แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คุยกับ “ภาววิทย์” โดย “ป๋ากึ้ง” (แกะรอยหยักสมอง!!) ....ตอนที่ 5



ภาววิทย์ : “ใช่เลย” ผมเป็นคนนึงที่ค้นคว้าระบบทุนนิยมอย่างจริงจัง คือ ในเมื่อเราทุกคนอยู่ภายใต้ กฏของทุนนิยม แล้วจะมีสักกี่คนที่เข้าใจ หลักการของมันอย่างจริงจัง …คุณรู้ไหมหากคุณเข้าใจระบบอย่างถ่องแท้ มันก็ไม่ยากที่คุณจะสามารถทำกำไรในสิ่งที่คุณเห็น ในขณะที่คนอื่นมองไม่เห็น..จริงไหม

ป๋ากึ้ง : ภาววิทย์ กำลังจะพูดถึง “ทุนนิยมเหรอ” --เดี๋ยว!!พี่ขอไปแอบหลับได้ไหม…อิ อิ

ภาววิทย์ : “เดี๋ยวป๋ากึ้ง..ฟังก่อน!!” ระบบทุนนิยม ตั้งอยู่บนหลักของ Demand & Supply คือ ผมหมายความว่า ทุกอย่างขึ้นลงตาม Demand & Supply ไม่ว่าจะเป็น หุ้น บ้าน ที่ดิน ทอง ทุกอย่าง ขึ้นลงตามความต้องการของตลาด.. คุณรู้ไหมเคล็ดลับของทุนนิยมคือ การที่เงินมันลดมูลค่าลงเรื่อยๆ ในขณะที่ Asset บนโลกนี้ ไม่ได้เพิ่มขึ้น แถมลดลงด้วยซ้ำ เช่น นำ้มัน , เหล็ก คือ บางอย่างใช้แล้วหมดไป ….แต่ Supply ของเงิน คุณลองดู ตั้งแต่ Sub prime เป็นต้นมาแบงค์ชาติประเทศต่างๆ อัดฉีดเงินเข้ามามหาศาล

ในขณะที่ Supply ของเงินเพิ่มขึ้นเรื่อย แต่ Asset ไม่ได้เพิ่มขึ้น .. “คุณว่าอะไรจะเกิดขึ้น” แน่นอน สิ่งที่จะเกิดก็คือ เมื่อใดก็ตามที่เศรษฐกิจผ่านวิกฤต เงินก็จะไหลบ่าเข้ามาสู่ Asset อย่างมหาศาล --ดังนั้น ผมฟันธงเลยว่าถ้าวิกฤตเศรษฐกิจผ่านพ้นไป ราคา Asset ทุกอย่างรวมทั้งหุ้นต้องพุ่งอย่างมโหราฬ!!

ป๋ากึ้ง : แต่คุณ ภาววิทย์ ไม่คิดเหรอว่า อเมริกา กับ ยุโรปอาจเป็นแบบญี่ปุ่น คือ ผ่านไป 20 ปี แต่ตลาดหุ้นกลับไม่ไปไหนเลย

ภาววิทย์ : ผมว่าภาพนี้ต้อง มองแยกเป็นประเด็นๆ นะ อย่างที่ ถ้าบอกว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นและตลาดหุ้นไม่ไปไหน แต่มันไม่ได้หมายถึงทุก Sector จะแย่ เพราะอย่างการส่งออกของญี่ปุ่นก็ดีมาตลอด ดังนั้น ภาพนี้มันชัดว่า “ไม่ใช่ประเทศไม่ดี แล้วทุกคนจะต้องซวย ..มันมีบางคนที่ดี --ประเด็นมันอยู่ที่ว่าคุณจะเลือกเป็นคนไหน “ดีหรือซวย”..ใช่ไหม!!

