"คนในภาพนี้ มี Wealth รวมกัน $126 Billions ...ก็ประมาณ 3.8 ล้านล้านบาท ...ก็มากกว่างบประมาณประเทศไทย" -- เพื่อ "ให้!!"
น่าทึ่งจริงๆ ตั้งแต่ Bill Gates , Warren Buffett , Oprah , Bon Jovi , Rubenstein , etc. -- รวมตัวกันเพื่อให้ ...เราได้ทราบกันอยู่แล้วว่า Bill Gates และ Warren Buffett ...ทำมานานแล้ว คือ เขาตั้ง Foundation แล้วเอาเงินของเขาครึ่งนึง ...ใส่มูลนิธิ แล้ว ตัวเองก็ลาออกจาก Microsoft แล้วเอา "สมอง และ ความสามารถ" มาทุ่มให้กับ การพัฒนาชีวิตคนอื่นให้ดีขึ้น ...มูลนิธิเขาเน้นสองเรื่องคือ หนึ่ง ช่วยชีวิคคน (ตอนนี้เน้นในทวีปแอฟริกา) เขาทำ วัคซีน เพื่อช่วยชีวิตเด็ก เพราะ เดิมทีโจทย์ที่ท้าทายคือ การยกระดับชีวิตคนจน ..ซึ่งในเบื้องแรก เขานึกว่า การลดจำนวนประชากรจะช่วยให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ...แต่ในความเป็นจริง มันตรงข้าม -- เมื่อ Bill Gates เข้าไปสัมผัสจริงๆ เขาพบว่า การที่แอฟริกามีลูกมาก เพราะ โอกาสที่เด็กตายสูงมาก ..ทำให้พ่อแม่มีลูกหลายคน -- การลดการตายในเด็ก ต่างหากที่ลดจำนวนการมีลูกมาก "โจทย์การช่วยชีวิต ของ Bill Gates จึงเริ่มขึ้น!!"
ดังนั้น "เมื่อเจอปัญหาจริง" เขาก็ทำ วัคซีน โดย สนับสนุน R&D ของบริษัทยา ให้สามารถผลิต "ยาช่วยชีวิต" ที่ราคาประหยัดกว่าเดิม 99% ... เปิดการใช้ approach ของ "ผู้ประกอบการ" ซึ่งเก่งในเรื่องของ การทำสิ่งที่เหมือนกันคนอื่น แต่สามารถทำในต้นทุนที่ต่ำกว่า (ผมว่าเรื่องของ Skill ความฉลาดของผู้ประกอบการ ในการใช้ทุนที่จำกัด สร้างผลลัพธ์ที่มากกว่า มันเริ่มเห็นผลในหลายๆ อุตสาหกรรม ตั้งแต่ ธุรกิจ จนถึงธุรกิจเพื่อการให้ Social Entreprenuer)
วันนี้มูลนิธิ Bill gates ช่วยชีวิตเด็กเป็นล้านคนต่อปี ...และ อีกประเด็นที่เขามุ่งทำ คือ "ยกระดับการศึกษา ของคนจน" เพราะ เขาเชื่อว่า การศึกษาเท่านั้น ที่จะยกระดับฐานะของคนอย่างแท้จริง ...
"สิ่งที่ Bill Gates ทำ มันกระตุ้นให้ เศรษฐีทั่วโลก เริ่มมองว่า มันเป็นเรื่องที่ดี ...จนกลายเป็นกระแสของ การให้!!" ...ประเด็นนี้ ผมว่า มันสุดยอดจริงๆ
อย่าง David Rubenstein เจ้าของ Private Equity ด้านอาวุธสงคราม ยังเริ่มมามองเรื่องการให้ อย่างจริงจัง ...โดย เขามองว่า คนเราเลือกทำอะไรกับเงินมหาศาลที่หามาได้ 3 ทาง คือ
หนึ่ง ให้ลูก (ซึ่งถ้าให้มากไป มันจะห่วยแตกมาก เพราะ เงินจริงๆ ถ้ามากเกินไป มันไม่ได้ทำให้ชีวิตลูกดี แต่มันทำให้ยิ่งแย่)..ความเชื่อใหม่ คือ ให้เงินลูกมากพอ ที่จะให้เขาทำในสิ่งที่เขารัก แต่ไม่มากเกิน จนเขาไม่ต้องทำอะไรเลย ..."ต่างกันมากนะ!!"
