วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2554
FM 101 "ภาค 2 ... คุยกันต่อ"
"วันนี้มาคุยกันต่อ ... เมื่อวานค้างเรื่องของ คุณแพ้ท ไม่เชื่อใน Overnight Success --ทำไม"
-- ก็เพราะมันคือฝัน ที่นำเราสู่ค่านิยมการใช้ชีวิต และ ค่านิยมในการลงทุน ที่ผิดๆ แบบต้องการได้เงินเร็ว .."ซึ่งในความเป็นจริงๆ ถ้ามันง่ายๆอย่างนั้น ก็ดีซิครับ ทุกคนบนโลกนี้จะได้รวยง่าย..แต่!! มันไม่เป็นเช่นนั้น" -- สมัยนี้การติดต่อสื่อสารรวดเร็ว ทำให้คนรุ่นใหม่ (รวมทั้งผม) มีความอดทนต่อสิ่งต่างๆรอบตัวน้อยลง "ประมาณว่า วี๊ดแตก วีนแตก ง่ายๆ ...เล่นหุ้นก็ต้องการได้เงินเร็วๆ..และทั้งหมดคือ -- จุดอ่อน!!"
วะจ๊าก!! ไฉนความเร็วจึงเป็น "จุดอ่อน" ก็เหมือนขับรถเร็ว มันทำให้ถึงจุดหมายเร็วก็จริง แต่ความเสี่ยงในการเดินทางของคุณก็เพิ่มขึ้น และมันเป็นความเข้าใจผิดๆ ที่คนส่วนใหญ่มองตลาดหุ้นเป็นเหมือนสนามแข่งรถที่ต้องใช้ความเร็วขั้นเทพ !!! ...จริงๆแล้ว การลงทุนและตลาดหุ้น มีความเสี่ยงเท่ากับที่คุณมอง "ใช่!! มันคือ วิธีการการเดินทางของคุณ เช่น Day Trade ก็เหมือนขับมอเตอร์ไซค์ ..Trend Follower (Technical)ก็เหมือน ขับรถยนต์ .. VI อย่างผม ก็เหมือนนั่งรถไฟ --ใช่!! คุณอาจจะคิดว่า วิธีไหนมันก็ตายได้ทั้งนั้น แต่!! โอกาสความเสี่ยงมันไม่เท่ากัน อย่างผมเป็น VI เหมือนนั่งรถไฟ เพราะผมลงทุนแบบ "ออมในหุ้น" ดังนั้น ผมไม่ต้องเฝ้าหุ้น ไม่ต้องมานั่งดูรายวัน ก็เหมือนรถไฟ คุณนอนไปนั่งไป สุดท้ายคุณก็ไปถึงจุดหมาย "ข้อแม้เดียวคือ คุณขึ้นรถไฟ ถูกสายหรือเปล่า !! .. จะไปเชียงใหม่ ก็ต้องนั่งให้ถูกคัน ..วิธี VI แบบผม จะวัดว่า เจ๋งไม่เจ๋ง มันเห็นตั้งแต่ขึ้นรถแล้ว ..จากนั้น เมื่อขึ้นถูกคัน มันก็อยู่ที่คุณ ทนนั่งไปถึงจุดหมายหรือเปล่า ..เพราะโดยส่วนมาก คนที่ไม่ประสบความสำเร็จในแบบ VI ก็เพราะคุณกลัว และโดดหนีไปก่อน
การใช้ชีวิต พูดก็พูดเถอะ ..มันไม่มีสูตรสำเร็จ ไม่ว่าวิธีไหน ก็ต้องเข้าใจวิธีการของตัวเอง และมีความอดทน ซึ่งตรงนี้ "ไม่ง่าย!!"
กลับมาที่ประเด็นที่ว่า "ความสำเร็จ" ทุกคนก็มองต่างกัน ..ผมยอมรับเลยว่า ครั้งแรกที่ก้าวสู่โลกแห่งการเป็นผู้ประกอบการ ผมอยากสำเร็จเร็ว..ผมตั้ง Goal ไว้ว่าผมจะ Retire ก่อนอายุ 40 ปี และมีเงิน 1,000 ล้าน ที่สร้างด้วยตัวเอง ...ใช่!! มันเป็นความฝันที่สุดโต่งในเวลานั้น และ ต้องบอกว่า ..มันไม่ใช่ประเด็น !!
