แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

“ภาววิทย์” คุยกับ “ป๋ากิ้ง” ตอนที่ 1 รู้ทันเศรษฐกิจ New Economy ก็รวย!!

ป๋ากิ้ง : ไงล่ะ “ป๋าแพ้ท” ยิ้มเลย หนังสือแกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหมื่นล้าน ภาค 2 ติด Best Seller ของ SE-ED ขายแบบ เบียดหนังสือนิยายวัยรุ่นขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งหนังสือขายดีของประเทศ ตั้งแต่อาทิตย์ แรกที่วางขาย … “รู้สึกยังไงบ้าง”

ภาววิทย์ : เอ๋อ!! รู้สึกเยี่ยม แต่รู้สึกอยากซื้อหุ้น SE-ED ทันที ..การขายหนังสือผ่านช่องทางหลักอย่าง SE-ED นี่มันทำให้ผมรู้เลยว่า นักเขียนเมืองไทยไส้แห้งขนาดไหน “ดีนะที่ผมมีงานประจำ เฮอะ ๆ ๆ (หัวเราะแห้งๆ..ด้วยหน้าซีดๆ)” …ผมไม่แปลกใจเลยว่า ทำไม ดร.นิเวศน์ แกไม่ลังเลในการเข้าซื้อหุ้นของกิจการ ร้านหนังสืออย่าง SE-ED และ ร้านอื่นๆ ในเวลาที่หุ้นราคาตกลงมา “เดี๋ยวคราวหน้าหุ้น SE-ED หรือ สำนักพิมพ์อื่นๆที่มีหน้าร้าน ผมจะเข้าช้อนทันทีที่ทุกคนขาย หุ หุ” --- ทำไมน่ะหรือ ..ก็เพราะมันโคตรจะสบายเลย ใช่ไหม “ป๋ากิ้ง”

ป๋ากิ้ง : (หน้าซีด) เอ๋อใช่ๆ!! (เงินลงทุน ป๋ากิ้งทั้งนั้น) .. วงการหนังสือบ้านเราเหนื่อย เพราะอย่างแรก คนอ่านหนังสือน้อย แถมราคาขายก็ถูกมาก ..อย่างจะพิมพ์หนังสือซักเล่ม และวางขายที่ร้านดังๆอย่าง SE-ED เขาหักไปเลย 40% “บวก บวก” จากราคาปก ..นี่ยังไม่รวมค่าพิมพ์และค่าใช้จ่ายอื่นๆของสำนักพิมพ์นะ ..อย่าง S2M จริงๆ เราเป็น ศูนย์รวมนักลงทุน Online ..แต่เราก็อยากขยายช่องทางการเผยแพร่ความรู้ ก็เลยตัดสินใจ ลงทุนทำ pocket book แหละ!!

ภาววิทย์ : “ความไส้แห้ง จึงบังเกิดขึ้น!!”

ป๋ากิ้ง : (หน้าซีดเพิ่ม) …เอ๋อใช่!! “แต่!!” ก็สู้ว่ะ … เราพิมพ์หนังสือ แกะรอยหยักภาค 1 ขายเฉพาะใน web ของ stock2morrow.com ของเราเอง ก็ยอดขายแค่หลักพันเท่านั้น ..จุดนี้มันทำให้เราเรียนรู้ว่า จริงๆตลาด e-commerce หรือ การซื้อขายผ่าน internet และ การชำระเงินแบบ Online มันเป็นสิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่ ไม่ค่อยจะชอบทำ ..และนี่ก็เป็นข้อจำกัดมาตลอดของวงการธุรกิจ Online ของเมืองไทย … “ผมเกริ่นให้ฟังนิดนึงว่า อย่าง stock2morrow.com เป็น Website เพียงไม่กี่แห่งที่ explore ในการเก็บค่าสมาชิก (ช่วงแรกๆ ก็เพื่อ support ค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างเยอะ เพราะเรามีการหาข่าว และข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้แก่เพื่อนสมาชิก จุดนี้แน่นอน มันต้องมีค่าใช้จ่ายทีมงาน ในการหาข้อมูล รวมทั้ง Admin ต่างๆ)”

ภาววิทย์ : แต่เว็บคู่แข่ง ในด้านการลงทุนอื่นๆ เขาไม่เก็บค่าสมาชิกนะ แล้วจุดนี้ป๋ากึ้งช่วย แถลงไขหน่อย!!

