ทุกวันนี้เรากำลังอยู่ท่ามกลาง ระบบทุนนิยมที่นับวันจะเปลี่ยนแปลงและผันผวนมาก และ เร็วขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าใครมองย้อนกลับไปช่วง 30 - 40 ปีที่ผ่านมา ... ดูเหมือน โลก ทั้งโลก จะเปลี่ยนชนิดที่ว่า "พลิกโลก"
ผมอ่านเรื่องราวของเศรษฐีหลายๆคน ที่เราเรียกว่า "เจ้าสัว" นั่นแหละ ... ถ้าในประเทศไทย ส่วนมาก "เจ้าสัว" ก็จะเป็นคนจีน ลำบากมาก่อน
ใช่!! ลอดลายมังกร "อาเหลียง" มันเป็นภาพที่สะท้อนความมั่งคั่งของเมืองไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ...จริงหรือ!!
คือ ภาพของการทำงานหนัก ไต่เต้าตั้งแต่ รถเข็น ไปเป็นกรรมกร แล้วก็ทำงานหนักจนเป็น หลงจู๊ และ ในที่สุดก็ได้แต่งงานกับลูกสาวของ เศรษฐีเจียง .."ฮึม!! ใครคือ เศรษฐีเจียงฟระ" ..เอาเถอะ ภาพของชายหนุ่มที่ทำงานหนัก ก็ได้ลูกสาวของเศรษฐีเป็นสะพาน สร้างตัว และ Connection เพิ่มขึ้น ...ค่อยๆ สร้างอิทธิพล และ ขยายธุรกิจ ..รู้หลบ รู้หลีก ...และแล้วก็ถึงเวลา ที่จะพา "เมียจีน และ ลูกๆ ที่ทิ้งเอาไว้ก่อนมาเสี่ยงโชก" มาเมืองไทย ... ผมว่าภาพนี้มัน วนเวียนอยู่ในสมองเรา ว่า การที่จะรวยต้องมี Pattern แบบที่ว่ามานี้
แต่จริงๆ แล้ว เมื่อโลกมันเปลี่ยน ระบบทุนนิยมเข้ามามากขึ้น ...สิ่งต่างๆ ที่เล่ามา ไม่ว่า Process การสร้างความมั่งคั่ง ระบบ Connection ต่างๆ ..ผมว่ามัน พลิกไปคนละเรื่องเลย ...สมัยก่อน การจะจับจองทำการค้าเราทำอะไรก็ได้ เพราะ ประเทศเราไม่มีอะไร ...ถ้าจะให้เห็นภาพก็ คล้ายๆ พม่า เวลานี้ ที่ทุกอย่างเพิ่งเริ่มต้น ...ทหารยังครองอำนาจ ...อย่าซ่าให้มาก มิเช่นนั้น จะโดนลากไปเก็บ!! -- ปัจจุบันนี้ เอาอย่างกรุงเทพ ผมเชื่อว่า คุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพ เทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว แทบไม่แตกต่างกัน ...เรามีห้างสรรพสินค้า และ ร้านสะดวกซื้อ ที่สะดวกกว่าต่างประเทศ เรามีระบบแท็กซี่ที่อำนายความสะดวก ..ไปไหนมาไหนสะดวก(รถติดโคตรๆ) ...เรามีอาหารอยู่ทุกที่ ..ร้านกาแฟเสริฟถึงปั๊ม ...ด้วยค่าใช้จ่ายที่เท่ากัน ผมว่า ในเมืองไทยให้ คุณภาพชีวิตที่สูงกว่าอเมริกาอีก ...คิดดีๆนะ ..มันแปลว่า ทุกอย่างที่อำนวยความสะดวกได้มีคนจับจองไว้หมดแล้ว !!
