ผมเอาเรื่องนี้มาแชร์สักนิดนึง คือว่า ตอนนี้กิจการร้านอาหารในต่างประเทศของผม (ร้านอาหารไทยในประเทศออสเตรเลีย) เริ่มดีวันดีคืน ..หลังจากผ่านมรสุมและ ซบเซามานานมาก (ตามการค่อยๆพัฒนา "ที่แท้จริง" ของเศรษฐกิจโลก) .. ปัญหามันเกิดจากจุดเริ่มต้น ที่ผมเป็นมนุษย์คนนึงที่ยึดเอา การวิเคราะห์โดยใช้เหตุผลเป็นที่ตั้ง "ซึ่งจุดนี้ ขอบอกว่า มันไม่ได้แปลกประหลาดอะไร เพราะผมใช้วิธีคิดเหมือนที่เขาสอนๆมาในโรงเรียนนั่นแหละ" ...แล้วมันคืออะไร !!
สิ่งที่สอนๆกันมาตั้งแต่ เด็กจนโต คือ ให้มองโดยใช้เหตุผลเป็นที่ตั้ง เช่น เวลาเปิดธุรกิจก็ต้องมองว่า มันมีโอกาสแค่ไหน ตลาดรวมดีไหม จะการตลาดหรือความแตกต่างจากคู่แข่ง (จุดขาย) ของคุณคืออะไร ... สรุปด้วยเหตุผล ก็ไม่แปลกที่ผมจะขยายกิจการ เปิดร้านอาหารสาขาเพิ่ม ในช่วงที่เศรษฐกิจมันกำลังดี --ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริง มันเป็นอะไรที่ห่วยที่สุด!! ...มันผิด Cycle เพราะการขยายเมื่อดี เท่ากับคุณต้องโต เมื่อเศรษฐกิจแย่ (ไหงเป็นงั้น!!)
หลังจากผมเกือบถอดใจในธุรกิจร้านอาหาร เนื่องจากขยายไปถึง 5 สาขา แต่โดนมรสุมจนต้อง ค่อยๆตัดแขน ตัดขาเพื่อความอยู่รอด ..จนมาเหลือหนึ่งร้านในปัจจุบัน .. ประเด็นคือ เมื่อมนุษย์อย่างผมเริ่มท้อ ร้านมันกลับดีขึ้นมา .. พูดยังไงก็เหมือนพระเจ้ากลั่นแกล้ง แต่มันคือความจริง!! (อยากดี ไม่ดี .. เฉยๆ กลับดี)
สภาพเหล่านี้มันได้สั่งสม ให้ผมมองโลกในมุมที่ต่างไป ..ต้องยอมรับว่า จากวิกฤตที่ผ่านมา ทำให้ผมมองโลกในมุมที่ลบมากๆ เพราะผมเจอแต่มรสุมทั้งธุรกิจ และชีวิต ..เมื่อความเลวร้ายมันกระหน่ำเข้ามามากๆ จนที่สุดแล้ว มันก็ไม่เห็นมีอะไรที่คุณจะต้องกลัวอีกต่อไป --"และนี่คือ จุดที่ทำให้ Mindset ของผม ...มันเริ่มมองต่างจากคนอื่นๆ" (การมีชีวิตที่ราบเรียบ ผมว่ามันก็โอเคนะ คุณไม่ต้องมาเจอความทุกข์ บ้าๆบอๆ แต่ปัญหาคือ ภูมิต้านทานของชีวิต เวลาเจอวิกฤต ตรงนี้มันเป็นประเด็นที่น่าศึกษา)
ทุกวันนี้ผมเอาความรู้สึกเป็นที่ตั้ง จากนั้นผมก็จะรู้ว่า เหตุผลของการกระทำของมนุษย์ ที่ทำสิ่งนั้นๆ เพราะอะไร จากนั้นก็พยายามคิดตรงข้าม และทำตรงข้าม (คนอื่นซื้อทอง ผมรีบขายทอง / คนอื่นกลัวความเสี่ยง ผมยิ่งเริ่มเสี่ยง / คนส่วนใหญ่ทำอะไร ผมพยายามหลีกหนี) ... จุดนี้มันใช้ได้ดีกับโลกของการเงินอย่างดีเยี่ยม ยิ่งผมศึกษา ประวัติของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งตลาดหุ้น ประกอบกับการ Back test ในด้าน Technical ของกราฟราคาหุ้นย้อนหลังมากมาย สิ่งที่มันเด่นชัดออกมาคือ "คนบ้าเท่านั้น ที่สำเร็จในโลกของการเงิน" (ผมพูดแบบนี้หลายคน อาจมองว่า ผมตลก (แต่ไม่ใช่!!) "ผมพูดจริงๆ")...มนุษย์เราไม่ได้ถูกสร้างให้มองอะไร ได้เกินตัวเองมากมาย และนั่นก็คือ คนส่วนใหญ่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจครั้งสำคัญๆของชีวิต --- ไม่ใด้ใช้ความจริง!!