ป๋ากิ้ง : จุดนี้เป็นทั้งข้อดี และข้อด้อย คือ แน่นอน การเก็บค่าสมาชิก ประมาณ 1,000 บาทต่อปี มันไม่ใช่เงินที่มากมาย หากเทียบกับข้อมูลข่าวสารที่ได้ แต่ประเด็นมันอยู่ที่ Community “ผมเห็นหลายๆ Website พยายามสร้างให้เกิด Community แต่มันไม่เกิด เพราะโลก Online มันมีข้อจำกัดคือ คนที่เข้ามาร้อยทั้งร้อย ต้องการของฟรี นี่เป็นประเด็นหลักเลยที่ การทำธุรกิจ Online มันเกิดแทบไม่ได้ เพราะการทำ content หรือ เนื้อหา มันต้องมีโครงสร้างของค่าใช้จ่าย แต่พอมาในเรื่องของการนำเสมอ เรากลับหารายได้ เพียงค่าโฆษณาเท่านั้น ซึ่งตลาดตรงนี้ในเมืองไทยแทบจะไม่มีใครโฆษณา Online ด้วยซ้ำ …แต่ประเด็นที่อยากจะชี้ให้ดู คือ การที่ S2M เก็บค่าสมาชิก แน่นอนมันทำให้เราเติบโตช้า แต่ข้อดีคือ มันทำให้ Community เกิดได้จริงๆ เพราะเงินเพียง 1,000 บาท คุณเชื่อไหม มันแบ่งแยกระหว่าง “ความจริงจัง” กับ “เล่นๆ” ได้อย่างดี และตรงนี้สำคัญมาก

ใน Web Online ส่วนใหญ่ ความสำคัญมันอยู่ที่ข้อมูล เพราะการลงทุนความสามารถมันไม่ได้เฉือนกันมาก ดังนั้น Competitive edge ที่แท้จริง มันอยู่ที่ “ข้อมูล” …อย่างผมเคยใช้บริการของฟรี มักจะเจอ Noise ค่อนข้างมาก (อะไรคือ Noise ..มันก็คือ เสียงรบกวน อย่างแรก เมื่อ Business Model มันไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง ระบบการหาประโยชน์ การลวงล่อ มันก็เกิดขึ้นมากจาก Web ฟรี เช่น หลอกไปฟันในกลุ่มย่อย , หลอกปั่นหุ้นแล้วทุบ อะไรประมาณนั้น …นอกจากนี้ การที่มัน “เล่นๆ” มันก็มีการเข้ามา Post บ้าๆบอๆ ลองของ ท้าทาย เอามันส์ เช่น เข้ามาแสดงความป่วน ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ลงทุนจริง อะไรมากมาย ..คือจะบอกว่าเมื่อมัน Open มากเกินไปและมันฟรี คุณ Control Content ไม่ได้เลย ----- และนี่เป็นเหตุผลที่ ทำไม การเก็บค่าสมาชิก มันอาจทำให้ชุมชนโตช้า แต่มันก็มีข้อดีมากมายจริงไหม!!

ภาววิทย์ : “โอ้โห ตอบยาวมากพี่ ผมเกือบหลับแน่ะ…หุ หุ ล้อเล่น!! มันทำให้ภาพจริงๆครับ ว่าอุตสาหกรรมของโลก Online จะพัฒนาไปอย่างไร”

ป๋ากิ้ง : “เห็นอะไรเหรอ ป๋าแพ้ท ไหนอธิบายซิ (จะลองภูมิความรู้หน่วย ว่าชัวร์ หรือ มั่วนิ่ม)”

ภาววิทย์ : โอเค!! เอาจากประสบการณ์ตรงอันน้อยนิดของผมเลยนะ …ผมมองการ Convergence ในโลก Online อย่างมีนัยยะ และการเติบโตของตลาด Internet ในประเทศไทย กำลังจะเริ่มเป็นตลาดที่ทำเงินอย่างจริงจัง หรือ Serious money (อย่างตลาด อเมริกา , ญี่ปุ่น , จีน เอาง่ายๆว่า ประเทศพัฒนาแล้ว อุตสาหกรรม Internet มันเป็น Serious money ทั้งนั้น แต่บ้านเรากำลังพัฒนาไปในจุดนั้น “และนี่คือความน่าสนใจ”)

ตอนนี้ถ้าใครสังเกตุ อุตสาหกรรม Internet จะเห็นได้ว่ามันเปลี่ยนแปลงเร็วมาก และ Star คนล่าสุด ก็หนุ่มมาร์ค ผู้ก่อตั้ง Facebook ที่สมาชิกก็เลย 500 ล้านคนทั่วโลก ขนาดที่ว่า Time Magazine ยกย่องให้หนุ่มอายุ 26 ปี คนนี้เป็น Person of the year ของปีนี้ … “ความน่าสนใจคือ อายุของหนุ่มมาร์คนี่เพิ่ง 26 ปีเอง” …ช่วงต้นปี Forbes จัดอันดับ เศรษฐีญี่ปุ่น ก็มีเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่า 30 ปี ติดอันดับถึงสองคน -- และนี่แหละความน่าสนใจของอุตสาหกรรม Internet ….มันคือ อุตสาหกรรมของ The Winner take all คือ ใครได้ที่หนึ่งคนนั้น กินรวบทั้งตลาด โดยไม่สนว่าคุณจะอายุน้อยเพียงใด “เท่ห์ว่ะ!!”

