วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554
โลกของ "ราคา" เมื่อทุกอย่างแย่
"วิกฤตซ้อนวิกฤต" ... มันสอนอะไรเรา ..มันสอนว่า History Always repeat itself เสมอ!! ... เวลานี้เราเจอ วิกฤต ภายนอก คือ "หนี้ยุโรป" ... เด้งแรก ...ส่วนวิกฤตภายใน เราเจอ "น้ำท่วม" ...เด้งสอง!!
... ถ้ามองในเชิง คณิตศาสตร์ "ลบ กับ ลบ มันเท่ากับ บวก" (อ้าว!! ทำไมเป็นอย่างนั้น) ...ในฐานะนักลงทุนระยะยาว การมีวิกฤต ถือเป็นบททดสอบหุ้นของเรา ว่ามีใครอยู่ในหุ้นเราบ้าง ... "เพราะโดยปกติ เวลาตลาดดี คุณไม่รู้หรอกว่า ในหุ้นที่เราชอบ มันมีใครอยู่ในนั้นบ้าง เช่น มีทั้ง นักลงทุนระยะยาว ระยะสั้น เจ้ามือ นักปั่น และอื่นๆ
...แต่เวลาเกิดวิกฤต นักลงทุนระยะสั้น นักปั่น และ นักเก็งกำไร จะโดดออกก่อน ...คนที่เหลือถือหุ้นอยู่ ก็จะมีแต่ นักลงทุนระยะยาว กับ นักลงทุนระยะยาวจำเป็น(จำใจติดดอย)
ระหว่างทางที่หุ้นดิ่งลง ..คนที่จะโดดออกคนต่อไป ก็คือ นักลงทุนระยะยาวจำเป็น (ซึ่งกลุ่มนี้ ขอบอกว่า น่าสงสารสุดๆ เพราะเขาซื้อหุ้นจากยอดดอย แล้วมาขายทิ้งในเวลาที่ ฮึม!! แม่เจ้า ..ไม่น่าขายสุดๆ) -- แต่มันเป็นวัฎจักร
อันนี้บอกตรงๆ คนไม่เคยสัมผัส สอนอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ..พอเจอเอง "อ๋อ!! เข้าใจแล้วพี่" (ก็ไม่เป็นไร เข้าใจแล้ว คราวหน้า อย่าทำแบบนี้อีก) ...ประเด็นคือ ด้วยหลักของ Demand & Supply ที่กำหนด การขึ้นลงของหุ้น(ในระยะสั้น) -- เมื่อทุกคนที่อยากจะขายหุ้น ได้ขายหมดแล้ว .."ตรงจุดนั้นแหละ ก็คือ Bottom ของรอบนี้ (สังเกตผมพูดว่า Bottom ของรอบนี้ ..ไม่ใช่ Bottom ของราคาหุ้น เพราะจุดต่ำสุด และสูงสุดของราคาหุ้น มันไม่มี ..อย่าไปพยายามหา เพราะมันไม่มี!!... เอาแค่หา "รอบ" การขึ้นลงของ "ราคา" ก็ทำเงินได้แล้ว)
....ทั้งหมดที่ผมพูดขึ้นมา คือ อยากให้ลองศึกษากันดูครับว่า ตลาดหุ้นจริงๆแล้ว เราเล่นอยู่กับอะไร ..ใช่!! ใจของเรา นี่แหละสำคัญที่สุด (จุดซื้อของมวลชน คือ จุดที่ไม่น่าซื้อในแต่ละรอบ ..จุดขายของมวลชน คือ จุดที่ไม่น่าขาย ในแต่ละรอบ ... แต่ที่มันยาก ก็เพราะ "ผลจากการกระทำของมวลชน" มันก็คือ "ราคา" นั่นเอง ...)
