วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
แรงบันดาลใจจากการทำหนังสือ แกะรอยหยักชีวิต Filter ความคิด ...มันเริ่มที่ปัญหาของผมนี่แหละ ?
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ผมเขียนหนังสือ แกะรอยหยักชีวิต Filter ความคิดขึ้นมาทำไม ...มันเหมือนไม่ใช่แนวภาววิทย์เลย ...แนวภาววิทย์ต้อง Money Machine มนุษย์หน้าเงินที่มองเงินเป็นพระเจ้าแล้วทำทุกอย่างเพื่อเงินถึงจะตรงแนว ...ใช่!! สารภาพเลยว่า ผมเริ่มรู้สึกเครียดกับสิ่งที่ทำ งานที่ทำ หงุดหงิดคนรอบๆข้าง -- "ผมเป็นบ้าอะไรนี่ ..ทำงานหนักมาก แต่มันเครียดขึ้นเรื่อยๆ มีปัญหากับทุกๆคน ทะเลาะไปหมด ...ทำไมทุกคนมันแย่จังวะ ?"
จนในที่สุดพี่ที่สนิทคนนึง ก็แนะนำให้ผมไปพบกับ ดร.ต้อง (ดร.พงษ์รพี บูรณสมภพ) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ เรื่องของ Life Enrichment ..ตอนแรกผมก็บอกว่า "ไร้สาระน่า ..ผมไม่เห็นต้องไปคุยกับใครเลย ชีวิตผม ผมเข้าใจที่สุด" ...แต่ในที่สุดผมก็ไปเจอ ดร.ต้อง ...ผมท้าทาย ดร.ต้องว่า "พี่ต้อง ..ไหนพี่บอกผมซิว่า ผมต้องการอะไร ผมมีชีวิตไปเพื่ออะไร อะไรคือ แรงจูงใจที่ทำให้ชีวิตผมมีความสุข ...คือ ผมอยากจะรู้ว่า อะไร Drive ผมให้ทำงาน ...แล้วความเครียดผมเกิดจากอะไร ...อะไรที่จะเติมเต็มความสุขในชีวิตผม ...อะไรที่จะเปลี่ยนคนรอบข้างให้ได้ดั่งใจ ?????" ...ตูม!! ชัดเข้าไป ท้าทาย ดร.ต้อง ..."ไหนลองดิ มั่วอะเปล่า (ผมคิดในใจ)"
หลังจากนั้นเราก็เริ่มคุยกัน โดยดร.ต้องให้ผมเล่าชีวิตให้เขาฟัง ...ผ่านไป 1 ชั่วโมง ดร.ต้อง เริ่มเขียนชีวิตผมออกมาเป็นแผนภูมิ ...แล้วเริ่มค้นหาแรงจูงใจในเรื่องต่างๆ ของชีวิต ...(คอร์สนี้เราคุยกัน 10 วัน วันละ 2 ชั่วโมงรวมเป็น 20 ชั่วโมง) ...ดร.ต้องเริ่ม จุดประเด็นอย่างนึงออกมาในเรื่องของ Money Machine .."นิยามชีวิตคุณแพ้ท ก็คือ กระสวยที่พุ่งไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายกระสวยนี้จะไหม้ไปในที่สุด ...คุณแพ้ทต้องการแค่ประสบความสำเร็จ ติดอยู่กับ Law of Success ที่ต้องการจะสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ คำถามที่อยู่ในหัวตลอดคือ What's Next ? ..วันนี้สำเร็จแล้วอะไรต่อ ...คนเหล่านี้ไม่แปลกที่ไม่ต้องดูหมอก็รู้ว่ารวยแน่ ... แต่!! โคตรเครียด และ สุดท้ายจะเครียดจนไม่มีใคร เหมือนกระสวยน่ะ ชีวิตพุ่ง แต่ทำลายตัวเองในที่สุด ...คุณจะตายคนเดียว เพราะไม่มีใครที่รักคุณจริงๆเลย เพราะคุณไม่เคยรักใคร แม้กระทั่งตัวเอง ...ใช่หรือเปล่าคุณแพ้ท?" ...เจสสสส แรงสัดๆ!!!
