วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553
หลายคนถามผมว่าเรียนต่อ "ปริญญาโท-เอก" ดีไหมล่ะ??
สมัยก่อนจบปริญญาตรีพอแล้ว เดี๋ยวนี้โทยังไม่พอ ต้องเอก (เดี๋ยวนี้เอกก็ยังเกลื่อนเลย)
ยิ่งคิดก็ยิ่งเหนื่อยนะครับ --กับการอยู่ในสังคมทุกวันนี้ "สมัยก่อนจบปริญญาตรีพอแล้ว เดี๋ยวนี้โทยังไม่พอ ต้องเอก (เดี๋ยวนี้เอกก็ยังเกลื่อนเลย)" แล้วพอเอาเข้าจริงๆ บางคนจบเอก จากมหาลัยดังๆ มาแล้ว "ตกอับ" ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตก็ มีถมไป
.. จริงๆแล้วผมว่า หลายคนอาจหลงประเด็น นึกว่า การเรียนให้สูง หรือ จบในมหาลัยดังๆ จะเป็น "ตัว Guarantee" ว่าเราจะประสบความสำเร็จ -- แต่ไม่ใช่เลย เพราะแท้จริงแล้ว การเรียนก็เป็นเหมือน"บัตรผ่านประตู"ที่จะเปิดประตูให้เราได้เข้าสู่โอกาส แต่หลังจากที่เราก้าวผ่านประตูไปแล้ว มันอยู่ที่ตัวคุณเองว่าจะสามารถไปสู่ความสำเร็จได้หรือเปล่า
"บัตรผ่านประตู"ที่พูดถึง จะนำเราไปสู่ห้องที่ประสบความสำเร็จจริงหรือ??? -- ตรงนี้ผมว่ามันต้องถามกลับว่า "ความสำเร็จที่คุณต้องการคือ อะไร" เพราะถ้าหากคุณตอบว่า "ความร่ำรวยมหาศาล คือ สิ่งที่ต้องการ" ดังนั้น ผมก็ตอบได้เลยว่า "บัตรผ่านที่คุณมีมันกำลังนำคุณไปผิดห้อง" เพราะการเรียนที่สูงในมหาลัยที่ดัง มักนำคุณสู่ความ"ไม่เสี่ยง" นั่นก็คือ "งานที่มั่นคง เงินเดือนสูง" และสิ่งนี้เอง มันจะกลายเป็นตัวผูกมัดที่ทำให้คุณ ก้าวไปไม่ถึง จุดหมาย "แห่งความมั่งคั่ง"ที่หวังไว้
โลกแห่งทุนนิยม -- จะให้รางวัลแก่ความเสี่ยง และลงโทษ ความมั่นคง(ไม่เสี่ยง) ยกตัวอย่างถ้าคุณเอาเงินฝากธนาคาร (มั่นคงสูงมาก) เงินก้อนที่ว่านี้ก็ไม่มีทางที่จะเพิ่มพูนให้ผลตอบแทนอะไรมากมาย -- ในทางกลับกัน ถ้าคุณเอา เงินนั้นไปเล่นหุ้น คุณก็จะมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงมาก หรือ ก็อาจขาดทุนได้เช่นกัน --และนี่แหละคือ "ความท้าทายในโลกแห่งทุนนิยม" ทุกอย่างถูก แปลเปลี่ยนและวัดค่าเป็นจำนวน"เงิน" -- ดังนั้น การเรียนสูงๆ ในสถาบันดีๆ อาจทำให้คุณได้งานที่มั่นคง เงินเดือนเป็นแสน แต่ถ้าคุณเอาเงินนั้นฝากธนาคาร(ไม่เสี่ยง) คุณก็ไม่สามารถที่จะมีทางมีเงินเป็น ร้อย เป็น พันล้านได้ ... ดังนั้น หนทางเดียวที่จะพาคุณสู่ความมั่งคั่งก็คือ "ความเสี่ยง" แต่ความเสี่ยงมีหลายระดับ ยิ่งคุณมีประสบการณ์มากขึ้น ความเสี่ยงคุณก็จะลดลง-- จึงมีหลายคนที่สามารถพูดได้ว่า "เขาสามารถลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง บนความเสี่ยงที่ต่ำได้" ทีแรกผม ก็ถึงกับ(งง) ว่า นี่มันขัดกับหลักของ "ทุนนิยม" นี่ --จะมีด้วยหรือ????
