แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554

The "สงกรานต์" ... คุยสดวันนี้เลย!!

วันนี้ผมไปตามบ้านญาติผู้ใหญ่ "ไปรดน้ำดำหัว ขอพร" (ได้ตังค์ ..อิ อิ) .. "ความตื่นเต้น คือ พี่เอ DJ มือฉมัง ผู้ดำเนินรายการวิทยุ ..จากช่อง FM 101 โทรเข้ามาผมอย่างกระทันหัน.. -- "แพ้ท!! สะดวกไหม" ... เออ เออ ..อะไรครับพี่ "เผอิญพี่มีช่วงว่างอยาก เอาแพ้ทมาสัมภาษณ์ คุยกันสนุกๆ ..เกี่ยวกับหนังสือ แกะรอยหยักสมอง & ฟรีด้อมเทรดเดอร์ ..ช่วงนี้แรง!!" --- "ได้ๆ ครับพี่ จะสัมภาษณ์เมื่อไหร่ดีครับพี่เอ" ... "อีก 10 นาที ..สดเลย แพ้ท โอเคนะ !!" ....ผมก็ "เออ เออ ..ได้ ได้ ครับพี่ ลุยเลย ..อะจ๊าก เอ้า!! ลองดูสัมภาษณ์ทีวีก็ออกมาหลายทีแล้ว ... คราวนี้สดทางวิทยุ ก็คงพอไหวน่า!!"


"สวัสดี คุณแพ้ท ..หนังสือคุณแพ้ท ร้อนมากใน SE-ED .."แถลงไข ที่มาที่ไป ...ลุยโลด!!"

ฮึม!! ที่มาเหรอครับ ..ผมว่า มันมาจากความขำนะ .. แต่ขำแบบมีประเด็น คือ สอดแทรกสาระ และความมันส์ ในประเด็นที่ คนเขาไม่พูดกัน ... เรื่องนี้มันเริ่มในคืนเหน็บหนาว ในออสเตรเลีย .. ชายคนนึงที่ไฟแรงในเวลานั้น "ผมเองแหละ" ...จบจากธรรมศาสตร์ด้วยเกียรตินิยม ก็เลยสำคัญตนผิดในเวลานั้นว่า "ข้านี่ สุดๆ ในประเทศแล้ว ..." (ประมาณว่า อารมณ์ร้อนวิชาในแบบฉบับ คนหนุ่ม Gen Y ทุกคนนั้นแหละ ที่อยากสำเร็จด้วยตัวเอง ..ด้วยอายุที่น้อยในเวลานั้น พกความมั่นใจเต็มกระเป๋า ก็เดินทางสู่แดนจิงโจ้ ...ที่ซึ่งครั้งหนึ่งผมเคยเหยียบมาแล้วในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยน AFS -- แต่!! เที่ยวนี้ ผมไม่ใช่ทูตวัฒนธรรมตัวน้อยอีกต่อไป ..แต่ผมมาในฐานะ คนรุ่นใหม่ไฟแรง ที่กำลังมองหา Opportunity ในการสร้างตัว ในต่างประเทศ!!"

3 เดือนแรก หมดไปกับการเรียนภาษา และใช้เวลาหลังเลิกเรียน ฝึกวิชาการล้างจาน ผัดข้าว และ เก็บเกี่ยวความรู้ให้มากที่สุด ..และนั้นคือ ภารกิจแอบแฝง ที่พ่อแม่ไม่พึงประสงค์ ..ใช่!! ความฝันอยากเป็นเจ้าของร้านอาหารในออสเตรเลีย

"5 ปีผ่านไป" ..ผมกลายเป็นเจ้าของ Chain ร้านอาหารไทย ที่โตเร็วมากในออสเตรเลีย "Sawtell Thai" (คงไม่คุ้นหู นักเรียนไทยที่ไปเรียน เพราะผมใช้ กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง ..ก็เลียนแบบมาจาก 7-11 นั่นแหละ) ผมขยายร้านเร็วมาก ด้วยเงินที่ยืมจากทางบ้าน บวกกับเงินกู้จากออสเตรเลีย ผมขยายร้านไปถึง 5 สาขา ..ใน 5 ทำเล ที่ห่างกัน คนละเมือง ..เชื่อมด้วยระบบ POS และ System ที่ผมหมายมั่นปั่นมือจะสร้างให้เป็นครัวไทยสู่โลก (ในใจคิด ..ถ้าสำเร็จ CP ก็ CP เถอะ ..ฮ่า ฮ่า ฮ่า).. ระหว่างนั้น ร้านอาหารไม่หนำใจ ด้วย Connection ในวงการธุรกิจ ก็ทำให้ผมเข้าไปลงทุนใน โรงงานกระจก ที่กำลัง Grooming Innovation ... Glass Laminating Technology ...(อ่ะนะ!! นั่นแหละ แบบฉบับความบ้า และ ซื่อบื่อ ของคนหนุ่ม -- ผมพูดได้อย่างเต็มปากว่า ..ผมเจอ สึนามิของชีวิต ตั้งแต่ผมยังอายุไม่เข้า 30 ..และ มันคือ ความประมาท ที่ผมได้เรียนรู้หลังจากนั้นว่า ..ธุรกิจ มันไม่ได้เกิด จากที่คุณกระโดดเข้าสู่โอกาส และที่สำคัญมันไม่มี Over Night Success ที่ปูด้วยกรีบกุหลาบ) --- อาณาจักรเล็กๆของผม ในออสเตรเลีย พังแทบไม่เหลือซาก ซึ่งท้ายสุดผมก็รอดมาได้ เหลือเพียงร้านอาหารแห่งสุดท้ายที่ยังคงดำเนินการต่อไป

