป็นที่มาของการ ถ่ายทอดความรู้อันน้อยนิด แต่หลายๆคนมารวมกัน ก็กลายเป็นน่าสนใจ ด้วยอุดมการณ์ที่ว่า ยิ่งให้ เราก็ยิ่งได้” (อันนี้ไม่ใช่ โยนเบ็ด แล้วหวังเหยื่อ อันนั้นคนละประเด็น)
..แต่เรามองว่าการที่เรา ถ่ายทอดสิ่งดีๆให้กับคนอื่น มันก็นำแต่สิ่งดีๆกลับคืนมา เช่น แทนที่เราจะมองแต่กอบโกย การให้ความรู้ ก็ทำให้เรามีความสุขุม มีความสุข เพราะความโลภ ความอยากได้มันลดลง .. “แปลกมาก ทั้งผม และป๋า น้องทุกคนที่เข้ามาในระบบนี้ กลับมีการ Trade และการลงทุนที่ดีขึ้น …การที่เรามาสอนมันทำให้เราได้ Define ความคิด มันส่งผลให้ Logic ต่างๆในการ Trade และ การลงทุนมันยิ่งดีขึ้นไปอีก”
พูดไปพูดมาก็มาจบที่ Concept “ยิ่งให้ เรายิ่งได้นี่แหละครับ” …ดังนั้นเชิญชวน ใครที่มีความรู้ในด้านการลงทุน ..เอามาเผยแพร่ อย่ากั๊ก เก็บไว้ก็ใช้ว่าจะรวย เพราะยุคกอบโกยมันเชยไปเสียแล้ว ยุคนี้ เมื่ออำนาจการตัดสินความมั่งคั่ง มันไม่ได้มาจากธุรกิจผูกขาด แต่มันมาจากมวลชน หากคุณเข้าใจตรงนี้ “คุณรวยแน่นอน”
อ้าว!! แล้วตกลงว่า Social Network เอาไงดีล่ะ ….หลายคนอ่านไปอ่านมา งง เลยว่า ตกลงฟังผมแล้วจะปรับเอามาใช้กับตัวเองอย่างไรดีล่ะ !!
Social Network & YOU “ตัวคุณล่ะ จะทำไง”
เอาล่ะ Social Network เริ่มจาก “คุณอยากจะทำอะไรกับมัน เพราะ ประเด็นมันอยู่ที่ว่า คุณอยากจะทำอะไร คุณก็ได้อย่างนั้นแหละ” …เอาล่ะถ้าให้พูดทุกเรื่องเกี่ยวกับ Social Network พูดกันอีกปีก็ไม่จบ เพราะ มันต่อยอดไปเรื่อยๆ
หลายคนมองว่า Social Network คือ Facebook แต่นั่นเป็นเพียงเศษเสี้ยวของ Social Network เท่านั้น “คิดดู เศษเสี้ยว ยังทำเงินให้หนุ่มมาร์ค เป็นพันๆล้าน ..น่าจะมีช่องว่างให้เราบ้างนะ แหะ ๆ ๆ” (มีครับ เพียงแต่ว่า มันยากน่ะ) เอาง่ายๆดีกว่า ไม่ต้องไปต่อยอดระดับโลกแข่งกับเขา … “เอาเครื่องมือที่มันมีอยู่แล้วมาทำประโยชน์แก่ตัวเราดีกว่า ผมว่าอันนี้ซิ ที่เราจะมาคุยกัน”
ผมจะพูดเฉพาะเรื่องที่ผมถนัดเท่านั้น นั่นก็คือ การใช้ Social Network มาสร้าง Profile ให้กับ “ตัวเรา” …แค่จุดนี้ ผมบอกได้เลยว่า ต่อยอดได้มหาศาล ….ลองนึกดู นักการเมือง หากคุณสามารถ Develop และ Marketing Profile ของตัวเอง ได้เข้าถึงกลุ่มสนับสนุน ได้อย่าง Obama ทำตอนหาเสียงนะ “คุณสำเร็จขั้นเทพ!!”
