เราอาจจะนึกภาพไม่ออก ว่าคนที่รวย 6 หมื่นล้าน เขาหน้าตาเป็นอย่างไร ..เขาทำอะไรกับเงินที่มี ...ที่สำคัญสุดคือ ‘เขาทำได้ยังไง ..ทุกวันนี้จะหาสักล้านบาท นี่เลือดตาแทบกระเด็น แล้ว หกหมื่นล้านใน 20 ปี หายังไง ?’
วันนี้ผมได้มาสัมภาษณ์ หมอสุวิน เจ้าของร้าน Beauty Buffet ...ทุกวันนี้ Beauty Buffet เป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้น SET มีมูลค่า 6 หมื่นล้านบาท
..ทำอย่างไร ตอบแล้ว - ‘เอาบริษัทเข้าตลาดหุ้น นั่นเอง’ ...ทุกวันนี้ ร้าน Beauty ในเครือกว่า 300 สาขา ทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ ทำกำไรรวมกันแต่ละปี ประมาณ 1 พันล้านบาท
...คิดง่ายๆ ถ้าไม่เข้าตลาดหุ้น ก็จะได้เงินปีละ 1 พันล้าน ..ถ้าอยากได้ 6 หมื่นล้าน ก็ต้องทำกำไรแบบนี้ไปอีก 60 ปี ...โอ้!! นี่แหละ พลังของตลาดหุ้น
...มันมี Multiple คือ ความรวยทวีคูณ ...ใครก็ตามที่สามารถพาบริษัทตัวเองเข้าไปจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้น SET ได้ วันนี้มีค่าทวีคูณ ความรวยประมาณ 15 เท่า ...พูดง่ายๆ ว่า ถ้าทำกำไร 1 บาท ถ้าอยู่ในตลาดหุ้น นักลงทุนยอมซื้ออย่างน้อย 15 บาท
อันนี้แหละ ที่เขาเรียกว่าค่า P/E หรือ กี่ปีคืนทุน นั่นเอง
...แต่จริงๆ แล้ว การที่ Beauty สามารถเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหุ้น มันมี Story และ ที่มาที่ไม่ธรรมดา ...ผมถึงต้องมาสัมภาษณ์ คุณหมอสุวิน ถึง วิธีคิดและ วิธีการกัน
คุณหมอสุวิน เล่าให้ฟังว่า ธุรกิจเครื่องสำอางนี่ เขาเริ่มในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ก็ประมาณ 20 ปีแล้ว เริ่มจากแผงขายเครื่องสำอางในมาบุญครอง ก็เริ่มจากซื้อมาขายไป แล้วพอเริ่มดี ก็ค่อยๆ ขยายสาขา
‘เดี๋ยวนะครับ !! พี่หมอ กำลังบอกผมว่า ธุรกิจ 6 หมื่นล้าน นี่คือเริ่มจากแผงขายเครื่องสำอางในมาบุญครองเหรอครับ?’ ...ฟังแล้วอยากก้มลงกราบ ...เทพ ชิบหาย !!
แล้วไงครับ แล้วมันโตยังไง ?
...พี่หมอเล่าว่า ช่วงแรกๆ ก็ซื้อมาขายไปเฉยๆ แต่พอมีหลายสาขา มีลูกค้าเยอะขึ้น ก็เริ่มรู้ความต้องการของลูกค้า ..ด้วยความที่พี่หมอ เป็นคนที่ชอบสังเกต ชอบดูว่าลูกค้าต้องการอะไร ก็เลยลองไป จ้างผลิต OEM ...’ช่วงแรกๆ ไม่ค่อยมีโรงงานไหน อยากผลิตให้เพราะเรารายเล็ก !!’ ...แต่พอมีโรงงานนึงยอมผลิตให้ เอามาขาย ก็ขายดี ทั้งที่ตั้งราคาค่อนข้างสูง
‘นั่นแหละ มาถูกทางละ’ ...จากแค่ซื้อมาขายไป ...ตอนนี้ มีสินค้าที่แตกต่าง แถมสามารถตั้งราคาได้สูง และ ขายดีกว่าเดิม
พอเจอทาง คราวนี้ ก็เริ่มทำสินค้าเองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ตอนแรกก็ยังไม่มี แบรนด์ของตัวเองนะ แต่พอทำมาเรื่อยๆ ก็ถึงจุดที่คิดว่าเราพร้อม ก็เลยตัดสินใจสร้างแบรนด์ครั้งใหญ่ จึงเกิด Beauty Buffet ขึ้นมา
จากที่นั่งคุยกับพี่หมอ ก็พอจะสรุป ความสำเร็จของ Beauty Buffet ได้ดังนี้
1. ‘การเข้าใจความต้องการของลูกค้า’ ทำให้สามารถสั่งผลิตเครื่องสำอางที่มีความแตกต่างจากคู่แข่ง ที่ส่วนใหญ่แค่ซื้อมาขายไป
2. ‘เลือกกลุ่มลูกค้า Medium High ที่ใหญ่และขยายตัวมากที่สุดในยุคนี้’ ..ลูกค้ากลุ่ม Medium High คือ ลูกค้า Premium ของตลาด Mass ..พูดภาษามนุษย์คือ วางตัวเป็นเครื่องสำอางแบบหรู ในตลาดเครื่องสำอางราคาถูก ....กลุ่มนี้ใหญ่มาก และคนละกลุ่มกับเครื่องสำอางในห้าง
3. ‘การควบคุมต้นทุนขั้นเทพ’ ...Beauty ใช้หลักการ สั่งผลิตแยกส่วน ทำให้ควบคุมต้นทุนได้ดี ...อย่างเครื่องสำอางหนึ่งชิ้นจะแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ กล่องใส่/ สิ่งพิมพ์ / และก็เนื้อ ...ยกตัวอย่าง กล่องนี่สั่งจีนได้ แต่เนื้อห้ามสั่งจีน เหมือน อาหารน่ะคนก็กลัวสินค้าจากจีน แต่กล่องใส่นี่ไม่เป็นไร เราไม่ได้กิน ...
