วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553
รู้จริง ..คือคุณไม่รู้อะไรเลย!!
"เดินทาง ขึ้นเขาเหลียงซาน เพื่อไปฝึกวิชากับ ท่านซุนเซา ..จากนั้นก็ท่องยุทธภพ!! เพื่อประลองยุทธ์สู่ความเป็นหนึ่งในปัฐพี.." (ฟังดูหนังจีนมากเลย ..พี่คร๊าบ!!) ..ใช่แล้วนี่เป็นเรื่องราวของ ดาบวงพระจันทร์ ที่ดื่มเลือดของผู้ท้าทาย ตามคำกลอนที่กล่าว่า
"อันความรู้วิทยาเหมือนอาวุธ ประเสริฐสุดซ่อนใส่เสียในฝัก
สงวนคมสมนึกใครฮึกฮัก จึงค่อนชักเชือดฝันให้บรรลัย"
(เท่ห์มาก เอามาจากอาจารย์ภาษาไทยที่สอนผม ตั้งแต่เด็กๆ ยังจำได้จนทุกวันนี้!! )
วันก่อนได้คุยกับน้องก็เลยเอามาเล่าให้ฟัง ..เล่าก่อน "น้องผมเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่เก่งมาก ตอนนี้เรียนจบดอกเตอร์แล้วในสาขาของ Finance และก็เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ University of Bristol (ประเทศอังกฤษ) ..พูดแล้วเหมือนตลก น้องผมบอกว่า ยิ่งเรียน มันยิ่งรู้สึกว่าเราโง่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะยิ่งเรียน เราก็รู้ว่า จริงๆสิ่งที่เรารู้มันเป็นเพียงส่วนเล็กๆของโลก และจักรวาล ซึ่งมันกว้างใหญ่อย่างไร้ขอบเขต!!
ผมเชื่อว่า ณ จุดนึง ทุกคนที่ใฝ่เรียน ใฝ่รู้จะมาเจอคำถามที่ว่า "จริงๆเราควรเรียนอะไร รู้อะไร เพราะมันมากมายเสียเหลือเกิน" ...แท้จริงแล้วความรู้ต่างๆมัน ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาตามยุคตามสมัย ..ปัญหาของคนไทยคือ พอก้าวออกจากโรงเรียน ก็หยุดการเรียนรู้ (ไม่แปลกที่ประเทศไทย ถูกจัดอันดับต้นๆ ของประเทศที่มีหนังสือใหม่มากที่สุด "ขำขำ..ใหม่เพราะไม่ได้อ่านนะ ..มันเลยใหม่ตลอด!!..หุ หุ") ..เอาเป็นว่าคนไทยอ่านหนังสือกันน้อยมาก ไม่รู้จะโทษค่ายละคร หรืออะไรก็ตามที
"ความรู้ที่แท้จริง มันไม่ได้จบเพียงตำรา" ผมเชื่อว่าการได้พบปะ กับคนใหม่ๆ และเจอสิ่งใหม่ๆ มันก็เป็นความรู้อีกทางที่น่าสนใจ..ดังนั้น คนที่ฉลาดจะมองทุกสิ่งเป็นอาจารย์ แล้วเมื่อทุกอย่างเป็นอาจารย์ ทุกสิ่งเป็นบทเรียน -- ไม่ว่าเราจะทำอะไร เราก็จะฉลาดขึ้น ...จะวกกลับมาเรื่องของการลงทุน หลายๆคนเพิ่งเข้าตลาดแล้วถามผมว่า จะเริ่มอย่างไร --"จริงๆ คำตอบมันก็ง่ายมาก ก็เริ่มจากศึกษานั่นแหละ"
การศึกษาถ้าจะให้แบ่ง มันก็อาจจะแบ่งได้หลายอย่าง ...งั้นแบ่งเป็นการศึกษาที่ "เอาไปประกอบอาชีพ" กับการศึกษาที่ "สร้างความมั่งคั้ง" ละกัน .."อ้าว !! ไฉนเป็นงั้นล่ะ เรื่องอะไรมาแบ่ง ความรู้ในวิชาชีพ กับ ความรู้สู่ความมั่งคั่งออกจากกันล่ะ --มันไม่ใช่ความรู้เดียวกันหรือ!!"