"และนี่คือ จุดหักเห ที่ผม เดินทางกลับมาหาลู่ทางใหม่ ในประเทศเกิดของผม .. Thailand" ... ช่วงแรกผมกลับมาด้วยความเอ๋อ!! เหมือนบ้านคุณโดนสึนามิอ่ะ .. มึน งง -- พ่อแม่บอกผมว่า "ไม่เป็นไร" (ในใจผมคิดว่า 20 ล้านที่ละลายไป ผมจะต้องเอาคืนให้ได้ ..มันเป็นพันธะ และข้อผูกมัด ที่ทำให้ผม ไม่ตัดสินใจทำอะไรโง่ๆ เช่นการหนี ปัญหาแบบที่นักธุรกิจหลายๆคนทำ เมื่อเขาเสียทุกอย่าง) ... ผมเข้าทำงานในธนาคารกรุงเทพ โดยคุณแม่ ฝากผมให้ทำงานกับ คุณ โทนี่ ..ท่านผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพนั่นเอง ...คุณโทนี่ ส่งผมเข้าไปฝึกในสายงานต่างๆของธนาคารกรุงเทพ และ ได้เข้าร่วมทีมศึกษากับ Consulting ใน Project "ผมถือว่า เป็นโชคดี ของผม ที่ได้โอกาสนี้ ..เมื่อคุณมีข้อมูล โจทย์ต่อไป คือ ความรู้ จะเปลี่ยนเป็นเงิน ก็ต้องลงมือทำ ..และนี่คือ จุดผลิกพลัน ที่เปลี่ยนผม จาก ผู้ประกอบการ Entreprenuer บ้าคลั่ง ..สู่นักลงทุนในตลาดหุ้นไทย ...แต่น แต่น!! (โอ๋โห!! เล่ามาขนาดนี้ ผมว่าหลายคน ฟังแล้งคงง่วงใกล้หลับเต็มที ..อย่าเพิ่ง!! ความบ้ามันเพิ่งเริ่มต้น..หุ หุ)

"ผม กับ ตลาดหุ้น" ... ผมเองจริงๆ สนใจหุ้นมาตั้งแต่ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว แต่ก็เหมือนเด็กทั่วๆไป ที่ไม่ค่อยมีเงิน (เที่ยวแหลก) ..พ่อแม่จะไว้ใจให้เอาเงินเขามาลงทุนได้อย่างไร ..."แต่วันนี้ ไม่ใช่!!..ผมดูแล Port การลงทุนให้กับ ทุกคนในบ้าน และที่มันส์คือ มันกำไรน่ะ ...ฮ่า ฮ่า" (ถูกต้อง!! เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็พูดว่า ..แหม สองปีนี้ ใครเล่นหุ้นก็กำไรทั้งนั้นแหละ ..."กำไรโคตรๆด้วย ไม่ใช่กำไรธรรมดา" ..ว่าแต่ ..คนที่กำไรหนักๆ มันคือ คนที่เล่นสองปีก่อน ..แต่พอปีนี้ คนมากมายกระโดดเข้ามา ตลาดก็ "สั่งสอนมือใหม่" โชว์การ Side Way ..พูดก็พูดเถอะ ..เดี๋ยวพอทุกคนเริ่มมองว่า ตลาดไม่ไปไหนแล้ว ..จากนั้นเมื่อคนส่วนใหญ่ ถอดใจ ..คงได้เห็นการขึ้นครั้งใหญ่กันอีกหลายรอบ -- ไม่ใช่รอบเดียว หลายรอบ !!! ..แต่คนที่รวย มันคือใคร "นั่นเป็นปัญหาที่ คุณและผมน่าจะมาขบคิดกัน"

ประสบการณ์การทำธุรกิจ ในมุมของ Gen Y ผู้บ้าคลั่ง และ นักลงทุนที่ขายหุ้นทิ้งก่อน Subprime "ถือเงินสด" และ กระโดดเข้ามาเล่นหุ้นในจังหวะที่สุโค่ยมาก .. "ไม่ว่าทั้งหมดจะเป็นความฟลุ๊ค หรือ ไม่ก็ตาม ..มันไม่ได้สำคัญ เท่าส่ิงที่ผม ถ่ายทอดประสบการณ์เหล่านี้ ผ่านตัวอักษร และ ลงมาในหนังสือทั้งสามเล่มที่ออกมา "หนังสือ แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน ภาค 1 และ 2" และ ล่าสุด "หนังสือ ฟรีด้อมเทรดเดอร์"

