วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
เดือนเดือด การเมืองเสียว ทักษิณทั้งเดือดทั้งเสียว
เข้าเดือนกุมภาแล้ว แต่ต่างชาติยังวิ่งออกจากตลาดหุ้นไปอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ต่างชาติขายหุ้นออกไปเกือบ 9 พันล้านแล้ว -- ถ้าเทียบจากยอดการซื้อสุทธิปีที่ผ่านมา 2552 ต่างชาติ ซื้อสุทธิแค่ 38,000 - 9,000 = 29,000 ล้านบาท กลุ่มสถาบันขายสุทธิ 5,000 ล้าน กลุ่ม Broker ขายสุทธิ 1,000 ล้าน ส่วนนักลงทุนในประเทศยังขายสุทธิ 20,000 ล้านบาท
สรุปว่า ยอดเงินที่เข้าตลาดสุทธิตั้งแต่ต้นปี 2552 ถึง ปัจจุบัน เท่ากับ 29,000 ลบกับ 5,000 + 1,000 + 20,000 ได้ยอดเงินเข้าตลาดรวม แค่ประมาณ 3,000 ล้าน แต่ SET Index เพิ่มจาก 400 จุด มาที่ 700 จุด Market cap รวมเพิ่มขึ้น กว่า 2 ล้านล้านบาท
คำถามคือ เงินเข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น 3 พันล้าน แต่ทำไม Market Cap. หรือ มูลค่าของบริษัทถึงเพิ่มขึ้น 2 ล้านล้านบาท ---- ฮ้า...งง งง กันใหญ่ครับ... ก็ตอบง่ายๆครับว่า มูลค่าของหุ้นจริงๆแล้ว มิได้สะท้อนภาพรวมทั้งหมดของตลาด เพราะการที่หุ้นมีราคาปิดขึ้นลงมันเกิดจากการ เปลี่ยนมือของหุ้นส่วนน้อย(ปริมาณเล็กๆเมื่อเทียบกับทั้งตลาด) นั่นหมายความว่า ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ก็ยังคงถืออยู่เช่นเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลง ดังนั้น เจ้าของบริษัทใหญ่ๆ เช่น ตระกูลดังๆ เขาก็ยังถือหุ้นเหมือนเดิม ไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง เขาก็ยังคงถือหุ้นเหมือนเดิม
--- แต่เมื่อเวลาผ่านไปพอตลาดสงบ พวกตระกูลใหญ่เหล่านั้นก็รวยขึ้น ตามราคาหุ้นที่ดีขึ้น โดยที่เขาไม่เห็นต้องออกแรงอะไรเลย (บรรดา Day Trader ผู้ที่ซื้อขายเอากำไร วันละเล็กๆทุกวัน คง งง ว่าแล้วสิ่งที่เขาทำกันอยู่มันดีจริงหรือไม่ -- ก็คิดง่ายๆว่า พวกที่อยู่เฉยๆ หรือ ตระกูลใหย่ๆเขารวยเอารวยเอา(คนรวยรวยขึ้น) ขณะที่คนเล่นหุ้นทั้วๆไปประมาณ 80% ขาดทุน)
--- ดังนั้น คำพูดที่ว่าคนรวยยิ่งรวยขึ้น และคนจนยิ่งจนลง มันมีคำอธิบาย จากการเล่นหุ้น คุณว่าจริงไหม (ใครกล้าๆกลัว ก็จะเสีย ส่วนพวกที่ไม่กลัว ก็มักจะได้กำไรสูงในระยะยาว ) ตลกดีนะครับพูดง่ายทำยาก เลยไม่ค่อยมีใครรวยมากๆ
ย้อนกลับมาที่ประเด็นเริ่มต้นคือ เงินเข้ามาในตลาดสุทธิแค่ 3,000 ล้าน แต่มูลค่ารวมเพิ่มขึ้น 2 ล้านล้านบาท ถามว่าราคาหุ้นตอนนี้แพงหรือไม่ ตอบเลยว่าแพง(เพราะผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ซื้อถูกกว่าเรา)
--คำถามต่อไปคือ แล้วหุ้นจะขึ้นต่อหรือไม่ ก็ตอบเลยว่า จะต้องขึ้น เพราะท้ายที่สุดราคาหุ้นก็จะสะท้อนมูลค่าการเติบโตที่แท้จริงของกิจการ ตอนนี้มูลค่าสะท้อนที่แท้จริงอยู่ที่ SET พันกว่า จุดใน Scope ใน 10 ปี ดังนั้น ผลตอบแทนหลักหลังการเข้าซื้อในเวลานี้คือ Dividend บวกกับ Capital Gain ปีละประมาณ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ สรุปว่า ผลตอบแทนรวยที่คุณจะได้ หลังจากตลาดผ่านไปอีกสิบปีข้าหน้าก็ประมาณ 15% ต่อปี
คือ ถ้าคุณลงทุน 10 ล้านในวันนี้ คุณก็จะได้ 40 ล้านในอีก 10 ปี --ตกปีละ 4 ล้าน(จากการคิด 15% compounding นั่นเอง) ถ้าปีไหนคุณได้มากกว่านั้น คุณต้องระวัง Bubble ให้ดี แต่ถ้าคุณไม่กลัวก็ให้ถือยาว แล้วไปพบกันที่ปลายทาง 10 ปีข้างหน้า กับเศรษฐีคนใหม่ คือ คุณไงครับ ฮ่า ฮ่า
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา
-
6 เรื่อง Stupid that make you Rich !! 1. ‘Start a Business’ …เริ่มจากปัญหาที่เราอยากจะแก้ …ถ้ามือใหม่เริ่มจากแก้ปัญหาเล็กๆ 2. ’ลงทุนในสิ่ง...