ถ้าวันนี้คุณเป็นคนบ้านนา ...แล้วอยากจะมาเสี่ยงโชคในเมืองหลวง ..หรือ คุณเป็นคนต่างชาติ ที่พึ่งแอบเข้ามา เพื่อหางานทำ ..."คุณพอจะคิดออกไหมว่า Step ที่คนๆนั้น จะก้าวขึ้นมาเป็น "อาเหลียง" แห่ง ลอดลายมังกร จะวางแผนอย่างไร" ...จ๊าก!! คิดไม่ออก ไม่เห็นภาพเลย ...ถูกต้อง เพราะ ทุกวันนี้ประเทศอย่างไทย โดย เฉพาะกรุงเทพ มันมีสิ่งที่เราต้องการจะมีในระบบ Brick & Mortar คือ สิ่งที่จับต้องได้ เกือบจะทุกอย่างแล้ว ...ดังนั้น ไม่แปลก ที่เราจะทำอะไรก็ตาม ในสิ่งที่คนอื่นทำแล้ว เช่น ร้านอาหาร , ร้านกาแฟ , ขับแท็กซี่ , มอเตอร์ไซค์รับจ้าง -- ครับ!! ไม่ว่าอะไรก็ตามที่คุณคิดว่าจะเปิด มันต้องใช้เงิน(เยอะ) ..คำถามแรก คุณที่เพิ่งนั่งรถทัวร์มาถึงพระนคร จะเอาเงินที่ไหนมาเปิด ..และ คำถามที่สอง ..ถ้าเปิดแล้วทำไม่ดีกว่า คนที่เปิดอยู่เดิม ก็ต้องเจ๊ง -- เรื่องนี้ ลูกคนรวย เข้าใจดี เพราะ ลูกคนรวย(รวมถึงผมเองด้วยในอดีต) เคยคิดว่า ผมสามารถทำได้ดีกว่า คนที่ทำอยู่เดิม ...ดังนั้น ก็อัดเงิน เริ่มจะหวังจะทำให้ดีกว่าคนที่ทำอยู่เดิม ด้วยความรู้ทางการตลาด (ก็หลายๆ คนก็ไม่รอดอ่ะนะ ...ผมเองในอดีต ตอนเปิดร้านอาหารก็ไม่รอดเหมือนกัน) ..ประเด็นคือ ผมมีทั้งเงินทุน (บ้าง) และ มีผมความรู้ที่จบปริญญาตรี จากธรรมศาสตร์ ..ผมมี 2 อย่างยังไม่รอดเลย ...แล้วถ้าไม่มีจะรอดไหม!!
"จะรอดได้ไงเล่า!!" ...เอ๊ะ !! เรื่องนี้หลายๆ คนอาจจะเริ่ม งง ว่า ผมจะชี้ประเด็นอะไร
ครับ!! ผมอยากเล่าเรื่องของ Mark Zuckerberg ..ผมว่ามันเป็น Case Study ของการสร้างตัว ในยุคที่บ้านเรามีทุกอย่างๆแล้ว ...ผมว่านี่แหละ "ลอดลายมังกรยุค 2012" มันไม่ได้เริ่มที่ ทำงานหนัก ...ใช้เงินเยอะๆ ฟาดเข้าไป ..หรือ ใช้ Connection บีบบังคับ ...แต่มันเริ่มที่ "ความคิด"
"ลอดลายมังกร 2012 ...พระเอก ต้องเริ่มที่ความคิด!!"
คือ วันนี้ มันต้องเอาเงินเก็บใส่กระเป๋า อย่าเพิ่งเอามาละลายโง่ๆ ...ขั้นแรก ต้องคิด ...คิดว่า จะเริ่มยังไง ..แน่นอน!! สิ่งที่คุณจะทำ มันควรจะเป็นสิ่งที่ คิดแล้วว่า มันมีประโยชน์ต่อมนุษย์ ...เช่น ลองคิดว่า วันนี้ตัวเรา ต้องการสินค้าและบริการใด ที่มันยังไม่ถูกใจเรา ...มันต้อง List ลงมาใส่กระดาษ ...เขียนเป็น Wist List ที่เราอยากให้มี แต่ยังไม่มี
จากนั้น Step ที่สอง ต้องเอา List ทั้งหมด มาไล่ดูใหม่ แล้วหาตัวไหน ธุรกิจ สินค้า หรือ บริการไหน ที่ใช้เงินน้อยที่สุด ... "นี่เป็นการ Scan หาโอกาส ที่มีในสังคมที่เราอยู่"
