แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558

กลไกของเจ้า ในตลาดหุ้น คือ แบบนี้นั่นเอง


"กลไกของเจ้ามือ ในตลาดหุ้น คือ แบบนี้นั่งเอง" ...ต้องเข้าใจอย่างแรกว่า "เจ้า" เป็นใครก็ได้ จะเป็น ฝรั่ง เป็น กองทุน เป็น รายใหญ่ หรือ เป็นใครก็ได้ ...ไม่สำคัญ ..ที่สำคัญคือ คนนั้นคือ คนที่ซื้อหุ้นตัวนั้นๆ มากที่สุด นั่นแหละ ผู้กำหนด การขึ้นลงของหุ้นแต่ละตัว ...เอ้ามาวิเคราะห์กัน
"คนที่กำหนดการขึ้นลงของตลาดหุ้น แบบแม่นยำที่สุดคือ Demand & Supply ของแรงซื้อและแรงขาย" ...วันนี้ผมเอาสถิติการซื้อขายของผู้เล่นในตลาดทั้งหมดมาให้ดูกัน

ตลาดหุ้นไทยมีผู้เล่นหลักๆ อยู่ 4 กลุ่ม -- 1. ฝรั่ง (ตอนนี้ขายมา 3 ปีติด ยอดขายสะสมสูงกว่าปี 2008 วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์) 2. สถาบัน (สามปีที่ผ่านมา สวนฝรั่งตลอด คือ ซื้อสะสมสูงสุด เป็นคนพยุงตลาดนั่นเอง ..คำถามคือ สถาบันเอาเงินมาจากไหน -- ก็เงินคุณและผม ที่ซื้อกองทุนไง ...ฮ่า ฮ่า) 3. ป๊อบเทรด (เงินจาก Broker เอามาเทรด) 4.รายย่อย (ในรายย่อยมีรายใหญ่แอบอยู่ด้วย เสี่ย เจ้าของ เจ้า ..อยู่ในรายย่อยหมด)

ถามว่าใครมีน้ำหนัก กำหนดทิศทางมากที่สุด ต้องตอบว่า ฝรั่ง แม้เม็ดเงินที่ซื้อขายในตลาดรายย่อยจะมากที่สุด แต่ฝรั่งมีทิศทางชัดที่สุด(ซื้อก็ซื้อติดกันหลายปี - เวลาขายก็ขายติดกันหลายๆปี) ทำให้เขาสามารถกำหนดทิศทางตลาดในภาพใหญ่

คนที่มีน้ำหนักกำหนดทิศทางของตลาดรองจากฝรั่งก็คือ สถาบัน ซึ่งช่วย พยุงตลาดหุ้นไทยมา 3 ปีแล้ว แต่ตอนนี้เริ่มไม่ค่อยไหว เพราะ สุดท้ายเงินมาจากรายย่อยไทยนี่แหละ

สิ่งที่ชี้ให้เห็นในเกมการเงินนี้ คือ Money Game มันต้องหาจุดดีที่สุดในจุดที่ยืนของตัวเอง ...ยิ่งดูสถิติยิ่งชี้ให้เห็นว่า ตลาดหุ้นทั่วโลก ถูกฝรั่งปั่นให้ฟู แล้วก็ทิ้งให้พัง ...จากนั้นพอพังฝรั่งค่อยกลับมาเก็บถูกๆ แล้วก็ปั่นให้ฟูใหม่ ...เป็นอย่างงี้ เป็นรอบๆ ไปเรื่อยๆ

(เวลาฝรั่งออก ค่าเงินบาทจะอ่อนตาม ..เพราะ เวลาเขาออก เขาขายต่อเนื่องหลายปี ..ส่วนเวลาเข้า ค่าเงินก็จะแข็งด้วย เพราะ เขาเข้าต่อเนื่องเช่นกัน ..ทำให้ทุกครั้งที่ฝรั่งเข้าซื้อเขาได้ 2 เด้ง คือ หนึ่ง ซื้อหุ้นถูก และ สอง ได้กำไรค่าเงิน ...โคตรได้เปรียบเลย เพราะ เขาเล่นเกมนี้ในภาพใหญ่)

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ หุ้นที่ซื้อ และ วิธีการซื้อ ...รายย่อยจริงๆ เม็ดเงินมากที่สุด(60% ของเม็ดเงินทั้งหมด) แต่ไม่เคยกำหนดทิศทางตลาดเลย เพราะ ซื้อสะเปะสะปะ ไม่มีทิศทาง ..แต่วันใดก็ตามที่รายย่อย เริ่มจับทางตัวเองได้

ผมว่า วันนึงเราก็จะสามารถกำหนดทิศทางตลาดได้ เช่น ถ้ารายย่อยมีแนวทางของตัวเอง สมมุติฝรั่งซื้อแต่ หุ้นใหญ่เพราะเขาต้องการเข้าออกง่าย ..รายย่อยอาจซื้อหุ้นเล็ก(ไม่เล่นหุ้นที่ฝรั่งเล่น) เอาเติบโตและปันผลสม่ำเสมอ แล้วเข้าออกยาก สภาพคล่องน้อยฝรั่งไม่ซื้อ ก็แปลว่า รายย่อยสะสมหุ้นอินดี้ ไม่ขึ้นกับฝรั่งแต่ขึ้นกับเราแทน ...กองทุนอาจเลือกกลุ่มที่เล็กกว่า(กลุ่มที่ฝรั่งไม่ซื้อ เพราะขนาดเล็กไป) เน้นที่ปันผล และ เก็บยาวมาก ...พูดง่ายๆนะ (ที่ฝรั่งเขากำหนดทิศทาง เพราะเขาเป็นคนที่ซื้อขายมากที่สุดในหุ้นที่เขาซื้อ) แต่ถ้าแต่ละกลุ่มเป็นรายใหญ่ที่สุดของหุ้นตัวเอง เรานั่นแหละ คือ ผู้กำหนด Demand & Supply ของหุ้นตัวนั้นๆ

แล้วสุดท้ายตลาดก็จะมีประสิทธิภาพเพราะ ผลตอบแทนจริงๆ คือ การเทียบระหว่างเม็ดเงินที่ลงทุน เทียบปันผลที่ได้รับว่า คุ้มหรือไม่ ..ส่วนกำไร คือ การซื้อตามรอบของอุตสาหกรรม ซื้อตอนแย่ ขายตอนดี

ที่เล่าให้ฟัง เพราะ ตลาดหุ้นถูกลากขึ้นลง ตาม Money Supply นั่นเอง !! ...นั่งดูเม็ดเงิน ของการซื้อขาย พร้อมเทียบการขึ้นลงของตลาด ก็เลยเอามาเล่าสู่กันฟังครับ

1 ความคิดเห็น:

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