จุดนี้ เร่ิมจากตั้งแต่ Google แล้ว บริษัท Google กินส่วนแบ่งตลาดของโฆษณา Online ไว้เกือบทั้งหมด ในขณะที่ ที่สองอย่าง Yahoo ทำรายได้กระจิ๊ดริด จนปีนี้เร่ิมเข้าสู่ โหมด “ใกล้เจ๊ง เอาแต่ลดคนงาน” …ตอนนี้ Facebook กำตลาดของ Social Network ไว้เกือบทั้งหมด ขนาดที่ว่า บริษัทย่อยๆที่ทำ Game บน Social Network (ไอ้เกมปลูกผัก Farmville ที่เราชอบปลูกกันนั่นแหละ เจ้าของ Game ทั้งหมดนี้ ของ Zynga เป็นบริษัท เกมน้องใหม่ซิงๆ ที่ตอนนี้นักวิเคราะห์ ประเมินมูลค่าของ Zynga ว่ามีมูลค่า $5 billion “ใหญ่พอๆกับ EA (Electronic Arts) เจ้าของเกมมากมายทางด้านกีฬาที่เล่นกันทั่วโลกนั่นแหละ” ..คุณสังเกตุไหมว่า Zynga อยู่ดีๆ ก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ ขึ้นมามีมูลค่า เทียบเท่ากับ ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอย่าง EA) …และสังเกตุไหมว่า Zynga ที่มีมูลค่า $5 billion เป็นเพียงส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรม Social Network ที่วาง Platform อยู่บน Facebook และอยู่ภายใต้ อุตสาหกรรม Internet

ก่อนหน้านี้ถ้าใครจำได้ เรามีทั้ง Hi5 จากนั้นก็มา Myspace แต่ในที่สุด Facebook ก็มาเป็นจ้าวตลาดของ Social Network …แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ ในที่สุดแล้ว Facebook ก็เป็นเพียงหนึ่งในผู้เล่นของอุตสาหกรรม Internet ซึ่งท้ายสุดก็จะมาแข่งกับ Google และก็มาแข่งกับ Microsoft

“The Winner take all” ฟังดูโหดร้าย แต่มันคือ ความจริงที่เราต้องยอมรับ …กลับมาที่เมืองไทย สาเหตุหลักๆที่อุตสาหกรรมนี้ยังไม่เกิด ก็เพราะมันยังไม่มีโครงสร้างของรายได้ที่ชัดเจน อย่าง Stock2morrow เข้ามา explore ในการเก็บค่าสมาชิก Online รวมทั้งการขายหนังสือ Online ก็เจออุปสรรคเดียวกัน ..ถ้าจะพูดโดยรวม อุตสาหกรรม Internet ของไทย พึ่งพิง อุตสาหกรรมโฆษณา แถมเป็นส่วนเล็กๆของงบโฆษณาที่บริษัทต่างๆ ไม่ให้ความสำคัญด้วยซ้ำ

“ถูกต้อง !!” การที่อุตสาหกรรมนี้จะก้าวขึ้นมามีความสำคัญก็ต่อเมื่อ ระบบการจ่ายเงิน บน Online มันเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายในเมืองไทยเสียก่อน มันถึงจะเป็นไปได้ ..ผมคุยกับ ดร.กอบศักดิ์ นักเศรษฐศาสตร์ ชื่อดัง ที่ทำทั้ง Blog และ Social Media ก็ยอมรับกับผมเลยว่า อุตสาหกรรม Internet ในเมืองไทยวันนี้ มันเพิ่งเริ่มเท่านั้น เพราะมันยังไม่เป็น Serious Money ตราบจนมีการจ่ายเงินจริงนั้นแหละ

แต่สิ่งที่ทำได้ในปัจจุบัน อย่างที่ stock2morrow ทำ มันเป็นการเดินมาในทางที่มีโอกาส เพราะการเข้ามาจับจองเนื้อที่บน Online ได้ก่อน มันเท่ากับว่า คุณได้ที่การค้าทำเลทองของเมือง แม้ตอนนี้ราคาที่ดินทำเลทองยังไม่ได้มีมูลค่ามหาศาลในปัจจุบัน

..แต่แน่นอน ทำเลทองอันนี้มันต้อง Pay Off ในอนาคตอย่างแน่นอน หากคุณเดินถูกทาง !!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