แต่มันไม่ได้ง่ายแค่นั้น ที่จะเริ่มเป็นธุรกิจ ..."สิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้น คือ ยิ่งความรู้เฉพาะทางของเรามีมากขึ้น ...โอกาสในการสร้างธุรกิจ ที่ต้นทุนต่ำ คู่แข่งน้อย โอกาสเยอะ จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ" ..ใช่!! พระเอก ของลอดลายมังกร 2012 คงต้องมีความรู้ก่อน ...ไม่ว่าเขาจะเรียนจบไม่จบ เขาต้องพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานศึกษาให้ได้ ...อย่าง Mark Zuckerberg เขาเรียนไม่จบ แต่เขาได้เข้าไปในมหาวิทยาลัย (ฮึม!! ไม่ได้ไปขายบริการนะ..อิ อิ) ...แต่เข้าไป เพื่อเรียน เพื่อศึกษา เพราะ คิดให้ดีนะ ในปัจจุบัน โอกาสใหม่ๆ มันเริ่มที่โรงเรียน และ สถานศึกษา ...ที่นั่น Mark ได้พบกับเด็กคนอื่น ที่มีความสามารถในด้านต่าง ๆ ...พบคนที่มีความฝัน ...พบอาจารย์ ..พบองค์ความรู้ที่จะสามารถเอามาต่อยอดธุรกิจ ...ดังนั้น การเข้าไปในสถานศึกษา เช่น มหาวิทยาลัย มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แม้เราจะรู้ว่า ที่นั่นจะมุ่งสอนเพียงให้เราเป็นลูกจ้างที่ดีก็ตาม ...แต่แน่นอน เป้าหมายเราชัด เรามี Wist List ที่เราอยากจะทำ ...เรามีความฝัน ...แต่การเดินทางมันต้องมี Step ...มีขั้นมีตอน ...ดังนั้น ต้องเข้าสู่ระบบการศึกษา ..เรียนจบได้ยิ่งดี ...แต่สิ่งที่สำคัญกว่าใบปริญญา คือ องค์ความรู้ ที่คุณจะเอามาต่อยอด เป็นสินค้า และ บริการที่ตอบสนองความต้องการของมนุษย์
"หาสิ่งที่ เราต้องการ แต่ยังไม่มีใครทำ ...หาสิ่งที่ทำให้ชีวิตมนุษย์ดีขึ้น แต่ยังไม่มีใครทำ" ...หาไม่ง่ายใช่ไหม -- ใช่!! ถ้ามันง่าย คงรวยกันไปทั้งโลกแล้วล่ะ
ที่ผมเล่ามา มันเป็น "โครงเรื่องของ ลอดลายมังกร 2012" ...ที่มันต้องเริ่มจาก "ความคิด" ..ไม่ใช่ เริ่มจาก หยาดเหงื่อและการสะสมเงินสด ...คิดดีๆ นะ แต่ก่อน คือ การทำงานหนักหนัก และ สะสมอดออม -- แต่เดี๋ยวนี้ มันเป็นการเริ่มที่ความคิด ..และ สะสมองค์ความรู้ และ ประสบการณ์ ...ยิ่งถ้าประเทศเปิดมากขึ้น (วันนี้ก็เริ่มแล้ว) เงินสามารถหาได้จาก Venture Capital ...วันนี้หลายๆ องค์กรเริ่มแล้ว อย่าง INTUCH หรือ องค์กรต่างๆ เริ่มมีทุนที่ให้กับคนที่มี Idea -- การที่จะเข้าถึง Fund หรือ เงินทุนเหล่านี้ มันมีวัตถุประสงค์เดียวคือ ต้องการหา Success Idea ...จริงๆ หลายๆ คนอาจบอกว่า งั้นเงินตัวเอง ..ก็ทำได้ แต่การที่เรา เริ่มจากเงินทันที ผมว่า น่าจะเจ๊งซะมากกว่า ..โจทย์แรกต้องเริ่มจาก Idea แล้วเขียนเป็น Project แล้วต้อง "Pitch สื่อสาร ความคิด" ให้กับเจ้าของเงินให้เข้าใจ -- ถ้าคิดให้ดี ที่เขาพูดว่า จะรวยต้อง Other People Money .."ผมเห็นด้วย แต่เห็นด้วยในมุม ที่ไม่ใช่เราไปเอาเปรียบคนอื่น ...แต่มันเป็นมุม ที่ว่า การที่คนอื่นจะเอาเงินของเขามาลงทุนกับเรา ...ย่อมแสดงว่า Idea ของเรา มัน Make Sense ในสายตาของคนอื่น ...ดังนั้น Other People Money ในมุมนี้ คือ การเอามุมมองคนอื่นมาช่วยตัดสินว่า Idea ของเรามันทำเป็นธุรกิจได้จริง -- เรียกว่า มีคนอื่น ที่ช่วยคิด และ เอาเงินมาลงให้" ...ครับ ทั้งหมดที่เล่ามา มันเป็น Process ของการสร้างตัวของคนรุ่นใหม่ อย่าง Mark Zuckerberg ที่สร้าง Facebook ในสังคมอเมริกา ที่มีทุกอย่างแล้ว ...