สอง ให้คนอื่น ไปแจกจ่าย เช่น องค์กรการกุศล ต่างๆ ซึ่งบางแห่ง ก็ดี บางแห่งก็มั่ว...แล้วแต่โชค
สาม ให้เอง ...ตรงนี้ก็แบบ Bill gates ที่เขาเชื่อว่า มันสมองของเขาสามารถ เอาเงินจำนวนเท่ากัน แต่เขาสามารถสร้างประโยชน์ได้มากกว่า ...และ มันกลายเป็นเรื่องของการ "ท้าทายความสามารถ ในการสร้างความดี" -- แข่งกัน ให้ ...คือ ใครคิดวิธีให้ ได้ประโยชน์สูงสุด ก็ถือ เป็นความภูมิใจ -- ยิ่งสามารถสร้างเป็นธุรกิจ ที่มี Business Model ที่สามารถ "ให้" อย่างยั่งยืน ยิ่งท้าทายความคิด เพราะ ต้องสร้างกำไร เพื่อเอากำไรมา "ให้" สังคม ...ต้องคิดซ้อนเข้าไป !!
David พูดไว้อย่างน่าสนใจว่า ...เขาไม่ได้แจกเงิน เพราะ ว่าเขารู้สึกผิด -- เพียงแต่การ "ให้" มันท้าทายความสามารถ และ มันทำให้ "ตัวเอง" รู้สึก ถึง ความสุข ที่เขาได้ให้ต่างหาก ที่เป็นพลังขับเคลื่อน
-- Trend ของ Social Entreprenuer น่าจะ มีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะ สุดท้าย คนรวยในยุคนี้ รวยขึ้น อย่างแน่นอน เมื่อเงินเฟ้อ มันทวีความรุนแรง ...และ วิธีที่ดีที่สุด ที่ลดความเหลื่อมล้ำ ก็คือ การที่คนรวยลุกขึ้นมา ท้าทายตัวเอง ...ในเรื่องของการสร้างประโยชน์และสร้างโอกาส ให้กับผู้อื่น ...แจ๋วนะ -- แข่งกัน "ให้" ...
เพราะ ยิ่งให้ คนให้ ก็ยิ่งได้ ... "ซึ่งคนเหล่านี้ เงินเขามากพอ และ มากเกิน ...ดังนั้น มันเยี่ยมกว่า การเก็บเป็นมรดก ให้ลูกๆ ผลาญมากนัก"
คนเรา มันต้องสร้างเอง ...ถึงจะภูมิใจในการที่เกิดมา ...บางครั้งเงินก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ชี้วัดความสามารถ แต่ความสุขที่แท้จริง คือ ต้องหันหลับมาถามตัวเราเอง ว่าอะไรคือ "ความสุขที่แท้จริง"
สุดท้าย ผมเชื่อว่า "โจทย์ที่เราอยากทำ เราต้องตอบเอง" ไม่มีใครตอบได้ดีเท่าตัวเราเองหรอกว่า เราทำอะไรแล้วดีกับเรา ...คนอื่นมองอย่าง เรามองอีกอย่าง
--- ถ้าถามผม ..ผมว่า คนเหล่านี้น่าชื่นชม ...เท่ห์มาก!!
"ทำเพราะ อยากทำ ...ไม่ได้ทำเพราะ ต้องทำ"
Trend ของ "ยิ่งให้ ยิ่งได้" ผมว่ามันชัดขึ้นเรื่อยๆ ...ทั้งในระดับโลก และ ระดับประเทศเรา ... สิ่งที่เราพบมากขึ้นทุกวันคือ คนที่รวยแบบ Self-made สร้างด้วยตัวเอง เริ่มตระหนักว่า การส่งต่อให้ทายาททั้งหมด เป็นเรื่องไร้สาระ เพราะ เงินจริงๆ มันมีทั้งประโยชน์ และ โทษ ...แต่ปัญหาที่เกิดจากเงินคือ "เงินไปที่ไหน ที่นั่นแตก!!"
...พ่อตาย ...ทายาทฆ่ากันแย่งสมบัติ ...สิ่งเหล่านี้ ไม่น่าเกิดขึ้น -- ผมว่า เศรษฐีที่ Self-made เหล่านี้ฉลาดพอ เขาหาเงินมาได้ ก็ย่อมคิดได้ว่า ..ผลของ "เงิน" ที่หามาจะสร้างวิบัติ ต่อทายาทเท่าไหร่ ถ้าเขาเพียงโยนเงินมรดกแบบไม่คิด..