การที่เราทำอะไรตามความรู้สึกของเรา เช่น ความกลัว ความโลภ มันเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ก็ทำเช่นกัน ..แต่ในอีกด้านนึง หากคุณลองมองความจริงในโลกของ การเงินและการลงทุน ..ทุกอย่างตั้งอยู่บนหลักของ Demand & Supply อย่างเดียวเลย (ที่หลายๆคนเข้าใจว่า ราคาสินทรัพย์ขึ้นกับมูลค่าที่แท้จริง ..ในความเป็นจริงมันไม่ใช่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีมูลค่า มันเกิดจากการตัดสินใจซื้อของคน 2 ฝ่าย คือ ผู้ซื้อ และ ผู้ขาย ..ถ้ารวมกันหลายๆคน ก็เกิดเป็นตลาดขึ้น ดังนั้น แก่นของมันก็คือ ความรู้สึกของ 2 ด้าน).. ความรวยของคุณ ไม่ได้มาจากคุณมีเงินเท่าไหร่ แต่มันมาจากการเปรียบเทียบกับคนรอบข้างต่างหาก "มันจะไม่มีความหมายเลย หากคุณรวยร้อยล้าน ในขณะที่คนส่วนใหญ่รวยพันล้าน เพราะนั่นหมายถึง คุณก็จนอยู่ดี"
ราคาของสิ่งต่างๆในโลก จึงขึ้นอยู่กับความ พอใจเป็นหลัก ซึ่งบางครั้งความพอใจ มันก็อาจมากเท่ากับมูลค่าที่แท้จริงของกิจการโดยบังเอิญ ... "การที่เรามองว่ามันควรจะเป็น จึงเป็นความหวังที่ค่อนข้างเลื่อนลอย ..ยิ่งถ้าเราผูกความหวังนั้นกับสิ่งที่มีค่าที่สุด นั่นคือ ..เงินเก็บทั้งชีวิตของคุณ เอามาผูกกับความหวังที่เลื่อนลอย ..ผลลัพธ์จึงออกมาตรงข้ามกับที่เราคิดเสมอ" (สถิติชี้ให้เห็นว่า คนกว่า 80% ขาดทุนจากตลาดหุ้น ..ทั้งที่ในภาวะปัจจุบัน เรามองไปทางไหน ก็กำไรกันทั้งนั้น --"อะไรคือสิ่งที่เรา มองไม่เห็น!!")
