วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ระบบ Maxed Out ของอเมริกากำลัง"ระบาดทั่วโลกแล้ว
"Maxed Out"คือ หนังสือขายดีของ James d.scurlock ผมเคยอ่านนานแล้ว เกี่ยวกับ "ความร้ายกาจของธุรกิจการเงินที่มีต่อสังคม" จะว่าไปแล้วผมก็ทำงานธนาคาร..เอ๊กๆ!! ..เรื่องมีอยู่ว่า ธุรกิจการเงินแท้จริงแล้วสามารถสร้างและทำลายคนได้ เนื่องจากปัจจุบัน"แม้แต่คนที่มีการศึกษา"ยังตกเป็นเครื่องมือของ"เหยื่อล่อ..ทางการเงิน"สิ่งนั้นก็คือ "ความโลภ"นั้นเอง
สมัยก่อนเรามักถูกสอนโดย "ปู่ย่าตายาย"ว่าอย่าสร้างหนี้ จงใช้จ่ายแต่พอตัว ..สิ่งเหล่านี้ถูกแทนที่ด้วย"เอาของที่คุณอยากได้ไปก่อน แล้วค่อยจ่ายทีหลัง" ประเด็นปัญหามันอยู่ที่"หนี้"ที่คุณสร้างมันไม่ใช่หนี้ธรรมดา แต่มันเป็น"หนี้ทวีคูณ" --เพราะ"ดอกเบี้ย"ของสินค้าเหล่านี้อาจดูน้อยๆ..ผ่อนเดือนละไม่เท่าไหร่ แต่พอคำนวณเข้าจริง"มันเกือบเท่าตัว" ...ปัญหาหนี้เหล่านี้มีรากเหง้าจาก ประเทศที่"ศิวิไลทางการเงิน"อย่างอเมริกาที่คิด Product ทุกรูปแบบ ตั้งแต่คุณอยู่โรงเรียนก็ออก "Debit Card"ให้ พอคุณอยู่มหาลัย แทนที่จะให้เราจ่ายเงินสด..กลับปลูกฝังให้เราจ่ายผ่านบัตร พออายุถึงเริ่มทำงานก็ส่ง "Credit Card" มาให้ ..พอสักพักก็ส่ง "Car Loan" ตามด้วย "Home Loan" ..นี่แหละครับหลักการ Maxed Out คือ"ปลอกลอกคุณ"--ให้เป็นหนี้ให้มากที่สุด บวกดอกเบี้ยอีกหัวบาน และท้ายสุดก็รวมหนี้คุณเป็นก้อนเล็กๆ --"ให้คุณผ่อนจ่าย(ชั่วชีวิต)"
เดี๋ยวนี้เด็กหลายๆคน จ่าย Credit Card แค่ Minimum Required โดยไม่เคยรู้เลยว่า แท้จริง"เขาจ่ายเกิน(ราคาของ)ไปกี่เท่าตัว" อย่างบัตร Credit แท้จริงคือ"การสร้างนิสัยแห่งการเป็นหนี้ชั่วชีวิต" และสังเกตุไหมว่า ถ้าคุณจ่ายผ่านบัตร "คุณจะควักจ่ายง่ายกว่าเงินสด" และนี่เองเป็นสาเหตุที่ทำไมธนาคารอยากให้คุณทำบัตรเครดิต ..ผมว่าคุณน่าจะเอะใจบ้างว่า ทำบัตรเครคิตใบเดียว แถม"ของมาสิบอย่าง".."ธนาคารเขาไม่โง่หลอกครับ..ทุกอย่างที่ให้คุณ เขารู้ว่าเขาจะเอาอะไรจากคุณ!!" So Nothing is Free in this World !!