มามองเมืองไทยบ้าง ..."ผมว่า Process ในการคิด ทำธุรกิจ" ต้องทำมาเป็น Step แบบเดียวกับ Mark Zuckerberg แต่แน่นอน ...โอกาสที่เราจะได้เงินคนอื่น อย่างใน Silicon Valley คงจะยากกว่า ...แต่สุดท้าย ก็เอาเงินตัวเอง นี่แหละ ..หรือ ไม่ก็เงินเรื่ยไร จากเพื่อนสนิท มิตรสหาย ..มาเริ่ม -- ทั้งหมดที่พูดมา ผมอยากจะให้คุณคิดเพิ่มมากกว่า แค่ อยากทำธุรกิจ แล้วก็ไปเอาเงินมาเปิดร้าน ที่ยังไม่รู้เลยว่า ใครคือ ลูกค้า เปิดทำบ้าอะไร ...มันเจ๊งอยู่แล้ว -- สิ่งสำคัญต้องไม่เริ่มที่ "เงิน" ...ต้องเริ่มที่ "ความคิด" และ คิดอย่างรอบครอบ ...ประมาณนั้นครับ เป็นการเริ่มต้นที่ Make Sense ...
ที่เล่ามา ผมเล่าจากประสบการณ์จริงอ่ะนะ ...เพราะ ผมเอง เคยผ่านมาแล้ว ..เดิมทีผมเริ่มธุรกิจจาก "เงิน" ตอนผมไปเรียน ออสเตรเลีย ก็ไปซื้อร้านอาหาร แล้วเอาการตลาด เข้าไปเปลี่ยนแปลง ผมทำ Menu ใหม่ ทำ Cencept ใหม่ ..อาหารของผมเป็น Noodle Bar in a Box ...เท่ห์มาก ..ลูกค้าเลือก เส้น เลือกผัก เลือกซอส ...แล้วผมก็ Cook ให้ดูต่อหน้า ใส่กล่อง Chinese Style Box หิ้วไปเลย ..."คุณว่า Idea ผมเท่ห์ไหม" -- ตอนนั้นผมคิดว่า ผมต้องเป็น Mcdonald ในวงการ Asian Food แน่นอน ... สิ่งที่ผมทำเวลานั้น คือ ผมเอาเงินทางบ้านไปเพิ่ม , กู้เพิ่ม และ ขยายสาขาออกไปเลย 5 สาขา ..ผมวาง POS เป็นคอมพิวเตอร์ เพื่อคุม Stock และ จัดการเรื่อง การขายทุกร้านอาหาร Noodle Bar ของผม -- ใช่!! สวยหรูมาก ...จากนั้น 2 ปี ผมเจ๊ง!! ..."เวลานั้น ผมถามตัวเองเลย ...กรูผิดไรฟระ ทุกอย่างคิดอย่างเท่ห์ ทำไมไม่รอด"
คุณรู้ไหม ผมพลาดอะไร ที่ทำให้ เซนร้านอาหาร ในออสเตรเลียของผม เจ๊ง ไม่เป็นท่า!!
