วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553
“ภาววิทย์” คุยกับ “ป๋ากิ้ง” ตอนที่ 2 รู้ทันเศรษฐกิจ New Economy ก็รวย!!
ป๋ากิ้ง : “แล้วป๋าแพ้ท มองยังไง กับการเอา Internet มาเสริมธุรกิจแบบดั้งเดิมล่ะ”
ภาววิทย์ : ผมมองเรื่องของ การ Attention Fragment นั่นคือ “คนสมัยใหม่จะเป็น โรค การสนใจในเรื่องต่างๆต่ำ เพราะ ทุกอย่างมันพยายามดึงความสนใจจากเรา ..ผมว่าถ้า สมองของคนเราพูดได้ มันคงอยากบอกเราว่า Leave me Alone !!” ทุกวันนี้ไม่ว่าเราจะทำอะไร จะเดินไปไหน ก็มีแต่สื่อ สื่อ ตั้งแต่ป้ายประกาศ ขึ้นลิฟท์ก็มีโฆษณา จะกินข้าว บนโต๊ะอาหารก็มีโฆษณา จะเดินไปไหน ก็จะมีคนเอาใบปลิวมายัดใส่มือ (ถึงแม้คุณจะถือของ มันก็จะเอามายัดใส่มือคุณอยู่ดี) นั่งรถไฟฟ้าก็มีแต่โฆษณา ไป Supermarket บนชั้นวางยังมีโฆษณาเลย “มันจะบ้าไปแล้ว!! นี่แหละ มันบ้าจริงๆ”
แน่นอน!! โฆษณาทั้งหมด บ้าๆบอๆ มันเป็นเงินที่บริษัทต่างๆ เททิ้งลงไปในส้วม (เห็นภาพเลย) … “99% ของคนที่ได้รับโฆษณาแบบเหวี่ยงๆ ห่วยๆ แบบนี้ ไม่อยากจะสนใจเสียด้วยซ้ำ ..ดังนั้น เงินทั้งหมด คุณทุ่มไปเพื่อทิ้ง..ว่างั้น!!” และนี่เองที่ Internet และ Social Network จะเข้ามาช่วยบริษัทต่างๆ ให้มีการติดต่อกับลูกค้าได้ดีขึ้น
ป๋ากิ้ง : “มันทำได้จริง ด้วยหรือ ไอ้ติดต่อโดยตรง”
ภาววิทย์ : “ทำได้แต่มันมีข้อแม้!!” …คุณดู Obama ตอนหาเสียง ใช้ Social Media อย่าง Facebook เป็นสื่อหลักในการ Run Campaign และ Raise Fund “คุณคิดดูซิ ต้นทุนต่ำกว่าสื่ออื่นๆขนาดไหน..ผมบอกได้เลย นี่แหละอนาคตของการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพที่สุด”
“แต่มันไม่ง่าย!!” …ทำไมไม่ง่ายล่ะ …คุณลองคิดดูนะ การที่คนเราจะยอมเสียเวลาอันมีค่าที่มีอยู่น้อยนิด เข้าไปสนใจอะไร หรือ ไปติดตามอะไร สิ่งนั้นๆ มันต้องมีประโยชน์ และเป็นเรื่องที่เขาสนใจ จริงไหม!! -- และนี่เองที่มาของการนำ Facebook Fan Pages เข้ามาใช้ติดต่อกับลูกค้าที่สนใจสินค้าเราโดยตรง
ยกตัวอย่าง Starbucks ตอนนี้รู้สึกจะเป็น Facebook อันดับต้นๆของเมืองไทยเลยมั้ง คิดดู Starbucks สามารถประหยัดโฆษณาของเขาขนาดไหน สมมุติปีหนึ่งเขาประหยัดค่าโฆษณาไป 100 ล้าน ถ้าเขาฉลาดหน่อย เขาก็เอาเงินนั้น มาเป็น Promotion แจกอะไรก็ได้ให้ลูกค้า จุดนี้จะทำให้ลูกค้าที่มี Royalty ต่อบริษัท ยิ่งรักบริษัทเพิ่มขึ้นอีก ผมเห็นอย่าง Pizza hut หรือ KFC ที่นั่งพิมพ์ใบปลิว แล้วเดินแจก ผมมองว่าไร้สาระ เพราะ คนส่วนใหญ่ ขยำทิ้งทั้งนั้น และนั่นคือทรัพยากรกระดาษที่เราทำลายสิ่งแวดล้อมในทางอ้อม “ห่วยแตก!!”
