แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

"ลอดลายมังกร 2012 ตอน แกะระบบกงสี!!" ...โดย นักแกะรอยหยัก


"กงสี" คือ รูปแบบการทำธุรกิจ แบบรวมศูนย์เอา Family ครอบครัว เป็นแกนกลาง ...ธุรกิจทุกอย่างเริ่มจากกงสี แล้วแตกออกไป พอทำเงินเท่าไหร่ ก็ดึงกลับเข้ามากงสี ...เรื่องนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ...ในด้านดี เราเห็นอยู่แล้วว่า หลายๆตระกูลในเมืองไทยเติบใหญ่ ด้วยการขยายแบบกงสี ซึ่งบางตระกูลใหญ่มาก จนต้องทำ "ธรรมนูญของตระกูล"

ผมไม่ได้ตลก!! จริงๆ ก็ "รัฐธรรมนูญของครอบครัว" นั่นแหละ ...เขามีทำจริงๆ ซึ่งส่วนตัวผมว่าดีนะ มันชัดเจนดี เพราะ ปัญหาของหลายๆครอบครัวแตกแยกก็เพราะความไม่ชัดเจนนี่แหละ ..ถ้ามองกันรอบๆตัว เราจะเห็นว่าปัจจุบันธุรกิจต่างๆ กำลังเข้าสู่ "รุ่นที่ 3" ...อ้าว!! แล้วรุ่นที่ 2 กับ 1 ล่ะ ...ครับ รุ่นแรกนั่นรุ่น บุกเบิก กลุ่มนั้น เสื่อผืน หมอนใบ เข้ามาทำงานหนัก จากจับกังยัน ธนราชันย์ นั่นรุ่นที่หนึ่ง รุ่นปักร่างสร้างฐาน ...ต่อมารุ่นที่สอง เป็นรุ่นที่ เจ้าสัว ส่งไปเรียนกับ "ฝรั่ง" ...

พ่อผมเล่าให้ฟังว่า สมัยพ่อไปเรียน ...เวลาจะขึ้นเครื่องบิน ทุกคนในบ้านจะแต่งตัวกันอย่างดี ไปดอนเมือง มีการคล้องพวงมาลัย ใส่สูทอย่างเท่ห์ เพราะเวลานั้น แทบไม่มีใครมีโอกาสขึ้นเครื่องบิน ...ฮ่า ฮ่า นึกภาพเดี๋ยวนี้ เราลากแตะ ขาสั้น สะพายเป้ แล้วก็ขึ้นไปกระดิกเท้า ..ดิ๊ก ๆ ๆ ๆ ..ฮึม!! ช่างเป็นภาพที่ยากจะจินตนาการจริงๆ

รุ่นที่ 2 มักเกิดในตระกูลที่มีพี่น้องหลายๆ คน ...พวก Baby Boomer นั่นแหละ ... "ผมก็สงสัยนะ ทำไม พ่อแม่ มีพี่น้องหลายคนจัง ..แต่ละครอบครัวนี่เยอะอ่ะ ..." -- โอเค รุ่นนี้เขาเป็นรุ่นที่เห็นความแตกต่างระหว่างประเทศไทย กับ เมืองนอก ...ว่าแตกต่างราวฟ้ากับดิน ... สิ่งที่พ่อเล่าให้ผมฟัง มันทำให้ผมเห็นภาพความแตกต่าง คือ พ่อเล่าว่า ก่อนพ่อจะไปเรียนเมืองนอก ครอบครัวเรายังอาศัยอยู่ริมน้ำ ข้างๆ วัดเลย ...เวลาจะกินกุ้งก็โดด ลงเจ้าพระยา ..ส่วนเวลาขับถ่าย ก็อะนะ เข้าใจกัน..อิ อิ ...นั่นคือ ภาพก่อนจะไปเห็นว่าอเมริกา มันมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบวงจร ...

