แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

นับ Wave ยังไง ...คุณสงสัยไหม !! (มั่วรึเปล่า)



นับ Wave เป็นเรื่องที่ทำให้หลายๆคนปวดหัว จนไม่สนใจศึกษา ...แต่จริงๆแล้ว หากคุณเข้าใจ Elliot Wave มันเป็นประโยชน์อย่างมาก ...เล่าถึงที่มากันก่อน คือ ไอ้เจ้า Elliot Wave มันพัฒนามาจาก Dow Theory ซึ่งก็คือการมองการขึ้นลงของราคาหุ้นแบบคลื่น (เอาธรรมชาติมาดูนั่นแหละ เมื่อคลื่นมันขึ้นสูง เดี๋ยวมันก็ต้องลง พอลงมันก็ไม่ใช่ลงทันที มันต้องอาศัยแรงกระเพื่อม ดังนั้น พอขาลงมันก็จะค่อยๆลง เป็นคลื่นเช่นกัน... หรือ ลงเป็นรอบๆที่เล็กลงเรื่อยๆ)

ผมเคยเขียนบทความของ Elliot Wave ใน Blog ของ Monkey Trade มาครั้งนึงแล้ว "ผมแซวทฤษฎีนี้มัน เอามาจาก หลักการของขงจื้อ บวกกับ Inflation หรือเปล่า ...อะไรที่มันขึ้นแรง เวลาลงมันก็แรง แต่ท้ายสุดมันก็ไม่ได้จะลงมาแตะ 0 เหมือนเดิม เพราะโลกเราเต็มไปด้วย Inflation (หรือเงินเฟ้อนั่นเอง)

"รู้แค่นี้ก็ ทำเงินได้แล้ว" ...ทำไงล่ะ !! คุณก็อย่าไปตื่นตูม ทั้งขาขึ้นและขาลง ..หุ้นไม่ใช่จรวดท่องไว้เลย!! ดังนั้นเวลาขึ้นมันก็ขึ้นเป็นรอบๆ แบบคลื่น ..อย่างนักลงทุนพื้นฐาน เขาก็แค่รอเก็บตอนต่ำ ของแต่ละคลื่นไล่ขึ้นไป ...ส่วนพวก Technical ก็กินเป็นรอบๆตามลูกคลื่น ซื้อตอนต้น ขายตอนมันชนรอบด้านบน (นี่แหละหลักการดูรอบของผมเลย ..ผมลาก Trend ของรอบ จากนั้นก็ดูว่า ไอ้ Trend ตัวนี้มันใช่ไหม (ถ้าใช่!! ผมก็รอให้มันชนขอบล่าง ก็โดดเข้าได้ ..ถ้าจะเล่นรอบเร็วๆ พอมันจะแตะขอบบนของ Trend ผมก็ขายทิ้งก่อน ..และถ้ามัน Break Trend เดิมได้จริง ก็ซื้อตาม ไปเล่นรอบใหม่ )

"ฟังดูง่ายนะ ..แต่ไม่ง่าย (คุณต้องไปฝึกดู ฝึกหา Trend ..ฝึกลาก Trendline ให้แม่น ไม่งั้นเวลา Trade จริงเดี๋ยวมึน!!)

อันนี้ผมยกตัวอย่างของ Elliot Wave มาให้ดูกัน คือ จริงๆแล้ว การนับ Wave คนส่วนใหญ่ใช้ผิดอย่างแรง .."ชอบมาดูว่า เฮ้ย!! แม่นไหมๆ ๆ" ..ถ้าจะเอาแม่นไปคุยกับหมอดูจะแม่นกว่า ...เพราะจริงๆ Elliot Wave เขาใช้ประโยชน์จากการดูประกอบการตัดสินใจ ..มันดึงคุณให้หลุดออกมาจากความวุ่นวายของตลาด --"เหมือนคุณยืนอยู่ไกลๆแล้วมองดูคลื่นนั่นแหละ ..ไอ้คนที่ว่ายๆน้ำอยู่ มันไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ น้ำขึ้น หรือลง (เลยมั่ว) แต่การที่คุณถอยออกมามอง แล้วดู Wave คุณจะเข้าใจภาพใหญ่ของตลาด