เมื่อชีวิตผมผ่านมรสุม ผ่านประสบการณ์การทำธุรกิจ และการลงทุนที่มากขึ้น ผมมาพบว่า จริงๆแล้วเป้าหมาย เช่น Retire 40 มันเป็นอะไรที่ไม่ใช่..อ่ะ --- คุณลองนึกภาพ เด็กหนุ่มอายุ 40 ปี แล้วรวยพันล้าน แล้วนอนอยู่กับบ้าน นั่งแคะขี้มูก ..แล้วว่างๆก็ไปเดินห้าง แล้วก็กลับมาบ้าน.."คุณค่าของความเป็นมนุษย์มันหมด ตั้งแต่วันที่คุณคิดที่จะหยุดจากการทำงาน เพียงเพราะเราทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ มันจึงเป็นกับดักที่บีบให้เราพยายามดิ้นให้หลุดจากงานที่เราทำ โดยพยายามสำเร็จให้เร็ว จะได้เลิกทำงานที่เราไม่ชอบ"
.. และนั้นเป็นทางเดินที่น่าสงสาร เพราะประการแรก คุณจะไม่มีทางสำเร็จ ....เพราะการที่คุณไม่มี Passion ในสิ่งที่คุณทำ โดยเฉพาะยุคการแข่งขันที่สุดโต่งอย่างในปัจจุบัน คุณไม่มีทางทำได้ดี และ ไม่มีทางสำเร็จ -- คนที่สำเร็จได้ในยุคนี้ คือ คนที่ชอบทำในสิ่งที่ตัวเองทำ เมื่อชอบ คุณจะทำมันอย่างสุดใจ และนั่นคือ จิตวิญญาณที่คุณสามารถใส่ให้กับสิ่งที่คุณทำ "และคุณภาพของงานคุณ ที่ทำจากใจ ..มันจะออกมาสุดยอด" -- นั่นเป็นเพราะลูกค้าของคุณเป็นคนที่ฉลาดขึ้นไง ..ลูกค้าคุณจึงมักเลือกซื้อในสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง
สอง ...คุณค่าของคน มันวัดที่ การยอมรับของสังคม ..คนรวยที่ด้อยพัฒนาจะมุ่งแสวงหาแต่การกอบโกยเข้าตัวเอง (บ้านเราเป็นส่วนใหญ่) แต่คนรวยที่สมบูรณ์ แน่นอนเขาโคตรรวย (อย่าง Bill Gates หรือ Warren Buffett) เขาแสวงหาความสุขจากการให้ แต่ให้บนพื้นฐานของธุรกิจ -- ยิ่งให้ เขาก็ยิ่งรวย แต่คนอื่นได้ประโยชน์ !! ..ไม่ใช่ยืนแจกเงินบ้าๆบอๆ เพราะยังไงก็ไม่พอ ...Model ธุรกิจที่ผมว่า น่าศึกษา อย่างในเมืองไทยคือ คุณตัน หลังจากแกขายโออิชิ ก็เริ่มตั้ง Business Model แบบกึ่งการให้ ..และผมว่ามันยั้งยืน
ต่างประเทศเขาเรียกคนกลุ่มนี้ว่า Social Entrepreneur เพราะกิจการของเขาเป็น "ลูกผสม" ระหว่าง การให้ซึ่งตั้งอยู่บน Profit & Loss ของ Business Model "การให้ ที่วางบน Business Model ย่อม ยั่งยืนกว่า เพราะมันเสมือนกับองค์กรสีขาว หรือ สีเขียว ที่ตั้งอยู่ในรูปแบบของ Win-Win คือ คนให้ได้ คนรับก็ได้ ...มันจะดีกว่า การแจกทาน แบบโยนปลาเข้าปาก
มันเป็นกึ่งกลางของการ สอนวิธีจับปลา ซึ่งยั่งยืนกว่า!! ...ผมเชื่อว่า หากธุรกิจที่คุณสร้าง สามารถทำให้คุณรวย โดยที่ระหว่างที่คุณรวย คุณได้สร้างโอกาสให้กับคนอีกเป็นจำนวนมาก -- ผมถึงพยายามพูดเสมอเรื่องของการ "ยิ่งให้ ยิ่งได้" แต่กลบทในการสื่อสารประเด็นนี้ออกมามันไม่ง่าย ..เพราะเมื่อคนพูดออกมาปั๊บ คนจะมองว่า คุณสร้างภาพทันที และนี่คือ จุดที่ผมคงยังต้องขบคิด อีกนานพอสมควร !!