หรืออย่างดารา ถ้าสามารถใช้ Social Network เกาะกลุ่มแฟนไว้อย่างเหนียวแน่น …เวลาคุณออกเพลงใหม่ หรือ หนังเรื่องใหม่ “ไม่ต้องโฆษณาครับ …แฟนๆวิ่งเข้ามาหาคุณเอง”
โอเค!! ผมจะมาคุยเรื่องการสร้าง Profile ตัวเอง (ผมยกตัวอย่างผมเองนี่แหละ)
คือ ผมเป็นคน No-name เลย ไม่มีใครรู้จัก …ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำคือ
1. ต้องดูว่าเราเด่นที่ตรงไหน “บางคนเล่นกีตาร์เก่ง” “อย่างผมนี่ เขียนมันส์ และก็ชอบการลงทุน เป็นชีวิต” ..นี่แหละผมได้ Content แล้ว “ผมจะนำเสนอ แนวคิดการลงทุน ในแบบฉบับของภาววิทย์ ขึ้นมา (แน่นอนคุณไม่ต้องเป็นมนุษย์คนแรกของโลกที่สร้างมันขึ้นมา เพียงแต่คุณต้องสามารถถ่ายทอด ให้คนอื่นเข้าใจได้เท่านั้นเอง)
2. ดูซิว่า คุณ ถนัดถ่ายทอดด้วยวิธีไหน ..คือ ศูนย์กลางของ Content คุณ ควรรวมอยู่ใน Blog จะใช้ของ Word Press หรือ Blogger (หรือ จะใช้ของไทยอย่างของ Bloggang , Ok nation หรือ exteen ) อันนี้แล้วแต่ชอบ แต่ที่แนะนำ “ของนอก” เพราะมัน ทำได้อินเตอร์ดูมืออาชีพกว่าเยอะ “แต่ปัญหาคือ Blog ต่างประเทศจะไม่มี Platform ในการ Publish เนื้อหาให้คุณ ..เดี๋ยวเราจะมาคุยตรงนี้กัน)
3. “หัวใจของทั้งหมดคือ เนื้อหา Content” …เนื้อหามันต้องมีประโยชน์ อย่างของผม ก็คือ เนื้อหาผมก็คือ การเน้นในเรื่องของการนำเสนอความคิดในการลงทุน ในรูปแบบของผม “แกะรอยหยักสมอง” นั่นแหละ …จากนั้นคุณต้องตั้งใจ ค้นคว้าข้อมูล ตั้งใจเขียน …แต่ถ้าคุณไม่ชอบเขียน จะอัด VDO ใส่ Youtube แล้วค่อยมา Post ใส่ Blog ก็ได้ (ใครทำไม่เป็นเข้าไปดูใน Blog ผม ที่ http://pawawit.blogspot.com ทุกอย่างมันมี Link หมด ..เครื่องมือ ทั้งหมดในการเขียนในการออกแบบฟรีหมด ทั้งตัว Stats ก็ฟรี อยากใช้อะไร ก็คลิ๊กเข้าไปลองทำดูเลย เดี๋ยวก็เป็นเอง) …. ถ้าทำแล้วเริ่มมีเนื้อหา พอสมควร ก็ให้หาที่ Publish เนื้อหา ให้คนอื่นได้เห็น “เห็นความคิดความสามารถคุณไง ดังนั้น ทุกเรื่องที่เขียนลงมาใน Blog ของคุณ อย่าไปก๊อบปี้ ถึงจะเอามาจากที่อื่น ก็ต้องเปลี่ยนเป็นคำพูดคุณเอง”
4. สถานที่เผยแพร่เนื้อหา ถ้าเป็นเรื่องการลงทุน เรื่องธุรกิจ ผมแนะนำให้สมัครสมาชิก Stock2morrow จากนั้นก็ Post บทความคุณลงไป แล้วค่อยดู Feedback ว่ามีคนสนใจติดตามเราหรือเปล่า ถ้ามีเดี๋ยวมันก็ต่อยอดได้ไปเรื่อยๆ ..ในส่วนเรื่อง Content ด้านอื่นๆ ผมว่าคุณอาจต้องไป Link กับ Web ที่ดังๆในเรื่องที่คุณสนใจ …อย่างใน Bloggang , exteen หรือ Oknation ก็เป็นอีกทางที่คุณสามารถเอา บทความหรือ VDO ของคุณไป Publish ได้ ….ลองทำดูละกันครับ!!