ใน Elliot wave มันก็แบ่งย่อย ๆคือ รอบเล็ก รอบกลาง รอบใหญ่ ...มันอยู่ที่ว่าคุณจะดูภาพเล็กหรือใหญ่แค่ไหน (ไอ้รอบเล็กก็มั่วหน่อย เพราะตลาดมันแกว่งมาก ..แต่รอบใหญ่ถ้าดู มันก็ชัดหน่อย "ก็แค่นั้นเอง")

(มาดูรายละเอียดของ Elliot wave ...ในภาพ ดูเส้นบน นั่นคือรอบใหญ่ ) รอบใหญ่สุดแบ่งออกเป็น Wave 1 ,Wave 2 ,Wave 3 ,Wave 4, Wave 5 ,Wave a ,Wave b และ Wave c (รวมทั้งหมด 8 Wave)

Wave 1 คือ ตลาดเริ่มขึ้น ..ช่วงนี้ภาพรวมเศรษฐกิจยังแย่อยู่ ใครๆก็มองว่า มันแย่ ดังนั้น เมื่อตลาดขึ้นมาถึงจุดนึง ก็จะมีคนขายทำกำไรค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงเกิดเป็น การปรับฐานย่อลงมากลายเป็น Wave 2

Wave 2 คือ เนื่องจากตลาดมันขึ้นมาทั้งๆที่เศรษฐกิจยังไม่ดี ดังนั้นเวลาตลาดปรับฐานก็จะมีคนขายหุ้นค่อนข้างมาก ทำให้ Wave 2 จะปรับฐานค่อนข้างแรง (ถ้าใครรู้จักเครื่องมือ Fibonaccci การปรับฐานครั้งนี้ มีโอกาสที่จะปรับลงมาชน 61.8% "เรียกได้ว่าทิ้งกำไรใน Wave 1 เกือบหมด!!)

Wave 3 หลังจากปรับฐานไปเรียบร้อย ประกอบกับเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้น ผนวกกับการเทขายหุ้นใน Wave 2 มันทำให้ตลาดดู "ถูกมาก" ..ในที่สุดคนที่ตั้งสติได้ ก็จะกลับมาช้อนซื้อหุ้นถูกๆ ..."และ Wave 3 นี้เอง จะเป็น Wave ที่ขึ้นแรงที่สุด เพราะขึ้นพร้อมกับพื้นฐานบริษัท และเศรษฐกิจที่ดีขึ้น" (สำนัก Technical จะ มองหา Wave 3 ในการเข้าทำกำไรเสมอ).."ตามทฤษฎีของ Elliot Wave จะบอกว่า Wave 3 เป็น Wave ที่ยาวที่สุด และทำกำไรได้มากที่สุด ..(เพราะมันคือ การขึ้นของจริง)

Wave 4 คือ ตลาดขึ้นมาค่อนข้างมาก ทำให้คนหลายๆคน เร่ิมมีความไม่มั่นใจว่าตลาดจะไปได้ต่อ ก็เริ่มมีคนจำนวนหนึ่งขายหุ้นทิ้งออกมา ..แต่ในขณะเดียวกัน ก็จะมีอีกกลุ่มยังเชื่อมั่นว่าตลาดจะไปต่อจึงซื้อเพิ่ม ...ดังนั้นใน Wave 4 จะเป็นการปรับฐานของตลาด ที่ออกมาในรูปของ Side Way ที่พวก Technical เขาเรียกว่า Whip saw นั่นแหละ (ช่วงนี้คนที่ Trade ในตลาดจะโดน เพราะมันผันผวนแบบมั่วๆ)