(มีครับ).. และมันก็คือ "การลงทุนในธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ ในภาวะที่ไม่แน่นอนสูง" เพราะไม่ว่าการลงทุนดังกล่าว จะเป็นการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ หรือ นอกตลาดก็ตาม แต่มันก็เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้คุณมีเงินเป็น ร้อย เป็นพันล้านได้
--- ดังนั้น ความรู้ที่ทำให้คุณมั่งคัง ก็คือ ความรู้ที่จะสามารถวิเคราะห์ ได้ว่า กิจการการใด มีความเสี่ยงต่ำ และช่วงเวลาใด เป็นช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนสูง --ซึ่งแท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีสอนอยู่ในตำรา เพราะคนสอนอย่างอาจารย์เอง ก็ไม่ได้มีความสามารถในการวิเคราะห์ตรงนี้เลย ...จึงไม่แปลกที่ว่า "ประสบการณ์และความล้มเหลว" ต่างหาก ที่เป็นบันไดก้าวไปสู่ความสำเร็จอย่างแท้จริง
บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
เมื่อวันก่อน ผมได้มีโอกาสไปออกรายการวิทยุ Business Line & Life ของคุณม่อน .. มีคนสัมภาษณ์ผมเป็น คนหนุ่มรุ่นใหม่ ทายาทกลุ่ม ธุรกิ...
-
6 ข้อ ปฏิบัติของการเป็น ’นักลงทุนแบบทางสายกลาง’ หลังจากผมลงทุนมานานพอสมควรก็พบว่า ’ทางสายกลาง‘ คือ หลักปฏิบัติที่สำคัญที่ทำให้เราประสบความ...
-
ท่านธนินท์มักกล่าวในงานสัมมนาต่างๆ ถึงแนวคิด "สองสูง" ของท่าน -- ซึ่งสูงแรกก็คือ ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ และสูงที่สอง คือขึ้นราคาพื...
-
5 ข้อควรรู้ ‘การคิดเผื่อคนอื่น‘ ทำไมทำให้เราเป็นนักลงทุนที่มีโอกาสสำเร็จมากขึ้น 1. ’คน Gen ก่อน โดยรวมรวยกว่าคน Gen ใหม่ เพราะ เขาคิดสร้างใ...
-
‘หุ้นหนัก หุ้นเบา พอร์ตเราเต็มไปด้วยอะไร’ ...หลายคนน่าจะคุ้นเคยดีกับ ‘หุ้นหนัก’ ก็คือ หุ้นในพอร์ตรายย่อยส่วนใหญ่นี่แหละครับ ลักษณะของมันคือ...
-
6 ข้อ หลักคิดที่ทำให้เราไม่สามารถซื้อหุ้นในจุดที่ราคาถูกที่สุด และ ขายหุ้นในเวลาที่แพงที่สุด 1. ‘หุ้นไม่มีจุดต่ำสุด‘ …หลายคนคิดว่า ซื้อหุ้น...
-
AEC ย่อมาจาก ( ASEAN Economic Community ) ..ประเด็นที่น่าสนใจคือ เมื่อ ASEAN รวมตัวกันได้ ก็จะทำให้เกิด Win-Win นั่นก็คือ ภาพรวมเศรษฐกิจในปร...
-
"QE2" ตอนนี้กลายเป็นประเด็นร้อนแรงไปทั่วโลก เนื่องจากลึกๆแล้ว หัวใจของนโยบายนี้ก็คือ "การเปลี่ยนเงินดอลล่าห์ให้เป็นแบงค์กงเต๊...
-
ตอนนี้แนวทางที่พิสูจน์ตัวเอง ได้สวยในระยะยาวก็เห็นจะเป็นแนว Value Investor (จริงๆแนวอื่นก็สวย แต่เผอิญนักลงทุนที่รวยที่สุดในโลก คือ Warren B...
ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"
- ภาพใหญ่หุ้นไทย ปี 1987 - 2009
- ย้อนรอย SET ปี 1987 - 1990(จาก Black Monday ไปแตะ 1,000 จุด)
- ย้อนรอย SET ปี 1991 - 1993 ( 3 ปีสู่ยอดดอย )
- ย้อนรอย SET ปี 1994 - 1996 ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" )
- ย้อนรอย SET ปี 1997 - 1999 ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น )
- ย้อนรอย SET ปี 2000 - 2008 ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" )
- ย้อนรอย SET ปี 2009 (Do you Remenber?)
"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
10 เรื่องที่ต้อง "รู้งี้" ก่อนจบปริญญา ... 1. "ใบปริญญามีวันหมดอายุ" ..หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจ...
-
ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
'คำทำนาย ที่ว่าโลกหลังปี 2017 จะเกิด ..ธุรกิจเล็กจะใหญ่ ธุรกิจใหญ่จะเล็ก!!' ยุคนี้รายใหญ่ก็ตายได้ ..รายเล็กก็เกิดได้ ..นี่อ่านข...
-
วันนี้มาดอนเมือง ผมได้ชิมกาแฟมวลชน จุดเริ่มของ All Cafe ของ 7-11..วันนี้เกมค่าปลีกแข่งดุ เนื่องจากค่าเช่าแพงขึ้นตามราคา Asset ที่พุ่งกร...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
Luxury คือ เงินเฟ้อ!! เศรษฐกิจไม่ดี ทำไม ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ..คนธรรมดาทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันล่ะ ? ก็เพราะ เราไม่รู้ว่า 'ความห...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...