ผมอึ้งอยู่พอสมควร "ก็ใช่นะ ...วันนี้ก็เครียดนะ คนรอบข้างก็ไม่ค่อยเข้าใจว่า เราจะทำงานหนักไปขนาดนี้ทำไม ?" ...ดร.ต้อง ก็บอกว่า คุณแพ้ทเก่งมากในเรื่องของ Law Of Success และ ก็ Law of Attraction คือ การบริหารเสน่ห์ ...และสังเกตไหมว่า คนที่เก่งเรื่อง Law of Attraction มีเสน่ห์มีคนรักทั้งบ้านทั้งเมืองแบบดารา หรือ คนที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ จะมีชีวิตครอบครัวที่พัง ..ตัวเองไปทางนึง ภรรยาไปอีกทาง ลูกก็ขาดความอบอุ่น แล้วไปอีกทาง ...ยิ่งสำเร็จ ยิ่งมีเสน่ห์ แต่ยิ่งเหงา และ อ้างว้างขึ้นเรื่อยๆ ...สุดท้าย เงินจะครอบงำคุณ เพราะ คุณคิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีค่า แม้แต่หัวใจคุณเอง !!
"เฮ้ย!! แรงว่ะ ..ดร.ต้องหมายความว่า คนที่เก่งเรื่องของการบริหารความสำเร็จ และ บริหารเสน่ห์ จะมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ แล้วอะไรล่ะที่ต้องแก้ไข"
ดร.ต้องเล่าให้ฟังอีกว่า สังคมไทย ขาด Law of Affection คือ คนเอเชีย เวลาเลี้ยงลูก จะเลี้ยงแบบโหดน่ะ โดยเฉพาะคนจีน ...เรื่องของการกอดลูก แทบจะไม่เคยมี ..มีแต่ไม้เรียว ผิดตี , ลงโทษ ...ซึ่งผลก็คือ เด็กเสพย์ติดการลงโทษ เราจะเรียนรู้ว่า พ่อแม่รักจะต้องตี ...ดังนั้น พฤติกรรมบางอย่างจะส่งผลให้คนเหล่านี้ ชอบการลงโทษ ..เออ เดี๋ยวนะ "ไม่ใช่แนว ฟาดแซ่ เอาเทียนลนนะ ..ฮ่า ฮ่า"
เรื่องเสพย์ติดการลงโทษ มันเป็นผลถึง การเลือกคนที่คบ เลือกงานที่ทำ เลือกคู่ชีวิต ..พูดง่ายๆ ว่า Mindset ของเราจะเลือกสิ่งที่เข้ามากระตุ้นตัวเรา ให้มองแต่เพียงเรื่องของ ความสำเร็จและเงิน ..ซึ่งไม่ได้ผิดนะ เพราะคนเหล่านี้ประสบความสำเร็จสูง เนื่องจากแรง Drive เหมือนกระสวยอวกาศ ..แต่ปัญหาคือ กลับมาที่ What' Next ? คำถามนี้ยาก เพราะคิดดีๆ ใครจะสร้างผลงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีลด ..มันเครียดนะ ถ้าเราตั้งว่า เราต้องทำให้ดีขึ้น พอดีขึ้นแล้ว ก็ดีขึ้นไปอีก ...ถ้ามองอีกมุม คือ ความสุขมันกลายเป็นการไต่เต้าความสำเร็จเพียงอย่างเดียว กลายเป็นสังคมทุนนิยมที่ทุกคนเหยียบหัวกันขึ้น จนลืมไปว่า แล้วขึ้นไปเพื่ออะไร ?