ถูกต้อง!! หลายคนคิดว่า ทุกคนต้องเรียนสูงๆเพื่อให้ได้ความรู้มาประกอบอาชีพ แต่จริงๆแล้ว มันคนละเรื่อง ..การเรียนสูงๆ มันเป็นการเรียนเพื่อให้ได้ "กระดาษ" นั่นก็คือ ปริญญาบัตรที่สังคมยอมรับ ..อันนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากคุณจะเข้ามาทำงานในระบบของสังคม --แต่ข้อยกเว้นก็มีสำหรับ พวกที่ประกอบอาชีพในระบบของตัวเอง ก็เช่น Bill Gates , Steve Jobs (แต่ !! อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า ความรู้เพื่อการประกอบอาชีพเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น ..ผิดถนัด!! เพราะมันจำเป็นอย่างมาก มันเป็นพื้นฐานที่ปัญญาชนในปัจจุบันจะต้องมีเป็นเบื้องต้น)
ประเด็นมันอยู่ที่ว่า เมื่อคุณได้ปริญญาบัตรมาแล้ว หลายๆคน หยุดที่ตรงนั้น ...จึงไม่แปลกที่ คนที่เรียนยิ่งสูงมักเป็น อุปสรรคของการก้าวผ่าน เรื่องความรู้ คือ ความไม่รู้ "มันยิ่งหนา ..และปิดกั้นเขาออกจากโลกของความมั่งคั่ง"
น้องผมเกี่ยวอะไร !! ผมยกตัวอย่างขึ้นมาถึง ความถ่อมตัว สำหรับคนที่มีความรู้ระดับดอกเตอร์อย่างน้องผม ที่กลับมองว่า ตัวเองไม่รู้อะไรเลย ..ผมว่ามันเป็นความคิดที่สุดยอดมาก และมันก็ได้เปิดประตูของคนเหล่านี้สู่ "ความรู้แห่งความมั่งคั่งนั่นเอง"
ครับ!! สูตรสำเร็จ หรือ ทางลัด แห่งการเรียนรู้ ผมว่ามัน ไม่มี ...เพราะอย่างแรก ไม่มีใครสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่นได้ (เพราะอะไรน่ะหรือ) ..ก็เพราะเมื่อมันไม่ได้เกิดกับตัวเรา ..มันไม่เจ็บ "เมื่อไม่เจ็บ มันก็เลยไม่จำ" ..ดังนั้น ทุกเรื่อง รวมทั้งการลงทุนก็เช่นกัน ไม่ว่าคุณจะเรียนมากน้อยเท่าใด แต่หากคุณไม่ลงมือปฏิบัติ คุณก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ ...หลายคนชอบพูดถึงการไปปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็น เรื่องดีอ่ะนะ แต่ที่ดีกว่านั้น คือ คุณเข้าใจมันจริงๆหรือเปล่า ว่าปฏิบัตินั่นน่ะ ปฏิบัติอะไร (ก็ปฎิบัติธรรมไง!! เอ่อ จำเริญ!!)