-
7 ข้อคิด ของปัญหาที่นักลงทุนต้องผ่านให้ได้ 1. ‘ทุกปัญหามีอายุของมัน‘ …ปัญหาทุกอย่างมีอายุ มีเวลาของมัน …พอเวลาผ่านไป ปัญหาก็จะผ่านไปเช่นกัน...
-
7 จุด ในงบการเงินที่ใช้ในการจับผิด จับโป๊ะหุ้นเด็ด !! 1. ’Net Profit Margin’ …ขาย 100 บาท ได้กำไรกี่บาท ? …ยิ่งเยอะ ก็ยิ่งแสดงว่า การแข่งขั...
-
'ทฤษฎี กับ การปฏิบัติ ต่างกันอย่างไร ?' ประเด็นนี้ ผมเจอน้องๆ นักศึกษามาถาม ..เค้าคงอยากรู้ว่า สิ่งที่เขาเรียนในทฤษฎี เวลาเขาไป...
-
7 สิ่ง ที่ต้องเตรียมก่อนที่เราจะเกษียณแล้วอยู่สบายๆ 1. บ้านที่ไม่มีหนี้ …คุณจะมี Property กี่แห่งก็ได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คุณต้องมีบ...
-
5 ระดับ ความรวยที่เราควรเข้าใจ จนไปสู่เศรษฐีพันล้าน !! 1. ‘เงินแสนแรก’ …เราจะได้จากการทำงานหนัก 2. ’เงินล้านแรก‘ …เราจะได้จากทักษะ และ ความ...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
7 ข้อ ‘มิตร’(ฉาชีพ) กับ การลงทุน 1. ‘คนที่โกงเราได้คือคนที่เราไว้ใจ’ …ถ้าเราไม่ไว้ใจเราคงไม่เอาเงินให้เขาตั้งแต่แรก 2. ‘ข้อเสนอของเขามัน T...
-
7 ข้อควรรู้ ก่อนทุ่มเงินหนักๆ ซื้อหุ้นอเมริกา 1. หุ้นอเมริกาขึ้นแบบกระจุกตัว …แปลว่า เราเห็นดัชนีอเมริกาขึ้นดีมากๆ แต่เอาเข้าจริง มันกระจุก...
-
วันนี้มาดอนเมือง ผมได้ชิมกาแฟมวลชน จุดเริ่มของ All Cafe ของ 7-11..วันนี้เกมค่าปลีกแข่งดุ เนื่องจากค่าเช่าแพงขึ้นตามราคา Asset ที่พุ่งกร...
ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"
- ภาพใหญ่หุ้นไทย ปี 1987 - 2009
- ย้อนรอย SET ปี 1987 - 1990(จาก Black Monday ไปแตะ 1,000 จุด)
- ย้อนรอย SET ปี 1991 - 1993 ( 3 ปีสู่ยอดดอย )
- ย้อนรอย SET ปี 1994 - 1996 ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" )
- ย้อนรอย SET ปี 1997 - 1999 ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น )
- ย้อนรอย SET ปี 2000 - 2008 ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" )
- ย้อนรอย SET ปี 2009 (Do you Remenber?)
"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
10 เรื่องที่ต้อง "รู้งี้" ก่อนจบปริญญา ... 1. "ใบปริญญามีวันหมดอายุ" ..หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจ...
-
ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
'คำทำนาย ที่ว่าโลกหลังปี 2017 จะเกิด ..ธุรกิจเล็กจะใหญ่ ธุรกิจใหญ่จะเล็ก!!' ยุคนี้รายใหญ่ก็ตายได้ ..รายเล็กก็เกิดได้ ..นี่อ่านข...
-
วันนี้มาดอนเมือง ผมได้ชิมกาแฟมวลชน จุดเริ่มของ All Cafe ของ 7-11..วันนี้เกมค่าปลีกแข่งดุ เนื่องจากค่าเช่าแพงขึ้นตามราคา Asset ที่พุ่งกร...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
Luxury คือ เงินเฟ้อ!! เศรษฐกิจไม่ดี ทำไม ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ..คนธรรมดาทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันล่ะ ? ก็เพราะ เราไม่รู้ว่า 'ความห...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น