จริงๆแล้ว ถ้าเทียบ คนไทย กับ ฝรั่ง เอาสู้แบบตัวๆ เราชนะฝรั่งนะ ..แต่พอเอามารวมกัน เรากลับแพ้ ..เพราะสิ่งที่เราไม่มีคือ มุมมองของการ "ยิ่งให้ ยิ่งได้" ..การสร้างองค์กรที่ยิ่งใหญ่ระดับประเทศ มันไม่ใช่ คุณคนเดียว จะเป็นทั้งหมดขององค์กรที่ยิ่งใหญ่ระดับประเทศ ..แต่มันเป็นการสร้างคนต่างหาก ..หากคุณจะยิ่งใหญ่ ..คุณต้องสร้างลูกน้องที่ยิ่งใหญ่ จากนั้น ลูกน้องที่ยิ่งใหญ่ ถึงจะดันให้องค์กรยิ่งใหญ่ ..แต่คนไทย กลายเป็นหัวหน้า อิจฉาลูกน้อง ..ขัดขา ขัดแข้งกันไปมา ..มันเลยไม่ไปไหน
"คุณแพ้ท ..มีคนฝากถามว่าในฐานะที่คุณแพ้ทผ่านประสบการณ์ของทั้งสองด้าน -- ผู้ประกอบการ กับ มนุษย์เงินเดือน ต่างกันอย่างไร"
--ต่างมากครับ ... การเป็นผู้ประกอบการคุณต้องมองสองด้าน ...แต่การเป็นลูกจ้าง เรามองด้านเดียวคือ ตัวเรา ..มันถึงขัดกันตลอด ... แต่ความเหนือมันอยู่ทีีมีอีก ชนชั้นที่เหนือกว่าผู้ประกอบการ ..ดังนั้น ลูกจ้างหรือมนุษย์เงินเดือน สามารถ Upgrade ผ่านผู้ประกอบการไปเลย !! ..นั่นคือ นักลงทุน !!!!! --- ลูกจ้างมองชั้นเดียว ..ผู้ประกอบการมองสองชั้น ..แต่นักลงทุนมองสามชั้น (ไม่ใช่หมูสามชั้นนะ..หุ หุ)
ชั่นที่หนึ่ง ทำงานเพื่อเงิน (ทำไงก็ไม่รวย)
ชั้นที่สอง ให้เงินทำงาน (เอาเงินไปวาง ให้มันเติบโตได้ เขาถึงเทียบผู้ประกอบการกับ นักปลูก นักสร้าง แต่วางอยู่บนพื้นฐานของธุรกิจของตัวเอง)
ชั้นที่สาม อ่าน Cycle ออก ... ผู้ประกอบการยังไง ต้องขึ้นลงตาม Cycle ของธุรกิจ ซึ่งมีขาขึ้นและขาลง ..เวลาขึ้นก็รวยกันถ้วนหน้า เวลาขาลง ผู้ประกอบการก็หน้าซีดกัน เพราะซวยไปตาม Cycle ของธุรกิจ ...แต่นักลงทุน ทำกำไรจาก Cycle ดังนั้น ทุกๆ Cycle นักลงทุนที่เข้าใจ Cycle ก็สามารถหาซื้อของถูก แล้วก็ไปขายแพง "เจ้าของธุรกิจใหญ่ๆ ต้องกอดหุ้นเขาขาลง เพราะเขาเป็นเจ้าของ ..แต่นักลงทุนโยนทิ้งได้ ...จากนั้น ก็มารับของถูก (ผมถึงเห็นน้ำตาของผู้ประกอบการไงล่ะ..อิ อิ) พอหุ้นแพง ผมก็ขายได้ แต่เจ้าของขายไม่ได้ เพราะถ้าขายอาจเสีย การควบคุมของกิจการ ....
ดังนั้น ก็ฝากไว้ ..เวลานายเรานั่งอยู่บนหัวเรา ..แต่ถ้าเราเข้าใจ ..สุดท้ายเราก็ไปนั่งอยู่บนหัวนาย...ฮ่า ฮ่า (ลามปามโคตร..แต่จริง!!) ..ฝึกไว้เถอะครับ การลงทุน ...ทำให้เราฉลาด ไม่ตกยุค และ รวย!!