….ดังนั้น อนาคตของการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า ผมมองว่า Social Network น่าสนใจมาก อย่างตอนนี้ ธนาคารอย่าง KBANK , SCB หรือ อย่าง Citibank ให้ความสนใจทำการตลาดตรงนี้อย่างจริงจัง (เห็นไหมล่ะครับ ..ภาพที่เห็นก็คือ เอาเงินเป็นหมื่นล้านๆ ที่ปกติ บริษัทต่างเทเงินทิ้งลงชักโครก เปลี่ยนมาเป็น ของขวัญ และ ก็คืนกำไรให้กับลูกค้าที่ Royalty กับบริษัท ผ่านทาง Facebook Fan Pages “นี่แหละ win-win ของแท้”
ป๋ากิ้ง : โอ้โห!! น่าสนใจมากเลย สิ่งที่ ภาววิทย์พูดนี่ ถ้าทำได้จริง มัน win-win เลยนะเนี่ย Facebook มันก็รวยเพราะคนใช้เยอะ บริษัทก็ประหยัดต้นทุนการโฆษณา ที่ปกติใช้ไม่ค่อยเป็นประโยชน์ แถมลูกค้าก็ได้ Benefit จากที่ปกติไม่เคยได้ ..ไปๆมาๆ มันสร้างวัฏจักรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทางอ้อมต่อธรรมชาติ โดยเฉพาะ ใบปลิว … ดังนั้น กระดาษแทนที่จะเอาไปพิมพ์ในปลิว ซื้อ 1 แถม 1 เอาไปพิมพ์ “หนังสือ แกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหมื่นล้าน เพิ่มขึ้นจะดีไหมเนี่ย”
ภาววิทย์ : ใช่ๆ ๆ พี่ มันดีเลยแหละ เพราะหนังสือ ผมมันกระตุ้นต่อมความคิดในเรื่องการลงทุน และการใช้ชีวิต ให้มันเกิดประโยชน์สูงสุด ( อิ อิ โฆษณาแฝง แหะ ๆ ๆ)
ป๋ากิ้ง : “ไหนๆก็โฆษณา แล้ว มาคุยกันลึกๆเลยดีกว่า ว่าไอ้หนังสือ แกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหมื่นล้าน นี่ป๋าแพ้ท มุ่งหวังอะไร”
ภาววิทย์ : “ก่อนอื่น ไม่ใช่ เงินแน่นอน เพราะ ที่เล่าๆมาจะเห็นเลยว่า นักเขียน แทบไม่ได้อะไร แถมมีความเสี่ยงเรื่องต้นทุน รวมทั้งระยะเวลาในการชำระเงินที่ดึงยึดออกไปอีก ..คือประมาณว่า ใครคิดจะมารวยจากการ เขียนหนังสือ ขายในประเทศไทย ที่ราคาเฉลี่ยของหนังสือ ถูกเกือบที่สุดของโลก แถมไม่ค่อยมีคนอ่าน ..ผมว่าคุณปิดประตูความคิดหาเงินออกไปเลย” …ประเด็นที่ผม หวังก็คือ การกระตุ้นให้ การคิด “คิดต่าง” มันเกิดขึ้นกับเยาวชนไทย …ผมว่า ส่วนนี้ประเทศเราล้าหลังประเทศพัฒนามากๆ บ้านเราถูกสอนให้ท่องจำ เรียนสูงๆ จากนั้นพอจบมาก็เซ็ง ไม่อ่านหนังสืออีก ..ซึ่งต่างกับสังคมที่พัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น อเมริกา หรือ ญี่ปุ่น หรือ สิงคโปร์ พวกนี้เขาเรียนจนตาย “คือ มันสนุกที่ได้เรียนรู้ นั่นเอง”
ผมว่าปัญหาหลักของสังคมไทย คือ “เมื่อคนอ่านหนังสือน้อย คนเขียนก็ย่อมน้อย” ในที่สุด หนังสือดีๆ มันก็แทบจะไม่มี สรุปอุตสาหกรรมของการเรียนรู้ในเมืองไทย มันแทบไม่มี หรือ จะว่าไปอุตสาหกรรมหนังสือเราจะไปแนว สำรวจบ้านผี แอบดูชีวิตดารา หรือ น้ำเน่า ตบกับไปกันมามากกว่า ซึ่งตรงนี้มันเป็นความบ้าของผมส่วนตัว ที่อยากจะสร้างให้หนังสือแนวธุรกิจและการลงทุน ที่แทบไม่มีใครอ่าน ..ทำให้มันสนุก แล้วก็ทำให้เยาวชนของเราอ่านหนังสือมากขึ้น
“และวันนี้ มันก็เป็นก้าวแรก ที่ผมค่อนข้างภูมิใจ คือ ล่าสุด หนังสือ แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน ก็แทรกเบียดหนังสือนิยายต่างๆ โผล่ขึ้นมาเป็น Bestseller ของร้าน SE-ED ได้”
…มันชี้ให้เห็นเลยว่า จริงๆ ไม่ใช่คนไทยไม่อยากอ่านหนังสือ ที่เกี่ยวกับการพัฒนาความคิด เพียงแต่หนังสือ แนวนี้มันยังมีน้อยต่างหาก … “ดังนั้น วันนี้ S2M เราต้องสูดลมเต็มปอด …ว่าเรามาถูกทางแล้ว”
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา
-
7 จุด ในงบการเงินที่ใช้ในการจับผิด จับโป๊ะหุ้นเด็ด !! 1. ’Net Profit Margin’ …ขาย 100 บาท ได้กำไรกี่บาท ? …ยิ่งเยอะ ก็ยิ่งแสดงว่า การแข่งขั...