ถ้าย้อนไปในช่วงเวลานั้น คนที่ได้ไปเมืองนอก มีน้อยมาก ...ก็แปลว่า คนที่ได้ไป ก็ต้องเป็นลูกของใครสักคนที่เป็น Someone นั่นแหละ ...เอ๊ะ!! ยังไง ...และที่อเมริกา ก็เป็นที่ ที่พ่อพบกับแม่ ...โอ้โห เหมือนนิยาย รักสุดขอบฟ้าเลย ..เอาเถอะ มาเข้าเรื่องเลยว่า สิ่งที่แตกต่าง ของคนในรุ่นที่ 2 คือ เขาได้ไปศึกษา และ เห็นโอกาส ที่จะสร้างให้เมืองไทย มีความเจริญ ...และ นั่นเป็นที่มาของคนรุ่นนี้ ที่เป็น Generation ที่นำพา Technology เครื่องอำนวยความสะดวก และ ฝรั่งหัวแดง เข้ามาในเมืองไทย ...แน่นอน!! รุ่นคุณและผม ไม่ได้เห็นภาพนั้น เพราะ เราเกิดมาในยุคที่ ความเจริญของเมืองไทย มันไม่ได้ด้อยไปกว่าอเมริกาเลย ...ผมว่า เอาจริงๆ วันนี้ กรุงเทพ สะดวกสบายกว่า เมืองนอกเสียอีก เพราะ มีทุกอย่าง แถมถูกกว่า ...ดังนั้น Trend มันเริ่ม Reverse คือ ฝรั่งเริ่มอยากมาอยู่เมืองไทยกันจริงๆ จังๆ แต่ก็แปลกอีกนั่นแหละ ที่เมืองหลวงของไทย และ ที่เจริญๆ มักตั้งในจุดล่อแหลม ..อย่างกรุงเทพ ตั้งในจุดที่อนาคตอาจจะเป็นเมืองที่อยู่ต่ำกว่า น้ำทะเล ...คงไม่ถึงขั้นเมืองบาดาล เพราะ ในที่สุดเราก็คงต้องสร้างเขื่อนแบบเนเธอร์แลนด์ ...หรือ อย่างภูเก็ต ที่วันนี้เป็นเมืองหลวงของฝรั่งไปแล้วก็ สุ่มเสี่ยงต่อ สึนามีเหลือเกิน ... เอาล่ะ สิ่งที่เราเห็นวันนี้ คือ ทั้งฝรั่งหัวแดง และ หัวดำ เริ่มอยากมาอยู่เมืองไทย ด้วยความสะดวก ความถูก ความครบทั้งธุรกิจ และ บันเทิง และ ที่สำคัญ ความเป็นจุดยุทธศาสตร์

ครับ!! สิ่งที่คนรุ่นนี้ไม่เห็นเหมือนรุ่นที่แล้ว คือ Connection Know Who ... คุณรู้ไหมว่า รุ่นที่สอง ที่เป็น กลุ่มแรกๆ ของเมืองไทย ที่ได้มีโอกาสไปศึกษาในต่างประเทศ -- พวกเขาไปเจอกันที่นั่น ...ทุกๆ ตระกูลที่ใหญ่ ก็ส่ง ลูกชาย ลูกสาว ไปเจอกันที่นั่น "ที่อเมริกา & อังกฤษ" ...ดังนั้น ผู้ใหญ่ในยุคนั้น จะรู้จักกันอย่างดี เรียกได้ว่า เจ้าสัวรุ่นที่สอง เขาวิ่งตบหัวเล่นกัน ในต่างประเทศ จากนั้น พอเรียนจบ ก็แยกย้ายกันกลับมาช่วย "กงสี" ของครอบครัว