ในความเป็นจริง หากคุณคิดดีๆ สิ่งที่เราคิดว่าไม่เสี่ยง มันคือสิ่งที่เสี่ยงที่สุดต่างหาก .... ผมเห็นหลายๆคน พยายามแสวงหาความมั่งคั่ง โดยที่ไม่รู้เลยว่า ความมั่งคั่ง หรือสิ่งที่เขาแสวงหามันคืออะไร
คนที่ร่ำรวย ระดับโลกส่วนใหญ่ ไม่ใช่คนที่เดินทางเพื่อแสวงหาความร่ำรวยแต่อย่างใด ..หากมองจริงๆแล้ว คนที่รวยระดับโลก หรือมีชื่อเสียงระดับโลก ก็คือ คนที่เดินตามความฝันของเขาอย่างมุ่งมั่น ยกตัวอย่าง Warren Buffett เขารวยเพราะเขาสามารถ ตัดเงินทั้งก้อนของเขาออกจากตัวเขา!! ... ในมุมมอง Buffett เขาไม่ได้คิดอย่างนักลงทุนทั่วไป ที่จะมุ่งทำกำไรเพียงน้อยนิด ในเวลาสั้นๆ ..สิ่งที่ Buffett มองคือ เขาสามารถเอาเงินก้อนเกือบทั้งหมดในชีวิตของเขา ทุ่มลงไปในกิจการที่เขาอยากเป็นเจ้าของต่างหาก ..เขาไม่เคยสนใจเลยว่าเงินนั้น จะต้องทำกำไรเร็วๆ แล้วจะได้ดึงเงินออกมาใช้ (เพราะเงินที่เขาลงทุน มันเป็นเงินที่เขา ไม่เคยดึงเอาออกมาใช้เลยตลอดชีวิตการลงทุน 40 กว่าปีของเขา ... "ถ้ามองลึกๆ คือ Buffett ได้ตัดเงินก้อนนั้นออกจากชีวิตของเขาไปตั้งนานแล้ว" ....Buffett รวยมาก เพราะเขาได้ตัดเงินก้อนนั้น ออกจากชีวิตของเขาไปนานมากแล้ว!!
อย่างนักกีฬาที่รวยระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Greg norman , Micheal Jordan หรือ Tiger Woods พวกเขาล้วนแต่วิ่งตามความฝันของตัวเอง .. พวกเขาเพิ่งจะมาดูแลเรื่องเงินก็หลังจากที่เขารวยมหาศาลกันแล้ว ..ดังนั้น การสร้างความมั่งคั่ง จึงไม่ใช่การ Focus ไปที่ความมั่งคั่ง แต่มันเป็นการ Focus ไปที่ความฝันและสิ่งที่คุณรักที่จะทำให้มันเยี่ยมยอดนั่นเอง!!
อย่าง Oprah หญิงเหล็กนักจัด Talk show ที่รวยที่สุดในโลก ..ผมก็เชื่อว่า เขาเริ่มต้นจากการอยากที่จะทำในสิ่งที่เขารัก ซึ่งก็คือ รายการ Talk show ของเธอให้ดีที่สุด ( แน่นอน Oprah คงไม่ได้นั่งจัดรายการ Talk show ในช่วงแรกของชีวิตแล้วหวังว่าจะรวยเป็นเศรษฐีของโลก เพราะถ้าย้อนไปวันที่ Oprah จัดรายการ Talk Show ครั้งแรก มันเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครดู ทางทีวีถึงหาอะไรมาเพื่อคั้นรายการ และเธอก็จัดรายการในช่วงเวลาที่ไม่มีใครดูเป็นเวลานาน อย่างอดทน จนในที่สุด"ก็มีคนดู เพราะรายการของเธอมัน แจ๋วจริงๆ" ..และในที่สุดก็มีคนดูรายการของเธอทั่วโลก).... จุดสำคัญที่สองคือ "ความอดทน...ซึ่งน้อยคนจะมี" (คนส่วนใหญ่ถอดใจไปก่อนที่กิจการของตัวเองจะรุ่ง อันนี้รวมถึงผมเองด้วย ..ซึ่งผิด!!)
"การที่เราจะเป็นอะไร มันไม่ใช่ตัวเราเป็นผู้กำหนด ..ถ้าคิดดีๆ ทุกสิ่งมันเกิดจากการที่สังคมเป็นคนกำหนดต่างหาก" คุณไม่สามารถดังได้หรือรวยสุดๆ โดยที่คุณกระโดดมาที่ถนน แล้วตะโกนว่า วันนี้ทั้งประเทศต้องซื้อสินค้าของฉัน และฉันจะต้องรวย..(บ้า!!) หากทำเช่นนั้น ก็อาจไปจบที่ห้องขัง เพื่อสงบสติ!!"