ใช่!! ผมพลาดเพราะ หนึ่ง Cost "ต้นทุน" มากเกินไป ..ทุก Gimmick การตลาด มันใช้เงินมหาศาล
สอง People "ผมไม่มีทีม" เพราะที่นั่น ผมจ้างได้แค่ เด็ก แบบที่ทำ แม๊กโดนัลด์ ...ผมไม่มี Team ที่มี Passion ที่จะช่วย Drive ธุรกิจ ...ผมมีแต่แรงงาน ที่มองแต่ค่าจ้าง
สาม Cycle "ผมขยายผิด Cycle" ด้วยความใจร้อน ผมอยากสำเร็จเร็ว ทำให้ผมขยาย 5 สาขา ในเวลาเพียง 2 ปี ไปในเมืองต่างๆ ซึ่งกระจายทั้งหมด ห่างกันกว่า 5 ชั่วโมง ...ช่วงนั้น ผมขับรถขึ้นลง NSW เป็นว่าเล่น
นี่ยังไม่รวม เรื่อง "ครัวกลาง" ที่ผม Set ขึ้นมา พร้อม "รถตู้" ที่ผมถอย มาเมื่อใช้ขนส่ง วัตถุดิบ
ในช่วงนั้น ผมมีสูตรอาหาร Thai Noodle ที่อร่อยมาก และ ผมคิด "ซอส" ที่ใครทำก็ได้ แล้ว Pack ผัก และ เนื้อ เป็น Serve "Ready to Cook" (ผมสอนเด็กฝรั่ง ให้ Cook อาหารไทยได้อร่อย) ..และนี่ก็เป็นจุดผิดพลาด อย่างร้ายแรง -- "คุณรู้ไหม ฝรั่งเขารับไม่ได้ ที่ให้ฝรั่งกันเอง มาทำอาหารไทย ...เขาอยากได้คนไทย Cook ให้เขา!!"
ผมกำลังจะบอกคุณว่า ในโลกความเป็นจริง ..กับสิ่งที่เราคิด มันแตกต่างกันมาก ...และนี่เป็นเหตุผลนึง ที่หลายๆคน "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" เพราะ เขาอยู่กับ ความรู้ตามตำรา ที่ไม่เอามาพลิกแพลง ปรับใช้กับชีวิต เรียกว่ามี Knowledge แต่ขาด Experience ...คนเราถึงไม่ควรทรนงว่า ข้านี่จบปริญญาตรี โท เอก ...แล้วข้าจะต้องเก่งกว่า อาแป๊ะร้านก๋วยเตี๋ยว ..ดังนั้น ความสำเร็จในยุคใหม่ ผมเชื่อว่า มันต้องเป็นการผสมผสานระหว่าง "ความรู้ในระบบการศึกษา ก็คือ โรงเรียน ไปจน ปริญญา" ...เป็นเบื้องต้น ...แล้วเพิ่ม ปริญญาชีวิต ก็คือ ความรู้ที่กลั่นจากประสบการณ์จริง ...อันหลังที่ วัดยาก แต่ดูได้ จาก เงินเดือน เป็นเบื้องต้น ... "สุดท้าย คนเราจะถูกให้ค่า ตามที่มูลค่าที่เราสามารถสร้างให้กับ องค์กร หรือ สังคม ...ผมจะบอกคุณว่า คนที่เขามีเงินเดือนมากน้อยในสังคม มันมีเครื่องชี้วัดเป็นทุกสิ่งที่ผมเล่ามา ...ยุคนี้ผมยอมรับว่า สิ่งต่างๆมันเปลี่ยน หลายๆคนอาจมองว่า การสร้างตัวมันยากขึ้น ...จริงหรือ"
"ไม่จริงเลย" ...การสร้างตัวในยุคนี้ ไม่ได้ยาก แต่วิธีมันเปลี่ยน ...อยู่ที่เราเข้าใจหรือเปล่า ...เพราะมัน พลิกเป็นเริ่มที่ความคิด ไม่ใช่ แรงงาน ... คนเราเดี๋ยวนี้ อย่าง Mark Zuckerberg , Bill Gate , Larry Page ...คนเหล่านี้ Billionaire ในอเมริกา 2 ใน 3 ...Self Made คือ สร้างตัว หมื่นล้าน ใน Generation เดียว ก็คือ "เขาสร้างเอง" ... อย่าท้อครับ ..ผมว่า ทุกอย่างเริ่มจากเข้าใจทางเดิน มีทัศคติที่ถูก และ สุดท้าย ต้องมีความอดทน
....เรื่องนี้ ยังไม่จบ "ลอดลายมังกร 2012" ... "แนะแนว วิธีเปลี่ยน แบบไงดี เดี๋ยวเจอกัน จะเล่าให้ฟัง!!"
to be Continue...
ยิ่งอ่าน ยิ่งตรงแฮะ
ตอบลบร้านบะหมี่นี้เคยไปฝากท้องบ่อยๆ
น่าเอามารวมเป็นคำภีร์สอนเริ่มทำธุรกิจ หุหุ
ตอบลบขอบคุณที่แชร์ประสบการณ์คะ ได้ข้อคิดมากมาย
ตอบลบมีความคิด แล้วต้องมีโอกาส และที่สำคัญต้องกล้าที่จะทำ
ตอบลบ