คิดดีๆครับ "ราคา" คือ ผลลัพธ์ จากการ ซื้อขายหุ้นของมวลชน ที่เราเรียกว่า Demand & Supply ของหุ้นแต่ละตัวนั่นเอง ..... "ใครผ่านวิกฤตครั้งนี้แล้ว เข้าใจ "จิตวิทยามวลชน" ..คุณก็จะเข้าใจการขึ้นลงของ ราคาหุ้นนั่นเอง"
ขอเล่าเรื่องย้อนไปช่วงวิกฤต 2008 ช่วงปลายปี "วิกฤตภายนอก คือ Sub-Prime" ส่วน "วิกฤตภายใน คือ ปิดสนามบิน" ... บ้าไปแล้ว!! ช่วงนั้น ราคาหุ้นอยู่แถว 400 จุด บวกลบ .. Volume ก็ไม่มี ..แย่กว่าเวลานี้อีกนะ เพราะเวลานั้น Volume ไปเหลือ 3,000 ล้านบาทต่อวัน .. "หลายคน อาจบอกว่า "รู้งี้" เวลานั้น น่าจะซื้อนะ ..." -- ประเด็น คือ แล้วเวลานี้ล่ะ ..มีทั้งวิกฤตหนี้ยุโรป ...และมีทั้งวิกฤตน้ำท่วม เสียหายทั้งประเทศ แต่ทำไม Volume ยังเป็น "หมื่นล้าน" -- ทำไมมันไม่แย่เหมือนปี 2008 ล่ะ ... "ฮึม!! คำอธิบายจริงๆ มันก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะจากวันนั้น ถึงวันนี้ อเมริกา พิมพ์เงินจากลม เข้าสู่ระบบ อัดฉีดเข้ามาอย่างมหาศาล ... และล่าสุด อเมริกาดันทำ Operation Twist นั่นคือ ขายหนี้ ระยะสั้น เพื่อเอาไปซื้อหนี้ระยะยาว ..พูดให้ง่ายๆคือ ใช้วิธีทางการเงินกดดอกเบี้ยระยะยาว ให้ลดลงนั่นเอง -- ภาพที่เกิดขึ้นคือ หนึ่ง เงินล้นโลก สอง เงินที่ล้นโลกมันวางอยู่ในที่ ที่ไม่มีผลตอบแทน เช่น สินทรัพย์ไม่เสี่ยง พันธบัตร ...ครับ!! ฟังดู ไม่ Make Sense ใช่ไหม ว่าทำไม คนส่วนใหญ่ รวมทั้งกองทุนทั่วโลก ถึงโยกเงินกลับไปสู่ สินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนอย่าง ตราสารหนี้สหรัฐ ...ถูกต้อง!! ก็เพราะทุกคนในโลก "กลัว" นั่นเอง ..
"กลัวอะไร.. !!" ..ก็กลัวว่า เศรษฐกิจจะกลับไปย่ำแย่เหมือนเดิม ... ดังนั้น พฤติกรรมที่นักลงทุนทั่วโลกทำ คือ เทขายสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ แล้วโยกกลับไปสินทรัพย์ที่เขาเห็นว่าไม่เสี่ยง อย่างตราสารหนี้อเมริกัน (เพราะตราสารหนี้ อเมริกา คือ เทียบเท่าเงินสด ..ดังนั้น แม้ว่า ผลตอบแทนจะไม่มีเลย คนก็จะยังโยกเงิน เข้าไปใส่ในเวลาที่เขากลัว) ..สิ่งนี้เอง เป็นการอธิบายได้ว่า ทำไมเวลา เรามีวิกฤตแรงๆ เงินดอลลาร์ จะแข็งขึ้น ..อย่างปี 2008 เงินดอลลาร์ ก็แข็งขึ้น(ในช่วงสั้นๆ) ...และเวลานี้ปี 2011 ดอลลาร์ก็กำลังแข็งค่าขึ้น -- "คุณรู้ไหม คำถามที่ ถามแล้วเป็นประโยชน์ในเวลานี้ ซึ่งถามแล้ว ทำเงินได้ คือ คำถามอะไร"
"ถูกต้อง!! ต้องถามว่า เงินดอลลาร์ในภาพใหญ่ จะแข็งต่อไป หรือไม่" ...เพราะถ้าเงินดอลลาร์แข็งต่อไป นั่นแปลว่า ทุกคนจะยังคงกลัว และ เทขายสินทรัพย์เสี่ยง ..นั่นแปลว่า ทั้งหุ้น ทอง น้ำมัน และ Asset ต่างๆ จะลดมูลค่าลงเรื่อยๆ ...... ผมขอฟันธงตรงนี้เลยว่า "ไม่ใช่!!" ...ราคาของสิ่งต่างๆ ถูกกำหนด โดย Demand & Supply ของสิ่งนั้นในระยะสั้น ผมไม่เถึยง นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมเวลานี้ ทุกคนเทขายสินทรัพย์เสี่ยง ก็เลยทำให้ ราคาของ Asset ทุกอย่างลดลง ในขณะที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ...แต่อย่าลืมนะครับว่า สิ่งที่กำหนด "ราคา" ในระยะยาว มันคือ "พื้นฐานที่แท้จริงของกิจการ และสิ่งต่างๆ" (ผมถึงย้ำเสมอว่า สุดท้าย ราคา จะสะท้อน มูลค่าที่แท้จริง ณ จุดใดจุดหนึ่งของเวลา) -- อันนี้แหละ วลี ที่สร้างให้ นักลงทุนระยะยาว หรือ VI รวยในระยะยาว เพราะ คนเหล่านี้ เขายึดมั่นอยู่กับ มูลค่าที่แท้จริงของกิจการ และ Asset ต่างๆนั่นเอง