"และนั้นเป็นเรื่องราวที่น่าชื่นชม ของเหล่าเศรษฐี Self-made เหล่านี้ ที่เริ่มรวมกลุ่มกัน ...แล้วเดินทางพบปะ เศรษฐี Self-made เหมือนกัน จากอเมริกา ไป จีน มา อินเดีย ...วันนี้นิตยสารและสื่อหลายๆค่าย อย่าง Fortune ก็รับเป็นแม่งานในการ "สื่อ" ประเด็นเรื่องการ "ให้" แบบฉลาดนี้ในวงกว้างมากขึ้น (ให้ อย่างไร จะยั่งยืน ใช้เงินน้อย แต่ใช้สมองมาก ..เน้นการสร้างประโยชน์ และ สร้างโอกาส)"
--- ผมว่า ความท้าทาย จริงๆ ของเศรษฐี Self-made เหล่านี้คือ การใช้ความรู้ ความสามารถ และเวลาของเขา ในการช่วยเหลือคนที่ขาดโอกาส ..."อย่างตัวผมเอง ผมเคยล้มจนเละ ..และรู้เลยว่า จริงๆ แล้วสิ่งสำคัญที่สุดในการสร้างตัวเอง ไม่ได้เริ่มที่เงิน แต่เริ่มที่โอกาส ...และ โอกาส มันคือ การทำตัวเราให้ดี เป็นจุดเริ่ม!! ...พัฒนาความรู้ในสิ่งที่เราเลือกทำให้สุดๆ ...จากนั้นชีวิตมันจะเริ่มเหมือนการเดินทาง ที่โคจรเจอคน สร้าง Connection สร้าง Experience และ สร้าง Trust ...เมื่อถึงจุดนึง เงินจะเริ่มมาแบบเราไม่ต้องห่วง "เพราะพอเราทุ่มให้งานแบบสุดๆ งานมันก็จะดี และ ดีมากๆ จากนั้นเงินมันก็มาเอง ..." -- ตรงนี้แหละที่น่าสนใจ
เพราะ แท้จริงแล้ว หลายคนมองว่า คนรวยทำเพื่อเงินแต่จริงๆ ไม่ใช่ เขาทำเพื่องาน ...แต่วันนี้ที่น่าสนใจเพิ่มคือ เขาเริ่มเปลี่ยนโจทย์ แล้วสร้างความสุขให้ตัวเองมากขึ้น ตอบสนองจิตใจ ที่ลึกๆ ผมเชื่อว่า ทุกคนเป็นคนดีนะ ...เมื่อเราสบาย เราก็อยากช่วยคนอื่น ในมุมที่มันสร้างสรรค์" ....สิ่งที่ผมคิดมาตลอด คือ อะไรที่สร้างโอกาสให้คนยกระดับฐานะตัวเองได้ด้วยตัวเอง ...ผมว่า "การศึกษา" เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ...จากนั้น ทัศนคติที่ดี ที่มุ่งมั่น มันจะทำให้เขาโคจรไปเจอกับ "คน" (คนที่ให้โอกาส) ...และนั่นจะเป็นจุดเปลี่ยน
-- สนุกดี เกมนี้ มันท้าทายคนรุ่นใหม่ จริงๆ ....อย่างวันนี้ ผมไปเจอ หมอคิดส์ ...เขาเป็นนักลงทุนตั้งแต่เด็ก และ ก็เปิดบริษัทเอง วันนี้เขาตั้ง MaFiva เป็น Online Agency มีลูกค้าเป็นบริษัทต่างชาติมากมาย ...ผมก็ถามว่า เหมือนคุณ จะเริ่มจากสิ่งที่มันไม่มี แล้วสร้างความไม่มีให้มี
...ใช่!! การแข่งกับธุรกิจเดิม มันยาก เพราะ มันมีคนเดิมเขาจับจอง ...แต่ใน New Territory อย่าง Internet และ Digital มันเปิดกว้าง -- และสิ่งที่น่าสนใจกว่านั้น คือ ผมสัมผัสกับ Passion อย่างมากมาย เวลาได้คุยกับคนรุ่นใหม่ ที่สร้างตัวเองแบบนี้ เพราะ นอกจากทำธุรกิจ เขาก็เป็นอาจารย์พิเศษ และ วิทยากรให้ความรู้ รวมทั้งทำ Venture Capital ช่วยให้เงิน และ ปรึกษาธุรกิจให้คนรุ่นใหม่ที่มี Idea
....ก็เล่าให้ฟังครับ ว่าเดี๋ยวนี้ โจทย์ชีวิต มันเริ่มเปิดกว้าง โอกาสของตลาด มันเปลี่ยน ก็เท่ากับว่า มันเปิดเช่นกัน ...คนที่เห็นโอกาส ผมว่า ต้องกล้าที่จะลองในสิ่งใหม่ๆ ..."ช่วงแรก เชื่อผม อย่าไปมองที่เงิน ...ให้มองที่งาน และ ความท้าทายที่เราจะเปลี่ยนแปลง อะไรก็ได้ ให้ดีขึ้น -- เดี๋ยวธุรกิจ และ เงินมันจะตามมาเอง"
....ใส่ Passion เข้าไป "มันสัมผัสได้" นั่นแหละ จุดเริ่มต้น!!