ธรรมะ คือ ธรรมชาติ แก่นของศาสนาคือ สอนให้เราเข้าใจธรรมชาติ ซึ่งเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น ยิ่งเราเบียดเบียน และออกจากธรรมชาติมากเท่าใด ชีวิตก็วุ่นวายมากขึ้นเท่านั้น..กิเลส มันคือ ความอยาก และมันเป็นตัวให้กำเนิดความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในโลก
การลงทุนในปัจจุบันนี้ หลายคนพยายามหาแก่น "หาสุดยอดวิชาการลงทุนนั่นแหละ" แต่ผมอยากจะบอกว่า แก่นจริงๆของการลงทุน รวมทั้งการสร้างความมั่งคั่ง มันไม่ใช่การที่คุณ วิ่งไปแย่งมา ไปโกยมา ...ถึงได้มาจริง มันก็ฉาบฉวย และท้ายสุดก็ไม่สามารถรักษาความมั่งคั่งนั้นๆ ให้ยั่งยืนได้
เมื่อผมศึกษาการลงทุนลึกขึ้นเรื่อยๆ มันย้อนกลับ มาที่ Greed & Fear ที่เป็นตัวก่อให้เกิด Bubble และ Bust ตลอดระยะเวลาของประวัติศาสตร์การเงินของโลก ...ส่วนราคาที่เราพยายาม แก่งแย่งให้ได้ขายที่สูง และซื้อที่ต่ำที่สุดนั้น กำหนดโดย Demand & Supply ดังนั้น ไม่ว่าวิชาคุณจะสุดยอด จะเป็น VI จะเป็น Trend Follower จะเป็น System Trade จะเป็น Swing Trade หรือ Exotic Trading มันก็คือคำสวยหรูที่พยายามจะนิยามอะไรบางอย่าง ซึ่งท้ายสุดมันหนีไม่พ้นสี่ตัวที่ผมว่ามา ซึ่งก็คือ "Greed/Fear/Demand/Supply"
ดังนั้น การลงทุนเพื่อความมั่งคั่ง หรือ ความรู้สู่ความมั่งคั้ง มันจึงไม่ใช่การเข้าใจหลักวิชาการที่สวยหรู ..แต่มันเป็นการเข้าใจมนุษย์ต่างหากที่สำคัญที่สุด ... ไม่ว่าคุณจะมีความรู้เรื่องการลงทุนระดับเทพเพียงใด หากคุณไม่เข้าใจตัวเอง .."ยังไงก็เจ๊งอยู่ดี" ดังนั้นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดสู่การลงทุน คือ ศึกษานิสัยของตัวเอง
คำถามคือ "แล้วผมจะรู้ได้ยังไง ว่านิสัยของผมเป็นอย่างไร" ...ง่ายๆครับ คนเราจะรู้สันดานที่แท้จริงของตัวเอง ต้องผ่านวิกฤต ..จึงมีคำพูดที่ว่า "วิกฤตสร้างคน" ..จริงๆแล้ว วิกฤตมันสอนให้เรารู้จักตัวเองต่างหาก และนี่คือแก่น ของการลงทุน และการสร้างความมั่งคั่งทั้งหมดของชีวิต
ย้อนกลับมาที่ตัวผมเป็นตัวอย่าง ..หลังจากที่ผมพยายามศึกษาตัวเอง สิ่งที่ผมพบก็คือ ผมไม่ได้วิเศษ วิโส หรือ มีอะไรที่เหนือกว่าคนอื่นเลย (ถ้าแจ๋วจริง ป่านนี้ร้านอาหารของผม คงต้องขาย Franchise แข่งกับ Starbucks ไปแล้ว...แต่ไม่ใช่!!) ...มันย้อนกลับมา ทำให้ผมพยายามหาวิธีที่ดีที่สุด สำหรับการลงทุนที่คนธรรมดา สามารถทำได้คืออะไร!!
จุดอ่อนของมนุษย์คือ พยายามเอาชนะธรรมชาติ ..ซึ่งมันพิสูจน์ทุกยุคทุกสมัยแล้วว่า "มันทำไม่ได้ ..เมื่อไม่ได้ ทำไมเราไม่เอาธรรมชาติ (หรือธรรมมะ) มาทำความเข้าใจตัวเอง แล้วใช้มันเป็นเครื่องสร้างความมั่งคั่งล่ะ!!"