"คำถามคือ ในภาพใหญ่ มูลค่าที่แท้จริงของสิ่งต่างๆ จะเป็นอย่างไร" ... ก็ไม่ยาก ...ตราบใดที่รัฐบาล ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง อเมริกา และ ยุโรป ยังเพิ่ม Supply ของเงินอัดเข้าระบบ แบบไร้ขีดจำกัด ...มูลค่าของเงินก็จะลดลงเรื่อยๆ นั่นก็คือ สิ่งที่จะเห็นคือ "เงินเฟ้อจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ" เพราะ เมื่อเงินลด ..Asset ต่างๆ ก็จะเพิ่มมูลค่า ....ประเด็นที่สอง ...สุดท้ายเงินจะวิ่งเข้าหาที่สูงเสมอ นั่นคือ Asset ใดที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า ...เงินก็จะไหลไปที่นั่น ...ถ้าถามว่าพันธบัตร และตราสารหนี้ มันไม่สามารถตอบโจทย์ผลตอบแทน เพราะดอกเบี้ยมันถูกกด และ สิ่งที่กดดอกเบี้ยอย่างไร้สาระคือ Operation Twist ซึ่งผมบอกได้เลยว่า ไม่ work ..เพราะเมื่อ "ความกลัว" หรือ Fear มันหมดลง ..นักลงทุนก็จะโยกเงินกลับไปสินทรัพย์ที่เสี่ยง อย่างแน่นอน ...และประเด็นที่สาม ที่ผมให้ความสนใจในเวลานี้คือ ภัยภิบัติธรรมชาติทั่วโลก ...มันจะส่งผลให้ Supply ของ อาหารการกิน มันตึงตัวอย่างแน่นอน ... ดังนั้น อีกไม่นาน ราคา Commodity และ อาหาร จะต้องกลับมาพุ่งกระฉูด แบบที่หลายๆคนตั้งตัวไม่ทัน
จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ..ในระยะยาวคนที่เข้าใจ "มูลค่าที่แท้จริงของกิจการ และ Asset ที่ตัวเองถือครอง จะเป็น ผู้ที่กำชัย ในสงครามเศรษฐกิจโลก ในครั้งนี้ได้" ...ครับ!! สุดท้าย Asset ก็คือ ของจริง ... สิ่งที่เราต้องกิน ต้องใช้ ..ผลตอบแทนในรูป กำไรของกิจการ ...เงินปันผลที่เป็นเงินจริงๆ ..ที่ดินที่ดี ..ของกินของใช้
... คิดดีๆ ครับ เวลาที่โลกเกิดภาวะปั่นป่วน มันไม่ใช่เวลาที่จะวิ่งเข้ากอดสิ่งที่เรามองว่าไม่เสี่ยงอย่างเงิน (เพราะคุณกำลังทำเหมือนมวลชน และคนส่วนใหญ่) ..เพราะ "เงิน" จริงๆมันคือ ผลลัพธ์ของ "ราคา" ซึ่งมันจะสะท้อน ออกมาเป็นมูลค่าของสิ่งต่างๆ ในอนาคต ... ที่เขาบอกว่า คนรวยยิ่งรวย คนจนยิ่งจน ก็เพราะ คนรวยเขาถือครอง Asset นั่นเอง
"เวลาที่คนอื่นขายหนักๆ ... เวลาที่ข่าวร้ายมากๆ -- มันคือ เวลาที่คุณจะสามารถหาของถูกจากตลาดนั่นเอง(อยู่ที่จังหวะ) ... และขอฝากอย่างนึงว่า อย่าไปมัวหาจุดต่ำสุดของราคา .."มันไม่มี" ..จุดที่ดีที่สุด ก็คือ จุดที่เรารับความเสี่ยงได้ (ซึ่งแต่ละคนรับความเสี่ยงได้ ไม่เท่ากัน) ...หากเราจะซื้อหุ้นระยะยาว เพื่อจะไปขายต่ำกว่าที่ซื้อ ผมว่า คุณเปลี่ยนไปเล่น Technical รอ Trend แล้วซื้อแพง ไปขายแพงกว่า จะดีกว่า
.... "สุดยอดการลงทุน คือ เราเข้าใจความเสี่ยงที่เราสามารถรับได้ ..นั่นแหละสุดยอดครับ!!"
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา
-
7 จุด ในงบการเงินที่ใช้ในการจับผิด จับโป๊ะหุ้นเด็ด !! 1. ’Net Profit Margin’ …ขาย 100 บาท ได้กำไรกี่บาท ? …ยิ่งเยอะ ก็ยิ่งแสดงว่า การแข่งขั...
