
เอ้า!! มาดูกัน...ความยาวของเส้น บ่งบอกถึง การเคลื่อนไหวของราคาระหว่างวัน
จุดปลายสุดของไส้ คือราคาต่ำสุดของวัน
จุดยอดสุดของไส้ คือราคาที่วิ่งขึ้นไปสูงสุดของวัน
..ในส่วนเนื้อเทียนที่อ้วนๆ นั่นคือ ราคาเปิดและปิด
..."ถ้าแท่ง(โปร่ง)แสดงว่า ราคาเปิดต่ำกว่าราคาปิด (แท่งโปร่งก็แปลว่าวันนั้น หุ้นขึ้นนั่นแหละ)"
..." ส่วนแท่ง(ทึบ) หมายความว่า เปิดสูงแล้วปิดต่ำกว่า (แท่งทึบก็แปลว่าวันนั้นหุ้นลง)"
...จบแล้ว ง่ายสุดปี๊ด!!
ผมว่าการเรียน Technical หลายคนพยายามเรียนให้มันยาก ทั้งที่จริงทำให้ง่ายก็ได้
... เป้าหมายของการดูคือ เราต้องการจะรู้ว่า ต่อไปมันจะขึ้นหรือมันจะลง ..ก็แค่นั้น
ดังนั้นแท่งที่ส่งสัญญาณว่าจะขึ้น มันก็คือ Bullish Candle
..ส่วนแท่งที่สื่อว่าจะลง ก็คือ Bearish Candle
ดังนั้น สีดำก็มีแนวโน้ม Bearish ส่วนแท่งโปร่งๆก็คือ Bullish
..."ยิ่งดำยิ่งแย่ ยิ่งขาวยิ่งแจ๋ว น้ำลายหก...หุ หุ หุ"
...ส่วนความยาว "ของแท่ง" ... ยิ่งยาวก็ยิ่งเสียว ---บ่งบอกสัญญาณชัดเจน
คือถ้าแท่งดำยาว ก็นึกถึงนิโกร ..อึ๋ย!! น่ากลัว
---แต่ถ้าแท่งขาวๆ ยาวๆ ก็ส่งสัญญาณขาขึ้น ที่ดี

"เนื้อเทียน กับ ไส้เทียน (ดูภาพประกอบ เนื้อเทียนก็คือ ไอ้ตรงอ้วนๆตรงกลาง ส่วนไส้ก็คือ เส้นๆนั่นแหละ) ..ไม่ต้องไปจำชื่อให้มันปวดหัว แต่ถ้าจำได้ คุณก็ดูเท่ห์ มันก็แค่นั้นเอง ....ความหมายของเนื้อกับไส้ ก็คือ คุณต้องแปลความหมายของมันออกมาเป็นราคาเปิดปิด และขึ้นลงระหว่างวัน คุณก็จะเข้าใจภาพรวมของ "ทั้งวันด้วยแท่งเทียนเพียงแท่งเดียว"
ดังนั้นเนื้อเทียนอยู่ตรงด้านไหนมาก ที่ส่งสัญญาณแบบนั้น ...เช่น ถ้าแท่งเทียนยาวๆ มันก็บ่งชี้ว่า วันนั้นในตลาดมีคนที่มีความเห็นไม่ตรงกันอย่างมาก ราคาเปิดกับราคาปิดจึงห่างกันเยอะ
..จากนั้นพอเรามาดูเนื้อเทียนว่า สรุปวันนี้ มันเปิดแล้วปิดสูงขึ้นหรือต่ำลงเท่าไหร่
..ดังนั้น ยิ่งเนื้อเทียนเข้าไปใกล้ราคาต่ำมันก็สัญญาณลง คือ Bearish
..ส่วนถ้าเนื้อเทียนมันไปใกล้ราคาสูง มันก็ Bullish นั่นเองครับ

เสริมนิดนึงนะครับว่า "ราคาที่สำคัญที่สุดของวัน คืออะไร" --ก็คือ "ราคาปิดนั่นเอง" เพราะคนที่ยอมถือหุ้น ตอนปิดมันหมายความว่า เขามีความมั่นใจมากกว่าคนที่ซื้อหุ้นระหว่างวัน เพราะเขาต้องถือข้ามวัน ดังนั้นเขามีความเสี่ยงที่มากกว่า ..."ราคาปิดจึงมีความหมายที่สุด ในการอ่านแท่งเทียน"
ลองฝึกอ่านดูครับ ..ผมว่าเป็นประโยชน์ ศึกษาไปเรื่อยๆ ครับ
ขอบคุณครับพี่แพท *-*
ตอบลบ