5. จากนั้นก็สร้าง Link เชื่อมมายัง Facebook …ตรงนี้ผมแนะนำให้ใช้ Facebook Fan Pages เพราะถ้าเป็น Facebook ปกติจะ Limit เพื่อนได้ 5 พันคน แต่ถ้าเป็น Fan Pages จะไม่จำกัด ..อยากรู้ว่าสร้างยังไง เข้ามาดูของผมก็ได้ ..โดยคุณเข้า Search ใน Facebook หา “Pawawit Stock Comment” แล้วลองดู มันจะมี Link ให้คุณสามารถสร้าง Fan Pages ได้ฟรี
6. จากนั้นคุณก็ลุยไปเรื่อยๆสร้าง Profiles ถ้าคุณทำได้ดี ….คราวนี้ ก็จะมี ตำแหน่งงานดีๆ เงินเดือนสูงๆ เริ่มกระโดดเข้า เหมือนฝัน “แม่เจ้า!! ทำไมอยู่ดีผมโชคดี มีคนมาเสนองานเงินเดือนสูงขนาดนี้ให้ …โชคดี มันมาจากความเหนื่อยที่โชคเลือดก่อน ..อิ อิ”
นี่แหละครับวิธีการสร้าง Profile ของคุณเอง โดยใช้ Social Network ผมพูดคร่าวๆ เท่านั้น เพราะไอ้หนังสือ Step by Step คุณไปซื้อเอาเองได้ทั่วไป แต่ผมพูดจริงๆนะ “ลองทำเอง ลองผิดลองถูก นี่ผม Guide ให้ยิ่งง่ายใหญ่เลย…ใครอยากโชคดีก็ลองทำดูนะครับ”
เอาเป็นว่า ถ้าคุณสามารถทำ Social Network ได้ดี มันสามารถทำเงินให้คุณได้ อย่างยกตัวอย่างของผม “ผมก็ลองเอา Social Network มาทำให้หนังสือผมเป็น Best Seller โดยที่ผมไม่ต้องจ่ายเงินฆ่าโฆษณาเลย ..อันนี้ผมว่า ธุรกิจต่างๆ สามารถปรับประเด็น และวิธีการนี้ ไปต่อยอดได้นะครับ”
ในอนาคต ผมมองว่า ถ้าคุณจะอยู่รอดได้ “คุณต้องเป็น Someone” นั่นคือ คุณจะหวังเดินตามกรอบของสังคม เรียนสูงๆทำงานหนักๆ ผมว่ามันไม่พอ ..เพราะนั่นมันเป็นประเด็นที่ใครๆก็ทำกัน แต่การสร้าง profile ตัวเอง มันเป็นงานที่ต้องใช้สมอง ต้องทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ต้องมีการนำเสนอ ต้องทำการบ้าน ต้องศึกษาลึกๆ และต้องสามารถ Manage เครือข่ายของคนที่เข้ามาสนใจ เรื่องราวที่เรานำเสนอ …พูดอย่างนี้มันจะเริ่มคล้ายๆกับ One Man Media หรือ One Man Company ..และนี่คือ ความท้าทายของอนาคต
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา
-
7 จุด ในงบการเงินที่ใช้ในการจับผิด จับโป๊ะหุ้นเด็ด !! 1. ’Net Profit Margin’ …ขาย 100 บาท ได้กำไรกี่บาท ? …ยิ่งเยอะ ก็ยิ่งแสดงว่า การแข่งขั...
-
6 หลักการ คัดหุ้นปันผลดีเติบโตแล้วเลี้ยงเราได้ไปยาวๆ หลักการนี้สำหรับ คนชอบซื้อแล้วถือ กินปันผลยาวๆ 1. ‘หุ้นมี Market cap ขนาดใหญ่‘ …หุ้น...
-
7 ข้อ ‘มิตร’(ฉาชีพ) กับ การลงทุน 1. ‘คนที่โกงเราได้คือคนที่เราไว้ใจ’ …ถ้าเราไม่ไว้ใจเราคงไม่เอาเงินให้เขาตั้งแต่แรก 2. ‘ข้อเสนอของเขามัน T...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
‘หุ้นหนัก หุ้นเบา พอร์ตเราเต็มไปด้วยอะไร’ ...หลายคนน่าจะคุ้นเคยดีกับ ‘หุ้นหนัก’ ก็คือ หุ้นในพอร์ตรายย่อยส่วนใหญ่นี่แหละครับ ลักษณะของมันคือ...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
'ทฤษฎี กับ การปฏิบัติ ต่างกันอย่างไร ?' ประเด็นนี้ ผมเจอน้องๆ นักศึกษามาถาม ..เค้าคงอยากรู้ว่า สิ่งที่เขาเรียนในทฤษฎี เวลาเขาไป...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"
- ภาพใหญ่หุ้นไทย ปี 1987 - 2009
- ย้อนรอย SET ปี 1987 - 1990(จาก Black Monday ไปแตะ 1,000 จุด)
- ย้อนรอย SET ปี 1991 - 1993 ( 3 ปีสู่ยอดดอย )
- ย้อนรอย SET ปี 1994 - 1996 ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" )
- ย้อนรอย SET ปี 1997 - 1999 ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น )
- ย้อนรอย SET ปี 2000 - 2008 ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" )
- ย้อนรอย SET ปี 2009 (Do you Remenber?)
