แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2561

ทำไม เวเนซุเอลา จึงเจ๊งทั้งประเทศ ทั้งๆ ที่รวยน้ำมัน



"เอาเรื่อง เวเนซูเอลา มาเล่าให้ฟัง" 


ปี 2012 ค่าเงินของ เวเนซูเอลา ยังไม่ได้พัง ..เวลานั้น 1 ดอลลาร์ แลกได้ 4.2 ..แต่วันนี้ ค่าเงินอ่อนค่า จนต้องใช้เงิน 60,000 กว่าเหรียญของเวเนซูเอลา ถึงจะแลกได้ 1 ดอลลาร์ - น่าตกใจมาก !! 


พูดง่ายๆ คือ วันนี้ เงิน เวเนซูเอลา พังไปเลย จากที่เคยมีค่ามากกว่าเงิน บาท บ้านเราเสียอีก ...แต่วันนี้ เงิน เวเนซูเอลา ไม่มีค่าเลย ...เดี๋ยวนี้จะซื้อกาแฟสักแก้ว ต้องขนเงินเป็นกระสอบไปซื้อ ..บ้าไปแล้ว !!


หลายคนคงสงสัยว่า เงินเวเนซูเอลา ทำไมอยู่ดีๆ ก็พังไปเลย ...ใครเก็บเงินไว้ เรียกได้ว่า จะเก็บไว้เป็นล้าน วันนี้ไม่เหลือค่าเลย ...สาเหตที่เป็นแบบนี้ เพราะ เศรษฐกิจของเวเนซูเอลา ล่มสลายไปแล้ว 


แต่เหตุการณ์แบบนี้ ไม่ได้เกิดข้ามคืน แต่ค่อยๆ สะสมความแย่มาเรื่อยๆ 


"คุณสงสัยไหมว่า แล้วคนรวยในเวเนซูเอลา เขาเป็นยังไง ?" 


ตอบเลยว่า คนรวย เขาก็คงออกนอกประเทศไปแล้ว ขนเงินตัวเอง ไปแลกเป็นเงินดอลลาร์ หรือ ไปเปลี่ยนเป็นทองคำ ตั้งแต่เงินยังไม่พัง ..เวลานี้ คนรวยในเวเนซูเอลา ก็คงมีบัญชีอยู่ในประเทศอื่น เช่น สวิส , สิงค์โปร์ ..แล้วเก็บอยู่ในเงินสกุลอื่นที่ไม่ใช่ สกุลเงินของ เวเนซูเอลา 


เรื่องแบบนี้ ก็เคยเกิดในบ้านเราตอนปี 1997 ตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง ...เพียงแต่ตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง เศรษฐกิจบ้านเราไม่ได้เลยร้ายถึงขั้นนี้ ...


ถ้าใครจำได้ สมัยก่อน เงินบาท เคยผูกกับเงิน ดอลลาร์ ไว้ที่ 25 บาท แลกได้ 1 ดอลลาร์ เป็นเวลานานมากๆ ...จนคนไทย ไปกู้เงินต่างประเทศจำนวนมา ปล่อยกู้ ในประเทศมากมาย ...ปัญหาอยู่ที่ เวลาไปกู้ต่างประเทศมาง่ายๆ ก็เอามาปล่อยกู้ แบบบ้าคลั่ง แล้วมาลงทุนในธุรกิจ ในอสังหา ในตลาดหุ้น จนราคาพุ่งมหาศาล แต่สุดท้าย พอได้เงินมาง่ายๆ ก็ไปลงทุน แบบไม่สมเหตุสมผล จนเกิดหนี้เสียจำนวนมาก 


ธุรกิจที่ลงทุนในเวลานั้น ก็ลงไปแบบไม่มีใครควบคุม ...เกิดหนี้เสีย จำนวนมหาศาล ...จนในที่สุด ปี 1997 รัฐบาล ประกาศว่า แบงค์ชาติ ไม่มีเงินเหลือแล้ว เพราะ เอาเงิน Foreign Reserve คือ เงินในกระเป๋าของประเทศ ไปพยุงค่าเงิน 


ในเวลานั้น พวกนักลงทุน นักธุรกิจ เก่งๆ เขาจะรู้ว่า เศรษฐกิจตอนนั้น ไม่ได้ดีจริง มันเป็นแค่ฟองสบู่ Bubble เพราะ คนลงทุนแบบมั่วๆ ทำไปก็เพื่อปั่นอสังหา ปั่นตลาดหุ้น แล้วก็มีแต่เก็งกำไร ...คนเหล่านี้พอรู้ เขาก็เริ่มขายเงินบาททิ้ง 


อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่า "ค่าเงิน" จะขึ้น จะลง แข็ง หรือ อ่อน มันขึ้นอยู่กับ ว่า "ถ้ามีคนต้องการซื้อเงินบาท มากๆ ค่าเงินก็จะแข็ง" ....แต่ถ้ามีคนต้องการขายเงินบาททิ้งไปถือเงินสกุลอื่น ค่าเงินบาทก็จะอ่อน 


พวกคนที่รู้ว่า เศรษฐกิจไทยในเวลานั้น ไม่ได้ดีจริง ก็ พยายามขายเงินบาท ออกไปแล้วถือเงินสกุลอื่นที่แข็งกว่าแทน เช่น ดอลลาร์ ...พอคนทำแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ค่าเงินบาทก็อ่อน ...แต่ในยุคนั้น ประเทศไทย พยายามตรึงค่าเงินบาทไว้ที่ 25 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ ...ก็ทำให้แบงค์ชาติ ต้องเอาเงินสำรองของประเทศออกมาขาย เพื่อพยุงค่าเงินบาท ให้สามารถคงอยู่ที่อัตราแลกเปลี่ยนนั้น ...จนเงินสำรองหมดกระเป๋า 


พอเงินหมด คราวนี้ ไม่มีเงินมาพยุงเงินบาท ...ก็เลยต้องประกาศลอยตัวค่าเงิน ...เวลานั้น เงินบาทก็อ่อนค่าทันที กลายเป็น ต้องใช้เงิน 60 บาท เพื่อแลกเงิน 1 ดอลลาร์ 


คราวนี้ ซวยกัน ทั้งธนาคาร ทั้งบริษัทต่างๆ ที่ไปกู้เงินต่างประเทศ ...เดิมที กู้ที่อัตราแลกเปลี่ยน 25 บาท พอค่าเงินอ่อนไปเป็น 60 บาท ...ก็กลายเป็นว่า หนี้เพิ่มหลายเท่าในชั่วข้ามคืน


ยกตัวอย่าง สมมุติไปกู้ ต่างประเทศที่ 25 ล้าน พอเงินอ่อน เวลาไปคืน ต้องไปคืนที่ 60 ล้าน ...ใครจะไป หาเงินมาคืนได้ล่ะ ? 


ปี 1997 ทั้ง ธนาคาร และ ธุรกิจ ทั้งประเทศ จึงเจ๊งพร้อมกัน กลายเป็นหนี้เสียทั้งประเทศ ...แล้วลามทั้งระบบ ...คนที่ดี ก็ซวยไปด้วย เพราะ มันเจ๊งทั้งระบบ ...เวลานั้น เราถึงต้องไปกู้ IMF ไง 


แต่เราโชคดีกว่า เวเนซูเอลา เพราะ เศรษฐกิจไทยเวลานั้น เริ่มมีธุรกิจส่งออกที่แข็งแกร่ง ...พวกธุรกิจส่งออกนี่แหละ ที่เติบโต และ รวยขึ้น ชั่วข้ามคืน ในเวลานั้น ...เพราะ เดิมทีรับเงินที่ 25 บาท แต่พอค่าเงินอ่อน คราวนี้ ขายของ 1 ดอลลาร์ พอเปลี่ยนเป็นเงินไทย ได้ 60 บาท 


ตอนนั้นใครทำธุรกิจส่งออก จึงรวยเละ ....


จากวันนั้น ถึงวันนี้ เศรษฐกิจไทย เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ...ธุรกิจ ส่งออกโตขึ้นเรื่อยๆ จนกลายมาเป็น 70% ของ GDP แปลว่า เรากลายเป็นผู้ส่งออก ที่สำคัญ ขายของได้เงินเป็นดอลลาร์ 


พอเศรษฐกิจดี ธุรกิจแข็งแรง ...เงินบาทก็แข็งค่าขึ้นมาเรื่อยๆ จนมาอยู่ที่ 30 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ในปัจจุบัน 


แต่เวเนซูเอลา ไม่ได้โชคดีแบบไทย เพราะ ธุรกิจในประเทศเขา ดันพึ่งพาน้ำมันเกือบ 100% ...ธุรกิจอื่น เป็นธุรกิจเล็กๆ ทำให้ทุกวันนี้ ไม่มีใครอยากได้เงิน เวเนซูเอลา ...จากที่อ่อนแล้ว ก็อ่อนค่าไปอีก 


ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครมองออกว่า แล้ว เวเนซูเอลา จะฟื้นได้อย่างไร ?