แต่น แต้น!! ตำนาน กงสีในยุคที่สอง ...ก็คือ เหล่าทายาท ไปเรียนต่างแดน ไปรู้จัก เพื่อนรัก คู่แข่ง ซึ่งต่อมา ก็กลายเป็นเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด กันในบางกรณี ..แต่ภาพที่เห็นได้ชัดเจนคือ คนรุ่นนี้ มี Connection  ถึงกันทั้งประเทศ -- ในยุคนี้ ประเทศไทยยังถูกปกครองด้วย "ทหาร" ...ฮึม!! หลายๆ คนอาจสงสัยว่า จริงๆ ปัจจุบันนี้เลย ก็ทหารมิใช่หรือ ...no no ไม่ใช่ ...คือ ที่บอกว่า เจ้าสัวในยุคที่สอง ปกครองด้วยทหารคือ ทหารมีอำนาจมาก ...หากคุณเป็นพ่อค้า คุณต้องมีภาพถ่ายกับนายพล ..มิเช่นนั้นอาจถูกกลั่นแกล้งในวงการได้ ..การเมืองในช่วงพ่อผม เขาเรียก การเมืองยุค ทหาร กับ องค์ชาย (Cadet & The Prince)... กล่าวคือ นักการเมือง ต้องมาจาก คุณเป็นหม่อม(เป็นจ้าว) หรือ ไม่คุณก็ต้องเป็นทหาร

สมัยนั้น Know Who สำคัญที่สุด เพราะ "อำนาจปากประบอกปืน" มันครองเมือง ...ผมยังจำได้ ตอนผมเด็กๆ ไปบ้านปู่ แล้วเห็น คนตัวดำๆ นั่งนิ่งๆ อยู่ ...ผมถามพ่อว่า "คนนั้นใครอ่ะพ่อ (ผอมๆ ตัวดำๆ ดูต่างจังหวัดนิดๆ)" ... "เฮ้ย!! นั่นมัน มือปืน" ...ผมถึง กับ "หน้าซีด!!" ....เล่าไปเล่ามา จะกลายเป็น เรื่อง จังโก้ ดราม่า ปลายกระบอกปืน ซะงั้น ...แต่สิ่งที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นก็คือ กลบทในการแข่งขัน การสร้างตัว เกมที่เราอยู่ ในแต่ละยุค แต่ละสมัย มันมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ...บางคนหวังว่า จะเอาเทคนิคที่ใช้ได้ดีในรุ่นพ่อ มาใช้ในรุ่นตัวเอง แล้วคิดว่าจะชนะเหมือนที่พ่อทำ ...ผมว่า คุณกำลังหลงประเด็น ...ยกตัวอย่าง เหล้าพ่วงเบียร์ แน่นอนใช้ได้ดีในยุคนึง แต่ตอนนี้ คงใช้ไม่ได้ผล ต้อง "รับซาลาเปา พ่วงไปด้วยไหมครับพี่"...อิ อิ ล้อเล่นนะ ...เพียงแต่ ทุกๆ เกม การแข่งขัน มันขึ้นกับเราเลือก หยิบจับ กลยุทธ์ที่เหมาะกับสถานการณ์ต่างหาก ที่จะทำให้เรามี Competitive Edge !!

ย้อนกลับมาในเรื่อง "กงสี" ...ที่เราเกริ่นว่า มีจุดอ่อน ก็คือ "เขากล่าวว่า ธุรกิจ จะอยู่ไม่เกิน 3 Generation ...เป็นเสมือนคำสาบ" ..ซึ่งถ้ามองดีๆ หลายๆ ธุรกิจ เกินไปแล้วนะ ไปรุ่น 4 รุ่น 5 แล้ว ... ประเด็นมันอยู่ที่ว่า แต่ละรุ่นมีความเข้าใจในเรื่องการสืบทอดมากน้อยแค่ไหน ...คนที่ไม่เข้าใจ จะพยายาม แย่งตัวสมบัติ เช่น ฆ่ากันตาย แบ่งมรดก ..ซึ่งบอกตรงๆ มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก ...ผมยังเคยคุยกับ คนรุ่นก่อนๆ เขาห่วงมากว่า ทรัพย์สมบัติที่เขาสร้าง สุดท้ายจะเป็นชนวนให้ลูกหลาน แตกแยก หรือ เรียก สมบัติเป็นพิษ!! ...สมบัติบางอย่าง เช่น ที่ดิน และ ธุรกิจ แบ่งยาก เพราะ ตีค่ายาก -- ทั้งหมดคือ ปัญหาในเรื่องของ "มุมมอง"