-
7 ข้อ ‘มิตร’(ฉาชีพ) กับ การลงทุน 1. ‘คนที่โกงเราได้คือคนที่เราไว้ใจ’ …ถ้าเราไม่ไว้ใจเราคงไม่เอาเงินให้เขาตั้งแต่แรก 2. ‘ข้อเสนอของเขามัน T...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
6 หลักการ คัดหุ้นปันผลดีเติบโตแล้วเลี้ยงเราได้ไปยาวๆ หลักการนี้สำหรับ คนชอบซื้อแล้วถือ กินปันผลยาวๆ 1. ‘หุ้นมี Market cap ขนาดใหญ่‘ …หุ้น...
-
‘หุ้นหนัก หุ้นเบา พอร์ตเราเต็มไปด้วยอะไร’ ...หลายคนน่าจะคุ้นเคยดีกับ ‘หุ้นหนัก’ ก็คือ หุ้นในพอร์ตรายย่อยส่วนใหญ่นี่แหละครับ ลักษณะของมันคือ...
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
6 ข้อ มาคุยกันเรื่อง Why Nations Fail ? สิงค์โปร์ไม่ทีทรัพยการเลย ทำไมรวย …เวเนซุเอลา มีน้ำมันมากที่สุดในโลก ทำไมจน ..แล้วสวิส ประเทศเล็กๆ...
-
'ทฤษฎี กับ การปฏิบัติ ต่างกันอย่างไร ?' ประเด็นนี้ ผมเจอน้องๆ นักศึกษามาถาม ..เค้าคงอยากรู้ว่า สิ่งที่เขาเรียนในทฤษฎี เวลาเขาไป...
-
6 ข้อ เศรษฐกิจและการลงทุนยุค Trump 2.0 1. ‘นโยบาย American First’ …Trump จะทำทุกอย่างให้อเมริกาได้ประโยชน์ เน้นในเรื่องของเศรษฐกิจ 2. ‘Dere...
ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"
- ภาพใหญ่หุ้นไทย ปี 1987 - 2009
- ย้อนรอย SET ปี 1987 - 1990(จาก Black Monday ไปแตะ 1,000 จุด)
- ย้อนรอย SET ปี 1991 - 1993 ( 3 ปีสู่ยอดดอย )
- ย้อนรอย SET ปี 1994 - 1996 ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" )
- ย้อนรอย SET ปี 1997 - 1999 ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น )
- ย้อนรอย SET ปี 2000 - 2008 ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" )
- ย้อนรอย SET ปี 2009 (Do you Remenber?)
"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
10 เรื่องที่ต้อง "รู้งี้" ก่อนจบปริญญา ... 1. "ใบปริญญามีวันหมดอายุ" ..หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจ...
-
ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
'คำทำนาย ที่ว่าโลกหลังปี 2017 จะเกิด ..ธุรกิจเล็กจะใหญ่ ธุรกิจใหญ่จะเล็ก!!' ยุคนี้รายใหญ่ก็ตายได้ ..รายเล็กก็เกิดได้ ..นี่อ่านข...
-
วันนี้มาดอนเมือง ผมได้ชิมกาแฟมวลชน จุดเริ่มของ All Cafe ของ 7-11..วันนี้เกมค่าปลีกแข่งดุ เนื่องจากค่าเช่าแพงขึ้นตามราคา Asset ที่พุ่งกร...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
Luxury คือ เงินเฟ้อ!! เศรษฐกิจไม่ดี ทำไม ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ..คนธรรมดาทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันล่ะ ? ก็เพราะ เราไม่รู้ว่า 'ความห...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...
ดีครับ ทำให้เข้าใจภาพรวมของสภาวะ วิกฤต vs โอกาส
ตอบลบการเต้นของหัวใจเมื่อหุ้นตกแรงส์
ตอบลบเซียนหุ้น ภาววิทย์/\_/\_/\_/\_/\_/\_/\
มือสมัครเล่น /\/\/\/\/\/\/\/\/\/\/\
...
คน80เปอเซ็นต์ /\_/\____________________
ผมไม่เคยสงสัยในตัวพี่เลย---พี่เยี่ยมมาก
ตอบลบเป็นบทความท่ีดีมากเลยค่ะ ติดตามอ่านมุมมองจากคุณแพทมาตลอด
ตอบลบและได้เห็นทางสว่างจากปัญญาของคุณน่ีแหละ ^^
ได้ความรู้เพิ่มขึ้นเยอะ ได้มุมมองใหม่ๆ ขอบคุณครับ
ตอบลบขอบคุณมากๆ ครับ
ตอบลบเยี่ยมยุทธ์ พี่แพท
ตอบลบเข้าใจหลักของเศรษฐศาสตร์เป็นอย่างดี
ข้าน้อยขอคารวะ