--- สิ่งที่ผมอยากฝากคือ ใครยังไม่ได้อ่านหนังสือผม .."ไปดูที่ SE-ED ได้ .."..อิ อิ อิ ( 3 เล่มนี้ แหละ ฮา ฮา ได้สาระ!!)
(นี่ใส่ไช่ซะเยอะ เกินกว่าที่ออกรายการวิทยุ FM 101 ซะมากมาย ..อิ อิ ขำขำครับ อย่าคิดมาก)
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา
-
7 จุด ในงบการเงินที่ใช้ในการจับผิด จับโป๊ะหุ้นเด็ด !! 1. ’Net Profit Margin’ …ขาย 100 บาท ได้กำไรกี่บาท ? …ยิ่งเยอะ ก็ยิ่งแสดงว่า การแข่งขั...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
6 หลักการ คัดหุ้นปันผลดีเติบโตแล้วเลี้ยงเราได้ไปยาวๆ หลักการนี้สำหรับ คนชอบซื้อแล้วถือ กินปันผลยาวๆ 1. ‘หุ้นมี Market cap ขนาดใหญ่‘ …หุ้น...
-
7 ข้อ ‘มิตร’(ฉาชีพ) กับ การลงทุน 1. ‘คนที่โกงเราได้คือคนที่เราไว้ใจ’ …ถ้าเราไม่ไว้ใจเราคงไม่เอาเงินให้เขาตั้งแต่แรก 2. ‘ข้อเสนอของเขามัน T...
-
‘หุ้นหนัก หุ้นเบา พอร์ตเราเต็มไปด้วยอะไร’ ...หลายคนน่าจะคุ้นเคยดีกับ ‘หุ้นหนัก’ ก็คือ หุ้นในพอร์ตรายย่อยส่วนใหญ่นี่แหละครับ ลักษณะของมันคือ...
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
'ทฤษฎี กับ การปฏิบัติ ต่างกันอย่างไร ?' ประเด็นนี้ ผมเจอน้องๆ นักศึกษามาถาม ..เค้าคงอยากรู้ว่า สิ่งที่เขาเรียนในทฤษฎี เวลาเขาไป...
-
6 ข้อ เศรษฐกิจและการลงทุนยุค Trump 2.0 1. ‘นโยบาย American First’ …Trump จะทำทุกอย่างให้อเมริกาได้ประโยชน์ เน้นในเรื่องของเศรษฐกิจ 2. ‘Dere...
ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"
- ภาพใหญ่หุ้นไทย ปี 1987 - 2009
- ย้อนรอย SET ปี 1987 - 1990(จาก Black Monday ไปแตะ 1,000 จุด)
- ย้อนรอย SET ปี 1991 - 1993 ( 3 ปีสู่ยอดดอย )
- ย้อนรอย SET ปี 1994 - 1996 ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" )
- ย้อนรอย SET ปี 1997 - 1999 ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น )
- ย้อนรอย SET ปี 2000 - 2008 ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" )
- ย้อนรอย SET ปี 2009 (Do you Remenber?)
"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
10 เรื่องที่ต้อง "รู้งี้" ก่อนจบปริญญา ... 1. "ใบปริญญามีวันหมดอายุ" ..หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจ...
-
ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
'คำทำนาย ที่ว่าโลกหลังปี 2017 จะเกิด ..ธุรกิจเล็กจะใหญ่ ธุรกิจใหญ่จะเล็ก!!' ยุคนี้รายใหญ่ก็ตายได้ ..รายเล็กก็เกิดได้ ..นี่อ่านข...
-
วันนี้มาดอนเมือง ผมได้ชิมกาแฟมวลชน จุดเริ่มของ All Cafe ของ 7-11..วันนี้เกมค่าปลีกแข่งดุ เนื่องจากค่าเช่าแพงขึ้นตามราคา Asset ที่พุ่งกร...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
Luxury คือ เงินเฟ้อ!! เศรษฐกิจไม่ดี ทำไม ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ..คนธรรมดาทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันล่ะ ? ก็เพราะ เราไม่รู้ว่า 'ความห...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...
ทุกสิ่งล้วนเป็นสัจธรรม จริง
ตอบลบ