Trend ของ "ยิ่งให้ ยิ่งได้" ผมว่ามันชัดขึ้นเรื่อยๆ ...ทั้งในระดับโลก และ ระดับประเทศเรา ... สิ่งที่เราพบมากขึ้นทุกวันคือ คนที่รวยแบบ Self-made สร้างด้วยตัวเอง เริ่มตระหนักว่า การส่งต่อให้ทายาททั้งหมด เป็นเรื่องไร้สาระ เพราะ เงินจริงๆ มันมีทั้งประโยชน์ และ โทษ ...แต่ปัญหาที่เกิดจากเงินคือ "เงินไปที่ไหน ที่นั่นแตก!!"
...พ่อตาย ...ทายาทฆ่ากันแย่งสมบัติ ...สิ่งเหล่านี้ ไม่น่าเกิดขึ้น -- ผมว่า เศรษฐีที่ Self-made เหล่านี้ฉลาดพอ เขาหาเงินมาได้ ก็ย่อมคิดได้ว่า ..ผลของ "เงิน" ที่หามาจะสร้างวิบัติ ต่อทายาทเท่าไหร่ ถ้าเขาเพียงโยนเงินมรดกแบบไม่คิด..
"และนั้นเป็นเรื่องราวที่น่าชื่นชม ของเหล่าเศรษฐี Self-made เหล่านี้ ที่เริ่มรวมกลุ่มกัน ...แล้วเดินทางพบปะ เศรษฐี Self-made เหมือนกัน จากอเมริกา ไป จีน มา อินเดีย ...วันนี้นิตยสารและสื่อหลายๆค่าย อย่าง Fortune ก็รับเป็นแม่งานในการ "สื่อ" ประเด็นเรื่องการ "ให้" แบบฉลาดนี้ในวงกว้างมากขึ้น (ให้ อย่างไร จะยั่งยืน ใช้เงินน้อย แต่ใช้สมองมาก ..เน้นการสร้างประโยชน์ และ สร้างโอกาส)"
--- ผมว่า ความท้าทาย จริงๆ ของเศรษฐี Self-made เหล่านี้คือ การใช้ความรู้ ความสามารถ และเวลาของเขา ในการช่วยเหลือคนที่ขาดโอกาส ..."อย่างตัวผมเอง ผมเคยล้มจนเละ ..และรู้เลยว่า จริงๆ แล้วสิ่งสำคัญที่สุดในการสร้างตัวเอง ไม่ได้เริ่มที่เงิน แต่เริ่มที่โอกาส ...และ โอกาส มันคือ การทำตัวเราให้ดี เป็นจุดเริ่ม!! ...พัฒนาความรู้ในสิ่งที่เราเลือกทำให้สุดๆ ...จากนั้นชีวิตมันจะเริ่มเหมือนการเดินทาง ที่โคจรเจอคน สร้าง Connection สร้าง Experience และ สร้าง Trust ...เมื่อถึงจุดนึง เงินจะเริ่มมาแบบเราไม่ต้องห่วง "เพราะพอเราทุ่มให้งานแบบสุดๆ งานมันก็จะดี และ ดีมากๆ จากนั้นเงินมันก็มาเอง ..." -- ตรงนี้แหละที่น่าสนใจ
เพราะ แท้จริงแล้ว หลายคนมองว่า คนรวยทำเพื่อเงินแต่จริงๆ ไม่ใช่ เขาทำเพื่องาน ...แต่วันนี้ที่น่าสนใจเพิ่มคือ เขาเริ่มเปลี่ยนโจทย์ แล้วสร้างความสุขให้ตัวเองมากขึ้น ตอบสนองจิตใจ ที่ลึกๆ ผมเชื่อว่า ทุกคนเป็นคนดีนะ ...เมื่อเราสบาย เราก็อยากช่วยคนอื่น ในมุมที่มันสร้างสรรค์" ....สิ่งที่ผมคิดมาตลอด คือ อะไรที่สร้างโอกาสให้คนยกระดับฐานะตัวเองได้ด้วยตัวเอง ...ผมว่า "การศึกษา" เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ...จากนั้น ทัศนคติที่ดี ที่มุ่งมั่น มันจะทำให้เขาโคจรไปเจอกับ "คน" (คนที่ให้โอกาส) ...และนั่นจะเป็นจุดเปลี่ยน