จุดนี้มันย้อนกลับมาที่ความหมายชีวิต ว่า ตกลงน่ะ อะไรคือ ความสุขในชีวิตคุณ ? ...เงิน รึเปล่า ? ...แน่นอนคนส่วนใหญ่จะบอกว่าเงิน แต่ปัญหาคือ เงินจริงๆ ไม่ได้มีความหมายในตัวของมัน ..คนเราทุกคนหาเงินเพื่อเอาเงินมาซื้อบางอย่าง ...เช่น บางคนหาเงินมาซื้อความไม่มีในอดีต , บางคนมาซื้อความรักจากคนรอบๆข้าง , บางคนหาเงินมาเพื่อลงโทษตัวเอง , บางคนหาเงินมาเป็นเกราะระหว่างตัวเองและพ่อแม่ ...คือ จริงๆ มันต้อง นิยามคุณค่าของตัวเราเองก่อนที่จะออกไปหาเงินมาให้ได้ก่อนว่า
เป้าหมาย หรือ ธง ของชีวิต คืออะไร ? ..อะไรคือ ความสุขของเรา ...คุณรู้ไหมว่า วันนี้ธงเดียวของระบบทุนนิยมคือ เงิน ซึ่งไม่ผิดนะ ทุกคนต้องหาเงินให้พอใช้ แต่ที่ผิดคือ การตั้ง ธง และ การอธิบายความหมายของ ธงที่เราตั้ง เพราะ สิ่งนี้แหละ จะเป็นตัวกำหนดเลยว่า ชีวิตเราจะมีความสุขได้ไหม ..คนรอบข้างกับเราไปกันได้ไหม ...เพื่อน คนรัก ลูก ทุกอย่างไปกันได้ไหม
เรื่องของการตั้งธงชีวิต มันคือ การกำหนด Mindset ของเรา ซึ่งมีผลต่อทุกอย่าง มีผลต่อนิสัยของเรา มีผลต่อวิธีการทำเงิน มีผลต่อวิธีการทำงาน และ มีผลต่อความสัมพันธ์ การเลือกคู่ครอง การสอนลูก
ทั้งหมด ผมคุยกับ ดร.ต้อง ไป 20 ชั่วโมง ...มันผ่านไปไวมาก ...ผมรู้เลยว่า จริงๆ แล้ว ที่ผมเคยเข้าใจตัวเอง ..."ผมไม่เคยเข้าใจตัวเองเลย" ...หลังจากวันนั้น ผมเริ่มตั้งธงชีวิตของผมใหม่หมดเลยใน 5 เรื่อง ก็คือ เงิน ในความหมายของผมคืออะไร , งานในความหมายของผมคืออะไร , บ้านในความหมายของผม , ความรักในความหมายของผม และ เวลา ในความหมายของผม ...ใช่ครับ !! อันนี้แหละ คือ ที่มาของ "Filter ชีวิต" ที่ผมชวน ดร.ต้อง ให้มาเขียนหนังสือ แกะรอยหยักชีวิต Filter ความคิด ร่วมกับผม เพราะ ผมต้องการถ่ายทอด สิ่งที่ผมเรียนรู้มา แล้วคิดว่ามีประโยชน์
...ลองเอา Filter ความคิด ทั้ง 5 ด้าน "เงิน/งาน/บ้าน/ความรัก/เวลา" ไปลองตั้ง ธง กับชีวิตคุณเองบ้าง ...ความยากคือ แต่ละคน นิยามความสุขไม่เหมือนกัน ...ดังนั้น การตั้งธง ต้องตั้งด้วยตัวเอง โดยอาศัยตัวอย่าง และ Guideline ของแต่ละ Filter เป็นตัวช่วยในการตั้ง Filter ชีวิตของคุณเอง
"ก็ไม่รู้ซินะ !!" (คำยอดฮิต) ...นั่นแหละที่มาของหนังสือ ฉีกแนวของผมเลย ...มันเป็นการถ่ายทอดจุดเปลี่ยนทางความคิดในห้าเรื่อง ที่เปลี่ยนแล้วจะหาเงินได้มีความสุขมากขึ้น ดังนั้น ไม่ใช่เข้าใจตัวเราแล้วจะจนลง ..ไม่ใช่ !! แต่ยิ่งเข้าใจตัวเอง เข้าใจว่า งานอะไรที่เรารักจริงๆ ที่ขยายคุณค่าในตัวเรา เราจะยิ่งทำอย่างมีความสุขขึ้น ส่งผลให้ผลงานออกมาดี ..เราก็ทำงานเก่งขึ้น และ ได้เงินมากขึ้น ...การแบ่งเวลาที่เราเข้าใจวาระของเวลา จะช่วยให้เรา Focus ในสิ่งจำเป็นในแต่ละช่วงของชีวิต แล้วตัด Noise ต่างๆ ...และ สุดท้ายการเข้าใจความต้องการเรื่องความรัก คุณจะพบว่า จริงๆ คุณต้องการจะได้อะไรจากความสัมพันธ์จริงๆ ซึ่งไม่ใช่การคาดหวังอย่างที่เราเป็นกันอยู่
...ลองดูครับ ลองไปอ่านดู ผมว่ามันเปลี่ยนชีวิตผม และ ผมก็หวังว่า หนังสือเล่มนี้มันจะช่วยเปลี่ยนชีวิตคุณ ไม่ทางใดก็ท่างนึงครับ ...จัดไป !!