"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
10 เรื่องที่ต้อง "รู้งี้" ก่อนจบปริญญา ... 1. "ใบปริญญามีวันหมดอายุ" ..หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจ...
-
ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
'คำทำนาย ที่ว่าโลกหลังปี 2017 จะเกิด ..ธุรกิจเล็กจะใหญ่ ธุรกิจใหญ่จะเล็ก!!' ยุคนี้รายใหญ่ก็ตายได้ ..รายเล็กก็เกิดได้ ..นี่อ่านข...
-
วันนี้มาดอนเมือง ผมได้ชิมกาแฟมวลชน จุดเริ่มของ All Cafe ของ 7-11..วันนี้เกมค่าปลีกแข่งดุ เนื่องจากค่าเช่าแพงขึ้นตามราคา Asset ที่พุ่งกร...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
Luxury คือ เงินเฟ้อ!! เศรษฐกิจไม่ดี ทำไม ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ..คนธรรมดาทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันล่ะ ? ก็เพราะ เราไม่รู้ว่า 'ความห...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...
เขียนได้ดีครับ การเป็น someone นี่มันนำมาซึ่งโอกาสทางเศรษฐศาสตร์มากมาย รู้จักการสร้างคุณค่าให้ตน สร้างภาพลักษณ์ ปุกปั้นกระแส แล้วก็ต่อยอดธุรกิจ
ตอบลบถ้าคนเริ่มจากการให้ที่บริสุทธิ์และดำเนินต่อๆไป มันก็จะยั่งยืนและทำอย่างมีความสุข
ได้ติดตามเรื่องการลงทุนมาสัก 2 เดือนแล้วครับ (เริ่มซื้อกองทุนครั้งแรก 29 ตุลาคม 2553)
ตอบลบเดิมที่คำถามอยู่ที่ว่ามีเงินเก็บ100000 ตามที่ตั้งเป้าของปีที่แล้ว ทำอย่างไรจึงจะงอกเงย จึงเริ่มศึกษาจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ สิ่งที่ได้ตามจนมาถึง ณ ขณะนี้ก็คือการติดตามงานเขียนของ คุณภาววิทย์ ซึ่งมันเปิดมุมมองให้แก่ตัวเองอย่างมาก เกี่ยวกับจังหวะ เป้าหมาย นัยทางการลงทุน การมองภาพมุมกว้าง
ขอบคุณสำหรับแนวคิด มุมมอง ที่ได้ถ่ายทอดผ่านอกมา พร้อมกับหลาย ๆ คำพูดที่เขียนออกมาแล้วอ่านมันโดน
ยิ่งให้ยิ่งได้ เติบโตในอัตราเร่ง อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน ความต่างของนักลงทุน กับคนเล่นหุ้น เป็นต้น
ด้วยจิตคารวะ กับยุคที่ความคิด ความฉลาด ชนะ ความมั่งคงทางการงาน และมรดก
กระแสของจิตวิทยามวลชนจำนวนมากๆ ย่อมมีผลต่อทิศทางราคหุ้นได้แน่นอน คนเก่งย่อมมีคนเชื่อตามเสมอ การเผยแพร่ความเชื่อที่ดีและถูกทาง แล้วมีคนทำตามมากๆ ย่อมนำไปสู่เป้าหมายที่เราเดินร่วมกันอย่างแน่นอน การแผยแพร่หรือการให้ความรู้นั้น ยิ่งให้เรายิ่งได้จริงๆครับ ยุคนี้ลำพังตัวคนเดียว จะไปสร้างกระแสหรือราคาหุ้นได้อย่างไร ถ้าไม่อาศัยแรงพวกเราทุกคน ผมก็ซื้อหุ้นหุ้นตามคุณภาววิทย์ไว้หลายตัวอยู่เหมือนกัน เชื่อมั่นคุณครับ เรามารวยด้วยกัน พร้อมๆกัน
ตอบลบจากสาวกอีกหนึ่งคน