อันนี้ที่หลายคนไม่รู้ว่า จริงๆ ประเทศไทยเราเป็น ศูนย์กลางการผลิตเครื่องสำอางที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพียงแต่เราไม่มีแบรนด์เท่านั้นเอง
4. ‘ใช้ลูกค้า ขายลูกค้า’ ...Beauty ใช้งบโฆษณาแค่ 3% ของยอดขายเอง แล้วส่วนใหญ่ลงกับ Social สนับสนุนลูกค้า ที่เป็น Beauty Blogger หรือ คนที่เป็นเซเลป ในเรื่องการแต่งหน้าและเครื่องสำอาง ...พูดง่ายๆ เราใช้ลูกค้าขายลูกค้านั่นเอง
5. ‘การเข้าตลาดหุ้น’ ...ถือเป็นจุดที่ทำให้เราปิดจุดอ่อนในเรื่องของคน ...ปกติธุรกิจแบบนี้ พนักงานจะลาออกบ่อย ...ก่อนเข้าตลาดนี่ Turnover 20% ...พอเข้าตลาดเราวาง ระบบผลตอบแทน และ Career Path ใหม่หมด ...ได้แบ่งกำไร ได้สวัสดิการ ได้เติบโตได้ คราวนี้ แทบไม่มีใครลาออก Turnover ลดเหลือ 2% ...นี่แหละ ธุรกิจพุ่งเลย เพราะพนักงานคุณภาพคือ หัวใจ !!
6. ‘ไม่มีโรงงาน’ ..ธุรกิจบิวตี้ชัดเจน คือ ดูแลความต้องการลูกค้า นี่คือความเชี่ยวชาญ นอกนั้น โรงงานการผลิต เราจ้างคนอื่นดีกว่า ...พูดง่ายๆ ทำเฉพาะสิ่งที่ทำได้ดี แล้วทุ่มพลังให้สิ่งที่ทำได้ดีเท่านั้น
7. ‘มีหน้าร้าน’ หลายคนคิดว่ายุคนี้ต้องออนไลน์ แต่บอกเลยว่า การมีหน้าร้าน ช่วยให้บิวตี้ สามารถใกล้ชิดลูกค้า จุดนี้ทำให้ เราสามารถออกสินค้าได้โดนใจ ...หน้าร้าน เป็นทั้ง ที่ขาย ที่ทดลองสินค้า และ ที่วิจัยตลาด ...ออนไลน์ส่วนใหญ่จะเน้นของถูก หรือ การซื้อซ้ำ
(แต่ถ้าเราไปจีน จะไม่มีหน้าร้านนะ เพราะตลาดจีน ออนไลน์ไปไกลกว่าเรามาก แล้วเขาเหมาะกับออนไลน์ เพราะ เนื้อที่ใหญ่ แล้วออนไลน์จีน Cover เหนือกว่า ช่องทางปกติไปแล้ว)
8. ‘พัฒนาทักษะการขายของพนักงานอย่างต่อเนื่อง’ ...บริษัทเรามี Sale Development เน้นที่การขาย เราเน้น Training ที่วัดผลได้โดยตรง ...เราสอนถึง Customer Insight เลย ..อย่าง ห้ามยืนหน้าร้าน เพราะลูกค้าจะอึดอัดไม่เข้า ...หรือ อยากให้คนเข้าให้จัดของ เพราะ ลูกค้าจะกล้าเดินเข้ามา
9. ‘พัฒนาสินค้าใหม่ตลอดเวลา’ ..หมดยุคแล้ว ที่จะขายสินค้าตั้งแต่รุ่นปู่ยันลูกหลานแล้วทำเหมือนเดิม ...ยุคนี้ ต้องออกสินค้าใหม่ตลอดเวลา เพราะ ความต้องการลูกค้าเปลี่ยนเร็ว ...นี่แหละ ที่ทำให้ธุรกิจไม่ตกเทรนด์
10. ‘ขนาดของร้าน’ ...ยุคต่อไป ร้านเล็กได้เปรียบ เพราะ มันคือ Omni Channel ทั้ง Online และ หน้าร้าน รวมเป็นหนึ่ง ...อย่าง IKEA วันนี้พยายามลดเนื้อที่ร้าน ขยายออนไลน์ ทำในตลาดเฟอร์นิเจอร์ ... แต่บิวตี้ ก็คือ ที่หนึ่ง ทำแบบนี้ในตลาดความสวย!!
.....‘กลัวถูก Disrupt ไหม ?’ เดี๋ยวนี้คู่แข่งมีทั้งคนขายแข่งออนไลน์เยอะมาก ..หรือ คู่แข่งที่เปิดร้านใหญ่ๆ อย่าง Eve and Boy คิดยังไง ?
........’คนละตลาดครับ การที่เราทำเครื่องสำอางของตัวเอง จับกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจน
...นี่คือ หัวใจของธุรกิจ’ - ลูกค้าชัด - สินค้าแตกต่าง - ดูแลลูกค้าอย่างยั่งยืน นี่คือ หัวใจความสำเร็จ ของบิวตี้ 6 หมื่นล้าน สร้างได้ !!
#ภาววิทย์กลิ่นประทุม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น