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา
-
‘หุ้นหนัก หุ้นเบา พอร์ตเราเต็มไปด้วยอะไร’ ...หลายคนน่าจะคุ้นเคยดีกับ ‘หุ้นหนัก’ ก็คือ หุ้นในพอร์ตรายย่อยส่วนใหญ่นี่แหละครับ ลักษณะของมันคือ...
-
'ทฤษฎี กับ การปฏิบัติ ต่างกันอย่างไร ?' ประเด็นนี้ ผมเจอน้องๆ นักศึกษามาถาม ..เค้าคงอยากรู้ว่า สิ่งที่เขาเรียนในทฤษฎี เวลาเขาไป...
-
6 ข้อ โลกเปลี่ยน มันจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน ? 1. ‘ของแพงจะขายดีขึ้น ของถูกจะขายแย่ลง‘ …ของแพงคู่แข่งน้อย เพราะสร้างยาก ต้องสร้าง Brand …ส่วน...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
6 ข้อ ทำไม ‘นักธุรกิจที่เก่ง‘ ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการเป็นนักลงทุน …เราเห็นนักธุรกิจที่เก่ง พอมาเล่นหุ้น …เฮ้ย!! เสียตังค์หนักเลย …งั้นล...
-
6 ข้อดี ของสงครามการค้าระหว่าง จีนกับอเมริกา ต่อเศรษฐกิจไทย …เรารู้กันอยู่แล้วว่า สงครามอะไรก็ตาม มันไม่ดี …งั้นเราลองมา Explore ข้อดี เผื่...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต...
-
7 ข้อ ต้องรู้เมื่อ FED ลดดอกเบี้ยลง 1. ‘เป็นสัญญาณเตือนทางเศรษฐกิจ’ …ก่อนหน้านี้ FED ขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงเพื่อปราบเงินเฟ้อ …ตอนนี้ต้องกล...
ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"
- ภาพใหญ่หุ้นไทย ปี 1987 - 2009
- ย้อนรอย SET ปี 1987 - 1990(จาก Black Monday ไปแตะ 1,000 จุด)
- ย้อนรอย SET ปี 1991 - 1993 ( 3 ปีสู่ยอดดอย )
- ย้อนรอย SET ปี 1994 - 1996 ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" )
- ย้อนรอย SET ปี 1997 - 1999 ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น )
- ย้อนรอย SET ปี 2000 - 2008 ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" )
- ย้อนรอย SET ปี 2009 (Do you Remenber?)
"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
10 เรื่องที่ต้อง "รู้งี้" ก่อนจบปริญญา ... 1. "ใบปริญญามีวันหมดอายุ" ..หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจ...
-
ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
'คำทำนาย ที่ว่าโลกหลังปี 2017 จะเกิด ..ธุรกิจเล็กจะใหญ่ ธุรกิจใหญ่จะเล็ก!!' ยุคนี้รายใหญ่ก็ตายได้ ..รายเล็กก็เกิดได้ ..นี่อ่านข...
-
วันนี้มาดอนเมือง ผมได้ชิมกาแฟมวลชน จุดเริ่มของ All Cafe ของ 7-11..วันนี้เกมค่าปลีกแข่งดุ เนื่องจากค่าเช่าแพงขึ้นตามราคา Asset ที่พุ่งกร...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
Luxury คือ เงินเฟ้อ!! เศรษฐกิจไม่ดี ทำไม ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ..คนธรรมดาทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันล่ะ ? ก็เพราะ เราไม่รู้ว่า 'ความห...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น