-
7 ข้อ ‘มิตร’(ฉาชีพ) กับ การลงทุน 1. ‘คนที่โกงเราได้คือคนที่เราไว้ใจ’ …ถ้าเราไม่ไว้ใจเราคงไม่เอาเงินให้เขาตั้งแต่แรก 2. ‘ข้อเสนอของเขามัน T...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
6 หลักการ คัดหุ้นปันผลดีเติบโตแล้วเลี้ยงเราได้ไปยาวๆ หลักการนี้สำหรับ คนชอบซื้อแล้วถือ กินปันผลยาวๆ 1. ‘หุ้นมี Market cap ขนาดใหญ่‘ …หุ้น...
-
‘หุ้นหนัก หุ้นเบา พอร์ตเราเต็มไปด้วยอะไร’ ...หลายคนน่าจะคุ้นเคยดีกับ ‘หุ้นหนัก’ ก็คือ หุ้นในพอร์ตรายย่อยส่วนใหญ่นี่แหละครับ ลักษณะของมันคือ...
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
6 ข้อ มาคุยกันเรื่อง Why Nations Fail ? สิงค์โปร์ไม่ทีทรัพยการเลย ทำไมรวย …เวเนซุเอลา มีน้ำมันมากที่สุดในโลก ทำไมจน ..แล้วสวิส ประเทศเล็กๆ...
-
'ทฤษฎี กับ การปฏิบัติ ต่างกันอย่างไร ?' ประเด็นนี้ ผมเจอน้องๆ นักศึกษามาถาม ..เค้าคงอยากรู้ว่า สิ่งที่เขาเรียนในทฤษฎี เวลาเขาไป...
-
6 ข้อ เศรษฐกิจและการลงทุนยุค Trump 2.0 1. ‘นโยบาย American First’ …Trump จะทำทุกอย่างให้อเมริกาได้ประโยชน์ เน้นในเรื่องของเศรษฐกิจ 2. ‘Dere...
ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"
- ภาพใหญ่หุ้นไทย ปี 1987 - 2009
- ย้อนรอย SET ปี 1987 - 1990(จาก Black Monday ไปแตะ 1,000 จุด)
- ย้อนรอย SET ปี 1991 - 1993 ( 3 ปีสู่ยอดดอย )
- ย้อนรอย SET ปี 1994 - 1996 ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" )
- ย้อนรอย SET ปี 1997 - 1999 ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น )
- ย้อนรอย SET ปี 2000 - 2008 ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" )
- ย้อนรอย SET ปี 2009 (Do you Remenber?)
"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
10 เรื่องที่ต้อง "รู้งี้" ก่อนจบปริญญา ... 1. "ใบปริญญามีวันหมดอายุ" ..หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจ...
-
ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
'คำทำนาย ที่ว่าโลกหลังปี 2017 จะเกิด ..ธุรกิจเล็กจะใหญ่ ธุรกิจใหญ่จะเล็ก!!' ยุคนี้รายใหญ่ก็ตายได้ ..รายเล็กก็เกิดได้ ..นี่อ่านข...
-
วันนี้มาดอนเมือง ผมได้ชิมกาแฟมวลชน จุดเริ่มของ All Cafe ของ 7-11..วันนี้เกมค่าปลีกแข่งดุ เนื่องจากค่าเช่าแพงขึ้นตามราคา Asset ที่พุ่งกร...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
Luxury คือ เงินเฟ้อ!! เศรษฐกิจไม่ดี ทำไม ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ..คนธรรมดาทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันล่ะ ? ก็เพราะ เราไม่รู้ว่า 'ความห...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...
I like him . ssa.a.a.a
ตอบลบอย่างน้อยก็ผมหนึ่งคนละที่ติดตามบล็อกนี้ทุกวัน เป็นกำลังให้ต่อไปครับ
ตอบลบ