เพราะ คนรวยก็ไม่มีใครอยากถือเงินเวเนซูเอลา ...ธุรกิจ ก็เจ๊ง ..คนก็ตกงาน ...คราวนี้ จากที่แย่ ก็แย่หนัก เพราะ คนว่างงาน ...รัฐบาลก็ไม่มีเงิน เพราะ ก่อนหน้านี้ รัฐบาลก็พึ่งพารายได้จากน้ำมันอย่างเดียว ...พอน้ำมันราคาถูก ก็ซวยอย่างในปัจจุบัน 


"คำถาม คือ แล้วไทย จะเป็นอย่าง เวเนซูเอลา ได้ไหมในอนาคต ?" 


อันนี้คำถามระดับ ประเทศเลยว่า 


ทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล และ เอกชน ต้องร่วมมือกัน 


1. ถ้าการท่องเที่ยวดี คนก็อยากถือเงินไทย ...อันนี้ค่าเงินก็จะแข็ง 


2. ถ้าธุรกิจเราดี การค้าขายดี ก็ทำให้คู่ค่า ต้องการเงินบาท อันนี้ก็ดี 


3. ถ้าการลงทุนบ้านเราขยายตัว ต่างประเทศอยากมาลงทุน ..เขาก็ต้องการเงินบาท 


พูดง่ายๆ ว่า ถ้าเรายังรักษา สมดุลย์ทั้ง 3 อย่างได้ดี ..."ค่าเงินบาท" ก็จะแข็งแรง ก็ไม่น่าจะเป็นอย่าง เวเนซูเอลา (ยกเว้น ใครทำห่วยขึ้นมาก็อาจซวย อันนี้ไม่มีใครรู้) 


มาดูอย่าง เวียดนาม ที่ผมเคยยกตัวอย่าง มาให้ดู ว่า ค่าเงินเขา ไม่ได้เหมือนเมืองไทย ที่ค่าเงินค่อยๆ กลับมาแข็งขึ้น หลังจากปี 1997 เป็นต้นมา ...แต่ค่าเงิน ดอง ของเวียดนามเทียบช่วงเวลาเดียวกับเรา ถึงปัจจุบัน ค่าเงินเขาอ่อนลงไปเป็นเท่าตัว 


ลองคิดถึงว่า ถ้าคุณเป็นคนรวย คุณค้าขาย แล้ว เก็บเงินเป็นเงิน ดอง คุณก็จะจนลงเรื่อยๆ ...ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คนเหล่านี้ เขาก็คงไม่เก็บเป็นเงินเวียดนาม แต่คงถือ ดอลลาร์ หรือ ทองคำแทน 


สังเกตเวลาเราไปเวียดนาม คนเขา ชอบ ดอลลาร์ และ ทองคำ มากกว่า เงินดอง ...ก็ไม่แปลก เพราะ เท่าที่ผ่านมา ค่าเงินมันอ่อนไปเรื่อยๆ 


คนรวยในประเทศที่ค่าเงิน มันไม่มีเสถียรภาพ ...อ่อนค่าต่อเนื่อง เขาก็จะมีบัญชีต่างประเทศกัน ไปฝากเป็นดอลลาร์ ในสวิส หรือ ในสิงค์โปร์ ก็ว่ากันไป 


ไว้บทความหน้า ผมจะเอา เรื่องของ สวิส และ สิงค์โปร์ มาเล่าให้ฟังว่า ทำไมค่าเงินเขาแข็ง แล้วเป็นเหตุผล ที่คนรวย เอาเงินไปฝากไว้ที่นั่น แล้วรวยขึ้น 


...พุดก็พูดเถอะ บ้านเราก็นับเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ...เราก็คล้ายๆ สวิส และ สิงค์โปร์ ย่อยๆ เลยนะ ที่คนสามารถเก็บเงิน ลงทุน แล้วรวยขึ้น 


(คนไทย ตั้งแต่ปี 1997 เป็นต้นมา ทั้งรวยขึ้น ..ค่าเงินก็แข็งขึ้น ...คนไทยจึงรวย 2 เด้ง คือ นอกจากรายได้เพิ่ม แล้ว ราคาสินทรัพย์ยังเพิ่มด้วย)


จะบอกว่า "ลงทุนในประเทศไทย ถ้าเราเข้าใจ การกระจายความเสี่ยง ก็ไม่ขี้เหร่นะครับ"


ไว้เดี๋ยวจะเอามาเล่าให้ฟัง ลำดับต่อไป 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