ผมอ่านนักปรัชญาของจีนมากมาย สิ่งที่ทุกท่าน ต่างให้คำจำกัดความของความยิ่งใหญ่ หรือชัยชนะที่เหมือนกัน ..นั่นก็คือ "การทำในสิ่งที่ตัวเองรัก และทำมันให้ดีที่สุด ...คุณจะชนะ เมื่อคุณไม่คิดที่จะเอาชนะ!!"
คงไม่แปลกหรอกครับ ที่ทำไมโลกนี้ เต็มไปด้วยคนจน ทั้งที่ทุกคนในโลกอยากรวย แถมสิ่งที่แปลกกว่านั้นคือ คนแต่ละคน ไม่ได้มีความสามารถที่แตกต่างกันอย่างสุดโต่ง เหมือนอย่างรายได้และความรวยที่ต่างกันสุดขั้ว!! ... การทำอะไรก็ตาม ต้องอาศัยเวลาและความอดทน สิ่งที่กั้นความสำเร็จของคนส่วนใหญ่ก็คือ การที่เราแคร์คำวิจารณ์ของคนรอบข้างมากเกินไป (อย่าเข้าใจผิดว่า ความสำเร็จคือการทำความชั่ว "ไม่ใช่เลย")... ความสำเร็จมันเกิดจากความมุ่งมั่น ที่ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ให้เกิดผลงาน และประโยชน์แก่ผู้อื่น..ยิ่งสิ่งนั้นมันก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมมากเท่าไหร่ มันยิ่งนำความมั่งคั่งมาสู่คนๆนั่นอย่างที่เขาไม่เคยคาดคิด
... Google ทำให้คุณเข้าถึงข้อมูลอย่างที่คุณไม่เคยคิดมาก่อน ... Facebook ทำให้เพื่อนที่ไม่เจอกันมานาน กลับมาเจอกันอีก ...
คนที่ทำให้ทั่วโลกตื่นจากความง่วง "Red Bull" (คุณแทบไม่เคยเห็น คุณ เฉลียว เปิดเผยตัวต่อ สาธารณชนเลย) ...ผู้สร้างอาณาจักรค้าปลีกที่เปลี่ยนอเมริกาและทั่วโลก คือ Sam walton (ผู้ที่ขับรถปิกอัพเก่าๆ และแทบไม่เคยสนใจทรัพย์สินที่เขามีเลย) ...Warren Buffet ผู้ทำเงินเป็นล้านๆ เหรียญ ต่อวินาที แต่แทบจะไม่เคยใช้อะไรที่ฟุ่มเฟือยเลย --- "มันประหลาดมาก ที่คนที่รวยสุดโต่ง มักเป็นคนที่ แทบไม่ได้สนใจในความมั่งคั้งของเขาแม้แต่น้อย ..."
รถหรู Ferrari , กระเป๋า LV หรือ คฤหาศน์ พันล้าน มันเป็นสิ่งที่ดึงไม่ให้คุณก้าวสู่เป้าหมายรึเปล่า!! -- Born Free , so Be Free !!
บทความนี้สร้างพลัง กำลังใจ ในการดำเนินชีวิตเป็นอย่างมาก
ตอบลบโดนมากครับ บทความนี้...
ตอบลบขอชมเชยในความมุมานะ ที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เพื่อนสมาชิกได้รับมุมมองดีๆโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และวันหนึ่งผมเชื่อว่าความอดทน ความตั่งใจนี้ ของ คุณแพทจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคนรุ่นหลังและวันนั้นมูลค่าของมัน มากมายมหาศาล
ตอบลบEagerness in dream + Endless patience >> Truely Wealth อ่านแล้วได้แง่มุมเป็นประโยชน์มากค่ะ
ตอบลบ