"มุมมอง!!!" (Mind Set)

ถูกต้อง!! จริงๆ แล้ว ทรัพย์สมบัติที่มีค่าที่สุดของแต่ละตระกูล คือ องค์ความรู้ และ Connection ที่สร้างสมมานับชั่วอายุคน ...การสั่งสมความมั่งคั่งเดิมทีจะ รวมศูนย์อยู่ที่ "ผู้นำตระกูล" ...ปัญหาจะเกิดเมื่อ ผู้นำตาย ที่เขาบอก "พ่อตายเหมือนถ่อหัก แม่ตายเหมือนแพแตก" ...มันเป็นธรรมชาติ ...ยกตัวอย่าง ต้นไม้ใหญ่ หรือ ตระกูล ..เขาสามารถสร้างความมั่งคั้่งได้หลายแบบ ..ส่วนใหญ่แบบ "กงสี" จะเอาทุกอย่างมารวมที่ต้นใหญ่(ต้นแม่) ส่วนต้นไม้ของลูกๆ สร้างแบบ กาฝาก ..."มีปัญหาอะไรมาเอากับพ่อ .." ส่วนอีกแบบ คือ สร้างให้ลูกๆ โต ..ตรงนี้ เมืองไทยจะมีน้อย เพราะ ส่วนมากมีอะไร ให้มาเอากับกงสีซะส่วนใหญ่ ..."ผมคุยกับทายาทธุรกิจ หลายๆคน ก็มีทั้งรู้สึกและไม่ดี ซึ่งบอกตรงๆ ไม่มีข้อสรุป เพียงแต่ว่า แต่ละตระกูล ต้องเข้าใจข้อดี ข้อเสียในแต่ละแบบซึ่งส่งผลแตกต่างกันราวฟ้าดิน.."

การสร้าง "ตระกูล" มีแก่น ก็คือ ครอบครัว ... และ นั่นคือ จุดเริ่มต้นของทุกๆ อย่าง ...ความมั่นคง เริ่มที่นั้น ...ถึงมีคำพูดว่า ครอบครัวไหนจะยั่งยืน ก็ขึ้นกับครอบครัวมีความเป็นปึกแผ่นกันแค่ไหน ...และ ถ้าสังเกตุให้ดี จุดเสื่อมของแต่ละตระกูล หรือ ขั้นราชวงศ์อาณาจักรจีนโบราณ ก็ล้วนมีจุดเริ่มต้นจาก ครอบครัว แตกแยกนี่แหละ (ฮึม!! หลายๆ คนเริ่มโทษ เมียน้อย แต่หลายคน โทษเมียเยอะ ..เอ๊ะ ยังไง แต่ปัญหา มันเกิดที่คุณเองนะ ไม่ได้เกิดที่คนอื่น ...พ่อผม สอนเสมอว่า ทุกอย่างเริ่มพิจารณาจากตัว ...วันใดที่คุณเริ่มหลงระเริง วันนั้นก็คือ จุดเริ่มของความเสื่อม)

การดำเนินเรื่อง กำลังเข้มข้น ...ไม้ต่อ !!  คือ การหาตัว "ทายาทตัวจริง ของตระกูล" ...คนไหน จะได้ดูแล ธุรกิจหลัก เดี๋ยว เสด็จเตี๋ย จะทำการคัดเลือก ทายาท ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 ... ทุกคนเตรียมตัวให้ดี

"ใครล่ะ ที่จะเป็น ทายาท ตัวจริง ของตระกูล!!"






2 ความคิดเห็น:

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