"ทำไมขายดี!!" ..คงแปลกมั้งครับ ..เพราะมันเหมือน Diary ทางความคิดของผม ที่มากกว่าแค่ตลาดหุ้น มันเป็นมุมมองของผม ที่มีต่อชีวิต ทำธุรกิจ และ การลงทุน ... เอาเป็นว่า ผมเชื่อว่า หนังสือทั้งสามเล่ม มันไม่ใช่สุดยอดวิชาอะไร เพียงแต่มันเป็นการถ่ายทอดมุมมอง ที่ผมคิดว่า มันมีประโยชน์ และ กระตุ้นจินตนาการ ให้ผู้ที่สนใจและใฝ่รู้ ในการคิด และ การลงทุนอีกมุมนึง ... "ใครยังไม่ได้อ่าน ก็ลองไปดูๆครับ ..คงมีประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อย ..บางทีมุมเล็กๆที่ผมกลั่นมา อาจจุดประกายและสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ให้กับใครก็ได้ที่ใช้มันอย่างถูกทาง"

"แพ้ท!! ฟังแล้ว พี่เอ อยากอ่านหนังสือ แพ้ทแล้วซิ"

"ครับ ..ดีพี่ ..พี่ต้องเสียเงินซะแล้วซิ ..ต้องไปร้าน SE-ED แล้วไปอุดหนุนครับ..ฮ่า ฮ่า(ขำขำ)" ..การอ่านหนังสือ ก็เหมือนการลงทุนแหละ ..เสียก่อน ถึงจะได้ .."ไม่เคยเสีย ก็ไม่เคยได้" "นักลงทุนแบบเสียไม่ได้ หมดตูดทุกราย (สัจธรรม)" ..เออ พูดแล้วหลายๆคน อาจไม่เข้าใจ "เพราะชีวิตผม จักรยานล้มมาไม่รู้กี่รอบ ..ถึงเข้าใจว่า ต้องเสียก่อน ถึงจะได้ ..ต้องให้ก่อน ถึงจะยิ่งได้ ..ทุกอย่างเป็นเหตุ เป็นผล --- หลายคนพูดว่า นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ น่าคุยด้วย เพราะ "มันลึก" -- แต่จริงๆ แล้วพวกนี้ ผมเข้าใจเขาดี ..ล้มมาจนเละ ..แต่ที่เขายังรอดชีวิตได้ เพราะเขาใส่หมวกกันน๊อก ..ดังนั้น ล้มกี่ครั้งก็ลุกได้"

"เรื่องที่เลวร้ายสุดๆ ในชีวิตคุณ ถ้าไม่มีอะไรแก้ได้ .."เวลา" ก็แก้ได้อยู่ดี --- เพราะเมื่อเวลาผ่านไป เรื่องที่คุณเคยคิดว่ามันเลวร้ายที่สุด ก็กลายมาเป็นเรื่องตลก เรื่องขำขำ ... ชีวิตก็เหมือนหนังเรื่องยาว หากเรามองตัวเองเป็นผู้กำกับหนังเรื่องนี้ -- ผมว่าเรื่องต่างๆมันจะชัดเจนขึ้น ...สุดท้ายขึ้นกับเราเอง ที่เลือกทุกอย่างเอง !!"

.... หนังสือผม ก็คล้ายๆ หมวกกันน๊อคนะ ..ขึ้นกับการมอง ..เอาเป็นว่า สู้ สู้ ละกันครับ !!

(โอกาส ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด "หลับตา ก็เห็นโอกาสมากมาย ..ทุกสิ่งรอบตัวที่เราอยากได้ และไม่ได้รับการตอบสนอง ก็คือ โอกาส ... แต่การจะเปลี่ยนโอกาสเป็นความสำเร็จ นี่แหละสิ่งที่สำคัญที่สุด ... เพราะโอกาสที่ดีที่สุด คือ โอกาสที่คุณสร้างจากความสามารถ ที่คุณเป็นคนสร้างเอง --"ตัวคุณเอง ก็คือ โอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต.....ของคุณเอง!!")

3 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ14 เมษายน 2554 เวลา 13:57

    ว้าวๆๆ!!! เยี่ยมไปเรย..คุณแพท

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ15 เมษายน 2554 เวลา 03:57

    ทุกคนรักคุณแพทนะค่ะ ^^

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ18 เมษายน 2554 เวลา 00:51

    K. แพท คิดเล่นการเมือง มั้ยครับ เนี่ย

    หุหุ แล้วมีบางคน เห็นว่า ออก voicetv ด้วย น่าจะมีนัยยะ เกี่ยวกับ ความชอบ พรรคการเมือง ผู้ก่อตั้ง voicetv มั้ยครับ

    ตอบลบ

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