-- สนุกดี เกมนี้ มันท้าทายคนรุ่นใหม่ จริงๆ ....อย่างวันนี้ ผมไปเจอ หมอคิดส์ ...เขาเป็นนักลงทุนตั้งแต่เด็ก และ ก็เปิดบริษัทเอง วันนี้เขาตั้ง MaFiva เป็น Online Agency มีลูกค้าเป็นบริษัทต่างชาติมากมาย ...ผมก็ถามว่า เหมือนคุณ จะเริ่มจากสิ่งที่มันไม่มี แล้วสร้างความไม่มีให้มี
...ใช่!! การแข่งกับธุรกิจเดิม มันยาก เพราะ มันมีคนเดิมเขาจับจอง ...แต่ใน New Territory อย่าง Internet และ Digital มันเปิดกว้าง -- และสิ่งที่น่าสนใจกว่านั้น คือ ผมสัมผัสกับ Passion อย่างมากมาย เวลาได้คุยกับคนรุ่นใหม่ ที่สร้างตัวเองแบบนี้ เพราะ นอกจากทำธุรกิจ เขาก็เป็นอาจารย์พิเศษ และ วิทยากรให้ความรู้ รวมทั้งทำ Venture Capital ช่วยให้เงิน และ ปรึกษาธุรกิจให้คนรุ่นใหม่ที่มี Idea
....ก็เล่าให้ฟังครับ ว่าเดี๋ยวนี้ โจทย์ชีวิต มันเริ่มเปิดกว้าง โอกาสของตลาด มันเปลี่ยน ก็เท่ากับว่า มันเปิดเช่นกัน ...คนที่เห็นโอกาส ผมว่า ต้องกล้าที่จะลองในสิ่งใหม่ๆ ..."ช่วงแรก เชื่อผม อย่าไปมองที่เงิน ...ให้มองที่งาน และ ความท้าทายที่เราจะเปลี่ยนแปลง อะไรก็ได้ ให้ดีขึ้น -- เดี๋ยวธุรกิจ และ เงินมันจะตามมาเอง"
....ใส่ Passion เข้าไป "มันสัมผัสได้" นั่นแหละ จุดเริ่มต้น!!
เขียนได้ดีคะ :) อ่านแล้วดูมีพลัง
ตอบลบผมเริ่มติดตามบทความของคุณภาววิทย์ตอนเริ่มสนใจจะเล่นหุ้นเมื่อประมาณ 2ปีก่อน ซึ่งเพื่อนผมได้แนะนำให้มาอ่านบทความจาก blog นี้
ตอบลบหลังจากนั้นผมได้ติดตามผลงานของคุณภาววิทย์มาโดยตลอดทั้ง หนังสือ บทสัมภาษณ์ รายการโทรทัศน์ สิ่งที่ได้รับนั้นมากกว่าความรู้เรื่องหุ้น ผมได้เรียนรู้ถึงทั้งมุมมองการใช้ชีวิต การกล้าทำในสิ่งที่เรารัก แนวทางการประสบความสำเร็จในชีวิต การให้ และอื่นๆที่เป็นประโยชน์อีกมากมาย
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ และสนับสนุนให้เขียนบทความที่เป็นประโยชน์แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆครับ
กด Like ให้ความคิดเห็นด้านบนค่ะ มีความคิดเห็นตรงกัน และขอบคุณคุณภาววิทย์ ที่ได้แบ่งปันความรู้ ที่เป็นประโยนช์มากค่ะ
ตอบลบ