Wave 5 คือ การขึ้นเฮือกสุดท้ายของตลาด จุดนี้การขึ้นมันเกินพื้นฐานแล้ว ซึ่งเราเรียกว่า การขึ้นแบบ Bubble ..ใน Wave นี้มีความเสี่ยงตรงที่ เวลามันเปลี่ยน Trend เข้าขาลงเมื่อไหร่ จะดูยากมาก เพราะกว่าจะรู้มันก็ร่วงเยอะแล้ว (คือ Wave 5 มันจะตามด้วย Wave a ลงอย่างแรง ..."ตรงจุดนี้ เราจะเห็น Head and Shoulder Pattern ..แต่กว่าจะเห็น ทั้งตลาดก็เลือดสาดไปเยอะแล้ว!!")

Wave a คือ ตลาด Crash คือ ทุกคนหนีตาย ราคาหุ้นจะร่วงอย่างแรง ..พวกรายย่อยมักโดน ตรงนี้เสมอ จากนั้นเมื่อโดนเข้าไป ตลาดก็จะเข้าสู่ Wave b เนื่องจากมีหลายๆคนยังเชื่อว่าตลาดจะไปต่อ ก็รีบช้อนซื้อ "จุดนี้รายย่อยชอบ ..และเข้ามาช้อน จนเกิดอาการช้อนหักนั่นเอง!!"

Wave b คือ หลังจากที่ตลาด Crash "ก็จะมีเซียนช้อนหัก มาช้อนในจังหวะนี้" พอช้อนเสร็จ ตลาดก็จะเด้งขึ้น แต่เด้งไม่ถึง Wave 5 จากนั้น พวกรายใหญ่เขาก็ทิ้งอีกรอบอย่างแรง ....นี่คือช่วงที่รายย่อย "เซียนช้อนหัก เข้ามารับ มีด ...พูดง่ายๆ ทั้งช้อนหักทั้งรับมีด (ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต)" ณ ตลาดจุดนี้ รายย่อยมักปลอบตัวเองว่า "ไม่เป็นไร ๆ เราจะเปลี่ยนแนวการเล่นเป็น Value Investor ..ถือหุ้นไปจนตายว่างั้น!!"

Wave c คือช่วงที่ตลาด Crash อย่างแรง เหมือนอย่างปี 1997 ตอนต้มยำกุ้งนั้นแหละ "Wave c จะมี รายย่อย ที่ช้อนหัก แล้วก็มารับมีด จากนั้น ก็ทลายกฏเหล็ก นั่นก็คือ เปลี่ยนม้ากลางศึก เปลี่ยนวิธีเล่น กะเข้าเก็งกำไรแต่ดันรับมีดจนเละ ทำใจขายไม่ได้ ...ท้ายสุดรายย่อยก็ปิดตำนาน Wave โดยการไปฆ่าตัวตาย!!" ...แต่คนที่ยังไม่ฆ่าตัวตาย ตลาดก็จะลงต่อไปเรื่อยๆ จนรายย่อยทนเป็น VI ไม่ไหว ..ทำให้รายย่อยถ้าไม่ฆ่าตัวตาย ก็ไปปล่อยหมูที่ตลาดต่ำที่สุด

และวันใดที่รายย่อย เทขายของออกหมด วันนั้นแหละที่ตลาดจะเริ่มขึ้น Wave 1 ใหม่

นี่แหละครับ อนิจจัง เลย !! ...การเล่นหุ้นจึงต้องเข้าใจ Cycle แล้วมองให้ออกว่าคุณเล่นอยู่ตรงไหนของ Wave จะได้ไม่เจ็บตัวนะครับ ....การเล่นหุ้นอย่าไปโทษใครเลย เพราะไม่มีใครบังคับให้เราซื้อหรือขาย ณ จุดใดๆ ดังนั้น ทุกอย่างเราทำเองทั้งสิ้น ...ศึกษาเยอะๆครับ ทำความเข้าใจ "ตัวเอง" แล้วคุณจะเป็นนักลงทุนที่เก่งขึ้น!!

4 ความคิดเห็น:

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