ตอนนี้ผมเห็นนักวิเคราะห์หลายคน ยกตัวอย่าง Dr.Doom ที่ออกมา วิเคราะห์บอกว่า โลกเราเศรษฐกิจขึ้นมาถึงจุดยอดแล้ว ต่อไป Demand มีแต่จะลดลง ดังนั้น “เรากำลังจะเข้าสู่ยุคของ Asset ถูกตลอดไป!!” ..ผมถามหน่อย “คุณเชื่อไหม!!”
คุณลองมองให้ดีนะ ถ้าเศรษฐกิจดี มัน Win-win คือ ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ แต่ในทางกลับกัน ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี มัน Lose-Lose นะ คือต่างคนต่างซวย แต่คนไม่ซวยมีคนเดียว คือ “Dr.Doom” เพราะเขาขายหนังสือได้ เขาได้ค่าตัวเวลาออกทีวี ได้เงินจากการเป็นสื่อ แต่นอกนั้นทุกคนซวยหมด ---“ไร้สาระสิ้นดี!!”

เศรษฐกิจจริงๆแล้ว มันไม่ได้มีอะไรเลย ก็ Demand & Supply ดีๆนี่เอง ..ลองนึกภาพนะครับ ในโลกนี้มีเงินอยู่ก้อนหนึ่ง แต่ก่อนเงินอยู่ในมือรัฐบาล แต่ละประเทศก็ปิด ทำให้การเคลื่อนย้ายเงินทำได้ยาก ผลก็คือ เศรษฐกิจแต่ละ cycle ใช้เวลานาน (สังเกตุ Cycle สมัยก่อนบางที ขาขึ้น ขาลง กินเวลา 20 ปี) ---“แต่คุณลองสังเกตุเดี๋ยวนี้ จาก Globalize การเคลื่อนย้ายเงินทุนทำได้เพียงปลายนิ้ว …มาดูในส่วนของคน Control เงินส่วนใหญ่ของโลก ถามหน่อยเดี๋ยวนี้ใช่รัฐบาลไหม!! ..ไม่ใช่เลย!! “ยิว” เจ้าของ Hedge Fund /Private Equity ต่างๆ อยู่ในมือ “ยิว”

“ยิว” นี่แหละเจ้ามือตัวจริง รัฐบาลไอ้กันเป็นเพียงหมาก (ย้ำ!! เป็นเพียงหมาก!! ) ย้อนกลับช่วง Sub prime ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้ง Asset ราคาตกวูบไปไม่รู้กี่ Trillion (หลักล้านล้านบาท) ..คุณลองนึกดูนะ Asset ทั่วโลกราคาตกวูบ แต่ถามหน่อย Physical จริงๆ “สสาร” มันไม่ได้หายไปไหน --“ดังนั้น ประเด็นเดียวที่ทำให้ ราคา Asset รวมทั้งหุ้น ตกวูบขนาดนั้น ก็คือ (อารมณ์ของยิว !!)

ถึงจุดนี้ หลายคน งง ว่าอารมณ์ของยิว มันเกี่ยวกับราคา asset อย่างไร “มันเกี่ยวอย่างมาก!!” ก็คุณคิดดูซิ “ยิว” มัน Control เงินค่อนโลก “พอมันรู้สึกแย่..เท่าไหร่ก็ขาย หนีออกเพื่อถือเงินสด” ภาวะนี้คุณลองมองในมุมของ Demand & Supply นะ … “ช่วง Sub prime มันเกิดภาวะที่ Demand ใน Asset ลดลงกว่าความเป็นจริง “ผลก็คือ ราคา Asset ทั่วโลก อยู่ดีๆก็หายไปเฉยๆ” ---จากนั้นพอพวก “ยิว” ตั้งสติได้ มันก็รีบกลับเข้ามาช้อนซื้อ Asset ที่เพิ่งปล่อยหลุดมือไปอย่างหมูๆ ช่วงปลายปี 2008 ----ดังนั้น เมื่ออารมณ์ยิว โดดไปอีกด้าน ก็ส่งผลให้ ราคา Asset ที่มันซื้อขายได้ง่าย อย่าง Commodity และ หุ้น เหวี่ยงกลับมาอย่างรวดเร็ว “เกิดสภาวะ Bull Market ตลอดปี 2009”)