หลักการลงทุนที่ไม่ขัดธรรมชาติ ก็คือ มองธรรมชาติให้ออก ในเรื่องการลงทุน ก็คือ มอง Trend ใหญ่ให้ออก (คุณเดินไม่ถึงเชียงใหม่หรอก หากคุณหันหน้าลงใต้ แล้ววิ่งไปอีกทาง) ..หา!! Trend Follower น่ะซิ ..นั่นก็ส่วนนึง..ประเด็นคือ ยิ่งคุณมองว่าตัวเอง ธรรมดาแค่ไหน คุณยิ่งต้องมองภาพให้ใหญ่ขึ้น เพราะเมื่อภาพใหญ่ขึ้น ใช้เวลามากขึ้น ..เส้นระดับความผันผวนของการลงทุน มันก็จะผันผวนน้อยลงเรื่อยๆ จนเกือบเป็นเส้นตรงที่ตั้งขึ้น
(ถามว่าทำไมกราฟการลงทุนมัน ตั้งขึ้น ไม่ตั้งลงล่ะ ก็เพราะโลกเรา ตั้งอยู่บนเงินเฟ้อ หรือ Inflation ...เงินมันเป็นสิ่งที่ขาดแคลนในวิชาเศรษฐศาสตร์ก็จริง แต่การเพิ่มของเงินมันไม่ใช่ ..โลกเรามีประชากรเพิ่มขึ้น น่าจะถึง 10,000 ล้านคน ในอีกไม่ถึง 20 ปี ..ทรัพยากรของโลกใช้แล้วหมดไป แต่สิ่งที่ไม่มีวันหมด แถมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็คือเงิน "เดี๋ยวนี้เงินมันไม่ต้องใช้กระดาษพิมพ์ด้วยซ้ำ มันเป็นตัวเลขที่อยู่ในคอมพิวเตอร์"...ทีนี้คุณพอจะเห็นภาพหรือยังว่า ทำไมเงินต้องเพิ่มตามจำนวนประชากร และทำไมมันจะต้องลดมูลค่าเงินเดิม และสร้างเงินเฟ้อ หรือ Inflation !!)
หลักการลงทุนง่ายๆ
1. ให้ระลึกเสมอว่า คุณไม่ได้ วิเศษกว่ามนุษย์คนอื่นๆ ดังนั้น "คุณไม่มีทางจะเข้าซื้อหุ้นได้ในราคาที่ต่ำที่สุด และขายก่อนคนอื่นในราคาที่สูงที่สุด ในทุกๆรอบ ทุกๆ Cycle ..เหมือนอย่างที่เกือบทุกๆคนคิดว่า เขาทำได้เก่งกว่าคนอื่น" (ผิดหลักธรรมชาติ)
2. รู้จริง คือ ไม่รู้อะไรเลย เมื่อคุณไม่รู้คุณจะศึกษา ไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบ ..คุณจะไม่กลายเป็น คนที่ Obsolete (คนที่ความรู้หมดอายุ !!) หรือ ตู้หนังสือเก่าๆที่ใช้การไม่ได้ ในโลกที่เปลี่ยนแปลง ..ความกระหายในความรู้จะสร้างความมั่งคั่งทางปัญญาให้กับคุณ "Key Word คือ คุณไม่รู้อะไรเลย!!"
3. หลักการหรือ วิธีการลงทุนที่ดีที่สุด จะต้องเป็นวิธีที่เข้าใจง่ายที่สุด ..ยิ่งซับซ้อน ยิ่งมั่ว ยิ่งต้มตุ๋น !! ไม่แปลกที่เขามักให้ Derivatives ทางการเงินมาต้มตุ๋น ที่จริงมันเป็น financial instrument ที่ดีมาก เพียงแต่ไม่มีใครแปลมันออกมาเพื่อถ่ายทอดเป็นภาษามนุษย์ (ไม่งั้นโลกเราจะ ตั้งอยู่บนความเสี่ยง ที่ลดลง ..แต่ไม่!! (เพราะไม่เข้าใจ!! มันจึงทวีความเสี่ยงที่มากขึ้น)
4. ไม่มีวิธีการลงทุนที่ดีที่สุด สำหรับทุกๆคนในโลก ..."มีแต่วิธีที่ดีที่สุด สำหรับคุณ!! ..ดังนั้น คุณต้องเป็นคนเลือกวิธีการลงทุนที่ดีที่สุด สำหรับตัวคุณเอง" ...โดยเริ่มจาก คุณต้องเข้าใจตัวเองเสียก่อน!!
5. คุณเป็นเพียงกลไกเล็กๆของธรรมชาติ ...ทุกครั้งที่เราพยายามฝืนธรรมชาติ เราจะเจ็บปวดที่สุด และนี่เป็นสาเหตุของความทุกข์ ที่แม้แต่คนที่รวยที่สุดในโลก หรือคนจน ..ก็ไม่มีใครสามารถหนีมันพ้น!!
" (หยุดอยากจึงเยือกเย็น) ...เงินก้อนที่คุณสามารถ ตัดออกจากชีวิตของคุณได้ เงินนั้นแหละ เหมาะที่สุด ที่จะสามารถเอามาลงทุน และสร้างความมั่งคั่งที่มากที่สุดให้แก่คุณได้ !!"