หัวใจความสำเร็จของ Maxed Out คือ พยายามให้คุณซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็นให้มากที่สุด แต่พยายามให้คุณผ่อนให้นานที่สุด (สรุปคือคุณผ่อนแต่ ดอกเบี้ย เงินต้นทบไปเรื่อยๆ ..จนวาระสุดท้ายของชีวิต --"น่ากลัว!!") คุณรู้ไหมเขาขายบัตรเครดิตอย่างไร (ง่ายๆ) ผมก็บอกคุณว่า "พี่ครับ!!บัตรเครดิตนี่สุดยอด พี่คิดดูนะ..มีที่ไหนแต่ละเดือน ธนาคารสรุปยอดการใช้จ่ายมาให้คุณ ฟรี!! เหมือนคุณมีเลขาส่วนตัว ..สมมุติพี่มีบัตรเครดิตหลายใบ พี่ก็แบ่งแต่ละใบ เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ..เท่านี้พี่ก็สามารถควบคุมรายจ่ายในบ้านทั้งหมด ..พอปลายเดือนธนาคารก็สรุปเป็นStatement มาให้พี่(ฟรี) รายปีไม่ต้องจ่ายอะไร ..สมัครตอนนี้พี่เอาไปเลย "พัดลม Samsumg" ..สรุป คุณ(งง) อ้าปากค้า สมัครทันที" ก็นี่แหละ ชีวิต!!
"Home Loan" นี่ตัวแรงเลย ..มัน American Dream คือสร้างฝันให้ทุกคน"ต้องมีบ้านเป็นของตัวเอง "พอจุดฝันนี้ติด"--Demand มหาศาลของบ้านก็เกิดขึ้น ..พอ Demand มาก ราคาก็"พุ่ง"--ยิ่งพุ่งคนก็ก็ยิ่งซื้อ --ปั่น Bubble กันเข้าไป (รอบ Sub-prime ที่ผ่านมา)เขามีการสร้างแนวคิด การลงทุนในบ้านอย่าง"สวยหรู" เช่น ทุก 7 ปีราคา"บ้านจะทบต้น"....ถามจริงๆเถอะ คุณเชื่อไหม?? --ราคาบ้านมันขึ้นอยู่กับ Demand & Supply ดูตอนนี้ซิครับที่อเมริกา บ้านราคาตกเอา ตกเอา ก็เพราะ Demand มันไม่มี "มีแต่คนจะขายใช้หนี้"ราคาก็ตกเรื่อยๆ แต่หนี้ไม่ได้ตกตาม สรุป (คุณก็จ่ายหนี้ต่อไป)
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ผม Anti ระบบ"ธนาคาร" --"ไม่ใช่ครับ" ผมเพียงแต่เตือน ให้ทราบถึงสิ่งที่อยู่"เบี้องหลัง" ..การค้าทุกประเภทล้วนมุ่งหวังกำไร --ไม่มีอะไรดีสุดๆ "อะไรที่มันดูเหมือนว่าดีเกินจริง มันก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีเกินจริงนั่นเอง" ...ปัจจุบันเราถูกสอนให้มีทุกอย่างที่คนอื่นมี ถ้าไม่มีเงินก้ไปกู้มามี .."แนวคิดต่างหากที่เป็นปัญหา" ..พฤติกรรมของคน มันได้บ่งบอกอยู่แล้วว่า "คนที่จะรวยหรือจน" ดังนั้น มันไม่ใช่โชคชะตา มันขึ้นอยู่กับ"คุณ"ต่างหาก
ผมเคยอ่านหนังสือของ Rich Dad Poor Dad ที่เขาสอนว่ามีทั้ง Good Debt และ Bad Debt คืออะไรที่"กู้เพื่อไปสร้างรายได้ก็เป็นสิ่งที่ดี(Good Debt)" แต่ถ้ากู้ไปซื้อของไม่จำเป็นก็เป็น Bad Debt --ตัวผมเองสมัยเปิดร้านอาหารที่ออสเตรเลีย ก็เอาบ้าง ผม Maxed Out บัตรเครดิตผมที่มีอยู่ ประมาณ 6 ใบ จากนั้นผมก็ไป กู้ธนาคารเพิ่มเพื่อขยาย"สาขา"ร้านอาหาร
..สรุปได้ว่าผม Leverage อย่างมหาศาล ตามตำรา MBA พอทำเปิดได้ ผมก็เริ่ม"ตึง"คือ ชักหน้าไม่ถึงหลัง ไหนจะหนี้ธนาคาร ไหนจะหนี้บัตรเครดิต ผมเลยคุยกับลูกน้องว่า "เอางี้ผมจะให้ Stock Option คุณ" ..(พูดง่ายๆคือ ผมไม่มีเงินจ่าย เลยจะให้เขาเป็นหุ้นส่วน แบบที่นิยมใน Silicon Valley น่ะครับ) สรุป "เน่าครับ"ร้านนั้นปิดไปเลย ได้ฮา..น้ำตาแตก --ผมถึงบอกว่า "ตำรากับชีวิตจริง" มันหนังคนละม้วน ... นี่แหละครับ ไม่ว่าคุณจะเก่งระดับผู้ประกอบการก็ใช้ว่า Maxed out จะหลอกคุณไม่ได้ ---"มันอยู่ที่คุณ It's Only you" หุ หุ.....
บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา
-
7 จุด ในงบการเงินที่ใช้ในการจับผิด จับโป๊ะหุ้นเด็ด !! 1. ’Net Profit Margin’ …ขาย 100 บาท ได้กำไรกี่บาท ? …ยิ่งเยอะ ก็ยิ่งแสดงว่า การแข่งขั...
-
6 หลักการ คัดหุ้นปันผลดีเติบโตแล้วเลี้ยงเราได้ไปยาวๆ หลักการนี้สำหรับ คนชอบซื้อแล้วถือ กินปันผลยาวๆ 1. ‘หุ้นมี Market cap ขนาดใหญ่‘ …หุ้น...
-
7 ข้อ ‘มิตร’(ฉาชีพ) กับ การลงทุน 1. ‘คนที่โกงเราได้คือคนที่เราไว้ใจ’ …ถ้าเราไม่ไว้ใจเราคงไม่เอาเงินให้เขาตั้งแต่แรก 2. ‘ข้อเสนอของเขามัน T...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
‘หุ้นหนัก หุ้นเบา พอร์ตเราเต็มไปด้วยอะไร’ ...หลายคนน่าจะคุ้นเคยดีกับ ‘หุ้นหนัก’ ก็คือ หุ้นในพอร์ตรายย่อยส่วนใหญ่นี่แหละครับ ลักษณะของมันคือ...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
'ทฤษฎี กับ การปฏิบัติ ต่างกันอย่างไร ?' ประเด็นนี้ ผมเจอน้องๆ นักศึกษามาถาม ..เค้าคงอยากรู้ว่า สิ่งที่เขาเรียนในทฤษฎี เวลาเขาไป...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"
- ภาพใหญ่หุ้นไทย ปี 1987 - 2009
- ย้อนรอย SET ปี 1987 - 1990(จาก Black Monday ไปแตะ 1,000 จุด)
- ย้อนรอย SET ปี 1991 - 1993 ( 3 ปีสู่ยอดดอย )
- ย้อนรอย SET ปี 1994 - 1996 ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" )
- ย้อนรอย SET ปี 1997 - 1999 ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น )
- ย้อนรอย SET ปี 2000 - 2008 ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" )
- ย้อนรอย SET ปี 2009 (Do you Remenber?)
"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
10 เรื่องที่ต้อง "รู้งี้" ก่อนจบปริญญา ... 1. "ใบปริญญามีวันหมดอายุ" ..หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจ...
-
ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
'คำทำนาย ที่ว่าโลกหลังปี 2017 จะเกิด ..ธุรกิจเล็กจะใหญ่ ธุรกิจใหญ่จะเล็ก!!' ยุคนี้รายใหญ่ก็ตายได้ ..รายเล็กก็เกิดได้ ..นี่อ่านข...
-
วันนี้มาดอนเมือง ผมได้ชิมกาแฟมวลชน จุดเริ่มของ All Cafe ของ 7-11..วันนี้เกมค่าปลีกแข่งดุ เนื่องจากค่าเช่าแพงขึ้นตามราคา Asset ที่พุ่งกร...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
Luxury คือ เงินเฟ้อ!! เศรษฐกิจไม่ดี ทำไม ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ..คนธรรมดาทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันล่ะ ? ก็เพราะ เราไม่รู้ว่า 'ความห...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...