ทั้งหมดที่ผม พร่ามมานาน มีสองประเด็น คือ หนึ่ง “ Demand & Supply” สอง “อารมณ์ยิว!!”…ตลกไหมโลกเรา เข้าใจสองตัวนี้ “รวย!!”---ทีนี้คุณสงสัยไหมว่า ทำไม ฮิตเลอร์ มันไล่ฆ่ายิว …หุ หุ --“ก็เพราะฮิตเลอร์ คิดช้า ไม่ทันยิวไง …หุ หุ (ขำๆ)”

ป๋ากึ้ง : สรุปว่า คุณภาววิทย์ เปิดที่ Demand & Supply แล้วมาปิดที่ อารมณ์เปี่ยวนี่นะ!! (เฮ้ย!! ไม่ใช่… “อารมณ์ยิว”..หุ หุ) เอ๋อ..ว่าแต่ Buffet เกี่ยวกับภาพนี้ด้วยหรือเปล่า

ภาววิทย์ : เกี่ยวซิครับพี่ …ความมั่งคั้งของ Buffet ผูกติดกับระบบทุนนิยม (คือ ราคาเงินลดไปเรื่อยๆในขณะที่ราคา Asset เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) สรุปง่ายๆคือ การลงทุนทุกอย่างมันตั้งอยู่บนฐานของ “ความเชื่อ” หากทุกคนเชื่อว่า ทองจะราคาขึ้น ..สุดท้ายราคามันก็เลยขึ้นจริงๆ เพราะมันเกิด Demand เพิ่มในขณะที่ Supply ของทอง มันมีจำกัด

กลับมาที่ประเด็นของเงิน ที่ผมพูดถึงว่า ตอนนี้ Supply ของเงินมันมหาศาล ประกอบกับการไหลของเงิน มันทำได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว ..สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ราคาของ Asset ต่างๆ มันก็จะผลัดกัน Bubble ไปเรื่อยๆ เช่น วันดีคืนดีกองทุนแห่ไปเล่นทอง ราคาทองก็พุ่ง ..เดี๋ยวกองทุนมัน หวือไปเล่น น้ำมัน --ราคาน้ำมันมันก็จะขึ้น …หรือวันดีคืนดี กองทุนมันหวือ มาเล่นหุ้น ราคาหุ้นมันก็จะขึ้น

ด้วยเหตุนี้เอง หากคุณกระจายเงินคุณลงไปใน Asset ต่างๆ แล้วก็รอ ..คือ รอว่า ถ้า Asset ที่คุณถือมันหวือเมื่อไหร่ คุณก็ขายตัวนั้น แล้วเอาเงินที่ได้ ไปใส่ใน Asset ที่ยังไม่ขึ้น (เห็นไหมครับ การลงทุนให้กำไร มันก็คือ คุณเข้าใจ Basic พื้นๆของ Demand & Supply ใช่หรือไม่!!)

ป๋ากึ้ง : โอ้โห !! ชักมึน คือ คุณภาววิทย์ กำลังหมายความว่า ทุกอย่างในโลก มันมีความเชื่อมโยงกันหมด ..ประเด็นคือ ถ้าคุณเข้าใจภาพของการเชื่อมโยง แล้วคุณมองมันในเชิงของ Demand & Supply คุณก็จะเห็น “ช่องว่างของ Trend” จากนั้น “คุณก็สามารถทำกำไรได้จากมัน” –(เห็นในสิ่งที่คนอื่น มองข้าม คุณก็จะ “รวย” ..ถูกไหม!! )

ภาววิทย์ : “ใช่เลยพี่!!”------(อ่านต่อตอนที่ 6..ฉบับหน้า..ฮ่า ฮ่า)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