"รู้จริง ..คือ คุณไม่รู้อะไรเลย" ...เรียนรู้สู้ต่อไปครับ...
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา
-
7 จุด ในงบการเงินที่ใช้ในการจับผิด จับโป๊ะหุ้นเด็ด !! 1. ’Net Profit Margin’ …ขาย 100 บาท ได้กำไรกี่บาท ? …ยิ่งเยอะ ก็ยิ่งแสดงว่า การแข่งขั...
-
7 ข้อ ‘มิตร’(ฉาชีพ) กับ การลงทุน 1. ‘คนที่โกงเราได้คือคนที่เราไว้ใจ’ …ถ้าเราไม่ไว้ใจเราคงไม่เอาเงินให้เขาตั้งแต่แรก 2. ‘ข้อเสนอของเขามัน T...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
6 หลักการ คัดหุ้นปันผลดีเติบโตแล้วเลี้ยงเราได้ไปยาวๆ หลักการนี้สำหรับ คนชอบซื้อแล้วถือ กินปันผลยาวๆ 1. ‘หุ้นมี Market cap ขนาดใหญ่‘ …หุ้น...
-
‘หุ้นหนัก หุ้นเบา พอร์ตเราเต็มไปด้วยอะไร’ ...หลายคนน่าจะคุ้นเคยดีกับ ‘หุ้นหนัก’ ก็คือ หุ้นในพอร์ตรายย่อยส่วนใหญ่นี่แหละครับ ลักษณะของมันคือ...
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
6 ข้อ มาคุยกันเรื่อง Why Nations Fail ? สิงค์โปร์ไม่ทีทรัพยการเลย ทำไมรวย …เวเนซุเอลา มีน้ำมันมากที่สุดในโลก ทำไมจน ..แล้วสวิส ประเทศเล็กๆ...
-
'ทฤษฎี กับ การปฏิบัติ ต่างกันอย่างไร ?' ประเด็นนี้ ผมเจอน้องๆ นักศึกษามาถาม ..เค้าคงอยากรู้ว่า สิ่งที่เขาเรียนในทฤษฎี เวลาเขาไป...
-
6 ข้อ เศรษฐกิจและการลงทุนยุค Trump 2.0 1. ‘นโยบาย American First’ …Trump จะทำทุกอย่างให้อเมริกาได้ประโยชน์ เน้นในเรื่องของเศรษฐกิจ 2. ‘Dere...
ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"
- ภาพใหญ่หุ้นไทย ปี 1987 - 2009
- ย้อนรอย SET ปี 1987 - 1990(จาก Black Monday ไปแตะ 1,000 จุด)
- ย้อนรอย SET ปี 1991 - 1993 ( 3 ปีสู่ยอดดอย )
- ย้อนรอย SET ปี 1994 - 1996 ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" )
- ย้อนรอย SET ปี 1997 - 1999 ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น )
- ย้อนรอย SET ปี 2000 - 2008 ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" )
- ย้อนรอย SET ปี 2009 (Do you Remenber?)
"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
10 เรื่องที่ต้อง "รู้งี้" ก่อนจบปริญญา ... 1. "ใบปริญญามีวันหมดอายุ" ..หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจ...
-
ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
'คำทำนาย ที่ว่าโลกหลังปี 2017 จะเกิด ..ธุรกิจเล็กจะใหญ่ ธุรกิจใหญ่จะเล็ก!!' ยุคนี้รายใหญ่ก็ตายได้ ..รายเล็กก็เกิดได้ ..นี่อ่านข...
-
วันนี้มาดอนเมือง ผมได้ชิมกาแฟมวลชน จุดเริ่มของ All Cafe ของ 7-11..วันนี้เกมค่าปลีกแข่งดุ เนื่องจากค่าเช่าแพงขึ้นตามราคา Asset ที่พุ่งกร...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
Luxury คือ เงินเฟ้อ!! เศรษฐกิจไม่ดี ทำไม ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ..คนธรรมดาทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันล่ะ ? ก็เพราะ เราไม่รู้ว่า 'ความห...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...
Awesome!
ตอบลบKISS (Keep It Simple Stupid)
ขอบคุณค้าบ อ่านแล้วชอบมากๆค้าบ:)
ตอบลบ